บทที่ 384 การประชันเมฆหลากสี
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันเพิ่งจะฝึกท่าฟ้าดินเสร็จ เผยเฉียนที่ยังงัวเงียไม่หายก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก จึงเดินไปเปิดประตู เฉินผิงอันเห็นเด็กหญิงผิวดำราวกับถ่านมีสีหน้าอ่อนเพลีย ดูท่าแล้วคำเตือนด้วยความหวังดีของชุยตงซานเมื่อคืนคงทำให้เผยเฉียนตกใจไม่น้อย เฉินผิงอันจึงบอกให้นางมานอนต่อในห้องของตัวเอง เผยเฉียนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษครั้งใหญ่ หัวถึงหมอนก็นอนหลับไปทันที เฉินผิงอันช่วยห่มผ้าให้เผยเฉียนแล้วก็มานั่งอยู่ข้างโต๊ะพลิกอ่านตำราหลอมโอสถที่เซียนดินลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวมอบให้ แม้ว่าจะอธิบายในเรื่องของการหลอมยา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นวิชาลับเฉพาะของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด จึงได้รวบรวมประสบการณ์ที่อัศจรรย์บนมหามรรคาเอาไว้ด้วย ทุกครั้งที่เฉินผิงอันสงบใจศึกษาล้วนได้รับผลประโยชน์ คู่ควรกับสี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อาหารสองสามมื้อในหนึ่งวันต้องให้แขกที่เข้าพักออกจากโรงเตี๊ยมไปหากินกันเอาเอง นับตั้งแต่เถ้าแก่จนถึงลูกจ้างล้วนเจ้าอารมณ์กันทั้งสิ้น ตอนที่กลุ่มของเฉินผิงอันมาเข้าพักก็เห็นว่าคนของโรงเตี๊ยมกำลังด่าอยู่กับขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน แต่กลุ่มของเฉินผิงอันมีชุยตงซาน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสามคนช่วยสยบปัญหา ทางโรงเตี๊ยมที่รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์จึงกระตือรือร้นกับพวกเขาค่อนข้างมาก เป็นฝ่ายแนะนำอาหารรสเลิศขึ้นชื่อของท้องถิ่นให้ด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนที่นอนหลับจนเต็มอิ่มออกไปข้างนอกด้วยกัน กินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็ยังซื้อกลับมาอีกส่วนหนึ่ง เขาไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม นอกจากสั่งให้เผยเฉียนเอาของกินไปมอบให้พวกชุยตงซานแล้ว ยังสั่งให้นางบอกพวกเขาว่าต้องการให้พวกเขาอยู่ในอำเภอแห่งนี้สองวัน ส่วนตัวเขาจะออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเพียงลำพัง เผยเฉียนย่อมยินดีที่จะได้หยุดพักเท้าสองวัน ในเมื่อไม่ต้องรีบเร่งเดินทางก็หมายความว่าไม่ต้องฝึกเดินนิ่งหกก้าวที่น่าเบื่อหน่าย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ตอนที่เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในอำเภอ ชุยตงซานและคนทั้งสี่ในภาพวาดต่างก็รับเอาอาหารเช้าที่เผยเฉียนนำกลับมาไปกิน ชุยตงซานทำสีหน้าซาบซึ้งใจ บอกว่าอาจารย์กำลังช่วยตรวจสอบช่องโหว่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดตกบกพร่องของศิษย์ ทำไปด้วยใจล้วนๆ อาจารย์ที่คิดเพื่อลูกศิษย์เช่นนี้จะไปหาจากที่ไหนได้อีก เผยเฉียนไม่กล้าเถียง ได้แต่นินทาอยู่ในใจว่าตรวจสอบช่องโหว่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดตกบกพร่องอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่วางใจในการจัดการเรื่องราวของเจ้า
กินอาหารเช้าแล้ว ชุยตงซานก็อารมณ์ดีอย่างมาก เขาหันมายิ้มพูดกับเผยเฉียนว่า “เล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกเป็นหรือไม่? พวกเรามาวางเดิมพันกันเล็กๆ แพ้ชนะหนึ่งตาก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เป็นอย่างไร?”
เผยเฉียนเคยเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกมาก่อน นี่คือการละเล่นเล็กๆ ที่หลูป๋ายเซี่ยงสอนนาง กฎนั้นง่ายมาก เผยเฉียนมักจะลากเว่ยเซี่ยนมายืมกระดานหมากของหลูป๋ายเซี่ยงแล้วเข่นฆ่ากันอยู่บนกระดานจนมืดฟ้ามัวดิน คนทั้งสองตอบโต้กันไปมา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบน่าเบื่อระหว่างที่หลูป๋ายเซี่ยงประลองฝีมือกับสุยโย่วเปียนแล้ว เผยเฉียนกับเว่ยเซี่ยนจะเล่นกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน เวลาวางเม็ดหมากเสียงดังลั่นโป๊ะป๊ะ พลังอำนาจเปี่ยมล้นจนกระดานหมากเกือบจะทะลุเป็นรู ทำเอาหลูป๋ายเซี่ยงที่มองดูอยู่เสียใจภายหลังอย่างถึงที่สุด
เวลาประลองกับเว่ยเซี่ยนที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมห่วยแตก เผยเฉียนจะชนะมากกว่าแพ้ หากได้เปรียบเมื่อไหร่ก็จะชอบคะนองหลงลืมตน แต่หากเสียเปรียบก็จะล้มกระดาน โชคดีที่เว่ยเซี่ยนไม่ค่อยถือสากับผลแพ้ชนะและสภาพบนกระดานหมากเท่าไหร่นัก
คราวนี้ได้ยินชุยตงซานบอกว่าจะเดิมพัน เผยเฉียนก็ส่ายหน้าอย่างแรง นางไม่ได้โง่สักหน่อย ต่อให้ชุยตงซานจะบอกว่าต้องการเรียนวิธีเล่นหมากล้อมจากหลูป๋ายเซี่ยง แต่หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่เป็นดั่งประตูข้างบานเล็กไม่มีธรณีประตูให้พูดถึงนี้ เผยเฉียนกลับไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเงินเดิมพันมาได้ ถึงอย่างไรคนโง่ที่เป็นดั่งตอไม้อย่างเหล่าเว่ย บนโลกนี้ก็มีน้อย
ชุยตงซานหัวเราะเฮอๆ “พวกเราสองคนเล่นหมากล้อมกัน เจ้าและข้าสองคนคือลูกศิษย์ของอาจารย์ แน่นอนว่าจะทำลายความสามัคคีไม่ได้ ใครแพ้คนนั้นได้เงินไป!”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย แพ้หนึ่งกระดานยังได้เงินหนึ่งอีแปะ ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?
