Skip to content

Sword of Coming 379

บทที่ 379 ภิกษุชุดขาว

ยี่สิบวันต่อมา พวกเฉินผิงอันก็เดินทางผ่านภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ลาดชันดุจคิ้วของหญิงสาว พอเดินข้ามเขตชายแดนมา เดินบนทางเล็กในภูเขาครู่สั้นๆ แค่หนึ่งก้านธูปก็ได้เจอกับชายหญิงสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนสิบกว่าคนที่มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวย ส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนาง องค์รักษ์ผู้ติดตามหลายคนล้วนพกดาบยาวลักษณะเดียวกันทั้งหมด มีทั้งแก่เด็กและชายหญิง อีกกลุ่มหนึ่งมีกลิ่นอายยุทธภพเต็มร่าง รวมแล้วมีทั้งหมดหกคน สี่คนคือบุรุษอายุประมาณห้าสิบปี ลมหายใจหนักแน่นมั่นคง ยามเดินไร้เสียง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นพวกที่มีวรยุทธ์อันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนอย่างแน่นอน ผู้นำคือผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยวงองุ้มคนหนึ่ง สายตาเฉียบคม ข้างกายมีเด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งติดตามมา แม้ว่าหน้าตาของนางจะไม่โดดเด่น แต่กลับมีดวงตาที่ใสกระจ่าง ส่องประกายเรืองรองน่ามอง

คนสองกลุ่มต่างก็เดินขึ้นไปบนภูเขา ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเจอกับกลุ่มคนที่มาจากทางการก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปถามถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่แห่งนี้ อีกฝ่ายแนะนำให้ฟังอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าบนยอดเขาชิงเย่าแห่งนี้มีอารามจินกุ้ยอยู่ลูกหนึ่ง ในอารามเต๋ามีเทพเซียนฝึกบำเพ็ญตน เพียงแต่ว่าตลอดทั้งปีมักจะปิดประตูไม่รับรองแขก หน้าหนาวของปีที่แล้ว อารามเต๋าให้นายพรานนำความมาแจ้งต่อว่าเตรียมจะรับลูกศิษย์เก้าคน ขอแค่อายุต่ำกว่าสิบหกปีลงไป ไม่ถามชาติกำเนิด ดูแค่บุพเพวาสนา ดังนั้นช่วงนี้จึงมีคนไม่ต่ำกว่าสามร้อยคนพาเด็กหนุ่มเด็กสาวบ้างก็เด็กชายเด็กหญิงในตระกูลเดินทางมาไม่ขาดสาย พากันกรูเข้ามาในภูเขาชิงเย่า

เฉินผิงอันคิดถึงว่าตอนนี้ยังมีทั้งกระบี่เจินอู่และมีดสั้นฝากไว้ที่จวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงไม่คิดจะไปร่วมความครึกครื้นนี้ ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาลงห้วยมาจนปรุ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นงานสัมมนามหายานของแคว้นชิงหลวนและงานพิธีหลัวเทียนของแคว้นชิ่งซานมาก่อน จึงไม่สนใจการรับลูกศิษย์ของภูเขาลูกหนึ่งมากนัก ส่วนเรื่องที่ว่านักพรตของอารามจินกุ้ยเป็นเทพเซียนตัวจริงหรือตัวปลอม คนทั้งกลุ่มก็ยิ่งไม่เก็บเอามาใส่ใจ

ในแคว้นปกติทั่วไปของแจกันสมบัติทวีป เซียนดินโอสถทองถือว่าเป็นบุคคลที่สูงส่งจนไม่อาจปีนป่ายแล้ว ถึงอย่างไรบุคคลที่เป็นมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนอย่างคนของราชวงศ์ต้าหลี มองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็มีให้เห็นไม่มากนัก

เมื่อกองทัพม้าเหล็กของสกุลซ่งต้าหลีเหยียบย่ำบนทิศเหนือห่างจากสำนักศึกษากวานหูไปไม่ไกล นอกจากสถานศึกษาจะมอบชื่อที่ถูกต้องเหมาะสมให้แล้ว ในความเป็นจริงแล้วตอนนี้เท่ากับต้าหลีควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของหนึ่งทวีปไปแล้ว ยิ่งนานคำกล่าวที่บอกว่าต้าหลีคือราชวงศ์ใหญ่อันดับสิบในใต้หล้าก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

ตอนที่เจอกับคนกลุ่มที่สอง ความตกตะลึงที่วูบผ่านดวงตาของเด็กสาวหน้ากลมไม่เคยหยุดพัก คนหนุ่มชุดขาวที่สะพายหีบไม้ไผ่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดหนึ่งใบ เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่ขี่อยู่บนหลังวัวดินสีเหลือง ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ไม้ไผ่ โฉมสะคราญงามล้ำที่สะพายกระบี่เล่มยาว…และยังมีนักพรตหนุ่มกับมือดาบเคราดก ช่างเป็นกลุ่มนักเดินทางที่ประหลาดจริงๆ หรือว่านี่ก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่ท่านปู่เคยพูดถึง?

ยังดีที่ถึงแม้มองปราดๆ ผู้เฒ่าชุดดำจะไม่เหมือนคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ในฐานะคนเก่าแก่ในยุทธภพก็ยินดีที่จะเคารพกฎเกณฑ์ของยุทธภพ เพียงไม่นานก็ห้ามปรามเด็กสาวที่สอดส่ายสายตามองไปทั่วอย่างไร้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ เขายังผงกศีรษะให้เฉินผิงอัน ถือเป็นการขออภัยแทนเด็กรุ่นหลัง

เฉินผิงอันกุมหมัดส่งยิ้มไปให้ ถือเป็นการเคารพกลับคืน

เดินทางอยู่ในยุทธภพ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการพบปะกันอย่างผิวเผินเช่นนี้ เพียงแต่ว่าคนสองกลุ่มที่เดิมทีควรต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทางกลับได้มาเจอกันอีกครั้งเพราะฝนกระหน่ำที่มาเยือนกะทันหัน

พายุฝนโหมแรงที่หาได้ยากทำให้ดินโคลนบนทางเล็กในภูเขาเหนียวแฉะเดินยาก เดิมทีอากาศหนาวของฤดูใบไม้ผลิก็หนาวเข้ากระดูกอยู่แล้ว เมื่อลมภูเขาพัดผ่าน พายุฝนครั้งนี้จึงยิ่งหนาวเหน็บเยียบเย็นเป็นพิเศษ เผยเฉียนถูกฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบใส่จนมึนงงไปหมด ยามที่เม็ดฝนกระแทกลงบนใบหน้าจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน เพียงไม่นานริมฝีปากก็ซีดเขียว สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นี่ยังเป็นสภาพร่างกายหลังจากที่เผยเฉียนฝึกวรยุทธ์แล้วด้วย หากเป็นก่อนจะฝึกวรยุทธ์ คาดว่าเวลานี้ที่ต้องตากลมตากฝนก็มากพอจะทำให้เผยเฉียนล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้นแล้ว

