Skip to content

Sword of Coming 342

บทที่ 342 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ

การเดินทางขึ้นเหนือเป็นไปด้วยความราบรื่น

ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีชะตาบู๊รุ่งโรจน์ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีแต่กองทัพชายแดนเท่านั้นที่สามารถรังแกคนอื่นได้ เป่ยจิ้นที่อยู่ทางทิศใต้และหนันฉีที่อยู่ทางทิศเหนือต่างก็เคยเจอกับความยากลำบากมามากมาย หากไม่เป็นเพราะองค์ชายทั้งสามงัดข้อกันเอง และการช่วงชิงบัลลังก์มังกรก็ใกล้จะถึงช่วงที่ลงไม้ลงมือกันอย่างโจ่งแจ้งแล้ว ซึ่งนี่พัวพันกับพละกำลังมากมายขององค์ชายใหญ่ จึงเป็นเหตุให้บุตรอนุคนโตของสกุลหลิวที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แถบเหนือท่านนี้จำต้องหยุดสงครามทางเหนือที่ถูกกำหนดไว้แล้วกลางคัน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายอาณาเขตพันลี้ของหนันฉีโดยไม่ทันระวัง ถ้าตัวเองต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิด สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ใหญ่ไป แบบนั้นก็ไม่เท่ากับว่าตัดชุดแต่งงานให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ของเมืองเซิ่นจิ่งหรอกหรือ? (ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเปรียบเปรยถึงการทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงาน ให้คนอื่น โดยที่ตนเองไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย)

และยังมีแคว้นเล็กๆ อีกสี่ห้าแคว้นที่อยู่ติดกับชายแดนตะวันออกและตะวันตก กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งในนั้นเรียกตัวเองว่าหลาน เรียกหลิวเจินฮ่องเต้ต้าเฉวียนด้วยความเคารพนับถือว่าเสด็จอา และยังมีอีกแคว้นหนึ่งที่ตกเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าเฉวียนโดยตรง

ทุกๆ ระยะสามสิบลี้ ขบวนเดินทางจะหยุดพักหนึ่งครั้งเพื่อแปรงจมูกทำความสะอาดให้กับม้าศึก เวลานี้เหยาเจิ้นจะออกมาจากรถม้าเพื่อพูดคุยกับเฉินผิงอัน

ไปๆ มาๆ หลานชายสายตรงอย่างเหยาเซียนจือก็สนิทสนมคุ้นเคยกับเฉินผิงอันไปด้วย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินผิงอัน ‘หยกดิบแห่งสกุลเหยา’ ชิ้นนี้กลับระมัดระวังตัวสำรวมตนอย่างยิ่ง

ปีนี้เหยาเซียนจือเพิ่งจะอายุสิบสี่ปี แต่กลับอยู่ในกองทัพมาสามปีแล้ว ปีที่สองก็ได้เป็นทหารสอดแนมอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นก็อาศัยคุณความชอบทางการทหารเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้ากอง เรียนรู้กลยุทธการทำสงครามจากอาจารย์ในโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่มีนิสัยชอบพูดโอ้อวดตน อายุยังน้อยแต่กลับสุขุมเหมือนผู้ใหญ่ ได้รับความสำคัญจากเหยาเจิ้นเจ้าประมุขตระกูลอย่างมาก

เหยาเซียนจือไม่ปิดบังความเลื่อมใสที่ตัวเองมีต่อเฉินผิงอันเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นที่อยู่ในหุบเขา ถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาสองคนไล่ฆ่าอย่างจนตรอก ก็เป็นเฉินผิงอันที่ปรากฎตัวมาช่วยเหลือลูกหลานในกองทัพซึ่งรวมถึงเหยาเจิ้นปู่ของเขาด้วย หมัดเดียวของเฉินผิงอันก็ต่อยให้ปรมาจารย์น่ากลัวที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนนั้นถอยกรูดออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตไร้ที่สิ้นสุดจนน่ากริ่งเกรงก็ยิ่งรับมือได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ภายหลังเหยาเซียนจือยังได้ยินวีรกรรมยิ่งใหญ่ของเฉินผิงอันตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมจากเหยาหลิ่งจือ นางเล่าว่าเขาต่อยบุตรชายของเซินกั๋วกงตายคาที่ด้วยสามหมัด กล้าประมือกับหลี่หลี่ขันทีผู้ควบคุมตรากองทหารม้า เหยาเซียนจือจึงยิ่งเลื่อมใสนับถือเขาอย่างถึงที่สุด ใจถึงขั้นคิดอยากจะช่วยจูงม้าป้อนอาหารม้าให้เฉินผิงอันทุกวันเลยด้วยซ้ำ

ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อเหยาเซียนจือก็ไม่เลวเช่นกัน ในศึกนองเลือดกลางหุบเขา สายตาเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะ จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังจำได้ติดตา

เพียงแต่คงเป็นเพราะเหยาเซียนจืออยากจะทำตัวสนิทสนมกับเขาจึงพยายามหาเรื่องมาชวนคุย เขามักจะเล่าเรื่องตลกที่ไม่ค่อยตลกให้เฉินผิงอันฟังเป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่หนันฉีอยู่ทิศเหนือ แต่เป่ยจิ้นกลับอยู่ทิศใต้ (หนันฉี คำว่าหนันแปลว่าใต้ ส่วนเป่ยจิ้น คำว่าเป่ยแปลว่าเหนือ) แถมยังบอกอีกว่านักประพันธ์บางคนที่เชี่ยวชาญการเขียนกลอนให้กับทหารชายแดนเลื่อมใสกองทัพม้าเหล็กของสกุลเหยาอย่างถึงที่สุด มีนักประพันธ์ใหญ่ในวงการกวีท่านหนึ่งคิดอยากจะเอาบทกลอนมาแลกกับม้าศึกระดับหนึ่งหนึ่งตัว แต่ท่านปู่ของเขาปฏิเสธ ก็เลยเจ็บแค้นอยู่ในใจ หลังจากกลับไปเมืองหลวงก็พูดให้ร้ายกองทัพชายแดนตระกูลเหยานานถึงสิบปี เหยาเซียนจือสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งแล้วจะต้องไปหาคนผู้นั้นให้ได้

เฉินผิงอันไม่ได้พูดตอบโต้อะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอีกฝ่าย

ในคนรุ่นนี้ของสกุลเหยา ความรู้สึกที่เหยาหลิ่งจือผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์มากที่สุดมีต่อเฉินผิงอันค่อนข้างซับซ้อน นางทั้งรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณและรู้สึกเคารพเลื่อมใส แต่ลึกๆ ในใจยังมีความไม่ยอมแพ้อยู่ส่วนหนึ่ง อีกทั้งนางยังเป็นเด็กสาวที่อยู่ในช่วงวัยที่งดงามที่สุดในชีวิตพอดี ดังนั้นจึงไม่ค่อยเต็มใจเข้าใกล้เฉินผิงอันพร้อมกับเหยาเซียนจือเท่าใดนัก

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเคยขี่ม้ามาก่อน อีกทั้งตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็เคยขี่ลากับนักพรตเฒ่า ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าคำกล่าวที่ว่าเดินทางหนึ่งวันพันลี้ที่นักเล่านิทานเล่าให้ฟังหรือที่กล่าวถึงในนิยายล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น โดยทั่วไปแล้วราชวงศ์ในโลกมนุษย์ การที่จุดพักม้าส่งข่าวทางการทหารด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้นั้นสามารถทำได้จริง แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งคนและเปลี่ยนทั้งม้า หากชนใครตายบนทางเดินม้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ม้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งต่อให้สวมเกือกเหล็กให้ม้า เกือกม้าก็ยังอาจถูกย่ำจนพังยับอยู่ดี

ขุนนางในจุดพักม้าระหว่างทางที่คอยให้การดูแล รวมไปถึงที่ว่าการแห่งต่างๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดพักม้าต่างก็ให้การดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรเหยาเจิ้นก็เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ใช้อักษรขึ้นต้นด้วยตัวเจิง คือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา อีกทั้งเขายังไม่ได้ถอดเสื้อเกราะกลับภูมิลำเนา แต่เดินทางไปรับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมที่เมืองหลวง ได้รับความสำคัญจากโอรสสวรรค์ จากเสาหลักของชายแดนกลายมาเป็นเสาคานของราชสำนัก แม่ทัพผู้เฒ่าเหยายื่นนิ้วเล็กๆ ออกมานิ้วเดียวก็สามารถบดขยี้นายอำเภอเล็กๆ ให้ตายได้หลายคนแล้ว แล้วใครยังจะกล้าไม่ใส่ใจ?