ดังนั้นหลูป๋ายเซี่ยงจึงเอาอุปกรณ์ในการเล่นหมากล้อมทั้งหมดมาที่ห้องเผยเฉียน จากนั้นชุยตงซานกับเผยเฉียนลูกศิษย์ร่วมสำนักที่ยังไม่แบ่งแยกลำดับศักดิ์คู่นี้จึงเริ่มเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่ย่ำยีกระดานหมากมากที่สุด
สี่คนในภาพวาดมายืนชมอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกที่เฉียบไว
เผยเฉียนวางเม็ดหมากมั่วๆ ระหว่างหมากสองเม็ดที่วางไล่หลังกันอยู่ห่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ชุยตงซานเองก็วางเม็ดหมากอย่างไร้ระเบียบเช่นกัน บางครั้งยังตามติดอยู่หลังก้นเม็ดหมากของเผยเฉียน บางครั้งก็วางในมุมตะวันออก ใต้ตะวันตก และเหนือมุมละเม็ด ซึ่งเป็นรูปแบบของการเล่นหมากล้อมในระดับเริ่มต้นอย่างตื้นเขิน มองดูเหมือนว่าเผยเฉียนน่าจะแพ้มากกว่า เพียงแต่ว่าเมื่อพื้นที่บนกระดานหมากแคบลงเรื่อยๆ เผยเฉียนทั้งค้นพบด้วยความเสียดายและตกตะลึงว่า หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่ยิ่งเล่นยิ่งง่ายนี้ รอจนกระดานหมากเต็มไปด้วยเม็ดหมากสีขาวดำสลับกันดุจเขี้ยวสุนัขแล้ว เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่านางจะวางเม็ดหมากอย่างไรก็ล้วนเป็นภาพหมากห้าเม็ดเรียงเป็นเส้นไข่มุกที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
แล้วก็ต้องเสียเงินหนึ่งอีแปะไปอย่างน่าน้อยใจและไม่เอาไหนเช่นนี้ เผยเฉียนเสียใจจนไส้เขียว แทบอยากจะกินกระดานหมากเข้าไปในท้อง ล้มกระดานมันเสียเลย เพียงแต่พอชำเลืองตามองชุยตงซานที่นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตงอยู่ฝั่งตรงข้าม นางกลับไม่กล้าเล่นแง่
ชุยตงซานเหล่ตามองกระดานหมากตรงหน้า กล่าวอย่างเสียดายว่า “แพ้หนึ่งตา แพ้หนึ่งตา ดูท่าโชคในการเสี่ยงดวงของข้าจะดีกว่าเจ้าเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกสักตาดีไหม? หากรังเกียจที่กระดานหมากอันเดียวไม่สามารถแสดงฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเจ้าเผยเฉียนออกมาได้อย่างหมดสิ้น พวกเราสามารถเพิ่มกระดานหมากให้เป็นหนึ่งสองสามอัน แต่ทุกกระดานที่เพิ่มขึ้นมา เดิมพันก็จะต้องเพิ่มเป็นเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญด้วย ส่วนข้า ขอแค่เอาชนะได้ก็จะรีบควักถุงเงินคืนเงินให้เจ้าทันที เจ้าเผยเฉียนสามารถเพิ่มกระดานหมากได้ตามใจชอบ จนกว่าจะแพ้แล้วได้เงินไป แบบนี้ถือว่าพอจะยุติธรรมอยู่บ้างกระมัง?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างลังเล “แต่บนโต๊ะวางกระดานหมากสองอันไม่ได้นี่นา”
ชุยตงซานชี้ไปบนพื้น “พวกเราเล่นบนพื้น จะกลัวอะไร กระดานหมากมีมากมาย จะเล่นยาวไปจนถึงระเบียงนอกห้องเลยก็ยังได้ ถูกไหม? ถึงอย่างไรยิ่งกระดานหมากมากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งได้เงินมากเท่านั้น ข้ารู้ว่าเจ้าความจำดี ของข้าก็พอถูไถ พวกเราให้หลูป๋ายเซี่ยงหรือไม่ก็สุยโย่วเปียนไปยืมถ่านไม้สองก้อนมาจากโรงเตี๊ยม ถึงเวลานั้นข้าจะใช้ถ่านวาดเป็นกระดานหมากล้อม พวกเราก็ไม่ต้องใช้เม็ดหมากแล้ว หากใครจำผิดก็ถือว่าแพ้”
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเหล่าเว่ย เว่ยเซี่ยนคงจะรู้สึกว่าวิธีการเล่นที่หวังให้ตัวเองแพ้เช่นนี้เหมือนคนน้ำเข้าสมองเกินไปจึงเดินจากไปทันที จูเหลี่ยนก็ยิ่งกลอกตามองบนเดินออกไปนอกห้อง
กลับเป็นอดีตยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อมระดับแคว้นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ยังอยู่ต่อ แล้วหลูป๋ายเซี่ยงก็ไปยืมถ่านไม้กลับมาจริงๆ สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าเฉยเมยอยู่ด้านข้าง ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็อยู่ต่อในห้องอย่างคนมีความอดทนอยู่แล้ว จึงคอยดูหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่มีอาจารย์คนเดียวกันนั่งเล่นเหลวไหลกันอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันและสี่คนในภาพวาดต่างก็รู้มานานแล้วว่าความทรงจำของเผยเฉียนนั้นดีเยี่ยมจนเรียกได้ว่าโดดเด่น พรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันหรือหลูป๋ายเซี่ยงที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดเยี่ยม ทบทวนกระดานหมากแต่ละครั้งที่เล่นจนเกิดความเคยชินก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้
หลังจากใช้กระดานหมากสองกระดานจนหมด เผยเฉียนและชุยตงซานนอกจากจะแข่งกันเรื่องความน่าไม่อายแล้ว ยังแข่งกันเรื่องความทรงจำด้วย
บนพื้นวาดกระดานหมากอีกสองกระดานด้วยถ่านไม้แล้ว หากเผยเฉียนไม่เพิ่มอีกกระดานก็ยังจะชนะอยู่ดี ดังนั้นจึงจำต้องบอกให้ชุยตงซานวาดเพิ่มไปอีกกระดาน
