Skip to content

Sword of Coming 356

บทที่ 356 ภูเขาไท่ผิงไม่สงบสุข

บนภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดร้าง ยิ่งนานฝนก็ยิ่งตกหนัก สาดกระทบลงบนเสื้อเกราะของเหล่าทหารชายแดนต้าเฉวียนเสียงดังเป๊าะแป๊ะอย่างถี่กระชั้น

เสื้อเกราะเหล็กที่เหล่าทหารชายแดนสวมใส่กันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมีความเสียหาย เต็มไปด้วยร่องรอยขูดขีดกรีดแทงของทั้งดาบ ทวนและลูกธนู

ฝนใหม่สาดตีลงบนเกราะตัวเก่า

คนจากตระกูลสูงศักดิ์มักไม่พาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย เพื่อให้สวี่ชิงโจวและสวีถงสองคนสามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ คว้าโอกาสที่ผุดขึ้นแวบเดียวแล้วหายไปในการสังหารข้ารับใช้สี่คนของเฉินผิงอัน องค์ชายใหญ่หลิวจงจึงถอยไปอยู่กึ่งกลางภูเขาอย่างเงียบเชียบ ข้างกายนอกจากคนรู้ใจหลายสิบคนที่ติดตามเขามาตั้งแต่อยู่บนสนามรบซึ่งให้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาแล้ว เสื้อเกราะที่นักรบเดนตายเหล่านี้สวมใส่ยังหนักกว่าของทหารชายแดนที่เปิดฉากสังหารอยู่ตรงวัดร้าง ถือเป็นเสื้อเกราะเหล็กซึ่งทำขึ้นพิเศษสำหรับพลทหารราบ และยังมีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ศักยภาพโดดเด่นเหนือคนอื่นอีกสามคน คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรซึ่งสามารถใช้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่คมกริบออกมาได้ คนหนึ่งคือนักพรตที่ถนัดด้านการเขียนยันต์สร้างค่ายกล ส่วนอีกคนคือผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน

หลิวจงหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเด็ดหัวเฉินผิงอันมาให้จงได้ ทว่าเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เขาจึงไม่คิดจะพาตัวมาเสียท่าอยู่ในภูเขาเล็กๆ ไร้ชื่อแห่งนี้

ในเมื่อหวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหนคนนั้นเต็มใจพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการร้ายครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นหลิวจงก็ไม่ค่อยเชื่อใจในตัวของผู้นำเหล่าปัญญาชนในต้าเฉวียนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งผู้นี้เท่าใดนัก หากไม่เป็นเพราะเงื่อนไขที่เกาซื่อเจินเสนอมาดึงดูดใจมากเกินไป อีกทั้งยังลากเอาแม่ทัพสกุลสวี่และอารามฉ่าวมู่มาด้วย หลิวจงก็คงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงครั้งนี้ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าสมบัติของจวนปี้โหยวนั้นมีมูลค่าควรเมืองมากแค่ไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้วิญญูชนแห่งสำนักศึกษายอมผิดต่อจิตสำนึกดีชั่วของตัวเองมาเป็นคนวางแผนการล้อมสังหารในครั้งนี้

แม้จะบอกว่าหลังจากจบเรื่องหวังฉีย่อมต้องมีเหตุผลไปอธิบายกับเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู บอกว่าต้องการจับตัว ‘คนจากลัทธิมารนอกรีต’ ที่สวมรอยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิง และยังสามารถสาดน้ำโคลนใส่หัวเฉินผิงอันได้อีก ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าสงสัยว่าคนต่างถิ่นผู้นี้คือปีศาจใหญ่ที่หนีออกมาจากบ่ออเวจี แล้วเปลี่ยนแปลงรูปโฉมตัวตน ถึงได้จำเป็นต้องระดมทหารเกราะเหล็กห้าพันนายของทางทิศเหนือให้มาโอบล้อมภูเขาลูกนี้ แต่หลิวจงกลับไม่รู้สึกว่าการอธิบายเช่นนี้สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่

แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว ตอนนี้หวังฉียังคงเป็นวิญญูชนตัวจริงของสำนักศึกษาต้าฝู คำพูดของวิญญูชน ขนาดฮ่องเต้ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาหลิวจงเป็นแค่องค์ชายคนหนึ่ง การพาทหารขึ้นเขาครั้งนี้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ หลังจากที่สังหารเฉินผิงอันผู้นั้นไปแล้ว หวังฉีจะอธิบายกับทางสำนักศึกษาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เขาหลิวจงจะเข้าไปยุ่งด้วยได้แล้ว

แต่ตอนที่หวังฉีออกจากเมืองเซิ่นจิ่งมาอย่างลับๆ แล้วมาหาเขาที่ชายแดน ได้บอกให้เขาหลิวจงรู้ถึงสายลับที่หลี่หลี่ขันทีผู้คุมตรากองทัพม้าซ่อนไว้อย่างหมดเปลือก บอกตามตรง ตอนนั้นหลังจากรู้คดีของนักรบเดนตายที่กระจายตัวไปตามจวนใหญ่แห่งต่างๆ ในเมืองหลวง ในยุทธภพของต้าเฉวียน และในสำนักบนภูเขาแล้ว หลิวจงตกตะลึงอย่างหนัก ขันทีหลี่หลี่ถูกขนานนามให้เป็นโซ่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ทว่าอำนาจของเขากระจายไปไกล เส้นสายเชื่อมโยงพัวพันอยู่ทั่วต้าเฉวียนตั้งแต่เมื่อไหร่?

ในฐานะวิญญูชนที่มีคุณวุฒิสูง มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งภาคกลางของใบถงทวีป หวังฉีไปผูกสัมพันธ์กับขันทีในวังหลวงคนหนึ่งได้อย่างไร?

