บทที่ 380 ลางบอกเหตุ
น้ำฝนที่ตกลงมาครั้งนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึมผิดปกติ หลังจากเฉินผิงอันพูดเปิดโปงความลับด้วยประโยคเดียว กุญแจสำคัญที่ทำให้เหล่าชนชั้นสูงในยุทธภพสองกลุ่มที่อยู่ในโพรงหินหยุดทะเลาะกัน ไม่ได้อยู่ที่คำพูดด้วยความหวังดีว่ายิ่งเดินทางไม่ควรยิ่งแคบลง แล้วก็ไม่ใช่เพราะยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นของเฉินผิงอัน แต่อยู่ที่ประโยคว่า ‘เหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยยังไม่ลงมือ’ ประโยคเดียวเท่านั้น
นี่หมายความว่าหากไม่เป็นเพราะอารามจินกุ้ยวางแผนไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลัง จงใจแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นเพื่อล่องูออกจากโพรง ก็ต้องเป็นเพราะความสามารถสู้ศัตรูไม่ได้ ได้แต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในอาราม หลีกเลี่ยงประกายแหลมคม
ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลข้อไหน เทพเซียนบนภูเขาตีกันเช่นนี้ ต่อให้พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกัน เหล่าสตรีที่มาจากเรือนแยนจือของแคว้นอวิ๋นเซียวก็ยังไม่ยินดีจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ส่วนจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เคยสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพหลายแคว้นก็ยิ่งเป็นพวกคนที่เยือกเย็นสุขุม ขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อพาดสะพานแห่งการฝึกตนขึ้นไปสู่สวรรค์ให้แก่หลานสาว ส่วนอารามจินกุ้ยก็สามารถถือโอกาสนี้รับลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจไว้คนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา พรรคต้าเจ๋อไม่ต่ำต้อยกว่าคนอื่น จู๋เฟิ่งเซียนย่อมไม่ยินดีจะทำหน้าที่เป็นทัพหน้าให้แก่นักพรตอารามจินกุ้ย
เฉินผิงอันกลับมานั่งที่เดิม เผยเฉียนที่ขี้ประจบไม่รู้ไปเอาหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งจากไหนมาทำเป็นม้านั่งตัวเล็กให้เฉินผิงอัน นางนั่งยองอยู่บนพื้นแล้วใช้มือเช็ดคราบดินบนก้อนหินออกแรงๆ พลางเงยหน้าเอ่ยปลอบเขาไปด้วย “อาจารย์ ท่านยังคงมีมาดอันสง่างามมากอยู่ดี ก็แค่ช่วงปิดจบมีข้อตำหนิเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าสามารถมองข้ามไม่นับรวม”
คำว่าช่วงปิดจบนี้นางมักจะได้ยินเวลาที่ดูหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับคนอื่นจนคุ้นหู อยู่กับคนทั้งสี่ในภาพวาดนานวันเข้า เผยเฉียนจึงได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นกลยุทธ์การสร้างขบวนรบของเว่ยเซียนที่บอกว่า ‘การเข่นฆ่าในสนามรบ ไม่มีเวลามาตั้งขบวนรบงูยาว ขบวนรบประตูมังกรอะไรทั้งนั้น ก็แค่เข้าแถวแนวตั้งแนวนอนประจำที่ให้เป็นระเบียบเท่านั้น สุดท้ายก็อาศัยความสามารถของใครของมันยกมีดยกดาบฟาดฟันไปมั่วซั่วอุตลุด’ ได้เรียนรู้หลักเกณฑ์บางอย่างในการเรียนหมากล้อมและพิณมาจากเสี่ยวป๋าย เรียนรู้วิธีทำอาหารกับแกล้มสุราจานเล็กๆ จากจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนเห็นว่าเผยเฉียนมาเป็นลูกมือให้ตัวเองบ่อยๆ แล้วก็ถือว่าพอจะทนกับความยากลำบากได้จึงมอบนิยายจอมยุทธ์ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเล่มหนึ่งให้กับเผยเฉียน เผยเฉียนอ่านจนลืมกินลืมนอน แล้วยังได้เรียนคำพูดโหดๆ มากมายที่ผู้คนชอบใช้เวลาท่องยุทธภพจากสุยโย่วเปียน ยกตัวอย่างเช่น ‘คิดจะผ่านที่แห่งนี้ ทิ้งชีวิตและทรัพย์สินเอาไว้’ ‘บังอาจเป็นโจรดักปล้นกลางทาง จงกินทวนของข้าซะ’ เป็นต้น
จางซานเฟิงมองม่านฝนข้างนอกแล้วให้เป็นกังวล เขาพูดเบาๆ ว่า “ฝนทะมึนที่ตกหนักและตกนานขนาดนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทนได้ เว้นเสียจากว่าจัดวางค่ายกลเรียกฝนไว้นานแล้ว ทว่าวิธีการเช่นนี้ หากใช้ค่ายกลชักนำมาโดยไม่ได้ใช้มรรคกถาของตัวเองจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าโปรยเงินเกล็ดหิมะจากฟ้าลงบนดินแล้ว ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ฝึกตนประตูมังกรจึงมีมากกว่า ไม่รู้ว่านักพรตของอารามจินกุ้ยคือผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตเท่าใด จะสามารถรับมือกับฝนทะมึนที่ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำนี้ได้หรือไม่”
เสียงของจางซานเฟิงไม่ดังนัก แต่จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือต่างก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในยุทธภพ แค่ตั้งใจจับสังเกตสักหน่อยก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน และจู๋เฟิงเซียนก็ไม่ยี่หระที่ตัวเอง ‘แอบฟัง’ เขาหันไปพูดกับหญิงชรา “ในเมื่อเรือนแยนจือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับอารามจินกุ้ย คิดว่าคงรู้ระดับสูงต่ำของเวทคาถาของเจ้าอารามบ้างกระมัง?”
หญิงชราลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบว่า “เล่าลือกันว่าเจ้าอารามจางกั่วอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว เขามีตบะประตูมังกรที่เป็นดั่งเจียวหลงในทะเลเมฆ เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน”
จู๋เฟิ่งเซียนขมวดคิ้ว “ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่กระหึ่มไปทั่วยุทธภพ ไหนบอกว่าจางกั่วปิดด่านหลายสิบปี ครั้งนี้ออกจากด่านมาได้อย่างราบรื่นจึงเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนพสุธาในตำนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
หญิงชรายิ้มขื่น “เซียนดินที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จถือเป็นบุคคลที่เลิศล้ำโดดเด่นปานใด ไยยังต้องรับลูกศิษย์? แค่ตั้งใจฝึกตนมุ่งหน้าไปยังมหามรรคาก็พอแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ กลายเป็นเทพเซียนแล้ว ยังจะเต็มใจควานหาเงินในบ่อโคลนอีกไหม? ต่อให้ในบ่อโคลนจะมีเงินมีทองอยู่จริง คนในยุทธภพอย่างพวกเราเห็นค่า ยังจะค้อมเอวลงไปคลำในบ่อโคลนอยู่บ้าง แต่เทพเซียนบนภูเขาจะรู้สึกเสียดายงั้นหรือ? แต่เจ้าอารามจางกั่วมีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดินจริงแท้แน่นอน หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ไม่ต้องสงสัย อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น หลานสาวของเจ้ากราบไหว้จางกั่วเป็นอาจารย์ ฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ย อนาคตย่อมไม่เลวเป็นแน่”
จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับ สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร จู๋เฟิ่งเซียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดอาจจะยังกริ่งเกรง แต่ไม่ถึงกับหวาดกลัวแน่นอน ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็มากถึงหนึ่งมือนับแล้ว
ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ในอนาคตมีหวังว่าจะได้เป็นเซียนดินโอสถทอง จู๋เฟิ่งเซียนยินดีที่จะมอบความเคารพนับถือที่มากพอให้ เพราะถือว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่หลานสาวของตนแล้ว
ทุกปีพรรคต้าเจ๋อจะต้องเอาเงินแสดงความเคารพออกมาก้อนหนึ่ง แล้วสั่งให้คนนำมามอบให้อารามจินกุ้ยบนภูเขาชิงเย่าอย่างลับๆ
จางซานเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่ใช่คนบนภูเขาก็ไม่รู้เรื่องบนภูเขา เทพเซียนในใจและในสายตาของจู๋เฟิ่งเทียนกับหญิงชราจากเรือนแยนจือสูงส่งเกินเอื้อมจนเท้าไม่เปื้อนดิน แต่เป็นเทพเซียนโอสถทองแล้วอย่างไร ก็ต้องสั่งสมทรัพย์สมบัติอย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังเหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ เรื่องของการฝึกตนต่างหากที่ถึงจะเป็นหลุมไร้ก้นที่กลืนกินเงินทองได้มากที่สุดในโลกอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเซียนดินส่วนใหญ่ นอกจากผู้ฝึกตนอิสระที่ใช้ชีวิตอย่างเสรีมาจนชินแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ได้ครอบครองภูเขาและถ้ำสถิตก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำงานเอง เพราะมีคนในสำนักคอยไปผูกสัมพันธ์กับฝ่ายอื่น ตัวเองแค่ตั้งใจฝึกตนก็พอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าหญิงชราจากเรือนแยนจือพอจะเดาถูกได้ครึ่งหนึ่ง
และเวลานี้เอง ในป่าลึกท่ามกลางม่านฝนที่อยู่ห่างออกไปไกลพลันเกิดเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แผ่นดินสั่นสะเทือน สายลมพัดกระโชกให้เม็ดฝนสาดเอง มีเสียงแผ่นดินไหวดังขึ้นลงเป็นระลอกดุจเสียงเจ้าป่าคำราม
ครู่หนึ่งต่อมาเหตุการณ์ผิดปกติทั้งหลายก็หยุดนิ่ง ระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงแค่ฝนเทกระหน่ำเท่านั้น
อีกประมาณหนึ่งก้านธูปให้หลัง สุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนและจู๋เฟิ่งเซียนสามคนก็เงยหน้ามองไปด้านนอกโพรงหินแทบจะเวลาเดียวกัน
สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนเป็นปกติ แต่หัวใจกลับบีบรัดตัว
ในบรรดาผู้ติดตามของเซียนซือหนุ่มคนนั้นถึงกับมีคนสองคนที่มีสัมผัสเฉียบไวไม่เป็นรองตนเชียวหรือ?
ต้องรู้ว่าตนคือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว แม้จะบอกว่าการต่อสู้กับเซียนเมื่อสามสิบปีก่อนทำลายรากฐานวิถีวรยุทธ์ไปบางส่วน รักษาตัวมานานสามสิบปีก็ยังไม่อาจกลับคืนสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ได้ กลายเป็นลำดับล่างสุดของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ แต่พยัคฆ์ที่แม้จะตายก็ยังไม่ทิ้งลาย เขาจู๋เฟิงเซียนอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าตกอับมากนัก ก็แค่เลื่อนจากอันดับที่สองมาอันดับที่สี่เท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่สมศักดิ์ศรีอยู่เช่นเดิม
ครั้งนี้งานพิธีทางศาสนาพุทธที่จัดขึ้นติดต่อกันสามปีได้ชักนำผู้ฝึกตนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำมามากมายก็จริง ทว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดในยุทธภพนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ปรมาจารย์น้อยแต่ละคนก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น เพราะรากฐานว่างเปล่ากลวงโบ๋ หากจะต้องสู้ตัดสินเป็นตายกันจริงๆ ย่อมไม่มีทางต้านรับหมัดไม่กี่หมัดของพวกเขาสี่คนใด
เหตุใดการพบกันโดยบังเอิญบนภูเขาครั้งนี้ถึงได้มียอดฝีมือเพิ่มมามากมายขนาดนี้ในคราวเดียว? นอกจากสตรีสะพายกระบี่ที่รูปโฉมงามล้ำและผู้เฒ่าหลังค่อมที่มองดูเหมือนเข้ากับคนได้ง่ายแล้ว บุรุษพกดาบที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญและชายกำยำที่พูดน้อยก็เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพที่มีรากฐานแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด นี่ต่างหากถึงเป็นเหตุผลข้อเดียวที่จู๋เฟิ่งเซียนต้องมองเฉินผิงอันในมุมใหม่มาตั้งแต่ต้นจนจบ เมฆมาจากมังกรลมมาจากพยัคฆ์ หากเซียนซือหนุ่มผู้นั้นเป็นพวกฝีมือกระจอกงอกง่อยจะกำราบปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เหล่านี้อยู่มือได้อย่างไร?