หลูป๋ายเซี่ยงเดินออกมานอกห้องเงียบๆ สุยโย่วเปียนเดินตามติดมาด้านหลัง
กลางระเบียง สุยโย่วเปียนเอ่ยถาม “มองความตื้นลึกหนาบางออกหรือไม่?”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกง่ายเกินไป ต่อให้วาดอีกสิบกระดาน เผยเฉียนก็ยังคงไม่สามารถหยั่งเชิงจนรู้ว่าคนผู้นี้มีฝีมือการเล่นหมากล้อมแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยได้อยู่ดี”
สุยโย่วเปียนถาม “หากเจ้าไม่เก็บงำอำพราง แต่เลือกจะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ พวกเราห่างชั้นกันมากแค่ไหน?”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “บอกตามตรง เจ้าน่าจะไม่สามารถทำให้ข้าใช้หมากเด็ดได้ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า tesuji คือหมากที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งอย่างยอดเยี่ยม)
คำว่าหมากเด็ดก็คือวิธีการอันยอดเยี่ยมบนกระดานหมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อคู่ต่อสู้บนกระดานหมากมีฝีมือสูสีกัน การเข่นฆ่าดำเนินไปอย่างดุเดือด จัดการหมากเดี่ยว (คือคำศัพท์ในการเล่นหมากล้อม เวลาเล่นหมากล้อม บางครั้งเพื่อทำลายข้อได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม จึงต้องทำลายความสมดุลของสถานการณ์บนกระดาน เพื่อให้สถานการณ์ส่งผลดีต่อตัวเอง จึงจำต้องเข้าไปต่อสู้ในอาณาเขตของฝ่ายตรงข้าม แล้วถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หมากที่ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจะเรียกว่า ‘หมากเดี่ยว’ ‘จัดการหมากเดี่ยว’ ก็คือการใช้ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของคู่ต่อสู้มาจัดการหมากเดี่ยวของตนให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพสูง) สังหารมังกรใหญ่ล้วนง่ายที่จะปรากฎวิธีเทพเซียนเช่นนี้
ความหมายของหลูป๋ายเซี่ยงก็คือ เขาแค่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอน ‘ปูหมาก’ เหมือนช่างวางอิฐวางกระเบื้อง สี่ด้านแปดทิศราบเรียบมั่นคงก็สามารถเอาชนะสุ่ยโย่วเปียนได้แล้ว
สุยโย่วเปียนไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพราะถูกดูหมิ่นอะไร ฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ ความจริงล้วนวางให้เห็นอยู่ตรงหน้า ตลอดทางที่ผ่านมานี้นางมักจะเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงเป็นประจำ หากสุยโย่วเปียนไม่ผลักกระดานหมากล้อมออกก็โยนเม็ดหมากทิ้ง นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นในโลกแทบไม่เคยมีใครพูดคำว่า ‘ข้าแพ้แล้ว’ ออกมา ทว่าการผลักกระดานและการโยนเม็ดหมากทิ้งก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้แบบไร้เสียง แม้สุยโย่วเปียนจะให้ความสำคัญกับเรื่องแพ้ชนะมาก แต่ในเรื่องการเล่นหมากล้อมนี้ เดิมทีก็ถูกนางมองเป็นการละเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น แพ้หรือชนะไม่อาจส่งผลกระทบต่อวิถีกระบี่ที่ห่างชั้นไกลจากฝีมือเล่นหมากล้อมของนางได้ ดังนั้นสุยโย่วเปียนจึงยอมรับความพ่ายแพ้ในเรื่องนี้ได้
อีกทั้งหากดูตาม ‘วงการหมากล้อมในรุ่นหลัง’ ที่จูเหลี่ยนพูดถึงเป็นบางครั้ง ฉีไต้จ้าวและมือเล่นระดับแคว้นของแต่ละแคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัวล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสในฝีมือการเล่นหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมารอย่างถึงที่สุด หากเลือกจากคนที่แข็งแกร่งที่สุด ยอดฝีมือหมากล้อมของแต่ละสำนักแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยอาจจะยังมีแบ่งแยกไปอีก แต่หากเลือกมาจากสามอันดับแรกของประวัติศาสตร์พื้นที่มงคลดอกบัว ต้องมีหลูป๋ายเซี่ยงเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน นี่ก็มากพอจะแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงอันสูงส่งในวงการหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงแล้ว
อีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งคือหวังจี้หยวนที่ถูกขนานนามให้เป็นอริยะแห่งหมากล้อมพันปี อีกท่านหนึ่งคือ ‘หวงฮ่าว’ ที่ได้รับการพิสูจน์ในภายหลังว่าเป็นเจ๋อเซียน หรือก็คือบรรพจารย์อวี๋เจินอี้ บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักหูซานแคว้นชิงไล่ แล้วก็เป็นคนผู้นี้ที่อาศัยชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสำนักและฝีมือการเล่นหมากล้อมที่ตนเองคิดว่าไร้เทียมมายกเลิกระบบจั้วจื่อ (ระบบกติการในการเล่นหมากล้อมแบบเก่า) ของวงการหมากล้อม เป็นเหตุให้วงการหมากล้อมของพื้นที่มงคลดอกบัวเกิดเส้นแบ่ง นับแต่นั้นมาจึงมีการแบ่งเป็นฝ่ายหมากล้อมยุคเก่ากับฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่ หวังจี้หยวนอายุน้อยกว่าหวงฮ่าวหกสิบปี ตอนที่หวงฮ่าวอายุเจ็ดสิบปีก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเหตุให้คนทั้งสองไม่เคยมีโอกาสประมือกันมาก่อน เกี่ยวกับฝีมือการเล่นหมากล้อมที่ใครสูงใครต่ำของคนทั้งสามในยุคสมัยที่แตกต่างกันนี้ เหล่าปรมาจารย์ในวงการหมากล้อมรุ่นหลังโต้เถียงกันอย่างไม่อาจถอนตัวได้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลูป๋ายเซี่ยงก็คือสุดยอดแห่งฝ่ายหมากล้อมยุคเก่า ส่วนหวังจี้หยวนก็คือจุดสูงสุดของฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่ และยิ่งเป็นยอดฝีมือในการเล่นรูปแบบมีดบิน ดังนั้นจึงมีคนเชื่อมั่นว่าหากหวังจี้หยวนมีโอกาสได้ประชันฝีมือกับหลูป๋ายเซี่ยง แม้จะยอมให้วางหมากก่อนสองเม็ด ถึงกระนั้นหลูป๋ายเซี่ยงก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งในตำแหน่งทัดเทียมกับหวังจี้หยวนอริยะแห่งหมากล้อมพันปีได้แน่นอน แต่ยอดฝีมือวงการหมากล้อมที่ศึกษาการเล่นหมากล้อมในสมัยโบราณกลับป่าวประกาศว่า ให้หลูป๋ายเซี่ยงได้ทำความเข้าใจกับฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่สักสองสามเดือนจนคุ้นชินเสียก่อน แล้วค่อยไปประชันกับหวังจี้หยวนอีกที หนีไม่พ้นจะมีลูกศิษย์เป็นอริยะหมากล้อมที่โขกหัวกราบไหว้หลูป๋ายเซี่ยงเป็นอาจารย์อีกคนก็เท่านั้น สรุปก็คือผู้คนมีความเห็นแตกต่างกันออกไป เนื่องจากภายหลังไม่มีผู้เล่นระดับแคว้นที่ฝีมือทัดเทียมกับคนทั้งสามปรากฎขึ้นอีก ยิ่งไม่มีคำวิจารณ์อย่างเป็นกลางที่ผู้คนให้การยอมรับ ดังนั้นเกี่ยวกับฝีมือสูงต่ำของคนทั้งสามจึงถูกกำหนดมาให้กลายเป็นคดีค้างเติ่งที่หาข้อสรุปไม่ได้
สุยโย่วเปียนพลันเอ่ยว่า “อย่าแพ้ให้คนผู้นั้น”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ “ตั้งตารอดูกันไปเถอะ”
ส่วนในห้องเผยเฉียน ชุยตงซานนั่งยองแทะเมล็ดแตง เผยเฉียนหน้านิ่วคิ้วขมวด น้ำตาคลอเจียนหยด
นางใกล้จะต้องเสียเงินหกเหรียญทองแดงแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยปลอบใจ “ถ่านไม้ยังมีมากพอ แพ้ชนะยังไม่ตัดสิน วาดอีกกระดานหนึ่งก็แล้วกัน เดิมพันมากได้เงินมาก”
เผยเฉียนยกหลังมือเช็ดดวงตา ควักถุงหอมที่น้ากุ้ยมอบให้แต่นางเอามาทำเป็นถุงเงินออกมาจากชายแขนเสื้อ หยิบเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญออกมาจากด้านใน นี่คือเงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของนาง นางกำเหรียญทองแดงไว้แน่น ลุกขึ้นยืนอย่างลังเลใจ วางพวกมันลงบนโต๊ะเบาๆ มองเจ้าคนแซ่ชุยด้วยท่าทางน่าสงสาร หวังว่าเขาจะเดินจากไปด้วยท่วงท่าของเทพเซียน คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะยิ้มแต้เดินมาหยุดข้างโต๊ะ ยื่นมือมาปาดหนึ่งครั้ง เหรียญทองแดงก็ไม่เหลือแม้เงา จากนั้นชุยตงซานถึงได้เดินไปทางประตูห้อง ยังไม่ลืมหันหน้ามายิ้มเตือน “จำไว้ว่าเอาอุปกรณ์การเล่นไปคืนหลูป๋ายเซี่ยงด้วย แล้วก็ยังต้องเช็ดร่องรอยบนพื้นให้สะอาด ไม่อย่างนั้นหากเฉินผิงอันรู้ว่าพวกเราเล่นพนันต้องด่าข้าไม่เหลือชิ้นดีแน่ จากนั้นก็จะต้องสั่งให้เจ้าคัดตัวอักษรจนแขนหัก ส่วนเรื่องเงินนี่ กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ เฉินผิงอันไม่มีทางช่วยทวงคืนกลับไปให้เจ้าแน่”
ชุยตงซานใช้สองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินอาดๆ จากไป “วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ ได้เงินมาแล้วออกไปซื้อถังหูลู่กินดีกว่า”
เผยเฉียนยืนอยู่ข้างโต๊ะ หลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสาร
ชุยตงซานพลันถอยกรูดกลับมา เอนตัวมาด้านหลัง ยื่นมาแต่ศีรษะ พูดด้วยรอยยิ้ม “เผยเฉียน ข้าอยากจะเรียนรู้วิธีเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงใช่ไหมล่ะ ก็เลยกะว่าจะหานิมิตหมายอันดีให้ตัวเองสักหน่อย หลังจากนี้ทุกครั้งที่เจ้าเรียกข้าว่าเซียนหมากล้อม ข้าก็จะให้เงินเจ้าหนึ่งอีแปะ”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย วิ่งปรู๊ดออกไปนอกธรณีประตู เดินตุปัดตุเป๋ตามก้นชุยตงซานต้อยๆ ปากก็ตะโกนเรียกว่าเซียนหมากล้อมอย่างอุตสาหะ
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นอกจากจะต้องเอาอุปกรณ์การเล่นหมากล้อมไปคืนหลูป๋ายเซี่ยง ก็ยังต้องตะโกนเรียกว่าเซียนหมากล้อมครั้งแล้วครั้งเล่า เผยเฉียนจึงคอแหบคอแห้งไปหมด พอคนทั้งสองกลับมาถึงห้องของนาง เผยเฉียนก็ส่งเสียงอ้อแอ้ เพราะนางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มกว้างพลางยื่นมือออกมา เห็นว่าชุยตงซานไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นางจึงรีบเขียนตัวเลขลงบนโต๊ะ