ต่อให้ชื่อเสียงของหลี่หลี่ในราชสำนักจะดีแค่ไหน ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ตาแก่หนังเหนียวที่ไม่มีนกเขาอยู่ในกางเกงเท่านั้น เมื่อเทียบกับเจ้าวิญญูชนหวังฉีแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

แต่หลี่หลี่ตายไปก็ดีเหมือนกัน ขันทีเฒ่าผู้นี้ชื่นชอบองค์ชายสามที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มมานานมากแล้ว น่าสงสารก็แต่เหล่าซานที่วางแผนอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปี ยอมพาตัวไปเสี่ยงอันตราย แทรกซึมเข้าไปใจกลางของเป่ยจิ้นอย่างไม่กลัวตาย กว่าจะทำลายศาลเทพวารีทะเลสาบซงเจินและจวนเทพภูเขาหวงจินติดต่อกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับพาเกาซู่อี้ไปให้คนฆ่าตายในถิ่นของตระกูลเหยา แม้แต่หลี่หลี่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในหนึ่งแคว้นก็ยังล้มเหลวในช่วงเวลาสุดท้าย ไม่ระวังเพียงก้าวเดียวก็แพ้ทั้งกระดาน คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สวรรค์อยู่ข้างข้าหลิวจงจริงๆ !

ทว่าหลิวจงกรีฑาทัพอยู่ทางชายแดนเหนือมานานหลายปี บัญชาการณ์ทหารชายแดนฝีมือดีหลายแสนนาย ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูบนสนามรบอยู่หลายครั้งยังไม่เคยหวาดกลัว แต่เขากลับค้นพบว่าวันนี้ตนตึงเครียดอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้

……

หน้าวัดร้าง เว่ยเซี่ยนยังคงทำเหมือนศึกในโรงเตี๊ยม หนึ่งคนเป็นหน้าด่าน แค่เฝ้าหน้าประตูใหญ่ไว้ให้ได้ก็พอ หากทหารเสื้อเกราะของต้าเฉวียนรุดหน้ามารนหาที่ตาย เว่ยเซี่ยนย่อมไม่เกรงใจ

สวมใส่เสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ เดิมทีก็ไม่ต้องหวาดกลัวดาบและธนูธรรมดาอยู่แล้ว แค่ปล่อยให้มันฟันผ่า สาดยิงมาโดนเสื้อเกราะก็เท่านั้น จากนั้นแค่ปล่อยหมัดหมัดเดียว ทหารชุดเกราะที่กล้าพาตัวเขามาใกล้ก็ล้วนปลิวหวือออกไปไกล ส่วนศพบางส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูวัดก็จะถูกเว่ยเซี่ยนใช้ปลายเท้าเตะให้กระเด็นออกไป ความคิดของฮ่องเต้คือ ข้างเตียงตนจะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนได้อย่างไร แต่ความคิดของเว่ยเซี่ยนในเวลานี้คือ จุดที่ตนยืนอยู่จะปล่อยให้ศพนอนเกะกะสายตาได้อย่างไร

มีเพียงแค่บางครั้งที่ลูกธนูทำขึ้นพิเศษซึ่งซุกซ่อนความลี้ลับสาดยิงเข้ามา เว่ยเซี่ยนถึงจะเบี่ยงตัวหลบ ลูกธนูเหล่านั้นทุกดอกล้วนเป็นลูกธนูเทพที่มือธนูซึ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งง้างสุดสายยิงออกมา

เมื่อเปรียบเทียบกับการเข่นฆ่าทางฝั่งของจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์แล้ว การลงมือของเว่ยเซี่ยนสามารถใช้คำว่า ‘นุ่มนวลดุจปุยฝ้าย’ มาบรรยายได้จริงๆ

เบี่ยงหลบและขยับประชิดตัว เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องกันไป ขอแค่ปล่อยให้จูเหลี่ยนขยับเข้ามาประชิดหรืออยู่ห่างแค่หนึ่งช่วงแขน ทหารชุดเกราะที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนมีจุดจบที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ทั้งสิ้น เสื้อเกราะแตกยับ ฝังเข้าไปในร่าง เลือดเนื้อปนกันเละเทะ ไม่เพียงแต่ตายคาที่ ยังตายด้วยสภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด

สนามรบที่สุยโย่วเปียนอยู่มีแสงกระบี่สาดประกายครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งกระบี่ปาดขวางออกไป ทหารชุดเกราะหลายคนรวมถึงต้นไม้ต่างก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน การเข่นฆ่าสังหารดำเนินไปถึงท้ายที่สุด รอบกายของสุยโย่วเปียนห่างออกไปไม่กี่ก้าวกลับไม่มีต้นไม้สูงเหลืออยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว

ทางฝ่ายของหลูป๋ายเซี่ยง ในมือมีเพียงหยุดหิมะสมบัติอาคมสืบทอดของสกุลหวนแห่งป้อมอินทรีบิน เดินๆ หยุดๆ บ้างก็เหยียบลงบนกิ่งไม้เหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ เรือนกายพุ่งวูบหายอยู่เป็นระยะ มีเพียงคมดาบของหยุดหิมะที่มีพายุลมกรดไหลรินเท่านั้นที่ปลดปล่อยเส้นแสงสีขาวหิมะค้างไว้อย่างยาวนานท่ามกลางม่านฝนมืดดำนี้

เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งก้านธูป ทหารยอดฝีมือของชายแดนต้าเฉวียนก็ตายไปแล้วถึงหกร้อยศพ นี่ยังเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าในผืนป่าบนภูเขาไม่สะดวกให้ทหารเหล่านั้นกรูกันเข้ามารวดเดียวด้วย

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูวัดมาโดยตลอดก้มหน้าลงแล้วคลี่ยิ้ม

คนจิ๋วดอกบัวกระโดดออกมาปรากฏตัวอยู่บนพื้นดิน มันโบกแขนเล็กๆ ที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวให้เขา ทำเสียงอือๆ อาๆ จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งให้เฉินผิงอันดู

เฉินผิงอันมองตามทิศทางที่เจ้าตัวน้อยชี้ไป นั่นคือจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาแห่งหนึ่ง ความหมายของคนจิ๋วดอกบัวก็คือมีคนสองคนยืนชมศึกอยู่ตรงนั้น ร้ายกาจอย่างมาก ขนาดมันยังไม่กล้าเข้าใกล้ภูเขาลูกนั้นมากนัก

เฉินผิงอันถามเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมกวานดอกบัว สวมชุดนักพรตเต๋าหรือไม่?”