เหยาเจิ้นได้รับการต้อนรับขับสู้ เหนื่อยอยู่กับการเข้าร่วมงานเลี้ยง แม้จะไม่ได้มีท่าทางกระตือรือร้นต่อขุนนางตามท้องที่ต่างๆ เท่าใดนัก แต่ก็ไม่เคยเผยสีหน้าหยิ่งยโสให้เห็น เขาแทบจะไม่เคยปฏิเสธงานเลี้ยงรับรองจากขุนนางท้องที่คนใดเลย ส่วนการเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นจากเจ้าเมืองก็มีบ้างที่อ้างเหตุปฏิเสธไป ส่วนนายอำเภอนั้นแน่นอนว่าไม่มีความกล้าที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้ากรมท่านหนึ่งโดยพลการ

เฉินผิงอันไม่คิดเข้าร่วมงานเลี้ยงพวกนี้ แต่เผยเฉียนกลับคิดหาทางให้ได้เข้าร่วม มีครั้งหนึ่งแค่ได้ยินเหยาเซียนจือร่ายรายการอาหารให้ฟัง นางก็น้ำลายไหลด้วยความอยากกินแล้ว ที่น่าแปลกก็คือทุกครั้งเหยาเจิ้นจะต้องพาเหยาหลิ่งจือและเหยาเซียนจือไปด้วย แต่กลับละเลยเหยาจิ้นจือที่เห็นห้องโดยสารรถม้าเป็นจวนลึกผู้นั้นไป

ครั้งนี้เดินทางผ่านเขตการปกครองแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าใดนัก แต่พวกเขากลับถึงขั้นปัดกวาดถนนหนทางรอต้อนรับจนสะอาดเอี่ยม เฉินผิงอันยังคงไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง แค่พาเผยเฉียนและจูเหลี่ยนสองคนออกจากจุดพักม้า คิดว่าจะไปหาซื้อของจุกจิกบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นปิ่นหยกหนึ่งชิ้น แต่เหยาจิ้นจือกลับออกจากห้องพักในจุดพักม้า บอกว่าจะไปเดินเล่นกับพวกเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

นางยังคงสวมหมวกคลุมหน้าที่เรียบง่ายแต่งดงามซึ่งคลุมปิดทับตั้งแต่ศีรษะจรดลำคอ อันที่จริงก่อนหน้านี้เวลาที่ขบวนหยุดพัก ขอแค่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เหยาจิ้นจือก็จะต้องถอดหมวกคลุมหน้าออก เฉินผิงอันเคยเห็นโฉมหน้าของนางมาหลายครั้ง หน้าตานางงดงามมากอย่างแท้จริง รูปโฉมเหนือกว่าสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่สาว หากพูดตามคำสัพยอกของจูเหลี่ยน หน้าตาที่งามล่มบ้านล่มเมืองอย่างแม่นางเหยาผู้นี้ เขาจูเหลี่ยนเสพสุขเบ่งบารมีอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยพบเจอสักคน ภายหลังได้ยินว่ามีนักพรตหญิงน้อยแห่งหอจิ้งซินคนหนึ่งที่ชื่อว่าถงชิงชิง ไม่รู้ว่าจะเทียบกับเหยาจิ้นจือได้หรือไม่ ตอนนั้นเฉินผิงอันพยักหน้าตอบว่าได้

จูเหลียนจึงพูดว่าความงามของสตรีบนโลกใบนี้ หากใช้เงินร้อยอีแปะมาคำนวณ ถ้าอย่างนั้นเหยาจิ้นจือกับถงชิงชิงก็น่าจะมีมูลค่ามากถึงเก้าสิบกว่าอีแปะ

เฉินผิงอันไม่อยากวิจารณ์หน้าตาของคนอื่นลับหลัง แต่ในใจเขากลับมีความคิดหนึ่ง ต่อให้สตรีพวกนี้จะสวยเพริศพริ้งและดีเลิศแค่ไหนก็มีค่าแค่หนึ่งร้อยอีแปะ สำหรับในใจเขาแล้ว แม่นางหนิงคือเงินฝนธัญพืช คือเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง

ดังนั้นเมื่อได้เจอกับสตรีอย่างเหยาจิ้นจือผู้นี้ เฉินผิงอันจึงรู้สึกแค่ว่าเจอก็คือเจอเท่านั้น

เฉินผิงอันจะซื้อปิ่น เหยาจิ้นจือบอกว่าเมืองนี้มีตรอกแห่งหนึ่งชื่อว่าตรอกไหเอ๋อร์ซึ่งขายของโบราณและของล้ำค่า นางเองที่ได้ข่าวบางอย่างมาก็คิดจะไปตามหากระเบื้องเชิงชายคาและเงินยาสุ้ยโบราณที่มีชื่อว่าหวายจิ้งเช่นกัน จูเหลี่ยนชื่นชอบนิทานเรื่องมหัศจรรย์พันลึก ส่วนเผยเฉียนนั้น ขอแค่เป็นของที่มีมูลค่า นางก็ล้วนชื่นชอบ ล้วนอยากได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็คล้ายว่านิสัยดื้อรั้นเกเรที่มีมาตั้งแต่เกิดของนางได้ถูกขัดเกลาไปเกินครึ่ง วันๆ เอาแต่ขอร้องเฉินผิงอันว่าให้นางทำหน้าที่เป็นคนคิดบัญชีเหมือนจงขุยที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ต่อให้ในกระเป๋ามีเศษเงินแค่ไม่กี่ก้อน นางก็พอใจแล้ว

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง คำกล่าวที่ว่า ‘เอวมีเงินสิบอีแปะก็สะบัดอาภรณ์โอ้อวด’ หมายถึงเผยเฉียนนั่นเอง

เพื่อต้อนรับเหยาเจิ้น เขตการปกครองแห่งนี้ทุ่มเทกันไม่น้อย ตอนอยู่บนถนนของตรอกไหเอ๋อร์ เหยาจิ้นจือช่วยอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เฉินผิงอันฟัง เจ้าเมืองแห่งนี้มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพชายแดนตระกูลเหยา เมื่อได้รับโอกาสก็ออกจากกองทัพแล้วเริ่มปีนป่ายไปบนเส้นทางของขุนนางท้องที่ ได้ยินท่านปู่สามของโรงเตี๊ยมบอกว่าปีนั้นเขาเป็นคนหนุ่มที่มีปณิธานอย่างมาก

