Skip to content

Sword of Coming 360

บทที่ 360 คิดถึงเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหลับตาเดินบนสะพานหินโค้ง เรือนกายโยกไหวเล็กน้อย ใต้สะพาน มีสายน้ำไหลริน ชายแขนเสื้อมีเมฆหมอกล้อมเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอาย แห่งเซียน

เว่ยเซียนเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเผยเฉียนอย่างยิ่งจึงเปิดปากเอ่ยชมว่า “มังกรผงาด พยัคฆ์เยื้องย่าง ประหนึ่งขุนเขาตั้งตระหง่าน…”

เพิ่งจะวิจารณ์ได้แค่ครึ่งเดียว เว่ยเซียนก็หุบปากลง

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้ฟ้ายอมมีลมเมฆที่มิอาจคาดการณ์ได้ถึง มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อยเกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าทำลายความสุภาพสง่างาม”

ที่แท้สะพานหินโค้งก็มีขั้นบันได ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงลืมเรื่องนี้ไป เท้าที่ก้าวออกมาจึงเหยียบลงบนความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งหีบไม้ไผ่กลิ้งตลบอยู่บนพื้น

เผยเฉียนยกฝ่ามือตบหน้าผากตัวเอง บิดาข้า ท่านรับคำชมไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ

สุยโย่วเปียนเบี่ยงหน้าไปทางอื่น มุมปากยกยิ้ม

เฉินผิงอันกระโดดผลุงขึ้นยืน พอลืมตาแล้วก็ปัดชายแขนเสื้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง

บนชุดคลุมอาคมจินหลี่มีแสงสีทองส่องประกายวาบผ่านไป ปราณวิญญาณในไข่มุกที่มังกรทองคาบเอาไว้ยิ่งรวมตัวกันได้แน่นหนากว่าเดิม

หากไม่เป็นเพราะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เซียนนอกมหาสมุทรท่านหนึ่งทิ้งไว้ชิ้นนี้ การล้มครั้งนี้ของเฉินผิงอันจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น หนึ่งคือร่างกายจะเป็นเหมือนการ ‘เปิดด่านรับศัตรู’ ปล่อยให้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่เหมือนน้ำในมหาสมุทรกรอกเทเข้ามาในช่องโพรงลมปราณ ต้องเจ็บปวดทรมาน

สองคือมีความเป็นไปได้มากกว่าจะสูบเอาปราณวิญญาณในฟ้าดินของภูเขาชิงจิ้งมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำ ถึงเวลานั้นต้องก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด ชักนำปัญหาแทรกซ้อน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นมรสุมลูกใหม่เลยก็ได้

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็เป็นเหมือนทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีประโยชน์ในการกักเก็บน้ำ

แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่การรักษาที่ปลายเหตุมิใช่ต้นเหตุ การหล่อหลอมวัตถุห้าธาตุ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาอย่างแท้จริง บุกเบิกช่องโพรงในร่างกายห้าแห่งให้เป็นเหมือนทะเลสาบ นี่คือภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้

สะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนี้จะสร้างได้สำเร็จหรือไม่ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินกว่าจะใช้คำพูดใดมาบรรยายได้

ตัวเฉินผิงอันเองก็รู้สึกประหลาดใจ มาจนกระทั่งบัดนี้ตนถึงเพิ่งถูกฟ้าดินแห่งนี้ยอมรับอย่างแท้จริงหรือ? ประหลาดนัก

สายตาของคนทั้งสี่ในภาพวาดล้วนเฉียบคม แรกเริ่มยังรู้สึกว่าน่าขัน ถึงอย่างไรเฉินผิงอันในความทรงจำของพวกเขาก็เป็นคนที่สำรวมตน อยู่ในกฎระเบียบทุกเรื่อง ยากนักที่จะได้เห็นสภาพอเนจอนาถแบบนี้ของเขาสักครั้ง เพียงแต่ว่าหลังจากลองมองประเมินอย่างตั้งใจเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างก็มองเห็นสายสนกลใน เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาก็เท่านั้น

ยอดบนสุดของบันไดสีชาดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว แม้ว่าจะมีเมฆหมอกล้อมวน ทว่าเจียงซ่างเจินและลู่ยงที่ยืนเคียงบ่ากัน ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ เมื่อเทียบกับคนสี่คนในภาพวาดที่ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้วย่อมมองออกได้เยอะกว่า

ลู่ยงเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนชื่นชม “ช่างเป็นชุดคลุมอาคมมังกรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลึกล้ำเกินจะหยั่งจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจมีระดับขั้นเท่ากับ ‘พื้นที่มงคลขนาดเล็ก’

ในตำนานแล้ว เซียนซือน้อยสวมชุดคลุมนี้ไว้บนร่าง เกรงว่าเมื่อเทียบกับเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่ระดับขั้นสูงสุดแล้ว สมบัติอาคมก็ไม่อาจรุกราน กระบี่บินก็ไม่อาจแทงเข้าเสียยิ่งกว่า”

ลู่ยงเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันคือผู้ฝึกตนสำนักการทหาร

เจียงซ่างเจินพูดพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนจาง “เจ้าตำหนักลู่สายตาดีมีแววยิ่งนัก”

ลู่ยงกล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”

เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับมา “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าอายุมากกว่าข้า จะเรียกข้าว่าผู้อาวุโสทำไม?”

ลู่ยงอึ้งพูดไม่ออก

ในฐานะที่สกุลเจียงคือไท่ซ่างหวงของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา พวกเขาจึงมีจิตใจยากจะคาดเดาสมกับเป็นราชันย์อย่างแท้จริง ตอนนี้ตนอยู่กับกษัตริย์ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์

เจียงซ่างเจินหัวเราะขึ้นอีก “คราวนี้หากเจ้าพูดประโยคหนึ่งว่า ‘บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างชำนาญย่อมได้อยู่หน้าสุด’ ก็จะถือว่าเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมกว่าคนอื่นเยอะเลย”

ลู่ยงไม่รู้ว่าเจียงซ่างเจินต้องการอะไรกันแน่ ได้แต่ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสมีวิสัยทัศน์สูงส่ง ลู่ยงโง่เขลา หาไม่แล้วชีวิตนี้ก็คงไม่มีแค่โอสถและสมุนไพรอยู่เคียงข้างเท่านั้น”

เจียงซ่างเจินถาม “สองร้อยปีมานี้ข้าจำเป็นต้องจัดการกิจธุระในพื้นที่มงคล ยุ่งจนหัวแทบไหม้ ออกจากบ้านไม่บ่อยนัก สู้คนตาบอดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าตำหนักลู่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือตระกูลเซียนบนยอดเขาเทียนแจว๋แห่งนี้ ต้องคอยต้อนรับขับสู้ผู้คน

เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี้ หากไม่นับใบถงทวีป ในใต้หล้าไพศาลมีเซียนกระบี่หนุ่มที่โด่งดังที่สุดคนใดบ้าง?”

ลู่ยงคิดแล้วก็ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านผู้นั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”

เจียงซ่างเจินโมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าลู่ยงเห็นว่าข้าโง่จริงๆ หรือไง? ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนรึ?!”

ลู่ยงกระวนกระวายใจ รีบแก้ตัวใหม่ เริ่มนับนิ้วคำนวณว่าในทวีปแห่งอื่นมีเซียนกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนใดบ้าง จากนั้นก็ร่ายรายชื่อผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ชื่อเสียงโด่งดังดุจสายฟ้ากัมปนาทให้เจียงซ่างเจินฟัง ทุกคนล้วนเป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงซึ่งรุ่งโรจน์ที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือทุกคนต่างก็อายุไม่มาก คนที่เขาร่ายออกมามีมากถึงแปดคน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสี่คน อุตรกุรุทวีปมีสามคน แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ก็มีกับเขาคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งก็คือเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเจ็ดคนแรกแล้ว เว่ยเซียนแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะ ตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูง แต่ผลสำเร็จในอนาคตย่อมเป็นที่น่าจับตามองอย่างแน่นอน ดังนั้นขนาดใบถงทวีปก็ยังได้ยินชื่อของคนผู้นี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดอย่างเขาลู่ยงซึ่งเป็นเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังได้ยินชื่อของศาลลมหิมะอันเป็นหนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปเป็นครั้งแรกก็เพราะเว่ยจิ้น

ชื่อและเรื่องราวคร่าวๆ ของแต่ละคนผ่านหูไป จุดท้ายเจียงซ่างเจินก็ส่ายหน้า พูดแค่ว่าไม่ถูก ยังห่างชั้นไกลนัก

ลู่ยงจนปัญญาแล้วจริงๆ

เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณก็มีน้อยอยู่แล้ว เซียนกระบี่ก็ยิ่งน้อยในน้อยเข้าไปอีก สามารถมองข้ามความห่างของธรณีประตูใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด สังหารขอบเขตหยกดิบได้ บนโลกนี้ก็มีแค่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น

เกี่ยวกับเซียนกระบี่ ‘อายุน้อย’ ที่ฉายประกายแหลมคมที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ลู่ยงที่มุ่งมั่นอยู่กับการหลอมโอสถเคยได้ยินมาแค่นี้เท่านั้น

เจียงซ่างเจินไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ลู่ยงต่อ ในใจเขาเองก็จนใจอยู่บ้าง เวลาหกสิบปีใช้หมดไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ร้อยยี่สิบปีก่อนหน้านั้น หกสิบปีแรกไปสยบความวุ่นวายครั้งใหญ่ซึ่งพันปียากจะพานพบสักครั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้รับบาดเจ็บมาไม่เบา หกสิบปีหลังจึงปิดด่านฝึกตน ไม่มีเวลาให้ความสนใจสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าจริงๆ เวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขาตายกันไปกี่รอบแล้ว ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาอย่างเจียงซ่างเจินนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นคนที่มีความหวังว่าจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น อันที่จริงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับกาลเวลาที่ผ่านเลยไปเท่าไหร่นัก ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยืนได้มั่นคงก็สามารถมีอายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยปีหรืออาจถึงขั้นเป็นพันปี