คนจิ๋วดอกบัวส่ายหน้าโบกมืออย่างแรง

เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้มันแล้วพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เข้าไปหลบในวัดเถอะ”

คนจิ๋วดอกบัวพยักหน้ารับแรงๆ ฝีเท้าก้าวว่องไวราวกับบิน กระโดดหนึ่งครั้งก็ข้ามธรณีประตูสูงเข้าไป เห็นเผยเฉียนที่กำลังเรอเสียงดัง มันก็ไม่ค่อยเต็มใจขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายนัก ครั้งแรกที่เห็นนาง มันไม่ชอบนางสักเท่าไหร่ แต่ตอนหลังคงเป็นเพราะไม่ได้รู้สึกรังเกียจเท่าเดิม บางครั้งจึงมาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันบ้าง มีครั้งหนึ่งมันเพิ่งจะโผล่ออกมาจากดินก็ถูกเผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือเขกหัวกลับลงไป มันหลบได้ไวมาก แล้วไปโผล่หัวตรงตำแหน่งอื่น เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไล่กวดไปรอบด้าน ผลกลับถูกมันหยอกเล่นจนนางหมดเรี่ยวหมดแรง แต่ก็ไม่สามารถตีโดนมันเลยสักครั้ง สุดท้ายยังถูกเฉินผิงอันดึงหูเดินไปหนึ่งลี้ เจ็บจนนางร้องไห้จ้าเสียงดัง

เห็นเผยเฉียนทำท่าลับๆ ล่อๆ คล้ายคิดจะไปหยิบไม้เท้าเดินป่ามา คนจิ๋วดอกบัวก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ครั้งนี้มันกลับไม่กลัวนางแม้แต่น้อย จึงเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างเท้าเผยเฉียนแล้วนอนเหยียดตัวตรงลงบนพื้น

เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา ลังเลอยู่พักใหญ่ ชำเลืองตามองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่อยู่หน้าประตูวัด สุดท้ายก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าต่างหากที่เป็นตัวขาดทุน ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย วันหน้าพ่อข้าต้องเอาเจ้าไปขายแลกเงินแน่ๆ ถึงเวลานั้นข้าก็จะได้ซื้อถังหูลู่หอบใหญ่ จุ๊ๆๆ อร่อยจริงๆ”

คนจิ๋วดอกบัวโมโหเลยพลิกตัวนอนตะแคง ไม่มองหน้าเด็กหญิงผอมดำอีก

เผยเฉียนยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาจิ้มรอยบุ๋มตรงแขนของเจ้าตัวน้อย “เจ้าตัวขาดทุนน้อย วันหน้าหากเจ้ามาเป็นลูกสมุนของข้า ข้าก็จะไม่บอกให้พ่อข้าขายเจ้าแลกเงิน ดีไหม?”

คนจิ๋วดอกบัวกลิ้งตัวออกไปนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกล ท่าทางเหมือนตอนที่เฉินผิงอันนั่งอ่านหนังสืออย่างมาก

เผยเฉียนเหลือกตามองบน พูดสั่งสอนอย่างจริงใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ามีเงินมากแค่ไหน? ข้ามีกล่องใบหนึ่งที่เรียกกันว่ากล่องเก็บสมบัติ ด้านในใส่สมบัติเอาไว้มากมาย วันหน้าเจ้าต้องหัดเคารพข้าให้มากกว่านี้หน่อย เข้าใจไหม? หากเจ้าเป็นเด็กดี ยอมเป็นลูกสมุนของข้า ไม่แน่ว่าวันไหนข้าอาจแสดงความเมตตา หยิบเหรียญทองแดงสวยๆ เหรียญหนึ่งออกมาจากด้านใน โบกมือแล้วพูดเลียนแบบเหล่าเว่ยว่า ตบรางวัล!”

สีหน้าของคนจิ๋วดอกบัวไม่เปลี่ยนแปลง

เผยเฉียนจึงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าตัวขาดทุนน้อยผู้นี้ ทำไมถึงได้ไม่รู้ความเอาเสียเลย? เชื่อหรือไม่ว่าคืนนี้ข้าก็จะเรียนวิชากระบี่ล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว และทุกครั้งที่เจ้าโผล่หัวออกมาก็จะต้องทิ่มหัวเจ้าให้ปูดบวม? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าหลบอยู่ตรงไหนในใต้ดิน?”

คนจิ๋วดอกบัวเริ่มหวาดกลัวเล็กน้อยจึงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยท่าทางน่าสงสาร

เผยเฉียนรีบยิ้มประจบทันที “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า ทำไมเจ้าถึงทนการหยอกล้อไม่ได้เลยนะ?”

เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าประตูวัดเริ่มสงบใจได้แล้ว

ในเมื่อรู้ว่าบนยอดเขาลูกนั้นมีคนสองคนชมไฟชายฝั่งอยู่ อย่างน้อยก็พอจะมั่นใจได้บ้าง ไม่กลัวว่าจะถูกฆ่าตายโดยไม่ทันตั้งตัว

เขาเดาได้ว่าคนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาที่เฝ้าพิทักษ์เมืองเซิ่นจิ่ง

วิญญูชนเจิ้งเหรินเขาเคยพบเจอมาก่อนแล้ว คนผู้นั้นก็คือจงขุย

ปากอมกฎสวรรค์ของอริยะสำนักศึกษาก็เคยได้ยินมาที่หมู่บ้านกระบี่แคว้นซูสุ่ย

คิดดูแล้วครั้งนี้เขาก็แค่มาเจอกับวิญญูจนจอมปลอมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ

ความรู้เล็กหรือใหญ่ก็แน่เสมอไปว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณธรรมมากหรือน้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต่างก็กำลังฝึกตน บนเส้นทางของการบำเพ็ญตน ยิ่งเดินขึ้นจุดสูงของภูเขาไปเป็นเทพเซียน ลมฝนบนภูเขาก็จะยิ่งพัดรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งล่อลวงใจมากเท่าไหร่ อันตรายก็ยิ่งมากตามไปด้วย การที่จะรักษาจิตใจดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ตอนนั้นที่อยู่จวนปี้โหยว ได้เห็นปีศาจใหญ่ใต้ลำคลองที่เปิดฉากสังหารอยู่กับเจ้าแม่เทพวารี เฉินผิงอันก็รู้สึกประหลาดใจแล้วว่า เหตุใดทางราชสำนักถึงปล่อยปละละเลย ไม่สนใจปีศาจตัวนี้