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “ล้อเจ้าเล่นน่ะ เจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนใจสลาย แถมยังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กางเล็บแสยะเขี้ยว
ชุยตงซานหรี่ตาลง ยื่นมือมาจิ้มดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียน “หากยังพูดมากอีก เจ้าจะไม่เพียงแต่กลายเป็นคนใบ้น้อย ยังจะกลายเป็นคนตาบอดด้วย ต่อให้เฉินผิงอันจะโมโหแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นฆ่าลูกศิษย์อย่างข้าตายหรอกกระมัง แต่เจ้าช่างน่าเวทนานัก กลายเป็นคนตาบอด ชีวิตนี้ยังจะมีความหวังอะไรอีก ว่าไหมล่ะ?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืนแล้วแสร้งทำเป็นคนตาบอดที่ยื่นมือออกมาคลำสะเปะสะปะไปทั่ว
เผยเฉียนหน้าดำ เม้มปากแน่น แต่กลับไม่กล้ายกไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาฟาดเจ้าคนสารเลวผู้นี้ นางยิ่งคิดยิ่งสิ้นหวัง สีหน้าจึงแข็งทื่อ นั่งแปะลงบนขอบเตียง หมดอาลัยตายอยาก น้ำตาพรั่งพรูดั่งสายฝน
ชุยตงซานพลันหยิบวัตถุลักษณะคล้ายก้อนเงินก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อโยนให้เผยเฉียนเบาๆ “เห็นว่าเจ้ารู้กาลเทศะ จะให้เจ้ายืมเล่นสองสามวัน หากข้าเรียนหมากล้อมได้ราบรื่น ไม่แน่ว่าอารมณ์ดีก็จะยกมันให้เจ้า แต่ตอนที่ข้าเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยง จำไว้ว่าต้องเอามาคืนให้ข้าก่อน”
เผยเฉียนใช้สองมือประคองก้อนเงินหนักอึ้ง พลันคลี่ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา
ชุยตงซานจากไปอีกครั้ง
เผยเฉียนวางก้อนเงินก้อนนั้นไว้บนโต๊ะ มองซ้ายมองขวา มองแนวตั้งมองแนวนอน มองกี่รอบก็ไม่เบื่อ ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าจะหาวิธีเอาก้อนเงินนี้มาเป็นของตัวเองได้อย่างไร นางพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่า ‘ก้อนเงิน’ เริ่มกระดุกกระดิกได้เอง จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นตั๊กแตกสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่กระโดดไปทางหน้าต่าง แผล็บเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา รอจนเผยเฉียนคืนสติก็รีบปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงไปแล้วเริ่มตามหา ‘ก้อนเงิน’ อยู่ในเรือนด้านหลังอย่างยากลำบาก หาตามพุ่มไม้ มุมกำแพง ร่องหินอยู่นานถึงครึ่งชั่วยาม สุดท้ายยังเริ่มใช้มือขุดพื้นดิน แต่ก็ยังไม่อาจดึงตัวก้อนเงินที่จำแลงร่างกลายเป็น ‘แมลง’ ก้อนนั้นมาได้ เผยเฉียนที่หมดเรี่ยวหมดแรงได้แต่นั่งเหม่ออยู่ท่ามกลางกองดิน คราวนี้แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังไม่เหลือแรงแล้ว
รอจนเฉินผิงอันที่ไปเยือนแถวศาลบุ๋นย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยมก็เห็นแผ่นหลังผอมบางที่หม่นหมองเศร้าซึมของเผยเฉียน มือทั้งสองข้างของนางยังกำชายแขนเสื้อไว้แน่น
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินไปหาชุยตงซานโดยตรง เพียงไม่นานก็มายืนตรงหน้าต่าง ตะโกนพูดกับเผยเฉียน “เงินเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญ เจ้ามีความสามารถก็คว้าชัยชนะเอากลับคืนมาให้ได้ ชนะไม่ได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เงินก้อนที่ชื่อว่า ‘แมลงเงิน’ ก้อนนี้ของชุยตงซาน เจ้าสามารถเอาไปเล่นได้ เขาต้องการจะเอากลับคืนไปเมื่อไหร่ เจ้าก็แค่คืนให้เขาไป”
แม้ว่าเผยเฉียนจะยังเสียใจอยู่มาก แต่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว ปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงบนพื้น ประคองสองมือไปรับ ‘แมลงเงิน’ ที่กลับคืนสภาพมาเป็นก้อนเงินอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียนลากนางไปที่ข้างโต๊ะ “เอาใหญ่แล้วนะ รู้จักพนันขันต่อกับคนอื่นแล้วรึ?”
เผยเฉียนนั่งลงข้างโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ สองมือกำแมลงเงินเอาไว้แน่น
เฉินผิงอันถาม “ชอบพนันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอากล่องเก็บสมบัติในหีบไม้ไผ่ออกมาให้เจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็มีทรัพย์สินมากมายอยู่แล้วนี่นา เจ้าสามารถเดิมพันกับชุยตงซานได้อีกหลายครั้ง จะให้ข้าไปเอามาให้เจ้า หรือเจ้าจะไปเอามาเอง?”
