บทที่ 349 คิดถึงเจ้าแล้ว
ตระกูลเหยาทำอะไรรอบคอบ ที่จุดพักม้าจึงมีคนรอเฉินผิงอันอยู่ จูเหลี่ยนเองก็อยู่ด้วย ส่วนทหารลาดตระเวนหนุ่มน้อยอย่างเหยาเซียนจือก็ยิ่งทำหน้าหนาดึงดันจะอยู่รอเฉินผิงอันให้ได้
เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยทหารเก่าแก่ตระกูลเหยาสองคนนั้น ทหารเก่าแก่ทั้งสองหัวเราะร่า คนหนึ่งในนั้นรีบโบกมือบอกว่าคุณชายเฉินเกรงอกเกรงใจกันเช่นนี้ เห็นตัวเองเป็นคนนอกเกินไปแล้ว รับมิได้ๆ
สายตาที่เหยาเซียนจือมองเฉินผิงอันเหมือนสายตาที่มองแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการซึ่งกลับมาจากสนามรบพร้อมกับชัยชนะ ทำเอาเฉินผิงอันงุนงงไม่เข้าใจ
คนทั้งกลุ่มขี่ม้าไล่ตามขบวนใหญ่ไป เผยเฉียนนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับเฉินผิงอัน เด็กหญิงมีความสุขอย่างมาก ส่วนทางฝ่ายแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นก็ได้บอกให้ขบวนรถม้าเดินทางกันไปช้าๆ ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มองเห็นเงาร่างของขบวนใหญ่
เมื่อได้พักผ่อนรักษาตัวในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้รับยาวิเศษจากองค์ชายท่านหนึ่ง บาดแผลฉกรรจ์ของเหยาเจิ้นที่ถูกนักฆ่าทำร้ายจึงแทบจะหายสนิทแล้ว อีกทั้งการเดินทางขึ้นเหนือในวันนี้ยังชะลอฝีเท้าม้า เมื่อได้รับความเห็นชอบจากเหยาจิ้นจือ เขาจึงออกจากรถม้ามาขี่ม้าแทน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้เฒ่าที่เข่นฆ่าสังหารอยู่บนหลังม้ามาเกินครึ่งชีวิต ตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็เคยชินกับการเร่งกรีฑาทัพด้วยระยะทางอันยาวไกลอยู่แล้ว ต่อให้นอนหลับบนหลังม้าก็ไม่มีทางร่วงลงมา วันนี้ได้ขี่ม้าเคียงข้างเฉินผิงอัน ทิวทัศน์ข้างทางก็งดงามชวนให้คนมองสบายตา ได้พูดคุยกับผู้มีพระคุณน้อยของเขา อีกฝ่ายเล่าเรื่องทัศนียภาพในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอให้ฟัง เหยาเจิ้นจึงอารมณ์ดีมาก หัวเราะเสียงดังกังวานอย่างสดชื่น
เฉินผิงอันขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าช่วยขอแผนที่ของช่วงลำคลองหมายเหอจากทางการมาให้เขาแผ่นหนึ่ง เหยาเจิ้นไม่ถามไถ่สักคำก็รับปากทันที
เผยเฉียนถูกเฉินผิงอันไล่ให้เข้าไปนั่งในรถม้าแล้ว ได้อยู่ร่วมห้องโดยสารกับสุยโย่วเปียนอีกครั้ง ฝ่ายหลังนั่งขัดสมาธิหลับตา วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า แผ่กลิ่นอายของความเคร่งขรึมจริงจัง
เผยเฉียนไม่เคยชอบผู้หญิงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งผู้นี้เลย เห็นใครก็ทำท่าเหมือนว่าคนอื่นติดเงินนางหลายสิบตำลึงอย่างนั้นแหละ วันๆ เอาแต่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งให้ใครดูกัน ระวังเถอะปีหน้าจะกลายเป็นยายแก่หน้าย่น
ก่อนเผยเฉียนจะเข้าไปในห้องโดยสารได้ขอพู่กันด้ามเล็กกับกระดาษเซวียนจื่อพวกนั้นมาจากเฉินผิงอัน เวลานี้นางจึงนั่งอยู่ในมุม เปิดห่อผ้าแพรออก เอาสมบัติชิ้นใหม่ใส่ไว้ในห่อผ้าอย่างระมัดระวัง ดึงตำราเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นออกมาจากด้านล่างสุด ชำเลืองตามองรองเท้าหุ้มแข้งคู่หนึ่งที่อยู่ในห่อผ้า แค่ดูก็รู้ว่าเป็นของใหม่ที่เพิ่งซื้อได้ไม่นาน แต่กลับเต็มไปด้วยดินโคลน นางแลบลิ้น รีบเก็บเข้าห่อผ้า ไม่กล้าให้ใครเห็น
จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนหงาย สองมือที่ชูขึ้นสูงของเผยเฉียนถือตำราเล่มเก่าที่เสียหายอย่างหนักเล่มนั้นพลิกเปิดกลับไปกลับมาอยู่นาน สุดท้ายก็วางลงบนหน้าแล้วหลับสนิทไป
ก่อนจะหลับ เด็กหญิงคิดถึงคำพูดของเจ้าหมอนั่น เขาบอกนางว่าวันหน้าต้องตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าเอาแต่ทุ่มเทกำลังไปที่การท่องตำราเพียงอย่างเดียว นางคิดแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เหนื่อยเกินไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำได้แน่นอน เพียงแต่พอคิดว่ามีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘พรุ่งนี้ของพรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มีมากแค่ไหน’ นางก็อารมณ์ดีจนแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
วันนี้เด็กหญิงนอนหลับสนิทฝันหวานเป็นพิเศษ
สุยโย่วเปียนลืมตาดอกท้อเรียวยาวคู่นั้นขึ้น พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นานนางก็ยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ ตบลมปราณขุมนั้นให้แหลกสลายไปในเสี้ยววินาที
คนสี่คนในม้วนภาพวาด นอกจากเว่ยเซี่ยนน้ำเต้าตันที่เดินออกมาจากกรงขังภาพวาดก่อนใครแล้ว คนอื่นๆ อีกสามคนล้วนมาเยือนใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ในวันเดียวกัน
จูเหลี่ยนเดินไปบนเส้นทางของวิชาหมัดนอกขั้นสูงสุด พอเดินไปถึงยอดบนสุดของการเรียนวรยุทธ์แล้วถึงได้เปลี่ยนจากนอกมาเป็นใน ไม่อย่างนั้นคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ถูกติงอิงสังหารกับมือผู้นี้ก็คงไม่คิดจะใช้กำลังของคนคนเดียวสังหารปรมาจารย์ใหญ่ที่เหลืออีกเก้าคน ศึกวุ่นวายที่โหดร้ายจนมิอาจทนมองครั้งนั้น จุดที่น่ากลัวที่สุดของจูเหลี่ยนอยู่ที่ว่ายิ่งเขาบาดเจ็บสาหัสเท่าไหร่ พลังสังหารเวลาที่ลงมือก็ยิ่งแกร่งกร้าวมากเท่านั้น แม้ว่าติงอิงจะโชคดีรอดชีวิตมาได้จนถึงท้ายที่สุด อีกทั้งยังได้กวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะของจูเหลี่ยนไปครอง ทว่าตลอดชีวิตของติงอิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาลกลับไม่เคยพูดถึงศึกในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนั้นกับใคร ไม่แน่ว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้นอาจมีความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนอยู่
หลูป๋ายเซี่ยงมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ไม่ว่าอะไรก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเรียนรู้ได้อย่างถึงแก่น ดังนั้นบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ์ เขาจึงเป็นดั่งมหาสมุทรที่รับมวลน้ำจากแม่น้ำร้อยสาย ข้อนี้คล้ายคลึงกับติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งในรุ่นหลังของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างมาก เพียงแต่ว่าความทะเยอทะยานของหลูป๋ายเซี่ยง หรือควรจะพูดว่าปณิธานของเขานั้นไม่ได้บ้าคลั่งอย่างบริสุทธิ์เฉกเช่นติงอิง เป็นเหตุให้หลังจากปีนั้นก่อตั้งลัทธิมารแล้ว เขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างสันโดษเพียงลำพัง ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ถึงได้ตกอยู่ในวงล้อมสังหาร เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นปรมาจารย์ของฝ่ายธรรมะที่เข้าร่วมการล้อมปราบปรามที่อบอวลไปด้วยคาวเลือด สุดท้ายขอบเขตถดถอยในศึกใหญ่ครั้งนั้น ลึกๆ ในใจของพวกเขาก็ยังอดรู้สึกเลื่อมใสหลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่หลงเหลือให้เป็นที่กล่าวถึงในยุทธภพ ก็คือคนสองคนที่ยอมสู้ตายอย่างไม่เลิกราในศึกใหญ่ครั้งนั้น พวกนางล้วนเป็นเทพธิดาจากสำนักมีชื่อเสียงที่หลงรักหลูป๋ายเซี่ยง คาดว่าที่พวกนางทำอย่างนั้นก็เพราะยอมตายเพื่อความรัก