เดินเข้าไปในตรอกไหเอ๋อร์ที่ยาวเหยียด ไม่ว่าจะเป็นร้านค้ารูปแบบใดก็ล้วนมีครบหมด นอกจากร้านค้าที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีคนที่สะพายห่อผ้าขายของลักษณะเหมือนซิ่วไฉยากจนอยู่อีกมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ครอบครัวตกอบ ทำตัวลับๆ ล่อๆ เพราะของส่วนใหญ่ในห่อผ้าล้วนได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ใช้วิธีนอกรีตนอกรอย หรือไม่ก็ไปขโมยมาจากคนอื่นโดยตรง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าการซื้อขายจากห่อผ้าที่ไม่อาจทำได้อย่างโจ่งแจ้งบนถนนเส้นนี้น่าสนใจอย่างมาก หลังจากทั้งสองฝ่ายตกลงใจจะซื้อขายกันแล้วก็จะไปหามุมลับตาคน แล้วก็ไม่ได้พูดราคากันออกมาโดยตรง แต่จะทำท่าทางบอกราคาอยู่ในชายแขนเสื้อ เหยาจิ้นจืออธิบายด้วยรอยยิ้มว่าการกระทำเช่นนี้เรียกเล่นๆ ว่าการ ‘จับคู่ในกรง’ นอกจากท่ามือเฉพาะของเงินเหรียญทองแดงหรือเงินก้อนแล้ว จำนวนตัวเลขก็ต้องพิถีพิถันเช่นกัน นิ้วชี้งอเป็นตะขอคือเก้า นิ้วชี้กับนิ้วกลางประกบกันคือสิบ

เดินอยู่ในตรอกไหเอ๋อร์แห่งนี้ พวกเฉินผิงอันสามคนต่างก็ได้ของติดไม้ติดมือกันมา ยกเว้นเผยเฉียน

เหยาจิ้นจือได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นางซื้อเงินเหรียญทองแดงโบราณของแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยมากองหนึ่ง เงินเหล่านี้ถูกเรียกขานว่าหมิงเฉวียน ราคามีสูงต่ำต่างกัน นี่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่พอเหยาจิ้นจือเจอกระเบื้องเชิงชายคาในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เห็นว่าเป็นลวดลายของเทาเที่ย (สัตว์ที่ดุร้ายชนิดหนึ่งตามที่เล่าลือกันในสมัยโบราณ) สลักถ้อยคำมงคล และยังมีกระเบื้องเชิงชายคาสี่เทพเจ้าครบถ้วนอีกชุดหนึ่ง ต่อให้มีผ้าโปร่งสีขาวของหมวกคลุมขวางกั้น เฉินผิงอันก็ยังสัมผัสได้ถึงความตกตะลึงระคนดีใจของนาง

หลังออกจากร้านนางก็มีห่อสัมภาระเพิ่มมาหนึ่งห่อ เฉินผิงอันพูดตามมารยาทว่าจะช่วยสะพายไว้ให้ เหยาจิ้นจือก็รีบปฏิเสธทันที

จูเหลี่ยนซื้อนิทานบุรุษมากความสามารถกับหญิงงามโฉมสะคราญที่ห่อปกภายนอกเหมือนนิทานเรื่องประหลาดมาสองเล่ม

ส่วนเฉินผิงอันซื้อปิ่นหยกสีขาวลายชือหลง (มังกรไม่มีเขาในตำนาน) ตัวด้ามปิ่นเรียบง่าย ไม่มีตัวอักษร ลวดลายมังกรราบเรียบพลิ้วไหว เฉินผิงอันถูกใจตั้งแต่แรกเห็น แต่กลับรู้สึกว่าแพงไปหน่อย เถ้าแก่ตั้งราคาไว้ถึงแปดสิบตำลึงเงิน บอกว่านี่เป็นฝีมือของนักทำหยกคนหนึ่งของราชวงศ์ก่อน เพียงแต่ไม่ได้ประทับชื่อไว้ก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นสามร้อยตำลึงเขาก็ไม่ขาย หากเป็นตอนเดินทางไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย เฉินผิงอันคงหันหลังเดินกลับทันที ก่อนหน้าวันนี้ เขาก็คงจะกัดฟันซื้อไว้

ยังดีที่เหยาจิ้นจือช่วยต่อรองราคาให้เหลือสามสิบตำลึงเงิน ความหมายของนางที่พูดกับเถ้าแก่ฟังคร่าวๆ ก็คือ ตนมีหยกสลักสืบทอดของช่างผู้นั้นอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นรูปดอกสุ่ยเซียน นั่นต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าประณีตงดงามอย่างแท้จริง นางจึงคุ้นเคยกับฝีมือของคนผู้นี้อย่างมาก จากนั้นก็ประเมินค่าวัสดุของปิ่นหยกชือหลงว่าเป็นของระดับต่ำ พูดจนเถ้าแก่บื้อใบ้พูดไม่ออก ยอมให้คุณหนูตระกูลใหญ่ผู้นี้หั่นราคา ขายหยกให้เฉินผิงอันอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก

ออกจากร้าน เฉินผิงอันถือกล่องผ้าปักลายใบเล็กออกมาด้วย เขาขอบคุณเหยาจิ้นจือที่ช่วยต่อราคาให้ก่อน จากนั้นก็อดพูดพลางยิ้มเจื่อนไม่ได้ว่า “ได้ยินแม่นางเหยาพูดอย่างนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าปิ่นชิ้นนี้ไม่มีค่าพอถึงสามสิบตำลึงเลยเล่า?”

เหยาจิ้นจือเงียบงันไปพักหนึ่ง รอจนเดินออกจากร้านมาได้ไกลแล้ว นางถึงได้พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ปิ่นชิ้นนี้เป็นฝีมือของช่างทำหยกที่มีชื่อเสียงคนนั้นจริงๆ อย่าว่าแต่สามร้อยตำลึงเงินเลย ต่อให้ห้าร้อยตำลึงเงินก็คู่ควรให้ซื้อเก็บไว้ อีกอย่างคนผู้นี้ยังยึดหลักคุณภาพหยกไม่ดีไม่นำมาสร้างผลงาน หยกของเจ้าชิ้นนี้จึงทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ดีจนถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่า ‘หยกงามวัสดุยอดเยี่ยม มีดคุนอู๋ยังมิกล้าสัมผัสหน้าสาวงาม’ เพียงแต่ว่าหยกงามบนโลกใบนี้ ดีหรือไม่ดี ทุกคนล้วนดูออก แต่ว่ามันดีมากน้อยแค่ไหนกลับบอกได้ยากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะให้ข้อสรุปได้”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าชื่นชมในความรู้ของเหยาจิ้นจือ หรือเห็นด้วยกับท่าทีที่ช่างทำหยกผู้นั้นมีต่อหยกงามกันแน่

เฉินผิงอันเก็บกล่องผ้าไว้ในชายแขนเสื้อ ถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางเหยามีหยกสลักสุ่ยเซียนนั่นจริงๆ หรือ?”