ถูกผิด บุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ล่างภูเขาไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ เมื่ออยู่ภายใต้ชีวิตอมตะ บนโลกก็ล้วนไม่มีอะไรที่แน่นอน

สายตาของเจียงซ่างเจินหลุบลงต่ำเล็กน้อย ตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ด้านหลังนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นที่ตั้งบูชาเทพเซียนทั้งหมดของลัทธิเต๋า และบันไดสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเบื้องหน้านี้ก็มีสามพันขั้น ความหมายก็คือ ‘มหามรรคาสามพัน’ (หมายถึงว่าวิชาคาถานั้นมีมากมาย ยากจะคำนวณได้หมด ในลัทธิเต๋า สามหมายถึงจำนวนที่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นตัวแทนของจำนวนที่ไม่แน่นอน มรรคามิอาจคำนวณ และทุกคนล้วนมีมรรคาเป็นของตัวเอง ขอแค่ได้มาก็ล้วนถือว่าเป็นหนึ่งในมรรคกถา)

ฟังดูเหมือนว่าเส้นทางมีมากมาย ทว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดได้อย่างแท้จริง

มหามรรคาเส้นทางสายใหญ่ ไม่ได้บอกว่าทางเส้นนี้กว้างแค่ไหน เพราะยิ่งเดินขึ้นไปข้างบน เส้นทางใต้ฝ่าเท้าก็จะยิ่งแคบลง ถึงขั้นอาจกลายเป็นสะพานไม้ท่อนเดียว

เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า เส้นทางการฝึกตนของตน เส้นทางที่ตนเดินไป ต่อให้สูงแค่ไหนก็ไม่มีทางสูงถึงสะพานไม้ท่อนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเข่นฆ่าช่วงชิงมรรคาอยู่เบื้องหน้าขอบเขตบินทะยาน แล้วก็ไม่มีสถานการณ์ที่ต้องให้คนด้านหลังมาเบียดมาดันเขาถึงจะยอมเดินหน้าต่อ

ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่เหนือมหาสมุทรผู้นั้น เกรงว่าคงต้องรอให้กลับไปถึงสำนักกุยหยกก่อนแล้วค่อยขอความรู้จากเจ้าสำนักผู้เฒ่า ไม่พูดถึงความสามารถอื่นของท่านผู้อาวุโส เอาแค่เรื่องข่าวและข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เขาว่องไวยิ่งกว่าใคร นิสัยของเจ้าสำนักผู้เฒ่าที่แม้แต่เรื่องที่ว่าลูกศิษย์หญิงสวมเอี๊ยมตัวในสีอะไรก็ล้วนอยากรู้คำตอบ เหล่าเทวรูปที่ตั้งบูชาไว้บนภูเขาทะเลาะกันราวกับหญิงปากตลาดก็ยังอยากจะเอาหูแนบกำแพงแอบฟังนั้นช่าง…ยอดเยี่ยมซะจริง บนโลกจะมีผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตเซียนเหรินสักกี่คนที่แอบอยู่ในจวนของตัวเอง ทุกวันคอยใช้วิชาอภินิหารบุปผาในกระจกจันทราในน้ำคอยมองเหล่าเทพธิดาของสำนักเล็กๆ แต่งตัวฉูดฉาดงดงาม แสดง ‘พรสวรรค์’ ออกมาอย่างมีจริตจก้าน จากนั้นก็จะมีตาแก่คนหนึ่งส่งเงินร้อนน้อยกำใหญ่ไปให้สำนักเหล่านั้นโดยไม่เปิดเผยตัว บางครั้งถึงขั้นแอบออกไปจากสำนัก มอบโชควาสนาหรือไม่ก็สมบัติอาคมให้พวกนางด้วยตัวเอง?

ทุกปีสำนักกุยหยกจะอาศัยเงินปันผลจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา รวยเหมือนหมูที่อ้วนจนมันเยิ้ม ในฐานะเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง ตาเฒ่าเจ้ายังมีหน้ามาโกหกข้าเจียงซ่างเจินว่าในกระเป๋าไม่มีเงินอีกรึ?

แล้วยังมีหน้ามาพูดอย่างห้าวหาญกับข้าว่าเจอคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปที่มีชื่อว่าพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน? แถมยังบอกว่าหากมีโอกาสจะไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง? แล้วยังพูดด้วยความเสียดายอย่างสุดแสนว่าเทพธิดาซูเจี้ยอะไรของภูเขาเจินอู่ต้องดับแสงไปกลางคันแล้ว?

บางครั้งเจียงซ่างเจินก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าฝึกตนจนกลายมาเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้อย่างไร

เจ้าสำนักผู้เฒ่าที่แทบไม่เคยพูดเรื่องมหามรรคากับเขาเจียงซ่างเจิน หลังจากที่เขาถอดตัวตนของเจ๋อเซียนโจวเฝยกลับคืนสู่สำนัก ตาเฒ่ากลับยกเอาเรื่องที่ไม่สลักสำคัญใดๆ มาพูดกับเขาเป็นครึ่งๆ วันด้วยน้ำเสียงปรารถนาดี บอกว่าไม่ควรปฏิบัติกับสตรีบนโลกเช่นนี้ พวกหญิงสาวในตำหนักคลื่นวสันต์ของพื้นที่มงคลดอกบัวน่าสงสารยิ่งนัก เจียงซ่างเจินถูกอบรมสั่งสอนอยู่ครึ่งวัน ตาเฒ่าก็บอกให้เขาไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ทะเลตะวันตก ไม่ยอมมอบอาวุธสำคัญของสำนักที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้สักชิ้น คาดว่าน่าจะโมโหจริงๆ แล้ว

กลับเป็นยาเอ๋อร์ที่ถูกเจียงซ่างเจินพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว พอไปถึงสำนัก ตาแก่ก็มอบสมบัติอาคมส่วนตัวของตัวเองให้เป็นรางวัลทันที แน่นอนว่าต้องยืมใช้ชื่อของเจียงซ่างเจิน

กลุ่มคนหกคนเดินไปบนบันไดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่เจอใครเลยตลอดทาง

เงยหน้ามองไป เมฆหมอกบดบังสายตา มองไม่เห็นตำหนักพยัคฆ์เขียว

เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ด้านบนมีคนยืนอยู่สองคน ดูเหมือนว่าจะรอพวกเราอยู่”

หัวใจของเฉินผิงอันดิ่งลงโดยพลัน

หรือว่าทางฝ่ายของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีใครยังไม่ยอมวางมือ?

และเวลานี้เอง ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าถูกคนสังเกตเห็น คนทั้งสองจึงเดินลงบันได เดินออกมาจากทะเลเมฆช้าๆ

คนหนึ่งคือคนหนุ่มที่เรือนกายสะโอดสะอง อีกคนหนึ่งคือเทพเซียนผู้เฒ่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าเดินตามหลังคนหนุ่มมาก้าวหนึ่ง ไม่ได้เดินเคียงไหล่มา คล้ายเป็นผู้ติดตามเสียมากกว่า

ฝีเท้าของเฉินผิงอันยังคงไม่ช้าไม่เร็ว ทว่ามือในชายแขนเสื้อกลับคีบยันต์สยบกระบี่ที่เขียนด้วยกระดาษสีเขียวไว้ระหว่างสองนิ้วแล้ว

มองไปไกลๆ ฝีเท้าของคนทั้งสองที่อยู่ด้านบนดูเหมือนช้า ทว่าในความเป็นจริงกลับรวดเร็วมาก พริบตาเดียวก็มายืนอยู่บนบันไดห่างจากกลุ่มของเฉินผิงอันไปแค่เจ็ดแปดขั้น

เผยเฉียนรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นั้นหน้าคุ้นๆ จึงไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

พบหน้ากันเจียงซ่างเจินก็พูดเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน จากลากันที่พื้นที่มงคลดอกบัว ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง ดูท่าพวกเราจะมีวาสนาต่อกันไม่น้อย”

เฉินผิงอันถาม “โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์? เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก?”

เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “ใช่แล้ว”

ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดเขาของใบถงทวีปผู้นี้หันหน้าไปยิ้มให้ลู่ยง “นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าสายตาดีมีแววที่แท้จริง”

ลู่ยงไร้คำพูดตอบโต้

เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพาตัวมาส่งถึงที่เร็วขนาดนี้”

เจียงซ่างเจินหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับโจวซื่อและยาเอ๋อร์ ข้าไม่สนใจ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ตอนที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็เคยคิดว่าหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วจะไปหาเจ้า เชิญให้เจ้าไปเป็นผู้ถวายงานให้แก่สกุลเจียงข้า โชควาสนามากมายในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ขอแค่เจ้ามีความสามารถก็ช่วงชิงเอาไปได้เลย ข้าเจียงซ่างเจินเต็มใจจะให้เป็นเช่นนั้น เพียงว่าภายหลังเจ้าดึงดันจะสังหารลู่ฝ่างและโจวซื่อให้ได้

ข้าจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ คิดว่าหากกลับไปถึงใบถงทวีปแล้วจะทำอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าพอขอให้ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางช่วยเหลือ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหาตัวเจ้าไม่เจอ ภายหลังก็มีเรื่องให้ต้องทำอีก เรื่องนี้จึงถูกถ่วงเอาไว้”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “นี่เจ้าก็หาข้าเจอแล้วไม่ใช่หรือ?”

ในใจเจียงซ่างเจินตกตะลึงไปเล็กน้อย

เพิ่งจะออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาได้ไม่นานเท่าไหร่ เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าได้เจอกับเฉินผิงอันสองคนที่ต่างกัน

ไม่ได้อยู่ที่ด้านการฝึกตน แต่อยู่ที่สภาพจิตใจ

อย่าดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งที่เดินขึ้นยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัว

ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ไม่สูงก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะถูก ‘มหามรรคา’ ของนักพรตบางคนกดทับไว้บนไหล่

ทุกอย่างที่ติงอิงทำลงไปก็เป็นแค่การ ‘ปัดภาระ’ ในอีกความหมายหนึ่งเท่านั้น

‘โจวเฝย’ และลู่ฝ่างก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ปณิธานไม่ได้อยู่ที่การขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ แต่อยู่ที่การฝ่าด่านจิตมาร คือเหตุผลของคนคนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วเหตุใดจะไม่ใช่ ‘ความทุกข์เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา’

ส่วนคนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันก็น่าจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เล่าลือกันของพื้นที่มงคล สตรีสะพายกระบี่น่าจะเป็นสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิงที่ลู่ฝ่างมักจะพูดถึงเป็นประจำ อีกสามคนที่เหลือ เขาก็พอจะคาดเดาตัวตนได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พกดาบก็คือจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ที่ตอนหนุ่มหล่อเหลาเกินผู้ใดจะเปรียบเทียบในตำนาน? บุรุษร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำคือหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร? ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ยิ้มตาหยีนั่นคือเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน?