เฉินผิงอันบอกให้จูเหลี่ยนไปตรวจสอบเส้นทาง ดูว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีสถานที่ให้หลบฝนหรือไม่ ผู้เฒ่าหลังค่อมเรือนกายปราดเปรียวดุจวานรที่ตีลังกาหมุนกระโดดไปมาอยู่ท่ามกลางต้นไม้และก้อนหิน เพียงไม่นานก็ย้อนกลับมา บอกว่าเบื้องหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีช่องโพรงหินขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งพักเท้าอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังก่อไฟสร้างความอบอุ่น เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนขึ้นหลัง สวมงอบกันฝน แล้วยังหยิบเอาชุดกันฝนชุดหนึ่งออกมา พยายามให้เผยเฉียนโดนลมและฝนน้อยที่สุด

จางซานเฟิงแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เขาเดินอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดเตือนเสียงดัง “ฝนใหญ่ครั้งนี้ผิดปกติ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองที่วัสดุค่อนข้างจะธรรมดาแผ่นหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่มีระดับขั้นต่ำที่สุดของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เมื่ออยู่ท่ามกลางภูเขาแม่น้ำ วัดร้าง อารามเก่าโทรมหรือสุสานไร้ญาติ เฉินผิงอันจะต้องใช้ยันต์แผ่นนี้เปิดทาง ตรวจสอบระดับความเข้มข้นของปราณชั่วร้ายที่มีอยู่ในพื้นที่แถบนั้น เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบยันต์ สะบัดเบาๆ หนึ่งที กรอกปราณวิญญาณแท้จริงลงไปข้างในแล้วยันต์ก็ติดไฟลุกไหม้ทันที โชคดีที่ความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์บนปลายนิ้วไม่เร็วมาก เทียบกับเมื่อครั้งที่บุกเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองไฉ่อีเพียงลำพังแล้วนับว่าน้อยกว่ามาก เพื่อความไม่ประมาท เฉินผิงอันจึงไม่ได้ดับไฟบนยันต์ในทันที แต่ถือยันต์เปิดทาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องหน้ามีกับดัก

ศึกกลางหุบเขา ไม่เพียงแต่ผูกปมแค้นกับเซียนดินโอสถทอง ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้นเกิดใจละโมบอยากได้ทรัพย์สินของเขา ไม่ระวังตัวไม่ได้

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เฉินผิงอันยังสอบถามวัวดินสีเหลืองตัวนั้นว่าบนภูเขาแถบนี้มีปีศาจใหญ่ที่ทำตัวเป็นราชันแห่งขุนเขาหรือไม่ แม้วัวดินจะยังไม่จำแลงร่างเป็นมนุษย์ แต่กลับพูดภาษาคนได้ มันส่ายหน้ากล่าวว่า “ในช่วงเวลาห้าร้อยปีที่สติปัญญาข้าเปิดกว้าง ไม่พูดถึงช่วงสองร้อยปีล่าสุดที่จำศีลอยู่ใต้ดิน ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแคว้นชิงหลวนมีภูตผีปีศาจอาละวาด แต่เมื่อสามร้อยปีก่อน เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่ภิกษุสอนพระธรรม ดอกกุ้ยตกลงมาดั่งเม็ดฝนในวัดพุทธแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไปสามร้อยลี้ มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ตอนนั้นมีข่าวลือว่าดอกกุ้ยสีทองที่ตกอยู่เต็มพื้นของวัดมาจากต้นกุ้ยที่อยู่บนภูเขาชิงเย่าแห่งนี้”

สวีหย่วนเสียใช้มือประคองงอบ หัวเราะเสียงดัง “วัดพุทธแห่งนั้นข้ากับจางซานเฟิงเคยไปเยือนมาแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่ไปไม่ได้ เพียงแต่ว่านอกจากคำขวัญตัวใหญ่ที่เขียนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว อย่างอื่นก็มองประวัติความเป็นมาอะไรไม่ออกอีก ซากปรักของสถานที่ที่เคยเกิดคดีซับซ้อนทางพุทธศาสนาก็ถูกล้อมปิด ไม่อนุญาตให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าไป พวกเราสองคนเดินเล่นกันเป็นครึ่งๆ วันกลับได้พบภาพเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ข้าต้องเขียนไว้ในบันทึกการเดินทาง ท่ามกลางแสงสนธยามีเณรน้อยสองรูปที่รับผิดชอบขนตู้บริจาค คงเป็นเพราะรู้สึกว่าคนมาทำบุญมีบางตา ไม่มีคนนอกแล้ว เณรน้อยสองรูปจึงเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือไปควานหาเงินในตู้บริจาค คลำอยู่นาน สุดท้ายเณรน้อยที่หยิบเงินเหรียญหนึ่งออกมาได้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง คนทั้งสองแบกตู้บริจาคไว้บนไหล่อีกครั้ง เณรน้อยที่ควักเงินมาได้เดินอยู่ด้านหน้า ข้ากับจางซานเฟิงเห็นแล้วก็หัวเราะขำ ที่แท้พวกเขาต้องขนตู้บริจาคไปไว้ที่ด้านหลัง และยังต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกไกล แน่นอนว่าคนที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องได้เปรียบ คนที่ต้องแบกตู้อยู่ด้านหลังย่อมต้องลำบาก”

สำหรับเรื่องของพระพุทธศาสนา เฉินผิงอันมีความเข้าใจไม่มากนัก ศาสนาพุทธในแจกันสมบัติทวีปไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นทวีปที่มีควันธูปน้อยที่สุดในเก้าทวีปใหญ่ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวต้องไปเยือนวัดซินเซียงซึ่งอยู่ติดกับตรอกจ้วงหยวนเป็นประจำถึงพอจะสัมผัสกับพระธรรมมาบ้าง จึงกล่าวอย่างสงสัยว่า “ไหนบอกว่าสองมือของภิกษุห้ามแตะต้องเงินทองไม่ใช่หรือ?”