เหยาจิ้นจือยิ้มตอบ “คำพูดพวกนี้ล้วนยกจากในตำรามาอ้างทั้งนั้น”

ก็แสดงว่าไม่มีสินะ

เผยเฉียนเหลือกตามองสูง เดิมทีนางยังคิดว่าหลังจากวันนี้จะประจบสอพลออีกฝ่ายให้มาก ไม่แน่ว่าวันใดเหยาจิ้นจืออารมณ์ดีอาจจะมอบหยกสลักรูปสุ่ยเซียนต้นนั้นให้นางก็ได้

เหยาจิ้นจือพูดอีกว่า “ถ้อยคำนี้มาจากในตำราก็จริง แต่หยกสลักชิ้นนั้นเป็นหนึ่งในสินเดิมของท่านอาน้อยคนหนึ่งของข้า”

เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มตามมารยาทให้นาง

ข้อนี้แม่นางเหยาเหมือนกับน้องชายอย่างเหยาเซียนจือมาก เพียงแต่ว่าตบะของนางลึกล้ำกว่าเขา สถานการณ์จึงไม่กระอักกระอ่วนเท่าใดนัก

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเหยาจิ้นจือไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก

เผยเฉียนเริ่มลงมือประจบยกยอ ถามอย่างออดอ้อนว่า “พี่หญิงเหยา เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าช่วยแบกห่อผ้าห่อนั้นให้ดีไหม? ข้าเชี่ยวชาญการแบกห่อผ้ามากเลยล่ะ ตลอดทางมานี้ข้าเป็นคนแบกเอง รับรองว่าจะไม่ทำให้สมบัติทั้งหลายในนั้นของเจ้าต้องเสียหายแน่”

เหยาจิ้นจือส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ผ้าโปร่งสีขาวที่คลุมใบหน้าจึงส่ายตามไปด้วย

เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังไม่ถอดใจ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ที่พี่หญิงเหยารู้สึกเหนื่อยต้องบอกข้านะ ตรอกแห่งนี้ห่างจากจุดพักม้าตั้งห้าพันหกร้อยกว่าก้าว พี่หญิงเหยาขายาวก็น่าจะต้องเดินประมาณสี่พันเจ็ดร้อยก้าว”

เหยาจิ้นจือได้แต่พยักหน้ารับ

ช่างเป็นเด็กหญิงที่ประหลาดจริงๆ

คนทั้งสี่เดินอยู่ในตรอกไหเอ๋อร์ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ จูเหลี่ยนก้มหน้าถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจดจำก้าวเดินได้แม่นยำขนาดนี้เชียวหรือ?”

เผยเฉียนถอนหายใจ “ก็มันน่าเบื่อนี่นา ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครให้เงินข้าซื้อของ ข้าก็ได้แต่หาเรื่องทำแก้เบื่อ ไม่งั้นจะให้ทำไงล่ะ”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

ท่ามกลางแสงสนธยา พวกเขาก็กลับไปถึงจุดพักม้าที่ใช้ค้างแรม ตอนที่เดินเล่นอยู่ในเรือนด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ว่าหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนไปหากระดานหมากล้อมมาจากไหน พวกเขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ในศาลาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเว่ยเซี่ยนยืนดูอยู่ด้านข้าง

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลาจึงเห็นว่าเพิ่งรู้ผลแพ้ชนะ คนที่ชนะคือหลูป๋ายเซี่ยง

พลังพิฆาตในการเล่นหมากล้อมของสุยโย่วเปียนสูงมาก พลังอำนาจก็เพียงพอ ขนาดหลูป๋ายเซี่ยงเป็นบุรุษก็ยังไม่มีความเด็ดขาดเท่าสุยโย่วเปียน

จูเหลี่ยนก็เดินตามมาด้วย สุยโย่วเปียนบอกลาเฉินผิงอันแล้วจากไป หลูป๋ายเซี่ยงจึงหันไปชวนจูเหลี่ยนเล่น ผู้เฒ่าหลังค่อมโบกมือพลางคลี่ยิ้ม บอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนห่วยมาก ไม่กล้าแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงมองมา เว่ยเซี่ยนจึงบอกว่าอย่างเขาไม่ได้เรียกว่าฝีมือห่วย แต่เล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงอยากจะมาดูว่าใครจะแพ้ใครจะชนะเท่านั้น

ไม่มีคนเล่นหมากล้อม เว่ยเซี่ยนจึงจากไป จูเหลี่ยนเองก็เดินตามหลังไปติดๆ

จึงเหลืออยู่แค่เฉินผิงอันกับหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังเก็บกระดานหมากล้อม

เฉินผิงอันเอนหลังพิงราวรั้ว ดื่มเหล้าบ๊วยในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายนิ้วสองข้างคีบเม็ดหมากเก็บใส่กล่องอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเพียงการกระทำที่ไม่สะดุดตา แต่เมื่อรวมกับเสียงใสกังวานยามที่ตัวหมากกระทบกันแล้ว กลับไม่เพียงแต่ไม่น่าเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามยังชวนให้คนมองตามอย่างเพลิดเพลินด้วย

ในใจเฉินผิงอันเกิดความเลื่อมใส

หากไม่เป็นเพราะตนไม่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นหมากล้อมจริงๆ บวกกับที่รู้สึกว่าการเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่เปลืองเวลาเกินไป จะถ่วงเวลาการฝึกหมัดและฝึกกระบี่ของเขา หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะลองศึกษาดูจริงๆ ว่าควรเล่นหมากล้อมอย่างไร

เหยาจิ้นจือเดินเยื้องย่างเข้ามา เมื่ออยู่ในจุดพักม้านางจึงถอดผ้าคลุมหน้า หลังจากนั่งลงแล้วก็พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงที่เก็บเม็ดหมากบนกระดานใกล้จะหมดแล้ว “ท่านหลู พวกเรามาเล่นด้วยกันสักตาดีไหม?”

หลูป๋ายเซี่ยงมองสีท้องฟ้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คาดว่าคงเป็นศึกที่ดุเดือดน่าดู เล่นหมากล้อมหลังจากฟ้ามืด ข้าไม่มีปัญหา เพียงแต่ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นคุณหนูเหยาจะมองเห็นหมากบนกระดานชัดหรือไม่?”

เหยาจิ้นจือพยักหน้ารับ “ขึ้นสิบห้าค่ำพระจันทร์เต็มดวง อาศัยแสงจันทร์น่าจะพอมองเห็นได้ชัด ท่านหลูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”

จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการเดาก่อน

หลูป๋ายเซี่ยงถือหมากสีขาว เหยาจิ้นจือถือหมากสีดำ

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองคนทั้งสองที่เริ่มวางหมากของตัวเองลงไป ยังคงมองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางจึงกลับมานั่งบนม้านั่งตัวยาว ยกขาขึ้นขัดสมาธิ ดื่มเหล้าช้าๆ

เนื่องจากในขบวนเดินทางมีข้ารับใช้ต้าเฉวียนอยู่สองคน เฉินผิงอันไม่อยากจะเปิดเผยความเป็นมาของ ‘เจียงหู’ ดังนั้นเวลาดื่มเหล้าตอนกลางวันจึงดื่มได้ไม่สาแก่ใจเท่าไหร่ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนกับปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์ต่างก็มีสายตาเฉียบคม แค่ท่ายกมือถือกาเหล้าก็อาจจะทำให้พวกเขามองเบาะแสออกแล้ว เฉินผิงอันเหม่อลอยไปไกล โดยไม่ทันรู้ตัว รอจนสติกลับคืนมาอีกครั้ง เหยาจิ้นจือกลับไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังนั่งเก็บกระดานหมากเพียงลำพังอีกครั้ง

หลูป๋ายเซี่ยงเก็บเม็ดหมากพลางพูดกลั้วหัวเราะไปด้วย “หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปเห็นนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางก้อนเมฆหลากสีแห่งนั้นกับตาตัวเองสักครั้ง ‘จะใครได้เล่นก่อน ข้าก็ล้วนเป็นผู้คว้าชัยชนะ’ ช่างเป็นคำกล่าวที่ดียิ่งนัก ทำให้คนเลื่อมใสหวังจะทำได้เหมือน”

เฉินผิงอันหลุดปากพูดออกไป “ข้ามี…ลูกศิษย์คนหนึ่ง เล่นหมากล้อมได้เก่งมาก วันหน้าหากพวกเจ้าเจอกันก็ลองแลกเปลี่ยนความรู้กันดูได้”