ไม่แน่ว่าสิ่งที่วิญญูชนผู้นั้นต้องการอาจจะไม่ได้อยู่ที่หลักการของอริยะปราชญ์มานานแล้ว ไม่ได้มีความคิดที่จะอบรมสั่งสอนให้ปวงประชาทำความดี แต่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายของตัวเอง หรือไม่ก็ของนอกกายอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น…คาถาเซียนที่ ‘สามารถหล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ บนแผ่นหยกชิ้นนั้น

ทรัพย์สินของมีค่าทำให้ใจคนสั่นคลอนได้เสมอ

หากความปรารถนาในการเป็นอมตะจะทำให้จิตใจของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาท่านหนึ่งที่อายุมากแล้วหวั่นไหวจนเลือกเดินทางผิด แล้วจะแปลกอะไรเล่า

ลูกศิษย์ใหญ่ของอริยะอย่างชุยฉาน ตอนที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต ได้เป็นเซียนเหรินขอบเขตสิบสองก็เลือกเดินเส้นทางหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

แต่คนที่เฉินผิงอันกริ่งเกรงมากที่สุดกลับเป็น ‘นักพรตหนุ่มแห่งภูเขาไท่ผิง’ ที่เพียงแค่ลงมือครั้งเดียวก็ทำให้ตนตกอยู่ในอันตรายได้แล้วคนนั้น

และก็เป็นคนผู้นี้ที่เดินทางมาเยือนจุดพักม้าเมืองฉีเห้อ เป็นคนมอบป้ายหยกลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ถึงมือเฉินผิงอันด้วยตัวเอง

จนกระทั่งหลิวจงที่คิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงจึงเผยความลับออกมาเสี้ยวหนึ่ง ถึงทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

การที่คราวนี้เฉินผิงอันที่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดถูกคนผลักจนล้มเค้เก้ไม่เป็นท่า ก็เพราะก่อนหน้านี้ความรู้สึกที่เขามีต่อภูเขาไท่ผิงดีเยี่ยมมากเกินไป

สะพายกระบี่ปราณยาวเล่มที่เป็นของเฉินชิงตูผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ไว้ด้านหลังจับผลัดจับผลูเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ถงชิงชิงและฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินอาศัยกระจกทองแดงบานนั้น ร่างกายและจิตวิญญาณจึงผสานรวมเป็นหนึ่ง กลายมาเป็นนักพรตหญิงหวงถิง

ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อนางดีมาก

หลังจากนั้นก็เป็นเทียนจวินผู้เฒ่าบรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงคนนั้น เพื่อสังหารวานรขาวสะพายกระบี่ เขาถึงกับปล่อยให้กระบี่เซียนสองเล่มซึ่งประกอบกันเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาถูกทำลายลงโดยไม่เสียดาย และเพื่อช่วยดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของจงขุยเอาไว้ ก็ถึงกับยอมให้ขอบเขตตัวเองถดถอยอย่างไม่อาลัย

ความประทับใจที่มีต่อเขาจึงยิ่งดีเยี่ยม

ครั้งแรกสุดที่ได้รู้จักภูเขาไท่ผิงก็คือตอนที่ไปเยือนป้อมอินทรีบินร่วมกับลู่ไถ ทำลายแผนการร้อยปีของผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นตัวการร้ายของหายนะทุกอย่างในป้อมอินทรีบิน ผู้ฝึกตนนอกรีตขอบเขตโอสถทองผู้นั้นเกือบจะใช้ภูเขากดทับสังหารเฉินผิงอันได้สำเร็จ และพยายามจะเลี้ยงทารกผีให้ก่อกำเนิดขึ้นในหัวใจของฮูหยินแห่งป้อมอินทรีบิน ก่อนหน้านั้นนักพรตแห่งภูเขาไท่ผิงที่ไล่ฆ่าโอสถทองเฒ่าผู้นี้ก็น่าจะเป็นหวงถิงที่ยังไม่ใช้ตัวตนเจ๋อเซียนไปเยือนพื้นที่มงคล

ย้อนกลับไปนานยิ่งกว่านั้น ตามคำบอกของลู่ไถ เป็นเพราะนักพรตใหญ่ก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงคนหนึ่งที่ไร้ความหวังว่าจะได้เป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณล้วนเสื่อมโทรม เขารู้ดีว่าอายุขัยของตัวเองใกล้สิ้นสุดลงจึงเริ่มออกเดินทางท่องไปทั่วหล้า พยายามทำความดีให้แก่ล่างภูเขาให้ได้มากที่สุด

ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเกิดความขัดแย้งกับเซียนดินโอสถทองที่นิสัยดุร้ายคนหนึ่งของสำนักฝูจีเข้า ทั้งสองฝ่ายประหัตประหารกันอย่างรุนแรง ฝ่ายหลังคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายที่มีพลังชีวิตเบาบางจะเป็นถึงก่อกำเนิดท่านหนึ่ง

ถูกไล่ฆ่าไปจนถึงบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาก่อนที่จะกลายมาเป็นป้อมอินทรีบินในปัจจุบัน เขายอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย จึงร่ายใช้วิชาอัญเชิญเทพของสำนักฝูจี แต่กลับไม่ได้เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลับกลายเป็นว่าใช้แก่นเลือดแห่งชะตาชีวิตเป็นค่าตอบแทน ร่ายเวทลับเรียกร่างจำแลงของปีศาจยักษ์ใหญ่แห่งยุคบรรรพกาลตัวหนึ่งมาแทน ต่อสู้กันจนสุดท้ายตายดับตามกันไป

สู้กันจนพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองมีปราณหยินมารวมตัวกัน แทบไม่ต่างจากเศษซากสนามรบที่ฝังกระดูกของทหารหลายแสนนายเอาไว้

ถึงได้มีแผนการชั่วร้ายของผู้ฝึกตนนอกรีตโอสถทองซึ่งผลักเรือตามน้ำตามมาในภายหลัง

ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนักพรตของภูเขาไท่ผิง ไม่ว่าจะเป็นได้ยินมากับหู หรือได้เห็นมากับตาล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใส

ขนาดดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ในมือของหลูป๋ายเซี่ยงตอนนี้ก็ยังเป็นของตกทอดของเซียนดินก่อกำเนิดที่รบตายอย่างกล้าหาญคนนั้น