เผยเฉียนสีหน้าลนลาน ส่ายหน้าอย่างแรง
เฉินผิงอันตบโต๊ะ “ไปเอากล่องเก็บสมบัติมา วันหน้าแบกเอาเอง!”
เผยเฉียนสะบัดหน้าหนี หน้าตาบึ้งตึง ทั้งไม่ร้องไห้แล้วก็ไม่อ้อนวอน ไม่มองเฉินผิงอันแล้วก็ไม่เชื่อฟังเขาด้วย
เฉินผิงอันโมโหมาก
เผยเฉียนกัดฟัน ขว้างก้อนเงินที่อยู่ในมือออกไปนอกหน้าต่าง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไปเปิดหีบไม้ไผ่ที่อยู่ในห้องด้านข้าง หยิบเอากล่องเก็บสมบัติออกมา กลับมาที่ห้องเผยเฉียน วางมันไว้บนโต๊ะแล้วเดินจากไป
คิดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มเหล้าดองอยู่ในห้องไปได้คำเดียว เผยเฉียนก็ถือกล่องเก็บสมบัติวิ่งพรวดเข้ามาแล้วเอามันยัดกลับเข้าไปในหีบไม้ไผ่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบจนคนไม่ทันยกมือป้องหู จากนั้นก็วิ่งออกไป
เฉินผิงอันหยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาใหม่ เดินไปที่ห้องด้านข้าง คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะลั่นดาลลงกลอนประตูไว้อย่างแน่นหนา
ไฟโทสะของเฉินผิงอันลุกโชน ใจนึกอยากจะถีบประตูให้เปิดแล้วเอาตัวเจ้าเด็กนี่พร้อมกล่องเก็บสมบัตินี้จับโยนออกไปนอกโรงเตี๊ยมพร้อมกัน
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูครู่ใหญ่
ด้านในประตู เผยเฉียนที่ลงกลอนใช้แผ่นหลังดันบานประตูไว้อย่างแน่นหนา ยกแขนสองข้างที่เล็กบางขึ้น ใช้หลังมือบดบังใบหน้าเล็กๆ ที่ดำราวกับถ่าน
บนหลังคาของโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นตัวการของเรื่องนอนหงายหนุนแขนตัวเอง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
……
หลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ในห้องตั้งใจศึกษาตำราการเล่นหมากล้อม
คือ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุดในใต้หล้าไพศาล สิบกระดานท่ามกลางเมฆหลากสี และใช้การประชันครั้งนั้นมาวิวัฒนาการเป็นตำราหมากล้อมรูปแบบต่างๆ มีคนตั้งใจ ‘ผ่าตัด’ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม หมายถึงการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียในการเล่นหมากล้อม) ของการแข่งขันเมฆหลากสี บางคนก็แค่ต้องการเจาะลึกความมหัศจรรย์ของการแข่งขันเมฆหลากสีเท่านั้น ว่าการว่าตำรานี้ไม่รู้ว่าอบรมบ่มเพาะให้เกิดยอดฝีมือด้านวิชาหมากล้อมในยุทธมากน้อยเท่าไหร่
หากพูดถึงแค่การเล่นหมากล้อม เมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หลูป๋ายเซี่ยงถือว่าไร้เทียมทานแล้ว ตอนที่มาเยือนใต้หล้าไพศาลช่วงแรก เขามองว่าตัวเองมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงส่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาได้ ‘ตำราเมฆหลากสี’ เล่มนี้มาโดยบังเอิญถึงเพิ่งจะรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความลึกล้ำของฝีมือการเล่นหมากล้อมของทั้งสองฝ่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ พูดถึงแค่ยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติประมือกับยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิมารบนเมฆหลากสีผู้นั้น แม้ว่าจะแพ้หลายครั้ง แต่ว่าหากไม่มองช่วงที่นครจักพรรดิขาวเป็นฝ่าย ‘ถูกกระทำ’ ในแต่ละครั้ง ลำพังดูแค่การจัดวางสถานการณ์หมากบนกระดานของยอดฝีมือท่านนี้ก็จะได้เห็นว่าแต่ละก้าวของเขาช่างยอดเยี่ยมจนทำให้คนรุ่นหลังที่ศึกษาตำราการเล่นหมากล้อมรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับลมพายุพุ่งทะลุแผ่นกระดาษมาปะทะใบหน้า ทำให้คนหายใจแทบไม่ออก
เป็นเหตุให้หลูป๋ายเซี่ยงต้องไปตามหาและรวบรวมตำราการประชันหมากล้อมส่วนใหญ่ของยอดฝีมือคนนี้มา สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า วิชาหมากล้อมของคนผู้นี้ควรจะต้องเรียกว่า ‘เข้าใกล้มรรคาอย่างไร้ที่ติ’ ปรมาจารย์ด้านหมากล้อมของใต้หล้าไพศาลส่วนใหญ่ล้วนมีคำวิจารณ์ที่สูงส่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ โดยคร่าวๆ แล้วมีอยู่สามข้อ ข้อแรกคือใช้สายตาที่เฉียบคมมาทำลายข้อสรุปเดิมที่มีอยู่แล้ว ข้อสองแม้ว่าบางครั้งที่คนผู้นี้เดินหมากจะเผยความเฉียบคม เผยวิธีการที่นองเลือด แต่โดยภาพรวมแล้วคนผู้นี้คู่ควรกับคำสรรเสริญที่ว่า ‘ท่วงทำนองบางเบา บรรลุถึงขอบเขตที่กว้างไกลที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุด’ สามคือคนผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มความคิดอันมหัศจรรย์มากมายอย่างเช่นรูปแบบการเดินหมากหิมะใหญ่ถล่มเลี้ยววงใน รูปแบบปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ แม้ว่าร้อยปีให้หลัง ส่วนใหญ่จะถูกยอดฝีมือหมากล้อมแก้ได้ หรือไม่ก็ตอนที่เพิ่งปรากฎเป็นครั้งแรกในการแข่งขันเมฆหลากสีก็ถูกเจ้านครจักรพรรดิขาวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าทุกคนที่ดูการแข่งขันผ่านตำราเมฆหลากสีกลับอดตื่นตะลึงและชื่นชมในความคิดอันบรรเจิดเลิศล้ำของคนผู้นี้ไม่ได้ ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าคนผู้นี้กับนักเล่นหมากล้อมทุกคนบนโลกล้วนไม่ได้เล่นอยู่บนกระดานหมากเดียวกัน