วิถีวรยุทธ์ของเว่ยเซี่ยนหาได้ยากที่สุด เกิดมาก็มีพรสวรรค์ของคนที่เมื่ออยู่ในสนามรบหมื่นศัตรูก็มิอาจต้านทาน เชี่ยวชาญในการรับมือกับการล้อมสังหาร หนึ่งคนบุกทะลวงขบวนรบ ที่ใดที่มีมรรคา แม้พันหมื่นคนต่อต้าน ข้าก็ยังแสวงหาจะมุ่งหน้าไป เกร็ดพงศาวดารและเรื่องเล่าน่าสนใจในยุทธภพในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้แทบจะไม่มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่าสังหารตัวต่อตัวเลย
ส่วนนางสุยโย่วเปียน ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือสภาพจิตใจ อันที่จริงล้วนเหมือนผู้ฝึกบำเพ็ญตนในใต้หล้าไพศาลมากกว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ปรารถนาใน ‘ปลายทาง’ อะไร
แม้ว่าช่วงนี้สุยโย่วเปียนจะเก็บตัวอยู่ในสถานที่แคบๆ ตลอดเวลา แต่จุดที่สายตาของนางมองไปเห็นอย่างแท้จริงก็ยังคงไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นบนแผ่นฟ้า
ตอนนี้นางพยายามทดลองฝึกวิชากระบี่ที่เสี่ยงอันตรายมากวิชาหนึ่ง ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณเบาบาง ความคิดนี้เป็นดั่งการสร้างหอเรือนกลางอากาศ แต่เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลกลับแตกต่างออกไป
ขั้นตอนนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการ ‘เติมเต็มมหาสมุทร’ ของผู้ฝึกยุทธ์ เพียงแต่ว่าตัวนางเองกลับมีบางอย่างที่แตกต่าง นางกำลังจุดไฟกระพือลมอยู่ในช่วงระหว่างเอวและซี่โครง สร้างเตาหลอมกระบี่ขึ้นมาด้วยตัวเอง ใช้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงปราณกระบี่เฮือกหนึ่ง เลียนแบบลมปราณที่แท้จริงหนึ่งเฮือกของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ว่ายวนดุจมังกรเพลิงตรวจตราไปสี่ทิศ
หากสุยโย่วเปียนทำสำเร็จจะไม่เพียงแต่ได้หล่อหลอมเรือนกาย หล่อหลอมดวงจิต ยังเป็นการหล่อหลอมปราณกระบี่ให้เป็นตัวอ่อนกระบี่ ซึ่งเกือบจะเป็นเค้าโครงร่างของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แล้ว
และสำหรับทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่ สุยโย่วเปียนยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสเลยด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้ได้แล้วว่าพรสวรรค์ในการฝึกวิชากระบี่ของสุยโย่วเปียนนั้นสูงส่งแค่ไหน
หลายวันมานี้นางได้ยินบทสนทนาของคนในกองทัพตระกูลเหยามาบางส่วน พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องวีรกรรมยิ่งใหญ่เมื่อครั้งที่ผู้มีพระคุณของตระกูลเหยาอย่างเฉินผิงอันเผชิญกับนักฆ่า พูดถึงมาดผู้ฝึกกระบี่ พลังสังหารที่รุนแรงดุดันของเฉินผิงอัน และยังมีกระบี่บินที่ผลุบโผล่อย่างลึกลับ ทำให้นางชื่นชมเลื่อมใสอยากจะทำได้อย่างนั้นบ้าง
เป็นแบบนี้จึงจะดี พื้นที่มงคลดอกบัวเล็กเกินไป ไม่มีที่มากพอสำหรับกระบี่ของนาง ใต้หล้าแห่งนี้ใหญ่มากพอ สักวันหนึ่งนางจะต้องออกกระบี่ในจุดที่สูงที่สุดให้จงได้!