ดังนั้นพอได้ป้ายหยกศาลบรรพจารย์แผ่นนั้นมา เฉินผิงอันจึงไม่คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าหลังจากบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงไปจากจุดพักม้าแล้วเกิดใจอยากปกป้องเขา หรือไม่ก็เป็นจงขุยที่ช่วยพูดให้ ถึงได้ให้กระบี่บินนำของมาส่งอย่างรีบร้อน แล้วมอบหมายให้นักพรตที่อยู่บริเวณใกล้เคียงนำแผ่นหยกป้องกันตัวมามอบให้แก่เฉินผิงอัน

ตอนนี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเขาเฉินผิงอันที่คิดเองเออเอง

เฉินผิงอันปลดป้ายหยกที่หลิวจงบอกว่าเป็น ‘ของจริงแท้แน่นอน’ ชิ้นนั้นลงมา วัสดุที่ทำแผ่นหยกชิ้นนี้ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ในเวลาสั้นๆ นี้คงยากที่จะหล่อหลอมให้เป็นภาพมายาหรือทำลายไปโดยตรง จึงหมุนตัวกลับ โยนมันไปให้เผยเฉียน “เอาป้ายหยกอันนี้ใส่ไว้ในร่มกระดาษน้ำมัน จำไว้ว่าเมื่อหุบร่มแล้วอย่าเปิดออกอีก”

เผยเฉียนรับแผ่นหยกงดงามที่นางอยากครอบครองมานานเอาไว้ แล้วทำตามคำสั่งแต่โดยดี มือไม้ของนางคล่องแคล่วว่องไวไม่มีอืดอาดแม้แต่น้อย

เรื่องใหญ่จะเลอะเลือนไม่ได้

เผยเฉียนไม่กล้า กลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธนาง

มีแค่ครั้งเดียวที่เฉินผิงอันโกรธนาง หากไม่เป็นเพราะจงขุยช่วยขอร้องให้ เวลานี้ก็คงมีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่านางจะต้องถูกทิ้งให้อยู่ในโรงเตี๊ยมเก่าโทรมเมืองหูเอ๋อร์ ทุกวันต้องคอยกวาดพื้นยกน้ำเป็นวัวเป็นม้าให้สตรีที่หน้าอกแกว่งส่ายไปทั่วผู้นั้นใช้งาน

……

ลูกศิษย์เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่อยู่บนยอดเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอันพบร่องรอยของพวกเราแล้ว”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่ยี่หระแม้แต่น้อย “เดิมทีไอ้หมอนี่ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่จวนปี้โหยวเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ใช่เพราะฝีมือของเขาหรือไร ไม่อย่างนั้นนายท่านของข้าก็ไม่ต้องมารับมือกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยังไม่ประสบความสำเร็จผู้นี้หรอก ก่อนจะจากไปนายท่านเอ่ยกับข้าด้วยรอยยิ้มว่า น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่ของรางวัลเล็กๆ สิ่งที่นายท่านให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือเป็นเทพจากฝ่ายใดกันแน่ที่ยอมตัดใจมอบสมบัติซึ่งสามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ชิ้นนี้ให้เขาได้ หากไม่เป็นเพราะร้อนลวกมือเกินไป นายท่านก็เต็มใจลองไปยืมมาใช้ดูสักครั้ง แต่นายท่านกลัวว่าหากเขาลงมือ ตลอดทั้งใบถงทวีปจะสั่นสะเทือนตามไปด้วย ดังนั้นจึงอยากให้พวกเรามาลองหยั่งเชิงดูก่อน จะได้อนุมานถึงตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากเป็นฝีมือของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านใดจริงๆ หรืออาจถึงขั้นเป็นฝีมือของเทพเซียนที่เอามาใช้รับมือกับความวุ่นวายในใบถงทวีปโดยเฉพาะ…”

เพียงไม่นานชายฉกรรจ์ก็หยุดพูด เขาไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียว

หวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาเอ่ยถาม “จะเป็นอย่างไรต่อ?”

ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ “ข้าลืมไปแล้ว”

แม้หวังฉีจะไม่ซักไซ้ถามต่อ แต่อารมณ์กลับเริ่มดีขึ้น

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นี้มองว่าตัวเองเป็นแค่ปีศาจน้อยตัวหนึ่ง เป็นแค่มดตัวเล็กที่ยังไม่เลื่อนเป็นโอสถทองเท่านั้น

แต่หากปล่อยให้เขาลงน้ำ พลังการต่อสู้จะเทียบเคียงได้กับโอสถทองที่ตบะค่อนข้างอ่อนด้อยบนภูเขาเลยทีเดียว

ฝนที่เทกระหน่ำในค่ำคืนนี้คือฝนที่ตกได้ถูกเวลาอย่างยิ่ง

ก่อนหน้าจะเจอกับนายท่านก็รู้สึกว่าตัวเองคือผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่งแล้ว ยึดทะเลสาบตั้งตนเป็นราชา บัญชาพวกทหารกุ้งหอยปูปลาที่มีนิสัยดุร้ายกระหายเลือด เป็นเจ้าพ่อในท้องที่ มากไปด้วยอำนาจบารมี ภายหลังนายท่านชี้แนะไม่กี่คำ เขาถึงได้รับโชควาสนา ใช้ลำคลองหมายเหอที่ในยุคบรรพกาลเคยเป็นช่วงตอนหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเป็นเส้นทางเจียวหลงลงน้ำ แล้วตบะก็เพิ่มพรวดพราดขึ้นจริงๆ หากไม่เป็นเพราะถูกนังสตรีหน้าเหม็นของลำคลองหมายเหอสกัดขวางไว้ที่ตอนบนของจวนปี้โหยวและศาลเทพวารี สาเหตุเพียงแค่เพราะชีวิตต่ำต้อยของมนุษย์ธรรมดาไม่กี่คน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาผ่านทางไป ป่านนี้เขาคงเป็นขอบเขตโอสถทองไปนานแล้ว หากได้ลงสู่มหาสมุทรก็มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด!