ฝนใหญ่เริ่มซาลง
ท่ามกลางม่านฝนมีนักพรตหนุ่มหลายคนจับกลุ่มมากับนักพรตน้อย นักพรตของอารามจินกุ้ยที่เป็นผู้นำซึ่งเดินนำอยู่หน้าสุดหล่อเหลาปานหยกสลัก รอยยิ้มของเขาชวนให้คนหลงใหล นักพรตที่อยู่ด้านหลังเขานอกจากจะกางร่มให้ตัวเองแล้ว แต่ละคนยังหอบร่มน้ำมันมาเต็มอ้อมอก มีเพียงนักพรตที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดที่ไม่มีอะไรติดมือมา พอเข้ามาในโพรงหินก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่เปียกโชก บุคลิกท่าทางของเขาไม่เหมือนกับพวกคุณชายตระกูลร่ำรวย แต่มีท่วงทำนองที่แตกต่างออกไป เขามองทุกคนแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีปีศาจอาละวาด พยายามที่จะใช้ฝนทะมึนทำลายภูเขาและแม่น้ำของอารามจินกุ้ยพวกเรา ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนก เจ้าอารามของพวกเรากับสหายอีกสองคนที่เดินทางมาไกลได้เก็บวิชาอภินิหารทั้งหมดลงไปแล้ว พวกเจ้าสามารถขึ้นเขาไปพร้อมกับข้าได้อย่างวางใจ ปีศาจกลุ่มนั้นถูกสังหารจนสิ้นแล้ว หนีไม่รอดแม้แต่ตัวเดียว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือชำเลืองมองเด็กสาว ‘ชิงเฉิง’ แวบหนึ่ง ในสายตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจระงับ ก่อนหน้านี้ที่เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว หญิงชราก็แอบคาดเดาในใจอยู่แล้ว อารมณ์จึงตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด หากเป็นอย่างที่นางคิดจริง การเดินทางมากราบอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชาของชิงเฉิงที่สำนักฝากความหวังไว้ให้ครั้งนี้ คงยากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก เวลานี้ได้ยินนักพรตหนุ่มรูปงามช่วยยืนยันว่า ‘เจ้าอารามและสหายลงมือช่วยเหลือ’ หญิงชราก็ไพล่นึกไปถึงรูปโฉมของเทพเซียนบนภาพวาดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ของตนเก็บไว้อย่างทะนุถนอมนั้น ความคิดนับร้อยพลันประดังประเดเข้ามา ปีนั้นก่อนที่ท่านย่าบุรพาจารย์จะตายไป ยังคงบอกให้นางที่ยังเป็นเด็กสาวและศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งจับปลายสองด้านของแกนภาพวาด คลี่ภาพออกเพื่อให้สะดวกให้นางได้มองบุรุษที่อยู่บนภาพวาดนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
เวลานี้พวกนางคุ้มครองพา ‘ชิงเฉิง’ มาส่งเพื่อฝึกตนบนภูเขาอย่างไม่กลัวความยากลำบาก ก็เป็นเพราะบุรุษเทพเซียนผู้นั้นสั่งให้คนนำความมาบอกเรือนแยนจือ ระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายพูดคุยกับเรือนแยนจือก่อน ทุกคนในสำนักต่างก็ปิติยินดีอย่างล้นเหลือ
นักพรตหนุ่มที่รูปงามบุคลิกโดดเด่นยิ้มกล่าวว่า “ร่มกระดาษน้ำมันพวกนี้ ผิวร่มเป็นเพียงกระดาษธรรมดา แต่คันร่มกลับเป็นกิ่งกุ้ยปราณวิญญาณที่ผู้อาวุโสในอารามของพวกเราสร้างขึ้น สามารถป้องกันกลิ่นอายชั่วร้ายที่มาพร้อมลมและฝน ไม่ว่าจะผ่านป่าเขาเข้าไปในบึงน้ำ หรือเดินอยู่ท่ามกลางสุสานไร้ญาติเพียงลำพังยามค่ำคืน ถือร่มกิ่งกุ้ยของอารามพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายมารุกราน แค่เห็นร่มคันนี้ พวกมันก็จะถอยหนีหลบเลี่ยงกันไปเอง เจ้าอารามกังวลว่าในกลุ่มของทุกท่านจะมีสตรีบอบบางที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ก็เลยสั่งให้พวกเราลงจากภูเขาเอาร่มมาส่งให้โดยเฉพาะ”
จากนั้นก็มอบร่มกิ่งกุ้ยสิบกว่าคันที่มีเฉพาะในอารามจินกุ้ยออกมาให้
นักพรตน้อยหน้าขาวปากแดงคนหนึ่งมองเห็นเผยเฉียนที่เป็นคนวัยเดียวกันเพียงคนเดียวอยู่นานแล้ว รอจนอาจารย์อาสั่งให้นำร่มไปมอบให้ก็รีบวิ่งไปหาเด็กหญิงผิวดำเกรียมเป็นถ่านทันที นักพรตน้อยส่งร่มกิ่งกุ้ยในมือออกมาพลางคลี่ยิ้มกว้าง
เผยเฉียนไม่ได้อยากได้ร่มผุๆ ของอารามจินกุ้ยอะไรนี่หรอก แต่เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงยังต้องใช้ ‘ระเบียบอาจารย์กฎบ้าน’ กันสักหน่อย นางจึงปฏิเสธร่มกระดาษน้ำมันจากน้ำพรตน้อยอย่างละมุนละม่อม จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณเจ้าตัวน้อยอย่างว่าง่าย
นักพรตน้อยเป็นกังวลเล็กน้อย บอกว่าอย่าดูแคลนฝนทะมึนครั้งนี้เด็ดขาดเชียว มันทำลายพลังหยางของคนได้ง่ายที่สุด คนที่ร่างกายอ่อนแอและคนที่ชะตาชีวิตไม่แข็งแกร่งอาจจะมีต้นตอโรคติดตัว ถึงเวลานั้นกินยาไปก็ไม่ได้ผล ถึงอย่างไรร่มนี้อารามของพวกเขาก็มอบให้พวกเจ้ายืม ไม่เก็บเงิน ทำไมถึงไม่รับไว้ รับไปเถอะ ร่มกิ่งกุ้ยนี้ไม่หนักสักหน่อย
เผยเฉียนได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่สามารถกลอกตาใส่อีกฝ่ายได้
มองนักพรตน้อยน่ารักที่พยายามอธิบายถึงความร้ายกาจของฝนทะมึนครั้งนี้ให้เผยเฉียนฟัง เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม ลูบศีรษะเผยเฉียน บอกให้นางรับร่มกระดาษน้ำมันเอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังนักพรตหนุ่มรูปงาม “นักพรตท่านนี้ ได้ยินว่าครั้งนี้อารามของท่านเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ไม่ทราบว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกข้าที่บังเอิญมาได้จังหวะประจวบเหมาะพอดี จะขอรบกวนขึ้นเขาไปดูงานพิธีอันยิ่งใหญ่ด้วยได้หรือไม่?”
นักพรตรูปงามพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้อยู่แล้ว หลังขึ้นเขาไปแล้วแค่รับสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งมา แล้วจดจำข้อห้ามของสำนักที่ระบุไว้บนนั้นให้ได้ก็พอ”
นักพรตน้อยรีบหันหน้าไปตะโกนพูดกับนักพรตผู้หล่อเหลา “อาจารย์อาน้อย ข้อกำหนดบนสมุด ข้าท่องจำได้ขึ้นใจนานแล้ว ไม่อย่างนั้นให้ข้าท่องให้คุณชายท่านนี้ฟังดีไหม?”
นักพรตรูปงามยิ้มบางๆ ตอบว่า “หากคุณชายเต็มใจจะฟังเจ้าพูดมาก เจ้าก็เดินขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนคุณชายก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณนักพรตอารามจินกุ้ยหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ ยิ้มพูด “ขอบคุณท่านนักพรต รบกวนท่านนักพรตน้อยด้วย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองจางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสีย คนทั้งสองพยักหน้าให้เบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าการขึ้นเขาไปชมงานพิธีครั้งนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสม
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว สวีหย่วนเสียกลับรู้สึกดีใจไม่น้อย อารามจินกุ้ยปิดประตูไม่ต้อนรับแขกแทบตลอดเวลา เป็นเหตุให้คนนอกไม่สามารถเข้าไปชื่นชมทัศนียภาพด้านในได้ ด้านล่างภูเขาของแคว้นชิงหลวนมีเรื่องเล่าบอกว่าครั้งนั้นที่นางฟ้าโปรยดอกไม้ ดอกกุ้ยร่วงเต็มพื้นของวัดป๋ายสุ่ย ต้นกำเนิดของดอกกุ้ยสีทองเหล่านั้นก็คือต้นกุ้ยโบราณอายุนับพันปีหลายต้นที่อยู่ด้านหลังอารามจินกุ้ย (กุ้ยสีทอง) และยังมีเซียนท่านหนึ่งที่ท่องเที่ยวไปทั่วฟ้าดินเยื้องกรายลงมาเยือนที่อาราม ชี้นิ้วไปที่ต้นกุ้ยแล้วกล่าวว่า ‘พันธ์บนดวงจันทร์’
ก่อนหน้านี้วัวดินสีเหลืองไม่ได้เข้ามาในช่องโพรงหินด้วย ถึงอย่างไรมันก็มีชาติกำเนิดเป็นปีศาจ อีกทั้งครั้งนี้ยังพบเจอกับเหตุไม่คาดฝัน นักพรตของอารามเต๋าอาจรู้สึกกังขา หากทำให้อารามจินกุ้ยเกิดสงสัยขึ้นมา เฉินผิงอันย่อมต้องหาคำมาอธิบายให้พวกเขาฟัง ยังดีที่วัวดินรู้ถึงความขัดแย้งบนภูเขาอย่างลึกซึ้ง มันที่อยู่ห่างไปจากโพรงหินจึงใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่าช่วงนี้มันจะซ่อนตัวรออยู่ด้านล่างภูเขา เว้นเสียจากว่ามีเซียนดินมาลาดตระเวนก็คงไม่ถูกพบร่องรอยได้ง่ายนัก เฉินผิงอันจึงบอกให้มันระวังตัว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็หนีขึ้นไปบนภูเขาชิงเย่าได้เลย เขาจะออกหน้าอธิบายให้กระจ่างเอง
อารามเต๋าตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาชิงเย่า ทางเดินมีแต่ดินโคลนเฉอะแฉะทำให้เดินลำบาก ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงประตูใหญ่ของอารามเต๋า จุดที่กว้างที่สุดของทางเส้นเล็กก็ได้แค่ให้คนสามคนเดินเคียงไหล่กันเท่านั้น ไม่ต้องคาดหวังว่าจะให้รถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ นี่แสดงให้เห็นว่าอารามจินกุ้ยไม่ค่อยยินดีจะคบค้าสมาคมกับคนด้านล่างภูเขาสักเท่าไหร่
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของภูเขาชิงจิ้งที่พวกเฉินผิงอันไปเยือนในคราวนั้นได้สร้างบันไดไว้มากถึงสามพันขั้น เทียบกับบันไดหยกในวังหลวงที่เป็นบ้านของฮ่องเต้แล้วยังดูโอฬารยิ่งใหญ่กว่าเสียอีก
อารามจินกุ้ยมีขนาดไม่ใหญ่ แต่สามารถรองรับนักพรตให้มาฝึกตนได้ถึงสี่สิบห้าสิบคน คนของแต่ละฝ่ายที่นำพาเด็กรุ่นหลังขึ้นเขามาต่างก็จ้างให้คนมาสร้างกระท่อมอยู่กึ่งกลางภูเขาชิงเย่าเพื่อเป็นที่พักอาศัยนานแล้ว สำหรับเรื่องนี้อารามจินกุ้ยไม่ขัดขวาง บางคนที่มีไหวพริบ อีกทั้งยังเป็นคนของกองกำลังในยุทธภพแคว้นชิงหลวนเห็นว่าอารามจินกุ้ยพูดคุยได้ง่ายก็ถึงกับจ้างชายฉกรรจ์หลายสิบคนให้มาบุกเบิกที่ดินสร้างหอเรือนที่ขนาดไม่เป็นรองหอสุราหรือโรงเตี๊ยมในหมู่ชาวบ้านเอาไว้
อารามจินกุ้ยคืออารามในป่าที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เพียงแต่ว่าหากฟังตามคำกล่าวของนักพรตรูปงาม ทรัพย์สมบัติของอารามแห่งนี้ไม่ได้ตกเป็นของสายระบบเต๋าที่พวกเขาอยู่ทั้งหมด และเมื่อเจ้าอารามรับลูกศิษย์ ถึงเวลานั้นจะได้รับทำเนียบตระกูลหยกทองที่ราชสำนักแคว้นชิงหลวนจัดสรรมาให้ ขอแค่กราบไหว้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของเจ้าอารามจางกั่ว ไม่ใช่เป็นนักพรตที่แค่แขวนชื่อไว้ว่าฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ยเท่านั้น ก็จะถือว่ากลายเป็นเซียนซือคนหนึ่งในเทียบวงศ์ตระกูล เกรงว่านี่ต่างหากถึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชนชั้นสูงในยุทธภพและเศรษฐีผู้สูงศักดิ์ยินดีพาลูกหลานในตระกูลแห่กันมาเยือนที่แห่งนี้
มีเพียงตำหนักใหญ่ของลัทธิเต๋าเท่านั้นถึงจะมีสามตูห้าจู่สิบแปดโถวครบตำแหน่ง (คือตำแหน่งผู้ดูแลในด้านต่างๆ มาจากระบบสือฟางฉงหลินหรือระบบบริหารจัดการวัดวาอาราม) อารามจินกุ้ยมีคนแค่สี่สิบห้าสิบคน ย่อมไม่พิถีพิถันมากมายถึงเพียงนั้น เว้นเสียจากเจ้าอารามจางกั่วแล้วก็มีผู้ดูแลสองสามคนและห้าหกโถวซึ่งรวมถึงคู่โถว (มีหน้าที่ทำงานทั่วๆ ไปในวัด ดูแลเรื่องรายรับรายจ่ายด้านธัญพืช เงินทอง สิ่งทอ ข้าวสาร เป็นต้น ตำแหน่งต่ำ แต่ภาระงานหนัก) เป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น สวี่ป๋อรุ่ยนักพรตรูปงามก็คือกู่โถว (คนที่รับผิดชอบตีกลองหยุดกลองหรือตีระฆังของวัด) ของอารามจินกุ้ย ถึงอย่างไรต่อให้อารามจะเล็กแค่ไหน ทั้งกลองและระฆังต่างก็ถือเป็นวัตถุที่ขาดไม่ได้
หากจะพูดถึงวัดลูกหลาน (หรือจื่อซุนเมี่ยวหมายถึงวัดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทรัพย์สินในวัดจะตกเป็นของพระที่อยู่ในวัดทั้งหมด พวกเขาสามารถจัดการกันได้เอง พระสามารถรับลูกศิษย์ได้ด้วยตัวเอง โกนหัวบวชให้ลูกศิษย์ได้ แต่ไม่สามารถประกาศให้พระที่บวชใหม่ถือศีล พระที่บวชใหม่ต้องไปรับศีลที่สือฟางฉงหลินเท่านั้น) ที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
จางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเต๋าแห่งนี้จะรับลูกศิษย์ในวันมะรืน ในฐานะที่พรรคต้าเจ๋อของจู๋เฟิ่งเทียนคือหนึ่งในงูเจ้าถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นชิงหลวน ก็ได้ทุ่มเงินขาวก้อนใหญ่ถึงหนึ่งแสนกว่าตำลึงมาสร้าง ‘คฤหาสน์หลบร้อน’ ไว้กึ่งกลางภูเขานานแล้ว ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างมากมายจึงดูสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ดูท่าเรื่องที่หลานสาวของจู๋เฟิ่งเทียนจะถูกรับเลือกคงเป็นเรื่องแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เรือนแยนจือเองก็จ้างคนมาสร้างเรือนแห่งหนึ่งที่ประณีตงดงาม ทว่านักพรตสวี่ป๋อรุ่ยกลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลิวชิงเฉิง จู๋จื่อหยาง พวกเจ้าทั้งสองคนสามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตเข้าไปในอารามได้เลย อารามจินกุ้ยได้จัดห้องสองห้องไว้ให้แล้ว”
จากนั้นสวี่ป๋อรุ่ยก็หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อารามคับแคบ รับรองทุกท่านได้ไม่ทั่วถึง ตอนนี้เหลือแค่ห้องอยู่สองห้อง หากคุณชายเต็มใจไปเข้าพักเพียงลำพังก็สามารถติดตามข้าผู้เป็นนักพรตขึ้นเขาตอนนี้ได้เลย หากไม่อยากแยกกับสหาย และไม่มีที่อื่นให้ไปพัก ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถออกหน้าช่วยพูดกับชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันแทนคุณชาย ให้คุณชายไปพักอาศัยด้วยสักสองสามวันย่อมไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่ได้ผูกบุญสัมพันธ์กัน”
จู๋เฟิ่งเซียนหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไยนักพรตสวี่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ ให้พวกคุณชายมาพักอยู่กับข้าก็ได้แล้ว”
หญิงชราจากเรือนแยนจือก็อยากจะเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันเช่นกัน เสียดายก็แต่พวกนางมีแต่สตรี จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ไม่สะดวกจะเอ่ยปากจริงๆ จึงได้แต่มองบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่นี้ถูกผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างอย่างคนของพรรคต้าเจ๋อช่วงชิงไปกับตา
ฝนบนภูเขาหยุดลงแล้ว เฉินผิงอันสอบถามสวี่ป๋อรุ่ยว่าวันนี้สามารถไปดูต้นกุ้ยของอารามได้หรือไม่ สวี่ป๋อรุ่ยยิ้มกล่าวว่าไม่มีอะไรที่ไม่ได้ แต่ต้องให้เขาเป็นคนนำทาง ห้ามเดินเพ่นพ่านอยู่ในอารามตามใจชอบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเผยเฉียน จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียขึ้นเขาไปด้วยกันต่อ ส่วนสี่คนในภาพวาดกลับติดตามจู๋เฟิ่งเซียน ‘มารเฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน’ ไปยังที่พักของเขา
นักพรตน้อยชอบอยู่ข้างกายเผยเฉียน ในอ้อมอกเขาหอบร่มน้ำมันกอบใหญ่ ช่วยไม่ได้ ในอารามเต๋าก็มีแต่เขาที่อายุน้อยสุด คนอื่นๆ ล้วนเป็นคนแก่ที่อายุมากแล้ว อ้าปากก็เหลือฟันอยู่แค่ไม่กี่ซี่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นนักพรตที่เข้มงวดจริงจังอย่างสวี่ป๋อรุ่ยอาจารย์อาน้อยของเขา กว่าจะเจอคนรุ่นเดียวกันที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักพรตน้อยย่อมลิงโลดอยู่แล้ว
แต่เผยเฉียนกลับไม่สบอารมณ์นัก เหตุใดต้องมาเจอเจ้านกกระจิบน้อยที่พูดเสียงจ้อยๆ อยู่ข้างหูผู้นี้ด้วย คนที่ฝึกตนบนภูเขาไม่ควรจะเหมือนคนหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้หรือไร?
เด็กสาวหลิวชิงเฉิงแห่งเรือนแยนจือ เด็กสาวจู๋จื่อหยางหลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียนที่พอพ้นจากการปกป้องคุ้มครองของอาจารย์และผู้อาวุโสแล้ว ฝ่ายแรกค่อนข้างจะขลาดกลัว ฝ่ายหลังกลับไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน สอบถามเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับอารามจินกุ้ยจากนักพรตสวี่ป๋อรุ่ยว่าเป็นจริงเท็จ สวี่ป๋อรุ่ยน่าจะเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนคนหนึ่งจึงตอบคำถามนางทีละข้ออย่างอดทน คำตอบของเขาทั้งไม่ใส่เสริมเติมแต่ง แล้วก็ไม่ปิดบังอำพราง ทำให้จู๋จื่อหยางรู้สึกดีต่ออารามจินกุ้ยไปด้วย
หลิวชิงเฉิงปลุกระดมความกล้าถามเด็กสาวหน้ากลมของพรรคต้าเจ๋อเสียงเบา “ที่แท้เจ้าไม่ได้ชื่อ ‘หว่านซ่าง’ หรอกหรือ?”
จู๋จื่อหยางตบหน้าผากตัวเอง “ในยุทธภพมีคนไร้เดียงสาอย่างเจ้าได้ยังไงนะ?”
ไม่ได้พูดออกมาตามตรงว่าเด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านโง่เขลาก็ถือว่าจู๋จื่อหยางออมฝีปากให้แล้ว
หางตาของจู๋จื่อหยางเหลือบไปเห็นมีดสั้นที่ประณีตงดงามตรงเอวของหลิวชิงเฉิง บนปลอกไม้ไผ่สลักคำว่า ‘จุ้ยเอ่อร์’ นางจึงยิ้มถามว่า “มีดสั้นเล่มนี้ของเจ้าสวยมาก ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?”
หลิวชิงเฉิงส่ายหน้า พูดอย่างขลาดๆ “นี่คือของตกทอดที่ท่านย่าบุรพาจารย์ไท่ซ่างของข้าทิ้งไว้ให้ จะมอบให้คนอื่นง่ายๆ ไม่ได้”
จู่จื่อหยางยังจะพูดตื๊อต่อ แต่สวี่ป๋อรุ่ยกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จู๋จื่อหยาง ห้ามทำให้คนอื่นลำบากใจ วันหน้าหากฝึกตนอยู่ในสำนักเดียวกันต้องระวังไว้ให้มาก”
สำหรับความรู้สึกที่จู๋จื่อหยางมีต่อนักพรตรูปงามซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามจางกั่วนับว่าดีไม่น้อย และอีกไม่นานอีกฝ่ายก็อาจจะกลายมาเป็น ‘ศิษย์พี่’ ของตนในอารามจินกุ้ย ดังนั้นจึงยอมปล่อยแม่นางน้อยแห่งอารามแยนจือที่นิสัยนุ่มนิ่มข้างกายผู้นี้ไป
หลิวชิงเฉิงมองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาซาบซึ้งใจ ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มให้เป็นการตอบรับ
เฉินผิงอันมองเด็กสาวสองคนที่อีกไม่นานก็จะกลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ไพล่นึกไปถึงการพบเจอกันในแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น ผู้ฝึกลมปราณเด็กสาวคนหนึ่งที่รัดกระพรวนข้อมือข้อเท้าเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารกับเฉินผิงอัน แม้ว่าตบะของนางจะไม่สูง แต่กลับไม่ได้ช่วยให้แย่ยิ่งกว่าเดิม เป็นแม่นางที่มีจิตมุ่งมั่นจะผดุงคุณธรรมของจอมยุทธ์ ภายหลังนางได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่ผู้คนอิจฉาตาร้อน และยังมีคู่พี่ชายน้องสาวที่เผชิญกับความทุกข์ยากซึ่งเจอกันครั้งแรกในห้องเก็บฝืนนั่นอีก ตอนนี้เด็กทั้งสองคนก็น่าจะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว
ความมหัศจรรย์ของเรื่องราวบนโลก อยู่ที่การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
มาถึงอาราม จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวผู้โชคดีสองคนก็ถูกนักพรตหนุ่มพาไปยังที่พักอาศัย ส่วนนักพรตน้อยก็ติดตามเหล่าศิษย์พี่เอาร่มกิ่งกุ้ยไปเก็บ สิ่งของเหล่านี้ล้ำค่าอย่างมาก หากยินดีขายให้คนด้านล่างภูเขา ได้ยินอาจารย์อาน้อยบอกว่าสามารถขายได้ราคาสูงเทียมฟ้าหลายพันตำลึง ไม่เสียแรงที่เป็นกิ่งกุ้ย ‘เยว่กง’ (ตำหนักที่อยู่ในดวงจันทร์ซึ่งเล่าลือกันตามตำนาน แล้วก็เป็นคำเรียกแทนพระจันทร์ด้วย) ที่ตัดมาจากกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษ นักพรตน้อยคิดจินตนาการไปไกล ร่มกิ่งกุ้ยหนึ่งคันก็มีมูลค่ามากขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นหากเอาต้นกุ้ยหกต้นไปขาย ภูเขาชิงเย่าของพวกตนจะไม่กลายเป็นภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งเลยหรือ?
สวี่ป๋อรุ่ยพาพวกเฉินผิงอันเดินผ่านอารามที่เงียบสงบขนาดไม่ใหญ่นักไปยังประตูด้านหลัง แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ฟ้าใสหลังฝนตกทำให้การมองเห็นแจ่มชัดและเปิดกว้าง สามารถมองเห็นต้นกุ้ยสูงใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่เหล่านั้นได้ว่ามีใบเขียวครึ้มดก ต้นหนึ่งในนั้นสูงชะลูดเสียดฟ้า ต้นกุ้ยโบราณทุกต้นต่างก็มีชื่อเป็นของตัวเอง สวี่ป๋อรุ่ยแนะนำไปทีละต้น บอกว่ามียอดฝีมือบนภูเขาคนใดที่เอ่ยคำทำนายทายทักแก่ต้นใดบ้าง เขาพูดอย่างกระชับได้ใจความ แต่กลับไม่ขาดความน่าสนใจ
ระหว่างต้นกุ้ยคือทางที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวยาวคดเคี้ยว ใต้ร่มไม้มีโต๊ะและม้านั่งหิน บนหน้าโต๊ะหินใต้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษยังถูกทางอารามแกะสลักเป็นรูปกระดานหมากล้อม สวี่ป๋อรุ่ยหยุดพักอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง เขาใช้นิ้วปาดไปบนตารางหมากล้อมบนผิวโต๊ะ พูดด้วยรอยยิ้มว่าตารางหมากล้อมนี้ไม่ได้แกะจากมีดแกะสลัก แต่เป็นเซียนกระบี่ของต่างถิ่นท่านหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ได้พ่นปราณกระบี่ของมาหนึ่งคำ ใช้ปราณกระบี่ที่คมกริบมา ‘วัด’ ช่องตาราง นักพรตเต๋าในอารามยังเคยใช้ไม้บรรทัดมาวัดอย่างละเอียด พบว่าระหว่างเส้นแนวตั้งและแนวนอนล้วนมีขนาดเท่ากันเป๊ะ ไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว นี่แสดงว่าเซียนกระบี่ท่านนั้นอย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง หรืออาจจะเป็นถึงเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ชอบปรากฎตัวในโลกก็เป็นได้
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของสวี่ป๋อรุ่ยมีชีวิตชีวาสดใส ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในอารามของพวกเรามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ต้องการสืบเสาะให้รู้ให้ได้ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นเป็นใคร เขาเดินทางไปไกลเป็นหมื่นลี้เพื่อไปเยือนศาลลมหิมะ ภูเขาเจินอู่ ภูเขาตะวันเที่ยงและสวนลมฟ้าโดยเฉพาะ ได้พบผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงมากมาย สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หลี่ หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า ผู้นำแห่งก่อกำเนิดของแจกันสมบัติทวีปท่านนั้น น่าเสียดายที่หลังจากผู้อาวุโสท่านนั้นย้อนกลับมาที่อารามก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงใจที่จะย้อนกลับไปยังสวนลมฟ้าเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีก ร้อยปีหลังจากนั้น นี่จึงกลายเป็นคดีค้างคาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตาม “ข้าเคยมองผ่านภาพวาดตระกูลเซียนบนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เคยได้เห็นเจ้าสวนหลี่แห่งสวนลมฟ้าออกกระบี่กับตาตัวเอง ร้ายกาจอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่หลังจากเจ้าสวนหลี่ชำระแค้นกับภูเขาตะวันเที่ยงได้แล้ว ได้ยินว่าเขาก็หลุดพ้นด้วยคมอาวุธไปแล้ว (หมายถึงการตายซึ่งเป็นการตายที่ใช้คมอาวุธทำให้ตัวเองหลุดพ้น ถูกฆ่าในสงคราม หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย) เพียงแต่ไม่รู้ว่าสวนลมฟ้าจะสามารถตามหาร่างใหม่ที่เซียนกระบี่ท่านนี้ไปจุติ เพื่อจะได้นำพากลับขึ้นเขามาฝึกตน สืบทอดควันธูปต่ออีกครั้งเจอหรือไม่”
สวี่ป๋อรุ่ยกล่าวอย่างตกตะลึง “เซียนกระบี่ใหญ่หลี่ไปจากโลกนี้ด้วยคมอาวุธแล้ว?!”
