Skip to content

Sword of Coming 370

บทที่ 370 พบเจอและแยกย้าย

ในขณะที่กระบี่บินชูอีและสืออู่ใกล้จะกินแท่นสังหารมังกรรูปทรงยาวชิ้นนั้นจนหมด กาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างต่อเนื่อง กระบี่บินส่งเสียงดังสวบๆ ก็มาถึงวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสองแล้ว

เผยเฉียน เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสามคนซื้อของที่ใช้ในวันตรุษจีนที่ร้านยาฮุยเฉินกลับมาเต็มไม้เต็มมือ วิ่งไปกลับอยู่ห้าหกรอบ การที่เผยเฉียนร้องขอร้องสุยโย่วเปียนอย่างยากลำบากให้เดินทางไปเป็นเพื่อนนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะขอแค่สุยโย่วเปียนยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับร้านต่างๆ ไม่จำเป็นต้องให้เว่ยเซี่ยนและเผยเฉียนต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้าน ราคาก็จะลดดิ่งฮวบลงได้เอง

ทุกครั้งจะออกไปแต่เช้า กลับมาเย็นย่ำ ผู้เฒ่าคนนั้นก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไหวโบราณของหัวเลี้ยวตรอก ตอนแรกยังมีท่าทางระมัดระวังอยู่บ้าง ภายหลังคุ้นเคยกันแล้วจึงพูดทักทายพวกเขา สองครั้งสุดท้าย เว่ยเซี่ยนที่มีหน้าที่แบกของหนักไม่ได้ตามไปด้วย วันนี้ตอนที่สุยโย่วเปียนซึ่งสะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวของเฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินกลับเข้ามาในตรอกเล็ก ผู้เฒ่าก็เอ่ยทักทายขึ้นอีกครั้ง เผยเฉียนตอบรับอย่างอ่อนหวาน สุยโย่วเปียนไม่ได้เอ่ยอะไร พอเดินเข้ามาในตรอกเล็ก เผยเฉียนก็หัวเราะร่าพูดว่าผู้เฒ่าที่ลักษณะท่าทางเหมือนซิ่วไฉเหมือนจวี่เหรินท่านนี้ช่างทำตัวสมกับคำว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ก็แค่อายุมากไปสักหน่อย สุยโย่วเปียนดึงหูเผยเฉียน ยิ้มตาหยีถามว่าผู้เฒ่าได้ตกปากรับคำว่าจะมอบเงินยาสุ้ยถุงสีแดงหนาหนักให้เจ้าใบหนึ่งใช่หรือไม่? เผยเฉียนได้แต่แสร้งโง่ร้องโอดโอยว่าเจ็บ

เดินข้ามธรณีประตูร้านยาเข้ามา เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน รอจนสุยโย่วเปียนปล่อยมือที่ดึงหูเผยเฉียนแล้ว เผยเฉียนก็เริ่มร่ายเสียงดังว่าพวกนางสองคนไปที่ไหนเวลาไหน ซื้อของอะไรที่ราคาเดิมเท่าไหร่ แต่ซื้อมาด้วยราคาเท่าไหร่ที่ร้านใด เฉินผิงอันดีดลูกคิด เมื่อเสียงของเผยเฉียนเงียบลง เสียงดีดลูกคิดใสกังวานดังเสนาะหูก็หยุดลงทันควันเช่นกัน เฉินผิงอันชูนิ้วโป้งให้สุยโย่วเปียน “ลำพังแค่พวกอุปกรณ์ตกแต่งบนโต๊ะหนังสือก็ได้ลดไปประมาณร้อยตำลึงเงินแล้ว”

เผยเฉียนช่วยสุยโย่วเปียนเลิกผ้าม่านไม้ไผ่ สุยโย่วเปียนเดินไปด้านหลังของร้านยาแล้วปลดข้าวของที่ซื้อมาสำหรับใช้ในวันตรุษจีนลงจากบ่า

เผยเฉียนเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะคิดเงิน เขย่งปลายเท้า เอาคางวางบนโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทวงรางวัล

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปทางม่านไม้ไผ่ แอบหยิบเงินเหรียญทองแดงออกมาเจ็ดแปดเหรียญ “นี่คือส่วนแบ่งของเจ้า รีบเก็บไปเร็วเข้า หากนางเห็นเข้า พวกเราสองคนต้องแย่แน่”

เผยเฉียนเก็บทรัพย์สินก้อนเล็กนี้มาอย่างระมัดระวังแล้ววิ่งปรู๊ดไปที่เรือนด้านหลัง รีบเอาไปเก็บไว้ในกล่องเก็บสมบัติของนาง

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไปช่วยนางเก็บของด้วย ต้องทำดีให้เสมอต้นเสมอปลาย แล้วจำไว้ว่าสุดท้ายต้องพูดกับนางหนึ่งคำว่าลำบากนางแล้ว”

“ได้เลย!” เผยเฉียนตอบรับเสียงดัง

มองม่านไม้ไผ่สีเขียวที่ยังแกว่งส่าย เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ

พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่สามสิบของสิ้นปีแล้ว วันสุดท้ายของปี บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (ปีใหม่ของจีนคือวันตรุษจีน จะอยู่ในช่วงเดือนสอง ไม่ใช่วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสองอย่างปีสากล)

ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ร่วมฉลองวันปีใหม่พร้อมกับคนมากมายในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าเช่นนี้

เมื่อไม่กี่วันก่อนไปซื้อของสำหรับตรุษจีนมาหลายรอบ สุยโย่วเปียนไม่ใคร่จะเต็มใจนัก ภายหลังเว่ยเซี่ยนก็คร้านจะไป กลับกลายเป็นสุยโย่วเปียนที่ติดใจขึ้นมา ลากเอาเผยเฉียนบุกตะลุยไปทั่วสี่ทิศ สนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ช่วงแรกเริ่มสุดจูเหลี่ยนมาปรึกษากับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว บอกว่าขอแค่พาสุยโย่วเปียนออกไปข้างนอกด้วยกันได้ก็จะมอบสี่สมบัติให้ห้องหนังสือหนึ่งชุดและเงินยาสุ้ยหนึ่งก้อนให้นาง เผยเฉียนบอกว่านางจะรับไว้พิจารณา หลังจากนั้นนางก็ไปหาเฉินผิงอัน เฉินผิงอันรู้สึกว่าสุยโย่วเปียนควรจะออกไปข้างนอกให้มาก สัมผัสกลับกลิ่นอายของโลกมนุษย์เยอะหน่อยก็เป็นเรื่องดี จึงบอกให้เผยเฉียนรับปากไป ดังนั้นสุยโย่วเปียนที่ทนรำคาญเสียงพึมงึมงำราวเสียงแมลงวันของเผยเฉียนซึ่งรบกวนการฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูของนางไม่ไหว จึงได้แต่ออกไปผ่อนคลายอารมณ์พร้อมกับนางและเว่ยเซี่ยน

ภายหลังสุยโย่วเปียนไปหยิบเอาหีบหนังสือไม้ไผ่สีเขียวใบที่วางอยู่ในมุมห้องของนางกับเผยเฉียนมาด้วยตัวเอง แล้วลากเผยเฉียนออกไปซื้อของด้วยกัน เฉินผิงอันจึงแอบตกลงกับเผยเฉียนอย่างลับๆ ว่า ขอแค่สุยโย่วเปียนต่อรองราคากับเถ้าแก่ร้านได้หนึ่งครั้ง เผยเฉียนก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกประตูร้านยา

แสงสว่างในตรอกเล็กพลันมืดสลัวลง บรรยากาศอึมครึมแผ่ปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งดูเหมือนว่าเส้นแสงนั่นจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้ดูหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด

คนผู้หนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพลิ้วกายลงมาจากฟากฟ้า นางก็คือฟ่านจวิ้นเม่า

เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะคิดเงิน ข้ามธรณีประตูออกไป

ฟ่านจวิ้นเม่าถาม “คิดดีแล้วหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หวังว่าจะส่งท้ายปีนี้ไปได้ด้วยดี”

