บทที่ 382 โชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้น
หลังจากชุยตงซานยืนได้มั่นคงแล้วก็ปาดน้ำตา วิ่งเหยาะๆ มาหา “อาจารย์นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง เดินทางไกลอยู่ใต้หล้าไม่ใช่แค่หนึ่งล้านลี้ ลำบากท่านแล้ว ลำบากเหลือเกินแล้ว ศิษย์ไม่อาจคอยอยู่เคียงข้างช่วยอาจารย์คลายทุกข์ สมควรตาย สมควรตายจริงๆ”
หลูป๋ายเซี่ยงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ จำได้ว่าเฉินผิงอันเคยพูดว่าตัวเองมีลูกศิษย์ที่ ‘ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ’ อยู่คนหนึ่งซึ่งเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เล่นหมากล้อมเก่ง มีโอกาสสามารถประลองฝีมือกันได้
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว เผยเฉียนที่บนหน้าผากยังแปะกระดาษยันต์สีเหลืองลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยกที่นั่งของตัวเองให้อีกฝ่าย แล้วเดินไปนั่งข้างกายสุยโย่วเปียนแทน
ชุยตงซานก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา แต่กลับไม่ได้นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน เขาเดินไปหยิบชามและตะเกียบจากในห้องครัวมาให้ตัวเองก่อน สุดท้ายนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกับหลูป๋ายเซี่ยง ชุยตงซานเตรียมจะคีบเต้าหู้ยี้ที่กินกับโจ๊กขึ้นมา แต่จู่ๆ กลับวางตะเกียบลง “ศิษย์ปวดใจจนมิอาจจับตะเกียบได้”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นทันที “เจ้าตามมาโดยดูจากเนื้อหาในจดหมายที่ข้าส่งไปให้หลี่เป่าผิงฉบับนั้น? แต่เจ้ามาทำอะไรที่แคว้นชิงหลวน ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปหาพวกเจ้าที่สำนักศึกษาซานหยาอยู่แล้ว มาเพื่องานโต้วาทีพุทธเต๋าน่ะหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “พวกลูกเจี๊ยบที่แย่งกันจิกอาหาร มีอะไรให้น่าดู ข้ากลัวแต่ว่าหากไม่ทันระวัง…”
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา เทพเซียนเด็กหนุ่มที่พูดจาใหญ่โตพลันตบบ้องหูตัวเอง “ไม่โม้แล้วจะตายหรือไง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ถามอะไรอีก ชุยตงซานจึงจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน กินไปไม่น้อยเลย
หลังกินอิ่ม จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนช่วยกันเก็บโต๊ะ ชุยตงซานถามผู้เฒ่าหลังค่อมว่าต้องการให้ช่วยหรือไม่ จูเหลี่ยนพูดอย่างเกรงใจว่าไม่ต้อง ชุยตงซานจึงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วออกไปจากห้องพร้อมกับเฉินผิงอัน เดินไปทางลานบ้านใต้เพดานเปิดโล่งอย่างสง่างาม
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยถาม “หากมีเวลาว่าง ขอเล่นหมากล้อมกับเจ้าสักตาจะได้ไหม?”
ชุยตงซานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เพียงโบกมือกล่าวว่า “เล่นไม่เป็น”
รอจนเด็กหนุ่มชุดขาวออกไปพ้นจากสายตาแล้ว ทุกคนก็พลันรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จูเหลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว เช็ดคราบน้ำที่มือ มองเว่ยเซี่ยนที่นั่งอยู่บนบันได ถามด้วยรอยยิ้ม “ว่ายังไง?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “เห็นปลาชัดเกินไปย่อมไม่ดี” (ความหมายก็คือหากคนคนหนึ่งสายตาดีเกินไป ไม่ว่าน้ำในลำคลองจะใสหรือขุ่น เขาก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีปลาอยู่มากน้อยเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะคนผู้นี้อาจเจอกับอันตรายหรือไม่ก็อาจต้องตาบอด)
ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงก็ถามสุยโย่วเปียน “เจ้ารู้สึกว่าเป็นเพราะคนผู้นี้รู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเล่นหมากล้อมกับเขา หรือเป็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะขายหน้า?”