ดูท่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ อารามจินกุ้ยจะไม่สนใจเรื่องทางโลกเลยจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงเป็นอย่างไร เซียนกระบี่ใหญ่หลี่มีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า ข้าไม่กล้าฟันธง ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังหาโอกาสฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบอยู่ก็เป็นได้”
หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าถือว่าเป็นหนึ่งในสหายบนภูเขาที่น้อยจนนับนิ้วได้ของเฉินผิงอัน
มีครั้งหนึ่งเพื่อเทพธิดาซูเจี้ย หลิวป้าเฉียวยังขี่กระบี่ไล่ตามเรือข้ามฝากของเฉินผิงอันไป ทั้งสองฝ่ายจึงได้พบหน้ากันหนึ่งครั้ง
ดังนั้นเรื่องที่หลี่ถวนจิ่งตายด้วยคมอาวุธ เฉินผิงอันรู้ว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในฐานะสหายของหลิวป้าเฉียวย่อมไม่สะดวกจะเอามาพูดยืนยันกับคนนอกเพื่อโอ้อวดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้เรื่องวงใน
แต่เฉินผิงอันที่เป็นคนรอบคอบจนเกิดความเคยชินพลันค้นพบว่า เมื่อตนหลุดปากพูดคำว่า ‘ขอบเขตหยกดิบ’ ออกมา สายตาของสวี่ป๋อรุ่ยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
นี่ถึงทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่รู้ชื่อเรียกของห้าขอบเขตบน หรือถึงขั้นที่ว่าตลอดทั้งชีวิตก็ได้แต่แหงนมองสองคำว่า ‘เซียนดิน’ เท่านั้น
นี่ก็เหมือนกับที่ปีนั้นจูเหอมั่นใจว่าขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ก็คือขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นไปด้านบนอีกแล้ว
แต่ตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้สนใจข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำลายสถานการณ์โดยรวมเหล่านี้อีกแล้ว ท่องอยู่ในยุทธภพ ผูกบุญคุณความแค้นกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ขึ้นเขาชมทัศนียภาพหรือคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกลมปราณ หากจะจับทุกจุดไม่ยอมวาง ได้แต่เก็บทุกเรื่องเอาไว้ในใจ กลับจะกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป การเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่างที่คล้ายคลึงกับเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยลดความยุ่งยากไปได้มาก
ชมต้นกุ้ยของอารามจินกุ้ยที่เซียนเป็นผู้ปลูกเหล่านี้แล้ว การเดินทางมาเที่ยวชมอารามก็ปิดฉากลง ณ บัดนี้ สวี่ป๋อรุ่ยพาพวกเฉินผิงอันมาส่งที่ประตูใหญ่หน้าอารามอีกครั้ง เชื้อเชิญพวกเขาด้วยความจริงใจว่าให้มาชมพิธีที่นี่ในวันมะรืน เขาจะช่วยจัดหาที่นั่งเอาไว้ให้ เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วก็เดินลงไปที่กึ่งกลางภูเขา เดินออกมาได้ประมาณร้อยกว่าก้าว สวีหย่วนเสียก็หันกลับไปมองนักพรตที่ยังไม่ยอมหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในอารามเสียที ยังคงมองส่งพวกเขาจากไป สวีหย่วนเสียหันกลับมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “นักพรตสวี่คนนี้เป็นคนมีใจมุ่งมั่น วันหน้าย่อมต้องมีชีวิตอยู่ในอารามจินกุ้ยได้ไม่เลว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตระกูลเซียนบนภูเขา ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องมีคนเป็นหน้าเป็นตาที่สามารถรับรองคนได้ไม่ขาดตกบกพร่องอยู่คนหนึ่ง”
จางซานเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านึกถึงสำนักของตัวเอง ออกมาท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกหลายปี ทำให้เริ่มคิดถึงจมูกที่มีคราบสุราและเสียงกรนดังสนั่นดุจเสียงฟ้าผ่าของอาจารย์บ้างแล้ว
หากไม่เป็นเพราะได้พบเจอเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสีย เกรงว่าเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ยังไม่ได้เข้าทำเนียบวงศ์ตระกูลผู้นี้คงเดินทางกลับอุตรกุรุทวีปอย่างหม่นหมองไปนานแล้ว
มาถึงเรือนพักขนาดใหญ่ที่พรรคต้าเจ๋อสร้างขึ้นก็มีพ่อบ้านท่าทางเฉลียวฉลาดมากความสามารถคนหนึ่งมายืนรออยู่ตรงหน้าประตูใหญ่นานแล้ว เขาเบี่ยงตัวน้อยๆ ค้อมเอวลงต่ำนำทางพาพวกเฉินผิงอันไปยังที่พัก
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันเข้าพักยังที่พักของตัวเองแล้ว
ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปยิ่งกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังของอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยยืนอยู่กลางลานบ้านอย่างนอบน้อม
ระเบียงใต้ชายคากว้างขวางมากทั้งยังสะอาดเอี่ยม ด้านล่างบันไดมีรองเท้าไม้เกี๊ยะสามคู่ถอดวางอยู่ นักพรตเฒ่าที่มีกลิ่นอายของเซียนก็คือเจ้าอารามจางกั่ว ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร
และยังมีแขกอีกสองท่านที่ออกหน้า ‘ช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม’ กำราบเหล่าคนชั่วที่คิดร้าย และอันที่จริงพวกเขาทั้งสองต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอัน
เจียงอวิ้นชายหนุ่มร่างกำยำ เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการใหญ่ของแคว้นชิงหลวน
เวลานี้คนทั้งสามนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างกำลังกินบะหมี่เจใส่หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ เห็ดภูเขา บวกกับผักป่าอีกสองสามชนิดที่ขึ้นบนภูเขาช่วงฤดูใบไม้ผลิ หมี่กึงคั่วน้ำมันกับน้ำแกงตุ๋นด้วยไฟอ่อนหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวลไปทั่ว
สวี่ป๋อรุ่ยเล่าความรู้สึกที่ตนเองมีต่อคนกลุ่มของเฉินผิงอันให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เจ้าอารามจางกั่วก็ยิ้มแล้วบอกให้ลูกศิษย์ผู้นี้กลับไปพักผ่อน
นักพรตเฒ่าเอ่ยถาม “เป็นความบังเอิญ หรือว่าพวกเขาสืบสาวเบาะแสจนตามมาพบที่นี่?”
เหวยเลี่ยงคิดแล้วตอบว่า “น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง หากไม่เป็นเพราะสวี่ป๋อรุ่ยหน้าใหญ่ ป่านนี้คนกลุ่มนี้คงไปดักอยู่ที่หน้าประตูจวนข้าแล้ว”
เหวยเลี่ยงหันหน้าไปมองเจียงอวิ้น “ดูจากสีหน้าของเจ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ หรือว่ารู้จักคนผู้นี้?”
เจียงอวิ้นพยักหน้ารับ “เขาเป็นคนของถ้ำสวรรค์หลีจู ครั้งแรกที่พบหน้ากันยังเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินจนข้าแทบจำเขาไม่ได้ นิสัยเขาไม่เลว แต่ข้าคาดเดาเอาว่าคนผู้นี้น่าจะเกี่ยวพันกับหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้ได้เจอกันที่ท่าเรือหางผึ้งแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่กล้าพูดคุยกับเขามากนัก”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นคนที่เกิดและเติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก”
สำหรับเรื่องนี้เจียงอวิ้นไม่มีความเห็นต่าง
คนต่างถิ่นที่หิ้วเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปหาโชควาสนาอย่างพวกเขา อันที่จริงยังเทียบไม่ได้กับคนในพื้นที่ที่นั่งรอให้โชควาสนาหล่นลงมาใส่หัวเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนต่างถิ่นที่ค่อนข้างโชคดี สามารถนำโซ่ตรวนมังกรเส้นนั้นกลับมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ นี่คือความน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ด้วยตบะของอาจารย์เขาก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าตัว ดีใจเป็นล้นพ้น ยิ้มพูดว่าไม่แน่ว่าตนอาจช่วงชิงโชคชะตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลินไปไม่น้อยถึงได้เจอกับโชควาสนาที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเขาหมายตาโซ่เหล็กที่ห้อยย้อยอยู่เหนือปากบ่อของถ้ำสวรรค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พอได้มาอยู่ในมือ อาจารย์ก็ไปหาสหายมาให้ช่วยวิเคราะห์ตรวจสอบ ผลสรุปที่ได้ก็คือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นของตกทอดที่ล้ำค่าของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน หลังจากคลายตราผนึกเวทลับทั้งหมดแล้วก็จะถือว่าเป็นอาวุธกึ่งเซียนของจริงชิ้นหนึ่ง
เล่าลือกันว่าระดับขั้นที่สูงที่สุดของโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้เรียกว่าโซ่สังหารมังกร พลานุภาพเหนือกว่าข้องราชามังกรที่สามารถกักขังเจียวหลงเซียนดินในยุคบรรพกาลเสียอีก ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่โยนมันออกไปก็สามารถรัดพันเจียวหลงได้อย่างง่ายดาย สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งก็สามารถถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจียวหลงได้คาที่ จนกระทั่งเหลือเพียงโครงกระดูกและไข่มุกหนึ่งเม็ดเท่านั้น
ทว่าโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูยังคงไม่ใช่พวก ‘วัตถุไร้ชีวิต’ เหล่านี้
แต่เจ้าตัวน้อยทั้งห้านั้นไม่ใช่ว่าใครที่ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อแล้วจะหาเจอได้ ได้แต่อาศัยโชคชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น
แม้แต่หน้าของพวกมัน เจียงอวิ้นยังไม่ได้เห็นสักครั้ง
นักพรตผู้เฒ่าจางกั่ววางตะเกียบลง ตบท้อง “เลี่ยงกินธัญพืชมานานหลายปี เพื่อรับรองแขกผู้มีเกียรติอย่างเจ้าทั้งสองจึงยอมแหกกฎหนึ่งครั้ง รู้สึกไม่เลวเลยทีเดียว”
จางกั่วยิ้มตาหยีถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เหวย ครั้งนี้อารามจินกุ้ยออกแรงไปตั้งมาก ทั้งเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ทั้งจงใจเปิดเผยความลับที่ว่าต้นกุ้ยบรรพบุรุษของสำนักข้าสามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธกึ่งเซียน เพื่อล่อให้พวกคิดร้ายปะปนเข้ามา ถึงได้ปิดประตูตีสนัข ช่วยแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าสังหารผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นไปได้หลายสิบคน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรบ้างหรือ?”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “แสดงความคิดเห็น? มีสิ นี่ข้าก็นั่งกินบะหมี่เจอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
จางกั่วยื่นนิ้วมาชี้หน้าเหวยเลี่ยง “ปีนั้นบุรพาจารย์ของอารามว่าไว้ไม่ผิดเลย เจ้าคนขี้เหนียว! มิน่าเล่าถึงได้บอกไว้ว่าให้อารามจินกุ้ยคบค้าสมาคมกับจวนผู้บัญชาการให้น้อยๆ หน่อย”
เหวยเลี่ยงยังกินบะหมี่เจเหลืออีกครึ่งชาม แต่เขากลับวางตะเกียบลงแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าถูกชายร่างกำยำแย่งเอาชามไป เหวยเลี่ยงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดกับเจ้าอารามจางกั่วว่า “เจ้ารู้จักพอซะเถอะ เมื่อแรกเริ่มที่อารามจินกุ้ยถูกสร้างขึ้นก็ไม่มีควันธูปอะไร ใครเป็นคนเชิญให้หลี่ถวนจิ่งมากินบะหมี่เจที่นี่? และยังมีครั้งนี้อีก คุณชายใหญ่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็มาด้วย เจ้าจางกั่วเป็นคนเชิญมาเองงั้นรึ? แค่บะหมี่เจชืดๆ ถ้วยหนึ่ง ต่อให้เจ้ายกมาวางไว้ตรงหน้าคนเขา เจียงอวิ้นจะยังเต็มใจจับตะเกียบขึ้นหรือไร?”
เจียงอวิ้นก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ พูดอย่างไม่ไว้หน้าเหวยเลี่ยง “แค่ตะเกียบคู่เดียวก็พอ แต่เอาบะหมี่มาหลายๆ ชามหน่อย”
จางกั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ในความทรงจำของเขา ลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินแต่ละคนเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อว่าเจียงอวิ้นผู้นี้กลับต่างออกไป ในเมื่อเดินทางมาพร้อมกับเหวยเลี่ยง อีกทั้งยังสนิทสนมกันมาก ก็น่าจะไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากสกุลเจียงสายรอง แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว
เหวยเลี่ยงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “จางกั่ว นังหนูจากเรือนแยนจือผู้นั้น วันหน้าคงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลให้มาก”
จางกั่วยิ้มมีเลศนัย “มีดตัดกระดาษ ‘จุ้ยเอ่อร์’ ที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนังหนู น่าจะเป็นของที่ปีนั้นเจ้ามอบให้บุรพาจารย์หญิงบางคนของเรือนแยนจือกระมัง?”