การที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้านครจักรพรรดิขาว หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้แต่พูดว่าคนผู้นี้เกิดมาไม่ถูกยุคสมัย ดันมาเจอเข้ากับตัวประหลาดที่ในอดีตไม่เคยปรากฏมาก่อน และในอนาคตก็จะไม่มีทางปรากฏเช่นกัน เนื่องจากฝ่ายหลัง ‘บรรลุมหามรรคา’ ไปแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงศึกษา ‘ตำราเมฆหลากสี’ ก็ใคร่ครวญไปมา คงได้แต่ใช้คำว่า ‘ไร้ความผิดพลาด ไร้ความสะเพร่า’ มาบรรยายยอดฝีมือลัทธิขงจื๊อที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนเลื่องลือผู้นี้แล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงเคยพูดเล่นกับเฉินผิงอันว่า ความหวังที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือสามารถได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาว แต่ส่วนลึกในหัวใจของหลูป๋ายเซี่ยงกลับคิดว่าคนที่เขาอยากเล่นหมากล้อมด้วยมากที่สุดกลับไม่ใช่เจ้านครจักรพรรดิขาว แต่เป็น ‘ชุยฉาน’ ท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่ อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งผู้นี้
หลูป๋ายเซี่ยงวางตำราหมากล้อมลง ถอนหายใจหนึ่งที
นครจักรพรรดิขาวน่าจะไปเยือนได้ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่จะได้เล่นหมากล้อมกับชุยฉานสิบตาหรือไม่กลับเป็นความหวังที่ค่อนข้างเลื่อนลอย
แม้ว่าตอนนี้ชุยฉานจะเป็นราชครูของราชวงศ์ต้าหลีบ้านเกิดเฉินผิงอัน แต่ในฐานะคนชมการเล่นก็พอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนผู้นี้หยิ่งทระนง ต่อให้เขาหลูป๋ายเซี่ยงได้พบหน้าเขาชุยฉาน แต่ก็คงยากมากที่จะได้เล่นหมากล้อมกับอีกฝ่ายสมดั่งใจหวัง
เพราะหลูป๋ายเซี่ยงรู้ดีว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของตนยังไม่ดีพอ
เพียงแต่คนรุ่นหลังทำลายหมากล้อมเพราะตัวคน โดยเฉพาะในใบถงทวีปและในแจกันสมบัติทวีป สำหรับคำวิจารณ์ที่มีต่อฝีมือการเล่นหมากล้อมของท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่นี้จึงจงใจลดระดับให้ต่ำลงมาเยอะมาก
สำหรับถ้อยคำอันห้าวเหิมสามประโยคที่คนผู้นี้ทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกเลื่อมใสอย่างมาก
‘ไม่ว่าฝ่ายกระทำจะเล่นอย่างไรก็ไม่เป็นไร’
‘กวานจื่อ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ระหว่างที่แข่งขันกันบนกระดาน ต่างฝ่ายต่างยึดฐานที่มั่นของตัวเองได้แล้ว ยังไม่มีการวางเม็ดหมากลงไปบนที่ว่างรอยต่อของกันและกัน หากวางเม็ดหมากลงไปในเวลานี้จะเรียกว่ากวานจื่อ) ก็คือการเก็บกวาดสนามรบ ใครเอ่ยประโยคทำนองว่ากวานจื่อไร้เทียมทาน มีแต่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญหัวเราะขำขันเท่านั้น’
‘หมากดำเรียนรู้จากหม่าเหลยผู้นั้น หมากขาวเรียนรู้จากข้าชุยฉาน หมากยอมอ่อนข้อให้เรียนรู้จากเจ้านครจักรพรรดิขาว ผู้ที่เรียนรู้จากหม่าเหลย สามารถเรียนรู้ได้เจ็ดแปดส่วน ผู้ที่เรียนรู้จากชุยฉาน สามารถเรียนรู้ได้ห้าหกส่วน เรียนรู้จากเจ้านครจักรพรรดิขาว เรียนไปก็เปล่าประโยชน์’
หลูป๋ายเซี่ยงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชำเลืองตามองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วเตรียมจะลุกขึ้นไปหาชุยตงซาน คาดว่าหากชนะสองในสามตาก็น่าจะพอหยั่งเชิงฝีมือของคนผู้นี้ได้บ้างแล้ว
ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงเดินออกจากห้องกลับเห็นเว่ยเซี่ยนกำลังเดินกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
หลูป๋ายเซี่ยงเดินเลี้ยวหัวมุมระเบียงจะไปเคาะประตูห้องที่อยู่ห่างไปค่อนข้างไกล เว่ยเซี่ยนยืนอยู่ตรงทางแยก ถามว่า “จะไปหาชุยตงซาน?”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ
เว่ยเซี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องไปแล้ว ไอ้หมอนี่ก็ไปเดิมพันกับจูเหลี่ยนเช่นกัน ตอนนี้ออกจากอำเภอไปแล้ว สุยโย่วเปียนก็ตามไปด้วย”
หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างกังขา “เดิมพันอะไร?”