ฟ่านจวิ้นเม่าหันไปเอ่ยเตือนเทพหยินแซ่จ้าวที่แผ่ควันดำตลบอบอวล ปราณดุร้ายล่องลอยไปทั่ว “อย่าวาดงูเติมหาง แอบตรวจสอบความเคลื่อนไหวบนทะเลเมฆ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากก็คือเฉินผิงอัน”

เทพหยินพยักหน้ารับ หากมันอาศัยค่ายกลของร้านยาก็จะมีตบะเท่ากับขอบเขตหยกดิบ ซึ่งสามารถตรวจสอบทะเลเมฆเบื้องบนของนครมังกรเฒ่าได้เล็กน้อยจริงๆ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณของทะเลเมฆทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ ทว่าเทพหยินและค่ายกลต่างก็เป็นปราณที่สกปรกและดุร้าย ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ประหนึ่งทหารที่ประมือกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ง่ายที่จะชักนำให้ทะเลเมฆเกิดความวุ่นวาย ทำให้การหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นของเฉินผิงอันล้มเหลว และจะทำร้ายไปถึงรากฐานของมหามรรคา

ฟ่านจวิ้นเม่ายื่นมือมาคว้าเฉินผิงอันและทะยานลมขึ้นไปยังทะเลเมฆเหนือศีรษะ

เฉินผิงอันพลันเอ่ยถามว่า “ในตำราบันทึกเอาไว้ ก่อนที่เซียนเหรินจะหลอมโอสถ หลังจากเลือกฤกษ์งามยามดีและฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว วันนั้นก็ควรต้องกินเจชำระล้างร่างกายให้สะอาด นั่งคุกเข่าอยู่หน้าเตาหลอมโอสถขอพรจากสี่ทิศของฟ้าดินไม่ใช่หรือ?”

ฟ่านจวิ้นเม่าแค่นเสียงเย็น “ข้าอยู่บนทะเลเมฆก็เหมือนเจ้าขุนเขาที่อยู่ในสำนักศึกษา เหมือนเจินเหรินที่เฝ้าพิทักษ์อารามเต๋า เหมือนอรหันต์ที่อยู่ในวัด ข้าก็คืออริยะของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างทะเลเมฆแห่งนี้ จะกราบไหว้ใคร? กราบไหว้ตัวข้าเองหรือ? หากเจ้าเฉินผิงอันคิดจะคุกเข่าโขกหัวคำนับ เดือดร้อนให้ข้าต้องกินกระบี่อีกรอบ ขอบเขตถดถอยอีกครั้ง ข้าก็ไม่มีปัญหา ขอบเขตหายไปก็สามารถฝึกฝนชดเชยกลับคืนมาได้ใหม่ แต่โอกาสที่จะให้เจ้าโขกหัวให้ได้ เกรงว่าคงมีไม่มาก”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ดูท่าลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่บนภูเขาชิงจิ้งแห่งนั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นอริยะของพื้นที่แถบหนึ่ง ไม่สามารถดึงเอา ‘ดินอวยพร’ ซึ่งเป็นโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาใช้ได้ตามใจชอบ

ถูกฟ่านจวิ้นเม่ากระชากเข้าไปในทะเลเมฆ เฉินผิงอันที่พอยืนนิ่งแล้วก็กระทืบทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าเบาๆ ไม่ยุบถล่ม ไม่สลายหายไป ไม่ต่างจากถนนดินปกติเลยแม้แต่น้อย เหมือนตอนที่ก่อนหน้านี้จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลไปเยือนศาลเทพวารี สามารถทะยานลมยืนอยู่เหนือคลื่นสีมรกต ให้ความรู้สึกไม่เลว

ฟ่านจวิ้นเม่าสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เบื้องหน้าของเฉินผิงอันก็มีโต๊ะตัวใหญ่สีขาวหิมะซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของแก่นไอหมอกบนทะเลเมฆปรากฎขึ้นมา ผิวโต๊ะราบเรียบมันลื่นดุจกระจก เมฆมงคลลอยล่อง ปราณเซียนพลิ้วละล่อง

เฉินผิงอันบังคับกระบี่บินสืออู่วัตถุฟางชุ่น และแผ่นหยกสีขาวสะอาดซึ่งเป็นวัตถุจื่อจื่อให้ออกมาลอยตัวอยู่เหนือผิวโต๊ะ จากนั้นก็เอาวัตถุทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการหลอมธาตุน้ำของห้าธาตุออกมา ความเคลื่อนไหวเชื่องช้า นอกจากเตาตู้ทองห้าสีที่ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวขายให้เฉินผิงอันด้วยราคาห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชแล้ว ยังมีวัตถุดิบวิเศษที่ตอนนั้นฟ่านจวิ้นเม่านำมาให้เฉินผิงอันโดยแลกกับโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดแห่งร่องเจียวหลงด้วย ของละลานตาเหล่านี้รวมกันแล้วได้สี่สิบกว่าชิ้น ลำพังเพียงแค่ชาดก็มีถึงสิบสองชนิด เอาไว้ใช้ปรับน้ำและไฟ ทำให้ห้าธาตุสมดุลภายใต้ช่วงเวลาที่แตกต่างและช่วงความแรงของไฟที่แตกต่างกัน

เฉินผิงอันไม่รีบร้อน แต่ฟ่านจวิ้นเม่าที่มองดูอยู่รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ เหตุใดถึงได้อืดอาดชักช้าขนาดนี้

ฟ่านจวิ้นเม่าตบหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นหนึ่งในมือลงบนโต๊ะเมฆ “เจ้าต้องการหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้น ในฐานะวัตถุดิบอันเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุด ระดับขั้นของแก่นน้ำก็ต้องตามทันกัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการถ่วงเวลาให้ล่าช้า หยกมังกรเฒ่าชิ้นนี้คือแก่นน้ำที่ดีที่สุดที่ข้าสามารถหามาได้ในเวลานี้ มีอายุพอๆ กับนครมังกรเฒ่า ดูดซับเอาแก่นของโชคชะตาน้ำในทะเลเมฆไปไม่น้อย เจ้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินกับข้า นี่ก็เป็นของเดิมพันของข้าฟ่านจวิ้นเม่าเหมือนเหล้ายาดองจากโอสถทองของเจียวหลงที่ผ่านการหลอมระดับเล็ก แต่หากเจ้าจะคุยเรื่องเงินให้ได้ก็ได้เหมือนกัน ถือซะว่าข้าขายหยกชิ้นนี้ให้เจ้าในราคาถูก สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็คุยเรื่องเงินกับข้าตลอดเวลานั่นแหละ”

ฟ่านจวิ้นเม่าทำสีหน้าปั้นยาก พูดเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจนักซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้าสามารถรับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่มีราคาสูงชิ้นนี้ไว้ได้อย่างสบายใจจริงๆ หรือ? นี่เป็นวัตถุเก่าแก่ที่วางไว้ในศาลบรรพชนของตระกูลฝูซึ่งได้รับควันธูปมานานเป็นพันปีเชียวนะ มีมูลค่าสูงมาก! แค่สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น และนี่ยังเกี่ยวพันกับระดับสูงต่ำของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เจ้าจะหลอมออกมาด้วย เจ้ายังจะไม่เต็มใจจ่ายอีกหรือ?”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “นี่เป็นแค่หนึ่งในของชดใช้ที่มีราคาเทียมฟ้าซึ่งได้มาจากตระกูลฝูเท่านั้น เจ้าก็แค่ช่วยเปลี่ยนมือนำมามอบให้ คิดจะหากำไรตั้งสามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเชียวรึ? ดูท่าแล้วช่วงนี้เจ้าคงจะผ่านด่านปีไปได้ยากกระมัง เรื่องที่ขอบเขตของเจ้าถดถอย ข้าคาดเดาเอาว่าคงไม่ได้ถอยจากก่อกำเนิดกลับไปโอสถทองอย่างง่ายๆ เท่านั้น ทำไม เจ้าเองก็เหมือนกับข้าที่กินเรือกลืนกระบี่เข้าไป รากฐานจึงถูกทำลายงั้นรึ? เจ้าฟ่านจวิ้นเม่ากินทะเลเมฆรักษาอาการบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าน่าจะไม่ได้ผลดีนัก แต่เพื่อชดเชยแก่นน้ำของทะเลเมฆส่วนที่ไหลหายไปในช่องโพรงลมปราณของเจ้า กลับต้องสิ้นเปลืองเงินอย่างมาก ใช่ไหม?”