จางซานเฟิงคลี่ยิ้ม “ใต้หล้านี้มีกฎเกณฑ์ใดที่ฟ้าผ่าแล้วไม่สั่นคลอนบ้างเล่า”

สวีหย่วนเสียเอ่ยสัพยอก “ไม่เสียแรงที่ไปเยือนวัดวาอารามเหล่านั้น คำพูดนี้พูดได้อย่างมีนัยซะซับซ้อนมากเลย”

น้อยครั้งนักที่วัวดินจะเปิดปากพูด เว้นเสียแต่ว่ามีคนเอ่ยถาม มันถึงจะพูด

คราวนี้จึงเงียบเสียงไป เพียงแต่มันจำได้อย่างชัดเจนว่าวัดโบราณแห่งนั้นสร้างอยู่บนตีนเขาของภูเขาลูกหนึ่ง ตอนนั้นมันที่เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วได้มองวัดแห่งนั้นอยู่ท่ามกลางผืนป่ารกครึ้มบนยอดเขา เพราะไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ควันธูปของโลกมนุษย์มากเกินไป ทั้งกลัวว่าจะรบกวนผู้คนบนโลก ยิ่งกลัวว่าจะทำให้บุคคลที่เป็นดั่งเทพเซียนรังเกียจ มันจึงแค่มองดูภิกษุหนุ่มที่สวมชุดสีขาวหิมะคนหนึ่งอยู่ไกลๆ เขายืนอยู่ใต้ชายคาที่ผูกม้าเหล็ก ยื่นมือออกมา ดอกกุ้ยสีทองก็ร่วงตกลงบนฝ่ามือของเขาเหมือนเม็ดฝน

ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดคุยเล่นกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย ฝีเท้าก็เดินไปอย่างว่องไวราวกับบิน เขาเก็บยันต์ส่องไฟที่เหลืออยู่ครึ่งแผ่นกลับลงไป เพราะพวกเขามาถึงโพรงหินที่จูเหลี่ยนพบแห่งนั้นแล้ว ขนาดค่อนข้างใหญ่คล้ายศาลบรรพชนในหมู่ชาวบ้าน มากพอจะบรรจุคนได้สักสามสิบสี่สิบคน

ตลอดทางที่เดินมานี้ ยันต์ปราณหยางส่องไฟเผาไหม้อย่างเชื่องช้า อีกทั้งเมื่ออยู่ห่างจากเส้นทางขึ้นเขาเส้นนั้นมากเท่าไหร่ ความเร็วในการลุกไหม้ก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น ฝนอึมครึมเยียบเย็นที่มาเยือนกะทันหันครั้งนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเป็นการกระทำของผู้ฝึกลมปราณที่มีต่อการรับลูกศิษย์อย่างเอิกเกริกของอารามจินกุ้ยครั้งนี้

กลุ่มคนที่มาถึงช่องโพรงหินก่อนล้วนเป็นสตรี มีประมาณเจ็ดแปดคน คนที่อายุมากสุดคือหญิงชราผมขาว คนที่อายุน้อยสุดคือเด็กสาวที่อายุแค่ประมาณสิบสามปี เพราะเจอกับฝนห่าใหญ่ ผ้าคลุมหน้าที่เดิมทีใช้อำพรางรูปโฉมจึงกลายมาเป็นภาระ จึงถูกวางไว้ข้างเท้าพร้อมกับงอบและชุดกันฝน เวลานี้พวกนางกำลังนั่งผิงไฟ เห็นพวกกลุ่มของเฉินผิงอัน สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา หลายคนในนั้นขยับเปลี่ยนตำแหน่งเข้าไปใกล้กับกองไฟ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการจะพูดคุยสื่อสารกับพวกเฉินผิงอันให้มากความ

เฉินผิงอันอดหันไปชำเลืองตามองจูเหลี่ยนไม่ได้ ฝ่ายหลังยิ้ม ‘ซื่อ’ ส่งมาให้

สตรีที่มาจากสำนักเดียวกันเหล่านี้น่าจะเข้ามาในโพรงหินตั้งแต่ตอนฝนเริ่มตก จึงสามารถเก็บรวบรวมกิ่งไม้แห้งมาได้ตั้งแต่แรก ตอนนี้นอกโพรงหินลมพัดแรงจนทำให้บ้านปลิวได้ ฝนเทกระหน่ำเช่นนี้ พวกเฉินผิงอันจึงได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆ จางซานเฟิงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ แม้ตบะจะไม่สูง แต่ก็สามารถก่อไฟด้วยวิธีที่เข้าขั้นบางอย่างได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าออกมานอกบ้าน การร่ายเวทคาถาตามใจชอบคือข้อห้ามใหญ่ในการฝึกตน

เฉินผิงอันช่วยตั้งกระโจมหนังวัวให้เผยเฉียน จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าสะอาดในหีบไม้ไผ่ของนางออกมา บอกให้สุยโย่วเปียนช่วยเปลี่ยนให้เผยเฉียน

รอจนเผยเฉียนเดินกระโดดโลดเต้นออกมาจากกระโจมได้ กลุ่มชาวยุทธ์ที่เจอกันก่อนหน้านี้ก็ย้อนกลับมาทางเดิม เข้ามาหลบฝนในช่องโพรงหินด้วยสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างกัน

ฝนครั้งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ในยุทธภพก็ยังต้องก้มหน้าค้อมเอวให้

เฉินผิงอันเห็นผู้เฒ่าจมูกงองุ้มคนนั้นก็เป็นฝ่ายพยักหน้าให้ก่อน ฝ่ายหลังจึงผงกศีรษะกลับ ถือเป็นการทักทายกันแล้ว

ในเมื่อเฉินผิงอันเกรงใจขนาดนี้ พวกจูเหลี่ยนสี่คนจึงขยับเปลี่ยนตำแหน่งเว้นที่ว่างให้อีกฝ่ายเงียบๆ

เด็กสาวหน้ากลมที่มีสภาพเหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางข้ารับใช้เพื่อบดบังสายตาของคนนอกนานแล้ว เพราะถึงอย่างไรฝนก็เปียกซึมเข้าไปในเสื้อผ้า ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของเด็กสาวปรากฎออกมาอย่างชัดเจน

หลังจากคนในยุทธภพเหล่านี้หาที่นั่งกันแล้ว เด็กสาวหน้ากลมก็เริ่มมองประเมินผู้หญิงเหล่านั้น ก่อนจะถามด้วยดวงตาเป็นประกาย “พวกเจ้าคงจะไม่ใช่โผอี๋ (คำเรียกสตรีที่แต่งงานแล้วหรือภรรยา) ของเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวกระมัง?”