สุยโย่วเปียนตอบไม่ตรงคำถาม “เนื้อหนังมังสาร่างนี้ค่อนข้างจะแปลก”
เผยเฉียนผลุบๆ โผล่ๆ หัวอยู่ตรงหน้าประตูของห้องหลักราวกับว่ายังต้องหลบเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สวมชุดขาวพลิ้วไหวคนนั้น กลัวว่าหากกะพริบตาอีกฝ่ายจะวิ่งออกมาจากระเบียงอีก
ดูท่านางจะกลัวคนผู้นี้มากจริงๆ
เพียงแค่ชั่วเวลากินอาหารหนึ่งมื้อ เผยเฉียนก็มองชุยตงซานผู้นี้เป็นสัตว์ร้ายที่มากับน้ำไหลบ่าแล้ว (เปรียบเปรยถึงหายนะ/พิบัติภัยที่ยิ่งใหญ่มาก)
เฉินผิงอันพาชุยตงซานมาเดินเล่นในตรอกของหมู่บ้าน บนพื้นล้วนปูด้วยแผ่นหินสีดำมันเกลี้ยงแวววาวราวกับกระจก ชุยตงซานเดินตามมาด้านหลังเฉินผิงอันอย่างว่าง่าย ตรอกที่ค่อนข้างมืดสลัวซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างกำแพงสูงทั้งสองด้าน พื้นสีดำ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนจึงคล้ายนกสีขาวสองตัว
ฝีเท้าของชุยตงซานว่องไว เดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งตีกำแพง พูดเบาๆ ว่า “ได้ยินมาว่าอาจารย์ได้ร่างกายนอกกายจิตหยางของตู้เม่าที่เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานมา? นั่นมันร่างที่เทียบเคียงกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินเชียวนะ ระดับความยืดหยุ่นทนทานมากพอจะทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าคราบร่างเซียนเหรินนี้ถูกตู้เม่านำมาสร้างให้คล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งนานแล้ว ใครที่ได้เป็นนกพิราบครองรังนกกางเขน คนคนนั้นก็จะได้ครอบครองความราบรื่นในการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนบนมหามรรคา”
เฉินผิงอันถาม “ได้ยินมา? เจ้าได้ยินใครพูดมา?”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมต้องมีแผนการอันมหัศจรรย์ของตัวเอง ศิษย์ก็มีช่องทางของตัวเอง”
เฉินผิงอันถามไปตรงๆ “เจ้าต้องการคราบร่างเซียนเหรินนี้?”
ชุยตงซานสีหน้าซับซ้อน ส่ายหน้ากล่าวว่า “เนื้อหนังมังสาของข้าในเวลานี้ เดิมทีก็เป็นคราบร่างเซียนเหรินในยุคบรรพกาลอยู่แล้ว อีกอย่างยังเป็นร่างของเจียวหลงบางตัวในแคว้นสู่โบราณ เมื่อเทียบกับกายนอกกายของตู้เม่าร่างนี้ ระดับความล้ำค่าก็มีแต่จะมากกว่า ไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าของดีที่มูลค่าควรเมืองเช่นนี้ ใครบ้างที่เห็นแล้วจะไม่เกิดหวั่นไหวอยากได้มาครอง? หากอาจารย์สงสารศิษย์ โบกมือหนึ่งครั้งมอบคราบร่างเซียนเหรินนี้ให้แก่ศิษย์ ศิษย์ย่อมซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้อาจารย์…”
เฉินผิงอันถาม “จะไปหาวัตถุหยินที่แข็งแกร่งซึ่งคู่ควรกับคราบร่างเซียนเหรินนี้ได้จากที่ไหน? วิญญาณวีรบุรุษในซากปรักหักพังของสนามรบโบราณ? หรือว่าพวกขุนพลผีราชาผีที่อยู่ในสุสานไร้ญาติ?”