สุยโย่วเปียนหลับตาทำสมาธิต่ออีกครั้ง
เรื่องของการฝึกตนนี้ นางไม่มีทางแพ้ให้กับใครทั้งนั้น และเดิมทีคู่ต่อสู้ของนางก็ไม่เคยใช่พวกเว่ยเซี่ยนสามคนอยู่แล้ว
เสียงฝีเท้าม้านอกตัวรถดังเป็นระลอก ราชวงศ์ต้าเฉวียนกำลังอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด เด็กเล็กมากมายที่อาศัยอยู่ตามชนบทรายทางจะต้องหยุดเท้ามองดูขบวนเดินทางที่ผ่านไป พวกนายพรานหรือสตรีแต่งงานแล้วก็ไม่เกรงกลัวพวกเขา สายตามีแต่ความสงสัยใคร่รู้
เฉินผิงอันขี่ม้าไปข้างหน้าพลางมองชาวบ้านของต้าเฉวียนเหล่านี้
ปีนั้นข้างกายของเขามีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ในวันที่หิมะเกล็ดใหญ่ตกโปรยปรายพวกเขาผ่านด่านเข้าไปจึงได้พบกับกองทหารลาดตระเวนฝีมือเยี่ยมที่ประจำอยู่ชายแดนต้าหลีกลุ่มหนึ่ง พวกเขาผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมีระเบียบ ท่วงท่าองอาจน่าเกรงขาม พอเห็นเอกสารผ่านทางของเฉินผิงอันก็ยิ้มแนะนำว่าให้พวกเขาไปพักหลบลมหิมะที่ป้อมส่งสัญญาณไฟ
สำหรับฮ่องเต้ต้าหลี อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง รวมไปถึงซ่งจี๋ซินผู้เป็นเพื่อนบ้าน ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อพวกเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เป็นเพราะการพบกันโดยบังเอิญครั้งนั้น เฉินผิงอันถึงได้ไม่มีอคติต่อราชวงศ์ต้าหลี
ยามสนธยาของวันนี้ ขบวนเดินทางหยุดพักค้างแรมที่จุดพักม้าขนาดใหญ่ใกล้เขตการปกครองแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมในจุดพักม้างดงามมีระดับอย่างมาก อีกทั้งยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ ที่ต้นไผ่เขียวชอุ่มขึ้นเป็นพุ่มเป็นกอ
คืนนั้นเหยาเจิ้นนำแผนที่ฉบับหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังมองสำรวจแผ่นหยกอย่างละเอียด เผยเฉียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอ้าปากหาว บนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้แผ่นหนึ่ง เหตุผลก็เพราะนางได้ยินมาว่าในป่าไผ่มักจะมีผีสาว พอลมพัดมาเสียงดังซู่ๆ นางมักจะรู้สึกว่ามีผีสาวล่องลอยไปมาอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ พอเหยาเจิ้นมาเคาะประตู เผยเฉียนก็รีบวิ่งไปเปิดประตูให้ทันที แม่ทัพผู้เฒ่าเห็นว่าบนหน้าผากของแม่หนูน้อยแปะแผ่นยันต์จึงถามหาสาเหตุ ได้ฟังคำตอบก็หัวเราะฮ่าๆ บอกว่าไม่ต้องกลัว ต่อให้มีผีซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่จริงๆ เหล่าบุรุษตระกูลเหยาผู้ถือกำเนิดขึ้นมาในกองทัพต่างก็มีปราณหยางอย่างเปี่ยมล้น ต้องเป็นพวกผีต่างหากที่กลัวพวกเขาถึงจะถูก
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วจึงปลดยันต์วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง
เหยาเจิ้นทำมือกดลง บอกให้เฉินผิงอันนั่งลงคุยกัน
คนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย เฉินผิงอันก็ย่อมต้องเอ่ยขอบคุณ แผนที่ของทางการเป็นสิ่งที่ทางราชสำนักห้ามไม่ให้เผยแพร่ในหมู่ชาวบ้านอย่างเด็ดขาด ควบคุมเข้มงวดยิ่งกว่าพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยซ้ำ
เหยาเจิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ผู้ว่าฯ ของเขตการปกครองแห่งนี้ตอบรับว่องไวยิ่งนัก เป็นขุนนางมานานจนกลายเป็นขุนนางใหญ่มีอำนาจเต็มเปี่ยมในพื้นที่หนึ่งแล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่หรอก เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดว่าติดค้างน้ำใจข้ามากมายนัก จะว่าไปแล้วตอนที่ผู้ว่าฯ หลิวเห็นหน้าข้าก็มีท่าทางอึดอัดใจอย่างมาก ช่วยไม่ได้ เขามีญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานทำงานอยู่ในที่ว่าการกรมกลาโหม ก็เท่ากับว่าต้องกลายมาเป็นลูกน้องข้าแล้วไม่ใช่หรือ พอได้ยินว่าข้าขอแผนที่หนึ่งแผ่น เจ้าไม่รู้อะไร สีหน้าเขาตอนนั้นน่ะต้องเรียกว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วจริงๆ นะ”