ฟ่านจวิ้นเม่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอันเจ้านี่ไม่โง่เลยจริงๆ”

สุยท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับอักษรน้ำชิ้นนั้นออกมาวางบนโต๊ะเมฆเบาๆ

ฟ่านจวิ้นเม่ามองตราประทับเล็กๆ ชิ้นนี้ด้วยสายตาลึกล้ำแวบหนึ่ง “เจ้าจะหลอมวัตถุชิ้นนี้จริงๆ หรือ? วันหน้าเมื่อเชื่อมโยงเข้ากับชะตาชีวิต หากเจ้าคิดจะเอามันไปประทับมอบโชคแห่งน้ำให้กับลำคลองและแม่น้ำ อาจจะทำลายตบะบนมหามรรคาของตัวเจ้าเอง แน่นอนว่าหากไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ ใช้ตราประทับชิ้นนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของธาตุน้ำในห้าธาตุ ย่อมมีประโยชน์มหาศาลสำหรับการเปิดจวนในร่างกาย คนทั่วไปคิดขุดน้ำหนึ่งบ่อ อย่างมากสุดก็ได้แค่อ่างน้ำแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้ากลับมีหวังว่าจะบุกเบิกทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง สภาวะเสี่ยงอันตรายของเจ้าในตอนนี้ที่ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่างกายและจิตใจ พุ่งทะยานไปตามช่องโพรงต่างๆ อย่างกำเริบเสิบสาน รุกรานลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นก็จะสามารถแก้ไขไปได้อย่างง่ายดาย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับพลางเอ่ยเสียงหนัก “งั้นก็เอาตราประทับตัวอักษรน้ำนี่แหละ!”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาลูบมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้นเบาๆ เกิดความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย เขาจึงขมวดคิ้ว เงยหน้ามองฟ่านจวิ้นเม่า “นี่ก็คือแก่นน้ำ? ส่วนที่ดีเยี่ยมที่สุดซึ่งเกิดจากโชคชะตาแห่งสายน้ำบนโลกมารวมตัวกันเป็นของที่จับต้องได้จริง?”

สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าเย็นชา หัวเราะหยันเสียงเย็น “ทำไม กลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นรึ?!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หยิบแผ่นหยกชิ้นที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้ออกมาถือไว้ในฝ่ามือ “วัตถุนี้ก็คือแก่นน้ำด้วยเหมือนกัน?”

เมื่อวัตถุนี้ปรากฏออกมา ทะเลเมฆสี่ทิศก็คล้ายจะมีสติปัญญา พากันลิงโลดร่าเริงราวกับกลุ่มเด็กน้อยที่เห็นน้ำตาลปั้นแล้วอยากกิน

สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ถามกลับว่า “เจ้าไปได้มันมาจากไหน?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าใช่ ดูเหมือนว่าจะดีกว่าหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่อยู่ในศาลบรรพชนสกุลฝูชิ้นนี้ด้วย”

สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าเปลี่ยนมาเป็นร้อนแรง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกก็คือตอนที่นางได้ยินว่าบนตัวเฉินผิงอันมีโอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง ก่อนหน้านี้นางจึงคอยไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่ร้านยา

เพียงแต่ว่าคราวนี้ฟ่านจวิ้นเม่าระงับความปรารถนาลงไปได้อย่างรวดเร็ว นางไม่กล้าบังคับซื้อบังคับขายแล้ว เพียงขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อย พินิจมองแผ่นหยกที่ถูกเฉินผิงอันปิดตัวอักษรเกินครึ่งอย่างละเอียด แผ่นหยกแวววาวโปร่งใส มีประกายแสงไหลเวียนวน ขอแค่ให้นางได้ดูเป็นบุญตาก็พอ

เฉินผิงอันดูของไม่ออก แต่นางมองออก นี่ต้องเป็นแก่นแห่งโชคชะตาน้ำที่เกิดจากการรวมตัวของสายน้ำขนาดใหญ่บางสายซึ่งเป็นที่ตั้งวังมังกรบางแห่งแน่นอน เป็นวัตถุในซากปรักหักพังของยุคบรรพกาลที่โชคดีเหลือรอดอยู่บนโลก เมื่อเทียบกับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่บรรพบุรุษตระกูลฝูห้อยไว้มานานหลายปีแล้วก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน สมบัติวิเศษก่อนกำเนิดกับวัตถุหลังกำเนิด เดิมทีก็มีร่องลึกขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่แล้ว และที่ฟ่านจวิ้นเม่าอิจฉาตาร้อนขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าหากหลอมแผ่นหยกชิ้นนี้มาชดเชยความเสียหายของทะเลเมฆ จะช่วยให้นางได้ย้อนกลับคืนสู่ก่อกำเนิดได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย จากนั้นก็จะได้เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนแบบสบายๆ แค่ต้องใช้เวลาไม่เกินสามสิบสี่สิบปีเท่านั้น หลังจากนั้นถึงต้องให้ฟ่านจวิ้นเม่าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปตามหาโชควาสนาตามพื้นที่ลับหรือถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกแห่งต่างๆ หวนคืนสู่ถิ่นเก่าก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่ต้องออกไปท่องตามซากปรักหักพังซึ่งมีปราณสังหารซุ่มอยู่ทั่วทิศแล้วก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ข้าใช้วัตถุชิ้นนี้มาเป็นแก่นน้ำในการหลอมตราประทับอักษรน้ำแห่งชะตาชีวิต คงจะได้กระมัง?”

ฟ่านจวิ้นเม่าพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ได้! ได้อย่างมาก! เจ้าคนนี้ วันๆ เหยียบแต่ขี้หมานำโชคจริงๆ วัตถุหายากที่พันปีจะพานพบสักครั้งเช่นนี้ เจ้าก็ยังไปเจอแล้วเอามาเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองได้! รู้หรือไม่ว่าสมบัติวิเศษก่อนกำเนิดที่ได้แต่ปรารถนามิอาจครอบครองชิ้นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลไม่ทราบชื่อที่ยังไม่มีพวกอริยะไปนั่งในส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พวกเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดก็ยังต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตก ไม่แน่ว่าอาจมีคนตายอยู่ในนั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่ายังต้องช่วงชิงวาสนาเสี้ยวหนึ่งบนมหามรรคากับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ…”

เฉินผิงอันตัดบท ‘คำบ่น’ ของฟ่านจวิ้นเม่าด้วยการยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แต่ละคนมีโชควาสนาแตกต่างกันไป หากข้าเกิดและเติบโตมาในนครมังกรเฒ่า อยู่นานเป็นพันปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีโอกาสมายืนอยู่บนทะเลเมฆผืนนี้ ส่วนเจ้าฟ่านจวิ้นเม่าที่ต่อให้ไปเดินเล่นอยู่ในศาลเทพวารีนานเป็นหมื่นปีก็ยังไม่อาจได้หยกชิ้นนี้มาครอง”

ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ “พูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย แต่อย่ามัวพูดพล่ามไร้สาระอยู่เลย รีบหลอมวัตถุเข้าเถอะ!”

นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มก้าวเดินไปกลางอากาศ สองมือทำมุทรา รอบด้านก็มีลมพัดกระพือฮือโหม ทะเลเมฆผืนใหญ่ยักษ์ที่ปกป้องตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าเอาไว้ แถบพื้นที่วงนอกสุดเริ่มม้วนตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วคล้ายดอกบัวดอกหนึ่งที่เดิมทีผลิบานได้หุบกลีบกลับมาเป็นดอกบัวตูมสีขาวหิมะอีกครั้ง ห่อหุ้มนางกับเฉินผิงอันและโต๊ะเมฆตัวนั้นไว้ภายใน เส้นแสงสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือศีรษะเป็นเหมือนน้ำพุที่ผุดออกมาจากตาน้ำ ไหลลงสู่เบื้องล่าง ปราณวิญญาณลอยขึ้น เฉินผิงอันรู้สึกหายใจยากลำบากขึ้นมาในทันที พอเห็นสายตาฉายแววเร่งรัดของฟ่านจวิ้นเม่าก็หยิบเอาแผ่นหยกสีทองแผ่นนั้นออกมาแขวนไว้ตรงเอวอย่างไม่กระโตกกระตาก

ตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นหยกคือ ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’

ปราณวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนของทะเลเมฆไหลกรูเข้าหาแผ่นหยกชิ้นนั้น

ฟ่านจวิ้นเม่ารีบสะบัดชายแขนเสื้อขับไล่แก่นน้ำทะเลเมฆที่จงใจทำให้เฉินผิงอันรู้สึกกดดันออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแผ่นหยกชิ้นนั้นดูดซับไปจนหมดสิ้น ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่านางเอาซาลาเปาเนื้อขว้างสุนัข ขว้างไปแล้วไม่ได้กลับคืนจริงๆ

ฟ่านจวิ้นเม่ายังถือว่าพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง นางถอยกรูดออกไปจากดอกบัวทะเลเมฆ เพียงแต่ใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจเอ่ยเตือนว่า “หากมีปัญหาใหญ่ให้หยุดการหล่อหลอมไว้ทันที ได้รับบาดเจ็บแล้วต้องจ่ายเงินชดใช้ อย่างไรก็ดีว่าเอาชีวิตไปทิ้ง ระดับความสูงต่ำของโต๊ะเมฆที่อยู่ด้านหน้านั้น เจ้าสามารถใช้จิตสั่งให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้”

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ โต๊ะเมฆก็ลดระดับต่ำตามมา สุดท้ายกลายมาเป็นเหมือนเสื่อหญ้าสีขาวที่ปูวางอยู่บนพื้น

ตราประทับตัวอักษรน้ำที่ต้องนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เตาตู้ทองห้าสี แผ่นหยกแก่นน้ำที่มาจากวังมังกรของแม่น้ำใหญ่บางสาย ตอนนี้จึงยังไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้หยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้น

วัตถุดิบวิเศษสี่สิบกว่าชิ้น หนึ่งในนั้นคือชาดที่ ‘นอกเหนือจากห้าธาตุเผาผลาญไม่หมด ยิ่งหลอมนานยิ่งมหัศจรรย์’ ซึ่งมีสิบกว่าชิ้นและมีสีสันหลากหลาย มีทั้งชาดน้ำลึกที่คุณภาพต่ำ มีคุณสมบัติคือความหนักและทื่อ แล้วก็ยังมีชาดเป่ยโต่วที่ส่องประกายแสงระยิบระยับดุจแสงดาว ชาดชนิดต่างๆ ที่มีมูลค่ามากควรเมืองล้วนแบ่งแยกใส่ไว้ในขวดแก้วโปร่งใสเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

เฉินผิงอันนั่งอยู่เหนือทะเลเมฆ กวาดตามองไปรอบด้าน แม้ว่าร่างจะอยู่ท่ามกลางค่ายกลใหญ่ดอกบัวตูมของทะเลเมฆ ทว่าการมองเห็นกลับเปิดกว้างไร้อุปสรรค สามารถมองเห็นน้ำของทะเลสามทิศได้

การหลอมครั้งนี้หัวใจหลักอยู่ที่แผ่นหยก ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะสามารถหลอมตราประทับอักษรน้ำให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ในรวดเดียว

ต่อให้หลอมไม่สำเร็จ แล้วแก่นน้ำที่ถูกฟูมฟักมาจากวังมังกรแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งอยู่ในภาพลักษณ์ของแผ่นหยกนี้จะแหลกสลายหายไป แต่จะดีจะชั่วก็สามารถกักเก็บปราณวิญญาณไว้ในป้ายหยกสีทองตรงเอวแผ่นนั้นได้ ต่อให้จะไหลกระจายไปบ้าง แต่ก็ต้องผสานรวมเข้ากับทะเลเมฆแห่งนี้ ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ฟ่านจวิ้นเม่าช่วยจัดวางค่ายกลให้

ถอยไปเลือกลำดับรอง หยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณแผ่นนั้นก็สามารถใช้กักเก็บแก่นน้ำมาช่วยประคับประคองการหลอมตราประทับอักษรน้ำได้แช่นกัน

เฉินผิงอันใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้จิตใจสงบ ในสมองจินตนาการเป็นภาพตอนที่ขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม

หลังจากโยนเงินร้อนน้อยกำใหญ่เข้าไปแล้ว เตาตู้ทองห้าสีที่วางไว้บนโต๊ะเมฆด้านหน้าก็มีเมฆมงคลห้าสีผุดลอยออกมาจากปากของสัตว์ห้าตัวที่อยู่ริมขอบกระถางโอสถ

เฉินผิงอันดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธ์ในร่างกายเฮือกนั้นขึ้นมาแล้วพ่นใส่เตาตู้ทองห้าสีเบาๆ เพื่อ ‘จุดไฟ’

ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งไหลทอดยาวไม่ขาดสายขุมนี้เป็นดั่งมังกรเพลิงที่ว่ายวนอยู่ด้านในผนังของเตาหลอมโอสถ เกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบไปสี่ทิศ

ไฟแท้จริงในการหลอมวัตถุมีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถจุดไฟให้กับเตาหลอมโอสถได้สำเร็จหรือไม่ และระดับความบริสุทธิ์ที่สำคัญยิ่งกว่าก็จะเป็นตัวตัดสินว่าสุดท้ายแล้วระดับขั้นของวัตถุที่ถูกหลอมจะสูงเท่าไหร่

การหลอมแผ่นหยกของตำหนักปี้โหยวชิ้นนี้ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานของชีวิต แผ่นหยกไม่ได้หยั่งรากลงในช่องโพรงลมปราณ เมื่อเทียบกับตราประทับตัวอักษรน้ำแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบวิเศษและชาดสีต่างๆ มากมายนัก

เฉินผิงอันศึกษาตำราการหลอมโอสถของลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าเล่มนั้นมานาน และศึกษาเนื้อหาคาถาเซียนที่ ‘ชี้ตรงไปยังมหามรรคา’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน คาถาทั้งสองบทนี้เรียกได้ว่าบอกทุกหมดที่รู้อย่างไม่มีกักเก็บเอาไว้ ต่างก็เป็นแก่นความรู้ที่ยอดเยี่ยมของทั้งเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวและเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ โดยเฉพาะอย่างหลังที่เป็นเลือดเนื้อและจิตใจทั้งชีวิตของเจ้าแม่เทพวารี เฉินผิงอันแค่ต้องทำตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ก็พอ ควรจะเพิ่มปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์คำใหม่ซึ่งเป็นดั่งฟืนอีกครั้งเมื่อไหร่ ควรจะโปรยชาดในขวดแก้วใบไหนกี่ตำลึงเมื่อไหร่ ควรจะท่องคาถาขอฝนซึ่งซุกซ่อนสัจธรรมแห่งมหามรรคายามใด ชักนำปรากฎการณ์แห่งเตาหลอม เพิ่มไฟ โปรยน้ำค้างหวานลงไปเหนือเตาหลอมโอสถ ให้น้ำและเปลวไฟที่ส่ายสะบัดอยู่ในเตาหลอมผสมผสานกัน ล้วนแล้วแต่มีกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น

ดังนั้นนอกจากเฉินผิงอันจะเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว โดยภาพรวมก็ถือว่ายังมีสมาธิจิตใจที่แน่วแน่เป็นอย่างดี

