บทที่ 393 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเดินขึ้นหอซิ่วโหลวซึ่งเป็นห้องหอของสตรี
เขาบอกให้จูเหลี่ยนและเผยเฉียนรออยู่ข้างนอก ส่วนเขาพาแค่สือโหรวเดินเข้าไปข้างใน
ก่อนจะเข้าไป เฉินผิงอันเคาะประตูบอกสาเหตุที่มาเยือนก่อน บอกว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วต้องการให้พวกเขามาดูห้องของคุณหนูหลิ่วว่ามีปีศาจจิ้งจอกซ่อนตัวอยู่หรือไม่
ครู่หนึ่งต่อมา หลิ่วชิงชิงที่แต่งตัวประทินโฉมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเปิดประตู
เฉินผิงอันรู้จักสาวใช้คนนี้ นางคือบุตรสาวของพ่อบ้านผู้เฒ่า เป็นเด็กสาวที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยนคนหนึ่ง ทว่าความสนใจส่วนใหญ่ของเขายังคงอยู่ที่ตัวของหลิ่วชิงชิงที่เล่าลือกันว่าถูกปีศาจจิ้งจอกล่อลวงจิตใจมากกว่า
ครั้งแรกที่เห็นหลิ่วชิงชิง เฉินผิงอันรู้สึกว่าข่าวลืออาจจะเกิดจากการฟังความข้างเดียวมากเกินไป หว่างคิ้วของคนแสดงออกให้เห็นถึงสภาพจิตใจ หากคิดจะแสร้งทำเป็นหม่นหมองไร้ประกายนั้นง่ายมาก แต่หากคิดจะแสร้งทำเป็นมีชีวิตชีวากลับยากยิ่ง
เฉินผิงอันทั้งโล่งใจทั้งเกิดความกังวลอย่างใหม่ ด้วยภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้อาจจะคลี่คลายได้ง่ายกว่าที่คิดไว้ เพียงแต่ว่าใจคนเหมือนกระจก แตกง่าย แต่กลับซ่อมแซมแก้ไขได้ยาก
ทว่านั่นก็เป็นโชคชะตาจากผลกรรมของเด็กสาวผู้นี้เอง เฉินผิงอันช่วยคนได้ แต่ไม่อาจซ่อมแซมสภาพจิตใจของสตรีที่พบกันเพียงผิวเผินได้ และเขาก็ไม่มีทางจะทำ
แม้ว่าหลิ่วชิงชิงจะเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่พันธนาการในครอบครัวมีไม่มาก จึงเคยเห็นบุรุษรูปงามมากความสามารถของแคว้นชิงหลวนมามากมาย ด้านในหอเรือนยังมีกรงหลวนที่เอาไว้เลี้ยงภูติประหลาดอีกหนึ่งใบ แต่สำหรับเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนบนภูเขาที่แท้จริง นางกลับยังรู้สึกสนใจใคร่รู้อยู่มาก ดังนั้นเมื่อนางเห็นคนหนุ่มที่ไม่ถือว่าหล่อเหลาสักเท่าไหร่ แต่กลับมีลักษณะท่าทางที่อบอุ่นอ่อนโยน ปมในใจก็ลดน้อยลงไปมาก ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นห้องหอของสตรี การที่คนนอกเหยียบย่างเข้ามาทำให้หลิ่วชิงชิงอดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างที่รู้จักแต่การเข่นฆ่า หรือเป็นพวกเซียนซือที่มีจิตใจคิดคด นางจะทำอย่างไร?
เฉินผิงอันกุมหมัดขออภัย “พวกเราทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามหลักมารยาท แต่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและเทพแห่งผืนดินของสวนสิงโตเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของคุณหนูหลิ่ว หวังว่าคุณหนูหลิ่วจะให้อภัย ข้าแซ่เฉิน ผู้ติดตามแซ่สือ”
หลิ่วชิงชิงถึงได้มองเห็นผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียนซือหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ เขามีสายตาเย็นชาเฉยเมย นางเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เฉินเซียนซือและผู้อาวุโสสือมาเพื่อช่วยเหลือข้า ไม่จำเป็นต้องยึดติดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เชิญพวกท่านค้นได้ตามสบาย”
สาวใช้จ้าวหยารู้สึกขับข้องใจเล็กน้อย คุณหนูก็จริงๆ เลย คนกลุ่มนี้ผลีผลามมาเยี่ยมเยือน ความคิดแรกของคุณหนูกลับกลายเป็นว่าในห้องหอมีบุรุษคนอื่นเข้ามา หากเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้นรู้จะไม่ชอบใจหรือไม่
สำหรับเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่จำแลงร่างมาจากปีศาจจิ้งจอกตนนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดแน่นอนว่าจ้าวหยาต้องหวาดเกรงเขาเป็นอย่างมาก ครั้งแรกที่เจอกัน นางตกใจกลัวถึงกับรีบหยิบกรรไกรขึ้นมาเตรียมจะสู้ตายกับอันธพาลที่บุกเข้ามาในห้องหอผู้นั้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคุณหนูห้ามปรามเอาไว้ และเมื่อผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา จ้าวหยาพยายามเกลี้ยกล่อมคุณหนูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล นางจึงได้แต่มองดูคุณหนูทรุดโทรมผ่ายผอมลงไปทุกวัน จำต้องข่มกลั้นความเศร้าและความเจ็บแค้นในใจ พยายามปรนนิบัติคุณหนูให้กินอาหารที่ดีที่สุด
เฉินผิงอันหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟขึ้นมาหนึ่งแผ่น ยันต์พลันติดไฟลุกไหม้ เพียงแต่ว่าสะเก็ดไฟไม่ขยายใหญ่
เห็นได้ชัดว่าปีศาจจิ้งจอกเคยมาเยือนที่นี่จริง เฉินผิงอันคีบยันต์พลางเดินไปทั่วทุกมุมในหอเรือนอย่างช้าๆ พบว่าไฟบนกระดาษยันต์ลุกไหม้เร็วเป็นพิเศษตรงสองตำแหน่งอย่างโต๊ะตั้งคันฉ่องที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีแกะสลักรูปนกกับบุปผาและตรงเตียงนอน
เฉินผิงอันมีสีหน้าเฉยเมยอยู่ตลอดเวลา
หลิ่วชิงชิงและจ้าวหยาต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตน มองไม่ออกว่าความเร็วความช้าในการเผาไหม้ของยันต์มีความหมายว่าอะไร และความต่างที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ด้วยสายตาของพวกนางก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองเห็น
ส่วนสือโหรวกลับแค่นเสียงหัวเราะหยันอยู่ในใจ แอบนินทาเด็กสาวหลิ่วชิงชิงที่มองดูเหมือนเรียบร้อยอ่อนหวานผู้นั้นว่าเป็นคุณหนูที่เกิดจากตระกูลผู้ดีแล้วอย่างไร ก็ยังหนีไม่พ้นสันดานหญิงหัวขโมยชายโสเภณี (เป็นคำด่าว่าที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจของคนที่วิปริตบิดเบี้ยว) อยู่ดีไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันพลันนึกถึงปัญหายุ่งยากข้อหนึ่งขึ้นมาได้ ตนมองสือโหรวเป็นผีสาวโครงกระดูกที่ถูกกำราบมาตลอดเวลา ต่อให้จิตวิญญาณของนางถูกย้ายเข้ามาในคราบร่างเซียนแล้ว เฉินผิงอันก็ยังเคยชินที่จะมองนางเป็นสตรี หากปีศาจตนนั้นใช้วิธีการลึกลับบางอย่างที่เกี่ยวพันกับการกักขังดวงวิญญาณ ฟูมฟักเมล็ดพันธ์สิ่งชั่วร้ายขึ้นมาในช่องโพรงลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นในช่องโพรงหัวใจของฮูหยินเจ้าปราสาทอินทรีบินที่มีทารกผีก่อกำเนิด เฉินผิงอันไม่เชี่ยวชาญการทำลายอาคมประเภทนี้ เดิมทีสือโหรวก็เป็นผี อีกทั้งยังอยู่ในขั้นตอนของการหล่อหลอมคราบร่างเซียนเหริน บวกกับที่ชุยตงซานถ่ายทอดวิชาให้อย่างลับๆ สือโหรวจึงคุ้นเคยกับเส้นทางที่เสี่ยงอันตรายนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งลางสังหรณ์ยังเฉียบไวมากยิ่งกว่า
ทว่าทุกวันนี้สือโหรวเดินอยู่ในโลกคนเป็นด้วยเนื้อหนังมังสาของ ‘ตู้เม่า’ นี่จึงเป็นปัญหาเล็กน้อย
หากหลิ่วชิงชิงดึงดันไม่ยอมให้สือโหรวแตะต้องร่างกาย ให้ตายก็ไม่ยอมให้สือโหรวช่วยตรวจสอบชีพจร ร่ำร้องโวยวายว่าจะฆ่าตัวตาย แบบนั้นจะยิ่งยุ่งยาก
เฉินผิงอันคีบยันต์เดินมาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวหยา ยันต์ไม่มีความผิดปกติใดๆ ยังคงเผาไหม้อย่างเชื่องช้าอยู่เหมือนเดิม จ้าวหยารู้สึกว่ามหัศจรรย์ยิ่ง หลังจากสอบถามและได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันแล้ว นางยังยื่นมือไปใกล้แผ่นยันต์สีเหลือง พบว่าไม่มีความรู้สึกร้อนลวกใดๆ เฉินผิงอันที่คลี่ยิ้มบางๆ จึงมาหยุดอยู่ที่ข้างกายหลิ่วชิงชิง ยันต์เกือบครึ่งแผ่นซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากพลันสาดประกายไฟลูกใหญ่เท่าฝ่ามือแล้วเผาไหม้ตัวเองจนหมดสิ้นในเสี้ยววินาที
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คุณหนูหลิ่ว เด็กหนุ่มคนนั้นเคยมอบของแทนใจให้เจ้าหรือไม่? คุณหนูหลิ่วพกไว้ติดตัวโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า?”