ก่อนหน้านี้เด็กสาวแค่มองประเมินพวกเฉินผิงอันไม่กี่ครั้ง ผู้เฒ่าชุดดำก็ออกปากห้ามปราม แต่ครั้งนี้คำพูดของเด็กสาวแสดงความไม่เคารพจนทบจะใกล้เคียงกับการท้าทาย แต่ผู้เฒ่ากลับยังคงหลับตาทำสมาธิ ทำราวกับไม่ได้ยิน

ทางฝั่งนั้น สตรีแต่งงานแล้วอายุยังน้อยที่ระหว่างคิ้วตาเต็มไปด้วยความคมกริบหันหน้ามาพูดอย่างเดือดดาล “บังอาจ!”

เด็กสาวหน้ากลมไม่กลัวแม้แต่น้อย นางยิ้มตาหยีถามกลับ “แค่ถามนิดๆ หน่อยๆ จะมาบอกว่าข้าบังอาจได้อย่างไร?”

สตรีพวกนี้มาจากเรือนแยนจือชนชั้นสูงในยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเซียวจริงๆ เด็กสาวอายุสิบสามปีที่เยาว์วัยที่สุดคางแหลมดั่งไข่ห่าน ใบหน้างามพิสุทธิ์ นางเบิกตากว้าง มองประเมินคนวัยเดียวกันที่พูดจาโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย คนที่กล้าท้าทายเรือนแยนจือเช่นนี้ ในยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเซียวมีน้อยจนนับนิ้วได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมาจากพรรคใหญ่บางแห่งของแคว้นชิงหลวนหรือแคว้นชิ่งซานสินะ?

เด็กสาวคางแหลมผู้นี้ยื่นนิ้วโป้งออกมาลูบตัวอักษรจารึกบนดาบสั้นที่ทำขึ้นอย่างประณีตบนเอวตามจิตใต้สำนึก ฝักดาบทำมาจากไม้ไผ่สีเหลือง เรียบลื่นแวววาวน่ามอง สลักสองคำไว้ว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’

ศิษย์พี่หญิงสำนักเดียวกับนาง สตรีแต่งงานแล้วอายุยังน้อยที่ตรงเอวห้อยดาบยวนยางหนึ่งคู่ เวลานี้กำด้ามดาบ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง พูดเสียงหนัก “ถ้าอย่างนั้นก็มาลองประมือกัน ดูว่าใครฝีมือลึกล้ำ ใครฝีมือตื้นเขินไหมล่ะ?”

ประมือคือการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคนกับคนในยุทธภพซึ่งค่อนข้างจะสง่างาม เป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างสุภาพ เห็นเลือดได้ยาก เพราะขอแค่ฝ่ายแพ้เลือดตกยางออก ก็ถือว่าฝ่ายชนะได้ชัยชนะมาอย่างไม่สมเกียรติ ไม่ใช่เรื่องที่มีหน้ามีตาสักเท่าไหร่

เด็กสาวหน้ากลมทำหน้าทะเล้นใส่สตรีแต่งงานแล้ว “อาศัยอายุมาก เรียนทักษะการต่อสู้มาหลายสิบปีมารังแกเด็กรุ่นหลัง นับว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงได้อย่างไร?”

สตรีแต่งงานแล้วโมโหไม่น้อย ตอนนี้นางยังอายุไม่ถึงสามสิบ อะไรที่เรียกว่าเรียนทักษะการต่อสู้มาหลายสิบปี?

หญิงชราผมขาวสีหน้าท่าทางสุภาพอ่อนโยนพูดกับสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ข้างกายเบาๆ ว่า “จะโมโหเด็กคนหนึ่งไปทำไม? ฝึกฝนด้านการระงับอารมณ์ไม่เข้าขั้น ความสำเร็จในการเรียนวรยุทธ์ก็คงไม่สูงไปยังไง”

เห็นได้ชัดว่าสตรีแต่งงานแล้วเคารพหญิงชรามาก จึงรีบก้มหน้าลงทันที “ข้าจดจำไว้แล้ว”

เด็กสาวหน้ากลมที่ห่างไปไม่ไกลยิ้มหวาน “ยังคงเป็นหมัวมัวผู้เฒ่าท่านนี้ที่เข้าใจมารยาท”

อันที่จริงนี่ก็ยังเป็น ‘คำพูดน่าฟัง’ ที่ไม่ชวนฟังอยู่ดี

เฉินผิงอันวางตัวอยู่นอกเรื่องราว รู้สึกเพียงว่าเด็กสาวหน้ากลมมีความสามารถในการใช้มีดทิ่มแทงใจคนอื่นของไม่น้อยเลยจริงๆ

หญิงชราไม่ถือสาการล่วงเกินประเภทนี้ นางย้ายสายตาไปมองผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยว “ใช่หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋แห่งพรรคต้าเจ๋อหรือไม่?”

ผู้เฒ่าชุดดำลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ออกจากสำนักมาเกือบสามสิบปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนรู้จักชื่อของข้าด้วย?”

หญิงชรายิ้มบางๆ “ต่อให้ผ่านไปอีกสามสิบปี ในยุทธภพก็ยังคงจดจำชื่อเสียงและบารมีของหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ได้อยู่ดี”

หลังจากที่หญิงชราพูดตัวตนของอีกฝ่ายออกมา เหล่าสตรีของเรือนแยนจือก็หน้าเปลี่ยนสีกันไปเล็กน้อย

มารเฒ่าจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อมีชื่อเสียงเรื่องความโหดร้ายเลื่องลือไปทั่ว เมื่อสามสิบปีก่อนชอบนั่งรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งเดินทางท่องไปทั่วทิศ ห้อตะบึงผ่านยุทธภพของหลายแคว้น เปรอะเปื้อนเลือดนับไม่ถ้วน คนของฝ่ายธรรมะที่ตายด้วยน้ำมือของคนผู้นี้หากไม่มีร้อยคนก็แปดสิบคน จู๋เฟิ่งเซียนยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นลูกศิษย์อีกแปดคน มีฉายาว่ามัจจุราชแปดตำหนัก ชื่อเสียงบารมีเลื่องระบือไปแปดทิศทั่วแคว้นชิงหลวน เพียงแต่ว่าเมื่อสามสิบปีก่อนพรรคต้าเจ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัส จู๋เฟิ่งเซียนจึงเริ่มปิดด่าน ลูกศิษย์แปดคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนในพรรคที่เดิมทีมีห้าหกพันคนก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปเกินครึ่ง นับแต่นั้นมาเรื่องราวของอดีตผู้นำแห่งยุทธภพที่เคยออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้าในแคว้นชิงหลวนจึงเงียบหายไปเป็นระยะเวลาสามสิบกว่าปี