เดิมทีหากสตรีผู้นั้นยินดีให้เขาเดินผ่านลำคลองหมายเหอทั้งเส้นไปได้อย่างราบรื่น นี่จะเท่ากับว่าสองฝ่ายผูกบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่ต่อกัน ในอนาคตเมื่อเขาได้บรรลุมหามรรคา ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยดุร้ายกระหายเลือดหรืออำมหิตมากแค่ไหน แต่ควันธูปครั้งนี้ย่อมต้องหาโอกาสตอบแทนคืนให้ ไม่อย่างนั้นเมื่อวิถีสวรรค์เคลื่อนโคจร บนเส้นทางการฝึกตนของเขาหลังจากนั้นก็จะปรากฎอุปสรรคอีกหลากหลายรูปแบบ เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ตกว่าทำไมสตรีผู้นั้นถึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะขวางมหามรรคาของเขา เป็นเพราะว่าตนคร่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาแค่ไม่กี่คนนั่นจริงๆ หรือ จะตลกไปหน่อยไหม? เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ยังต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เป็นความลับอยู่อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าชายหญิงที่ตกลงท้องเป็นอาหารของเขาอาจเคยมีความสัมพันธ์กับศาลเทพวารีมาก่อน นางถึงได้เกรี้ยวกราดดุจสายฟ้าฟาด ยอมให้ตัวเองขาดทุนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากไม่มีใครตายไปข้างก็ไม่ยอมเลิกรา

หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เขารู้ดีว่าตบะของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอนั้นไม่สูง เพียงแต่ว่านางหลอมอาวุธไว้มาก ระดับขั้นของอาวุธก็ดีเยี่ยม จึงอาศัยอาวุธที่มีให้เลือกใช้ไม่ขาดมือมากดหัวเขาเอาไว้ ภายหลังอยู่ดีๆ นางก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ ตอนแรกร่างทองที่เสียหายไม่เพียงแต่ได้รับการซ่อมแซม อีกทั้งระดับขั้นของร่างทองยังเลื่อนไปอีกขั้นใหญ่ ภายหลังจวนปี้โหยวก็ยิ่งมีชะตาน้ำท่วมท้นสมบูรณ์ภายในค่ำคืนเดียว กลายเป็นถ้ำสถิตแห่งเทพเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งหนึ่ง!

สิ่งที่หวังฉีต้องการก็คือคาถาหลอมวัตถุที่ ‘ชี้ตรงไปยังมหามรรคา’ บทนั้น

ในอดีตนายท่านเคยพูดกับหนึ่งวิญญูชนหนึ่งปีศาจน้ำอย่างพวกเขาว่า นั่นคือรากฐานมหามรรคาของเซียนยุคบรรพกาลท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงตรงยิ่งใหญ่ เหมาะแก่การบำเพ็ญตนของชาวลัทธิขงจื๊อเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าหากหวังฉีที่อายุขัยบนโลกมนุษย์ใกล้จะหมดลงได้มันมาครอบครอง ฝึกตนได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน ไม่แน่ว่าอาจมีหวังได้ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งด้วยก็เป็นได้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หวังฉีใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนกับจวนปี้โหยว การที่ปีศาจลำคลองอย่างเขาสร้างความวุ่นวายให้แก่ลำคลองหมายเหอ ถึงขั้นทำให้น้ำท่วมจวนปี้โหยว อีกทั้งยังทำลายร่างทองในศาลเทพวารี ก็เพราะหวังฉีหวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะรู้ดีชั่ว ไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนักต้าเฉวียน เคยมีครั้งหนึ่งที่หวังฉีถึงขั้นออกจากเมืองหลวงมา ‘เที่ยวเยือน’ ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอโดยเฉพาะ จงใจเปิดเผยวิชาอภินิหารบางอย่างของวิญญูชน ทว่าเจ้าแม่เทพวารีคนนั้นกลับทำเป็นมองไม่เห็น! ยิ่งไม่เคยร้องทุกข์ให้วิญญูชนอย่างเขาฟังแม้แต่ครึ่งคำ

หลังจากนั้นหวังฉีก็ประทานความเมตตาครั้งใหญ่ พยายามขอให้ฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียนเลื่อนขั้นจวนปี้โหยวเป็นตำหนัก นั่นก็เพราะหวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะซาบซึ้งในบุญคุณครั้งนี้ เป็นฝ่ายมอบคาถาเซียนบนป้ายศิลาขอฝนซึ่งมีแต่นางเท่านั้นที่บรรลุสัจธรรมแท้จริงของมันมาให้เขา

ทว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอกลับยังเฉยเมย ถึงขั้นป่าวประกาศว่าต้องเอาตำราของอริยะปราชญ์เหวินเซิ่งมาบูชาไว้ในศาล ร่วมกันรับควันธูปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนางก็ยอมเก็บป้ายผุๆ คำว่าจวนปี้โหยวไว้ต่อไป

เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เกลือกับน้ำมันดันไม่เข้า กลายเป็นน้ำที่เข้าสมองซะอย่างนั้น (คำว่าน้ำเข้าสมองเป็นคำด่าว่าสมองมีปัญหา แต่คำว่าเกลือและน้ำมันเข้าสมองเป็นคำชม เพราะเกลือกับน้ำมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสมัยโบราณ)

……

ภูเขาที่ตั้งวัดร้างไม่สงบสุข

ภูเขาไท่ผิงก็ไม่สงบสุขเช่นกัน

ริมลำคลองใหญ่สายหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง วันนี้ก็ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก

มีชายหญิงสองคนที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ สตรีสวมชุดผ้าแพรของชาววัง แม้จะมีหมวกคลุมปิดบังโฉมหน้า แต่แค่มองเรือนร่างและลักษณะท่าทางของนางก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสาวงามที่เป็นภัยอย่างแน่นอน

บุรุษร่างสูงเพรียว ใบหน้าผอมตอบ บนร่างสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีแดงใบหนึ่ง

หากเฉินผิงอันและเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมาอยู่ที่นี่ก็จะพบว่า นี่คือคู่นายบ่าวที่พบเจอกับพวกเขาบนสะพานเลียบริมหน้าผาท่ามกลางค่ำคืนที่พายุหิมะพัดแรงบนชายแดนเชื่อมต่อระหว่างแคว้นหวงถิงกับต้าหลีในปีนั้น

สตรีสวมชุดชาววังมีชื่อว่าชิงอิง

ครั้งก่อนหลังจากที่จากลากับพวกเฉินผิงอันสามคน ในหุบเขาแห่งหนึ่ง หญิงสาวเผยร่างจริงที่เป็นจิ้งจอกขาว เรือนกายของนางใหญ่โตดุจขุนเขา บุรุษที่เมื่ออยู่ต่อหน้านางร่างก็เล็กจ้อยเท่าเมล็ดข้าวสารเพียงแค่เอ่ยชื่อนางเรียบๆ หางจิ้งจอกของหญิงสาวที่งอกมาแปดหางแล้วก็หายไปหางหนึ่ง