คำพูดประโยคนี้พูดอย่างคลุมเครือ อีกทั้งยังไม่ทำร้ายใจคนฟัง
หลิ่วชิงชิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
จ้าวหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนู นี่มันเวลาอะไรแล้ว”
เห็นสายตาน่าสงสารที่เต็มไปด้วยแวววิงวอนจากจ้าวหยา หลิ่วชิงชิงก็ทำเพียงแค่หันตัวกลับไป สุดท้ายหยิบถุงหอมที่ปักเป็นรูปยวนยางคู่หนึ่งด้วยเส้นด้ายหลากสีซึ่งห้อยอยู่ในสาบเสื้อตรงหน้าอกออกมา
เฉินผิงอันสอบถาม “ส่งมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
หลิ่วชิงชิงส่ายหน้า ไม่ยอมตอบรับ
จ้าวหยาร้อนใจแทบตายอยู่แล้ว
สายตาของเฉินผิงอันใสกระจ่าง “คุณหนูหลิ่วยึดมั่นในรัก ข้าที่เป็นคนนอกมิกล้าวิจารณ์ แต่หากต้องทำให้คนทั้งตระกูลตกอยู่ในอันตรายเพราะสาเหตุนี้ ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก คุณหนูหลิ่วมอบใจให้คนผิด เจ้ามอบความจริงใจให้ไป แต่อีกฝ่ายกลับมีเจตนาอย่างอื่น ถึงท้ายที่สุดคุณหนูหลิ่วจะทำเช่นไร? ต่อให้ไม่พูดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดนี้ แล้วก็ไม่พูดถึงความรักความจริงใจตราบมหาสมุทรแห้งเหือด ตราบก้อนหินเน่าเปื่อยที่คุณหนูหลิ่วกับเด็กหนุ่มต่างถิ่นผู้นั้นมีต่อกัน พวกเรามาพูดถึงแค่เรื่องตรงกลางบางอย่าง ถุงหอมใบเดียว ข้าดูแล้วก็ไม่ได้ทำให้ความรักระหว่างคุณหนูหลิ่วกับเด็กหนุ่มคนนั้นลดน้อยลง กลับกันยังทำให้คุณหนูหลิ่วไม่รู้สึกผิดต่อคนทั้งตระกูลหลิ่วและสวนสิงโตด้วย”
ระหว่างที่เฉินผิงอันเอ่ยประโยคนี้ อันที่จริงเขาไพล่นึกไปถึงคู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ที่ติดตามเขาเดินทางไกลไปยังต้าสุยในครั้งแรก
แล้วก็เพราะคำว่ารัก เด็กสาวจูลู่ถึงได้ยอมเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟเพื่อหลี่เป่าเจินคุณชายรองตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่สนไม่ใยดีสิ่งใด ไม่ว่าอะไรก็ล้วนละทิ้งได้หมด อีกทั้งถามใจตัวเองแล้วยังไร้ซึ่งความละอาย
หลิ่วชิงชิงดวงตาแดงก่ำ ยื่นถุงหอมที่รักใบนั้นส่งมาด้วยมือสั่นๆ
ความละอายใจที่มีต่อชายคนรักยิ่งเข้มข้น เมื่อมอบถุงหอมออกไปก็คล้ายหัวใจถูกควักกระชากตามไปด้วย สองมือว่างเปล่า หัวใจก็ยิ่งว่างโหวง จึงหันหน้าไปทิ้งน้ำตาทางอื่น
เฉินผิงอันรับถุงหอมมาพินิจมองอย่างละเอียด เส้นด้ายห้าสี เส้นด้ายสีดำหนึ่งในนั้นเป็นวัสดุเดียวกับขนจิ้งจอกที่ร่วงหล่นในลานบ้านก่อนหน้านี้ อีกสี่ชนิดที่เหลือยังไม่รู้ที่มาชั่วคราว
เปิดถุงหอมออก ด้านในมีเพียงวัตถุเล็กๆ จำนวนหนึ่ง เฉินผิงอันกลัวว่าสายตาตัวเองจะตื้นเขิน มองความลึกลับที่อยู่ด้านในไม่ออกจึงหันไปมองสือโหรว ฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าเช่นกัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ถุงหอมเป็นเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่สว่างไสวในยามค่ำคืน ทำให้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นมาหาคุณหนูผู้นี้ได้โดยสะดวก ของด้านในน่าจะไม่มีที่มาที่สำคัญอะไร”
เฉินผิงอันยื่นถุงหอมให้สือโหรว “เจ้าถือเอาไว้ก่อน”
นอกจากนี้เฉินผิงอันยังหยิบเอาเชือกพันธนาการปีศาจที่หล่อหลอมขึ้นตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวออกมา เชือกเส้นนี้มีต้นกำเนิดมาจากหนวดสีทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง ท่ามกลางสมบัติอาคมที่แปลกประหลาดนับร้อยนับพันอย่าง ระดับขั้นของมันถือว่าสูงอย่างถึงที่สุด สือโหรวรับถุงหอมมาแล้วก็เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งถือเชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออกว่ามันไม่ธรรมดา ความไม่พอใจในใจจึงลดน้อยลง ถุงหอมอยู่ในมือของนางก็ไม่ต่างจากการชักดึงหายนะมาสู่ตัว เพียงแต่ว่าพอมีเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้เพิ่มเข้ามาก็ถือว่านอกจากเฉินผิงอันจะใช้งานนางอย่าง ‘คุ้มค่าที่สุด’ แล้ว ยังพอจะมีการชดเชยให้นางบ้าง
เฉินผิงอันพูดกับหลิ่วชิงชิง “คุณหนูหลิ่วโปรดให้พวกเราช่วยจับชีพจร วิชาคาถาบนภูเขาหลายอย่างล้วนเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด ใช้แค่วิชามองลมปราณไม่อาจมองสายสนกลในใดๆ ออก”
ทีแรกก็บุกเข้ามาในห้องหอ จากนั้นก็ให้นางมอบถุงหอมไปให้ ตอนนี้ยังจะสัมผัสโดนเนื้อตัวของนางอีก
ในใจหลิ่วชิงชิงทั้งเศร้าสร้อยและทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา หันมามองเฉินผิงอันด้วยสายตาเดือดดาล พูดเสียงสะอื้น “พวกเจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก! หลังจากจับชีพจรแล้ว ยังจะต้องให้ข้าถอดอาภรณ์ด้วยหรือไม่ พวกเจ้าถึงจะยอมเลิกรา?”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยอารมณ์นิ่งสงบ “ย่อมไม่ทำเช่นนั้น”
หลิ่วชิงชิงอับอายจนพานเป็นความโกรธ นางบิดเอวกลับ ฟุบตัวลงบนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สั่นสะท้าน พูดเสียงขาดๆ หายๆ “ข้าต้องการพบพ่อข้า…หากเขาอยู่ที่นี่…ต้องไม่ยอมให้พวกเจ้ามาหมิ่นเกียรติข้าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้แน่นอน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดกับสือโหรวว่า “ข้าจะช่วยพิทักษ์เจ้าเอง เจ้าเผยกายด้วยโฉมหน้าดั้งเดิม แล้วค่อยช่วยจับชีพจรให้นาง”
แม้ว่าสือโหรวจะมีอคติมากมายต่อเฉินผิงอัน แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่นางไม่กังขาในตัวเขา นั่นคือขอแค่เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันพูดออกมาจากปาก เขาจะต้องทำได้จริงอย่างแน่นอน
ดังนั้นสาวใช้จ้าวหยาจึงเห็นเพียงว่ามีสาวงามสวมอาภรณ์สีสันสดใสชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ลอยพลิ้วออกมาจากร่างของผู้เฒ่า ทั้งเหมือนจริงและเหมือนไม่จริง ทำให้นางที่มองดูอยู่ตื่นตะลึงยิ่ง
จ้าวหยารีบตะโกนเรียก “คุณหนูๆ ท่านหันมาดูเร็วเจ้าค่ะ”
ก่อนที่หลิ่วชิงชิงจะหันหน้ากลับมา นางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าก่อน แล้วจึงได้เห็นสตรีแปลกหน้าที่รูปโฉมงดงามยิ่งกว่านางยืนอยู่
ส่วนผู้เฒ่าคนก่อนหน้านี้ก็ยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับว่ากำลังงีบหลับอย่างไรอย่างนั้น
สือโหรวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยื่นมือออกมา”
หลิ่วชิงชิงยกมือขึ้นอย่างเหม่อลอย
สือโหรวจับข้อมือที่ขาวราวกับรากบัวของหลิ่วชิงชิง
ในขณะที่สือโหรวตรวจสอบลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหลิ่วชิงชิง เฉินผิงอันที่ยังคงมองประเมินห้องนี้อย่างละเอียดก็พลันสังเกตเห็นว่าสาวใช้กำลังส่งสายตามาให้ตน เมื่อมองตามสายตาที่บอกเป็นนัยของจ้าวหยาไป เฉินผิงอันก็มองเห็นกล่องเล็กงามประณีตกล่องหนึ่งที่ยังไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ดูเหมือนว่าจะเป็นกล่องบรรจุผงประทินโฉมของสตรี เฉินผิงอันขยับเท้าเดินไปใกล้อย่างเงียบเชียบ พอเปิดออกดูก็เห็นว่าด้านในบรรจุยาเม็ดที่ส่งกลิ่นคาวจางๆ ไว้หลายเม็ด เฉินผิงอันจึงหันหน้าไปถามหลิ่วชิงชิง แสร้งทำเป็นว่าพบเข้าโดยบังเอิญ “ขอถามคุณหนูหลิ่ว ยาข้างในนี้เป็นยาบำรุงของสวนสิงโตเอง หรือเป็นยาที่เซียนซือจากภายนอกมอบให้?”