และในขณะที่จู๋เฟิ่งเซียนเตรียมจะหลับตาทำสมาธินั้นเอง หญิงชราที่มีบุคลิกเป็นที่น่าประทับใจพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เมื่อเทียบกับเมื่อสามสิบปีก่อน น้ำในยุทธภพลึกขึ้นแล้ว เวลาที่ไม่อยู่ในถิ่นของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรดื่มสุราคารวะให้มาก โอ้อวดให้น้อย โขกหัวให้มาก พูดจาให้น้อย”

เด็กสาวหน้ากลมพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า นางจ้องหญิงชราผมขาวผู้นั้นเขม็ง อยากจะรู้ว่าหญิงแก่ผู้นี้เป็นบ้าแล้วหรือไร

จู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเฉยเมย “หากข้าจำไม่ผิด นับตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเรือนแยนจือเจ้าสร้างสำนักขึ้นมา เวลาสองร้อยกว่าปีก็ยังเป็นได้แค่สำนักลำดับรองของแคว้นอวิ๋นเซียวเท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนามาโดยตลอด ทำไม ภายในสามสิบปีนี้ มีใครมาอยู่เหนือร่างสตรีอย่างพวกเจ้าแล้วงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นมากะทันหัน เหตุใดแค่เข้ามาหลบฝนก็ต้องมาเจอกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพเช่นนี้ด้วย? ก่อนหน้านี้เผยเฉียนยังบ่นอยู่ว่า หลังออกจากท่าเรือหางผึ้ง เดินมาตั้งนานขนาดนี้ ทำไมได้เจอกับวัวดินสีเหลืองตัวเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เจอภูตผีหรือตัวประหลาดอะไรอีก

ตอนนี้เผยเฉียนจึงตั้งใจฟังอย่างมาก นี่ก็คือยุทธภพสินะ วันหน้าตนก็จะออกไปท่องยุทธภพเช่นกัน ตอนนี้ก็ต้องดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก

จูเหลี่ยนแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง คำพูดนี้ของเจ้าคนแซ่จู๋ต้องขบคิดให้ลึกซึ้งแล้ว

หญิงชราหัวเราะหยัน “หากไม่ผิดไปจากที่คาด หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋คงคิดจะพาแม่นางน้อยคนนี้เข้าไปฝึกวิชาตระกูลเซียนในอารามจินกุ้ยกระมัง ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋รู้หรือไม่ว่า เจ้าอารามจินกุ้ยเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเรือนแยนจือของพวกเรา? ในบรรดาลูกศิษย์เก้าคนก็มีรายชื่อของเรือนแยนจือพวกเราแล้วคนหนึ่ง แถมเรื่องนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เอ่ยปากเองด้วย ดังนั้นขึ้นเขาครั้งนี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางน้อยที่ปากคอเราะร้ายข้างกายหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ผู้นี้ หากมีพรสวรรค์ในการฝึกตนจริงๆ อีกทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าอารามยังถูกชะตาก็นับว่ามีโอกาสจะเรียกชิงเฉิงของพวกเราว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว”

เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านของเรือนแยนจือหน้าแดงน้อยๆ ด้วยความเขินอาย

เด็กสาวหน้ากลมมองนาง หัวเราะคิกคักกล่าวว่า “เจ้าชื่อชิงเฉิน (ยามเช้า) เหรอ ข้าชื่อหว่านซ่าง (ยามเย็น)”

จู๋เฟิ่งเซียนยิ้มบางๆ “เจ้าอารามจินกุ้ยคือเทพเซียนตัวจริงที่หาได้ยาก ครั้งนี้เขาเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ดังนั้นข้าถึงได้ยินดีออกมาเยือนยุทธภพอีกครั้ง เพียงแต่ว่าแคว้นชิงหลวนไม่ได้มีแค่ตระกูลเซียนอย่างอารามจินกุ้ยแห่งเดียวเท่านั้น ข้าสามารถสังหารพวกเจ้าให้สิ้นซากก่อน จากนั้นก็พาหลานสาวไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น หรือไม่ก็ไปจากที่นี่โดยตรง ให้ลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อของข้าแอบปกป้องสตรีที่พวกเจ้าพาขึ้นเขาอย่างลับๆ จะได้สอนนางว่าตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนควรทำเช่นไร”

สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น พูดได้ง่ายนัก! เหตุใดเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยถึงต้องจำกัดอายุ? เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนไม่รู้อย่างนั้นหรือ? หากช้าไปกว่านี้สักสองสามปี หลานสาวคนนี้ของเจ้าจะยังฝึกเป็นเซียนกับผายลมอะไรอีก ต่อให้เห็นแก่หน้าของพรรคต้าเจ๋อ ยอมให้นางเข้าไปอยู่ในตระกูลเซียน แต่คาดว่าคงเป็นได้แค่สาวใช้ที่ต้องปรนนิบัติคนอื่นกระมัง การฝึกตนของตระกูลเซียนไร้น้ำใจที่สุด ต้องให้ข้าสอนหลักการนี้แก่เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนหรือไม่?”

สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนมืดทะมึน

ต่อให้เป็นเด็กสาวหน้ากลมที่มองดูเหมือน ‘น่ารักไร้เดียงสา’ คนนั้นก็ยังหน้าดำคล้ำ

นางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง

แม้ว่าสายตาของหญิงชราไม่ดีจึงมองข้อนี้ไม่ออก แต่เด็กสาวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้าไปสองสามปีในช่วงที่อายุยังน้อย หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางแล้วก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะชดเชยกลับมาได้

ตามคำบอกของท่านปู่จู๋เฟิ่งเซียนและกุนซือท่านนั้นของพรรคต้าเจ๋อ นางคือวัสดุชั้นเยี่ยมในการฝึกตนที่ร้อยปีถึงจะพานพบสักครั้ง น่าเสียดายที่แม้ว่าตำราลับตระกูลเซียนที่ช่วยให้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางซึ่งมีอยู่เล่มเดียวในคลังอาวุธของพรรคต้าเจ๋อจะระดับขั้นไม่เลว แต่ข้อที่ว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นเซียนดินที่ดื่มน้ำค้างกินแสงเรืองรอง ทะยานลมไกลเป็นหมื่นลี้ได้ ตำราเต๋าเล่มนั้นที่มาจากตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนซึ่งควันธูปขาดหายไปแล้วกลับไม่ได้บันทึกไว้ นั่นน่าจะเป็นวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น มีเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกวิชาลับของสำนัก ได้รับการสืบทอดจากศาลบรรพชน

เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าการโต้คารมด้วยฝีปากนี้น่าสนใจที่สุด น่าสนุกยิ่งกว่าตอนที่นางยังเด็กแล้วเห็นสตรีแต่งงานแล้วตบตีกันริมถนนของแคว้นหนันเยวี่ยนเสียอีก

เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน กลัวก็แต่ว่าหากพวกเขาพูดจาไม่เข้าหูกันขึ้นมาก็อาจลงมือกัน โพรงหินก็ใหญ่แค่นี้ จะหลบก็หลบไม่พ้น มีดและกระบี่ล้วนไร้ตา หรือยังจะต้องให้เขาเปิดปากเอ่ยเตือนให้คนสองกลุ่มอย่างพรรคต้าเจ๋อและเรือนแยนจือนี้ออกไปตีกันข้างนอก?

