บทที่ 395 น้ำลดหินผุด เงินกองน้อย
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดนอกกำแพงสวนสิงโต
หลิ่วป๋อฉีก็พุ่งตัวขึ้นไปบนหลังคาศาลาแห่งหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ เผยสีหน้าชื่นชมอย่างที่หาได้ยาก
ฝึกตนอยู่ที่เรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัว ได้เห็นเรื่องประหลาดและคนประหลาดมากมายยิ่งกว่าอยู่ในทวีปใดๆ ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งหลิ่วป๋อฉียังเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นฝากความหวังไว้มาก และยังคอยติดตามผู้อาวุโสในสำนักออกทะเลไปจับพวกเจียวเฒ่าที่เหนื่อยล้าหลังกลับมาจากการโปรยพิรุณอยู่เป็นประจำ สายตาของนางย่อมสูงมากเป็นธรรมดา
จูเหลี่ยนยืนพิงราวระเบียงคนงาม เผยเฉียนก็ยืนอยู่บนราวระเบียง ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “คืออาจารย์ข้าหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นายน้อยใช้ยันต์เป็น ศึกบนภูเขาริมชายแดนต้าเฉวียน ข้าเคยเห็นมากับตาตัวเอง ยันต์ม้าเหล็กล้อมนครสามแผ่นรวมกันเป็นค่ายกล กลายเป็นยันต์ทหารตรีปฏิภาณหนึ่งชุด พลานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถกักปีศาจใหญ่ในลำคลองหมายเหอตนนั้นเอาไว้ได้ นึกไม่ถึงว่านายน้อยจะสามารถวาดยันต์ได้ด้วยตัวเอง พรสวรรค์ไม่ธรรมดา พลังอำนาจไม่น้อย…”
เผยเฉียนพูดเสียงขุ่น “มีอะไรบ้างที่อาจารย์ข้าทำไม่ได้? ไม่เห็นต้องแปลกใจเลย!”
จูเหลี่ยนเอ่ยหยอกล้อ “แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าถลึงตาโตเป็นกระด้ง แอบหัวเราะปากกว้างทำไม?”
เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง ไม่โต้เถียงไร้สาระกับตาเฒ่านี่อีก นางแหงนหน้าขึ้น ชำเลืองตามองไปบนชายคาเหนือศีรษะ แล้วค่อยมองพื้นดินนอกราวระเบียง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ออกแรงดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นสูง สองมือคว้าชายคา คิดจะพลิกตัวกลิ้งไปบนหลังคา ผลกลับกลายเป็นว่ากระชากกระเบื้องแผ่นหนึ่งให้ร่วงลงมาด้วย จูเหลี่ยนเตรียมจะยื่นมือไปดึงคอเสื้อด้านหลังของเจ้าคนบุ่มบ่ามผู้นี้ หมายจะดึงนางกลับเข้ามาในระเบียง แต่จู่ๆ จูเหลี่ยนกลับเปลี่ยนความคิด ปล่อยให้เผยเฉียนร่วงกระแทกลงไปในลานบ้าน ระหว่างที่ร่างร่วงหวือลงไป ในหัวสมองของเผยเฉียนว่างเปล่า เพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณของตัวเอง ลมปราณขุมหนึ่งที่เป็นดั่งมังกรเพลิงในร่างจึงโคจรอย่างดุเดือด พริบตาเดียวก็ม้วนตัวขดเป็นรูปร่างของวานรลักษณะคล้ายตอนที่จูเหลี่ยนตั้งท่าหมัดอยู่หลายส่วน และขณะที่อยู่ห่างพื้นอีกประมาณหนึ่งจั้ง มือเท้าของนางก็พลันกางออก ครั้นจึงพลิ้วกายลงบนพื้นอย่างปราดเปรียวประดุจแมวป่าตัวน้อย
จูเหลี่ยนฟุบตัวบนราวระเบียง จุ๊ปากพูด “จอมยุทธ์หญิงท่านนี้บินบนชายคาเดินบนผนังได้แล้ว วิชาตัวเบาร้ายกาจจริงๆ”