เว่ยเซี่ยนกล่าว “ชุยตงซานบอกว่าจะลองประมือกับจูเหลี่ยนสักหน่อย ขอแค่จูเหลี่ยนชนะ เขาก็จะเอาวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งออกมามอบให้จูเหลี่ยน หากจูเหลี่ยนแพ้ วันหน้าต้องทำอาหารมื้อดึกให้เขาชุยตงซานทุกมื้อ”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “จูเหลี่ยนตอบรับด้วยหรือ?”
เว่ยเซี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเกาหัวพูดว่า “ตอนแรกจูเหลี่ยนย่อมไม่ตอบรับ ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ถูกหลอกต้มเสียจนเปื่อยขนาดนั้น จูเหลี่ยนเองก็กลัวว่าจะเดินตามรอยนาง แต่ชุยฉานบอกว่าเขาสามารถยืนเฉยๆ ไม่ขยับ แต่จูเหลี่ยนก็ยังไม่ตอบรับ เจ้าหมอนั่นกลับพูดอีกว่าเขาจะไม่ขยับมือขยับเท้า จูเหลี่ยนจึงถามเขาว่าเขาใช่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหรือไม่ ชุยตงซานบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แน่นอน ดังนั้นจูเหลี่ยนเลยยอมตกลง สุยโย่วเปียนก็ตามไปดูเรื่องสนุกด้วย”
ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ชุยตงซานก็กลับโรงเตี๊ยมมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ด้านหลังคือสุยโย่วเปียนที่มีสีหน้าแปลกพิกล แน่นอนว่ายังมีจูเหลี่ยนที่หน้าเปรอะเปื้อนมอมแมมด้วย
จูเหลี่ยนเดินดิ่งตรงไปที่ห้องตัวเอง ปิดประตูลงดังปัง
หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องไม่ได้ถามมาก สุยโย่วเปียนเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงตรงข้าม พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงว่า “ชุยตงซานบอกว่าอีกไม่นานเขาจะมาเรียนวิชาหมากล้อมกับเจ้า”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “จูเหลี่ยนแพ้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะแอบเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดไม่ใช่หรือ?”
สุยโย่วเปียนกล่าวอย่างระอาใจ “ไอ้หมอนั่นยืนนิ่งไม่ขยับก็จริง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้…มีสมบัติอาคมติดตัวค่อนข้างมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ จูเหลี่ยนขยับเข้าใกล้เขาในระยะสิบจั้งไม่ได้เลย เหมือนสุนัขที่ถูกจูงอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้ข้ารับมือกับคนผู้นี้ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าจูเหลี่ยนสักเท่าไหร่”
หลูป๋ายเซี่ยงรินชาถ้วยหนึ่งให้สุยโย่วเปียน สุยโย่วเปียนกลับไม่ดื่มชา นางส่ายหน้ากล่าวว่า “พวกเจ้าเล่นหมากล้อมกัน ข้าคงไม่ดูแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ทำไม รู้สึกว่าโอกาสชนะของข้ามีไม่มากงั้นหรือ?”
สุยโย่วเปียนลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าวิชาหมากล้อมของคนผู้นี้สูงส่งสักเท่าใด แต่เชื่อในเรื่องหนึ่ง นั่นคือขอแค่เขาเดิมพันกับคนอื่น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยแพ้มาก่อน”
เรื่องที่ทำให้จูเหลี่ยนหนาวเยือกในใจมากที่สุดก็คือคนผู้นี้ยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับสามารถบังคับสมบัติอาคมชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ ‘มากมายละลานตาจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้’ ทำเอาจูเหลี่ยนไม่เพียงแต่โงหัวไม่ขึ้น ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเขายังโบกธงร้องไห้กำลังใจจูเหลี่ยน จากนั้นก็ทำสีหน้าเสียดาย พูดว่ามดตัวน้อยอย่างเจ้าจูเหลี่ยนอยู่ข้างกายอาจารย์ของข้า ก็คงเป็นได้แค่พ่อครัวที่มีหน้าที่ทำอาหารเท่านั้นจริงๆ
และเรื่องที่ทำให้สุยโย่วเปียนเกือบจะออกกระบี่ก็คือคนผู้นั้นพูดกับจูเหลี่ยน แล้วยังชำเลืองหางตามองมายังนาง บอกว่าเจ้าดีกว่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็หน้าตาพอดูได้ ไม่แน่ว่าคืนใดอาจารย์ของข้านอนหลับอาจหันหน้าไปทางขวา (ทางขวาก็คือโย่วเปียน)
หลูป๋ายเซี่ยงจมอยู่ในภวังค์ความคิด พอสุยโย่วเปียนจากไป เขาก็เปิด ‘ตำราเมฆหลากสี’ อีกครั้งด้วยความเคยชิน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มชุดขาวผู้เอ้อระเหยลอยชายก็มาเยือนถึงห้อง เขาเดินแทะเมล็ดแตงมาตลอดทาง พอเข้าประตูมาแล้ว ยังไม่ทันนั่งก็เห็นตำราหมากล้อมที่หลูป๋ายเซี่ยงเพิ่งจะวางลง จึงกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าอ่านของเล่นนี่เพื่อเรียนรู้รูปแบบ หลักการและกลเม็ดเคล็ดลับในการเล่นหมากล้อมงั้นหรือ?”
หลูป๋ายเซี่ยงถามกลับ “มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?”
ชุยตงซานถอนหายใจ นั่งแปะลงตรงข้ามกับหลูป๋ายเซี่ยง พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “ช่างเถอะ ข้าไม่เรียนหมากล้อมกับเจ้าแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้วแน่น หยิบหมากเม็ดหนึ่งมาคีบไว้ที่ปลายนิ้ว ถามว่า “เป็นเพราะอะไร?”
ชุยตงซานใช้มือหนึ่งถือเมล็ดแตงที่หลอกเอามาจากเผยเฉียน มือข้างที่ว่างยื่นนิ้วชี้มาชี้หลูป๋ายเซี่ยง จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “เปลี่ยนเป็นเจ้ามาเรียนวิชาหมากล้อมกับข้าดีกว่า”