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เดินผ่ากลางระหว่างคนสองกลุ่มออกไปหน้าช่องโพรงหินโดยตรง สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟครึ่งแผ่นที่เอาออกมาจากชายแขนเสื้อ เวลานี้ยันต์ติดไฟลุกไหม้อีกครั้ง สะเก็ดไฟสีทองอร่าม ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางลมฟ้าลมฝนที่พัดกระโชกแรงก็ยังคงเป็นดั่งต้นหญ้าต้นเล็กที่ส่ายไหวอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามายิ้มให้ “ฝนครั้งนี้ค่อนข้างจะประหลาด ลมปราณเยือกเย็นอึมครึมที่ไม่ธรรมดาขุมนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ฝนตกจนถึงตอนนี้ ทอดยาวลงมาไม่ขาดสาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกลมปราณบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ดูจากสถานการณ์แล้ว เหล่าเทพเซียนของอารามจินกุ้ยยังไม่ยอมลงมือ ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าขึ้นเขาไปที่อารามจินกุ้ยต้องระวังตัวให้มาก ไม่สู้วางบุญคุณความแค้นในยุทธภพลงก่อนชั่วคราว ถึงอย่างไรเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมของแม่นางทั้งสองก็สำคัญยิ่งกว่า การขึ้นเขาครั้งนี้คงจะถือว่าได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแล้ว”

เฉินผิงอันมองเด็กสาวทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเนิบช้าว่า “เส้นทางแห่งการฝึกตนใต้ฝ่าเท้า จำเป็นต้องยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลงด้วยหรือ? หากไม่ถูกชะตากัน มหามรรคากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แค่ต่างคนต่างเดินไปก็พอแล้ว”

จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้พูดถูกแล้ว หวังว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะไปเป็นแขกที่พรรคต้าเจ๋อของข้า ข้าผู้แซ่จู๋จะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้แน่นอน”

แม้จะเป็นคำพูดที่เอ่ยตามมารยาท ทว่าคำพูดตามมารยาทที่หลุดออกจากปากของจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่า อย่างน้อยหากอยู่ในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนก็ถือว่ามีค่าเทียบกับเงินทองได้เป็นจำนวนไม่น้อย

หญิงชราชุดขาวชำเลืองตามองกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คำพูดประโยคนี้ของคุณชายมีค่ายิ่ง ชิงเฉิงของพวกเราต้องจดจำขึ้นใจอย่างแน่นอน”

เด็กหญิงใบหน้ารูปไข่ห่านคลี่ยิ้มหวานให้เฉินผิงอัน

ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ปลายนิ้วของเฉินผิงอันเผามอดไหม้หมดสิ้นแล้ว สะเก็ดไฟสีทองก็ดับลงตามไปด้วย เฉินผิงอันขยี้นิ้ว คลี่ยิ้ม “เคยมีคนกล่าวว่า ท่องอยู่ในยุทธภพ หมัดสูงไม่ปล่อยไป เป็นเทพเซียน เวทสูงส่งไม่เอามาใช้”

เด็กสาวหน้ากลมยิ้มถาม “ขอถามคุณชาย เป็นคำพูดของยอดฝีมือคนใดหรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “เพื่อนข้าคนหนึ่ง”

เด็กสาวหน้ากลมที่เรียกตัวเองว่า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ยกนิ้วโป้งให้ จุ๊ปากพูด “ยอมให้เลย!”

แม่นางใบหน้ารูปไข่ที่ชื่อว่า ‘ชิงเฉิน’ รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวตนของคนหนุ่มผู้นี้อยู่บ้าง

จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือสบตากัน ต่างก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ นี้ของทั้งสองฝ่าย ไม่มีค่าพอให้พูดถึงหากเทียบกับการฝึกตนของเด็กรุ่นหลังของฝ่ายตัวเอง ต่อให้ในใจยังตะขิดตะขวง แต่ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปในอารามจินกุ้ยอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายยังจำเป็นต้องทำตัวดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หรือถึงขั้นที่ว่าหากพบเจออันตรายระหว่างทาง ไม่แน่ว่าพรรคต้าเจ๋อกับเรือนแยนจือยังต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจประหนึ่งคนที่ลงเรือลำเดียวกัน

เฉินผิงอันหันหน้าออกไปมองข้างนอก

ฝนยังคงตกกระหน่ำรุนแรงอย่างน่าตกใจ

ไม่รู้ว่าตอนนี้ในพื้นที่มงคลดอกบัวจะเป็นฤดูอะไร?

ก็ไม่รู้ว่าสิบคนใต้หล้าของที่แห่งนั้นในทุกวันนี้มีใครบ้าง? แต่ราชครูจ้งชิว อวี๋เจินอี้เจ้าสำนักพรรคหูซาน ลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นจะต้องเป็นหนึ่งในลำดับนี้แน่

ไม่รู้ว่าบ้านในตรอกแห่งนั้นจะได้เปลี่ยนเทพทวารบาลและกลอนคู่แผ่นใหม่หรือไม่?

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ

หลังจากปลดหีบไม้ไผ่ลง เฉินผิงอันเวลานี้จึงสะพายแค่ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่ายืมมือของฟ่านจวิ้นเม่าส่งต่อมาให้เขาเป็นการชดเชย

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสูงของม่านฝนที่เป็นสีดำสนิท

ปีนั้นยังเด็กไม่รู้ความ จำได้ว่าตอนนั้นมีคนผู้หนึ่งสวมงอบจูงลา ‘คุยโว’ ถึงเวทกระบี่ของเขาบอกว่าหากอยู่ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ น้ำฝนยังไม่อาจกระเด็นมาโดน

ตอนนี้แม้แต่เขาเฉินผิงอันก็ยังทำได้แล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้กลายเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง?