เผยเฉียนนั่งแปะลงบนพื้น นางตกใจจนหน้าขาวเผือด พอคืนสติกลับมาก็หันไปแผดเสียงด่าจูเหลี่ยนที่ไม่รู้จักความทุกข์ทรมานของผู้อื่น “พ่อครัวเฒ่า ทำไมเจ้าไม่ช่วยข้า?! หากข้าตกลงมาเจ็บหนักปางตาย แขนขาดหรือขาขาดไปแล้วอาจารย์รังเกียจข้า ข้าจะทำอย่างไร เดิมทีข้าก็เป็นตัวภาระของอาจารย์อยู่แล้ว เดินทางก็เดินได้ช้า มักจะถ่วงเวลาอาจารย์อยู่เสมอ ถึงเวลานั้นหากอาจารย์ไม่พอใจ ไม่ต้องการข้าอีกแล้ว…”
พอเผยเฉียนคิดถึงภาพเหตุการณ์อันน่าเวทนานั้นก็เริ่มร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น
ทำเอาจูเหลี่ยนหนวกหู แม้แต่สาวใช้จ้าวหยาก็ยังรีบวิ่งออกมานอกห้อง เมื่อครู่นี้จ้าวหยาคุยเล่นอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูตลอดเวลา เวลานี้เห็นเผยเฉียนนั่งอยู่บนพื้น นางจึงมีสีหน้างงงัน ไม่รู้ว่าเด็กหญิงที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ไปนั่งอยู่ในลานบ้านได้อย่างไร
จูเหลี่ยนแสร้งทำท่าตกตะลึง “รีบขึ้นหอมาเร็วเข้า ปีศาจมาแล้ว”
เผยเฉียนไม่พูดจาไม่จาผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หยุดเสียงร้องไห้ได้ในฉับพลัน วิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดหอเรือนมา พุ่งตัวเข้าใส่ห้องสตรีที่ยังไม่ได้ลงกลอน หมุนตัวกลับไปปิดประตูให้แน่นสนิท หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาแล้ววิ่งพรวดไปหยุดอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน เหลียวซ้ายแลขวา ปาดน้ำตาพลางยื่นมือไปตบยันต์กระดาษสีเหลืองบนหน้าผาก ถามว่า “อยู่ไหนๆ?”
จูเหลี่ยนกลั้นยิ้ม พูดตอบไปอย่างส่งเดช “ถือว่าเจ้าโชคดี ดูเหมือนว่าปีศาจตนนั้นเห็นว่าหอซิ่วโหลวแข็งแกร่งมิอาจทำลายจึงหนีไปแล้ว”
เผยเฉียนเช็ดน้ำตาและเหงื่อที่ไหลนองหน้าทิ้งแรงๆ นางกลัวมากเกินไปจริงๆ จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเจ้าเล่ห์ของจูเหลี่ยน ยังคงพยายามเบิกตากว้างตามหาร่องรอยของปีศาจอย่างละเอียด ปากก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จูเหลี่ยน หากคราวหน้าปีศาจมาเยือนหอซิ่วโหลวอีก เจ้าต้องปกป้องคุณหนูหลิ่วและพี่หญิงหยาเอ๋อร์ให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์กลับมาแล้วพบว่าพวกนางสองคนถูกปีศาจจับตัวไป ต่อให้ปากอาจารย์จะไม่ด่าข้า แต่ในใจต้องโกรธข้าแน่นอน”
จ้าวหยาหันหน้าไปปิดปากหัวเราะทางอื่น
จูเหลี่ยนยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองบ้างรึ?”
เผยเฉียนควักยันต์ออกมาอีกแผ่น แปะลงบนหน้าผากตัวเอง กำไม้เท้าเดินป่าในมือแน่น “อาจารย์บอกให้ข้าปกป้องตัวเองให้ดี ข้าก็จะต้องทำให้ได้!”
จูเหลี่ยนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งวางแนบหน้าท้อง บุคลิกของปรมาจารย์เปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “วางใจเถอะ อาจารย์ของเจ้าก็บอกแล้วว่าให้ข้าปกป้องเจ้าให้ดี”
……
บนหอเก็บหนังสือ
คุณชายตู๋กูยิ้มกล่าวว่า “ปีศาจที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตนนั้น เกรงว่าคงกลายเป็นสุนัขที่ถูกคนปิดประตูตีแล้ว”
เหมิงหลงถาม “จะกักขังทั้งสวนสิงโตไว้ได้จริงๆ หรือ?”