จ้าวหยารู้สึกว่าคุณชายสะพายกระบี่ท่านนี้มีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดเผื่อคนอื่นเสมอ
หากเปลี่ยนมาเป็นพวกเซียนซือคนก่อนๆ หน้านี้ แต่ละคนเย่อหยิ่งหัวสูง ไม่เพียงแต่วางท่าเหมือนอยากจะแปะสองคำว่า ‘เทพเซียน’ ไว้บนหน้าผากตัวเอง ยังชอบพูดคำว่าปีศาจจิ้งจอกชั่วช้าคำแล้วคำเล่าต่อหน้าคุณหนู เมื่อคุณหนูของตนได้ยินจะไม่รู้สึกบาดหูและพานเสียใจได้อย่างไร
หลิ่วชิงชิงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “เป็นยาสงบใจที่เขามอบให้ข้า บอกว่าสามารถบำรุงร่างกาย ทำให้จิตใจสงบ”
อันที่จริงสือโหรวได้กลิ่นคาวแสบจมูกนั่นมานานแล้ว พอชำเลืองตามองไปเห็นจึงแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “ยาสงบใจงั้นรึ รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่ายาสงบใจที่แท้จริง? นี่คือหนึ่งในยานอกรีตที่เอาไว้เลี้ยงภูตผีและพวกหุ่นเชิด เมื่อกินเข้าไปแล้ว คนที่มีชีวิตหรือวิญญาณของภูตผีจะค่อยๆ จับตัวแข็งกลายเป็นรูปลักษณ์ที่ถูกกำหนดไว้ สามจิตเจ็ดวิญญาณที่เดิมทีล่องลอยไม่อยู่นิ่ง มีอิสระเสรีก็จะกลายมาเป็นเหมือนดินบนภูเขาที่ถูกนำมาทำเครื่องกระเบื้อง สุดท้ายถูกคนค่อยๆ ปั้นให้เป็นวัตถุกึ่งสำเร็จรูปที่นำมาบำรุงความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย”
สือโหรวคลี่ยิ้มเย้ยหยัน “แน่นอนว่าคนรักของคุณหนูหลิ่วอาจจะบอกว่านี่คือวิชาลับชั้นสูงอย่างหนึ่งของตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใช้ชดเชยความไม่เพียงพอก่อนกำเนิด หรือฐานกระดูกที่ไม่ครบถ้วนของเด็กรุ่นหลังในตระกูล ช่วยให้มนุษย์ที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว คำพูดประเภทนี้ไม่ได้เป็นเท็จทั้งหมด เพียงแต่ว่าตระกูลบนภูเขาที่ตัดใจทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่ตระกูลเล็กที่ไม่มีหน้าไม่มีตา ก็ต้องเป็นตระกูลที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จนน่าเป็นกังวล จำเป็นต้องให้มีผู้ฝึกตนที่สามารถเดินทางลัดเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะๆ เพราะถึงอย่างไรการใช้ยาสงบใจที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ยาหัวขาด’ นี้ก็มีภัยแฝงร้ายแรงอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถูกฟ้าดินรังเกียจ หากเป็นคนก็ตายไปแล้วครึ่งตัว หากเป็นผีก็เป็นผีที่มีแค่ครึ่งชีวิต จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง สิ่งที่อำมหิตที่สุดก็คือหลังจากกลายเป็นภาชนะชั้นเยี่ยมที่สามารถบรรจุปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาได้แล้วดันถูกคนทุบทำลายไหเงิน เอาทรัพย์สินที่อยู่ในไหเงินไปจนเกลี้ยง ส่วนข้อที่ว่าไหที่แหลกละเอียดจะมีจุดจบเช่นไร เฮอๆ หากจิตวิญญาณไม่แหลกสลายจนไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีกก็ตายไปแล้วยังเหลือจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งที่ยังไม่ดับสลาย สุดท้ายย่อมต้องกลายไปเป็นผีร้ายผูกอาฆาตพยาบาท”
สือโหรวพูดอย่างตรงไปตรงมา
จ้าวหยาที่ได้ฟังถึงกับหน้าซีดขาว
ตอนแรกหลิ่วชิงชิงบังเกิดความหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่ยอมจำนนง่ายๆ เพียงไม่นานนางก็หาเหตุผลที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้ คิดแค่ว่าสตรีผู้นี้มีวิสัยทัศน์คับแคบ มองความมหัศจรรย์ในส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้นของยาสงบใจไม่ออก
เฉินผิงอันสีหน้ามืดทะมึน
วิชาของตระกูลเซียนประเภทนี้
ไม่เหมือนการเผาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูหรอกหรือ?
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเปลี่ยนเส้นทางไม่ไปเมืองหลวง แต่เลือกจะมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ของสวนสิงโต ก็เพื่อประโยค ‘ที่ใดมีปีศาจและมารออกอาละวาด ย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อของเทียนซือ’ ของบัณฑิตที่คนส่งธูปศาลพ่อปู่ลำคลองพูดถึง นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันนึกถึงเพื่อนรักอย่างจางซานเฟิงที่เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ หากจางซานเฟิงไม่ได้ติดตามอาจารย์ไปที่ภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วได้ยินว่ามีเรื่องนี้ก็ต้องมาที่นี่แน่นอน
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เฉินผิงอันก็ไม่เชื่อแล้วจริงๆ หายนะที่ไม่แน่ว่าแม้แต่สถานะจิ้งจอกก็อาจเป็นเรื่องโกหก หากสามารถก่อกรรมทำเข็ญ ไม่เพียงแต่โยกย้ายโชคชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำและชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วไปได้ ยังคิดจะเอาชีวิตของคนอื่น จิตใจชั่วช้าสามานย์ วิธีการอำมหิตโหดเหี้ยม เรียกได้ว่าตายครั้งเดียวก็ยังไม่พอ
เฉินผิงอันเดินไปตรงหน้าประตู บอกให้เผยเฉียนเดินเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นค่อยบอกให้จูเหลี่ยนไปขอทองก้อนของราชสำนักจากสวนสิงโตเอามาบดเป็นผงทันที เพื่อจะนำมาทำเป็นสีทองที่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
เขาจะวาดยันต์สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ!