ฟ่านจวิ้นเม่านั่งอยู่นอกค่ายกลใหญ่ของทะเลเมฆ พึมพำเบาๆ อยู่กับตัวเองว่าเพิ่มชาดไปอีกสองตำลึง รีบๆ ลืมหลอมหินลาวาภูเขาไฟก้อนนั้น พ่นปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่ไม่เพียงพอใส่เตาหลอมให้ช้าหน่อย…

น่าเสียดายก็แต่ทุกการกระทำของเฉินผิงอันเป็นระบบระเบียบ ถึงขั้นตอนที่รอเปลวไฟยังหลับตาทำสมาธิหายใจเข้าออกอย่างมีกฎเกณฑ์ ไม่มีช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตในขั้นตอนใดๆ เลย แน่นอนว่าตำหนิน้อยใหญ่ย่อมมีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทว่าการเผาผลาญในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ การที่แก่นน้ำของสมบัติพิทักษ์วังมังกรแม่น้ำใหญ่จะไหลล้นออกมาจากเตาหลอม กลายมาเป็นสารบำรุงของทะเลเมฆ เป็นแค่ขนหนึ่งเส้นในวัวเก้าตัวเท่านั้น ฟ่านจวิ้นเม่าผิดหวังอย่างยิ่ง

หลอมสมบัติวิเศษก่อกำเนิดที่ระดับขั้นสูงขนาดนี้เป็นครั้งแรก เจ้าเฉินผิงอันจะไม่ใจสั่นสักหน่อย มือสั่นสักสองสามครั้งบ้างเลยหรือ?

ถือซะว่ามอบแก่นน้ำเป็นของบรรณาการเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่ทะเลเมฆ เป็นการชดเชยและค่าตอบแทนให้กับการเฝ้าด่านของนางฟ่านจวิ้นเม่าก็ไม่เกินไปไม่ใช่หรือ?

ถึงท้ายที่สุด ฟ่านจวิ้นเม่าที่รู้สึกสิ้นหวังก็ล้มตัวลงนอนหลับ ไม่มองเตาหลอมใบนั้นอีก ถึงอย่างไรก็ราบรื่นอยู่แล้ว นางไม่มีหวังว่าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยจริงๆ

ไม่ผิดไปจากฟ่านจวิ้นเม่าคาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่ช่วงตีฆ้องยามแรกของโลกมนุษย์จนถึงยามฟ้าสางของวันที่สอง

เฉินผิงอันก็สามารถหลอมแผ่นหยกชิ้นนั้นได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว เพียงแต่ความพิเศษของมันนั้นอยู่ที่ว่ายังคงเก็บตัวอักษรบนแผ่นหยกเอาไว้ได้

น่าจะเป็นเพราะเจ้าของเดิมของแผ่นหยกใช้วิธีหลอมวัตถุแบบเดียวกันนี้มาหลอมแผ่นหยก อีกทั้งเดิมทีตัวอักษรก็มีสัจธรรมแห่งมหามรรคาแฝงอยู่ จึงสามารถเก็บไว้ได้อย่างที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อสูญเสียวัตถุที่รองรับไปแล้ว ตัวเองเกิดสติปัญญา ไม่ยินดีสลายหายไปจากฟ้าดิน หมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้เมื่อสติปัญญาเปิดกว้างเมื่อไหร่ก็ล้วนรักตัวกลัวตายทั้งสิ้น ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้มหามรรคา ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันเอง และการฝึกตนเพื่อพิสูจน์มรรคา ใจที่มุ่งมั่นคิดจะฝึกให้เกิดร่างไม่ดับสลาย ต้านทานการชะล้างจากสายน้ำแห่งกาลเวลาของผู้ฝึกลมปราณก็จะกลายเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎเกณฑ์ของสวรรค์

ตัวอักษรของบทหลอมวัตถุบทนี้เพาะสติปัญญาของตัวเองออกมาได้แล้ว

นี่ก็คือเรื่องที่หาได้ยากอีกเรื่องหนึ่ง

ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืนเพ่งตามองไปยังตัวอักษรสีเขียวมรกตขนาดเล็กที่คล้ายจะมีสติปัญญาเหล่านั้น ตัวอักษรหนึ่งพันกว่าตัว ล่องลอยเวียนวนขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางเตาตู้ทองห้าสี

ฟ่านจวิ้นเม่าลังเลเล็กน้อย “ข้าขอแนะนำว่าทางที่ดีที่สุดเจ้าควรหาวิธีเก็บตัวอักษรของคาถาบทนี้เอาไว้ บนเส้นทางการฝึกตนในวันหน้า เมื่อพบเจอกับลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจค่อยนาบประทับตัวอักษรเหล่านี้ไว้ในจิตวิญญาณ ก็จะสามารถถ่ายทอดมรรคาได้โดยตรง พวกผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีคำว่าสำนักในชื่อ ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นการสืบทอดควันธูปจึงค่อนข้างจะง่ายดายและผ่อนคลาย ก่อนจะถ่ายทอดมรรคา พวกมันอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเจ้าก็สามารถช่วยหล่อหลอม บำรุงความอบอุ่นให้แก่ช่องโพรงจิตวิญญาณของเจ้าได้ด้วย นี่ก็คือวิธีการ ‘บำรุงด้วยอาหาร’ ให้กับจิตวิญญาณซึ่งหาได้ยากยิ่ง ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้เบื้องหลัง คือเรื่องดีเหมือนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”

เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไร

ฟ่านจวิ้นเม่ายิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ตัวอักษรที่มีจิตวิญญาณพวกนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีสมบัติอาคมมีวิชาอภินิหาร คิดอยากจะจับก็ทำได้สมใจปรารถนา หากไม่ระวังถูกพวกมันสัมผัสได้ว่าจิตแห่งเต๋าไม่สอดคล้องกัน พวกมันก็จะแหลกสลายไปในทันที ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่อาจรั้งไว้ได้อยู่”

ในใจเฉินผิงอันบังเกิดความคิดหนึ่ง เขาจำเป็นต้องเก็บตัวอักษรเหล่านี้ไว้ให้ได้ ซุกซ่อนพวกมันเอาไว้อย่างดีก่อน วันหน้ายังต้องคืนให้กับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอจวนปี้โหยว ระบบการถ่ายทอดเล็กๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะหล่อหลอมออกมาได้โดยบังเอิญ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ควรจะจุดธูปก้านนี้ไว้ในศาลเจ้าแม่เทพวารี ให้นางได้เป็นผู้สืบทอดต่อไป

เมื่อความคิดนี้บังเกิดขึ้น

ตัวอักษรมีชีวิตที่เดิมทียังลังเลตัดสินใจไม่ได้เหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นคนตัวจิ๋วขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารที่สวมชุดสีเขียวมรกต พวกมันพากันก้มหัวกราบคำนับเฉินผิงอันด้วยความซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด

จากนั้นพวกมันก็รวมตัวกันกลายเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งที่ไหลกรูเข้าไปในช่องโพรงลมปราณบางแห่งที่เฉินผิงอันคิดจะเก็บตราประทับตัวอักษรแม่น้ำไว้

ฟ่านจวิ้นเม่ามองค้อนปะหลับปะเหลือก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนหงาย พึมพำว่า “ไม่มีหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์เอาซะเลย แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ”

ส่วนแผ่นหยกของวังมังกรที่หล่อหลอมได้สำเร็จด้วยดีแผ่นนั้นก็ถูกคนตัวจิ๋วชุดสีเขียวมรกตที่ตัวสูงกว่าคนอื่นเล็กน้อยแบกเข้าไปไว้ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อแผ่นหยกลอยอยู่ใน ‘จวน’ ที่ถูกบุกเบิกขึ้นมาใหม่แล้ว คงเป็นเพราะต้องการตอบแทนเฉินผิงอัน คนจิ๋วเหล่านี้จึงเริ่มแบ่งงานกันอยู่ใน ‘ห้องโอสถ’ คนจิ๋วชุดเขียวบางส่วนไปตรงหน้าประตูบานใหญ่ของช่องโพรงลมปราณ เริ่มวาดภาพเทพทวารบาลสองตน และยิ่งมีคนจิ๋วชุดกระโปรงเขียวจำนวนมากกว่านั้นที่วาดน้ำของแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งลงบน ‘ผนังสี่ด้าน’ ของจวน จวนเล็กๆ ทว่ากลับมีบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่งดงามหลากหลาย…

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฟ่านจวิ้นเม่าเบิกตากว้าง นางดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย ลุกขึ้นยืน พลันเพิ่มระดับน้ำเสียงชี้ไปยังคนหนุ่มที่เริ่มเก็บทรัพย์สมบัติของตัวเองไปทีละชิ้น “เฉินผิงอัน แท้จริงแล้วเจ้าคือเทพพิรุณกลับชาติมาเกิด?! ใช่ไหม?!”