ชุยตงซานยิ้มทะเล้น “ที่แท้อาจารย์ก็เชี่ยวชาญเรื่องนกพิราบครองรังนกกางเขนขนาดนี้เชียวหรือ แต่ศิษย์ยังมีข่าวที่ไม่ดีนักจะบอกกับอาจารย์ สนามรบโบราณที่มีทหารหยินแม่ทัพหยินล่องลอยป้วนเปี้ยนอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดี สุสานไร้ญาติที่ฝังร่างคนที่ตายอย่างอยุติธรรมไว้หลายหมื่นหลายแสนคนก็ดี เจ้าพวกของเล่นที่ถูกฟูมฟักออกมาจากสถานที่เหล่านี้ยังเล็กจ้อยเกินไป หากจะพูดถึงตบะ มากสุดก็แค่ผีก่อกำเนิด ไม่อาจสยบคราบร่างเซียนเหรินไว้ได้เลย ถ้าเข้าไปอยู่ข้างในก็ไม่ต่างจากเข้าไปในกระทะน้ำมันเดือด หรือเข้าคุกน้ำ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รุกรานกัดกินกัน ไม่มีใครที่จะมีจุดจบที่ดี ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องอาศัยหน้าตาและโชคของอาจารย์เองว่าจะสามารถพบเจอวัตถุหยินที่เกิดมาก็มีฐานกระดูกแข็งแรง มีกระดูกที่แข็งอย่างถึงที่สุดหรือไม่ ส่วนขอบเขตของภูตผีหรือวัตถุหยินนั้นจะสูงหรือต่ำ กลับกลายเป็นว่าไม่สำคัญ”
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ จากนั้นก็พูดว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนแล้ว ระหว่างทางอาจผ่านจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งหนึ่ง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะไปเยือน ทว่ามีความเป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายมาหาพวกเราเอง เรื่องพวกนี้ต้องบอกกับเจ้าไว้ก่อน”
ชุยตงซานยกสองมือขึ้นกุมคารวะ “อาจารย์เชิญจัดการได้ตามสบาย ศิษย์ไม่มีความเห็นต่าง”
เวลาห้าวันหลังออกมาจากหมู่บ้าน ขึ้นเขาลงห้วย นอกจากชุยตงซานจะพูดจาประจบเอาใจเฉินผิงอันแล้ว เขาก็ไม่ไปคบค้าสมาคมกับเผยเฉียนและสี่คนในภาพวาด แทบไม่เคยพูดอะไรกับคนเหล่านี้
ราวกับว่าในกลุ่มแค่มีผู้ติดตามที่ว่างงานทั้งวันเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากวันที่ปรากฎตัวซึ่งไม่ปกติแล้ว การแสดงออกของชุยตงซานหลังจากนั้นก็สมกับคำว่าอยู่เฉยไม่ทำอะไร ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับสุยโย่วเปียน เขาก็ไม่ขยับเข้าไปใกล้ ตอนที่เผยเฉียนฝึกท่ากระบี่บ้าคลั่งก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง ตอนที่จูเหลี่ยนก่อไฟหุงหาอาหารก็ไม่เคยช่วยเหลือ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันต้อยๆ
วันนี้พวกเขามาถึงอำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ด้านในมีศาลบุ๋นศาลบู๊ เพียงแต่ว่าควันธูปของศาลบุ๋นหม่นหมอง ควันธูปของสายบู๊รุ่งโรจน์โชติช่วง เล่าลือกันว่าศาลแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ในการคุ้มครองปกปักษ์และให้โชคให้ลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ควันธูปจะไม่โชติช่วงได้อย่างไร
พอถึงยามค่ำคืน ศาลบู๊ที่ตอนกลางวันคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนก็เงียบสงบขึ้นเยอะมาก ศาลบุ๋นบู๊จะไม่เหมือนกับศาลอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะปิดประตูตอนกลางคืน วันนี้เฉินผิงอันหยุดพักแรมในตัวอำเภอ และพอถึงช่วงกลางคืนก็พาชุยตงซานเดินทางไปที่ศาลบุ๋นบู๊ บอกให้คนทั้งสี่ในภาพวาดอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อดูแลเผยเฉียน