……
หญิงชราที่เป็นเทพแห่งผืนดินในแถบพื้นที่ของสวนสิงโตไม่ได้ขึ้นหอเรือนไปด้วย เหตุผลก็เพราะในหอเรือนมีเฉินเซียนซือเฝ้าพิทักษ์อยู่แล้ว หลิ่วชิงชิงย่อมไม่มีอันตรายใดๆ แน่นอน นางจำเป็นต้องไปปกป้องลูกหลานสกุลหลิ่วคนอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วด้วย
ในศาลบรรพชนของสกุลหลิ่ว หญิงชราที่พอไม่ถูกกักขังด้วยเชือกพันธนาการปีศาจห้าสีของปีศาจจิ้งจอกก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งความมีชีวิตชีวา
ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าประมุขสกุลหลิ่วหลายรุ่นล้วนรู้จักเจ้าแม่ต้นหลิ่วที่อายุมากกว่าสวนสิงโตแห่งนี้เป็นอย่างดี ควันธูปอันโชติช่วงในงานบวงสรวงบรรพบุรุษของทุกปี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องสกุลหลิ่วผู้นี้ล้วนต้องได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่
เวลานี้ในศาลบรรพชนเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นข้ารับใช้ที่เดิมทีไม่มีคุณสมบัติจะเดินเข้ามาในนี้ แต่ก็ยังถูกรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสั่งให้ผู้เฒ่าจ้าวซึ่งเป็นพ่อบ้านพามา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคงถูกประณามว่า ‘ทำลายความสุภาพสง่างาม ดูหมิ่นบรรพบุรุษ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและคนสกุลหลิ่วอีกยี่สิบกว่าคน เวลานี้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในศาลบรรพชนที่เงียบสงบ หลายคนเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก และเพิ่งเคยได้เห็นเจ้าแม่ต้นหลิ่วผู้นี้กับตาของตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีคนต่างแซ่สองคนที่พักอาศัยอยู่ในสวนสิงโตมานานหลายปีแล้ว พวกเขายืนอยู่ตำแหน่งนอกสุด ไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูลหลิ่ว
สวนสิงโตมีโรงเรียนส่วนตัวเป็นของตัวเอง หลังจากที่บัณฑิตใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่งลาออกไปเมื่อสามสิบปีก่อน ก็ได้เชิญอาจารย์สอนหนังสือที่ไร้สัญชาติไร้นามมาคนหนึ่ง
นี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก ตอนนั้นราชสำนักและวงการวรรณกรรมต่างก็สงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าเป็นผู้รอบรู้คนใดกันแน่ที่ถูกใจรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว จนเขาถึงกับเชื้อเชิญให้มาเป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกหลานสกุลหลิ่ว
เพียงแต่ว่าภายหลังบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วไม่ราบรื่นในการสอบเคอจวี่ ได้เป็นแค่จิ้นซื่อเท่านั้น แถมลำดับยังรั้งท้าย บทความใต้ปลายพู่กันและพรสวรรค์ในการเขียนบทกวีของเขาต่างก็ไม่นับว่าโดดเด่น เมื่อเทียบกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วที่จรดพู่กันดุจบุปผาผลิบานแล้วก็เรียกได้ว่าบิดาเป็นพยัคฆ์บุตรเป็นสุนัข ดังนั้นผู้คนจึงไม่สนใจจะคาดเดาตัวตนของอาจารย์คนใหม่ผู้นั้นอีก ขนาดลูกศิษย์ยังอบรมสั่งสอนมาได้ธรรมดาสามัญขนาดนี้ คนเป็นอาจารย์จะดีได้สักเท่าไหร่กันเชียว?
ส่วนหลิ่วชิงซานนั้นเหมือนหลิ่วจิ้งถิงผู้เป็นบิดามาตั้งแต่เด็ก คือเด็กอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปสี่ทิศ ผลงานการประพันธ์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าความสามารถของตัวเขาเองนั้นไม่เกี่ยวข้องกับความรู้ของอาจารย์สักเท่าไหร่
ตอนนี้หลิ่วจิ้งถิงกำลังโต้เถียงอยู่กับเจ้าแม่ต้นหลิ่ว
ความเห็นของเจ้าแม่ต้นหลิ่วก็คือไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพยายามช่วงชิง ต่อให้ต้องไปขอร้องคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นอย่างไร้ศักดิ์ศรีก็ต้องทำให้เขาลงมือสังหารปีศาจให้จงได้ ห้ามปล่อยให้เขาช่วยคนไม่ฆ่าปีศาจอะไรนั่นเด็ดขาด จำเป็นต้องให้เขาลงมือตัดรากถอนโคนโดยไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลัง
หลิ่วจิ้งถิงจึงพูดถึงเรื่องที่นักพรตหญิงลงมือทำลายภาพมายาของปีศาจจิ้งจอก
เจ้าแม่ต้นหลิ่วตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา นักพรตหญิงต่างถิ่นคนหนึ่ง หากสวนสิงโตนำความหวังทั้งหมดไปฝากไว้ที่ตัวนาง จุดจบจะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว
หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตจึงพูดด้วยน้ำเสียงขลาดกลัวขึ้นมาคำหนึ่งว่า แต่เฉินเซียนซือผู้นั้นก็เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกันนะ
เจ้าแม่ต้นหลิ่วชำเลืองตามองสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้นี้แวบหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังตกใจกลัวจนต้องหุบปากฉับ
จากนั้นหญิงชราก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนคิดลึก “จะดีจะชั่วคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นก็เป็นบัณฑิต!”
หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หลิ่วจิ้งถิงก็ยังไม่ยอมใช้วิธีการสกปรกที่ขัดต่อเจตจำนงของตัวเองไปจับคนหนุ่มผู้นั้นมัดไว้กับสวนสิงโต
เจ้าแม่ต้นหลิ่วชี้หน้ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าแล้วด่ากราดอย่างไม่ไว้หน้า “คนสกุลหลิ่วเจ็ดรุ่นก่อตั้งรากฐานกันมาอย่างลำบากลำบนกว่าจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างทุกวันนี้ เจ้าหลิ่วจิ้งถิงตายไปแล้ว ควันธูปขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของเจ้า เจ้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษหรือ? ไม่รู้สึกผิดต่อชื่อที่เขียนไว้บนป้ายวิญญาณในศาลบรรพชนสวนสิงโตเลยหรือไร? คนที่ต้องตายเพราะถวายคำทัดทานเพื่อปกป้องระบบสืบทอดดั้งเดิมสกุลถัง ตายเพราะถูกโบย ตายเพราะช่วยเหลือขุนนางผู้จงรักภักดี ถูกเนรเทศไปไกลสามพันลี้จนกระทั่งตายไป คนที่ทุ่มเทชีวิตและจิตใจเพื่อสร้างความผาสุกให้กับปวงประชาจนตาย เจ้าต้องให้ข้าร่ายรายชื่อของพวกเขาให้ฟังไหม?”
ใบหน้าหลิ่วจิ้งถิงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
หญิงชรายังด่าต่อ “หากเจ้าหน้าไม่หนาพอ ต้องการวางมาดเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าผายลมสุนัขอะไรนั่น ถ้าอย่างนั้นสกุลหลิ่วของพวกเจ้าก็ไม่มีทางข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ เจ้าหลิ่วจิ้งถิงตายแล้วก็ตายไป แต่ยังทำร้ายให้สวนสิงโตต้องเปลี่ยนแซ่ ลูกหลานพลัดที่นาคาที่อยู่ ตำราหายากมากมายที่เก็บไว้ในหอเก็บตำรา เมื่อมาถึงช่วงที่คนรุ่นหลิ่วชิงซานแก่ชรา สุดท้ายจะหลงเหลืออยู่สักกี่เล่ม?”
หลิ่วจิ้งถิงไม่อาจตอบได้
คนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไร
เงียบงันกันไปนาน บรรยากาศเคร่งเครียด
สุดท้ายหลิ่วชิงซานที่ขากะเผลกเดินออกมาสองสามก้าว พูดกับหญิงชราว่า “เจ้าแม่ต้นหลิ่ว ดูเหมือนท่านพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง”
หญิงชราหรี่ตา “อ้อ? เจ้าหนูน้อยมีอะไรจะสอนข้ารึ?”
หลิ่วชิงซานกล่าวเสียงหนัก “สกุลหลิ่วของข้าสามารถสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้โดยที่ควันธูปไม่ขาดสาย นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษหยัดยืนอย่างเที่ยงตรง กฎตระกูลที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ลูกหลานต่างก็รักษากันอย่างเข้มงวด เมื่อวันนี้สวนสิงโตได้รับหายนะ ถึงได้มีคนจากทั่วสารทิศมาให้ความช่วยเหลือ หากวันนี้กระทำเรื่องที่ผิดต่อเจตจำนง ผิดต่อมารยาทกฎเกณฑ์ ต่อให้โชคดีรักษาสวนสิงโตเอาไว้ได้ แต่ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วข้าก็จะไม่เที่ยงตรงอีกต่อไป”
หญิงชราหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนจะพูดเยาะหยัน “เจ้าหนูน้อยอย่าได้คิดว่าอ่านหนังสือมาแค่ไม่กี่เล่มก็มีความสามารถให้มาพูดเรื่องไร้ประโยชน์กับหญิงชราอย่างข้า หากคนตายกันไปหมดแล้ว อีกร้อยปีให้หลัง นอกจากตำรารวมผลงานของสวนสิงโตเล่มนั้น ยังจะมีใครนึกถึงสกุลหลิ่วที่ตกอับอย่างพวกเจ้าอีก!”