เหวยเลี่ยงถอนหายใจหนึ่งที
จางกั่วไม่คิดได้คืบจะเอาศอก เรื่องราวความรักความแค้นระหว่างชายหญิงเหล่านี้ อันที่จริงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนล้วนต้องมีกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ย้อนกลับมาดูก็เป็นเพียงแค่หมอกควันที่ลอยผ่านตาไปเท่านั้น
แค่ต้องดูที่ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนหรือไม่
บุญคุณความแค้นล่างภูเขาในอดีต เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กลายเป็นตระกูลเซียนแล้ว สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกตนจดจำความแค้น ผ่านไปร้อยปีก็ยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ มักจะมีตระกูลชนชั้นสูงของบางพื้นที่ที่อยู่ดีๆ ก็มีหายนะพุ่งมาเยือน อยู่ดีๆ ก็เจอกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน และส่วนใหญ่ก็มักจะถูกตัดรากถอนโคนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ผู้ฝึกตนเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ถ้าอย่างนั้นลูกหลานรุ่นหลังหลายสิบรุ่นของคนล่างภูเขาบางคน ไม่แน่ว่าอาจได้รับการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษ ได้เสพสุขจากความเมตตากรุณาอยู่ตลอดเวลา ทว่าแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็อาจไม่รู้ว่า เหตุใดถึงสามารถหลบพ้นหายนะครั้งแล้วครั้งเล่ามาได้ ราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งคอยบังลมบังฝนให้พวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
จางกั่วกล่าว “คนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดคือคุณหนูน้อยของพรรคต้าเจ๋อ หลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียน ตอนนี้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามแล้ว นางน่าจะเป็นคนเดียวที่มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดิน คนที่เหลืออีกเจ็ดคนสิบคน คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็มีแค่แม่นางน้อยจากเรือนแยนจือที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิต อย่างมากก็แค่มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ถ้าอย่างนั้นหากไม่นับจู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิง อีกเจ็ดคนที่เหลือ ข้าว่าไม่มีสักคนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง”
เหวยเลี่ยงกับเจียงอวิ้นพูดขึ้นพร้อมกัน “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
จางกั่วดวงตาเป็นประกาย “คือคนไหน?!”
เหวยเลี่ยงเพียงคลี่ยิ้มเฉย
เจียงอวิ้นเงยหน้าขึ้น ไม่ได้ให้คำตอบเช่นกัน แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นโดยถามว่า “จะไม่จัดการปีศาจเผ่าพันธุ์วัวดินตัวนั้นหน่อยหรือ? เจ้าอยากรับมันมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ จะได้ให้มันรับหน้าที่เป็นพาหนะขององค์เทพขุนเขาเหนือแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้า?”
เหวยเลี่ยงส่ายหน้า “ช่างเถิด เรื่องบุญวาสนาได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน อันที่จริงทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือได้พูดกับข้ามานานแล้วว่า วัวดินตัวนี้มองดูเหมือนอ่อนโยนว่าง่าย ทว่าแท้จริงแล้วนิสัยกลับดุร้าย ปีศาจขอบเขตประตูมังกร ใครเล่าจะยินดีถูกพันธนาการอยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง เป็นได้แค่พาหนะให้องค์เทพขุนเขาเหนือท่านหนึ่งขี่อยู่บนร่างไปชั่วชีวิต นี่คือจุดจบที่ไม่อาจพลิกเปลี่ยนได้ตลอดกาล หากไปกระตุ้นนิสัยดุร้ายของมัน คาดว่าสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของขุนเขาเหนือแล้วจะเป็นภัยมากกว่าโชค”
จางกั่วจุ๊ปากพูด “หากปีศาจตนนี้สามารถนั่งบัญชาการณ์ภูเขาชิงเย่าของข้าผู้เป็นนักพรตกลับจะเป็นเรื่องดีที่ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ อย่างมากก็แค่สองฝ่ายเสมอภาคกัน อารามจินกุ้ยจะบูชามันดุจผู้พิทักษ์ขุนเขา ผู้บัญชาการใหญ่เหวย เจ้าคิดว่าได้หรือไม่?”
เหวยเลี่ยงยังคงส่ายหน้า สายตาฉายประกายลึกล้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าไปมีเรื่องกับเฉินผิงอันผู้นั้นจะดีกว่า หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีความเป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้จะกลายเป็นลูกศิษย์ของยอดฝีมือสำนักนิติธรรมบางคน เจ้าควรจะรู้วิธีการจัดการเรื่องราวของลูกศิษย์สำนักนิติธรรมพวกเราดี บนภูเขาและล่างภูเขา ล้วนปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม”
จางกั่วมีสีหน้าจนใจ “ทราบแล้ว ก็สี่ผีใหญ่บนภูเขาที่รับมือได้ยากนี่นะ ผู้ฝึกกระบี่ผายลมสุนัข คนเชื่อดาบสำนักโม่ นักพรตเรือนซือเตา สุดท้ายก็คือลูกศิษย์สำนักนิติธรรมที่ไร้เหตุผลที่สุดอย่างพวกเจ้า”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “พวกเราไร้เหตุผล?”
จางกั่วรู้สึกร้อนตัว รีบยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมผู้บัญชาการใหญ่เหวยอย่างเจ้าถึงไม่ไปพูดคุยกับปีศาจวัวสีเหลืองด้วยเหตุผลล่ะ?”
เหวยเลี่ยงตอบอย่างเฉยเมย “กฎหมายในโลก มีคนเป็นรากฐาน”
……
ในห้องหนังสือของเฉินผิงอัน เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร
จางซานเฟิงที่อยู่ในห้องด้านข้างกำลังตั้งใจฝึกบำเพ็ญตน
นักพรตหนุ่มจากอุตรกุรุทวีปผู้นี้บอกว่าพรสวรรค์ของตัวเองธรรมดา ปีนั้นอาจารย์ก็แค่สงสารที่เขาไม่มีที่ไปถึงได้ฝืนใจรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย อีกทั้งบนเส้นทางการฝึกตนหลังจากนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสายตาของอาจารย์เขาไม่แย่เลยสักนิด จางซานเฟิงมีพัฒนาการเชื่องช้าอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางสักที เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจของจางซานเฟิงเข้มแข็งแน่วแน่ ไม่เคยย่อท้อมาก่อน มีบางครั้งที่ผิดหวังบ้าง แต่ก็แค่ผิดหวังกับเรื่องที่ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของตนไม่มากพอ ในเรื่องนี้เขามีท่าทีเหมือนกับเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ก็แค่เดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ขอแค่ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงว่าพรสวรรค์ดีหรือแย่แล้ว ถึงอย่างไรก็สามารถเดินไปได้อย่างหนักแน่นและมั่นคง
ฐานกระดูกพรสวรรค์ของผู้ฝึกลมปราณมีความพิถีพิถันอย่างมาก ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่สองคำว่า ‘ก่อนกำเนิด’ ถ้ำสถิตที่แต่ละคนบุกเบิกก่อสร้างมีแบ่งเล็กใหญ่ เป็นตัวตัดสินว่าจะบรรจุปราณวิญญาณได้มากหรือน้อย นอกจากนี้ความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณก็มีแบ่งช้าเร็ว ในด้านความช้าเร็วนี้ยังมีความต่างด้านระดับความบริสุทธิ์ของปราณวิญญาณที่ถูกหล่อหลอมด้วย จะเป็นธารน้ำไหลเอื่อยๆ ที่น่าสงสาร หรือเป็นแม่น้ำลำคลองที่ไหลซัดบ่าอย่างน่าตกตะลึง จากนั้นถึงจะมีคุณสมบัติให้ไปพิถีพิถันในเรื่องความสูงต่ำของภาพบรรยากาศในห้องโอสถ รวมไปถึงระดับขั้นของทารกที่ก่อกำเนิดในอนาคต
ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกกระบวนท่าฟ้าดินที่ต้องทำท่าทางประหลาดใช้นิ้วยันพื้นอยู่บ่อยๆ แต่ฝึกมานานขนาดนี้ เฉินผิงอันก็พอจะใคร่ครวญจนได้เคล็ดลับบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นฝึกสามท่าของหมัดเขย่าขุนเขาในเวลาเดียวกัน ใช้ท่าฟ้าดินเดินนิ่งหกก้าว จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งทำมุทรากระบี่ ระหว่างนี้ยังโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วย
นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
เพียงแต่ว่าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง เวลาที่เดินอยู่บนเส้นทางเล็กๆ ของป่าเขาที่รอบด้านไร้ผู้คน เฉินผิงอันมักจะ ‘เดินไปเดินมา’ ก็พลัดหลงไปทางอื่น เดินออกจากเส้นทางที่ทุกคนกำลังเดินกันอยู่ บ้างก็ตกลงไปในธารน้ำ หรือไม่ก็สะดุดลงเนิน
ภายหลังยังคงเป็นเผยเฉียนที่คิดวิธีโง่ๆ ออก นางผูกเชือกไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของไม้เท้าเดินป่า แล้วก็ผูกปลายอีกข้างหนึ่งไว้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน เผยเฉียนเดินอยู่ด้านหน้านำทางเฉินผิงอัน แน่นอนว่าทุกวันนี้นางก็ต้องฝึกเดินนิ่งหกก้าวเช่นกัน
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เดินตามกันไปอย่างนี้ สมกับคำว่าคนบนเส้นทางเดียวกันอย่างแท้จริง
เวลานี้เฉินผิงอันกำลัง ‘เดิน’ กลับหัววนรอบโต๊ะ
เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้ว นางมองดูเฉินผิงอันฝึกท่าฟ้าดินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ดี
เฉินผิงอันพลิกตัวกลับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ตั้งแต่นครมังกรเฒ่ามาจนถึงท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็มาถึงอารามจินกุ้ยของแคว้นชิงหลวนแห่งนี้ หลังจากที่โดน ‘หนึ่งกระบี่’ จากเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแทงทะลุหน้าท้องมา ศักยภาพขอบเขตสามของเขาก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาที่ขอบเขตสี่อย่างในปัจจุบัน แต่หากจะให้ขยับเข้าใกล้ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดยังจำเป็นต้องอาศัยการเดินนิ่งและเหล้าดองหลอมเล็ก ต้องใช้เวลาฝึกตนอีกไม่น้อย
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียแน่นอนว่าจะถ่วงความเร็วในการเลื่อนสู่ขอบเขตหกไปอีกนาน ข้อดีก็คือรากฐานของขอบเขตห้าจะยิ่งถูกกระชับให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น
จูเหลี่ยนเคยเอ่ยสัพยอกว่า ต่อให้ไม่ต้องอาศัยวัตถุนอกกาย ทั้งสองฝ่ายใช้สถานะผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหมือนกัน เฉินผิงอันก็ยังสามารถใช้ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดของเขาเอาชนะขอบเขตหกขั้นสูงสุดอย่างพวกเขาสี่คนได้อย่างมั่นคง
สำหรับเรื่องนี้สุยโย่วเปียนพ่นลมออกทางจมูก หลูป๋ายเซี่ยงกลับค่อนข้างเห็นด้วย
ส่วนน้ำเต้าตันอย่างเว่ยเซี่ยนนั้น เวลานั้นมัวแต่พูดพล่ามไร้สาระอยู่กับเผยเฉียน
เฉินผิงอันกลับมานั่งข้างโต๊ะ ตรวจสอบตัวอักษรที่เผยเฉียนคัด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีตัวอักษรใดที่นางเขียนอย่างขอไปทีก็ทำท่าบอกเป็นนัยให้นางไปเล่นได้แล้ว
เผยเฉียนเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นเทียบกับกิ่งกุ้ยใบกุ้ยที่น้ากุ้ยมอบให้ข้าไม่ได้เลย ห่างชั้นกันไกลนัก เหตุใดนักพรตพวกนั้นถึงบูชาพวกมันดั่งสมบัติล้ำค่าล่ะ? แถมยังคุยโวอย่างไม่กระดากอายว่า ‘พันธ์ในดวงจันทร์’ อะไรนั่น หากนี่คือลูกหลานรุ่นหลังของต้นกุ้ยในดวงจันทร์ ถ้าอย่างนั้นต้นของน้ากุ้ยเราก็ต้องเป็นเทพเซียนอยู่บนดวงจันทร์เลยน่ะสิ ใช่ไหม?”
หัวใจเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”
เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งที
แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเอง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดไม่ผิด”
เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม ข้าบอกแล้ว”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม เอ่ยกำชับ “เพราะฉะนั้นครั้งหน้าที่เจอน้ากุ้ยต้องมีมารยาทมากกว่าเดิม”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าชอบน้ากุ้ยจริงๆ นะ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แล้วนักพรตน้อยของอารามจินกุ้ยที่ให้เจ้ายืมร่มกันฝนคนนั้นล่ะ?”
เผยเฉียนกำหมัดทุบลงบนโต๊ะ พูดเสียงขุ่น “เจ้าหมอนี่น่ารำคาญยิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะข้ากับเขามาพบกันโดยบังเอิญ แถมยังมีคนนอกอยู่ด้วย ป่านนี้ข้าคงซ้อมเขาให้น่วมจนอาจารย์พ่ออาจารย์แม่ของเขาจำหน้าไม่ได้ไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้ม “ทีอย่างนี้รู้จักรำคาญแล้ว? เจ้าลองคิดดูสิว่าตัวเองไปตอแยเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงอย่างไร?”