เฉินผิงอันได้เป็นเจ้านายของคนทั้งสี่นี้ เจียงซ่างเจินตกตะลึงและอิจฉาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นริษยาอาฆาต

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวต้องการเวลาในการสร้างขอบเขตให้มั่นคงมากที่สุด เท้าเหยียบลงบนพื้นดิน น้ำหยดทะลุหิน ไม่พิถีพิถันในเรื่องพรสวรรค์และโชควาสนาอย่างผู้ฝึกลมปราณ

ในใจลู่ยงได้แต่ร้องคร่ำครวญไม่หยุด

ฟังจากน้ำเสียงของเจียงซ่างเจินแล้ว ดูท่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่มีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน ดูเหมือนตบะของเซียนซือน้อยผู้นั้นจะไม่สูงนัก นั่นก็แสดงว่าต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง เป็นเหตุให้เจ้าประมุขสกุลเจียงเผยตัวอยู่ที่นี่แล้วก็ยังไม่กล้าลงมือสังหารอีกฝ่ายส่งเดช? หรือว่าจะเป็นลูกหลานสายตรงของผู้เฒ่าวิปริตสำนักใบถงผู้นั้น?

เจียงซ่างเจินพูดด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ได้ทำท่าว่าจะต่อสู้กับข้าอย่างสุดชีวิตตั้งแต่ตอนแรกที่พบหน้ากัน ข้าก็วางใจแล้ว พวกเราเดินขึ้นเขาพลางคุยกันไปด้วยดีไหม?”

เฉินผิงอันตอบรับอย่างเรียบง่าย “ดี”

สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินเคียงไหล่ไปกับเจียงซ่างเจิน

ลู่ยงตามติดมาด้านหลัง เผยเฉียนเดินมาอยู่บนบันไดขั้นเดียวกับเซียนดินก่อกำเนิดผู้นี้อย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ว่าเว้นระยะห่างอยู่หลายก้าว คอยแอบมองประเมินเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาผู้นี้

ขอแค่มีลางว่าลู่ยงจะหันหน้ากลับมา เด็กหญิงผิวดำเกรียมดุจถ่านก็จะเบี่ยงหน้าหันไปมองทัศนียภาพที่ห่างออกไปไกลทันที ไม้เท้าเดินป่าในมือเคาะลงบนขั้นบันไดดังป้อกๆๆ

ลู่ยงตกตะลึงอย่างมาก เด็กหญิงผู้นี้ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉลียวฉลาด

แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็มีตบะก่อกำเนิด ต้นอ่อนในการฝึกตนต้นหนึ่งดีหรือไม่ดี พอจะเดินไปได้ถึงความสูงประมาณไหน กลับยังพอจะมองออกอยู่บ้าง

เจียงซ่างเจินถามเรื่องตัวตนของผู้ติดตามทั้งสี่ท่านก่อน เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง หลังจากเจียงซ่างเจินรู้ความจริงว่าตัวเองเดาไม่ถูกสักคนเดียวก็ตบหน้าผาก เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “สายตาของข้าพอๆ กับลู่ยงเลยทีเดียว”

ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่ ไม่คล้ายศัตรูคู่แค้นที่เมื่อมาเจอหน้ากันแล้วจะต้องตาแดงอย่างแค้นเคือง แต่กลับเหมือนสหายเก่ากลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง หรือไม่ก็เหมือนพี่น้องที่หลังจากผ่านหายนะมาด้วยกัน มิตรภาพยังคงอยู่ พบหน้ากันอีกครั้งเพียงยิ้มให้กันก็ลืมบุญคุณความแค้นทั้งหมดไป?

แต่ความจริงเป็นเช่นไรก็มีแค่เจียงซ่างเจินกับเฉินผิงอันเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ

เจียงซ่างเจินถาม “การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ราบรื่นหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีแต่การกระทบกระทั่ง อีกทั้งยังเกิดความขัดแย้งที่ไม่เล็กกับองค์ชายสองคนของต้าเฉวียนด้วย”

“อ้อ?”

เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าตำหนักลู่ ฮ่องเต้ต้าเฉวียนชื่อว่าอะไร?”

ลู่ยงรีบตอบคำถาม “หลิวเจิน”

เจียงซ่างเจินหันมองเฉินผิงอัน “ข้าไปนำตัวพ่อของพวกเขาให้มาขอโทษเจ้าดีไหม? ไปเมืองเซิ่นจิ่งใช้เวลาเร็วมากเลยล่ะ ไม่นานเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าตอนที่เจ้ากำลังกินอาหารเจของตำหนักพยัคฆ์เขียว หลิวเจินก็มายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว

แต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีสำนักศึกษาต้าฝูเป็นผู้ดูแล เจ้าขุนเขาสำนักศึกษามีภูมิหลังไม่ธรรมดา มาจากจวนอิรยะแห่งหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีพี่ชายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษา ถึงเวลานั้นเจ้าแค่อย่าฆ่าหลิวเจินตายก็พอ ไม่อย่างนั้นข้าก็เช็ดก้นให้เจ้าได้ยากแล้ว แต่หากคิดจะป้อนหมัดให้ตาเฒ่าฮ่องเต้จนอิ่มย่อมไม่มีปัญหา”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้จริงๆ เจ้าช่วยบอกข้าทีได้ไหมว่าคราวนี้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไร? กักตัวข้าไว้ที่ท่าเรือยอดเขาเทียนแจว๋ หลังจากนั้นจับตัวกลับไปที่สำนักกุยหยก?”

เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เอามือเช็ดปาก พูดกลั้วหัวเราะขำขันอยู่กับตัวเอง “ระหว่างที่เร่งเดินทางหัวซุกหัวซุนมาที่นี่ ข้าเคยคิดว่าจะทำอย่างนี้จริง หาตัวเจ้ายากลำบากขนาดนี้ จะบอกว่าไม่โมโหเลยย่อมเป็นการโกหกตัวเองและโกหกคนอื่น อันที่จริงก็มีลูกศิษย์ของสำนักกุยหยกฝึกตนอยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่งเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่สามารถมาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวได้จริงๆ บอกกับเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน ข้าไปอยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่งมาวันหนึ่ง หลังจากเข้าใจการกระทำทุกอย่างของเจ้าโดยละเอียดแล้ว ข้ายังไปพบเจ้ากรมกลาโหมคนใหม่ที่แซ่เหยานั่นมาด้วย แต่ก็แค่มองดูเขาอยู่ไกลๆ แล้วก็บอกให้ลูกศิษย์ที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งคนนั้นว่าหลังจากนี้จงคอยดูแลตระกูลเหยาให้ดี จากนั้นตัวข้าก็ตรงดิ่งมาที่ตำหนักพยัคฆ์เขียว เพื่อมาพบเจ้า”

เฉินผิงอันหยุดเดิน

เจียงซ่างเจินยังคงเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดพลางเอ่ยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เมื่อไปถึงข้างบน ข้าจะบอกทุกอย่างกับเจ้าเอง”

เฉินผิงอันจึงตามเจียงซ่างเจินเดินเข้าไปในทะเลเมฆที่ล้อมวนอยู่รอบยอดเขาเทียนแจว๋ ระยะทางช่วงนี้มีเพียงหมอกขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

เพียงแต่ว่าการมองเห็นเปิดกว้าง สามารถมองเห็นตำหนักใหญ่โตโอฬารแห่งหนึ่ง ที่แท้ก็ขึ้นเขามาถึงยอดเขาเทียนแจว๋แล้ว

ก่อนที่ทุกคนจะเดินเข้าไปในทะเลเมฆ ลู่ยงอยากจะเห็นหน้านังหนูคนข้างๆ ให้เต็มตาสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอหันหน้ากลับไป เผยเฉียนกลับยังคงเบี่ยงหน้าหลบเขาได้เหมือนเดิม

ลู่ยงยิ่งตกตะลึงมากกว่าเก่า

ทะเลเมฆที่ไหลวนล้อมยอดเขาชั้นนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของตำหนักพยัคฆ์เขียว คนธรรมดาหากเข้ามาอยู่ในนี้ก็จะเป็นการหล่นลงทะเลเมฆที่แท้จริง สิ่งที่สายตามองเห็นมีเพียงความว่างเปล่า

เฉินผิงอันยืนนิ่ง จัดสาบเสื้อให้เป็นระเบียบ ประคองปิ่นหยกขาวที่ปักอยู่บนมวยผม

เจียงซ่างเจินยังคงเดินไปข้างหน้าต่ออย่างสง่างาม ทว่าเดินไปได้หลายก้าวแล้วเห็นว่าเฉินผิงอันยังยืนอยู่ที่เดิมจึงหันหน้ากลับมา พบว่าคนหนุ่มที่สังหารติงอิงผู้นี้มีสีหน้าที่แปลกประหลาดยิ่ง

รอจนลู่ยง เผยเฉียนและพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนเดินมาถึงยอดเขา เฉินผิงอันก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น

เผยเฉียนมองตามสายตาของเฉินผิงอันไป พบว่าตรงตำหนักมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่ ราวกับสงสัยใคร่รู้ว่าเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดที่สามารถทำให้เจ้าตำหนักและบุคคลยิ่งใหญ่จากสำนักกุยหยกลงไปต้อนรับด้วยตัวเองได้

พวกคนที่มามุงดูตรงตำหนักพยัคฆ์เขียวส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อายุไม่มาก บ้างก็เป็นเด็กหนุ่ม บ้างก็เป็นเด็กสาว แล้วยังมีเด็กน้อยที่อายุพอๆ กับเผยเฉียนอยู่อีกไม่น้อย

เผยเฉียนถามเสียงเบา “เป็นอะไรไป?”

เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ใช้มือหนึ่งกดศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าเองก็เหมือนกับพวกเขา ยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ คอยมองคนอื่น”

เฉินผิงอันเดินหน้าต่ออีกครั้ง ติดตามเจียงซ่างเจินตรงไปยังท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งตั้งอยู่ทิศทางเดียวกับผนังหินเจียวหลงโปรยพิรุณ

ลู่ยงมองลูกศิษย์เหล่านั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว แต่ละคนทำตัวให้เป็นที่ขำขันของคนอื่น จึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พูดเสียงหนัก “กลับไปฝึกตนกันให้หมด! ไร้ระเบียบเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ได้เรื่อง!”

เมื่อผ่านผนังหินที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เกินจะคาดเดา มีเจียวหลงผลุบโผล่อยู่ในก้อนเมฆไอหมอกให้เห็นได้เลือนราง เดินไปอีกประมาณสามสี่ลี้ก็ไปถึงท่าเรือยอดเขาเทียนแจว๋

นั่นคือเรือหลายชั้นขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งที่จอดอยู่ริมหน้าผา เบื้องใต้เรือคือนกสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินวนเวียนไปมา ราวกับว่าพวกมันอาศัยปีกในการประคับประคองและดันให้เรือใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ

อารมณ์ของลู่ยงซับซ้อน

เดิมทีเรือลำนี้ควรออกเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพียงแต่ว่าถูกเจ้าประมุขตระกูลเจียงรั้งเอาไว้ วิธีการของเขานั้นง่ายมาก ทุ่มเงิน

นอกจากตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่กล้าเก็บเงินเจียงซ่างเจินจริงๆ แล้ว ผู้โดยสารทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฝากล้วนได้รับเงินร้อนน้อยก้อนหนึ่งที่มูลค่าเท่ากับค่าเดินทางเพิ่มเติม ลู่ยงบอกให้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งไปทำหน้าที่เป็นกุมารแจกทรัพย์นี้

แต่ก็มีพวกที่ตาไม่มีแวว ด่าทอหยาบคาย ไม่ยอมรับเงิน จะทวงคำอธิบายจากตำหนักพยัคฆ์เขียวให้ได้ ตำหนักพยัคฆ์เขียวไม่อาจมีเรื่องกับอีกฝ่าย

เจียงซ่างเจินจึงขึ้นเรือ ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบผู้ฝึกตนโอสถทองที่มาจากทิศเหนือของใบถงทวีปผู้นั้นให้ร่วงจากเรือข้ามฟากบนฟ้าลงไปยังกลุ่มยอดเขาเตี้ยแห่งหนึ่งที่อยู่รอบภูเขาชิงจิ้ง รอจนตำหนักพยัคฆ์เขียวไปงัดเซียนดินโอสถทองที่ลมหายใจรวยรินคนนั้นออกมาจากผนังภูเขา สภาพของเขาสะบักสะบอมจนแทบทนมองไม่ได้ แต่พอรู้ตัวตนของเจียงซ่างเจินแล้ว ผู้ฝึกตนโอสถทองกลับยังลากเอาร่างที่บาดเจ็บของตัวเองกัดฟันเดินขึ้นเขาอีกครั้ง เพื่อมาขออภัยเจ้าประมุขสกุลเจียงที่เพิ่งจะปรากฎตัว ไม่ทันพูดจาก็ลงมือทำร้ายคนผู้นั้น

ลู่ยงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในสายตาทั้งหมด

เห็นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่มีนกบินล้อมวนลำนั้น เผยเฉียนตื่นเต้นสุดขีด แทบอยากจะร่ายวิชากระบี่อันบ้าคลั่งสักคำรบหนึ่ง นั่นเป็นวิชาที่ฟาดฟันกี่ทีก็เข้าเป้าทุกครั้งเชียวนะ

เว่ยเซี่ยนสี่คนก็เพิ่งเคยเห็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าสีหน้ายังคงเฉยเมย ทว่าในใจกลับปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด

ที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาลแล้ว

เจียงซ่างเจินยืนอยู่ข้างท่าเรือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคงส่งแค่ตรงนี้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

เจียงซ่างเจินลังเลเล็กน้อย “ขอถามประโยคหนึ่งได้ไหม อาจารย์ผู้สืบทอดวิชาของเจ้าคือใคร?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มเฉย

เจียงซ่างเจินยังคงไม่ถอดใจ “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หาใช่จงใจปิดบังเจ้าไม่ แต่เป็นเพราะข้าไม่มีอาจารย์ตามความหมายที่จริงจัง”

คนที่สอนเขาเผาเครื่องปั้น คือผู้เฒ่าเหยาที่ไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ คนที่สอนปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้เขาคืออาเหลียง คนที่สอนวิชาหมัดให้เขาคือผู้เฒ่าแซ่ชุยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ คนที่สอนความรู้ให้เขาคืออาจารย์ฉีและซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง

คนที่สอนให้เขาเป็นคนดี คือพ่อแม่

เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างจนใจ “ก็ได้ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ครั้งนี้ข้ามาหาเจ้าเพราะมีคนไหว้วานมา บอกให้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้เจ้า ข้าบรรจุไว้ในขวดใบหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้ว เจ้ารับไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดควรเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นทันที ก่อนหน้าที่เจ้าจะไปถึงสถานที่ที่เจ้ารู้สึกว่าปลอดภัยอย่างแท้จริงก็ห้ามเอาออกมาอีก”

เฉินผิงอันออกเดินทางไกลสองครั้งจึงพบเห็นอะไรมาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเคยเห็นส่งหัวคนพันลี้ที่นอกป้อมอินทรีบิน

แต่เจียงซ่างเจินที่เป็นคู่แค้นกับตนกลับเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อนำของมามอบให้ตน ตีให้ตายเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเชื่อ

เจียงซ่างเจินเห็นแววระแวดระวังในสายตาของเฉินผิงอันที่ไม่คิดปิดบังตนแม้แต่น้อยก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ร่ายฟ้าดินขนาดเล็กสกัดกั้นวิชาอภินิหารทุกอย่าง ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสำนักฝูจี เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

เจียงซ่างเจินชี้ไปที่ตัวเอง “หลังจากปีศาจใหญ่ตนนั้นได้รับบาดเจ็บก็อาศัยเนื้อหนังที่หนาทนทานหนีไปยังทะเลตะวันตก ส่วนข้าก็เป็นหนึ่งในสามคนที่ตามไปไล่ฆ่าปีศาจใหญ่พอดี อีกสองคนที่เหลือคือซ่งเหมาเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิง และยังมีตาแก่สารเลวที่ดูแลทำเนียบผังตระกูลของสำนักใบถงอีกคนหนึ่ง

ปีศาจใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยากที่จะหนีพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ว่าข้ากับสำนักใบถงต่างก็ไม่คิดจะลงมือสังหารมันให้ตาย ด้วยกลัวว่าจะทำให้ปีศาจใหญ่เกิดร้อนใจคิดใช้วิธีที่ทำให้พินาศกันไปทั้งสองฝ่าย เป็นการทำลายตบะของพวกเราเอง เลยคิดจะค่อยๆ เผาผลาญพลังปีศาจใหญ่ไปทีละน้อย ตลอดทางยังได้ชมทิวทัศน์งดงามพลางคุยเล่นกันไปด้วย”

เฉินผิงอันรู้ว่าการเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นย่อมไม่ได้เรียบง่ายผ่อนคลายอย่างที่เจียงซ่างเจินพูดแน่นอน

เจียงซ่างเจินหันหน้าไปมองทางทิศตะวันตก พูดอย่างสะท้อนใจ “จากนั้นพวกเราสามคนก็เจอกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ปราณกระบี่ของเขาท่วมทะยานฟ้าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีจิตใจของผู้ผดุงคุณธรรมมาตั้งแต่เกิด นิสัยก็ดี ไม่เพียงแต่ฟันปีศาจใหญ่ให้ตายด้วยกระบี่เดียว ยังพูดคุยกับพวกเราอย่างมีเหตุผล ยิ่งไม่โลภอยากครอบครองร่างของปีศาจใหญ่…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เจียงซ่างเจินก็ตบหน้าผากตัวเองทีหนึ่ง “แต่งเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ …”

ดวงตาของเจียงซ่างเจินพลันเฉียบคม จ้องเฉินผิงอันเขม็ง “ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นถามว่าใครรู้จักเจ้าเฉินผิงอัน ข้าก็เลยบอกไปตามตรง เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่จากไปแล้วย้อนกลับมา บอกว่าโอสถปีศาจเป็นของข้าแล้ว พูดแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้น คนของภูเขาไท่ผิงและสำนักใบถงไม่มีความเห็นต่างใดๆ ปล่อยให้ข้าควักเอาโอสถปีศาจที่ล้ำค่าที่สุดในร่างของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองมา ข้าเข้าใจความต้องการของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นดี ถึงได้มาหาเจ้าก็เพื่อนำโอสถปีศาจมอบให้ถึงมือเจ้า”

สีหน้าของเฉินผิงอันเป็นปกติ “ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นข้ารู้จัก ชื่อจั่วโย่ว”

รู้จัก?

แค่นี้เนี่ยนะ?

จั่วโย่ว?

ช่างเป็นชื่อที่ประหลาดและไม่คุ้นหูเอาซะเลย

หรือว่าจะเป็นเซียนกระบี่หนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวในช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี้จริงๆ ?