คนทั้งสองไปที่ศาลบุ๋นก่อน ด้านในศาลบูชาขุนนางบุ๋นที่ได้สมญานามว่าเหวินเจิน (คือสมญานามขั้นสูงสุด เหวินหมายถึงสุภาพอ่อนน้อม เจินหมายถึงความซื่อสัตย์จงรักภักดี) ในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวน เคยเป็นขุนนางที่เคยสร้างความผาสุกให้กับผู้คนในท้องถิ่น ศาลบุ๋นน้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนตั้งเทวรูปบูชาคนผู้นี้
การที่มาเยือนศาลบุ๋นในยามค่ำก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนสันเขาห่างไปไกลแล้วมองลงมาที่อำเภอ หากเพ่งตามองจะพอเห็นได้เลือนๆ ว่าในเมืองมีสองสถานที่ที่อากาศเบื้องบนมีก้อนเมฆทะมึน ปราณชั่วร้ายลอยผุดพุ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศของอำเภอ พอเฉินผิงอันค้นพบความผิดปกตินี้ ชุยตงซานก็เลยแย้มพรายความลับของที่แห่งนั้น “ศาลบุ๋นถูกเล่นงาน ถูกผู้ฝึกตนนำมาทำเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่บังคับโคจรให้ขโมยโชคลาภของใครบางคน หากชาวบ้านในเมืองที่เกิดมาก็พอจะมีคุณสมบัติในการฝึกตน ไม่แน่ว่าช่วงนี้หากไปจุดธูปกราบไหว้ก็อาจจะมองเห็นเทวรูปอริยะบุ๋นบู๊หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดได้ในเสี้ยววินาที หรือไม่ตอนกลางคืนที่นอนหลับก็อาจมีเทพสององค์ของที่แห่งนี้มาเข้าฝันบอกเตือน”
เพียงแต่ว่าพอพวกเฉินผิงอันไปเยือนที่ศาลบุ๋น นอกจากปราณอึมครึมที่ค่อนข้างจะเข้มข้นแล้ว ก็ไม่มีลางว่าองค์เทพจะแสดงความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ออกมา เป็นแค่เทวรูปดินเผาไร้ชีวิตที่มีควันธูปบางเบาล้อมเวียนวนเท่านั้นเอง
ตอนที่ออกมา ชุยตงซานยิ้มอธิบายว่า “ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนนอก ไม่เคยจุดธูปในศาลบุ๋นแห่งนี้มาก่อน เดิมทีองค์เทพในพื้นที่องค์นี้ก็มีดวงจิตอ่อนแอดุจตะวันที่ใกล้จะลาลับตกดินอยู่แล้ว ต่อให้อยากจะเผยตัวมาคุยกับพวกเราก็ยังยาก อีกทั้งยังมีความกังขาในตัวพวกเรา ก็ไม่สู้หลบซ่อนตัวรอความตาย ยังไงก็ดีกว่าออกจากร่างทองแล้วถูกพวกผู้ฝึกตนที่มีจิตคิดร้ายจับเอาไว้ ใช้วิธีพันธนาการวิญญาณมากักขัง แบบนั้นไม่เท่ากับพาตัวไปติดร่างแหหรอกหรือ ไม่แน่ว่าจุดจบอาจจะอนาถกว่าร่างทองถูกทำลายเสียอีก”
พอมาถึงศาลบู๊ หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดเกร็ง เห็นเพียงว่าท่ามกลางภาพบรรยากาศที่มองดูคล้ายจะเจริญรุ่งเรืองกลับมีความเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้คนขนลุกขนชันแทรกซอนอยู่ เพิ่มความร้อนแรงให้กับสถานการณ์ย่อมไม่ใช่แผนการในระยะยาว ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตอนที่เฉินผิงอันไปดูเศษซากก้านธูปที่เหลืออยู่ในกระถาง คีบออกมาท่อนหนึ่ง เพียงไม่นานมันก็สลายกลายเป็นผุยผงอยู่บนปลายนิ้ว มีกลิ่นคาวจางๆ ขุมหนึ่งลอยโชยมา