เฉินผิงอันเก็บวัตถุวิเศษแต่ละชิ้นกลับเข้าไปในวัตถุจื่อชื่อ แบ่งแยกประเภทอย่างเป็นระเบียบพลางเงยหน้ายิ้มพูดสัพยอก “ฟ่านจวิ้นเม่า คำประจบนี้…ฟังแล้วแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครจริงๆ”

ฟ่านจวิ้นเม่าเก็บค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆ ย่อพื้นที่ให้หดเล็กมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “มองดูแล้วก็ไม่เหมือนเทพพิรุณนี่นา พูดถึงแค่ความสมารถก็ยังห่างชั้นกับเจ้าคนอ้อนแอ้นเหมือนสตรีผู้นั้นไกลโขนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทำให้คนจิ๋วผู้สืบทอดโชคชะตาน้ำสายนี้ยินยอมพร้อมใจศิโรราบแก่เจ้า?”

เฉินผิงอันไม่สนใจฟ่านจวิ้นเม่าที่พูดจ้อไม่หยุด เก็บสิ่งของทั้งหมดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะกลับไปอย่างไร?”

ฟ่านจวิ้นเม่าดีดนิ้วหนึ่งที ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็เริ่มไหลเคลื่อนออกไป ปรากฎบันไดเมฆแห่งหนึ่งที่ทอดตรงไปสู่ร้านยาฮุยเฉินในนครมังกรเฒ่า แต่บริเวณโดยรอบบันไดเมฆมีแสงแก้วเปล่งประกายวูบวาบเป็นระลอก เฉินผิงอันรู้ว่านี่คือแสงอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะเปล่งออกมาเมื่อแม่น้ำกาลเวลาระหว่างฟ้าดินถูกกระตุ้น ดังนั้นหากเขาเดินลงไปตามบันไดเมฆนี้ เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้ว คนอื่นๆ ในนครมังกรเฒ่าก็จะมองไม่เห็นเงาร่างของเขาอีก

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณฟ่านจวิ้นเม่าแล้วเดินลงไปตามบันไดเมฆแห่งนั้นเพียงลำพัง ค่อยๆ เดินไปตามบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้า

ระหว่างทางที่ ‘ลงจากภูเขา’ ก็ถือโอกาสก้มลงมองทัศนียภาพอันงดงามของนครมังกรเฒ่าไปด้วย

เฉินผิงอันคิดว่าภาพนี้สามารถสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ วันหน้าค่อยเอาไปเล่าให้แม่นางผู้นั้นฟัง

เช้าตรู่วันที่สามสิบของสิ้นปี การเฉลิมฉลองของชาวบ้านทั่วไปในนครมังกรเฒ่าไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศกดดันจากตระกูลใหญ่บางแห่ง

ตระกูลฝูยกเลิกคำสั่งห้ามในเมืองไปนานแล้ว ถนนใหญ่ตรอกเล็กต่างก็เต็มไปด้วยความครึกครื้นรื่นเริง

ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน วินาทีที่เท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันสัมผัสกับพื้น สะพานเมฆก็หายไปแล้ว

เทพหยินแซ่จ้าวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถามว่า “หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “แค่หลอมวัตถุแก่นน้ำชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่คราวหน้าที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต โอกาสที่จะสำเร็จก็มีสูงมาก”

เทพหยินพยักหน้ารับ “ไม่เลวเลยทีเดียว”

เฉินผิงอันกลับไปที่โต๊ะคิดเงินของร้านยา แผ่นหยกสีทองถูกเขาเก็บลงไปตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากห้อยไว้ตรงเอวก็หมายความว่าโชคชะตาน้ำของทะเลเมฆจะถูกกลืนกิน ฟ่านจวิ้นเม่าต้องแลกชีวิตกับเขาแน่นอน

ตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติแล้ว วันนี้เขาบอกให้เผยเฉียนช่วยยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะจะไปหาคนบนเส้นทางเดียวกันซึ่งอยู่ใต้ต้นไหว แล้วก็จริงดังคาด เขาได้พบกับเศรษฐีผู้เฒ่าตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสือ จูเหลี่ยนก็ยิ่งตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อาวุโสที่ ‘มุมานะอย่างยากลำบากกับการอ่านตำรา’ เจิ้งต้าเฟิงนั่งลงแล้วก็รื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำทันที เขาบอกให้เผยเฉียนกลับไปเล่นที่ร้านยา เผยเฉียนย่อมไม่ยินยอม ยื่นมือออกมาทวงค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้แล้ว ซึ่งก็คือเงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เสียเหงื่อไปส่วนหนึ่งก็ต้องได้รับเงินหนึ่งอีแปะ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ต่อให้เฉินผิงอันมารู้ทีหลังก็ไม่มีทางด่านาง ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ

เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย บอกว่าเดี๋ยวจะเพิ่มเงินอีกหนึ่งอีแปะไปในเงินยาสุ้ยของนางก็แล้วกัน เผยเฉียนบอกว่านี่เป็นคนละเรื่องกัน นางไม่ชอบให้คนอื่นติดเงินนาง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องคิดบัญชีตามหลักกำไรสามส่วนอย่างที่เว่ยเซี่ยนบอก อีกอย่างติดเงินในวันที่สามสิบของสิ้นปี เจ้าเจิ้งต้าเฟิงยังอยากจะให้ปีหน้ามีชีวิตที่ราบรื่นมั่นคงอีกหรือไม่ ผู้เฒ่าที่ยกเก้าอี้หวายมานั่งเอนหลังอยู่ด้านข้างเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกว่าน้องต้าเฟิง เด็กคนนี้พูดจามีเหตุผล ติดเงินเวลานี้ไม่เป็นมงคลจริงๆ อย่าได้ดูแคลนโชคชะตาของเงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญเชียว

เจิ้งต้าเฟิงควักล้วงอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่สามารถเอาเงินเหรียญทองแดงออกมาได้แม้แต่ครึ่งเหรียญ ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดเสนอทางออก บอกให้ขายม้านั่งตัวเล็กให้เขา จากนั้นเขาจะให้เงินเจิ้งต้าเฟิง แล้วเจิ้งต้าเฟิงค่อยเอาเงินให้เผยเฉียนอีกที เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ แค่ม้านั่งเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น วันหน้าค่อยให้เฉินผิงอันทำตัวใหม่ให้ก็แล้วกัน หีบไม้ไผ่ เก้าอี้ไม้ไผ่ ม้านั่งอะไรพวกนั้น เฉินผิงอันมีฝีมือดีมาก แล้วก็ชอบจะเสียเวลาทำเรื่องพวกนี้ด้วย

เผยเฉียนเหลือกตามองบน ชี้ไปที่เจิ้งต้าเฟิงและผู้เฒ่าคนนั้น “พวกเจ้าน่ะ แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวยังคิดเล็กคิดน้อยกันขนาดนี้ ช่างเถอะ คราวนี้ถือว่าข้ามีน้ำใจช่วยเหลือ ไม่เก็บเงินก็แล้วกัน”

เผยเฉียนเลียนแบบท่าทางของเจิ้งต้าเฟิงในตอนแรก ยื่นฝ่ามือออกมากดลงเบื้องล่างสองที “จำไว้ให้ขึ้นใจ บุญคุณอย่าเอาแต่วางไว้บนปาก”