นางเรียกบุรุษว่า “นายท่านป๋าย”

เวลานี้บุรุษผู้นี้เงยหน้ามองไป ท่ามกลางก้อนเมฆหลากสีมีนครจักรพรรดิขาวอยู่แห่งหนึ่ง ผู้นำแห่งลัทธิมาร เจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นนักเล่นหมากล้อมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ธงผืนหนึ่งที่ปักตระหง่านเขียนคำว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้เจ้านครท่านนั้นลดธงลงได้ ช่างมากบารมีเสียเหลือเกิน

บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีหอแก้วแห่งนั้นแล้ว”

หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายท่าน ได้ยินว่าคนที่ชอบสวมชุดคลุมเต๋าสีชมพูผู้นั้นเลื่อมใสนายท่านมานานมากแล้ว”

บุรุษแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะดึงสายตากลับมาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ดุจเดิมว่า “เจ้านครไม่ต้องออกมา ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”

จิตใจของสตรีสวมชุดชาววังเริ่มฮึกเหิม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!

คนที่สามารถทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาวออกจากนครได้ ตลอดพันปีที่ผ่านมานี้มีเพียงคนเดียว!

มีเพียงลูกศิษย์คนนั้นของเหวินเซิ่งเท่านั้น

แต่นายท่านป๋ายของนางกลับปฏิเสธไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้!

บุรุษเดินเลียบริมลำคลองสายใหญ่ที่เป็นดั่งแม่น้ำหวงเหอไหลบ่าลงมาจากสวรรค์อย่างเนิบช้า เขาถอนหายใจเบาๆ พูดกับนางว่า “เจ้าไปที่อื่นสักครู่”

สตรีสวมชุดชาววังใจเต้นรัว แต่ไม่กล้าถามมาก รีบทะยานจากไปทันที

บุรุษยืนอยู่ที่เดิม

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อใบหน้าเคร่งขรึมมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายบุรุษ ประสานมือคารวะ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ลวี่สี่แห่งสถานศึกษาหลี่จี้คารวะนายท่านป๋าย”

บุรุษสีหน้าไร้อารมณ์

ลวี่สี่

ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้หนึ่งในสามสถานศึกษาใหญ่ของลัทธิขงจื๊อแห่งใต้หล้าไพศาล

อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าเทวรูปต้องถูกตั้งอยู่ในศาลบุ๋นเคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์

ทว่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่เกือบเข้าใกล้สามอมตะเต็มทีผู้นี้กลับยังปฏิบัติต่อบุรุษคนหนึ่งที่เดินทางไกล ช่วงนี้เพิ่งเดินทางจากแจกันสมบัติทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างนอบน้อมขนาดนี้

ลวี่สี่กลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเอ่ยเช่นไร

เพราะลำบากใจเกินไป เรื่องที่เขาจะนำมาปรึกษาอีกฝ่ายนั้นใหญ่เกินไปมากจริงๆ

บุรุษร่างสูงเพรียวที่ดูเหมือนว่าทุกคนที่รู้ตัวตนของเขาล้วนชอบเรียกเขาว่า ‘นายท่านป๋าย’ พึมพำขึ้นกับตัวเอง “ปีนั้นข้าบอกชื่อจริงของปีศาจใหญ่ทั้งหมดในโลกแด่อาจารย์น้อยผู้นั้น ช่วยให้เขาสร้างเก้ากระถางใหญ่ไว้บนยอดเขาใหญ่เก้าแห่ง เพราะหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”

“หลังจากนั้นมา หมื่นปีศาจใต้หล้าก็เริ่มจำศีล ถอยกลับเข้าไปอยู่ในป่าบนภูเขา เก็บตัวเงียบไม่เผยกาย เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าถึงได้เดินขึ้นเขาฝึกตน ถึงได้มีเทพเซียนบนภูเขา ถึงได้มีทัศนียภาพงดงามเต็มไปด้วยสีสันของฟ้าดินแถบนี้”

“ปีนั้นอาจารย์น้อยที่เพิ่งจะได้รับคุณความดีด้านการมีมนุษยธรรมผู้นั้นสัญญากับข้าเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อปวงประชาด้วยความสุภาพ ลัทธิขงจื๊อของข้าต้องปฏิบัติต่อท่านอาจารย์อย่างสุภาพแทนใต้หล้าแน่นอน”

กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษก็หันหน้ามามองผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแล้วกระตุกมุมปาก “คำว่าท่านอาจารย์นี้ ตอนนี้ถูกลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้ายึดครองไปแทบหมดแล้ว เฮอๆ”

ลวี่สี่ขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดไป สีหน้าเคร่งเครียด

บุรุษมองไปทางน้ำในลำคลองที่ไหลซัดบ่าเข้าหามหาสมุทรแล้วไม่ย้อนกลับมาอีกสายนั้นต่ออีกครั้ง พลางเอ่ยว่า “ภายหลังมีภาพค้นภูเขาปรากฏขึ้นมาอีก หอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งของใต้หล้าไพศาล หนึ่งในนั้นก็คือหอสยบป๋ายเจ๋อ ตอนนี้เจ้าเดินมาตรงหน้าข้า ต้องการให้ข้าไปที่นาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปเพื่อช่วยพวกเจ้า ‘ค้นภูเขา’ ตามหาปีศาจใหญ่อย่างนั้นหรือ? อาศัยอะไร อาศัยที่ปีนั้นหลี่เซิ่งเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ? หรือว่าอาศัยที่พวกเจ้าช่วยข้าสร้างหอสูงแห่งนั้นขึ้นมา? ทำให้ข้าได้มีที่หยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาล?”

บุรุษหันหน้ากลับไปอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มน้ำหนักเสียงจากเดิมเล็กน้อย “หืม?”