เหยาเจิ้นยื่นมือมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “เจ้านี่นะ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ การเข่นฆ่าทั้งสองครั้ง เรื่องใหญ่ถึงขั้นตัดสินความเป็นความตาย ผู้มีพระคุณของข้าเป็นคนคล่องแคล่วฉับไวนัก แต่เหตุใดพอมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในเวลาปกติถึงได้ยึดติดกฎเกณฑ์นัก ไม่ถึงอกถึงใจ ไม่อาจหาญเอาเสียเลย”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
เหยาเจิ้นเอ่ยเบาๆ “เหยาเซียนจือ หลานชายของข้าคนนั้น หน้าบาง ไม่กล้าเปิดปาก เลยขอร้องให้ข้ามาช่วยพูดกับเจ้า หวังให้เจ้าช่วยชี้แนะเคล็ดลับในการฝึกวรยุทธ์แก่เขาเสียหน่อย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียด “หากเป็นแค่การประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้อย่างเกรงอกเกรงใจ ข้าย่อมไม่มีปัญหา แต่หากเหยาเซียนจืออยากจะได้รับผลเก็บเกี่ยวจริงๆ ข้าแนะนำให้เขาไปหาเว่ยเซี่ยน ข้าจะช่วยบอกเว่ยเซี่ยนแทนเขาให้เอง”
เหยาเจิ้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเด็กนั่นอยากจะได้แบบเกรงอกเกรงใจสักหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะประมือกับเขาดู”
เหยาเจิ้นลูบเครายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหลังจากเกรงอกเกรงใจกันแล้ว ข้าค่อยบอกให้เขาไปหาเว่ยเซี่ยนผู้นั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดี๋ยวข้าจะหาเวลาพูดกับเว่ยเซี่ยนเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็รับแผนที่แผ่นนี้มาได้อย่างสบายใจแล้ว ถึงอย่างไรการชี้แนะจากยอดฝีมืออย่างพวกเรา ต่อให้ทองพันชั่งก็หาซื้อไม่ได้”
เหยาเจิ้นตบโต๊ะ หัวเราะร่าเสียงดัง “ใช่เลย เจ้าทำตัวไร้ยางอายเหมือนตอนนี้นี่แหละถึงจะเหมือนข้าตอนเป็นหนุ่ม มิน่าเล่าพวกเราถึงได้ถูกชะตากันนัก!”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเหยเก
เหยาเจิ้นมาเยือนอย่างฮึกเหิมและกลับไปอย่างฮึกเหิม
เฉินผิงอันแผ่แผนที่ฉบับนั้นออก หยิบตราประทับอักษรแม่น้ำออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เป่าลมแล้วประทับหนักๆ ลงไปยังศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอและจวนปี้โหยวสองตำแหน่ง
แล้วเสร็จถึงได้เก็บตราประทับแม่น้ำและแผนที่กลับลงไป
จากนั้นก็อ่านแผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือที่เต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันเรียงกันแน่นขนัด ด้านหน้าและด้านหลังต่างก็สลักตัวอักษรไว้มากถึงห้าพันกว่าตัว ด้านหน้าคือบทหล่อหลอมสิ่งของของตระกูลเซียน ด้านหลังคือคำอธิบายและความเข้าใจที่เจ้าแม่เทพวารีมีต่อบทหล่อหลอมนี้
แม้ภายนอกจะบอกว่าเป็นแค่คาถาหล่อหลอมวัตถุวิชาหนึ่ง ทว่าแท้จริงแล้วกลับพูดถึงหลักของห้าธาตุ ตัวอักษรเขียนเป็นเนื้อหาสะอาดสะอ้านและมีระเบียบ จุดประสงค์ลึกล้ำยาวไกล เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าแม่เทพวารีบรรลุมาจากศิลาขอฝนแผ่นหนึ่ง นางจึงใช้น้ำซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุเป็นบทเปิด เอามาอธิบายความหมายคร่าวๆ ได้ความว่า น้ำ อวัยวะภายในทั้งห้าคือไตที่มีธาตุน้ำเป็นหลัก เครื่องหน้าทั้งห้าคือหู ประสาทรับสัมผัสทั้งห้าคือเสียง นิ้วทั้งห้าคือนิ้วก้อย ของเหลวทั้งห้าคือน้ำลาย เสียงทั้งห้าคืออวี่ (ห้าเสียงในสมัยโบราณแบ่งเป็นกง ซาง เจวี๋ย จื่อ อวี่ ซึ่งคล้ายคลึงกับเสียงสากล โด เร มี ซอล ลา เสียงอวี่ตรงกับเสียงลา) ห้าอารมณ์คือกลัว เทพห้าชนิดที่บูชาในบ้านคือบ่อ องค์เทพหลักคือเสวียนอู่แห่งทิศเหนือ