คุณชายตู๋กูอธิบาย “ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้านทานการบุกฝ่าหลายครั้งของปีศาจตนนั้นได้ แต่ขอแค่มันเปิดเผยร่างจริงก็คือช่วงเวลาที่นักพรตหญิงจะชักมีดสังหาร”
เหมิงหลงถามอีก “แต่ถ้าปีศาจตนนั้นตัดสินใจว่าจะหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาล่ะ?”
คุณชายตู๋กูชี้ไปยังภาพปรากฎการณ์ปราณวิญญาณที่เกิดขึ้นในแถบพื้นที่โดยรอบสวนสิงโต คนธรรมดาที่อยู่ในสวนสิงโตอาจจะมองอะไรไม่ออก แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญแล้วจะเห็นเป็นแสงสีทองที่เหมือนลำธารไหลรินโอบล้อมเป็นวง “การใช้ยันต์ไม่ทราบชื่อนี้สร้างเป็นค่ายกล ปราณวิญญาณจำแลงมาเป็นของเหลว ความมหัศจรรย์นั้นไม่ได้อยู่ที่แค่สองคำว่ากักขัง หากไม่ผิดไปจากที่คาด นี่น่าจะเกี่ยวพันไปถึงสายน้ำและรากภูเขาของที่แห่งนี้ด้วย บวกกับที่ตอนนี้เทพแห่งผืนดินหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว การตามหาที่ซ่อนตัวของปีศาจก็ยิ่งง่ายขึ้น อีกอย่างในเมื่อเซียนซือหนุ่มผู้นี้สามารถวาดค่ายกลยันต์ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ อันดับต่อไปก็คงจะวาดยันต์ลงบนแกนกลางสำคัญอันเป็นสถานที่ซ่อนลมกักน้ำของสวนสิงโตด้วย ต่อให้ปีศาจนั่นไม่อุดอู้จนตายก็ต้องถูกทำให้สะอิดสะเอียนจนตาย ประหนึ่งคนอยู่กลางน้ำเดือดที่ไม่อาจรู้สึกดีได้เลย”
เหมิงหลงกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “วาดยันต์ไปตั้งมากมายกว่าจะสร้างความเคลื่อนไหวพวกนี้ขึ้นมาได้ ไม่ถือว่าร้ายกาจอะไร อาจารย์ของคุณชายแค่วาดยันต์แผ่นหนึ่งก็สามารถใช้ลมปราณสยบควันม่วงให้โอบล้อมรอบนครที่มีชาวบ้านอาศัยหลายแสนคน หรือไม่ก็เอื้อมมือคว้าเมฆดำมาจำแลงเป็นงู สังหารให้ปีศาจใหญ่โอสถทองตายไปโดยตรง…”
คุณชายตู๋กูกล่าวอย่างระอาใจ “ข้ากำลังพูดถึงความดีของคนหนุ่มผู้นี้ ส่วนเจ้ากำลังพูดถึงความร้ายกาจของอาจารย์ข้า สองอย่างนี้ไม่เกี่ยวข้องกันสักหน่อย เจ้าน่ะ อย่าเอาแต่ดูแคลนผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวนอกเหนือจากคุณชายอย่างข้าเลย”
เหมิงหลงพูดอย่างตรงไปตรงมา “บ่าวก็แค่เห็นคนอื่นดีกว่าคุณชายไม่ได้ หากคนหนุ่มแซ่เฉินเป็นผู้หญิง ต่อให้เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง คุณชายว่าบ่าวจะริษยาไหม?”
คุณชายตู๋กูยิ้มถาม “งั้นถ้าเป็นเซียนกระบี่หญิงที่อายุน้อย แล้วยังหน้าตาดีกว่าเจ้าอีกเล่า?”
เหมิงหลงฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็คงริษยาจนคิดฆ่าคนเลยล่ะ”
คุณชายตู๋กูยิ้มบางๆ “ท้องหนูไส้ไก่ ความปรารถนามากแต่จิตใจคับแคบ ต้องเรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนห้ามเอาเยี่ยงอย่างนะ”
เหมิงหลงทอดสายตามองไปไกลพลางพูดเบาๆ “เดิมทีผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราก็เดินบนทางไส้แกะที่อันตรายที่สุดอยู่แล้ว แค่กระบี่บินผ่านไปได้ก็พอแล้ว”
คุณชายตู๋กูส่ายหน้า “นั่นเป็นเพราะเจ้าเดินไปได้ไม่ไกลพอและไม่สูงพอ แต่ก็ไม่เป็นไร พรสวรรค์ของเจ้าดีมากพอ ค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีกระบี่เถอะ ต่อให้เป็นพ่อแม่ข้าก็ยังให้ความสำคัญกับเจ้า รู้สึกว่าเจ้าเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มอบเทพท่องราตรีตนนั้นให้เจ้าเป็นรางวัล”
เหมิงหลงพลันรู้สึกว่าคำพูดของคุณชายตัวเองคล้ายจะมีความนัยซ่อนแฝงอยู่ แต่อดกลั้นไว้ไม่พูดออกมา นางหันหน้ากลับไป แนบซีกหน้าข้างหนึ่งไว้บนราวระเบียง
คุณชายตู๋กูนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ยิ้มพูดว่า “เจ้าเป็นหนอนในท้องของข้าหรือไร? เอาเถอะ ข้าจะเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ปีนั้นพ่อแม่ของข้าเคยติดตามคนผู้นั้นไปที่สวนลมฟ้า ไปเยี่ยมเยียนหลี่ถวนจิ่ง ได้ชมการเข่นฆ่าสังหารระหว่างผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดครั้งที่สาม แน่นอนว่าฝ่ายของพวกเราพ่ายแพ้ เพียงแต่ว่าหลังจบเรื่องหลี่ถวนจิ่งผู้นั้นต้มชารับรองแขก ก่อกำเนิดอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปท่านนี้ยิ้มกล่าวประโยคประหลาดว่า ผู้ฝึกลมปราณเอาหน้าสุนัขที่ไหนมาเหยียดตามองโลกมนุษย์ เอาอะไรมาดูถูกคนล่างภูเขา ก็แค่บังเอิญได้เดินไปบนเส้นทางที่กว้างใหญ่สุขสบายเท่านั้น หากกฎเกณฑ์ในช่วงแรกสุดไม่มีความเกี่ยวข้องกับการ ‘หล่อหลอมปราณวิญญาณ’ แต่เป็นว่าในใต้หล้าแห่งนี้ใครมีความสามารถในการเพาะปลูกมากที่สุด คนคนนั้นก็จะ ‘สอดคล้องกับมหามรรคา’ มากที่สุด หรือใครที่ปะเย็บซ่อมรองเท้าได้เก่งที่สุด คนนั้นก็ได้รับ ‘เงื่อนไขหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด’ ถ้าอย่างนั้นพวกเทพเซียนที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในเวลานี้จะมีสภาพเป็นเช่นไร”
เหมิงหลงพูดเบาๆ “หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าเป็นคนประหลาดที่ชอบพูดเรื่องประหลาดและทำเรื่องประหลาดจริงๆ”
คุณชายตู๋กูอืมรับหนึ่งที “หลี่ถวนจิ่งคือเจินเหรินที่แท้จริง แต่พอเขาตายไป ต่อให้สวนลมฟ้ามีหวงเหอและหลิวป้าเฉียวอยู่ ก็ยังไม่สามารถกดข่มปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าของภูเขาตะวันเที่ยงได้อยู่ดี”
เหมิงหลงพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หลิวป้าเฉียวกับซูเจี้ยนั่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? สุดท้ายได้กลายเป็นคนรักที่ครองคู่กันอย่างมีความสุขเหมือนในนิยายหรือไม่?”