แล้วหญิงชราก็พูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้บัณฑิตหลิ่วชิงซานได้โต้แย้ง “เจ้าเป็นแค่คนพิการที่ไม่มีหวังว่าจะได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ ยังมีหน้ามายืนพล่ามพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกหรือ ฮ่าๆ ตอนนี้เจ้าหลิ่วชิงซานยืนเองได้มั่นคงหรือไม่?”
ตอนนั้นเพื่อช่วยเหลือน้องสาว หลิ่วชิงซานจึงแอบออกจากสวนสิงโตไปพร้อมกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจ้าอารามเต๋า เพื่อไปตามหาเซียนซือตัวจริง ทว่ากลับประสบหายนะกลางทาง ขาพิการคือความเจ็บปวดทางร่างกาย ทว่าเส้นทางอนาคตอันยาวไกลกลับต้องขาดสะบั้นนับตั้งแต่นี้ ความหวังทั้งหมดล้วนไหลหายไปพร้อมกับสายน้ำ นี่ต่างหากถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบัณฑิตหลิ่วชิงซาน ด้วยสาเหตุนี้ สาวใช้จ้าวหยาที่อยู่ในหอซิ่วโหลวก็ยังไม่กล้ายกเรื่องน่าเวทนานี้มาพูดกับคุณหนู ไม่อย่างนั้นหลิ่วชิงชิงที่สนิทกับพี่รองหลิ่วชิงซานมากที่สุดมาตั้งแต่เด็กจะต้องรู้สึกผิดอย่างแน่นอน และในความเป็นจริงแล้วเมื่อครั้งที่หลิ่วชิงซานถูกคนหามกลับมาถึงสวนสิงโตก็ได้ขอร้องให้บิดาหลิ่วจิ้งถิงปกปิดเรื่องนี้ต่อน้องสาว
คราวนี้มาถูกเจ้าแม่ต้นหลิ่วเทพแห่งผืนดินที่ปกป้องสวนสิงโตมาสองร้อยกว่าปีสะกิดเปิดบาดแผลในหัวใจ ต่อให้เป็นบัณฑิตหลิ่วชิงซานที่แม้ว่าหลังจากพิการ ยามอยู่ต่อหน้าคนนอกก็ไม่เคยเสียกิริยาสักครั้งก็ยังอดหน้าเขียว กำสองหมัดแน่นอย่างห้ามไม่ได้
หญิงชรายังคงสาดเกลือลงบนบาดแผลในหัวใจของบัณฑิตหนุ่มต่ออีกครั้ง “ก่อนจะขาพิการ ข้ายังเคารพเจ้าสามส่วน แต่พอพิการแล้ว เจ้าหลิ่วชิงซานก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นสวะไร้ค่าที่ได้แต่หลบอยู่ในสวนสิงโตไปชั่วชีวิต ข้าว่าเจ้ารีบไปปลดกลอนคู่ที่ติดไว้หน้าห้องหนังสือลงมาเสียโดยเร็วเถอะ ไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะบ้างหรือไร?!”
หลิ่วจิ้งถิงหน้าดำทะมึน “เจ้าแม่ต้นหลิ่ว ท่านผู้อาวุโสพูดแต่พอสมควรเถอะ!”
หญิงชราแค่นเสียงเย็น
หลิ่วจิ้งถิงตบไหล่บุตรชายคนรอง
น้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาของหลิ่วชิงซาน เขาพยักหน้าให้กับบิดาที่ตนเคารพมากที่สุดในชีวิต บอกให้รู้ว่าตนไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ก้มหน้าลง ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา
มนุษย์มีชีวิตอยู่ในฟ้าดิน เมื่อชายชาตรีหลั่งน้ำตา ย่อมต้องเป็นเวลาที่ใจสลาย
โรงเรียนส่วนตัวของสวนสิงโตมีอาจารย์อยู่สองท่าน ท่านหนึ่งคือผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่งที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย อีกท่านหนึ่งคือชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่สุภาพนุ่มนวล
ฝ่ายหลังขมวดคิ้วมุ่น
ผู้เฒ่าส่ายหน้าเบาๆ ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อจึงปิดปากเงียบ
พ่อบ้านแซ่จ้าวที่รอคอยอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลวตลอดเวลาเดินปรี่เข้ามาในศาลบรรพชนอย่างเร่งร้อน กระทั่งมาหยุดอยู่ข้างกายรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและเจ้าแม่ต้นหลิ่ว เขาจึงปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฉินต้องการให้สวนสิงโตของพวกเราเตรียมสีทองไว้ใช้วาดยันต์ โดยให้เอาทองก้อนของทางการมาบดเป็นผง คุณชายเฉินบอกว่ายิ่งมากยิ่งดี เขาจะวาดยันต์ที่หอซิ่วโหลวของคุณหนู”
หญิงชราตวาดกร้าว “แล้วทำไมยังไม่รีบไปเตรียมเล่า เงินทองพวกนี้จะนับเป็นอะไรได้!”
พ่อบ้านวัยชราหันไปมองหลิ่วจิ้งถิง
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าพยักหน้าให้ “ไปเถอะ”
แต่จู่ๆ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็ตะโกนเรียกพ่อบ้านวัยชราพลางก้าวเร็วๆ ออกไป “เหล่าจ้าว ข้าไปกับเจ้าดีกว่า เรียกพวกชายฉกรรจ์ที่ใจกล้าไปด้วย แต่ว่าต้องถามความสมัครใจของพวกเขาก่อน”
คิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะคว้าไหล่ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเอาไว้ “เจ้าจะไป? หลิ่วจิ้งถิงเจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร? หากปีศาจจิ้งจอกตนนั้นคิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด สังหารเจ้าที่เป็นคนสำคัญก่อนแล้วค่อยหนีไป ต่อให้บุตรสาวของเจ้ามีชีวิตรอด แต่ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของสวนสิงโตก็ยังเละเทะเกินเยียวยาอยู่ดี ใครจะมาประคับประคองตระกูลแห่งนี้? อาศัยคนพิการคนหนึ่ง หรือบุตรชายคนโตความสามารถสามัญ วันหน้าหากได้เป็นเจ้าเมืองก็ถือว่าถูไถเต็มทีแล้วน่ะหรือ?”
ใบหน้าของหลิ่วจิ้งถิงเต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล
คิดจริงๆ หรือว่าตลอดหลายปีที่มีชีวิตอยู่ในวงการขุนนาง เขาหลิ่วจิ้งถิงกินแต่หญ้า เทพแห่งผืนดินตรงหน้าผู้นี้ร้อนรนกระวนกระวายขนาดนี้เพราะคิดอะไรอยู่? สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ไม่ใช่เพราะหากควันธูปน้อยนิดของสกุลหลิ่วสวนสิงโตขาดสะบั้นลง จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับมหามรรคาร่างทองของนางหรอกหรือ?!
หญิงชราเห็นว่าหลิ่วจิ้งถิงโมโหอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ในตำราก็บอกเตือนบัณฑิตอย่างพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า วิญญูชนต้องอยู่ให้ห่างไกลจากสถานที่อันตราย เจ้าหลิ่วจิ้งถิงเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอ จะยกทองก้อนไหวสักกี่ก้อนกันเชียว จะสู้พวกคนหนุ่มที่ทำงานจิปาถะในสวนสิงโตได้อย่างไร เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่กลัวว่าปีศาจจิ้งจอกจะจับตัวเจ้าแล้วเอามาข่มขู่สวนสิงโตหรอกหรือ?”
หลิ่วชิงซานพลันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ข้าไปเอง ต่อให้ขนย้ายทองก้อนได้แค่ไม่กี่ก้อน แต่คอยจับตามองอยู่ข้างๆ ก็ช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดได้”
หลิ่วจิ้งถิงช่วยจัดสาบเสื้อให้บุตรชาย “ระวังตัวหน่อย ไม่เป็นขุนนางแล้วอย่างไร บัณฑิตที่จิตใจไม่เที่ยงตรง แต่กลับละโมบในตำแหน่งสูงก็ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริงแล้ว บุตรชายข้าขาเป๋ เป็นขุนนางไม่ได้ แต่กลับยังสามารถเป็นบัณฑิตไปได้ชั่วชีวิต ในเมื่อไม่อาจปกครองบ้านเมืองนำพาความสงบสุขมาให้แก่คนใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นก็บ่มเพาะปลูกฝังตัวเองให้ดี ดูแลครอบครัวให้ร่มเย็น ทำได้หรือไม่?”