ชุยตงซานเดินข้ามธรณีประตูใหญ่เข้ามานานแล้ว เขาเอามือสองข้างไพล่หลัง จ้องนิ่งมองไปยังร่างทองของเทวรูปที่สูงหนึ่งจั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นการตั้งบูชาในศาลบู๊ของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงไม่มีการปิดทองตกแต่งภายนอกมากนัก ดังนั้นเทวรูปดินเผาเองก็ไม่สูงเท่าไหร่ เวลานี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จมอยู่ในปลักดินโคลนองค์นี้อยู่ในสภาวะหลับสนิท หากไม่ได้กำลังไปเข้าฝันชาวบ้านหรือขุนนางท้องถิ่นก็คงกำลังหาวิธีรับมือกับการแทรกซึมของควันธูปที่ได้มาไม่ถูกวิธีอย่างยากลำบาก
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ชุยตงซานก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์สามารถอาศัยโอกาสนี้มาดูการเผยตัวของโชคชะตาบู๊ในโลกใบนี้”
เพิ่งจะขาดคำของเขา เฉินผิงอันก็ได้ยินเสียง ‘ติ๋ง’ ดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจ
เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าตรงจุดสูงมีน้ำสีทองหยดหนึ่งหยดลงมา สุดท้ายร่วงหล่นใส่กระถางธูปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปจึงเกิดริ้วกระเพื่อมเบาๆ
เพียงแต่เฉินผิงอันตั้งใจรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นน้ำฝนสีทองหล่นลงมาจากฟ้าอีกแล้ว
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “นี่ก็คือโชคชะตาบู๊แห่งแคว้นชิงหลวนของสกุลถังแล้ว หากเป็นราชวงศ์สกุลหลูในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในศาลบู๊แห่งใดก็ล้วนมีภาพที่หยดน้ำหลายหยดร่วงหล่นติดต่อกันมาอย่างรวดเร็วจะแทบจะกลายเป็นเส้นยาว นี่ไม่เกี่ยวข้องกับระดับความสูงต่ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ว่าเชื่อมโยงกับโชคชะตาแคว้นของหนึ่งแคว้นว่าสั้นหรือยาว เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ว่าหนาหรือบาง อีกทั้งผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังได้แค่มองดูดายอยู่ข้างๆ ข้าเองก็แค่พอจะรู้เวทลับยุคบรรพกาลบางอย่าง อีกทั้งยังเรียนรู้วิชาที่เกี่ยวข้องกับควันธูปขององค์เทพมาจากเสินจวินผู้เฒ่าในร้านยามาบ้าง ถึงได้พอจะทำให้มันปรากฏตัวได้ ส่วนพวกแคว้นซูสุ่ย แคว้นไฉ่อีที่อาจารย์เคยเดินทางผ่านนั้น ยังสู้แคว้นชิงหลวนที่มีของเหลวสีทองควันธูปหนึ่งหยดหล่นลงมาภายในเวลาหนึ่งก้านธูปไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าต้องใช้เวลาถึงสองสามก้านธูปกว่าจะรวบรวมได้หนึ่งหยด”
และพอเฉินผิงอันรอจนครบเวลาหนึ่งก้านธูปก็ได้เห็นฝนควันธูปสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของชะตาบู๊หยดลงมาอีกครั้งจริงๆ
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในนครมังกรเฒ่า วิญญาณกระบี่บอกว่าเผยเฉียนคือ ‘ตัวอ่อนชะตาบู๊’ นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินคำเรียกนี้
เมื่อเอามาเชื่อมโยงเข้ากับคำพูดของชุยฉานในคืนนี้จึงเริ่มชัดเจนมากขึ้น คิดดูแล้วน่าจะคล้ายคลึงกับการที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมองปราดเดียวก็มองออกว่าแก่นควันธูปของแต่ละเดือนมีกี่จินกี่ตำลึง ส่วนตระกูลเซียนบนภูเขาก็มีต้นไม้และหญ้าวิเศษที่นำมาใช้ช่วยตรวจสอบโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำว่ามีมากหรือน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ากำลังรอให้ข้าถามเจ้าว่าศาลบู๊ของต้าหลีเป็นอย่างไรใช่ไหม?”