เผยเฉียนเบิกตากว้าง ครุ่นคิดอยู่นานก็ได้แต่หยิบเอายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่รักที่สุดแผ่นนั้นออกมาแปะไว้บนหน้าผาก ถอนหายใจพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายน่าสงสารมากเลยน่ะสิ”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป “เจ้าเพิ่งรู้หรือ? ในตำรากล่าวว่าวิญญูชนต้องหมั่นทบทวนตัวเอง เจ้าต้องหัดทบทวนตัวเองบ้างแล้ว”
เผยเฉียนกุมหัวลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งไปทางหน้าประตูห้อง ก่อนจะหันหน้ามายิ้มพูด “อาจารย์ ข้าจะไปบอกกับเหล่าเว่ยและเสี่ยวป๋ายว่า ครั้งหน้าที่ไปถึงตลาด ถึงคราวที่ข้าต้องควักกระเป๋าซื้อถังหูลู่ให้พวกเขาคนละไม้บ้างแล้ว”
พอเผยเฉียนจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มใคร่ครวญเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สอง
ส่วนคราบร่างจิตหยางของตู้เม่าที่เทียบเคียงได้กับร่างทองของขอบเขตเซียนเหริน เฉินผิงอันตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยจะขอคำแนะนำจากชุยตงซานแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
ลึกๆ ในใจเฉินผิงอันไม่เชื่อใจสันดานของ ‘ราชครูเด็กหนุ่ม’ แต่จะดีจะชั่วก็เชื่อมั่นในความรู้ของลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตผู้นี้
ตอนนี้ได้กลับมาเจอกับจางซานเฟิงอีกครั้ง ได้สอบถามความรู้เรื่องการฝึกตนมาจากเขาไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่จางซานเฟิงเต็มใจบอกทุกเรื่องที่รู้อย่างไม่มีกั๊กไว้
แม้ว่าตบะของจางซานเฟิงจะไม่สูง แต่อันที่จริงโลกทัศน์และมุมมองของเขาต่างก็ไม่ธรรมดา น่าจะเกี่ยวข้องกับที่เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนระบบดั้งเดิม ถึงอย่างไรอาจารย์ของเขาก็คือเทียนซือต่างแซ่ท่านหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ แม้ว่าระดับความสูงต่ำของเทียนซือต่างแซ่จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นักพรตที่สามารถถูกบันทึกชื่อลงในเทียบวงศ์ตระกูลจื่อหวงของตำหนักเทียนซือได้ก็ย่อมไม่ธรรมดา
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหหนึ่งออกมา หาจอกเหล้าแล้วรินดื่มเพียงลำพัง
ตามคำบอกของจางซานเฟิง ต่อให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งทรัพย์สินและโชควาสนาต่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์มากมายไปเสียหมด หากรวบรวมได้ครบห้าธาตุย่อมดีที่สุด วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่คล้ายคลึงกับขวดกระเบื้องเขียวของวัวดินสีเหลืองที่นำมาช่วยเพิ่มความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณฟ้าดิน ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี ชิ้นหนึ่งใช้โจมตีสังหาร ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตขั้นสูงสุดบนโลกที่ใช้ในการโจมตี อีกชิ้นหนึ่งนำมาใช้ป้องกันซึ่งควรมีประสิทธิผลเฉกเช่นชุดคลุมอาคมจินหลี่หรือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหาร อีกชิ้นหนึ่งคือวัตถุฟางชุ่นวัตถุจื่อชื่อที่คล้ายคลึงกับคลังยุทโธปกรณ์ฟางชุ่นหรือเนินกระบี่จื่อชื่อ เพียงแต่ว่าวัตถุล้ำค่าหายากเช่นนี้แทบจะได้แค่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งคือวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่ถูกบำรุงด้วยความอบอุ่นอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต มีวัตถุชิ้นนี้ก็จะมีพลังสยบภูตผีสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนพลังหยางในร่างได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อผ่านสถานที่ที่มีปราณชั่วร้ายอึมครึมที่มากจนเกินจะคาดเดา น้ำไฟไม่อาจรุกราน เสนียดจัญไรไม่อาจย่างกรายเข้าใกล้
จางซานเฟิงยังบอกด้วยว่าการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตคือดาบสองคม ในเมื่อเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หากถูกทำลายขึ้นมา รากฐานมหามรรคาก็จะเสียหายโยกคลอนตามไปด้วย ผลร้ายที่ตามมามากเกินจะคาดการณ์ได้ไหว
อีกทั้งวัตถุแห่งชะตาชีวิตทุกชิ้นล้วนจำเป็นต้องยึดครองช่องโพรงแห่งหนึ่ง หากมีสิ่งแปลกปลอมปนเข้ามาหรือหากไม่พิจารณาถึงเส้นทางที่ปราณวิญญาณต้องโคจรผ่านก็ง่ายที่ธาตุจะขัดแย้งกันเอง กลับกลายเป็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณ ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณธาตุไฟเข้าแทรก
สุดท้ายจางซานเฟิงบอกว่าหากรวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ครบห้าธาตุก็คือผลลัพธ์ที่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนเว้นจากผู้ฝึกกระบี่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ไม่จำเป็นต้องจงใจเสาะแสวงหาสิ่งนี้ เพราะสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนมากเกินไป พิถีพิถันเรื่องโชควาสนามากเกินไป โดยทั่วไปแล้วมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่ระดับขั้นค่อนข้างดีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี ส่วนอีกชิ้นหนึ่งช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณสามารถดึงดูด กักเก็บปราณวิญญาณ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางในใต้หล้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เว้นแต่พวกเซียนดินที่จะแสวงหาสิ่งที่มากกว่านี้
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อยว่าควรจะหลอมหัวใจบุ๋นสีทองของเทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีหรือไม่
แต่ว่าในกล่องไม้สีเขียวใบนั้น ว่ากันว่าคือ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือ’ ที่เทียนซือใหญ่บางรุ่นของภูเขามังกรพยัคฆ์แกะสลักขึ้นด้วยตัวเอง เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะนำไปมอบให้จางซานเฟิงเป็นของขวัญจากลา มอบให้แก่เทียนซือต่างแซ่ในอนาคตของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้
เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแยนจือให้ความสำคัญกับตราประทับอาคมชิ้นนี้มาก เฉินผิงอันเดาว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง เสิ่นเวินพูดเองว่า ขอแค่ใช้ตราประทับนี้ร่วมกับเวทห้าอสนีที่สืบทอดมาจากภูเขามังกรพยัคฆ์ก็จะมีอานุภาพน่าตกตะลึง
ตอนนั้นตราประทับอาคมถูกปิดผนึกอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองก็สามารถสกัดกั้นการรุกรานจากปราณชั่วร้ายในสุสานไร้ญาติขนาดใหญ่นอกเมืองแยนจือเอาไว้ได้ แค่นี้ก็พอจะมองออกถึงระดับความสูงของมันว่าไม่ใช่สิ่งที่สมบัติอาคมทั่วไปจะทำได้
นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้ตราประทับอาคมมาจนถึงวันนี้ เขายังไม่เคยเปิดกล่องไม้สีเขียวออกสักครั้ง
การที่เขาลังเลว่าควรจะหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดีหรือไม่ นั่นก็เพราะตอนที่ผ่านศึกแคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันได้ถ้วยขาวที่วาดภาพจริงของห้าขุนเขาในแคว้นกู่อวี๋มาใบหนึ่งซึ่งสามารถสร้างดินห้าสีของแคว้นกู่อวี๋ได้ ภายใต้การแนะนำของสวีหย่วนเสีย สุดท้ายจึงไม่ได้ขายมันไปที่หอชิงฝู แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางนำถ้วยขาวที่แต่ละปีได้กำไรแค่ ‘ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ’ มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินของตัวเองแน่นอน
และพอเฉินผิงอันคิดถึงการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีในตอนนี้ที่ดุจดั่งผ่าลำไม้ไผ่ ทางเหนือมีเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือพิทักษ์ภูเขาพีอวิ๋น ทางใต้คล้ายจะมีฟ่านจวิ้นเม่าเป็นผู้พิทักษ์ภูเขาใต้แห่งใหม่ของต้าหลี หากเรื่องนี้สำเร็จ ต้าหลีที่มีพื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ตัวเอง ดินห้าสีก็จะกลายมาเป็นของที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ถึงเวลานั้นราชวงศ์ต้าหลีต้องควบคุมไว้อย่างเข้มงวดแน่นอน ดังนั้นหากตอนนี้เฉินผิงอันสามารถยืนยันได้ว่าสถานที่ตั้งของยอดเขาทั้งสามแห่งที่เหลือนอกจากทิศเหนือและทิศใต้คือที่ใด แล้วรวบรวมดินห้าสีไว้ในปริมาณที่มากพอ จากนั้นค่อยหาภาชนะบรรจุหนึ่งชิ้นที่เหมาะสม ต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน
แต่ความยากนั้นอยู่ที่ว่าที่ตั้งของสามขุนเขาจะเป็นที่ใด ส่วนภัยแฝงนั้นอยู่ที่หากใช้วัตถุชิ้นนี้มาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่จะต้องเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของสถานการณ์บ้านเมืองที่ขึ้นๆ ลงๆ ของต้าหลีอย่างแนบแน่น ทว่าหากต่ำกว่าห้าขอบเขตบนย่อมได้ผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย จะได้กลายเป็นเซียนดินอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็นึกไปถึงกองลาดตระเวนของต้าหลีท่ามกลางพายุหิมะกลุ่มนั้น แล้วก็นึกไปถึงซ่งจี๋ซินผู้เป็นเพื่อนบ้าน
ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกเล็กน้อยที่เหลือในจอก สุดท้ายเฉินผิงอันก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะชุบหลอมดินห้าสีนี้
เมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่มีความลังเลใดๆ อีก ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมหลอมหัวใจบุ๋นสีทอง!
เพียงแต่ว่าคิดอยากจะให้มีฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีอย่างที่นครมังกรเฒ่ากลับยากราวขึ้นสวรรค์
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง ฟุบตัวลงบนขอบหน้าต่าง มองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การฝึกหมัดที่แค่ยืนหยัดไม่ย่อท้อครั้งแล้วครั้งเล่า สักวันหนึ่งก็จะฝึกจนครบหนึ่งล้านหมัดเอง
สวีหย่วนเสียเคาะประตูเดินเข้ามา เฉินผิงอันกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบจอกเหล้ามาเพิ่ม สองคนนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน
ไม่ได้พูดคุยเรื่องที่มีสาระอะไร สวีหย่วนเสียพูดถึงบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มนั้นของเขา บอกว่าหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีร้านหนังสือเต็มใจเอาไปจัดพิมพ์ จะได้มีเงินเก็บส่วนตัวกับเขาบ้าง
เฉินผิงอันจึงหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกสิ่งที่พบเจอระหว่างทางออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนขนาดใหญ่ยักษ์อย่างเกาะกุ้ยฮวา เต่าทะเลภูเขา ทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า เทวรูปเทพพิรุณของสำนักบนทะเล มังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่หมดแรงตกลงไปบริเวณใกล้เคียงกับร่องเจียวหลง เซียนกระบี่ทั้งหลายในภาพวาดของเรือนหลิงจือภูเขาห้อยหัว ทางเดินม้าบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีใบถงทวีป พระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาจ้าวผิงนอกเมืองเซิ้นจิ่ง…เขาส่งแผ่นไม้ไผ่ที่สลักตัวอักษรไว้เต็มแน่นเหล่านี้ไปให้สวีหย่วนเสีย สวีหย่วนเสียถามรายละเอียดบางอย่างอีกเล็กน้อย คนทั้งสองดื่มเหล้าด้วยกัน คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ กาลเวลาไหลผ่านไปท่ามกลางน้ำสุรา
ในห้องที่อยู่ข้างกัน นักพรตหนุ่มจางซานเฟิงที่อยู่ในห้องตัวเองหยุดการนั่งเข้าฌานแล้วเริ่มออกหมัดช้าๆ กระบวนท่าหมัดนี้ไม่ค่อยเหมือนกับกระบวนท่าหมัดส่วนใหญ่ในใต้หล้า เน้นช้าไม่เน้นเร็ว ได้แค่เอามาฝึกฝนบำรุงร่างกายเท่านั้น แต่จางซานเฟิงรู้สึกว่าเหมาะสมกับเพื่อนของตนที่สุด
กระบวนท่าหมัดนี้เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ตอนนี้ยังแค่พอเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น สัจธรรมแห่งหมัดมาจากคำกล่าวยามเมามายของอาจารย์เขาและการตระหนักรู้ของตัวเขาเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันจะรังเกียจหรือไม่ จะยินดีเรียนหรือไม่
……
เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ท่ามกลางแสงสายัณห์ ศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวสองคนที่เดินทางมาไกลนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวเล็กที่มีคราบน้ำมันค่อนข้างเยอะของร้านข้างทางร้านหนึ่ง
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อร่างผอมแห้งวัยประมาณสามสิบปีคนหนึ่งรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี ดังนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “โจวจวี่หราน บอกไว้ก่อนว่าข้ากินเผ็ดไม่ได้”
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ชื่อว่าโจวจวี่หรานยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลิง เพราะว่าเจ้าไม่กินเผ็ดนี่แหละที่ทำให้พลาดอาหารรสเลิศมากมายในโลกไป”
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ถูกเรียกล้อเลียนว่า ‘เจ้าลิง’ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ตลอดทางที่เดินทางมานี้มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาทั้งนั้น ช่วยไม่ได้ เจ้าโจวจวี่หรานผู้นี้เป็นตัวก่อเรื่องอย่างแท้จริง ถูกผิดของในใจคนผู้นี้มักจะพร่าเลือนกว่านักปราชญ์คนอื่นๆ ในสำนักศึกษาเสมอ แต่ก็ยังดีที่โดยภาพรวมแล้วตนยังพอจะรับได้
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อผอมบางที่มีบุคลิกสอดคล้องกับกลิ่นอายของสำนักศึกษามากกว่าโจวจวี่หรานผู้นี้กวาดตามองไปรอบด้าน ครั้งนี้ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนตัดสินใจเองโดยพลการ ถึงขนาดจะเอาฝ่ายที่ชนะในการโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้มาเป็นลัทธิประจำแคว้น เชิดชูฐานะให้สูงส่งยิ่งกว่าลัทธิขงจื๊อ
หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ความสนใจของสำนักศึกษากวานหูพวกเขาถูกเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีปดึงไปทั้งหมดจนไม่อาจมาสนใจที่แห่งนี้ ก็คงไม่ใช่แค่เขาโหวเจิ้งกับโจวจวี่หรานหนึ่งวิญญูชนหนึ่งนักปราชญ์ ‘เดินทางท่องเที่ยว’ มาถึงแคว้นชิงหลวนแล้ว แต่คนทั้งสองจะต้องตรงดิ่งไปตำหนิฮ่องเต้สกุลถังผู้นั้นถึงในวังหลวงสักรอบหนึ่ง
นักปราชญ์โจวจวี่หรานสั่งบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนอาหารรสเลิศขึ้นชื่อของท้องที่มาสองชาม ชามหนึ่งใส่พริกเผ็ดมาก อีกชามหนึ่งไม่เผ็ด แล้วก็เริ่มกินพร้อมกับ ‘เจ้าลิง’ แห่งนครมังกรเฒ่า
นักปราชญ์หนุ่มที่ชอบเรียกตัวเองว่าโจวจวี่ม้วนเส้นบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนเข้าปากคำใหญ่แล้วก็พูดเสียงอู้อี้ว่า “ได้ยินอาจารย์บอกว่าการโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ค่อนข้างจะเป็นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ พวกเขาป่าวประกาศแก่คนนอกว่าให้ลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าส่งเจินเหรินและภิกษุสมณศักดิ์สูงมาฝ่ายละสิบท่าน จากนั้นก็ให้ไปโต้เถียงกันที่วังหลวง ดูว่าใครมีความสามารถในการถกเถียงมากกว่ากัน ทว่าการตัดสินแพ้ชนะที่แท้จริงกลับอยู่ในที่มืด พวกเขาตั้งใจเชิญผู้เฒ่าจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินคนหนึ่งมาเป็นประธานโดยเฉพาะ จากนั้นก็ให้เซียนดินสองท่านใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำและภูเขาผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบดูนักพรตท่านหนึ่งและภิกษุท่านหนึ่งตลอดเวลา ต้องจัดให้คนสองคนนี้ทำการโต้วาทีกันเป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้ใครจับพิรุธได้ ดูว่าใครที่พระธรรมหรือมรรคกถาสูงกว่ากัน ทั้งต้องแบ่งแยกแพ้ชนะในด้านพระไตรปิฎกและคัมภีร์เต๋า แถมยังต้องเปรียบเทียบในด้านการจัดการเรื่องราว รวมไปถึงความสามารถในการโน้มน้าวชักจูงคน ความรู้ การฝึกบำเพ็ญตน การอบรมสั่งสอน รวมแล้วก็แข่งกันสามด้านพอดี”
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อายุมากกว่าขมวดคิ้ว เรื่องวงในเหล่านี้ โจวจวี่หรานเพิ่งจะเคยพูดเป็นครั้งแรก หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หัวคิ้วก็คลายออก “มิน่าเล่าเจ้าขุนเขาถึงได้ไม่โมโห ที่แท้ก็จะใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก การกระทำนี้ของแคว้นชิงหลวน อันที่จริงไม่ถือว่าเลวร้ายไปซะหมด”
โจวจวี่หรานยิ้มอย่างชอบใจ หยิบตะเกียบมาชี้หน้าศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “นิสัยนี้ของเจ้าโหวเจิ้งนี่แหละที่ถูกใจข้าที่สุด มองทุกอย่างในมุมกว้าง อีกทั้งยังมองแต่ในด้านดี”
วิญญูชนสำนักศึกษาที่ชื่อว่าโหวเจิ้งส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
โจวจวี่หรานถามว่า “นครมังกรเฒ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าไม่คิดจะกลับบ้านไปดูบ้างหรือ?”