มองเผยเฉียนที่เดินอาดๆ กลับเข้าไปในตรอก จากนั้นก็เห็นว่านางฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งที่ร่างโยกเยกไปมา จู่ๆ ก็นึกสนุกเลยทำท่าตวัดเท้าเตะเลียนแบบหลูป๋ายเซี่ยง นางกระโดดผลุงขึ้น แล้วก็เตะเท้าหมุนเป็นวงได้จริงๆ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองเวียนหัว ล้มหน้าทิ่มลงไปบนพื้น นางรีบลุกขึ้นยืนทันใด ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินแยกเขี้ยวเข้าตรอกไป

ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ใครเป็นผู้อบรมสั่งสอนแม่นางน้อยคนนี้ เฉลียวฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก”

จูเหลี่ยนตอบ “คือลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนายน้อยข้า ซุกซนนักล่ะ”

เจิ้งต้าเฟิงกุมหมัดยิ้มพูด “ผู้อาวุโส เลื่อมใสมานานๆ”

ผู้เฒ่ากุมหมัดคารวะกลับคืน “มิได้ๆ ฉายาในยุทธภพคือทวนหนึ่งฉื่อ อีกฉายาหนึ่งคือเสี่ยวเฟยเซิง ไม่ทราบว่าน้องต้าเฟิงชื่นชมเลื่อมใสเทพธิดาบนภูเขาคนใดมากที่สุด?”

เจิ้งต้าเฟิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คือจอมยุทธ์หญิงเฮ้อเหลียนเป่าจูของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน!”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ดูท่าสายตาของน้องต้าเฟิงจะธรรมดาอย่างยิ่ง”

มรรคาต่างมิอาจร่วมทาง พูดมากหนึ่งประโยคหรือมองนานอีกหน่อยก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ

เจิ้งต้าเฟิงแค่นเสียงเย็น ขยับม้านั่งตัวเล็กของตัวเองออกห่างไปหลายก้าว

ผู้เฒ่าเองก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน ลุกขึ้นขยับเก้าอี้หวายของตัวเองออกไป แล้วถึงได้เอนตัวลงนอนอาบแดดอีกครั้ง

จูเหลี่ยนนั่งอยู่ระหว่างม้านั่งกับเก้าอี้หวาย แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ตั้งใจอ่านตำราเทพเซียนอย่างเดียว ตำราในมือเล่มนี้มีที่มาไม่ธรรมดา ราคาก็สูง เป็นฉบับจัดพิมพ์ที่ตระกูลเซียนบนภูเขาทำขึ้นมา คนที่อยู่ในภาพวาดสามารถขยับได้

เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงจะตกต่ำเช่นนั้น น่าเสียดายนัก”

ดวงตาผู้เฒ่าเป็นประกาย เพียงแต่นึกรังเกียจสายตาที่ธรรมดาสามัญของเจิ้งต้าเฟิงจึงยังไม่เต็มใจจะพูดด้วย แต่ทว่าในใจก็รู้สึกคันคะเยอ ถึงอย่างไรเทพธิดาซูเจี้ยก็คือหนึ่งในสองคนที่เขาและหนุ่มน้อยชื่นชอบ

เจิ้งต้าเฟิงลูบคลำปลายคาง เอ่ยเนิบช้า “ปีนั้นโชคดีได้พบหน้าเทพธิดาเฮ้อของสำนักโองการเทพหนึ่งครั้ง เทพธิดาสวมกวานเต๋าไว้บนศีรษะ ในมือจูงกวางขาว เดินนวยนาดตรงมา มาย้อนคิดดูแล้ว ตอนนั้นอยู่ห่างจากเทพธิดาแค่เจ็ดแปดก้าวเท่านั้น…”

ผู้เฒ่าอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เบี่ยงตัวหันหน้าไปมองบุรุษมอซอผู้นั้น เอ่ยอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนักว่า “น้องต้าเฟิง อันที่จริงจอมยุทธ์เฮ้อเหลียนก็ดีมากเหมือนกัน”

เจิ้งต้าเฟิงหยิบม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา เดินหลังค่อมกลับเข้าไปในตรอกเล็ก

ผู้เฒ่าอึ้งตะลึงอยู่เป็นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างเจ็บใจ “น้องต้าเฟิงผู้นี้ ไม่เสียแรงที่เคยพบเห็นโลกกว้างมาก่อน ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ควรทำตัวเป็นดั่งกบใต้บ่อ รีบร้อนตัดสินเขา ตอนนี้ดีแล้ว ทำให้น้องต้าเฟิงโกรธ ข้ากับเทพธิดาใหญ่เฮ้อก็ยิ่งอยู่ห่างไกลกันไปอีก ไม่อย่างนั้นวันหน้าเมื่อไปถึงพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานข้าก็สามารถเอาเรื่องนี้มาเล่าให้คนอื่นฟังได้ ต้องทำให้หนุ่มน้อยผู้นั้นดึงหน้าไว้ไม่อยู่ ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอน!”

จูเหลี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้างพยักหน้าและตอบรับอย่างขอไปที

ผู้เฒ่าเอนตัวนอนบนม้านั่งหวาย ถอนหายใจ “ดอกท้อบานสะพรั่ง ไม่รู้ว่าบุรุษผู้มีรักคนใดจะสามารถเด็ดหนึ่งดอกมาวางลงบนหัวใจได้”

จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น “ประโยคนี้ของผู้อาวุโสพูดได้อย่างมีความรู้มากเลย”

ผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างใจกว้าง “นี่คือประโยคที่หนุ่มน้อยเคยพูด คนผู้นี้มีความรู้ด้านวรรณกรรมดีเยี่ยม แม้ว่าเวลาที่ทะเลาะกับคนอื่น คำพูดคำจาจะหยาบคายไปบ้าง แต่ก็มักจะหลุดคำพูดที่น่าประทับใจเช่นนี้ออกมาโดยบังเอิญเป็นประจำ ไม่ผ่านการขัดเกลา กลมกลืนเป็นธรรมชาติ ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าถึงยินดีเรียกเขาว่าพี่ใหญ่กันเล่า?”

จูเหลี่ยนใช้นิ้วแตะน้ำลายพลิกเปิดหนังสือไปอีกหน้าพลางผงกศีรษะรับ “มีโอกาสต้องไปคารวะทักทายพี่ใหญ่ของผู้อาวุโสสักครั้ง”

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยถามขึ้นว่า “น้องเล็กจู ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ช่วงนี้วันใดที่จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ต้องการให้พี่ชายช่วยคุ้มกันให้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “มีนายน้อยของข้าอยู่ด้วย ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสกังวลใจกับเรื่องนี้”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “นายน้อยของเจ้าเป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ”

จูเหลี่ยนปิดหน้าหนังสือ เอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าขอละลาบละล้วงถามสักคำ ผู้อาวุโสใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบของตระกูลเซียนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือไม่?”

ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ขาดอีกแค่นิดเดียว”

แล้วจูเหลี่ยนก็ไม่ถามให้มากความอีก

ถามมากไป รู้ความจริงแล้วกลับจะยิ่งทำลายความสัมพันธ์ สู้ตอนนี้ที่มีอิสระเสรีมากกว่าไม่ได้

เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน ภายใต้การขัดเกลาลับกระบี่ของชูอีกับสืออู่ แท่นสังหารมังกรบนโต๊ะก็เหลือแค่เสี้ยวเล็กๆ ส่วนสุดท้าย

เฉินผิงอันไม่คิดจะประหยัดในด้านนี้ กินแท่นสังหารมังกรชิ้นนี้หมดก็จะเอาแท่นสังหารมังกรชิ้นที่สองที่ใหญ่กว่าออกมา

เจิ้งต้าเฟิงวางม้านั่งตัวเล็กไว้นอกธรณีประตู พอเห็นความเร็วในการ ‘กลืนกิน’ แท่นสังหารมังกรของกระบี่ทั้งสองเล่มแล้ว ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกตื่นตะลึงได้เสมอ เขาจุ๊ปากพูด “บรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้ กินเงินเก่งกว่าสมบัติอาคมจินหลี่บนร่างเจ้าชิ้นนั้นเสียอีก”

เฉินผิงอันถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “เหรียญทองแดงแก่นทองจะไม่ผลิตอีกแล้วหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองภาพงดงามตระการตาที่สะเก็ดไฟแลบปลาบจากสี่ทิศของแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้นพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกร่วงลงมาแล้ว ย่อมไม่มีพื้นที่สำหรับการใช้เหรียญทองแดงแก่นทองอีก จะสร้างต่อไปเพื่ออะไร? ต่อให้มอบให้ท่านผู้เฒ่าเปล่าๆ เขายังไม่รับไว้เลย”

เฉินผิงอันถาม “ข้ารู้แค่ว่าเหรียญทองแดงแก่นทองมีค่ามากกว่าเงินฝนธัญพืช แต่มันมีค่าถึงขนาดไหนกันแน่? เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญแลกเป็นเงินฝนธัญพืชได้กี่เหรียญ?”