ชุยตงซานกุมหมัดคารวะ ก้มหน้าหัวเราะ “อาจารย์ช่างกระจ่างแจ้งในเรื่องทางโลก ครั้งนี้ออกจากบ้านเดินทางไกลมาได้แค่ไม่กี่ปีก็มีจิตใจเช่นนี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ดั่งเทพในร่างคน”
เฉินผิงอันมองชุยตงซานปราดหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังถามว่า “ราชวงศ์ต้าตวนของแผ่นดินกลางที่มีเทพีสงคราม ภาพบรรยากาศในศาลบู๊ของพวกเขาจะไม่ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าแคว้นบ้านเกิดของอวี๋ลู่หรอกหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทองของธวัลทวีปจะยินดีลงเดิมพันข้างราชวงศ์ต้าตวนได้อย่างไร นอกจากสำนักการค้า สำนักจ้งเหิงของเมธีร้อยสำนักแล้ว อันที่จริงยังมีระบบการศึกษาอีกไม่น้อยที่เลือกราชวงศ์ต้าตวน”
แต่แล้วชุยตงซานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “นอกจากเรื่อง ‘ศาลบู๊ในท้องถิ่น หยดน้ำมองชะตา’ แล้ว อันที่จริงศาลบู๊ดั้งเดิมที่อยู่ในเมืองหลวงของทุกแคว้นยังสามารถมองตรวจสอบได้มากกว่านี้ หรือถึงขั้นมองเห็นการลด การเพิ่มที่เกิดขึ้นเพราะคนบางคนได้อีกด้วย”
ชุยตงซานเดินมานั่งบนธรณีประตูศาลบู๊ เงยหน้ามองไปยังเทวรูปขุนพลบู๊ที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แสงเรืองรองหม่นมัว พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ในอดีตเคยได้ยินว่าราชวงศ์ต้าตวนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชะตาบู๊น่าตะลึงโผล่มา เขาถูกอาจารย์พากลับไปด้วยกัน วันที่เขาเข้าไปอยู่ในถิ่นกำเนิดของราชวงศ์ต้าตวน ภาพบรรยากาศโชคชะตาบู๊ของศาลบู๊แต่ละแห่งที่เดิมทีก็น่าเหลือเชื่ออยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนจากน้ำในลำคลองไปเป็นน้ำตกใหญ่หนึ่งสาย กระถางธูปที่เหมือนกลายมาเป็นอ่างน้ำเกิดสะเก็ดน้ำชะตาบู๊จำนวนนับไม่ถ้วนกระเซ็นขึ้นมาจนก่อให้เกิดเสียงดังครืนครั่น ขอแค่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้อยู่ห่างจากศาลไปไกลก็ยังได้ยินเสียงที่น่าตกตะลึงนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนผู้นั้นชื่อเฉาสือ ข้าเคยพบเขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังได้ต่อสู้กับเขาสามครั้ง แพ้ทุกครั้ง ข้าแพ้อย่างยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ หวังว่าวันหน้าจะไม่ทิ้งระยะห่างจากเขามากนัก และยังมีโอกาสได้สู้กันอีกสามครั้ง”
ชุยตงซานมองเฉินผิงอันที่มีสีหน้าใจกว้าง ยิ้มจริงใจก็ยกนิ้วโป้งให้พลางพูดชมจากใจจริง “อาจารย์ร้ายกาจ ปณิธานสูงส่งยาวไกล…”
คำพูดยกยอประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่ประจบเอาใจที่สุด หากมีคนนอกอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่นสี่คนในภาพวาด ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกว่าชุยตงซานเหมือนจะพูดดี แต่แท้จริงแล้วกลับจงใจแขวะเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันกลับรู้ดีว่านี่น่าจะเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดของชุยตงซานแล้ว
เพียงแต่ว่าชุยตงซานกลับถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “อาจารย์อยู่ในยุคสมัยเดียวกับคนผู้นี้ เสียเปรียบยิ่งนัก”
เฉินผิงอันเดินมาตรงหน้าประตู ชุยตงซานลุกขึ้นยืน คนทั้งสองก้าวออกจากธรณีประตูไปด้วยกัน เฉินผิงอันพลันพูดขึ้นว่า “เป็นราชครูชุยฉานที่ตรวจสอบพบการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาบู๊ในศาลบู๊ดั้งเดิมของต้าหลี ดังนั้นจึงส่งเจ้ามาช่วยพูด เพราะกลัวว่าข้าจะพาเว่ยเซี่ยนสี่คนเปลี่ยนสัญชาติไปอยู่แคว้นอื่น ยกตัวอย่างเช่นต้าสุย?”