เจียงซ่างเจินอยากจะเต้นผางสบถด่ามารดา เขาจ้องตาเฉินผิงอันนิ่ง ในมือมีขวดกระเบื้องงามประณีตสูงครึ่งแขนโผล่มาใบหนึ่ง “เจ้ารู้มูลค่าของโอสถปีศาจเม็ดนี้ไหม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องเป็นเซียนกระบี่แบบใดถึงจะสามารถสังหารปีศาจใหญ่ที่เผยร่างจริงได้ด้วยกระบี่เดียว?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า แต่แล้วก็พยักหน้า “มูลค่าของโอสถปีศาจข้าไม่รู้ แต่วิชากระบี่ของจั่วโย่ว ข้ารู้ดี จั่วโย่วเคยพูดกับข้าเองว่า ปณิธานกระบี่ของเขาต่ำกว่าอาเหลียง วิชากระบี่…สูงกว่าอาเหลียง ข้าเชื่อเขา”

สีหน้าของเจียงซ่างเจินแข็งค้าง เอียงศีรษะ ยื่นมือมาขยี้ใบหน้าตัวเองแรงๆ

เฉินผิงอันหนอเฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ใช้น้ำเสียงผ่อนคลายเช่นนี้พูดถึงสหายที่บอกว่า ‘เวทกระบี่สูงกว่าอาเหลียง’ ได้หรือไม่?!

เฉินผิงอันเองก็จับความคิดของอีกฝ่ายได้จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ ความแค้นระหว่างข้ากับหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมาร ไม่เกี่ยวกับเจ้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างต่อให้ข้าไปขอร้องจั่วโย่ว เขาก็ไม่มีทางรับปากข้าว่าจะออกกระบี่ใส่เจ้าเจียงซ่างเจินจริงๆ”

จั่วโย่วที่บอกว่าตัวเองคือศิษย์พี่ใหญ่

ต้องบีบจมูกกลั้นใจถึงจะยอมรับว่าตนคือ ‘ศิษย์น้องเล็ก’

วางใจกะผีน่ะสิ!

เจียงซ่างเจินไม่ได้เชื่อคำพูดนี้ของเฉินผิงอันจริงๆ อีกอย่างเซียนกระบี่ที่ชื่อว่า ‘จั่วโย่ว’ ผู้นั้นยังต้องใช้เหตุผลในการออกกระบี่อีกหรือ? คาดว่าหากเขาอารมณ์ไม่ดีก็คงปล่อยกระบี่ฟันใส่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักกุยหยกเลยกระมัง? เจ้าเฉินผิงอันไม่ลองไปถามความรู้สึกตอนนี้ของตาเฒ่าสารเลวสำนักใบถงผู้นั้นดูเล่า? หลังจากรับไปหนึ่งกระบี่แล้ว เพื่อให้ไม่ต้องรับกระบี่ที่สอง แม้แต่หน้าแก่ๆ เขาก็ยังไม่ต้องการแล้ว!

เจียงซ่างเจินตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าวันหน้าอยู่ให้ห่างเฉินผิงอันหน่อยจะดีกว่า

รับขวดที่บรรจุโอสถปีศาจมาแล้ว เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็รีบเก็บมันลงไปในวัตถุฟางชุ่นทันที

เจียงซ่างเจินเอ่ยเบาๆ ว่า “ขวดนี้ถือว่าเป็นสมบัติอาคมที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง ถือซะว่าเป็นของขวัญชดเชยของสกุลเจียงข้าแล้วกัน ส่วนวันหน้าเจ้ากับโจวซื่อจะได้เจอกันหรือไม่ เจอกันแล้วจะทำอย่างไร วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ”

เผยเฉียนชำเลืองตามองเฉินผิงอันและเจ้าหมอนั่นครั้งหนึ่งก็ไม่มองอีก

ขบวนรับเจ้าสาวของเทพภูเขาคือครั้งแรก ยื่นมือชี้ไปยังเรือข้ามฟากที่ลอยอยู่เหนือศีรษะคือครั้งที่สอง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง

เผยเฉียนมองเห็นคนทั้งสองจึงอดจะมองเพิ่มอีกไม่ได้ ทว่าลู่ยงกับเว่ยเซี่ยนสี่คนกลับมองไม่เห็นจึงไม่คิดจะมองอีก

ครู่หนึ่งต่อมาสองร่างก็กลับมาปรากฏอยู่ข้างกายทุกคนอีกครั้ง

เฉินผิงอันเดินนำขึ้นเรือไปก่อน เผยเฉียนรีบตามไปทันที คนทั้งสี่ตามหลังมาติดๆ

หลังจากขึ้นเรือข้ามฟากมาแล้ว เฉินผิงอันก็หันกลับไปกุมหมัดคารวะเจียงซ่างเจิน “คนละเรื่องไม่เอามาปนกัน ขอบคุณมาก”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยรู้สึกโล่งอกขนาดนี้?

ผู้ดูแลของตำหนักพยัคฆ์เขียวมารออยู่ตรงหัวเรือนานแล้ว จึงนำทางพาพวกเฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของเรือข้ามฟากอย่างระมัดระวัง

เจียงซ่างเจินยังคงมองเรือข้ามฟาก เงียบงันไปเป็นนาน

ลู่ยงจึงได้แต่ยืนเหม่อเป็นเพื่อนเจ้าประมุขสกุลเจียงผู้นี้ด้วย

เดิมทีเรือข้ามฟากก็รอแค่กลุ่มของเฉินผิงอันอยู่แล้ว เพียงไม่นานก็ทะยานขึ้นฟ้าช้าๆ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

เจียงซ่างเจินถอนสายตากลับมา พูดเบาๆ ว่า “แขกสูงศักดิ์มาเยือนถึงบ้าน ตำหนักพยัคฆ์เขียวของพวกเจ้าไม่คิดจะมอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้เฉินเซียนซือบ้างหรือ?”

หัวใจของลู่ยงบีบรัดตัวแน่น พูดอย่างรู้กาลเทศะว่า “นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว ต้องมอบๆ เพียงแต่หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วยชี้แนะว่าควรจะมอบอะไรให้จึงจะเหมาะสม?”

เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงเย็น “อะไรที่มีค่าก็มอบสิ่งนั้น จะดีจะชั่วก็เป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าเรื่องมอบของขวัญอีกหรือ?”

ลู่ยงกัดฟัน พูดอย่างระมัดระวัง “หากเฉินเซียนซือปฏิเสธ ตำหนักพยัคฆ์เขียวควรจะทำอย่างไร?”

เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับไป สายตาเย็นชา “ก็ร้องไห้ โวยวาย แขวนคอตายซะสิ คนเขาจะไม่ยอมรับเชียวหรือ? ใต้หล้านี้หลอกเงินคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มอบเงินให้คนอื่นยังจะยากอีกหรือ? หากเรื่องเล็กๆ แค่นี้ตำหนักพยัคฆ์เขียวยังทำไม่ได้ เจ้าที่เป็นเจ้าตำหนัก ทำไมไม่ไปตายซะเลยล่ะ?”

ลู่ยงเหงื่อท่วมโซมกาย “ผู้อาวุโสสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร”

เจียงซ่างเจินแค่นเสียงเย็นหนึ่งที “ไม่ว่าเจ้าลู่ยงจะมอบอะไรไป หลังจากนั้นให้กลับมาบอกราคาแก่ข้า ข้าจะชดใช้คืนให้กับตำหนักพยัคฆ์เขียวเป็นสองเท่า”

ลู่ยงเพิ่งจะวางแผนได้สำเร็จ

คิดไม่ถึงว่าเจียงซ่างเจินจะหรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึน “อย่ามาทำตัวอวดฉลาดกับข้าในเรื่องเละเทะประเภทนี้ เป็นเงินเท่าไหร่ก็บอกมาเท่านั้น เจ้าลู่ยงและตำหนักพยัคฆ์เขียวยังไม่มีคุณสมบัติมากพอจะทำให้ข้าเจียงซ่างเจินติดค้างน้ำใจได้”

ลู่ยงรีบพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวสาร

เจียงซ่างเจินพลันหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง แล้วตบไหล่ของลู่ยง พูดด้วยสีหน้าเมตตาปราณี “เมื่อครู่นี้ข้าคิดเรื่องหนึ่งจนกระจ่างแจ้ง ดังนั้นข้าจึงวางแผนว่าจะอยู่ที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวนานอีกหนึ่งวัน เจ้าเลือกลูกศิษย์ที่เข้าท่าเข้าทีมาสักสองสามคน ข้าจะช่วยอธิบายเรื่องการฝึกตนให้พวกเขาฟังเอง หากในบรรดาคนเหล่านี้มีตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตน ข้าจะมอบรายชื่อหนึ่งให้คนของตำหนักพยัคฆ์เขียวได้ไปที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา อืม อย่าลืมล่ะว่าหากหน้าตาเหมือนแตงเบี้ยวเหมือนพุทราแตก ต่อให้พรสวรรค์ดีแค่ไหนก็อย่าเอามาให้ขัดหูขัดตาข้า การถ่ายทอดวิชาความรู้ ไขข้อข้องใจให้คนอื่นนั้น ยังต้องพิถีพิถันในเรื่องสบายตาสบายใจด้วย”

ในใจลู่ยงปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็คารวะขอบคุณด้วยความจริงใจ “พระคุณยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโส ลู่ยงจะจดจำให้ขึ้นใจ!”