สะพาย ‘เจี้ยนเซียน’ (เซียนกระบี่) เล่มนี้ไว้ด้านหลัง แม้แต่จะชักกระบี่ออกจากฝักก็ยังยากสำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอึกใหญ่

แต่ลืมไปว่าเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าไม่ใช่เหล้าเซียนบ่อน้ำหรือเหล้าหมักกุ้ยฮวา แต่เป็นยาดองที่ฟ่านจวิ้นเม่าหลอมระดับเล็ก เฉินผิงอันพลันสะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงก่ำ สำลักไอไม่หยุด ได้แต่ใช้หลังมือปิดปาก หมุนตัวเดินไปทางเผยเฉียนด้วยท่าทางขออภัย

พริบตานั้นความสง่างามของเทพเซียนหายวับไปไม่มีเหลือ

……

วัดป๋ายสุ่ยตั้งอยู่ภาคกลางค่อนไปทางทิศใต้ของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ในวัดมีน้ำพุซ่อนอยู่ใต้ดิน สายน้ำกลิ้งไหลดุจไข่มุก คือตัวเลือกที่ดีอันดับหนึ่งในการต้มชา เป็นเหตุให้มักจะมีปัญญาชนของแคว้นอวิ๋นเซียวและแคว้นชิ่งซานมาที่นี่เพื่อตักน้ำพุมาต้มชาโดยเฉพาะ ควันธูปของวัดป๋ายสุ่ยโชติช่วงรุ่งเรืองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงทัดเทียมกับวัดเป่ยซานที่ตั้งอยูในเมืองหลวง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นจะมีส่วนร่วมในราชสำนักของภิกษุวัดเป่ยซานแล้ว ดูเหมือนว่าภิกษุของวัดป๋ายสุ่ยจะไม่ชอบเผยตัวเท่าใดนัก อีกทั้งเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาก็ไม่มีฉานซือ (คำเรียกพระภิกษุอย่างให้ความเคารพ) ที่โดดเด่นปรากฏขึ้นอีก จึงตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ากินสมบัติเก่าอย่างเลี่ยงไม่ได้

เป็นเหตุให้งานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดในครั้งนี้ วัดเป่ยซานมีหน้ามีตาที่สุด หันกลับมามองทางฝั่งของวัดป๋ายสุ่ยที่มีต้นกำเนิดมานานนับพันปีแห่งนี้ จนถึงวันนี้กลับไม่มีภิกษุสักรูปที่ป่าวประกาศว่าจะปรากฏตัวในงานพิธีใหญ่ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินการจัดเรียงลำดับของสามลัทธิในครั้งนี้เลย

ช่วงที่ผ่านมานี้ฝนฤดูใบไม้ผลิตกติดต่อกันไม่หยุด วัดวาอารามแต่ละแห่งของแคว้นชิงหลวนตั้งอยู่ท่ามกลางม่านหมอกไอฝน ยามสนธยาของวันนี้มีภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีขาวราวหิมะคนหนึ่งเดินย่างก้าวเนิบช้าอยู่ในวัดป๋ายสุ่ย

วัดป๋ายสุ่ยปิดประตูหน้าภูเขามาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว น่าสงสารก็แต่เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่หวังจะมาทำบุญ

สีหน้าของภิกษุหนุ่มเย็นชา ตลอดทางมีภิกษุเฒ่าและเณรน้อยทักทายเขา ภิกษุหนุ่มที่สวมชุดจีวรสีขาวสะดุดตากลับไม่สนใจใยดี ทว่าทุกคนกลับเคยชินเสียแล้ว

ภิกษุหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างรั้วของบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำในบ่อเป็นสีเขียวเข้ม บ่อน้ำที่ไม่สะดุดตานี้กลับมีคำเรียกขานอย่างน่าฟังว่าบ่อมังกร เพราะเล่าลือกันว่าในบ่อน้ำที่เล็กแต่กลับลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนี้มีตะพาบแก่ตัวหนึ่งพักพิงอยู่ ภิกษุคนหนึ่งเป็นคนปล่อยมันในช่วงแรกของการสร้างวัดป๋ายสุ่ย ทุกครั้งที่ภิกษุวัดป๋ายสุ่ยเทศนาพระธรรมจนถึงจุดที่ลึกซึ้งอัศจรรย์ ตะพาบเฒ่าตัวนี้ถึงจะโผล่ออกมาจากน้ำ สำหรับเรื่องนี้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของแคว้นชิงหลวนก็มีบันทึกไว้อย่างละเอียด และไม่มีใครรู้สึกกังขา

ภิกษุหนุ่มยังคงเดินทอดน่องต่อไปอย่างสบายอารมณ์ เขาเดินอยู่กลางระเบียงยาวฝั่งหนึ่งของด้านหลังตำหนักต้าสงเป่า เดินขึ้นทีสูงไปทีละก้าว ใต้ชายคาแขวนกระดิ่งเงินงดงามเรียงตัวทอดยาว เมื่อภิกษุหนุ่มเดินขึ้นบันไดไป ภูตที่มีชื่อเรียกว่า ‘ม้าเหล็กชายคา’ ซึ่งก่อกำเนิดและพักพิงอยู่ในกระดิ่งเงินเหล่านี้ก็พากันบินออกมาจากกระดิ่ง พวกมันมีปีกโปร่งใสคู่หนึ่งที่กระพือพัดลมให้แก่กระดิ่ง ดูเหมือนภิกษุหนุ่มจะไม่ค่อยชอบเสียงกรุ้งกริ้งและบรรยากาศอันเป็นมงคลของวัดโบราณที่เงียบสงบนี้สักเท่าใด เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น

เหล่าภูตน้อยตัวจิ๋วจึงรีบกลับเข้าไปหลบในกระดิ่งเงินทันที

ภิกษุหนุ่มหันหน้ามา หลุบตาลงมองลานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังตำหนักต้าสงเป่า ที่นั่นก็คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ ‘พระสมณศักดิ์สูงเทศนาพระธรรม เหล่านางฟ้าโปรยบุปผา’ ในประวัติศาสตร์ของวัดป๋ายสุ่ย จำได้ว่าวันนั้นมีดอกกุ้ยสีทองร่วงลงมาจากฟ้าจำนวนมาก ภิกษุผู้ถ่ายทอดพระธรรมและภิกษุผู้ฟังพระธรรมต่างก็นั่งกันอยู่ในกองดอกกุ้ย ภิกษุผู้เทศนาพระธรรมปรับตัวกับกลิ่นหอมนั้นไม่ค่อยได้จึงจามอยู่หลายที ผู้ฟังมีใจ รู้สึกถึงความนัยบางอย่างจึงใคร่ครวญจนเกิดเป็นหัวข้อสนทนาบางอย่าง จากนั้นก็เขียนลงไปบนศิลาของวัดป๋ายสุ่ย