ในที่สุดหลิ่วชิงซานก็ยิ้มออก “ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่ยาก”
หลิ่วชิงซานติดตามพ่อบ้านวัยชราพาคนงานร่างกำยำของสวนสิงโตที่แต่ละคนเดินปรี่ออกมาด้วยสีหน้าห้าวเหิมออกไปจากศาลบรรพชน
หลิ่วจิ้งถิงไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงชราผู้นั้น เขาเดินไปหยุดตรงหน้าอาจารย์ต่างแซ่สองท่านที่อยู่กันคนละวัย แล้วคารวะเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านอาจารย์ฝู ท่านอาจารย์หลิวที่ช่วยสั่งสอนให้คนสกุลหลิ่วของข้าเป็นบัณฑิตที่มีปราณเที่ยงธรรมอยู่เต็มตัว”
อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงมีสีหน้าเฉยชาดังเดิม แม้แต่จะผงกศีรษะรับเบาๆ ยังไม่ทำ ยังดีที่สวนสิงโตเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเสียแล้ว เพราะไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใครผู้เฒ่าก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้เสมอ
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนคลี่ยิ้ม “ถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์เป็นหน้าที่ของคนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว”
……
ในเรือนเล็กแห่งหนึ่งมีจอมยุทธ์ผู้ผดุงธรรมสี่ท่านที่เดินทางมาไกลอาศัยอยู่ เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของสวนสิงโตมาก่อนเฉินผิงอันเสียอีก
คุณชายหนุ่มแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กูและสาวใช้หน้าตางดงามที่มีชื่อว่าเหมิงหลง บวกกับผู้ฝึกตนที่เป็นอาจารย์และศิษย์ซึ่งคนหนึ่งเลี้ยงจิ้งจอกตัวเล็ก คนหนึ่งเลี้ยงงูสีเขียวมรกต
ทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันโดยบังเอิญ เคยร่วมกันกำราบปีศาจตนหนึ่งที่อาละวาดอยู่บนภูเขา ฝั่งคุณชายตู๋กูลงแรงมากกว่าใคร แต่กลับเลือกของเชลยศึกบางส่วนที่เป็นแค่วัตถุธรรมดาซึ่งไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสง่างาม ส่วนสมบัติวิเศษล้ำค่าหลายชิ้นและเงินเทพเซียนกองใหญ่ล้วนยกให้อาจารย์และศิษย์สองคนนั้น
อาจารย์และศิษย์สองคนปรึกษากันเป็นการส่วนตัว รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาทั้งสองรวมกันแล้วน่าจะไม่มีค่าเท่ากับปลาตัวใหญ่ที่คุณชายท่านนั้นปล่อยเบ็ดยาวไว้ จึงทำหน้าหนามาขอใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนายบ่าวคู่นี้ และภายหลังพวกเขาก็ได้เปรียบในบางเรื่องจริงๆ การกำจัดปีศาจปราบมารทั้งสองครั้งทำให้ได้เงินเกล็ดหิมะหลายร้อยเหรียญเข้ากระเป๋า แน่นอนว่านี่ยังเป็นเพราะผู้ฝึกตนผู้เฒ่ามีใจคิดหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง แล้วก็ได้รู้ว่าคุณชายสูงศักดิ์ที่บอกว่าตัวเองมาจากราชวงศ์จูอิ๋งผู้นี้มีนิสัยไม่ชอบแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองกับใครจริงๆ
คุณชายยังไม่เคยลงมือจริงๆ จังๆ บอกว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์มุทะลุที่เรียนวิชายุทธ์มาอย่างงูๆ ปลาๆ อาจารย์และศิษย์สองคนไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่เชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว
แต่สาวใช้ผู้นั้นลงมืออยู่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็น่าตื่นตะลึงจริงๆ
นางคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
ไม่เพียงเท่านี้ นางถึงขั้นสามารถใช้วิชาดินแดนเซียนในตำนานมาบังคับเทพท่องราตรีสูงสามจั้งตนหนึ่งได้!
สาวใช้เหมิงหลงไม่ใช่ปีศาจหญิงแก่ที่มีโฉมหน้าเป็นเด็กสาวอะไร แต่เป็นสตรีที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีจริงๆ
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กำลังจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดูจากวิธีการอำมหิตที่ใช้ลงมืออยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นของขอบเขตถ้ำสถิต
เอาผู้มีพรสวรรค์ซึ่งมีความหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่พสุธามาเป็นสาวใช้ที่คอยยกน้ำส่งชา โดยที่ฝ่ายหลังก็เห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
คนที่มีสมองหน่อยล้วนรู้ว่าภูมิหลังและชาติกำเนิดของคุณชายตู๋กูผู้นี้ต้องลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งอย่างแน่นอน
น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าเค้นสมองคิดแทบตายก็ยังนึกไม่ออกว่าราชวงศ์จูอิ๋งมีบุคคลยิ่งใหญ่คนไหนที่มีแซ่ว่าตู๋กู ค้นหาทั่วทั้งเหนือและใต้ครบรอบหนึ่งก็พอจะค้นเจอตระกูลชนชั้นสูงและสำนักอยู่สองแห่ง หากไม่ใช่เสาหลักของราชสำนักในหนึ่งแคว้น ก็เป็นตระกูลที่มีโอสถทองนั่งบัญชาการณ์ แต่เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับรากฐานที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้เห็นก็ยังไม่สอดคล้องกันอยู่ดี
คิดไปคิดมาก็คิดได้แค่ว่าคงเป็นเพราะราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่าแห่งนั้นมีตะพาบเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำมากเกินไป คนหนุ่มจึงอาจจะมาจากตระกูลเซียนบางแห่งที่ไม่ชอบโอ้อวดตน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่อาจารย์และศิษย์ผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่มีนิสัยหากไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่ตื่นเช้า กล้ายั่วยุให้สองนายบ่าวเดินทางมากำราบปีศาจที่สวนสิงโต
เวลานี้คุณชายตู๋กูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกที่ไม่ค่อยจะปกติ “ดูท่าปีศาจตนนั้นคงถูกคนหนุ่มแซ่เฉินเหยียบหางเข้าให้แล้ว เป็นแบบนี้ก็ยิ่งดี พวกเราไม่ต้องลงมือเอง แต่น่าเสียดายขวดดอกเหมยและอักษรภาพหนึ่งในของสามชิ้นของสวนสิงโตเหลือเกิน ล้วนเป็นของตกแต่งชั้นเยี่ยม ไม่รู้ว่าถึงเวลาที่คนแซ่เฉินได้ไปครองแล้วจะยินดีตัดใจขายของรักให้ข้าหรือไม่”
สาวใช้เหมิงหลงยิ้มกล่าวว่า “คนที่มองของออกล้วนหมายตาสมบัติอาคมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นดั่งซี่โครงไก่ในมือของคนสกุลหลิ่ว คุณชายกลับดีนัก คิดแต่อยากจะได้ของเล่นที่มีค่าไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียน”
คุณชายตู๋กูถอนหายใจ “เมื่อเรื่องทางนี้ยุติลง พวกเราต้องเหนื่อยยากกันอีกแล้ว”
เหมิงหลงเองก็ขมวดคิ้วมุ่น “คุณชาย พวกเราหาคนหาเบาะแสกันอยู่อย่างนี้ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างยากนะเจ้าคะ”
คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ไม่มีทางลัดทางอื่นให้เลือกเดินนี่นา ก็ได้แต่ใช้วิธีที่โง่งมที่สุดวิธีนี้แล้ว พวกเราก็ถือซะว่ามาเที่ยวเล่นก็แล้วกัน เที่ยวเล่นพลางรอฟังข่าวจากบนภูเขาไปด้วย”
เหมิงหลงโมโหเล็กน้อย “คนที่เต็มใจพูด พวกเราล้วนตามหาตัวเจอหมดแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าพวกเขาไม่รู้อะไรสักอย่าง พวกคนที่ไม่เต็มใจพูด แต่ละคนก็ล้วนมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ และพวกเราก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตน พวกคนที่อาศัยสถานะของกุรุทวีป ตาไม่ใช่ตา จมูกก็ไม่ใช่จมูก มีอะไรร้ายกาจนักเชียว ก็แค่อาศัยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มาได้หลายร้อยปี ตอนนี้ก็แค่มีขอบเขตสูงขึ้นมาหน่อยเท่านั้น หากจะถามความเห็นข้า ไม่ต้องรอสามสิบปี คุณชายก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้ด้วยมือเดียว”
คุณชายตู๋กูไม่ได้สนใจคำบ่นของสาวใช้ “หาหญิงสาวผู้นั้นให้เจอก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
เหมิงหลงนั่งลงข้างโต๊ะ เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงขยับเม็ดหมากที่อยู่บนกระดานกลางโต๊ะให้มั่วซั่ววุ่นวายไปหมด “รู้แค่ชื่อแซ่ แล้วก็รู้ว่าอยู่บนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยว เป็นแค่นักพรตเล็กๆ ที่ไร้แซ่ไร้นามเท่านั้น เบาะแสมีน้อยเกินไป หากไม่เป็นเพราะภิกษุที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้าผู้นั้นเอ่ยถึงนาง พวกเราก็คงไม่ต่างจากแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนสะเปะสะปะ คุณชาย ข้าเริ่มคิดถึงบ้านแล้ว ท่านห้ามโกหกข้านะ หาผู้ฝึกตนน้อยคนนั้นเจอเมื่อไหร่ พวกเราจะได้กลับจวนกันสักที”
คุณชายตู๋กูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งก็กล้าพูดว่าคนอื่นคือผู้ฝึกตนน้อยด้วยหรือ?”