บนเส้นทางของการฝึกตน ความโชคดีมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ

โชคร้าย จะแบกไหวหรือไม่ โชคดี จะรับไว้อยู่มือหรือไม่

ล้วนเป็นการฝึกตนของตน

ยกตัวอย่างเช่นต่อให้เป็นเทพเซียนบนยอดเขาอย่างเจียงซ่างเจิน หากเปลี่ยนไปเป็นโจวเฝยที่มีสถานะเป็นเจ๋อเซียน เมื่อเจอกับติงอิงที่เกิดจิตสังหารก็ได้แต่ตายอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่ดี

……

หลังจากเดินขึ้นไปยังชั้นบนของเรือข้ามฟากแล้ว คนทั้งหกต่างก็มีห้องพักชั้นหนึ่งเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าห้องที่เฉินผิงอันพักย่อมใหญ่หรูหราจนเกินจริงไปมาก

เว่ยเซี่ยนสี่คนได้ป้ายหยกและกุญแจไปแล้วต่างก็พร้อมใจกันเดินตามเฉินผิงอันไป

หลังจากเผยเฉียนปิดประตูลงก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง วิ่งกลับไปกลับมา เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ สุดท้ายไปยืนดูทะเลเมฆอยู่ที่ระเบียงชมทิวทัศน์ ใบหน้าดำเกรียมเต็มไปด้วยความสุข สายตาเหม่มองไปยังทิศไกล

เว่ยเซี่ยนเองก็ตามไปที่ระเบียงด้วย

คนทั้งสามนั่งลง รวมกับเฉินผิงอันด้วยอีกคน

หลูป๋ายเซี่ยงถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน เทพเซียนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้คือ?”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง รินชาถ้วยหนึ่งให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันรับถ้วยชามาแล้วก็เอ่ยว่า “คือเจ้าประมุขสกุลเจียงของสำนักกุยหยก เจียงซ่างเจิน ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งเขายังได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่ระดับขั้นสูงมากแห่งหนึ่ง อาณาบริเวณของพื้นที่มงคลแห่งนั้นกว้างขวางอย่างถึงที่สุด มีสมบัติวิเศษอยู่เยอะมาก”

จูเหลี่ยนจุ๊ปากชื่นชม “นายน้อยไม่ได้แค่คบหากับคนที่ความรู้ตื้นเขิน เห็นได้ชัดว่าคนที่เรียกว่าเป็นสหายเป็นเพื่อนล้วนเป็นเซียนบนภูเขา”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่เพื่อนอะไรหรอก”

หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ขอบเขตหยกดิบ นั่นก็เท่ากับเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว”

เฉินผิงอันได้บอกเรื่องการแบ่งขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แล้ว

ร่างทองขอบเขตเจ็ด เดินทางไกลขอบเขตแปด ยอดเขาขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธ์ คือขอบเขตปลายทางบนวิถีวรยุทธ์ในสายตาของของผู้ฝึกยุทธ์บนโลก แต่อันที่จริงยังมีขอบเขตสิบ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยังคงบอกกับพวกเขาว่าขอบเขตสิบยังคงไม่ใช่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์

ห้าขอบเขตกลางของผู้ฝึกลมปราณ ขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตโอสถทอง ขอบเขตก่อกำเนิด

ห้าขอบเขตบนรู้แค่ว่ามีขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยาน อีกสองขอบเขตหายสาบสูญไปนานแล้ว

ตรงระเบียงชมทิวทัศน์ เผยเฉียนมองก้อนเมฆที่เดี๋ยวม้วนเดี๋ยวคลาย มองทัศนียภาพงดงามยิ่งใหญ่แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาอีก นางถอนหายใจเฮือกๆ “เหล่าเว่ยเอ๋ย ข้าจะพูดความในใจให้เจ้าฟังดีไหม?”

เว่ยเซี่ยนอืมรับหนึ่งที ยืนอยู่ตรงราวระเบียง เรือข้ามฟากขับเคลื่อนไปเหนือทะเลเมฆ น่าจะมีค่ายกลตระกูลเซียนให้การปกป้อง ระเบียงชมทิวทัศน์ของเรือลำนี้ถึงไม่ต้องรับกับลมที่ปะทะรุนแรง มีเพียงลมโชยอ่อนที่ลอยมาปะทะใบหน้าให้เย็นสบายเท่านั้น

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “พ่อข้ายังไม่ยอมสอนวิชากระบี่ล้ำโลกให้ข้าเสียที”

เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าวต้องกินไปทีละคำ”

เผยเฉียนนั่งยองอยู่บนพื้น เอนหลังพิงราวระเบียง “กลุ้มจังเลย”

เว่ยเซี่ยนก้มหน้าลงมองเด็กหญิงผอมแห้งแวบหนึ่ง “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็ยังน่าสังเวชแบบนี้ ถ้าชินแล้วเดี๋ยวก็ดีเอง”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น สายตาเต็มไปด้วยแววตำหนิ “เหล่าเว่ย เจ้าเป็นแบบนี้จะหาเมียได้ไหม?”

เว่ยเซี่ยนคิดแล้วก็ตอบว่า “หาได้สิ ล้วนเป็นคนอื่นที่ช่วยหาให้ข้า แต่คนที่ข้าชอบที่สุด ข้ากลับไม่สามารถแต่งนางเข้าบ้านมาได้”

เผยเฉียนถาม “ทำไมล่ะ? นางรังเกียจที่เจ้าหน้าตาขี้เหร่? ถ้าอย่างนั้นก็โทษผู้หญิงเขาไม่ได้หรอก”

ความสามารถในการปลอบใจของหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนี้ล้วนย่ำแย่ไม่ต่างกัน

เว่ยเซี่ยนฟุบตัวลงบนราวระเบียง “ไม่มีใครรังเกียจหน้าตาของข้า นางเองก็ไม่ได้สะสวยไปยังไง เพียงแต่ตอนนั้นบ้านข้ายากจน ใจคิดว่าวันหน้าหากหาเงินมาได้เยอะแล้วก็จะแต่งนางเป็นภรรยา ภายหลังเรื่องราวทางโลกวุ่นวาย นางตาย แต่ข้าไม่ตาย”

เผยเฉียนลุกขึ้นยืน ตบแขนเว่ยเซี่ยน “เอาน่า ล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว เจ้าลองคิดดูสิ เรื่องพวกนี้ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว เจ้ายังคิดถึงนางอยู่ นั่นก็เท่ากับว่านางยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว ไม่แน่ว่าหากปีนั้นเจ้าแต่งนางมา ยิ่งมองยิ่งรำคาญใจ เจ้าอาจจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ก็ได้”

เว่ยเซี่ยนพยักหน้า “คือเหตุผลข้อนี้ ปีนั้นคนข้างกายข้าไม่มีใครที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน คนเป็นขุนนางมีมากมายขนาดนั้น ทว่าความรู้ที่เล่าเรียนมากลับลงท้องสุนัขไปหมดแล้ว”

เผยเฉียนหัวเราะคิกคักถามว่า “เหล่าเว่ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นขุนนางใหญ่ได้แค่ไหน?”

เว่ยเซี่ยนกล่าว “ผู้หญิงเป็นขุนนางไม่ได้ เจ้าหน้าตาแบบนี้ โตไปก็น่าจะเป็นหญิงอัปลักษณ์ ต่อให้เข้าวังก็ไม่มีทางได้เห็นฮ่องเต้ชั่วชีวิต”

เผยเฉียนเตะขาของเว่ยเซี่ยน พูดอย่างเดือดดาล “เหล่าเว่ย ทำไมเจ้าถึงเป็นอันธพาลเฒ่าได้นะ?!”

เว่ยเซี่ยนหัวเราะเหอๆ

ความไม่สบายใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาซึ่งติดค้างอยู่ในใจของหมื่นศัตรูไร้เทียมทานแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นี้ก็ได้จางหายไปแล้ว

อันที่จริงจะโทษว่าเฉินผิงอันจงใจทำให้คนไม่สบายใจไม่ได้ เพราะเป็นเขาเว่ยเซี่ยนที่ปากอยู่ไม่สุขเอง อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปถามเรื่องประวัติศาสตร์ในภายหลังของแคว้นหนันเยวี่ยน โดยเฉพาะคำวิจารณ์ที่มีต่อเขาเว่ยเซี่ยนในหนังสือประวัติศาสตร์

ตอนนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของแคว้นหนันเยวี่ยนก็พลิกเปิดตำราประวัติศาสตร์และเกร็ดพงศาวดารมากมาย เรื่องราวเกี่ยวกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นเว่ยเซี่ยน แน่นอนว่ายิ่งเปิดเจอไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นคำเล่าลืออันมหัศจรรย์และนิมิตมงคลยามที่เว่ยเซี่ยนถือกำเนิด ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งที่บิดาของเว่ยเซี่ยนไปทำนาในนา เห็นว่าภรรยานอนหงายอยู่บนถนน มีมังกรขาวขดตัวอยู่บนร่างนาง จากนั้นนางก็ตั้งท้องเว่ยเซี่ยน…

หลังจากการคุยเล่นในครั้งนั้น เว่ยเซี่ยนก็ไม่ถามเรื่องพวกนี้กับเฉินผิงอันอีก

เผยเฉียนเป็นคนที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพอ ตอนนั้นจึงหัวเราะก๊ากกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา

และช่วงที่ผ่านมานี้ก็มักจะเอาเรื่องนี้มาทำให้เขารำคาญใจอยู่เป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่นเวลาเดินนางจะจงใจยืดท้องให้นูนใหญ่ จากนั้นก็วิ่งวนไปรอบกายเว่ยเซี่ยนแล้วยังร้องโอ้ยๆๆ ประกอบด้วย

สุดท้ายถูกเฉินผิงอันดึงหูจนเจ็บ นอกจากนี้ยังเขกมะเหงกเต็มๆ ให้อีกหนึ่งที เผยเฉียนถึงได้ยอมหยุด อีกทั้งยังไปขอโทษเว่ยเซี่ยน ทว่ายามที่หันหลังให้เฉินผิงอัน อันที่จริงนางยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้าทะเล้น

เว่ยเซี่ยนไม่ได้ถือสาถึงขั้นโมโหเด็กหญิงตัวน้อยเอาจริงเอาจัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังอารมณ์ไม่ดี

เผยเฉียนเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของเว่ยเซี่ยน พลันพูดขึ้นว่า “เหล่าเว่ย ขอโทษนะ วันหน้าข้าจะไม่ล้อเลียนเจ้าแล้ว”

เว่ยเซี่ยนแสยะปาก “ไม่เป็นไร อันที่จริงนี่ไม่ถือเป็นอะไรได้เลย ยังมีเรื่องอีกมากที่ขุนนางผู้บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของแคว้นหนันเยวี่ยนไม่กล้าพอจะเขียนลงไป…”

เผยเฉียนพูดเบาๆ “ยกตัวอย่างเช่น? เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ พวกเราคุยกันเบาๆ”

เว่ยเซี่ยนพูดเสียงเบา “มีถมเถไป ยกตัวอย่างเช่นฉายาของข้าตอนอยู่ที่บ้านเกิดคือสู่ปา เพราะบ้านยากจนจึงต้องลักเล็กขโมยน้อย ภายหลังยังทำเรื่องสกปรกหลายอย่างเช่นดักปล้นบนถนน เป็นโจรในภูเขา เร่ขายเกลือเถื่อน ฯลฯ ส่วนแม่ของข้า ไม่เคยมีมังกรขาวอะไรขดตัวบนร่างมาก่อน แต่ข้ากลับเคยเห็นนางคบชู้กับตาตัวเอง เพียงแต่ข้าเก็บเงียบไม่บอกใคร บุรุษคนนั้นไม่เลว เป็นคนดีกว่าพ่อข้าเยอะเลย ภายหลังเพื่อช่วยข้า บุรุษคนนั้นถูกดักอยู่ในตรอก ถูกโจรฟันหลังจนเละ แต่ยังไม่ลืมตะโกนบอกให้ข้าหนีไป ข้าจะทำอะไรได้อีก ก็หนีน่ะสิ แต่สุดท้ายข้าก็หาตัวฆาตกรที่ฆ่าเขาไม่เจอ”

เผยเฉียนทอดถอนใจพลางหมุนตัววิ่งไปทางเฉินผิงอัน แล้วอยู่ๆ ก็เพิ่มความเร็ว พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่ของเว่ยเซี่ยนเขา…”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเผยเฉียนที่มีสีหน้าปิติยินดี เตรียมจะเปิดบาดแผลของผู้อื่นแล้วตวาดอย่างขุ่นเคือง “หุบปาก! กลับไปขอโทษเดี๋ยวนี้!”

เผยเฉียนตกใจเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ขอบตาพลันแดงก่ำ รีบวิ่งกลับไปที่ระเบียง เตรียมจะเปิดปากเอ่ยขอโทษเว่ยเซียน เว่ยเซี่ยนกลับตบศีรษะเล็กของนาง “ช่างเถอะ จะร้องไห้ไปไย เรื่องใหญ่แค่ก้น คราวหน้าเจ้าค่อยเลี้ยงถังหูลู่ข้าบ้างก็พอ”

เผยเฉียนรีบตอบรับทันใด แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่อยู่ในห้องอย่างขลาดๆ จบกัน โกรธจริงๆ ด้วย

นางรีบกอดขาของเว่ยเซี่ยน พูดเสียงสะอื้น “อีกเดี๋ยวถ้าพ่อข้าโยนข้าลงจากเรือ เจ้าต้องคว้าข้าไว้ให้ทันนะ”

เว่ยเซี่ยนระอาใจยิ่งนัก จึงหันหน้าไปมองในห้อง พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรจริงๆ”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า

เพียงแต่ว่าพอยืนขึ้นกลับพูดกับเผยเฉียนว่า “มานี่”

แล้วจึงพาเผยเฉียนไปยังห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ เผยเฉียนรีบปิดประตูลงอย่างว่องไว แล้วจึงทำไหล่ลู่คอตก ยอมรับผิดไม่ขาดปาก ท่าทางน่าสงสารราวกับว่าต่อให้โดนตีก็จะไม่ตอบโต้

เฉินผิงอันพูดเสียงหนัก “เหล่าเว่ยใช่เพื่อนของเจ้าหรือไม่?!”

เผยเฉียนคิดแล้วก็ไม่กล้าโกหก จึงตอบไปตามตรง “ครึ่งหนึ่ง”

เผยเฉียนรีบพูดเสริมอีกประโยคอย่างรวดเร็ว “ครึ่งหนึ่งก็ถือว่ามากแล้ว เสี่ยวป๋ายยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย แต่เหล่าเว่ยใช่”

เฉินผิงอันถาม “เกี่ยวกับเพื่อน ในหนังสือสองเล่มนั้นบอกไว้ว่าอย่างไร?”

เผยเฉียนพูดตอบโดยไม่ต้องคิด “มิตรภาพกับคนเที่ยงตรง มิตรภาพกับคนซื่อสัตย์ มิตรภาพกับคนได้สดับฟังมา มาก เป็นประโยชน์ หากสหายทำผิด ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมชักนำเขาไปในทางที่ดี หากสหายไม่ยอมรับความหวังดีก็ให้ปล่อยไป มิจำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว หนึ่งวันทบทวนตัวเองหลายครั้ง ถือว่าพยายามทำเพื่อคนอื่นอย่างเต็มกำลังแล้วหรือไม่? วิญญูชนปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ…”

เผยเฉียนพูดรัวเหมือนเทเมล็ดถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำได้ข้อไหนบ้าง?”

เผยเฉียนก้มหน้าลง พึมพำเสียงเบา “ในตำราว่าไว้ ไม่ใช่เจ้าว่าไว้สักหน่อย”

เฉินผิงอันโมโหหนักเข้าไปใหญ่

เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ข้าผิดไปแล้ว นอกจากจะไม่ควรล้อเลียนเหล่าเว่ยแล้ว เหล่าเว่ยปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ ข้าก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจเช่นกัน”

สีหน้าของเฉินผิงอันถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดหน้าดำคร่ำเครียดว่า “เอาตำราไปท่องดังๆ ที่ระเบียง”

เผยเฉียนถาม “ข้าท่องได้หมดแล้ว ไม่ต้องเอาตำราไปได้ไหม?”

เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าจะโมโหอีกครั้ง เผยเฉียนก็รีบหมุนตัวกลับเตรียมวิ่งไปทันที บอกว่านางต้องถือหนังสือไว้ ไม่อย่างนั้นจะดูไม่จริงใจมากพอ ย่อมผิดต่ออริยะปราชญ์ผู้เขียนหนังสือ

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที

นึกถึงกู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดแห่งตรอกหนีผิงขึ้นมาอีก

พอๆ กันเลย

บนระเบียง สองมือของเผยเฉียนถือตำราไว้สูง ไม่ต้องพลิกเปิดหน้าหนังสือก็เริ่มท่องด้วยเสียงอันดัง ตอนที่แสร้งทำเป็นพลิกเปิดหน้าหนังสือ ยังหันหน้ามาพูดกับเว่ยเซี่ยนด้วยรอยยิ้มเสียงเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “เหล่าเว่ย พ่อข้ารู้สึกว่าคำพูดยอมรับผิดของข้าครั้งนี้ พูดได้ถูกต้องอย่างมาก”

เว่ยเซี่ยนยกนิ้วโป้งให้ แสดงถึงการชื่นชม

เผยเฉียนโคลงศีรษะไปมา

ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนเขกมะเหงกใส่

เผยเฉียนไม่กล้าหันหน้ากลับไป ตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ไม่กล้าแล้วจริงๆ …”

จูเหลี่ยนอืมหนึ่งที เอามือไพล่หลังหันตัวกลับแล้วเดินจากไป “ดีมาก เด็กคนนี้สั่งสอนได้ ยังมีทางเยียวยา”

เผยเฉียนหันขวับกลับมา เตรียมจะสู้ตายกับตาแก่สารเลวผู้นี้ ผลกลับเห็นว่าเฉินผิงอันเพิ่งเดินออกมาจากห้องหนังสือพอดี จึงต้องข่มกลั้นโทสะนี้เอาไว้ หันหน้ากลับไปท่องหนังสือต่อแต่โดยดี

สุดท้ายเผยเฉียนยังท่องหนังสืออยู่บนระเบียง สุยโย่วเปียนจากไปนานแล้ว เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนก็แยกย้ายจากไปด้วย

ดังนั้นจึงเหลือแค่หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งข้างโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามคือเฉินผิงอัน

หลูป๋ายเซี่ยงถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน ท่านไม่ถามข้าถึงเนื้อหาในประโยคนั้นของข้าหรือ?”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา รินเหล้าใส่จอกสองใบ ยื่นส่งให้หลูป๋ายเซี่ยงหนึ่งใบ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อยากพูดก็พูด เจ้าไม่อยากพูด ข้ายังจะทำอะไรได้อีก”

จูเหลี่ยนเคยเข้าใจว่าการที่เฉินผิงอันใกล้ชิดสนิทใจกับหลูป๋ายเซี่ยงเพราะฝ่ายหลังพูดประโยคนั้นออกไปเป็นคนแรก ถึงถูกมองว่าเป็น ‘คนทรยศ’ ที่ยอมสวามิภักดิ์ก่อน

แต่ตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว จนถึงทุกวันนี้หลูป๋ายเซี่ยงก็ยังไม่เคยพูด เขาเป็นคนสุดท้ายในสี่คนของม้วนภาพวาดด้วยซ้ำ

หลูป๋ายเซี่ยงมีสีหน้าปั้นยาก ดื่มเหล้าไปหนึ่งจอกแล้วถึงกล่าวว่า “ประโยคนั้นของข้า อันที่จริงน่าจะไม่มีความหมายมากที่สุดเมื่อเทียบกับพวกเขาสามคน ‘จ่ายเงินเหมือนน้ำไหล ดีใจหรือไม่’”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เป็นลักษณะการพูดของคนผู้นั้นจริงๆ”

หลูป๋ายเซี่ยงถาม “วันหน้าไม่เรียกว่านายท่านแล้วได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ฟังแล้วดูมีบารมีดี”

ไม่ว่าอย่างไรหลูป๋ายเซี่ยงก็คิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบแบบนี้ เดิมทีนึกว่าเฉินผิงอันจะต้องรับปากเสียอีก

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ต้องเรียกก็ได้ ข้าแค่ล้อเล่น”

หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า กุมหมัดคารวะ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เฉินผิงอันปฏิบัติต่อข้าดุจวีรบุรุษแห่งแคว้น หลู่ป๋ายเซี่ยงย่อมตอบแทนกลับด้วยการกระทำของวีรบุรุษแห่งแคว้น”

เฉินผิงอันได้แต่ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย “ประโยคนี้หากเปลี่ยนมาเป็นจูเหลี่ยนที่พูด ข้ายังพอจะชินอยู่บ้าง แต่พอเจ้าพูด กลับไม่ค่อยคุ้นเคยนัก”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มแล้วเอ่ยลาจากไป

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะเพียงลำพัง ผ่านไปนานมาก เสียงท่องหนังสือยังคงดังอยู่ เขาถึงพูดขึ้นว่า “กลับเข้ามาในห้อง”

เผยเฉียนกำลังรอประโยคนี้อยู่เหมือนกัน นางปิดหนังสือ วิ่งกลับเข้ามาในห้องอย่างร่าเริง นั่งแปะลงบนม้านั่ง รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันถาม “ไม่แค้นข้าจริงๆ หรือ?”