คุณชายตู๋กูครุ่นคิด “ต่อให้ความรักของสองคนนี้จะเป็นนิยายที่จบลงด้วยความสุขเล่มหนึ่งจริงๆ แต่ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะเปิดอ่านไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
เหมิงหลงพลันกดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “คุณชาย หรือจะเป็นเหมือนพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่นักเขียนสำนักประพันธ์มาชุมนุมกัน ไม่ว่าในตำราจะเขียนอย่างไร ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่มงคลก็จะทำอย่างนั้นจริงๆ? นายแม่ยังเคยบอกว่าในบรรดาเมธีร้อยสำนัก อริยะปราชญ์ของสำนักนี้ร้ายกาจนักล่ะ คนที่ตบะสูงส่งสามารถเขียนสภาพความเป็นไปของหนึ่งแคว้นได้ คนที่ตบะแย่หน่อยก็เขียนสภาพของหนึ่งพื้นที่หนึ่งเขต ส่วนลูกศิษย์สำนักประพันธ์ที่ตบะต่ำสุด เพิ่งจะเข้าสำนักมาได้ไม่นานจะได้แค่เขียนถึงเกิดแก่เจ็บตายของชีวิตมนุษย์ สุดท้ายยิ่งตัวละครใต้ปลายพู่กันของเหล่านักเขียนสำนักประพันธ์มีมากเท่าไหร่ อาณาเขตของพื้นที่มงคลแห่งนั้นก็จะยิ่งขยายใหญ่มากเท่านั้น”
คุณชายตู๋กูคลี่ยิ้ม “โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์พันลึก เรื่องจริงเรื่องเท็จ ใครเล่าจะรู้ได้”
เหมิงหลงถาม “คุณชาย วันใดที่พวกเราต่างก็เป็นเซียนดินแล้วลองไปดูกันว่าจริงหรือเท็จดีไหม?”
คุณชายตู๋กูสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ยิ้มตาหยีตอบรับ “ดีสิ”
……
ในห้องหนังสือของหลิ่วชิงซาน เด็กหนุ่มชุดดำมีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เหตุใดคนหนุ่มสะพายกระบี่สมควรตายผู้นั้นถึงได้เชี่ยวชาญวิธีการเขียนยันต์ อีกทั้งบนตัวยังพกยันต์ระดับขั้นไม่ธรรมดามากมายถึงเพียงนั้น?!
นี่คือตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าหากมันไม่ตายก็จะไม่ยอมเลิกรา? ไม่กลัวบ้างเลยหรือว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะเป็นดั่งปลาตายตาข่ายขาด? (เปรียบเปรยว่าพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย) ใครต่างก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน? เจ้าคนต่างถิ่นแซ่เฉินผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่ ลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติชิ้นที่อยู่บนโต๊ะนี้ต้องเป็นตาเฒ่าวิปริตผู้ประคับประคองมังกรตนนั้นได้ไปถึงจะมีประโยชน์! ทุ่มยันต์มากมายขนาดนี้ทิ้งไป คิดว่าตนเองเป็นลูกหลานสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภในธวัลทวีปหรือไร?
มันเหมือนมดบนกระทะร้อน เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องหนังสือ
คนบ้า มีแต่พวกคนบ้า
หากแค่สตรีจากเรือนซือเตาที่มีเทพเจ้าจิ้ง เจี่ยจั้วผายลมสุนัขอะไรนั่นแค่คนเดียวก็แล้วไปเถอะ นี่ยังมามีวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่ทำคุณความดีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนโผล่มาเพิ่มอีก คนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันกลับรู้จักร่วมมือกันมาวางแผนเล่นงานมัน คนหนึ่งวาดยันต์ผีบังตาอยู่รอบนอก อีกคนหนึ่งดึงความสนใจของมันอยู่ภายใน ปั่นป่วนการมองเห็นของมันให้พร่าเลือน
หรือว่าแผนการยึดครองสวนสิงโตซึ่งเป็นการคล้อยไปตามสถานการณ์ของตนในครั้งนี้จะต้องล้มเหลวในช่วงเวลาสุดท้าย? พอนึกถึงผู้เฒ่าวิปริตจมูกเหยี่ยว รวมไปถึงผู้เฒ่าสกุลถังที่กุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือ มันก็เริ่มใจฝ่อ