คราวนี้ชุยตงซานไม่ได้ประจบสอพลอ เพียงแค่อืมรับหนึ่งที “ทางฝั่งของเสินจวินผู้เฒ่าได้รับข่าว รู้ว่าท่านเริ่มฝึกตนแล้ว จำเป็นต้องหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ใต้เท้าราชครูผู้เฒ่าของพวกเราท่านนั้นจึงเสนอการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ขอแค่อาจารย์บอกให้เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสี่คนย้ายเข้าสัญชาติต้าหลี วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินของห้าธาตุ ราชวงศ์ต้าหลีสามารถบอกให้อาจารย์รู้ถึงที่ตั้งห้าขุนเขาในท้ายที่สุดของแจกันสมบัติทวีป และตอนนี้สามารถสั่งจองดินห้าสีให้กับอาจารย์ได้ล่วงหน้า ดินที่มาจากรากภูเขาของห้าขุนเขา ทุกขุนเขาสามารถเอาออกมาให้ได้สิบจิน มากพอให้อาจารย์หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสองครั้งแล้ว”
ไม่รอให้เฉินผิงอันปฏิเสธหรือตอบรับ ชุยตงซานก็อธิบายต่อทันทีว่า “วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองที่อาจารย์จะหลอมถือเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ไม่ต้องเป็นกังวล ดินห้าขุนเขา ตอนนี้นอกจากภูเขาพีอวิ๋นที่เว่ยป้อนั่งบัญชาการณ์ซึ่งชอบด้วยเหตุผลแล้ว ขุนเขาใต้ของฟ่านจวิ้นเม่ายังเป็นแค่ต้นกล้า ส่วนภูเขากลาง ตะวันออกและตะวันตกอีกสามแห่ง แม้ว่าสกุลซ่งต้าหลีจะมีความตั้งใจมานานแล้ว แต่ในช่วงสิบยี่สิบปีนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะแต่งตั้งได้อย่างราบรื่น เรื่องพวกนี้อาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะนี่จะกลับกลายเป็นเรื่องดี ระดับความยากในการหลอมตอนนี้จะน้อยลง อีกอย่างอาจารย์เพิ่งจะฝึกตน ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุแห่งขชะตาชีวิตที่ระดับขั้นสูงเกินไปนัก รอจนขุนเขาทั้งห้าได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีและสถานศึกษาบางแห่งของลัทธิขงจื๊อในแผ่นดินกลาง เชื่อมโยงโชคชะตาของหนึ่งทวีปไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ถึงเวลานั้นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของอาจารย์ก็จะระดับขั้นสูงตามไปด้วย”
คนทั้งสองเดินออกจากศาลบู๊ เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนถนนใหญ่ท่ามกลางม่านราตรีเอ่ยถาม “นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ราชครูชุยฉานจะทำกับข้า เจ้าชุยตงซานคิดว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานหยุดเดิน “อาจารย์เชื่อใจข้าหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เชื่อ แต่ต่อให้เป็นคำลวง ข้าก็ยังอยากลองฟังอยู่ดี”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ลองฟังคำลวงของข้าดู ในสายตาของศิษย์ชุยตงซาน การที่สี่คนนั้นมีสัญชาติต้าหลี สำหรับอาจารย์แล้วคือเรื่องดีที่มีแต่ผลประโยชน์ ไม่สู้ลองเอาใครสักคนหนึ่งมาตั้งราคากับสกุลซ่งต้าหลีดู เอาดินห้าสีสิบจินของแต่ละพื้นที่มาให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าตัวอาจารย์เองจะเปลี่ยนสัญชาติจากต้าหลีไปเป็นต้าสุย หรือเป็นสัญชาติอื่นอะไรก็ตามแต่ รอจนวันที่ห้าขุนเขาของต้าหลีได้รับตำแหน่งที่ถูกต้องชอบธรรมอยู่ในแจกันสมบัติทวีป อาจารย์ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ส่วนระหว่างนี้จะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินหรือไม่ก็ล้วนไม่ส่งผลต่อผลประโยชน์ที่อาจารย์ได้รับมาก่อนหน้า อย่างน้อยมีอยู่ในกระเป๋าก็สบายใจอย่างไรล่ะ”