เด็กหนุ่มชุยฉาน หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าชุยตงซาน คือนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่เคยได้เล่นหมากล้อมกับเจ้านครจักรพรรดิขาวมาแล้วถึงสิบตา

แต่ว่าการยอมรับชุยตงซานเป็นลูกศิษย์ถือเป็นความจนใจของเฉินผิงอัน เพราะจะให้เรียกอีกฝ่ายว่าเป็นสหายก็คงไม่ได้

แต่หลูป๋ายเซี่ยงกลับไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังมากนัก สุยโย่วเปียนก็ดี เหยาจิ้นจือก็ช่าง การเล่นหมากทั้งสองตาล้วนไม่อาจทำให้เขาลงแรงได้ถึงเจ็ดแปดส่วน เพียงแต่ว่าสุยโย่วเปียนนั้นแพ้จริงๆ แต่เหยาจิ้นจือกลับอำพรางฝีมือเอาไว้ ทว่าต่อให้นางลงแรงอย่างเต็มกำลังก็ยังต้องแพ้อยู่ดี หลูป๋ายเซี่ยงค่อนข้างภาคภูมิใจในฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนอย่างมาก เวลาหนึ่งร้อยปีในยุทธภพที่ผ่านมายาวนานนั้น หลูป๋ายเซี่ยงในฐานะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร นอกจากจะมีวรยุทธ์ที่สูงส่งเด่นนำทุกคนไปไกลแล้ว การเล่นหมากล้อมก็ไร้ศัตรูทัดเทียมเช่นกัน

สิ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริงกลับเป็นข้อที่ว่า เฉินผิงอันอายุไม่มาก อีกทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่เหตุใดเขาถึงมีลูกศิษย์เป็นของตัวเองแล้ว

พูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของเขตการปกครองแห่งนี้กันสองสามคำ หลูป๋ายเซี่ยงก็เอากระดานและกล่องเก็บเม็ดหมากไปคืน เฉินผิงอันจึงนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง

ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดูจากเส้นทางการเดินของขบวนเดินทาง ไปถึงท่าเรือนอกเมืองเซิ่นจิ่งก็น่าจะเพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวพอดี

ได้ยินมาว่าหลังจากที่หิมะใหญ่ตกลงมาในเมืองเซิ่นจิ่งจะกลายเป็นภาพทิวทัศน์งดงามที่หาได้ยากในโลก

จิตใจของเฉินผิงอันสงบสุข เกี่ยวกับเรื่องของวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ตอนที่เพิ่งออกมาจากภูเขาห้อยหัวที่ว่าอีกสิบปีให้หลังต้องเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด กลายเป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ตอนนี้ถือว่าพัฒนาการของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เหนือเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้ นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับศึกใหญ่เป็นตายสองครั้งทั้งในและนอกป้อมอินทรีบิน อีกทั้งภายหลังยังมีการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลดอกบัวและโรงเตี๊ยมริมชายแดน เขาไม่เพียงแต่เลื่อนสู่ขอบเขตห้าได้สำเร็จ ยังปูรากฐานได้อย่างแน่นหนา ต่อให้ตอนนี้ฝ่าคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตหกในรวดเดียว เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกว่าย่างก้าวของตัวเองเบาหวิว

ไม่พูดถึงจ้งชิว คนอื่นๆ ที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองซึ่งมีมากมายดุจห้าขุนเขาที่กดทับอยู่เหนือศีรษะ อย่างติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคล อย่างหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน มีคนไหนบ้างที่เฉินผิงอันเอาชนะมาได้อย่างผ่อนคลาย?

เฉินผิงอันไม่กล้าคิดว่าขอบเขตหกเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดจะยากแค่ไหน ต้องมีโชควาสนาอย่างไร และต้องใช้พื้นฐานเท่าไหร่ หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดแล้วก็คือขอบเขตจำแลงขนนก ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าขอบเขตเดินทางไกล คือหนึ่งก้าวสู่สวรรค์อย่างแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนเซียนบนภูเขา

ขอบเขตที่เก้าของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เมื่อบวกกับขอบเขตปลายทางที่แท้จริงซึ่งถูกเก็บไว้เป็นความลับแล้ว รวมทั้งสิ้นก็มีสิบขอบเขต

ขอบเขตที่แปดเดินทางไกลเป็นขอบเขตที่เฉินผิงอันปรารถนาอยากจะทำสำเร็จมากที่สุด

ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดและเย็นฉ่ำ เฉินผิงอันที่ต่อให้ตอนอยู่บนหลังม้าก็ยังฝึกปราณกระบี่สิบแปดหยุดทำตัวขี้เกียจอย่างที่หาได้ยาก เขาเอาแต่นั่งดื่มเหล้าเหม่อลอยอยู่ในศาลาอย่างนั้น

จนกระทั่งเหยาเจิ้นและหลานสาวอย่างเหยาจิ้นจือเดินมา เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เห็นว่าสีหน้าผู้เฒ่าไม่ค่อยดีนัก เหยาจิ้นจือเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเจ้าเมืองของที่แห่งนี้พูดคุยแต่เรื่องในอดีตตอนอยู่บนสนามรบกับท่านปู่ ท่านปู่จึงดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ ทว่าหลังจบงานเลี้ยงเขากลับส่งคนนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ที่จุดพักม้า ความหมายก็คือหวังว่าเมื่อท่านปู่ไปถึงเมืองหลวงแล้วจะช่วยดูแลเขาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาในราชสำนักบ้าง ทำเอาท่านปู่โมโหไม่น้อย”

เหยาเจิ้นตบเข่าเบาๆ สีหน้าผิดหวัง พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คิดถึงปีนั้นเขาช่างเป็นคนหนุ่มที่ดียิ่งนัก มีชีวิตชีวา ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรม ยามลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูก็ไม่เคยขลาดกลัว เหตุใดเมื่อมาอยู่ในวงการขุนนางได้แค่สิบกว่าปีถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”

เหยาจิ้นจือเอ่ยยิ้มๆ “ท่านปู่ สิบปีก็ไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว เพิ่งสวมหมวกดำลงบนศีรษะ ปณิธานก็พลันแปรเปลี่ยน เพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในที่ว่าการ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน” (หมวกสีดำเปรียบเปรยถึงตำแหน่งขุนนาง กลอนสองท่อนนี้คล้ายสุภาษิตคางคกขึ้นวอของไทย)

เหยาเจิ้นแค่นเสียงเย็น “วาดงูเติมหาง! อยู่ในราชสำนัก อย่าหวังเลยว่าข้าจะช่วยเจ้าเด็กนี่พูดในสิ่งที่ผิดต่อความตั้งใจเดิมแม้แต่ครึ่งคำ”

เหยาจิ้นจือถามยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เขาไม่มอบของขวัญ แล้วท่านปู่ก็จะยอมช่วยเขาพูดดีๆ เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตอย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ ในเมื่อไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรท่านปู่ก็ไม่มีทางช่วย เขาก็ไม่สู้ลองเดิมพันดูสักตั้ง ลองเดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่รู้แล้วว่าการอยู่ในวงการขุนนางทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านก็จะต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม เดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่เข้าไปอยู่ในที่ว่าการของกรมกลาโหมแล้วจะรวบรวมสมัครพรรคพวกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกขุนนางในเมืองหลวงผลักไส ถึงเวลานั้นเมื่อท่านต้องเดียวดายไร้คนช่วยเหลือ อีกทั้งสถานการณ์ยังบีบบังคับ ไม่แน่ว่าชื่อแรกที่ท่านปู่นึกถึงอาจจะเป็นชื่อของเจ้าเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้”