ความรู้สึกนี้บังเกิด มันก็เกือบจะเปิดเผยร่างจริงพุ่งเข้าชนกำแพงนั่นให้พังยับโดยไม่สนใจสิ่งใด ขอแค่ออกไปจากสวนสิงโตได้ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต่างจากนกที่ได้โบยบินบนฟ้าสูง เวทการหลบหนีที่ได้มาจากพรสวรรค์อันเลิศล้ำ อีกทั้งพื้นที่นอกสวนยังเป็นชัยภูมิดีเยี่ยมที่รายล้อมไปด้วยภูเขา เว้นเสียจากเซียนดินก่อกำเนิดที่มีศักยภาพน่าตะลึงมาค้นหาด้วยตัวเอง สามารถฟันผ่าภูเขาเขียวรอบด้านได้อย่างง่ายดายแล้ว ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น
เพียงแต่ว่าไม่นานมันก็บอกเตือนตัวเองว่า เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายยิ่งไม่ควรตระหนกลน ตอนนี้สวนสิงโตกลายเป็นกรงขังชั่วคราวแล้ว นี่เป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว จะร้อนใจไม่ได้ จะให้เกิดความวุ่นวายท่ามกลางความโกลาหลอีกไม่ได้เด็ดขาด
มันคลี่ยิ้มกว้างเพราะนึกความคิดดีๆ อย่างหนึ่งออก “ถ้าอย่างนั้นก็ให้นายท่านชิงลองหยั่งเชิงดูก่อนว่าพวกเจ้าแน่จริงหรือไม่”
บนหัวกำแพงด้านนอกสุดของสวนสิงโต เฉินผิงอันกำลังลังเลว่าควรจะให้สือโหรวไปขอก้อนเงินของทางการแคว้นชิงหลวนมาจากสกุลหลิ่วเพิ่มอีกดีหรือไม่ เพราะสามารถเอามาใช้วาดยันต์ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าตัวอักษรสีเงินเทียบกับตัวอักษรสีทองที่บดหลอมมาจากทองก้อนไม่ได้ ทว่าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือประสิทธิผลไม่ดีนัก อานุภาพของยันต์จะถูกลดทอนลง ข้อดีคือเฉินผิงอันสามารถวาดยันต์ได้อย่างผ่อนคลาย ไม่ต้องเปลืองแรงกายใจ บอกตามตรง การค้าขายที่ขาดทุนเช่นนี้ นอกจากยันต์กระดาษเหลืองที่สะสมมานานจะถูกนำออกมาใช้จนเกลี้ยงแล้ว ยังมีปราณวิญญาณที่ยังไม่ทันหล่อหลอมในชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ถูกเขาเผาผลาญไปเกินครึ่ง
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในเหล่านี้ไม่อาจนำไปบอกแก่คนนอกได้
พยายามคิดในแง่ดีก็แล้วกัน
ยกตัวอย่างเช่นหากสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ด้วยการวาดยันต์จนเต็มสวนสิงโตได้จริงๆ ก็มีค่าพอที่จะเอาไปเล่าเป็น…กับแกล้มเคล้าสุรายามที่พบกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงคราวหน้า
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังตัดสินใจอยู่นั้น ดวงตาของเขาก็หรี่ลง
เห็นเพียงว่าสวนสิงโตที่อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมีเด็กหนุ่มชุดดำเกือบร้อยคนปรากฎตัวในเวลาเดียวกัน เขาวิ่งตะบึงไปตามระเบียง ทางเดิน บ้างก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาประหนึ่งกบแตะผิวน้ำ
พากันวิ่งหนีออกไปนอกสวนสิงโต
มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาบางคนในนี้ก็คือร่างจริงของปีศาจตนนั้น
หากปล่อยให้มันหนีออกไปนอกสวนสิงโตได้แล้วคราวหน้าแฝงตัวกลับเข้ามาอีกครั้ง เฉินผิงอันก็จนปัญญาจะรับมือแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันรู้ถึงน้ำหนักของยันต์ที่ตัวเองวาดดีว่าพอจะเรียกได้ว่าลมปราณโชติช่วงได้อย่างถูไถ แต่ไม่ทอดยาวมากพอ ปราณวิญญาณสลายหายไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็คือข้อด้อยที่ร้ายแรงที่สุดหากผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนวาดยันต์
เฉินผิงอันพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่ เจ้าไปเฝ้าที่หัวกำแพงทางฝั่งขวามือ ภาพมายาของปีศาจจิ้งจอกทำลายไม่ยาก หากพบร่างจริง แค่ถ่วงเวลาไว้สักครู่หนึ่ง เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นที่ข้ามอบให้เจ้า…”
สือโหรวนึกว่าเฉินผิงอันต้องการเอาสมบัติอาคมกลับคืนไปไว้ข้างกายจึงยื่นเชือกสีทองเส้นนั้นส่งมาให้ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ เฉินผิงอันหัวเราะอย่างถอนฉุน “ข้าแค่จะบอกเจ้าว่าจงใช้มันให้ดี รีบไปเฝ้าทางด้านนั้น!”
สือโหรวตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งตัวออกไปพร้อมถือเชือกปีศาจที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นไว้ในมือ
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ พูดในใจว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนออกมา พวกเจ้าคือท่าไม้ตายของข้า เมื่อแน่ใจว่าร่างจริงของปีศาจโผล่ออกมาแล้ว พวกเจ้าค่อยออกมาก็ยังไม่สาย”
ทางฝั่งของหอเก็บหนังสือ สาวใช้เหมิงหลงทำท่าคันไม้คันมือเต็มแก่ สายตาฉายประกายร้อนแรง “ไม่สนหรอกว่าจะใช่เวทอำพรางตาหรือไม่ คุณชาย ให้บ่าวลงมือเถอะ? อยู่ในสวนสิงโตแห่งนี้อุดอู้จะตายอยู่แล้ว”
คุณชายตู๋กูเอ่ยเตือน “ตอนนี้มีคนมากมายของแคว้นชิงหลวนจับตามองสวนสิงโตอยู่ ดังนั้นห้ามเจ้าใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต เพราะมีหยกติดตัวจึงมีความผิด (เดิมเปรียบเปรยว่าทรัพย์สินนำมาซึ่งภัยร้าย ภายหลังเปรียบเปรยว่าเพราะมีความสามารถจึงถูกคนอิจฉาริษยา) ข้าไม่อยากหาปัญหาใส่ตัว อีกอย่างก็อย่าเหยียบย่ำสิ่งปลูกสร้างในสวนสิงโตให้พังย่อยยับไปมากนัก”
สาวใช้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าให้นางยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ที่เดิม นางเขย่งปลายเท้าพลิ้วกายขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียง ปากพึมพำท่องคาถา มือข้างหนึ่งทำมุทรา อีกมือหนึ่งยื่นไปข้างหน้า ในดวงตางดงามมีแสงสีทองระยิบระยับ สุดท้ายตวาดเบาๆ ว่า “ออกมา!”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์สวมเกราะสีทองสูงสามจั้งตนหนึ่งกระแทกตัวลงบนพื้นดังตูม ฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
องค์เทพตนนี้นอกจากมีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารแล้ว บนร่างที่สูงใหญ่ยังมีแถบผ้าหลากสีที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณวิญญาณห้าเส้นล้อมพัน บนศีรษะสวมมงกุฎ บนเกราะสีทองของแขนข้างหนึ่งมีลมปราณสกปรกแผ่อบอวล ส่วนเกราะสีทองของแขนอีกข้างหนึ่งสลักภาพใบหน้าดุร้ายของภูตผีชนิดต่างๆ
เพียงแต่ว่าองค์เทพตนนี้หลับตาอยู่ตลอดเวลา
ราวกับว่ากำลังรอคำสั่งจากเหมิงหลง
ทุกครั้งที่เทพท่องราตรีที่หาได้ยากตนนี้เดินไปเบื้องหน้า แม้ว่าสองตาจะปิดสนิท แต่ก็ยังจงใจเดินอ้อมผ่านสิ่งปลูกสร้างแต่ละแห่งของสวนสิงโต ระหว่างที่ก้าวเดินแผ่นดินก็สั่นสะเทือนไปด้วย
เท้าเดียวก็กระทืบให้ร่างของเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่หลบหนีไม่ทันแหลกสลาย
แถบผ้าหลากสีห้าเส้นที่หล่อหลอมขึ้นด้วยฝีมือของเซียนซือประดุจเจียวหลงห้าตัวที่ออกมาจากบ่อมังกร ความยาวก็แค่สองจั้ง แต่กลับบินโฉบอย่างว่องไว ลอดผ่านทะลุร่างกายของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหล่านั้นไปอย่างง่ายดาย