“หา?”

เผยเฉียนมีสีหน้างงงันอย่างที่ไม่ได้แกล้งทำ “ทำไมต้องแค้นล่ะ?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่พูดคำใด

เผยเฉียนกล่าวอย่างน่าสงสาร “วันนี้ไม่ต้องคัดตัวอักษรแล้วได้ไหม เดินขึ้นบันไดมาตั้งมากขนาดนั้น เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”

เสียงเพี๊ยะดังขึ้น เฉินผิงอันตบยันต์แผ่นหนึ่งแปะลงบนหน้าผากเผยเฉียน “ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนี้เป็นของเจ้าแล้ว”

เผยเฉียนกำลังจะเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดี เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นเสียก่อนว่า “กลับไปคัดหนังสือที่ห้องตัวเอง”

เผยเฉียนใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าตนได้กำไรก้อนใหญ่ จึงหยิบห่อสัมภาระมาสะพายบนไหล่ ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ กระโดดโลดเต้นกลับไปคัดตัวอักษร

เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียง

นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่นั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเซียน?

……

สุยโย่วเปียนนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ในห้องของตัวเอง บนโต๊ะวางกระบี่ชือซินที่ยิ่งนานก็ยิ่งคมกริบ หล่อเลี้ยงกระบี่มานานขนาดนี้ สุยโย่วเปียนจึงสามารถสัมผัสถึงปณิธานกระบี่ที่ไหลวนเวียนอยู่ข้างในฝักกระบี่ได้อย่างชัดเจน

ปณิธานกระบี่มิใช่ปราณกระบี่

และหลังจากศึกใหญ่ในคืนนั้นปิดฉากลง นางก็ได้ติดตามเฉินผิงอันเดินออกไปจากวัดร้าง

คนทั้งสองสนทนากันพักหนึ่ง

บางคำพูดของเฉินผิงอันค่อนข้างจะไม่เกรงใจกันสักเท่าไหร่

“เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสองเหรียญที่จ่ายไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าใช้คืน แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง พวกเขาสามคนใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองของข้า ต้องคืนหรือไม่ ยังไม่สรุป แต่เจ้าจำเป็นต้องคืน แต่ว่าจะคืนเมื่อไหร่ ไม่สำคัญ เพียงแต่ข้าต้องพูดให้ชัดเจนเสียก่อน คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถึงเวลานั้นเจ้ากับข้าต้องมาแตกหักกัน”

บางคำพูดก็ทำให้คนฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก

“เจ้าอย่าได้รู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพูดเรื่องการฝึกตนและวิถีกระบี่กับเจ้า ข้าเคยพบผู้ฝึกกระบี่สองคนที่ไม่ว่าจะเป็นเวทกระบี่หรือปณิธานกระบี่ก็แทบจะแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ามาแล้ว แม้ข้าจะเพิ่งฝึกกระบี่ได้ไม่นาน แต่ข้าก็รู้แล้วว่าจุดที่สูงที่สุดของปณิธานกระบี่กับเวทกระบี่บนโลกนี้นั้นอยู่ที่ไหน แค่ค่อยๆ เดินทีละก้าวจนไปถึงที่นั่นก็พอ”

บางคำพูดก็ลึกลับ

“เรื่องของการฝึกตน สำคัญที่ด่านเคาะใจตัวเอง พวกเจ้าสี่คนล้วนเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัว มีทางของตัวเองให้เดิน อีกทั้งยังจะเดินไปได้หนักแน่นมั่นคงเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสุยโย่วเปียนที่ใจคิดถึงแต่ความอภินิหารเลิศล้ำของเวทกระบี่ ยิ่งปณิธานของเจ้าสูงส่งมากเท่าไหร่ ตอนนี้เจ้าก็ยิ่งสิ้นหวังมากเท่านั้น แต่ข้าเชื่อว่าสวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน!”

สุดท้ายสุยโย่วเปียนถามเฉินผิงอันว่าเหตุใดมีเพียงนางที่จำเป็นต้องคืนเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง

ตอนนั้นเจ้าหมอนั่นตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังว่า “ข้ามีแม่นางที่ชอบแล้ว คราวหน้าที่ข้าไปหานาง แล้วนางจะตรวจสอบทรัพย์สินของข้า หากไม่ตรงกับบัญชีเดิมขึ้นมา อีกทั้งสาเหตุยังเป็นเพราะสตรีคนอื่น ข้าจะอธิบายกับนางอย่างไร?”

……

กำแพงเมืองปราณกระบี่ ศึกใหญ่เพิ่งปิดฉากลง

ท่ามกลางม่านราตรี ใต้หล้าแห่งนี้มีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่สองดวง

ตรงกระท่อมสองหลังหนึ่งใหม่หนึ่งเก่าที่อยู่บนทางเดินม้า หนิงเหยานั่งอยู่บนกำแพงเมืองที่ตรงกับกระท่อมพอดี บนเข่านางวางมีดทับกระโปรงและกระบี่ไม้ไหวเอาไว้ หญิงสาวกำลังเหม่อลอย

เซียนกระบี่ใหญ่ที่มีชื่อว่าเฉิงชิงตูมานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายหนิงเหยา “ในเมื่อมีเวลาว่างชั่วคราว ถ้าอย่างนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่สามารถบอกกับเจ้าได้แล้ว”

หนิงเหยาหันหน้ามามองอย่างสงสัย

ผู้เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม “กระบี่ปราณยาวเล่มนั้น เดิมทีข้าคิดจะมอบให้เจ้าในอนาคต”

ผู้เฒ่าโบกมือ ตัดบทไม่ให้หนิงเหยาเอ่ยแทรก “แต่การโจมตีของเผ่าปีศาจครั้งนี้ประหลาดอย่างยิ่ง ข้ากลัวว่าหากมอบให้เจ้าแล้วกลับจะกลายเป็นเรื่องร้าย พอดีกับที่เฉินผิงอันต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ ข้าจึงบอกให้เขาสะพายปราณยาวไปที่อารามกวานเต๋าในใบถงทวีป ก่อนจะยืมกระบี่ไป ข้าได้พูดกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า เมื่อสะพายกระบี่ปราณยาวมีข้อดีมากมาย แต่ข้อเสียกลับมากยิ่งกว่า ต้องแบกรับผลกรรม คือผลกรรมใหญ่ระหว่างหนิงเหยากับเผ่าปีศาจ”

เฉินชิงตูยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนั้น…เผยสีหน้าและแววตาที่แตกต่างไปจากปกติอย่างมากออกมาเป็นครั้งแรก ต่อให้ตอนที่เขาต่อสู้กับเฉาสือ พวกเราอยู่ด้านข้างเห็นเขาแพ้ติดต่อกันสามครั้ง แต่สายตาของเฉินผิงอันก็ยังไม่เป็นประกายเจิดจ้าเช่นนั้นมาก่อน ทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้งยิ่งนัก”

เฉาชิงตูหันหน้ามาถาม “แม่หนูหนิง ทำไมเจ้าไม่โกรธล่ะ? ไม่โทษที่ข้ากระทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น ทำให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายรึ?”

มุมปากหนิงเหยากระตุกขึ้น “โกรธ? ข้าไม่โกรธ ข้าคือหนิงเหยา! เขาคือเฉินผิงอัน!”

ฮึกเหิมและเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา

ราวกับกำลังพูดว่า คนที่ข้าหนิงเหยาชอบเต็มใจทำเช่นนี้ นางไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว!

เฉาชิงตูกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินไปทางกระท่อมพลางจุ๊ปากพูด “ดึกดื่นค่ำคืนต้องมาโดนทิ่มแทงแบบนี้ ข้านี่ก็หาเรื่องใส่ตัวซะจริง”

หนิงเหยาใช้สองมือเท้าคาง เริ่มคิดถึงเขา

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ

ฮ่า เหตุใดข้าถึงได้สายตาดีขนาดนี้นะ?

แต่จู่ๆ นางกลับขมวดคิ้ว นึกถึงบทสนทนาครั้งหนึ่งในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงขึ้นมาได้ “หา? ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับเป็นข้าเองที่สมองมีปัญหา สายตาไม่ดีหรือนี่?!”

นางลุกขึ้นยืน เก็บมีดทับกระโปรงที่เคยให้เขายืม รวมไปถึงกระบี่ไม้ไหวที่ขอยืมเขามา จากนั้นก็เริ่มออกหมัดและเดินเลียนแบบเจ้าทึ่มนั่น พูดพึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “มือเดียวของข้าหนิงเหยาสามารถตีเซียนกระบี่ใหญ่เฉินผิงอันได้ห้าร้อยคน!”

นางหยุดเดินหมุนตัวกลับ มองไปทางใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยกสองแขนขึ้นกอดอก สีหน้าสดใสเบิกบาน “แค่ถามพวกเจ้าว่ากลัวหรือไม่กลัว?!”

……

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินชิงตูหลุดหัวเราะพรืด ดีนักนะ หากมีวันนั้นจริงๆ ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่กล้าไม่กลัวอีก?

……

ตอนนั้นที่อยู่ข้างท่าเรือบนยอดเขาเทียนแจว๋

สุดท้ายเจียงซ่างเจินถามปัญหาข้อเล็กๆ ข้อหนึ่งกับเฉินผิงอัน

“เหตุใดถึงต้องสนใจความรู้สึกของพวกลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียว? อีกอย่างเจ้าทำอย่างนั้นเพราะ…อยากสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่พวกเขา? เพื่ออะไร? จำเป็นด้วยหรือ?”

แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินย่อมมองคาถาอำพรางตาออก รู้ดีว่าทั้งชุดคลุมอาคมจินหลี่และน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่างก็ไม่ธรรมดา

แต่สิ่งที่ทำให้เจียงซ่างเจินรู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงคือปิ่นหยกสีขาวที่เฉินผิงอันปักไว้บนมวยผม เป็นเพียงปิ่นหยกธรรมดาชิ้นหนึ่ง

เขาตั้งใจสังเกตก็เห็นว่าบนปิ่นสลักตัวอักษรเล็กๆ แปดคำ

หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!