เหมิงหลงยิ้มตาหยี “แต่จะดีจะชั่วบ่าวก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งนี่นา”
คุณชายตู๋กูถลึงตาดุดันใส่ “ผีซิว (ปี่เซียะ) อย่างผู้ฝึกกระบี่กินทั้งเงินและทำลายทั้งความรู้สึก มีค่าอะไรให้เอามาโอ้อวดกัน”
เหมิงหลงปิดปากหัวเราะคิกคัก “ประโยคนี้คนอื่นพูดได้ มีแต่คุณชายที่พูดไม่ได้ บ่าวกินเงินเทพเซียนไปจนหมดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านจะต้องได้กำไรกลับคืนมา อยู่ในบ้านของคุณชาย เงินแค่นี้ก็ไม่ได้ต่างจากขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัวหรอกหรือ?”
คุณชายตู๋กูส่ายหน้า “รอให้เจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางจริงๆ เมื่อไหร่ก็พูดแบบนี้ไม่ได้แล้ว วัตถุดิบวิเศษที่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งต้องเผาผลาญไปบนเส้นทางของการฝึกตน อย่างน้อยก็คือสองเท่าของเทพเซียนพสุธาทั่วไป”
เหมิงหลงพยักหน้ารับ พูดเบาๆ ว่า “นายท่านกับนายแม่จ่ายเงินราวกับสายน้ำไหลจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่เป็นรองตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าหรอก”
คุณชายตู๋กูหัวเราะอย่างถอนฉุน “ใจกล้าใหญ่แล้วนะ อยู่ต่อหน้าข้าก็กล้านินทาพ่อแม่ของข้าแล้วรึ?”
เหมิงหลงพูดออดอ้อน “คุณชายเป็นคนดีนี่นา บ่าวจะต้องกลัวอะไร”
คุณชายตู๋กูยิ้ม “เจ้าเป็นสตรี ไม่ช้าก็เร็วเมื่อออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป คุณชายอย่างข้าก็ต้องเปลืองเงินเปล่าแล้ว”
เหมิงหลงส่ายหน้า “ข้าไม่แต่งงาน จะแต่งให้กับหมอนปักลายบุปผาพวกนั้นไปทำไม ชั่วชีวิตนี้บ่าวจะติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเท่านั้น”
คุณชายตู๋กูไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ หันหน้าไปมองสีท้องฟ้าต่ออีกครั้ง “ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นทำแต่เรื่องประหลาด รับมือได้ยากยิ่ง หวังว่าคนหนุ่มที่ร่วมมือกับนักพรตหญิงใช้มีดจะไม่เป็นอันตรายอะไรนะ”
เหมิงหลงยิ้มกล่าว “คุณชายมีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ”
คุณชายตู๋กูเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าแค่หวังว่าจะซื้อของสองชิ้นนั้นมาได้โดยออกแค่เงินไม่ต้องออกแรง ส่วนเรื่องวงในวงนอกของสวนสิงโตแห่งนี้จะมีจุดจบอย่างไร ข้าไม่สนใจ จะดีหรือเลว จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นพวกเขาที่รนหาเรื่องเอง”
……
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว จูเหลี่ยน พ่อบ้านเฒ่าและหลิ่วชิงซานสามคนพากันเร่งรุดมาถึง ต่างคนต่างถือสีทองที่ทำขึ้นเป็นพิเศษไหหนึ่งซึ่งมีขนาดพอๆ กับกาเหล้า
ในหอซิ่วโหลว วิญญาณของสือโหรวกลับเข้ามาในคราบร่างเซียนเหรินแล้ว กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในมุม
ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกเจ็บใจว่าตนไม่อาจคัดหนังสือได้ วันนี้คงต้องขาดวิชาเรียนไปอย่างหนึ่ง รอคอยอยู่ว่างๆ ก็ช่างน่าเบื่อหน่าย
ภายหลังจ้าวหยาเห็นว่าบนหน้าผากเด็กหญิงแปะแผ่นยันต์ก็คิดว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงขยับเข้ามาชวนคุย ไปๆ มาๆ ก็พาเผยเฉียนที่หวั่นไหวตั้งแต่แรกเห็น แต่เกรงใจที่จะเปิดปากไปดูกรงหลวนกรงนั้น พอเผยเฉียนได้พินิจมองอย่างละเอียดก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
ผู้ดูแลเฒ่าและหลิ่วชิงซานต่างก็ไม่ได้ขึ้นมาบนหอเรือน พวกเขาย้อนกลับไปที่ศาลบรรพชนด้วยกัน
ก่อนจะจากไป หลิ่วชิงซานหันไปโค้งตัวคารวะทางหอสูงหนึ่งครั้ง
ในห้อง เฉินผิงอันรับพู่กันมา จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างถือ ‘แท่นฝนหมึก’ ที่เป็นไหบรรจุ ‘น้ำหมึก’ สีทองไว้จนเต็ม และเฉินผิงอันก็เริ่มวาดยันต์ไว้บนเสาต้นหนึ่งก่อน
ล้วนเป็นยันต์ที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้เล่มนั้น
แตะปลายพู่กันจุ่มน้ำสีทอง ขนพู่กันก็ชุ่มฉ่ำอิ่มน้ำ
ไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันพูดอะไรมาก จูเหลี่ยนก็สะบัดไหล่ยิ้มกล่าวว่า “คุณชาย เชิญ”
เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้า มือถือพู่กันตวัดขึ้น เท้าเหยียบลงบนไหล่ของจูเหลี่ยน วาดยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้บนสุดของเสาเสร็จในรวดเดียว
จูเหลี่ยนงอเข่าทั้งสองข้างลงเล็กน้อย จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้ปราณวิญญาณที่สะสมไว้ในชุดคลุมอาคมจินหลี่และจวนน้ำวาดยันต์สยบปีศาจอีกแผ่นหนึ่งโดยขยับลงมาเบื้องล่าง
หลังจากวาดไปแล้วสองแผ่น เฉินผิงอันก็เหยียบไหล่จูเหลี่ยนอีกครั้ง วาดยันต์ไว้เต็มทุกพื้นที่ของคานในห้อง
พอลงมายืนบนพื้นก็วาดยันต์ต่อบนหน้าต่าง บนผนังห้อง นอกจากยันต์สยบปีศาจที่ได้ประสิทธิผลที่สุดแล้วยังมีอีกสามชนิด นั่นคือยันต์จิตใจสงบสุขและยันต์ชำระสิ่งสกปรกซึ่งเป็นยันต์ขั้นพื้นฐานที่สุดของมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด นอกจากนี้ก็วาดยันต์ปราณหยางส่องไฟอีกสองสามแผ่นไว้บนหน้าประตู
ระหว่างนี้จูเหลี่ยนถามเบาๆ ว่า “คุณชายต้องการพักผ่อนสักครู่หรือไม่”
เฉินผิงอันเพียงส่ายหน้า “ไม่แน่ว่าปีศาจใหญ่ตนนั้นอาจจะกำลังเดินทางมาแล้ว จะมัวล่าช้าไม่ได้ วาดได้มากขึ้นแผ่นหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
ยันต์ในห้องหอถูกวาดจนเสร็จครบถ้วน
เฉินผิงอันเพิ่งจะใช้สีทองไปเกินครึ่งไห จากนั้นเขาก็ไปที่ระเบียงนอกห้อง วาดยันต์สยบปีศาจตรงระเบียงคนงามต่ออีกครั้ง และยังพยายามวาดยันต์สั่งกระบี่และยันต์ตัดโซ่อีกสองสามแผ่น ซึ่งค่อนข้างจะกินแรงอยู่สักหน่อย
หัวใจของยันต์วาดสำเร็จแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อวาดยันต์แผ่นหนึ่งเสร็จ แสงศักดิ์สิทธิ์จะดำรงอยู่ได้นานเท่าไหร่ จะต้านทานปราณชั่วร้ายทอดยาวที่พุ่งเข้ามารุกรานมาแปดเปื้อนได้หรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง จะสามารถรับการโจมตีจากเวทคาถาของปีศาจใหญ่ได้มากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันได้แต่ทำเหมือนว่าตนเองเป็นชาวนาที่ขยันขันแข็งคนหนึ่ง ดินในนาของตนสารอาหารบางเบา ไม่ใช่นาที่ดี เป็นเหตุให้ผลเก็บเกี่ยวแต่ละไร่มีคุณภาพจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็เอาชนะกันที่จำนวนก็แล้วกัน
ในไหยังเหลือสีทองอยู่อีก เฉินผิงอันจึงเหยียบบนรั้วระเบียงด้านนอกแล้วพลิ้วกายขึ้นไปบนหลังคาพร้อมกับจูเหลี่ยน นั่งยองวาดยันต์อยู่บนสันหลังคานั่น
ในที่สุดเผยเฉียนก็หาโอกาสโอ้อวดได้ ขณะที่เฉินผิงอันเพิ่งเริ่มวาดยันต์ได้ไม่กี่แผ่น นางก็ยกสองแขนกอดอก เชิดศีรษะน้อยๆ ขึ้นสูงแล้วคุยโว “พี่หญิงหยาเอ๋อร์ ความสามารถในการวาดยันต์ของอาจารย์ข้าร้ายกาจไหมล่ะ? ท่านรู้สึกว่าเหมือนตัวอักษรฮวาเหนี่ยวจ้วน (ตัวอักษรที่คล้ายภาพวาดนกและดอกไม้) ไหม สวยหรือไม่? มีท่วงทำนองของนักประพันธ์ใหญ่เลยใช่ไหมล่ะ?”