เจิ้งต้าเฟิงตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหรียญทองแดงแก่นทองได้มาอย่างไร? คือการใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองของเทพภูเขาและแม่น้ำที่ถูกทำลายมาเป็นวัสดุหลัก บวกกับสิ่งของอื่นๆ ที่ได้มาไม่ง่ายอีกหลายอย่าง ถึงจะสามารถสร้างเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดอย่างเงินยาเซิ่ง เงินก้งหย่างและเงินอิ๋งชุนได้ โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของราชวงศ์ต้าหลีมั่นคงมาโดยตลอด น้อยนักที่จะมีศาลเถื่อน ดังนั้นการซื้อเหรียญทองแดงแก่นทองจึงมีราคาแพงมากเป็นพิเศษ ทว่าในมือของกองกำลังหรือตระกูลบางแห่งที่สามารถกว้านซื้อเอาเศษร่างทองของพื้นที่ต่างๆ มาได้กลับมีราคาถูกมาก ต้นทุนต่ำน่ะ ตระกูลเซียนบนภูเขาจึงปล้นชิงไปทั่วทิศ ศาลเถื่อนมีไม่มากพอ อย่างมากก็แค่ข่มราชวงศ์บนโลกมนุษย์บางแห่ง บังคับให้ฮ่องเต้เป็นฝ่ายปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง แอบลดระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่ได้รับการสืบทอดที่ถูกต้องให้กลายมาเป็นศาลเถื่อน แค่ใช้วิธีการเข่นฆ่าสังหารที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบเท่านั้น หากกษัตริย์ของราชวงศ์ใดไม่ยอมก้มหัวให้ก็มีวิธีจัดการ กองกำลังตระกูลเซียนจะสมัครรวบรวมพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นพวกเดนตายบางส่วนมา ยืมดาบฆ่าคน ใช้มรรคกถานอกรีตหรือสมบัติอาคมอาวุธวิเศษที่ระดับขั้นไม่สูงมาแลกเปลี่ยนเป็นเศษชิ้นส่วนของร่างทอง เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ได้มาจากคาวเลือดเช่นนี้ ต้นทุนอาจเทียบกับเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และหากฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะหาซื้อมาจากข้างนอก เกรงว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญก็มีค่าเท่ากับเงินฝนธัญพืชเจ็ดแปดเหรียญเลยทีเดียว”

เฉินผิงอันถามอีก “แล้วตอนนี้บนโลกยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เหลือเกินมาบ้างไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว พูดเนิบช้า “บอกได้ยาก เวลานี้ใครจะโง่เอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาขายกันล่ะ ทุกคนต่างก็รู้ว่ามันคือสิ่งของที่จำเป็นบนเส้นทางของการฝึกตน ต่อให้เป็นคนที่ทำธุรกิจไม่เป็นมากแค่ไหนก็ยังรู้จักจะตั้งราคาสูงเทียมฟ้า ใครอยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ช่าง”

เฉินผิงอันถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาก็คือคนผู้นั้นที่จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องการเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง อีกทั้งยังไม่ได้ต้องการแค่ไม่กี่เหรียญ ต่อให้เป็นหลายถุงก็ยังไม่รังเกียจว่ามากเกินไป

ชีวิตของคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด การซ่อมแซมและเลื่อนระดับขั้นของชุดคลุมอาคมจินหลี่ รวมไปถึงการหล่อหลอมซ่อมแซมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของธาตุทองในอนาคต มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าต้องเผาผลาญเงินเหรียญทองแดงแก่นทองจำนวนมาก ประโยชน์ของมันคล้ายคลึงกับแผ่นหยกที่ก่อตัวขึ้นจากแก่นของสายน้ำแห่งวังมังกรแผ่นนั้น

เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสั่งสอน “ช่วงปีใหม่ ถอนหายใจให้น้อยๆ ลงหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

……

ต่อให้ลูกศิษย์ของสำนักใบถงจะทนมาได้จนถึงวันที่สามสิบของสิ้นปีนี้ แต่ทุกคนต่างก็ค้นพบด้วยความเศร้ารันทดว่า ไม่มีวี่แววว่าพวกเขาจะอดทนผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้เลย

ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นยังคงใช้ปราณกระบี่ที่เฉียบคมของทั้งร่างทำลายโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ของสำนักใบถงให้แหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย

ทำลายเป็นเรื่องง่าย แต่ผู้ฝึกตนโอสถทองและก่อกำเนิดที่ตามก้นผู้ฝึกกระบี่ต้อยๆ คอยรวบรวมเอาปราณวิญญาณมาชดเชยซ่อมแซมและสร้างรากภูเขาเส้นทางสายน้ำที่ถูกทำลายไปจนสิ้นขึ้นมาใหม่ กลับเป็นเรื่องที่ยากอย่างถึงที่สุด เว้นเสียจากว่าเซียนดินเหล่านี้จะเต็มใจเผาผลาญตบะของตัวเองถึงจะพอเพิ่มความเร็ว ป้องกันไม่ให้ปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาไหลออกไปข้างนอกอย่างต่อเนื่องได้ ทว่าพวกเซียนดินที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในเทียบวงศ์ตระกูลของสำนัก หากตบะเกิดไม่มั่นคงขึ้นมาก็จะไปชักนำโชคชะตาของสำนักที่มองไม่เห็น

เดิมทีสำนักใบถงเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเป็นอันดับหนึ่งของทวีป แต่เมื่อต้องมาเจอกับวงจรเลวร้ายวันแล้ววันเล่า ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่พรสวรรค์บางเบามากที่สุดซึ่งเข้าสำนักมาทีหลังก็ยังตระหนักได้ว่าสำนักใบถงกำลังเผชิญกับด่านยากที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์พันปี

แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาสงสัยไม่เข้าใจมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า นอกจากเจ้าสำนักที่ปรากฏตัวตอนแรกสุด บ้างก็ออกมาเข่นฆ่า บ้างก็ออกมาขัดขวางห้ามปรามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นแล้ว ตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งสำหรับในใจผู้ฝึกตนสำนักใบถงแล้วสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากลับไม่เคยปรากฏตัวแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ให้ความสนใจการท้าทายจากผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเลย ถึงขั้นที่ว่าสำนักตกอยู่ในอันตราย รากฐานสั่นคลอน บรรพจารย์ซึ่งมีศักยภาพในการสยบผู้ฝึกลมปราณของทั้งทวีปกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหว

แต่ตอนนี้ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ของสำนักใบถงต่างก็ยังยินดีจะเชื่อว่าหากบุรพาจารย์ไม่เคลื่อนไหวก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หากเคลื่อนไหวขึ้นมาต้องโจมตีปลิดชีพได้ในครั้งเดียว ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วคนนั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกำเริบเสิบสานได้อีกไม่กี่วัน

ภูเขาใหญ่ ราชวงศ์และชนชั้นสูงของใบถงทวีปแทบทั้งหมดล้วนกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวของสำนักใบถง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!