เดินขึ้นบันไดมาจนครบทุกขั้น มาถึงยอดบนสุดก็อ้อมผ่านหอเก็บคัมภีร์ เดินไปยังด้านข้างของห้องเจ้าอาวาส เจอกับผนังดินเหลืองสูงครึ่งตัวคน อ้อมออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กแถบนี้ก็เจอกับบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ข้างบ่อมีโต๊ะและม้านั่งหิน

ภิกษุหนุ่มผลักประตูบ้านเล็กที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่หยาบๆ เดินไปหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำ ปากของบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งนี้ถูกปิดตายมานานหลายปีแล้ว

ในอดีตที่นี่เคยเกิดคดีทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงคดีหนึ่ง ว่ากันว่าแม้แต่คนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังได้ยิน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกือบร้อยปีมานี้วัดป๋ายสุ่ยไม่มีพระชั้นสูง แต่กลับยังคงหยัดยืนได้ไม่ล้มลง เกี่ยวกับคดีนี้ วัดป๋ายเหอทุ่มเถียงกันมานานหลายร้อยปี วัดใหญ่แห่งต่างๆ ในแคว้นชิงหลวนก็โต้เถียงกัน มีการถกเถียงกันทางพระธรรม ปัญญาชนแต่ละยุคแต่ละสมัยที่สนใจศึกษาพระธรรมกันก็เถียงกันด้วยเรื่องนี้อย่างดุเดือด ลำพังเพียงแค่ปัญญาชน นักประพันธ์ ภิกษุชั้นสูงที่แสดงความคิดเห็นต่อคดีนี้ไว้ตามผนังวัดต่างๆ ก็มากถึงสี่สิบกว่าท่าน

ความอุดมสมบูรณ์ของคัมภีร์ที่ถูกเก็บไว้และคัมภีร์หายากฉบับสมบูรณ์ที่มีเล่มเดียวในวัดป๋ายสุ่ยถือเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นชิงสุ่ย แต่ภิกษุหนุ่มที่ยืนเหม่ออยู่ข้างบ่อน้ำคนนี้กลับรังเกียจสถานที่แห่งนั้นมากที่สุด ไม่เคยเหยียบเข้าไปที่นั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ห่างจากคัมภีร์ จะฝึกตนอย่างไร

ก็แค่ถ่ายมูลลงบนเศียรพระพุทธรูปเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าทำให้เรื่องที่ดีมีมลทิน ทำให้สกปรก)

เขานั่งอยู่บนปากบ่อที่พอถูกปิดผนึกแล้วก็เหมือนม้านั่งทรงกลม เขามีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่คิดไม่ตกตลอดหลายปีมานี้

จำได้ว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า อรหันต์ท่านหนึ่งที่กลายเป็นพุทธะในโลกหลัง เทวบุตรมารได้ปรากฏตัวมาข่มขู่เขา ในใจอรหันต์หวาดกลัวจึงไปหาพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาจึงมอบคัมภีร์เล่มหนึ่งให้เขา เทวบุตรมารจึงหายไป

ช่วงแรกที่ภิกษุหนุ่มมาถึงที่นี่ เขาไม่เคยครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่วันหนึ่งพลันสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็จมเข้าสู่ความทุกข์ทรมานอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้

ในใจเขาเกิดทิฐิ

“เหตุใดภิกษุตัวเล็กๆ ในวัดเล็กๆ อย่างข้าที่เชื่อมั่นว่าต่อให้เจอเทวบุตรมารก็ยังไม่ถึงขั้นเสียกิริยาเช่นนี้ ถึงถูกกำหนดมาให้เป็นอรหันต์ใหญ่ที่จะกลายเป็นพุทธะ เป็นลูกศิษย์ของพระบรมศาสดา แต่ในใจกลับเกิดความหวาดกลัว กระวนกระวายไม่เป็นสุข? นี่ต่างจากคนธรรมดาที่ไม่เคยเรียนรู้พระธรรมที่ตรงไหน? ปัญญินทรีย์อยู่ตรงไหน? พระธรรมที่เล่าเรียนมาอยู่ที่ใด? แล้วพระธรรมที่พระบรมศาสดาถ่ายทอดให้เล่าอยู่ที่ใด? อรหันต์ที่กลายเป็นพุทธะเช่นนี้ พระธรรมที่ถ่ายทอดจะสูงและไกลได้สักเท่าไหร่?”

ภิกษุหนุ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งแต่ก็ยังคิดไม่ตก เขานั่งอยู่บนปากบ่อเพียงลำพัง น้ำตาไหลอาบหน้า

ภิกษุหนุ่มที่สติปัญญาเปิดกว้างตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้จำได้เลือนๆ ว่าในอดีตตนฆ่าแมวตัวหนึ่งอยู่ที่นี่ ฟันมันขาดเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งลงไปในบ่อน้ำ

ตลอดหลายปีมานี้ภิกษุหนุ่มพูดน้อยมาโดยตลอด ทว่ากลับอุตสาหะทำงานหนักอยู่ในวัดป๋ายสุ่ย เป็นเหตุให้ทั้งมือและเท้าล้วนเกิดรอยด้าน หน้าหนาวของทุกปี ตุ่มน้ำผุพองจะต้องปริแตกจนเลือดไหลอาบเต็มฝ่ามือ

เขาใช้ฝ่ามือตบปากบ่อที่ถูกปิดตายครั้งแล้วครั้งเล่า เนื้อหนังเริ่มแตกและเลือดสดก็ค่อยๆ ซึมออกมา แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว

ภิกษุหนุ่มเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า สะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ แต่กระนั้นก็ยังใช้ฝ่ามือตบฝาบ่อแรงๆ “ผิดแล้วๆ พวกเจ้าผิดอีกแล้ว พระธรรมก็อยู่ข้างในนั้น…ข้าเองก็ผิดแล้ว ปริศนาธรรมมิอาจกล่าว เปิดปากก็ผิดแล้ว แต่ไม่เปิดปากก็ผิดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? พวกเราต่างก็ผิดแล้ว ทำอย่างไรถึงจะไม่ผิด…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!