เส้นสายชัดเจน เกี่ยวพันไปถึงช่องโพรงลมปราณใดบ้าง แล้วควรจะหลอมอย่างไร ล้วนมีคำอธิบายอย่างละเอียดจากเจ้าแม่เทพวารีระบุไว้ด้านหลังของแผ่นหยก พูดได้ว่านางบอกเรื่องที่รู้หมดสิ้นอย่างไม่มีกักเก็บไว้ แม้แต่เรื่องที่คาถาเต๋าตระกูลเซียนบทนี้สามารถหล่อหลอมร่างทองและควันธูป นางก็ยังบอกกับเฉินผิงอันไว้ด้านหลังแผ่นหยกอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันอ่านอย่างตะลึงพรึงเพริด พออ่านแล้วเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่าประโยค ‘น้ำขวดทองหนึ่งหยดบนชั้นนภา’ ที่เห็นจากป้ายศิลามีความหมายยิ่งใหญ่ นั่นคือบอกว่าหลังจากฝึกคาถาบทนี้ได้สำเร็จแล้วก็เท่ากับว่าสามารถหลอมโอสถทองให้กลายเป็นแก่นน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงบำรุงอวัยวะตันห้าอวัยวะกลวงหกในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนประโยค ‘เส้นใยเต็มฟ้าดุจเครื่องทอผ้า’ นั้นคือการนำ ‘ทางเดินม้า’ ซึ่งก็คือเส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์มาเชื่อมโยงเข้าหากัน ส่วนคำว่าสี่หล้าในประโยค ‘แปรเปลี่ยนเป็นสี่หล้าเย็นฉ่ำ ปัดเป่าไอร้อนใต้หล้า’ ก็เกี่ยวพันไปถึงสี่ชั้นของหอสูงป๋ายอวี้จิงในใต้หล้ามืดสลัวของลัทธิเต๋าที่สามารถใช้มรรคกถาสี่ชนิดช่วยกำราบจิตมารให้กับผู้ฝึกตน นี่ไม่ใช่วิชานอกรีตแล้ว แต่เป็นวิชาที่ดั้งเดิมแท้จริงที่สุดของลัทธิเต๋า นี่ไม่ต่างจากเส้นทางราบเรียบที่ทอดยาวไปยังสวรรค์ซึ่งเซียนดินก่อกำเนิดทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หากได้เดินไปบนเส้นทางนี้ อาจไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป แต่นี่ก็เท่ากับว่าเซียนดินที่ ‘เดินไปถึงยอดสุดของขุนเขา’ แล้วสามารถพาดสะพานสี่แห่งไปยังสวรรค์ มีโอกาสที่จะรับประกันได้ว่าตัวเองจะไม่เดินผิดพลาดเพิ่มขึ้นมาอีกถึงสี่ครั้ง หรือจะเดินกลับไปทางเดิมก็ยังได้ อีกทั้งช่วงเวลาระหว่างการฝึกตนก็ยังสามารถบำรุงร่างกายบำรุงจิตใจไปพร้อมกันด้วย มีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่อิจฉา?
มิน่าเล่าเจ้าแม่เทพวารีถึงได้กล้าบอกว่าคาถาบทนี้ ‘หมื่นสรรพสิ่งก็หล่อหลอมได้’ เขาแน่ใจเลยว่าต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักอยู่ในชื่อ หากได้คาถาเต๋าบทนี้ไปครองก็ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักซึ่งมีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่ได้แตะต้อง
เฉินผิงอันหลับตาลง ท่องจำห้าพันตัวอักษรนั้นในใจเงียบๆ ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่มีทางเอาแผ่นหยกนี้ออกมาง่ายๆ อีกเด็ดขาด
ไม่รู้ว่าเหตุใด แค่กำแผ่นหยกไว้ในมือ เฉินผิงอันก็รู้สึกเย็นสบายไปทั่วร่าง เนื้อตัวโปร่งโล่ง อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากศึกในโรงเตี๊ยมก็ฟื้นฟูอย่างว่องไว
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ตระหนักได้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน เพียงแต่ว่าหยกชิ้นนี้เป็นหยกงามประเภทใดกันแน่ เฉินผิงอันกลับไม่รู้จัก คิดว่าวันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วอาจลองสอบถามจากเว่ยป้อดูได้
ครึ่งคืนหลัง ไอน้ำขุมหนึ่งพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งจุดพักม้า มองไปรอบด้านมีแต่สีขาวโพลน เหตุการณ์นี้ขัดจังหวะการนั่งลืมตนเข้าฌานของอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหราน ทำให้พวกเขาต้องออกมาจากห้องพร้อมกันแล้วเดินไปทางสวนดอกไม้
เฉินผิงอันเองก็หยุดท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เปิดหน้าต่างกระโดดพรวดออกไป
เมื่อได้รับการบอกเตือนอย่างเร่งร้อนจากผู้ฝึกตนติดตามกองทัพหลายคน เพียงไม่นานคนตระกูลเหยาที่อยู่ในจุดพักม้าก็พากันสวมเสื้อคลุมลุกขึ้นมาจากเตียง เหล่าทหารเก่าแก่ต่างก็สวมเสื้อเกราะถืออาวุธไว้ในมือ ท่าทางเคร่งเครียดพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรู
ในห้องของจูเหลี่ยนมืดสนิท แต่อันที่จริงผู้เฒ่าหลังค่อมกำลังเดินวนรอบโต๊ะอยู่ตลอดเวลา ฝีเท้าที่ก้าวเดินมีหลักการที่พิถีพิถันอย่างยิ่ง
สุยโย่วเปียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้นแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง
เว่ยเซี่ยนนอนตัวตรงอยู่บนเตียง สองมือกำเป็นหมัดวางทับซ้อนกันบนหน้าท้อง แน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
หลูป๋ายเซี่ยงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง
ทางฝั่งป่าไผ่ พอเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้น ทั้งอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็ถอนหายใจโล่งอก
นักพรตเป่าเจินกุมหมัดเอ่ยแสดงความยินดี “เจ้าแม่เทพวารีเลื่อนขั้นเป็นร่างทองได้สำเร็จ ขอแสดงความยินดีด้วย!”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีเรือนกายเล็กเตี้ย สวมใส่อาภรณ์งดงามหรูหราผิดไปจากปกติ นางก็คือเทพวารีลำคลองหมายเหอที่รีบรุดเดินทางมาจากจวนปี้โหยว
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต่อให้เจ้าอารามจินติ่งมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง เมื่อพบเจอกับเทพวารีลำคลองหมายเหอที่ตบะเพิ่มขึ้นพรวดพราดผู้นี้ก็ยังไม่สามารถหลุบตามองนางจากที่สูงได้อีกแล้ว ต้องรู้ว่าหากอยู่ในแถบพื้นที่ของลำคลองหมายเหอ โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้เคียงกับจวนปี้โหยวและศาลเทพวารี สตรีร่างเล็กเตี้ยผู้นี้จะมีศักยภาพเท่าเทียมกับเซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่ง
เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คราวก่อนที่จวนปี้โหยว ข้ารับรองพวกเจ้าได้ไม่ทั่วถึง นับว่าเสียมารยาทอย่างยิ่ง ข้ามาเยือนครานี้ นอกจากจะมีธุระส่วนตัวแล้ว ยังคิดจะเชิญอิ่นเจินเหรินไปเป็นแขกที่จวนข้าด้วย ข้าอยากจะขอขมาอิ่นเจินเหรินและเจินเหรินน้อยเส้าด้วยตัวเอง”
นักพรตเป่าเจินตกตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน
หนึ่งเพราะอีกฝ่ายมีสถานะไม่เหมือนในอดีต ต่อให้ร่างกายของนางจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสก่อกำเนิดครึ่งตัว สองก็เพราะจวนปี้โหยวได้ผูกความสัมพันธ์กับว่าที่อริยะจงขุยไปแล้ว ต่อให้ไม่นางสนใจสกุลหลิวต้าเฉวียน ราชสำนักก็ได้แค่ฝืนใจยอมรับ สามเพราะบุคคลระดับบนของต้าเฉวียนล้วนรู้นิสัยขี้หงุดหงิดของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอผู้นี้ดี นางยินดีแสดงท่าทีเช่นนี้ อิ่นเมี่ยวเฟิงที่เป็นแค่หนึ่งในข้ารับใช้จักรพรรดิสกุลหลิวขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งจะไม่ตกตะลึงระคนยินดีได้อย่างไร?
ต่อให้เป็นเส้ายวนหรานที่หยิ่งทระนงก็ยังอดเผยรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าไม่ได้
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์และลูกศิษย์สองคน ทักทายกับพวกเขาก่อนถึงค่อยหันไปมองเจ้าแม่เทพวารี
อิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็พากันจากไปอย่างรู้กาลเทศะ ขณะเดียวกันก็บอกให้เหล่าทหารเก่าแก่และผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพตระกูลเหยาคลายความระแวดระวังลง แล้วอิ่นเมี่ยวเฟิงก็ถือโอกาสบอกให้ทุกคนรู้ถึงตัวตนของเทพวารีลำคลองหมายเหอไปด้วย
เหยาเจิ้นคลี่ยิ้มกุมหมัดคารวะเจ้าแม่เทพวารีอยู่ไกลๆ
ข่าวลือหลากหลายอย่างเกี่ยวกับเทพวารีลำคลองหมายเหอ ต่อให้พวกเขาอยู่ที่ชายแดนก็ยังเคยได้ยินมาไม่น้อย แน่นอนว่าย่อมถูกใจแม่ทัพผู้เฒ่าอย่างยิ่ง
เจ้าแม่เทพวารีเองก็กุมหมัดคารวะกลับคืนเหยาเจิ้น เอ่ยประโยคตรงไปตรงมาที่ไม่รู้ว่าจะทำให้คนหัวเราะหรือร้องไห้ดี “วันใดท่านแม่ทัพลากลับบ้านเกิด กลับคืนไปยังชายแดนอีกครั้ง ต้องมาดื่มเหล้าที่จวนปี้โหยวของข้าให้ได้ รับรองว่ามีให้ท่านดื่มมากพอ!”
เหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือเหลือกตามองบนแทบจะเวลาเดียวกัน
เหยาจิ้นจือสวมหมวกคลุมหน้ายืนตระหง่านอยู่ข้างกายเหยาเจิ้น
สุดท้ายเจ้าแม่เทพวารีหมุนบิดข้อมือหนึ่งครั้ง เหล้าไหหนึ่งก็ปรากฏขึ้น นางโยนมันให้เฉินผิงอัน พูดโดยใช้เสียงในใจ “เก็บแผ่นหยกชิ้นนั้นเอาไว้ให้ดี เดิมทีแผ่นหยกก็เป็นของดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงระเบิดแตกเป็นผุยผงเพราะแบกรับตัวอักษรแห่งมหามรรคาพวกนั้นไม่ไหวไปนานแล้ว”
จากนั้นเจ้าแม่เทพวารีก็ไม่ได้ปกปิดอำพรางคำพูดอีกต่อไป ประโยคถัดมาของนางไม่ว่าใครก็ล้วนได้ยิน เห็นเพียงว่านางหัวเราะเสียงดังกังวานพลางกล่าวอย่างเปิดเผยว่า “ตลอดทางมานี้คิดไปคิดมาก็เกือบจะคิดว่าควรใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่แล้ว โชคดีที่ข้าอดทนไว้ได้ เหล้าบุปผาไหนี้ ตอนมาข้าดื่มไปเล็กน้อย เดิมทีคิดจะปลุกความกล้าให้กับตัวเอง คิดไม่ถึงว่าพอเข้ามาในจุดพักม้า ข้าก็ยังขี้ขลาด ไม่กล้าพูดประโยคน่าอายพวกนั้นอยู่ดี เฉินผิงอัน ขาดภรรยาที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกไปคนหนึ่ง เสียดายมากเลยใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆ โชคดีที่ยังเหลือเหล้ารสเลิศอีกเกินครึ่งไหนี้ เจ้าเอาไปดื่มดับทุกข์เถอะ!”
เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มาอย่างรีบร้อน และจากไปอย่างรีบร้อนปานกัน
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม หิ้วไหเหล้าเอาไว้ รู้สึกว่าเหล้านี่จะดื่มก็ไม่ดี ไม่ดื่มก็ไม่ดี
เหยาเจิ้นหัวเราะอย่างคนที่มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น
เหยาเซียนจือที่หลังจากนิ่งงันเป็นไก่ไม้แล้วก็ยื่นมือสองข้างออกไป ชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
เผยเฉียนยืนงงอยู่ห่างไปไกล
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่ง พาเผยเฉียนกลับไปยังที่พัก
ตอนที่คนทั้งสองแยกจากกัน เฉินผิงอันกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “วันหน้าหากเจ้าเจอกับแม่นางคนหนึ่งที่แซ่หนิง ห้ามพูดเรื่องคืนนี้ให้นางฟังเด็ดขาด!”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหาก ข้าไม่ทันระวังหลุดปากพูดไปล่ะ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงหนัก “หลังจากที่ข้าถูกซ้อมจนเกือบตายแล้ว ข้าก็จะมาซ้อมเจ้าให้เกือบตายเหมือนกัน เข้าใจแล้วหรือยัง?!”
เผยเฉียนรีบพูดเสียงดังทันที “เข้าใจแล้ว! ข้าเรียนหนังสือมาแล้ว ตอนนี้จึงเป็นคนที่แข็งแกร่งซื่อตรง ตีให้ตายก็ไม่ยอมพูด!”
ต่างคนต่างกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก
สุดท้ายก็หัวเราะ
ไม่ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอีกต่อไป แต่ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หยิบหินลับมีดก้อนเล็กๆ ที่สลักสองคำว่า ‘ไร้เดียงสา’ ไว้อย่างงดงาม และสลักสองคำว่า ‘หนิงเหยา’ ไว้อย่างน่ารักออกมา
แม่นางหนิง ข้าสบายดีมากๆ
ตลอดทางมานี้ได้เดินทางอีกไกลมาก พบเจอคนและเรื่องราวมากมาย
ข้าเริ่มคิดถึงเจ้าบ้างแล้ว ไม่ถูกสิ ข้าคิดถึงเจ้ามากๆ เลย