เหยาเจิ้นยิ้มจืดเจื่อน

เฉินผิงอันไม่ได้พูดแทรก แต่การที่ปู่หลานสองคนยินดีพูดถึงกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางที่สลับซับซ้อนเหมือนไส้พันกันหลายขดต่อหน้าคนนอกอย่างเขา เฉินผิงอันย่อมมองเป็นความรู้ที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ จึงตั้งใจรับฟังเอาไว้

ขอแค่ข้ามผ่านแม่น้ำหมายเหอที่ทอดขวางอาณาเขตของต้าเฉวียนเส้นนั้นมาได้ก็เท่ากับว่าเดินขึ้นเหนือไปได้ครึ่งทางแล้ว

ยามสนธยาของวันนี้ขบวนเดินทางตระกูลเหยาหยุดพักค้างแรมที่จุดพักม้าชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำหมายเหอ ห่างจากแม่น้ำหมายเหอแค่ครึ่งลี้เท่านั้น เหยาเจิ้นจึงชวนเฉินผิงอันไปเดินเล่นชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำด้วยกัน

อาหารที่กินบนโต๊ะเมื่อครู่ ปลาหลีแม่น้ำหมายเหอรสชาติสุดยอด ปลาหลีในแม่น้ำใหญ่สายนี้มีเกล็ดสีทองหางสีแดง ไม่ว่าจะเอามานึ่ง ผัดเปรี้ยวหวานหรือตุ๋นก็ล้วนไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย สดใหม่หวานนุ่มอย่างถึงที่สุด คือหนึ่งในของบรรณาการของราชวงศ์ต้าเฉวียน

น่าเสียดายที่ศาลเทพวารีของแม่น้ำหมายเหอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักอยู่ห่างจากจุดพักม้าและท่าเรือไปค่อนข้างไกล ห่างจากที่นี่ถึงสามร้อยกว่าลี้ นักประพันธ์ของหลายแคว้นในประวัติศาสตร์ล้วนเคยทิ้งลายน้ำหมึกอันล้ำค่าไว้บนผนังของศาลเทพวารีแห่งนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดสามารถย้อนไปเมื่อหกร้อยปีก่อน อีกทั้งยังมีบทกลอนบทขับร้องของนักประพันธ์ในยุคสมัยที่แตกต่างกันจำนวนมากที่เขียนถามตอบก่อนหลัง เติมเต็มซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการงัดข้อกันอย่างลับๆ ในหัวข้อเดียวกัน บวกกับคำวิจารณ์ของปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงในรุ่นหลัง ทำให้ศาลเทพวารีส่องแสงรุ่งโรจน์ เปี่ยมไปด้วยประกายสีสันแห่งบทประพันธ์ ชะตาบุ๋นเข้มข้นจนเหนือกว่าศาลบุ๋นของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ

คนที่ออกมาเดินเล่นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เหยาเจิ้นที่เป็นผู้นำเดินเคียงบ่าอยู่กับเฉินผิงอัน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าตามมาด้านหลัง

ข้ารับใช้ต้าเฉวียนสองคนที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเดินอยู่กับ ‘สามจือ’ แห่งสกุลเหยา

ผู้ฝึกตนสองคนนี้คืออาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง เนื่องจากครั้งนี้แฝงตัวมาในขบวนจึงไม่ได้สวมชุดลัทธิเต๋าที่สะดุดตา แต่กลับพกดาบของทหารในกองทัพเพื่ออำพรางสายตาคนอื่น ตลอดทางมานี้อาจารย์และศิษย์สองคนวางตัวห่างเหินจากทุกคน นักพรตหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก บุคลิกสุภาพอ่อนโยนคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ที่เดินออกมาจากตระกูลเศรษฐีร่ำรวย

เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสี่คนต่างก็เผยตัวพร้อมกันอย่างที่หาได้ยาก

เหยาเจิ้นชอบคบค้าสมาคมอยู่กับเฉินผิงอันจริงๆ แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะไม่ได้พูดอะไร แม่ทัพผู้เฒ่าที่เวลาอยู่ในตระกูลและในกองทัพต่างก็ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อมาอยู่กับเฉินผิงอันกลับคุยเก่งขึ้นมา ตอนนี้เขากำลังอธิบายถึงระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพวารีเทพภูเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียนให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่านอกจากองค์เทพแห่งห้าขุนเขาแล้ว ก็เป็นเทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งนี้ที่ระดับขั้นสูงสุด คือฟู่จวินใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่เพียงแต่สามารถบุกเบิกพื้นที่สร้างจวนขึ้นได้ด้วยตัวเอง ขนาดของจวนยังเท่าเทียมกับอ๋องเจ้าเมืองในโลกมนุษย์ด้วย

เพียงแต่ว่าจวนเทพวารีมักจะปิดประตูอยู่ตลอดทั้งปี เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแทบไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร สองร้อยปีที่ผ่านมาเคยมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาเผยร่างจริง ส่วนใหญ่แล้วจะผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนเจียวหลงที่ว่ายวนอยู่ในเมฆหมอกมากกว่า เนื่องจากควันธูปรุ่งโรจน์เกินไป อีกทั้งยังเหนือกว่าทวยเทพห้าขุนเขาที่สืบทอดระบบดั้งเดิมซึ่งได้รับการเคารพบูชามากที่สุดด้วย ทุกครั้งที่มีงานประจำปี คนหลายแสนคนจากเหนือจรดใต้ต่างก็ต้องมารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำหมายเหอ เป็นเหตุให้เทวรูปร่างทองของเขาที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพวารีคล้ายตั้งอยู่ท่ามกลางไอน้ำตลอดทั้งปี

เหยาเจิ้นพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “ขอแค่ทุกครั้งที่เจอกับภัยแล้ง ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาขอฝนที่ศาลเทพวารีด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่สามารถมาได้ด้วยตัวเองก็ต้องส่งเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวท่านหนึ่งให้ลงใต้มาพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการ เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก เขาแทบจะไม่เคยทำให้ชาวบ้านต้าเฉวียนผิดหวังเลย”

พอได้ยินเหยาเจิ้นพูดเช่นนี้ เฉินผิงอันก็เริ่มเสียดายที่ไม่ได้เดินทางผ่านศาลเทพวารีแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงได้ดื่มเหล้าบ๊วยพลางใช้มีดสลักทุกสิ่งที่พบเห็นลงไปในแผ่นไม้ไผ่

เดินตามแม่น้ำหมายเหอที่ระลอกคลื่นซัดกลิ้งหลุนๆ ไปประมาณสี่ห้าลี้ พวกเขาก็เจอเข้ากับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมตลิ่งเหม่อมองไปที่แม่น้ำ

เหยาเจิ้นหันกลับไปมองข้ารับใช้ผู้เฒ่า ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเบาๆ แม่ทัพผู้เฒ่าถึงได้ก้าวยาวๆ เข้าหาผู้เฒ่าคนนั้น

สีหน้าของผู้เฒ่าทึ่มทื่อ แต่ลักษณะท่าทางยังแข็งแรงปราดเปรียว เพียงแต่ว่าตกใจกลุ่มของเหยาเจิ้นที่เดินมาจึงลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงเพราะกลืนน้ำลายลงคอ หลังจากเอ่ยเรียกว่าท่านขุนนางอย่างขลาดๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรวางมือสองข้างไว้ตรงไหนจึงจะดี