โหวเจิ้งยังคงส่ายหน้า “ไปก็ไม่มีประโยชน์ เดิมทีขนบธรรมเนียมประจำบ้านที่บรรพบุรุษสกุลโหวสืบทอดต่อกันมาก็หลงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ก็แค่เทียนกลางสายลม ข้าไปก็ได้แค่บีบให้ไส้เทียนในตะเกียงสว่างขึ้นอีกนิดเท่านั้น ไม่สู้มีชีวิตอยู่เหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแบบนี้ยังดีกว่า ข้าได้แต่ฝากความหวังกับเด็กรุ่นหลังที่มีความรับผิดชอบ แล้วถึงจะกล้าช่วยเหลือเขาอีกแรงหนึ่ง”
โจวจวี่หรานพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นเจ้าที่คิดได้รอบคอบ”
โหวเจิ้งยิ้มขื่น “ถึงอย่างไรก็เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น จะไม่ให้ข้าคิดเผื่อบางเลยหรือ?”
โจวจวี่หรานวางตะเกียบลง ถามว่า “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือยัง?”
โหวเจิ้งมองชามขาวใบใหญ่ตรงข้ามที่ว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง แล้วก็ไม่สนใจโจวจวี่หรานอีก รีบก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ของตัวเองต่อไป
โจวจวี่หรานทอดถอนใจ หันหน้ากลับไปตะโกน “เถ้าแก่ เอามาอีกชาม…ใส่พริกน้อยหน่อย เผ็ดมากของร้านเจ้านี่เผ็ดจนคนตายได้จริงๆ”
บนถนนใหญ่มีสตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวอายุน้อยสวมผ้าคลุมหน้ากลับมาจากเที่ยวชานเมือง โจวจวี่หรานทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “สาวงามที่กลับมาจากท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ เหงื่อออกเล็กน้อย บวกกับกลิ่นหอมสดชื่นที่นำกลับมาจากป่าเขาทะเลสาบซึ่งได้กลิ่นเลือนๆ นั้น ช่างงดงามซะจริง”
โหวเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
โจวจวี่หรานกล่าวต่ออีกว่า “หรือข้าควรจะเข้าไปร่วมวงด้วย เปลี่ยนให้งานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนครั้งนี้กลายเป็นงานประชันเล็กๆ ของสามลัทธิครั้งหนึ่งไปเลย?”
คราวนี้โหวเจิ้งตอบกลับอย่างว่องไว เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ไม่ได้”
โจวจวี่หรานเอามือตบโต๊ะ “เถ้าแก่ เปลี่ยนเป็นเผ็ดมากเหมือนเดิม!”
ในขณะที่นักปราชญ์และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากำลังนั่งกินบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนตรงข้ามกัน ในเมืองหลวงห่างไปไม่ไกลมีอารามเต๋าขนาดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าอารามคือนักพรตวัยกลางคน ไร้ชื่อไร้สัญชาติในแคว้นชิงหลวน หากนับแค่ฐานะผู้ฝึกตนย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าอารามท่านนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับอารามเต๋าเก่าแก่ทั้งหลายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาหลายร้อยหรือหลายพันปีในแคว้นชิงหลวน อารามเมฆขาวแห่งนี้เพิ่งจะสร้างขึ้นแค่ร้อยกว่าปี พื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกวัดวาอารามที่เป็น ‘ผู้อาวุโส’ ทั้งหลายแบ่งกันไปจนหมดสิ้นแล้ว
อารามเมฆขาวที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แห่งนี้จึงจำต้องอยู่ติดกับตลาดที่เสียงดังจอแจ ทว่าด้านในอารามกลับมีต้นไม้โบราณอยู่หลายต้น แต่สิ่งที่พอจะเอามาออกหน้าออกตาได้อย่างถูไถนี้กลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับอารามเมฆขาว เด็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตลาดชอบเล่นว่าว ว่าวจึงมักจะลอยมาติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในอารามเป็นประจำ ดังนั้นทุกๆ สามวันห้าวันจึงจะมีสตรีแต่งงานแล้วหรือไม่ก็ชายฉกรรจ์พาเด็กๆ ที่ร้องไห้โยเยมายืนด่าอยู่นอกอาราม ด่าจบก็ค่อยเข้ามาในอารามเต๋าเพื่อตำหนินักพรตน้อยที่ขลาดกลัวทั้งหลาย บอกให้พวกเขานำบันไดพาดต้นไม้แล้วเก็บว่าวกลับมา พอได้ว่าวกลับคืน พวกเด็กๆ ยิ้มทั้งน้ำตา พวกผู้ใหญ่ที่ต้องพักงานในมือเสียเวลามาทำเรื่องไร้สาระส่วนใหญ่จะยังสบถด่าต่อ หนีไม่พ้นประโยคทำนองว่าต้นไม้ผุๆ ที่เป็นตัวปัญหาพวกนี้ ทำไมไม่รู้จักรีบๆ ตัดมาทำเป็นฟืนไปซะ
อันที่จริงทุกครั้งเจ้าอารามวัยกลางคนที่รูปร่างผอมแห้งจะเดินออกมาจากหอหนังสือ แต่ก็แค่กล้ามาแอบยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไกลๆ เท่านั้น ปล่อยให้ศิษย์น้องหรือไม่ก็ลูกศิษย์รับหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟ
มีครั้งหนึ่งนักพรตน้อยของอารามแอบวิ่งออกไปเล่นว่าวกับเด็กละแวกใกล้เคียงที่สนิทกัน ไม่ทันระวังก็ทำให้ว่าวมาติดอยู่บนต้นไม้เหมือนกัน ความคิดในหัวตีกันอยู่พักใหญ่ เพราะเสียดายว่าวตัวนั้นมากจริงๆ จึงฝืนใจมาบอกกับทางอาราม ผลกลับกลายเป็นว่าถูกอาจารย์เจ้าอารามคว้าตัวมาระบายโทสะ ตีจนก้นเกือบลายพร้อย แต่ว่าวันนั้นนักพรตน้อยก็ยิ้มหน้าบาน ที่แท้ไม่รู้ว่าตุ๊กตากระเบื้องที่เขาอยากได้มานานมาอยู่ในผ้าห่มของเขาได้อย่างไร ทำให้เขาเอาไปโอ้อวดกับเด็กๆ คนอื่นได้เป็นนาน
เวลานี้เป็นยามพลบค่ำแล้ว นักพรตวัยกลางคนอยู่ในหอหนังสือขนาดเล็ก เงยหน้าจ้องมองตัวอักษรบนตำราอยู่เป็นนานจนตาเขาเริ่มจะเจ็บเล็กน้อย
บนชั้นหนังสือชั้นหนึ่งในนั้นที่ทั้งสองด้านต่างก็สูงจรดเพดาน นอกจากจะเก็บคัมภีร์เต๋าครบชุดที่มากมายมหาศาลแล้ว อันที่จริงยังปะปนไปด้วยพระไตรปิฎกและคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อด้วย
นักพรตวัยกลางคนไล่อ่านอย่างละเอียดจนจบ ลำพังแค่ฉบับร่างของตัวอักษรเล็กๆ ที่สรุปเขียนจากความเข้าใจของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีมากถึงเก้าแสนกว่าตัว
คนอื่นฝึกตนเพื่อได้ดูแคลนเหล่าผู้สูงศักดิ์ เพื่อบรรลุความเป็นอมตะไม่ดับสลาย เพื่อหลุดพ้นจากกรงขังขนาดใหญ่ของฟ้าดิน ทว่าเจ้าอารามของอารามเต๋าขนาดเล็กท่านนี้กลับเพื่อให้ได้มีชีวิตต่ออีกหลายๆ ปี จะได้อ่านหนังสือได้มากขึ้น
ตำราของอริยะปราชญ์สามลัทธิร้อยสำนักล้วนต้องอ่านให้หนึ่งครบ
……
แม้ว่าตอนนี้กลุ่มของเฉินผิงอันจะถือว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของพรรคต้าเจ๋อ แต่จู๋เฟิ่งเซียนกลับไม่เคยมาเยือนที่พักของเฉินผิงอันเพื่อตีสนิทเขา แค่เช้าตรู่ของวันชมงานพิธีมาเรียกให้เฉินผิงอันขึ้นเขาไปยังอารามจินกุ้ยที่อยู่บนยอดเขาด้วยกัน
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา จู๋เฟิ่งเซียนเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เรื่องที่พูดคุยกันก็มีแค่เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของแคว้นชิงหลวน
พอไปถึงหน้าประตูอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยก็ยิ้มรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาพาคนสองกลุ่มของจู๋เฟิ่งเซียนและเฉินผิงอันไปนั่งข้างกันตรงแถวหน้าสุดของสถานที่ที่อารามทำพิธีรับลูกศิษย์
สุดท้ายจางกั่วเซียนซือผู้เฒ่าเจ้าอารามรับลูกศิษย์ไปเก้าคน จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงล้วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกเจ็ดคนที่เหลือ มีสองคนที่เป็นคู่พี่สาวน้องชายซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นชาวบ้านธรรมดา อีกห้าคนที่เหลือล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูงจากสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว
เมื่อรวมคนสามคนซึ่งมีสวี่ป๋อรุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น เจ้าอารามจางกั่วก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหมดสิบสองคน
นักพรตน้อยที่เอาร่มให้เผยเฉียนยืม ตอนนี้กลายเป็นศิษย์พี่ของคนทั้งเก้าที่เข้าสำนักมาพร้อมกันในภายหลัง เขายืนอยู่ด้านหลังสวี่ป๋อรุ่ย ดีใจจนยิ้มกว้างแทบหุบปากไม่ลง
จากนั้นเขาก็รีบหันมามองเผยเฉียน แต่กลับค้นพบว่านางไม่ได้มองตนเลยแม้แต่น้อย นักพรตน้อยจึงอดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
เรื่องที่เซียนซือลัทธิเต๋ารับลูกศิษย์ ใช้คำว่าพิธีการซับซ้อนยิบย่อยก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย ถึงกับเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ชมพิธีเสร็จ เหล่าผู้นำของขั้วอิทธิพลต่างๆ อย่างเฉินผิงอัน จู๋เฟิ่งเซียน และหญิงชรา ฯลฯ ทางอารามจินกุ้ยมอบร่มกระดาษน้ำมันกิ่งกุ้ยที่ราคาไม่ธรรมดาให้คนละหนึ่งคัน
จู๋เฟิ่งเซียนยังจะพักอยู่ที่กึ่งกลางภูเขาอีกหลายวัน ถึงอย่างไรจู๋จื่อหยางก็เพิ่งกลายเป็นลูกศิษย์ของจางกั่วเจ้าอารามจินกุ้ย บางทีนางอาจจะยังไม่เคยชินหรือปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศไม่ได้ จู๋เฟิ่งเซียนจึงยังไม่วางใจที่จะลงภูเขาแล้วจากไปทั้งอย่างนี้
ได้ดูพิธีรับลูกศิษย์โดยไม่ต้องเสียเงิน และยังได้ร่มกิ่งกุ้ยมาเปล่าๆ บอกลากับจู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือผู้นั้นแล้ว พวกเฉินผิงอันก็ลงจากภูเขาชิงเย่า เร่งเดินทางกันต่ออีกครั้ง เดินไปบนทางเล็กในผืนป่าที่มืดลึกและเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุด
วัวดินสีเหลืองเข้ามาร่วมขบวน เผยเฉียนขี่อยู่บนหลังของมัน
ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เผยเฉียนเรียกร้องว่าจะขี่วัวสีเหลืองก็ถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกแบบเน้นๆ ไปหนึ่งที ทว่าวัวเหลืองกลับไม่ได้ปฏิเสธ ยอมปล่อยให้เผยเฉียนนั่งอยู่บนหลังของตัวเอง
เมื่อเทียบกับคนทั้งสี่ในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียรู้เรื่องบนภูเขามากกว่า ดังนั้นจึงค่อนข้างจะตกตะลึงมากเป็นพิเศษ
ผ่านไปอีกสิบวัน พวกเขาก็ได้เดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา ช่วงสนธยา ควันจากการทำอาหารลอยกรุ่น กระเบื้องดำกำแพงขาว คานแกะสลักเสาลงสี งดงามเงียบสงบดุจแดนสุขาวดี
พวกเฉินผิงอันเดินตามทางเล็กๆ บนสันเขาลงไปก็ถึงหมู่บ้าน แต่กลับพบว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ยังดีที่ภายหลังมีอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านคนหนึ่งออกมา เขาสื่อสารกับเฉินผิงอันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอย่างติดๆ ขัดๆ บังเอิญยิ่งนัก เฉินผิงอันจึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีแต่คนแซ่เฉินแทบทั้งหมด คนแต่ละรุ่นจะต้องฝึกวรยุทธ์ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน แต่ตามกฎบรรพบุรุษที่ตั้งไว้ ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหน เด็กๆ ก็ต้องเรียนให้จบชั้นประถมปีที่สี่เสียก่อนถึงจะออกจากโรงเรียนไปทำไร่ทำนาได้
ประมุขตระกูลคือผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง สีหน้าท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉง ก้าวเดินรวดเร็วราวกับบิน สวมชุดกว้าตัวยาว (ชุดแบบจีนที่ยาวเกินเข่า) สีเทา สวมรองเท้าผ้า ตามคำบอกของอาจารย์ที่สอนหนังสือคนนั้น ประมุขผู้เฒ่าท่านนี้มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุดในพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้นี้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่ง เพราะปีนั้นมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เคยขวางม้าช่วยชีวิตเด็กในตลาดที่วุ่นวาย ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามอย่างให้เกียรติว่า ‘เฉินซุ้มประตู’ (เพราะซุ้มประตูในสมัยศักดินาถูกสร้างขึ้นเพื่อยกย่องผู้ที่ทำความดีความชอบ) พอผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินผิงอันก็แซ่เฉินเหมือนกันก็ดีใจอย่างถึงที่สุด เชื้อเชิญพวกเขาให้ไปเป็นแขกที่บ้านอย่างกระตือรือร้น เดิมทีทุกคนกินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว แต่ผู้เฒ่าก็บอกให้คนในครอบครัวทำอาหารโต๊ะใหญ่มาใหม่ ผู้เฒ่าน้ำเหล้าเกาเหลียงที่หมักเองออกมา แล้วนำพาเฉินผิงอันดื่มเหล้าด้วยกัน
แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบดื่มเหล้า แต่เวลาอยู่ในวงเหล้ากลับไม่ชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่ม เมื่อเป็นเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันดื่มจนเพลินเสียเอง
สุดท้ายถึงขั้นไม่รู้ว่ากลับไปที่พักได้อย่างไร ตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกถึงได้พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ไม่คุ้นตาด้วยท่าทางประหลาด เขาเลิกผ้าห่มออก สวมรองเท้าผลักประตูเดินออกไป เงยหน้ามองด้านบนเห็นโต่วกง (โครงสร้างรับหลังคาแบบจีน มีลักษณะเป็นการเข้าไม้แบบตุ๊กตาหลายๆชิ้นทบซ้อนขึ้นไป) ที่ประณีตงดงาม ตอนนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ขอตำรากรมโยธาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพานจำนวนมากมาจากราชครูจ้งชิว หนึ่งในนั้นมีเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุด ไม่ได้มีแค่เรื่องการสร้างสะพานเท่านั้น ยังมีคำแนะนำถึงการสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน หอเรือน ฯลฯ อีกด้วย เฉินผิงอันอ่านจนติดงอมแงม
บ้านเรือนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนี้เชื่อมติดกัน เป็นเหตุให้ระเบียงยาวมากเป็นพิเศษ พี่น้องแม้จะแยกบ้านไปแล้ว แต่กลับยังเป็นเพื่อนบ้านกัน
เฉินผิงอันเดินออกไปจากระเบียงเส้นนั้น เลียบเส้นทางหินสีดำไปถึงข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นพักใหญ่
อันที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่ยืนเหม่อเท่านั้น
วันที่สองก็ยังถูกประมุขตระกูลผู้เฒ่ารั้งตัวเอาไว้อย่างยากที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญได้
แม้ว่าเผยเฉียนจะพูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเล่นกับคนวัยเดียวกันได้อย่างสนุกสนาน
วันนี้ตอนที่ไปเรียกให้เผยเฉียนมากินข้าว เด็กทั้งกลุ่มกำลังเล่นเหยี่ยวจับลูกเจี๊ยบกันอยู่
เผยเฉียนบอกให้เฉินผิงอันมาเล่นด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มแล้วงอสองนิ้ว ยกมือขึ้นทำท่าเขกมะเหงก
เพียงแต่ต้านทานลูกตื๊อของเผยเฉียนไม่ไหว เฉินผิงอันจึงเล่นเป็นแม่ไก่ที่ปกป้องลูกเจี๊ยบ ส่วนเผยเฉียนคือเหยี่ยวที่จะจับลูกเจี๊ยบ
เผยเฉียนหรือจะจับ ‘ลูกเจี๊ยบ’ ที่อยู่ท้ายสุดของแถวคนด้านหลังเฉินผิงอันได้
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนตำแหน่งกับคนวัยเดียวกันคนนั้น
ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทั้งการเล่นเป็นเผยเฉียนที่หัวเราะดังที่สุด
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ยิ้มกวักมือเรียกให้อาจารย์และศิษย์อย่างพวกเขาสองคนไปกินข้าว
พวกเด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันพร้อมกับกลิ่นควันจากการทำอาหารและแสงสุดท้ายของวัน รวมไปถึงเสียงตะโกนเรียกชื่อลูกหลานของตัวเองของผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนเดินไปหาจางซานเฟิง
ตอนที่คนทั้งสามเดินอยู่ในตรอก จู่ๆ ด้านหน้าก็มีผู้เฒ่าล่างเล็กเตี้ยจมูกเปรอะคราบสุราคนหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีดำ ตรงชายแขนเสื้อซ้ายขวาต่างก็ปักลายมังกรเพลิงสีแดงสดราวกับมีชีวิตจริง
จางซานเฟิงอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม
เฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
ส่วนเผยเฉียนก็ยิ่งกล้ามองแค่ไม่กี่ที ก่อนจะรีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองอีก
จางซานเฟิงก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้า กล่าวอย่างสงสัย “อาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าถลึงตาใส่ “หากอาจารย์ไม่มาจับตัวเจ้ากลับไปฝึกตนบนภูเขา เจ้าคงจะคิดแต่งเมียมีลูก แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ข้างนอกนี่สินะ?”
จางซานเฟิงหันไปยิ้มจนใจให้เฉินผิงอัน ความหมายน่าจะประมาณว่าอาจารย์ข้าก็เป็นคนเช่นนี้เอง อย่าได้ถือสาเลย
หลังจากที่นักพรตหนุ่มหันหน้าไป ผู้เฒ่าก็เหม่อมองจางซานเฟิงที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ แล้วพอเห็นไหล่ของลูกศิษย์ตนที่ถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแทงทะลุก็กระทืบเท้า พูดอย่างเดือดดาล “ใครกล้าทำร้ายเจ้า?! บอกชื่อมันมา อาจารย์…จะเอาเข็มไปทิ่มตุ๊กตาฟางที่เขียนชื่อมันเดี๋ยวนี้!”
จางซานเฟิงยื่นฝ่ามือออกมาเช็ดหน้าตัวเอง มาเจอกับอาจารย์ที่เป็นเช่นนี้ เขาไม่มีหน้าจะพบเฉินผิงอันแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะนักพรตเฒ่าที่มาจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้อย่างจริงจัง
ผู้เฒ่าที่เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์พยักหน้าให้เฉินผิงอัน ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าหนู สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าถูกทำลายแล้วก็สร้างขึ้นใหม่ใช่ไหม? ค่อนข้างจะลำบากหน่อยนะ แต่วัตถุแห่งชะตาชีวิตจากธาตุน้ำห้าธาตุของเจ้าตอนนี้กลับมีกลิ่นอายแห่งเซียนอย่างเปี่ยมล้น อืม ไม่เลวๆ”
พอผู้เฒ่าพูดจบก็หันมามองจางซานเฟิงอีกครั้ง บอกให้เขายื่นมือออกมา นักพรตเฒ่าประกบสองนิ้ววาดยันต์ไว้กลางอากาศเหนือฝ่ามือของจางซานเฟิง พอวาดยันต์เสร็จแล้วก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ประกายแสงสีทองเปล่งระยิบระยับ ชั่วพริบตาเดียวก็หายวับไป จากนั้นกระบี่เจินอู่และมีดสั้นของสวีหย่วนเสียที่เดิมทีควรอยู่ในจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ
จางซานเฟิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ยื่นมือมารับกระบี่เจินอู่และมีดสั้น ไม่ลืมหันไปอธิบายกับเฉินผิงอัน “ตบะของอาจารย์ข้าไม่สูง อย่างอื่นไม่เชี่ยวชาญ แต่เคล็ดลับเล็กๆ ที่เป็นวิชานอกรีตพวกนี้กลับเก่งกาจอย่างมาก”
ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ ถูกลูกศิษย์แฉ เขากลับไม่คิดว่าน่าอาย กลับกันยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก
เฉินผิงอันมองนักพรตหนุ่ม แล้วก็มองนักพรตเฒ่าที่ชายแขนเสื้อสองข้างปักลายมังกรเพลิง มีความรู้สึกว่าจางซานเฟิงอาจจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเงาใต้โคมไฟจึงเข้าใจอาจารย์ของตัวเองผิดมหันต์เลยหรือไม่
ผู้เฒ่าใช้ปลายเท้าวาด ‘ยันต์ผี’ บนพื้นซึ่งมองดูเหมือนเป็นการวาดมั่วซั่ว ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่บนพื้นกระดานหินสีดำ แต่เขากลับบอกให้จางซานเฟิงมายืนอยู่ตรงกลางยันต์ที่เขาวาดเมื่อครู่นี้ จางซานเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด เพราะผู้เฒ่าชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธเสียก่อน “อาจารย์จะพาเจ้าไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์สักรอบ”
จางซานเฟิงเดินเข้าไปใน ‘ยันต์’ ที่ราวกับว่าไม่มีอยู่จริงแผ่นนั้น โยนมีดสั้นในมือมาให้เฉินผิงอัน ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ช่วยขอโทษพี่ใหญ่สวีแทนข้าสักคำ ฉุกละหุกเกินไป ได้แต่จากไปโดยไม่ลาแล้ว”
เฉินผิงอันรับมีดสั้นของสวีหย่วนเสียมา นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงรีบหยิบกล่องไม้สีเขียวออกมาจากวัตถุฟางชุ่น โยนให้จางซานเฟิง “ด้านในมีตราประทับอาคมชิ้นหนึ่งของศาลเทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี มอบให้เจ้า ทางที่ดีที่สุดคือเอาไปใช้ร่วมกับเวทห้าอสนี”
จางซานเฟิงเห็นว่ากล่องไม้เก่าแก่เหมือนว่าจะธรรมดามาก จึงรับไว้อย่างสบายใจ
ผู้เฒ่าพลันหรี่ตา แต่ก็กลับมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที ยิ้มถามว่า “เจ้ามีอะไรก็ลองเรียกร้องดู ข้าจะนับถึงสิบ หากเกินเวลาจะไม่รอ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วยถ่ายทอดมรรคกถาที่สูงส่งให้กับจางซานเฟิงดีๆ รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วย…ตั้งใจสักหน่อย”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอัน จุ๊ปากพูด “ไอ้หนู นี่เจ้าด่าคนทางอ้อมนี่นา”
ผู้เฒ่ายื่นมือมาคว้าจับจางซานเฟิง ร่างของคนทั้งสองหายวับไป เฉินผิงอันค้นพบว่าปราณวิญญาณเบาบางรอบตรอกไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ความคิด
เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ถามว่า “เอายังไงต่อ?”
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มตอบว่า “ไปกินข้าวกัน”