จ้าวหยาไม่ใช่ผู้ฝึกตน มองตื้นลึกหนาบางในฝีมือการวาดยันต์ของเฉินผิงอันไม่ออก แต่นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูหลิ่วชิงชิง สำหรับเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กันและภาพวาดจึงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เป็นเหตุให้ไม่รู้สึกว่าตัวอักษรโบราณที่เซียนซือชุดขาวใช้วาดเป็นยันต์มีพลังสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินเผยเฉียนถามแบบนี้ นางก็ได้แต่ตอบรับอย่างขอไปทีเพื่อไม่ให้เด็กหญิงต้องผิดหวัง
คิดไม่ถึงว่าพอเผยเฉียนได้ยินจ้าวหยาพูดเออออคล้อยตามนางอย่างแห้งแล้งสองสามประโยคจะส่ายหน้า “พี่หญิงหยาเอ๋อร์ ท่านไม่เข้าใจ ตัวอักษรของอาจารย์ข้ามีดีที่…มีกลิ่นอายแห่งเซียน!”
สำหรับคำพูดที่หลุดมากะทันหันนี้ของตัวเอง เผยเฉียนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
จ้าวหยาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ต้องโทษที่ข้าสายตาไม่ดี ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่เทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้า จึงมองฝีมือที่แท้จริงไม่ออก”
เผยเฉียนยังคงมองออกในปราดเดียวว่านางพูดกับตนอย่างขอไปที จึงแอบกลอกตามองบน คร้านจะพูดอะไรอีก เพียงฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เบิกตากว้างมองประเมินภาพเหตุการณ์ในกรงหลวนต่อไป
ตาใหญ่จ้องตาเล็ก
ภูตประหลาดมากมายที่อยู่ในกรงหลวนล้วนพากันบินจากหอเรือน มาจ้องมองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านคนนี้ด้วยกัน
จ้าวหยาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหลิ่วชิงชิง กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่? ดูเหมือนในห้องจะมีกลิ่นอายสดชื่นและสว่างขึ้นเยอะมาก?”
หลิ่วชิงชิงยิ้มขื่น “ข้าไม่เห็นรู้สึกอะไร”
จ้าวหยายกม้านั่งมานั่งข้างกายนาง กุมมือเล็กที่เย็นเฉียบของคุณหนูตัวเองไว้เบาๆ
เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนพลิ้วกายกลับมาที่ระเบียงนอกห้อง จูเหลี่ยนที่สองมือว่างเปล่าบอกให้สือโหรวอุ้มไหบรรจุของเหลวสีทองที่เหลืออีกสองใบขึ้นมา สือโหรวไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงทำตามที่อีกฝ่ายบอก ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดตนนี้ ตอนนี้นางไม่อาจไปแหยมด้วยได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในลานบ้านของเรือนเล็ก จูเหลี่ยนปล่อยปราณสังหารท่วมเทียมฟ้าอย่างไม่คิดปิดบัง หันหัวหอกพุ่งเข้าหานางสือโหรว อันที่จริงนางหวาดกลัวอย่างมาก
เผยเฉียนเห็นเฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะก็รีบวิ่งเข้าไปหา “อาจารย์ ข้าเช็ดเหงื่อให้ท่านดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า “ข้ากับสือโหรวจะไปวาดยันต์ตามสถานที่ต่างๆ ของสวนสิงโตต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้หากมีลมพัดต้นหญ้าขยับ ยันต์ก็จะเกิดการขานรับ ที่นี่มีจูเหลี่ยนปกป้องพวกเจ้าย่อมไม่มีอันตรายมากนัก ต่อให้ปีศาจมาที่นี่ก็ไม่อาจบุกเข้าประตูหน้าต่างของหอซิ่วโหลวได้ทันทีทันใด ข้าสามารถกลับมาทัน”
เผยเฉียนตบกระบี่และดาบที่ทำจากไม้ไผ่ตรงเอวพลางพยักหน้ารับ “อาจารย์ท่านวางใจได้ ข้าจะปกป้องคุณหนูหลิ่วและพี่หญิงหยาเอ๋อร์เอง!”
เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กๆ ของนาง พูดเบาๆ ว่า “ปกป้องตัวเองให้ดีก่อน”
เผยเฉียนคลี่ยิ้มดั่งบุปผาผลิบาน
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่บนหลังคา เฉินผิงอันก็กำชับสั่งความเขาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องปกป้องเผยเฉียนให้ดี
ความหมายในคำพูดนั้น
ทำให้จูเหลี่ยนรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ
หากต้องติดตามนายน้อยที่แต่ละก้าวล้วนเดินเข้าหาอริยะผู้ทรงคุณธรรม ปณิธานอยู่ที่ตำแหน่งเทพของศาลบุ๋น จูเหลี่ยนมีแต่จะรู้สึกหงุดหงิดใจ
เฉินผิงอันพาสือโหรวพลิ้วกายลงไปที่ลานบ้านด้วยกัน
เฉินผิงอันบอกให้สือโหรวยื่นไหใบหนึ่งมาให้เขา “เจ้าไปเตือนกลุ่มคนของคุณชายตู๋กูกับผู้ฝึกตนคู่รักนั่น หากพวกเขายินดีก็ให้ไปเฝ้าที่ศาลบรรพชนเอาไว้ ทางที่ดีที่สุดควรเลือกมุมสูงที่การมองเห็นเปิดกว้าง ไม่แน่ว่าปีศาจจิ้งจอกอาจจะเผยกายในมุมใดมุมหนึ่งในอีกไม่นานนี้”
สือโหรวไปทำตามคำสั่งเงียบๆ
……
บนสะพานโค้งแห่งหนึ่งของสวนสิงโต สองฝั่งของสะพานมีคนหนุ่มชุดคลุมสีดำและนักพรตหญิงมีดอาคม สองฝ่ายกำลังคุมเชิงกัน
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอามือหนึ่งกดลงบนรั้วสะพาน รั้วสะพานใต้ฝ่ามือก็แหลกละเอียดเป็นผุยผง “นักพรตหญิงหน้าเหม็น เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือว่าจะขัดขวางข้าจริงๆ?”
นักพรตหญิงที่ยืนอยู่บนสะพานส่ายหน้า “ขัดขวาง? ข้าจะสังหารเจ้าชิงทรัพย์”
สีหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาหัวเราะหยัน “ละโมบในชะตาบุ๋นบนโลกมนุษย์ ปีศาจอย่างเจ้าข้ามบ่อสายฟ้ามาไม่ใช่แค่ก้าวครึ่งก้าวแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าไม่อยากรู้เลยหรือว่าเหตุใดข้าที่เป็นปีศาจถึงสามารถวางแผนทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใกล้เมืองหลวงเหมือนมานอนกรนอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้สกุลถังได้?”
นักพรตหญิงวัยกลางคนเอามือกุมมีดอาคมตรงเอว “เรื่องราวยิบย่อยในโลกมนุษย์ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”