ลวี่สี่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

ยังดีที่นายท่านป๋ายคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา และยิ่งรู้ถึงความลำบากใจของเขา ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้จึงรักษากฎที่พวกเจ้าตั้งไว้มาโดยตลอด ส่วนพวกเจ้านั้น ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก บัณฑิตไม่ควรเผด็จการเช่นนี้ ควรจะใช้หลักการของอริยะปราชญ์อบรมสั่งสอนปวงประชา ควรแปรเปลี่ยนลมฤดูใบไม้ผลิให้เป็นสายฝนที่พร่างพรมให้สรรพสิ่งชุ่มชื้น”

ลวี่ซี่ที่เหมือนถูกขุนเขาทั้งห้าของแผ่นดินกลางกดทับพอจะหายใจหายคอได้เล็กน้อย

บุรุษเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เผ่าปีศาจมีข้าป๋ายเจ๋ออยู่ นับเป็นความโชคร้ายสูงสุด”

ลวี่สี่เริ่มรู้สึกชาที่หนังศีรษะอีกครั้ง

บุรุษไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กรุ่นหลังผู้นี้ จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ครั้งนี้ข้าแหกกฎออกมาจากหอแห่งนั้นโดยพลการ เดินทางท่องไปทั่วหล้าเพราะอยากจะเห็นกับตาตัวเองว่า ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ วิถีทางโลกที่ปีนั้นอาจารย์น้อยผู้นั้นอธิบายให้ข้าฟังได้มาถึงแล้วหรือยัง”

“ขอถามท่านอาจารย์ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร? ดีหรือว่าไม่ดี?”

ลวี่สี่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ต้องรู้ว่าความคิดของนายท่านป๋ายเกี่ยวพันกับแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้าหนึ่งแห่ง ไม่สิ ต้องเป็นใต้หล้าสองแห่ง!

บุรุษยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ายังอยากไปดูต่ออีกหน่อย”

สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ได้หรือไม่?”

มองดูเหมือนเป็นการสอบถาม แต่กลับไม่แม้แต่จะหันมามองผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนี้ ทว่าพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในคำพูดของนายท่านป๋ายผู้นี้กลับทำให้วิชาอภินิหารของลวี่สี่ไม่สามารถสกัดขวางเอาไว้ได้ น้ำสีเหลืองของลำคลองใหญ่โถมตัวขึ้นลง คลื่นยักษ์ตีกระทบชายฝั่ง เมฆหลากสีเหนือศีรษะก็ยิ่งเดี๋ยวรวมตัว เดี๋ยวแตกสลายไม่หยุดนิ่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าอันยิ่งใหญ่โอฬารของนครจักรพรรดิขาว

ในที่สุดลวี่สี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “ได้!”

……

เว่ยเซียนยังคงเฝ้าที่ว่างหน้าประตูวัดร้างไว้อย่างแน่นหนา ยืนตระหง่านไม่ล้มลง

จูเหลี่ยนก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายที่น่าพรั่นพรึง ยิ่งบาดแผลสาหัสเท่าไหร่ พลังสังหารก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น

ประหนึ่งมารร้ายผู้บ้าคลั่ง

บุกไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง

สุยโย่วเปียนที่ฟาดฟันปล่อยกระบวนท่ากระบี่ออกไปอย่างเต็มที่ หลังจากสังหารทหารชายแดนสวมเสื้อเกราะไปเก้าร้อยคนเพียงลำพัง มากกว่าที่หลูป๋ายเซี่ยงฆ่าได้สองร้อยคน ในช่วงเวลาที่ผลัดเปลี่ยนลมปราณกลับถูกสวี่ชิงโจวและสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ร่วมมือกันลอบโจมตี ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สุยโย่วเปียนก็ยังคงใช้ลมปราณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่สังหารทหารชายแดนสวมเสื้อเกราะไปอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคนภายใต้เปลือกตาของคนทั้งสอง นี่ถึงทำให้หนึ่งดาบของสวี่ชิงโจวผ่าลงมาแสกหน้า อีกทั้งยังถูกเซียนซือสวีถงที่ไม่กล้าประมาทใช้วิชาก้นกรุทำลายเรือนกายและจิตวิญญาณจนแหลกเละ นอกจากกระบี่ชือซินที่หล่นร่วงลงพื้นอย่างน่าสังเวชแล้ว บนโลกนี้น่าจะไม่มีสุยโย่วเปียนสาวงามที่สะพายกระบี่อยู่อีกแล้ว

ทว่าในขณะที่สวี่ชิงโจวค้อมตัวลงเตรียมจะเก็บของเชลยศึกชิ้นนั้นมา

ตรงหน้าประตูวัดร้างกลับมีโฉมสะคราญหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งเดินออกมา นางก็คือสุยโย่วเปียน!

ตอนที่เดินสวนไหล่กับเฉินผิงอันไป นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทลายขบวนชุดเกราะไปได้หนึ่งพันหนึ่งร้อยคนแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งมากพอให้ข้าซื้อภูเขาเจินจูที่บ้านเกิดได้อีกลูกเลยนะ”

สุยโย่วเปียนแค่นเสียงดังหึ อารมณ์เลวร้ายอย่างถึงที่สุด เรือนกายอรชนอ้อนแอ้นของนางพุ่งวูบออกไป ยื่นมือไปยังจุดที่ห่างไปไกลหนึ่งที กระบี่บินชือซินก็แหวกอากาศกลับคืนมา ถูกนางถือกำไว้ในมืออย่างแน่นหนา แล้วปราณกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลเส้นหนึ่งก็พุ่งตรงออกไป ทำเอาสวี่ชิงโจวกับสวีถงตกใจจนต้องรีบเบี่ยงหลบไปซ้ายคนขวาคน ถอยกรูดห่างไปไกลหลายสิบจั้ง

ที่แท้ก่อนที่ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น ความลับที่เว่ยเซี่ยนพูดถึงก็คือ หากเฉินผิงอันตาย คนทั้งสี่ก็ล้วนตายตามไปด้วย เฉินผิงอันไม่ตาย แต่หลังจากคนทั้งสี่ตายแล้ว เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญก็ทำให้พวกเขาเดินออกมาจากม้วนภาพวาดได้อีกครั้งโดยที่ขอบเขตไม่ถดถอยลงแม้แต่น้อย

ศัตรูตัวฉกาจสองคนที่อยู่บนยอดเขายังคงนิ่งดูดาย ยังไม่ยอมเผยโฉม

เฉินผิงอันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือกิ่งนั้น ทั้งเสียดายเหรียญทองแดงแก่นทอง แล้วก็รู้สึกอยากขำ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสมีมรรคกถาค้ำฟ้าจริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!