เหยาเจิ้นเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชาย บอกผู้เฒ่าว่าไม่ต้องตื่นเต้น จากนั้นก็ถามชวนคุยว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ผู้เฒ่าไม่กล้าปิดบังจึงตอบทุกคำถามตามความจริง คำตอบสุดท้ายของเขาทำให้ทุกคนตื่นตะลึง ที่แท้นอกจากผู้เฒ่าจะเป็นชาวไร่ชาวนาแล้วยังทำอาชีพช่วยคนงมศพอีกด้วย เขาจำเป็นต้องมาวนเวียนอยู่แถวแม่น้ำเป็นประจำ ตามกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่สืบทอดกันมา คนที่ทำอาชีพเช่นเขาเรียกตัวเองว่าผีพรายน้ำ

เหยาเจิ้นสงสัยใคร่รู้จึงสอบถามเรื่องผีพรายน้ำกับเรื่องการงมศพอย่างละเอียด ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย น่าจะเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้พูดลำบาก กลัวว่าหลังจากผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเหล่านี้ฟังแล้วจะรังเกียจ เหยาเจิ้นจึงเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟังไปอีกรอบ ผู้เฒ่าถึงได้พูดเรื่องประเพณีท้องถิ่นบางอย่างและวิธีการมากมายที่ไม่มีใครรู้อย่างติดๆ ขัดๆ ที่แท้คนพายเรืออย่างพวกเขาที่เรียกว่าผีพรายน้ำนี้ถูกคนจ่ายเงินจ้างให้งมหาศพในแม่น้ำ หรือไม่หากเจอศพแล้วเอาขึ้นมา ถ้ามีคนมาตามหาศพ พวกเขาไม่สามารถเรียกร้องเงินทองได้ หากคนเหล่านั้นยินดีให้ก็รับไว้ แต่ถ้าไม่ให้ก็ต้องปล่อยไป คิดเพียงว่าเป็นการสั่งสมบุญกุศลในโลกแห่งความตาย ไม่อย่างนั้นไออัปมงคลจะติดตัวไปอย่างน้อยก็สามปี แต่หากญาติของศพไม่ยอมให้เงิน แล้วยังไม่ยอมเลี้ยงข้าวสักมื้อ รับรองว่าก็ต้องซวยเหมือนกัน

คงเป็นเพราะเห็นว่าใบหน้าของเหยาเจิ้นและเฉินผิงอันต่างก็เป็นมิตร พอได้ลองพูดแล้ว ผู้เฒ่าก็เริ่มไร้พันธนาการ ภาษาทางการต้าเฉวียนที่ตอนแรกฟังคลุมเครือเริ่มไหลรื่นมากขึ้น เป็นฝ่ายเล่าให้เหยาเจิ้นฟังถึงความพิถีพิถันในการงมศพ ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าท่าทางซื่อๆ ก็ยกยิ้มไปด้วย “ใต้เท้าคงไม่รู้ หากผู้ชายจมน้ำตาย หน้าจะคว่ำเข้าหาน้ำ แต่หากเป็นสตรีจะแหงนหน้าขึ้น เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น มองไปจากบนฝั่งก็รู้แล้วว่าเป็นชายหรือหญิง พอลากขึ้นฝั่งมาแล้ว หากไม่มีคนมารับศพก็ต้องช่วยฝังพวกเขาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากศาลท่านเทพวารีไปไม่ไกล จากนั้นค่อยไปจุดธูปสามดอกในศาล แล้วขอผ้าแดงเส้นหนึ่งมาจากนอกศาล เอามาพันไว้ที่ข้อมือ ก็จะถือว่าได้ทำความดี วันหน้าย่อมต้องได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน”

ผู้เฒ่าชำเลืองตามองผิวน้ำแม่น้ำหมายเหอแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม “แต่มีสองอย่างที่งมไม่ได้ อย่างแรกคือคนที่หลังจากตายแล้วยืนตัวตรงอยู่ในแม่น้ำ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง พวกเราก็ไม่อาจไปลากขึ้นฝั่งได้ หากเส้นผมลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด ต่อให้คนจ้างจ่ายเงินมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่กล้าไปงม อีกอย่างก็คือพวกคุณหนูในตระกูลใหญ่ที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หากใช้ไม้ไผ่ลากมาสามครั้งแล้วยังไม่สามารถเอาขึ้นเรือได้ พวกเราก็จะไม่สนใจอีก เพราะหากศพนั้นโดนมือก็ล้วนไม่มีใครได้เจอเรื่องดี”

ตอนแรกเผยเฉียนยังฟังอย่างเพลิดเพลิน แต่ตอนหลังนางกลับรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ไม่กล้ามองแม่น้ำหมายเหออีกแม้แต่ครั้งเดียว

ผู้เฒ่าคลายหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม ยิ้มซื่อๆ “วันใดที่จะไม่เป็นผีพรายน้ำแล้วก็ต้องหาช่วงเวลาที่แสงแดดส่องเจิดจ้ามาล้างมือที่ริมแม่น้ำ ถือเป็นการบอกกล่าวนายท่านเทพวารี”

เหยาเจิ้นพยักหน้ารับ ก่อนถามว่า “ตลอดหลายปีมานี้พี่ชายงมศพมามากน้อยแค่ไหนแล้ว?”

ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้วล่ะ”

เหยาเจิ้นกล่าวเสียงหนัก “คนทำดีย่อมได้ดี พี่ชายอย่าได้รู้สึกว่าอาชีพงมศพนี้น่าอับอาย ทำบุญสั่งสมคุณความดีเป็นเรื่องดีนักล่ะ”

ผู้เฒ่ายิ้มเขินอาย “ใต้เท้าต้องเป็นขุนนางที่ดี เป็นนายท่านผู้เฒ่าฟ้าสีครามสดใสแน่ๆ” (ฟ้าสีครามสดใสมาจากคำว่าชิงเทียน เป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงตรง ยุติธรรม ดั่งเปาบุ้นจิ้นก็ถูกเรียกว่าเปาชิงเทียน)

นี่คือการชมเชยที่ผู้เฒ่าตั้งใจเค้นสมองคิดที่สุดแล้ว

เห็นว่าสีท้องฟ้าเริ่มมืดลง เหยาเจิ้นก็บอกลากับผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้ม

เฉินผิงอันบอกว่าจะอยู่ต่ออีกสักครู่

ถึงท้ายที่สุดจึงเหลือแค่ผู้เฒ่าคนงมศพ เฉินผิงอัน เผยเฉียนและจูเหลี่ยน คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนกลับไปที่จุดพักม้ากันหมด

จูเหลี่ยนเลียบแม่น้ำต่อไปอีกครั้ง

เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายผู้เฒ่า ยื่นส่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าไปให้ด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงดื่มเหล้าได้ไหม?”