เฉินผิงอันเงียบงัน สาวเท้าเดินหน้าต่อไป
หลังจากเดินไปได้หลายก้าวก็พบว่าชุยตงซานยังยืนอยู่ที่เดิม เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “คืนนี้ศิษย์จะไปจัดการกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในศาลบุ๋นบู๊สักหน่อย หากเป็นฝีมือของพวกผู้ฝึกตนมารนอกรีต ศิษย์ก็จะผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ ช่วงชิงผลบุญเล็กๆ ในปรโลกมาให้อาจารย์ หากเป็นเพราะการอบรมสั่งสอนของท้องถิ่นไม่ดีพอ เป็นชาวบ้านในพื้นที่ที่ก่อกรรมทำชั่วเอง ก็หวังว่าอาจารย์จะปล่อยให้ศิษย์นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ปล่อยควันธูปของที่นี่ไปตามยถากรรม”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินจากไป คิดจะกลับโรงเตี๊ยม
ชุยตงซานพลันตะโกนเรียก “อาจารย์!”
เฉินผิงอันหันกลับมา “มีอะไร?”
ชุยตงซานพูดอย่างขุ่นเคือง “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสี่คนที่ราวกับมดสี่ตัวนั้น ในฐานะผู้ติดตามของอาจารย์กลับทำตัวไม่เคารพท่านเช่นนี้ หลายวันมานี้ศิษย์ปฏิบัติตามบทบาทของอาจารย์และศิษย์ ได้แต่มองอยู่ข้างๆ ไม่อาจพูดอะไร เห็นแล้วก็ให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจยิ่งนัก นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ขออาจารย์โปรดอนุญาตให้ศิษย์สั่งสอนพวกเขาว่าเป็นคนควรทำเช่นไร!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดจะสั่งสอนอย่างไร?”
ชุยตงซานยืนอยู่ใต้บันไดของประตูใหญ่ศาลบู๊ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวและผึ่งผาย “แน่นอนว่าต้องปฏิบัติตามความรู้ของอาจารย์ ใช้เหตุผลสยบคน ใช้คุณธรรมสยบคน”
เฉินผิงอันไม่สนใจชุยตงซานอีก เขาเดินตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยม ระหว่างทางกลับก็ใคร่ครวญไปด้วยว่าชุยตงซานมาที่นี่เพราะเหตุใดกันแน่ แล้วเพราะอะไรถึงออกมาจากสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยกะทันหัน
เรื่องคราบร่างเซียนเหรินที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนอยากครอบครองของตู้เม่า เรื่องสัญชาติที่ราชครูผู้เฒ่าชุยฉานเป็นคนเสนอ รวมไปถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีคลื่นอยู่ใต้น้ำของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันมีความรู้สึกว่านี่ล้วนเป็นเป้าหมายในการเดินทางมาของชุยตงซาน แต่กลับไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญที่สุด
ห่างออกไปไกลทางด้านหลัง ชุยตงซานหมุนตัวกลับเดินขึ้นบันได อ้าปากหาว ย้อนกลับเข้าไปในศาลบู๊อีกครั้ง