ผู้เฒ่ารีบโบกมือปฏิเสธ “คุณชายอย่าเหยียบย่ำของดีๆ เลย ท่านเก็บไว้ดื่มเองเถอะ”

เฉินผิงอันยังคงยื่นมือออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าดื่มได้”

ผู้เฒ่ายังคงไม่กล้ารับกาเหล้าไป เฉินผิงอันจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ท่านลุงอาจจะไม่เชื่อ ข้าเองก็มีชาติกำเนิดที่ยากจนเช่นกัน เคยทำงานเป็นช่างปั้นในเตาเผามาหลายปี”

ผู้เฒ่าเห็นว่าคุณชายท่านนี้ไม่มีท่าว่าจะเก็บกาเหล้าไปจึงได้แต่รับมาอย่างระมัดระวัง ชูขึ้นสูง แหงนหน้ากระดกดื่มหนึ่งคำก็รีบคืนให้กับเฉินผิงอัน

ดื่มเหล้าไปหนึ่งคำแล้ว คาดว่าเขาคงลิ้มรสชาติอะไรไม่ออกทั้งนั้น แต่ใบหน้าของผู้เฒ่ากลับเป็นสีแดงปลั่ง ท่าทางดูดีใจมาก

เฉินผิงอันดื่มเหล้าบ๊วยหนึ่งอึกแล้วถามว่า “วันนี้ท่านลุงเห็นศพลอยผ่านไปบ้างหรือไม่?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ตอนนี้น้ำในท้องน้ำแห้งขอด ไม่ง่ายหรอกที่จะเห็นศพ”

กล่าวมาถึงตรงนี้คล้ายผู้เฒ่ารู้สึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า “ไม่เห็นสิถึงจะดี”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ดื่มเหล้าไปเงียบๆ

เดิมทีผู้เฒ่าก็มีนิสัยเป็นน้ำเต้าตันอยู่แล้ว วันนี้ที่พูดคุยกับเหยาเจิ้นได้มากขนาดนั้นอาจมากกว่าคำพูดทั้งหมดที่เขาพูดในเวลาปกติตลอดทั้งปีเลยก็ได้

เฉินผิงอันมองน้ำในแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ไพล่นึกไปถึงลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูของบ้านเกิด

ผู้เฒ่าพลันหันหน้ามายิ้มพูด “ถือว่าคุณชายอดทนจนได้ดิบได้ดีแล้ว”

เฉินผิงอันเกาหัว ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร บอกว่าตัวเองไม่มีเงินก็เหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว ยอมรับว่าตัวเองได้ดิบได้ดีแล้วก็เหมือนว่าจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่

เผยเฉียนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันมีอะไรให้พูดคุยกับผู้เฒ่าคนนี้นักหนา ในใจคิดว่าเวลาเจ้าอยู่กับผู้เฒ่าเหยาที่เป็นแม่ทัพใหญ่คนนั้นก็ไม่เห็นจะพูดอะไรเลยนี่นา

คนทั้งสามเงียบงันกันไปนาน จู่ๆ ผู้เฒ่าที่นั่งยองอยู่ริมแม่น้ำก็ถอนหายใจ มองไปทางผิวน้ำของแม่น้ำหมายเหอ “หากข้าพูดจาอัปมงคลไม่น่าฟังออกไป คุณชายอย่าได้โกรธเลยนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านลุงพูดมาได้เลย”

ผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “ตอนที่บุตรชายของข้าอายุพอๆ กับคุณชายได้เจอกับคนน่าสงสารที่ไม่ควรงมขึ้นมา เขาไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม ดึงดันจะงมขึ้นมาบนฝั่ง ผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็จากไป ข้าควรจะห้ามเขาเอาไว้”

ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ใบหน้าของผู้เฒ่าไม่ได้แสดงความเศร้าโศกมากนัก

สุดท้ายตอนที่ผู้เฒ่าจากไป เขาเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันหนึ่งคำ บอกว่าสุรารสชาติดี ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยดื่มสุราที่รสชาติดีแบบนี้มาก่อน

เฉินผิงอันลุกขึ้นมองส่งผู้เฒ่าที่เดินจากไปไกลเรื่อยๆ

เผยเฉียนยังคงไม่กล้ามองไปที่ผิวน้ำ

จูเหลี่ยนเดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้ว เผยเฉียนถึงได้เริ่มใจกล้ามากขึ้น

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำ บอกให้จูเหลี่ยนพาเผยเฉียนกลับจุดพักม้าไปก่อน เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่ยอม ยืนกรานจะอยู่ข้างกายเฉินผิงอันให้ได้ จูเหลี่ยนจึงได้แต่อยู่ริมแม่น้ำเป็นเพื่อนนางต่อ

เฉินผิงอันหลับตาลงคล้ายนอนหลับ

เผยเฉียนหยิบก้อนหินขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย แต่ไม่กล้าโยนลงไปในแม่น้ำ กลัวว่าหากไม่ระวังจะขว้างไปโดนศพที่ยืนอยู่ในแม่น้ำเข้า พอนางคิดถึงภาพที่ศพของสตรีคนหนึ่งผมยาวแผ่สยายอยู่บนผิวน้ำก็ขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว เผยเฉียนขยับเข้าไปใกล้เฉินผิงอันตามจิตใต้สำนึก มือกำไม้เท้าเดินเขาไว้แน่น เริ่มท่องเนื้อหาในตำราเล่มนั้นในใจเงียบๆ เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง

จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอหรี่ตามองไปไกล

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ ภูตผีปีศาจอะไร

จูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ย่อมไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว

เงียบงันกันไปนาน ท้องฟ้ามืดครึ้ม แล้วเผยเฉียนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “บนแม่น้ำมีสะพานได้อย่างไร?”

จูเหลี่ยนอึ้งงันไปครู่ มองตามสายตาของเผยเฉียนไป สะพานอะไรกัน มีแค่คลื่นน้ำที่ไหลซัดสาดเท่านั้น

เผยเฉียนพยายามเบิกดวงตาให้กว้าง ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ “ว้าว สะพานสีทอง!”

จูเหลี่ยนชำเลืองมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน แต่ก็ยังไม่เห็นความผิดปกติใดๆ

ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่คิดว่านังหนูนิสัยพิลึกพิลั่นคนนี้กำลังพูดจาเลื่อนเปื้อน ต่อให้เจ้าโกหกว่าบนแม่น้ำมีศพลอยมาก็คงน่าเชื่อกว่าบอกว่าบนแม่น้ำมีสะพานสีทองกระมัง

เผยเฉียนรู้สึกสงสัย สีหน้าเลื่อนลอย

เพราะเหมือนนางได้ยินเสียงท่องหนังสือของเฉินผิงอัน และเนื้อหาที่เฉินผิงอันท่องก็เป็นบทที่เขาบอกให้เผยเฉียนท่องจำขึ้นใจพอดี นี่คือสิ่งเดียวที่เฉินผิงอันเรียกร้องให้นางจดจำเว้นจากตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้น อีกทั้งยังตั้งใจใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนลงไปช่วงท้ายของตำราเล่มนั้นด้วย ดังนั้นเผยเฉียนจึงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง

เขาไม่เคยเต็มใจจะอธิบายหลักการเหตุผลใดๆ กับนาง เฉินผิงอันแค่พูดหลักการนอกตำรากับเฉาฉิงหล่างเท่านั้น เผยเฉียนจึงรู้สึกว่าประโยคนี้คือจุดเดียวที่นางเหนือกว่าเจ้าหนอนหนังสือน้อยผู้นั้น

เวลานี้นางที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจึงท่องบทนั้นออกมาเสียงดัง

คือประโยคที่ว่า “กลุ่มดาวบนฟ้าเคลื่อนโคจร ตะวันจันทราผลัดกันส่องแสง สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนควบคุมอากาศ หยินหยางเปลี่ยนแปลงหมื่นสรรพสิ่ง ลมฝนพร่างพรมทุกหย่อมหญ้า…”

คือประโยคที่ว่า “วิญญูชนไม่หุนหันพลันแล่น ทำการใดต้องมีเหตุผล วิญญูชนไม่พูดจาพร่ำเพื่อ จะพูดจาต้องมีเหตุผล วิญญูชนไม่ละโมบ ต้องแสวงหาในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม วิญญูชนไม่ประพฤติตัวจอมปลอม ต้องประพฤติตัวมีคุณธรรม!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!