เทพท่องราตรีตนนี้ยกแขนขึ้นกวาด ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงบนภาพมายาปีศาจที่บินทะยานอยู่บนหลังคา
เหมิงหลงเปลี่ยนท่าทางใหม่ คราวนี้นางนั่งลงบนราวระเบียง พูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ทนการโจมตีไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
คุณชายตู๋กูอธิบาย “ปีศาจตนนั้นแบ่งดวงจิตเสี้ยวหนึ่งจำแลงร่างเป็นคนหลายคน แต่ยังเคลื่อนไหวได้ปราดเปรียวเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
คงเป็นเพราะเคยเห็นภาพเทพท่องราตรีบดขยี้ปีศาจจิ้งจอกกับตาตัวเองมาก่อน โอกาสแพ้ชนะต่างกันมากเกินไป ความอันตรายก็น่าจะมีไม่มาก ถึงได้เป็นเหตุให้อาจารย์และศิษย์สองคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงมองทิศไกลอยู่ในตำแหน่งอื่นของสวนสิงโต รวมไปถึงผู้ฝึกตนสามีภรรยาคู่นั้นเริ่มร่ายวิชาอภินิหารเพื่อกำจัดปีศาจปราบมารให้ช้ากว่าทางหอเก็บหนังสือคล้ายตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา
จิ้งจอกตัวเล็กสีแดงเพลิงที่อยู่บนไหล่ของผู้เฒ่ากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ร่างสั่นสะท้านแล้วพลันขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อมันพลิ้วตัวลงบนสันหลังคาแห่งหนึ่งก็กลายมาเป็นจิ้งจอกเพลิงที่ตัวใหญ่ดุจวัว ทั่วร่างลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
ส่วนเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็โบกแขนหนึ่งครั้ง งูสีเขียวมรกตดุจใบไผ่ที่พันอยู่รอบแขนก็กระโจนพรวดออกมา กลายร่างเป็นงูยักษ์ยาวสองจั้ง
ต่างฝ่ายต่างกระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มชุดดำที่เผ่นหนีออกไปนอกสวนสิงโตอย่างบ้าคลั่ง
ผู้ฝึกตนคู่รักจับคู่อยู่ด้วยกัน เลือกบริเวณใกล้เคียงกับสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง คนหนึ่งบังคับให้กระบี่เล่มยาวออกจากฝักที่สะพายอยู่ด้านหลังเหมือนอาจารย์กระบี่บังคับกระบี่สังหารศัตรู อีกคนหนึ่งใช้สองมือทำมุทรา ก้าวเท้าว่องไวเหมือนเหยียบอยู่บนพายุลมกรด อ้าปากพ่นปราณวิญญาณเข้มข้นออกมาหนึ่งคำ ปราณวิญญาณคำนั้นกระจายหายไปในสวนดอกไม้ประหนึ่งมีไอหมอกปกคลุมไปทั่วต้นไม้ดอกไม้ เพียงแค่ชั่วพริบตาในสวนดอกไม้ก็พลันมีเงาร่างของภูตหลากสีสูงเท่าหนึ่งช่วงแขนหลายตน หลังตามไปทันเด็กหนุ่มชุดดำแล้ว ร่างของภูตเหล่านั้นก็จะระเบิดกระจัดกระจาย
เฉินผิงอัน สือโหรว ฝ่ายที่อยู่ในหอเก็บตำรา บวกกับอาจารย์ศิษย์และสามีภรรยารวมเป็นสี่คนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ทางทิศตะวันตกของสวนดอกไม้
เฉินผิงอันยืนออกหมัดอยู่บนหัวกำแพง สือโหรวใช้เชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดมังกรสีทองต้านทานเด็กหนุ่มชุดดำ
เพียงแต่ว่าภาพมายาของปีศาจมีมากเกินไป สี่ทิศนอกสวนสิงโตยังคงมีเด็กหนุ่มชุดดำเกือบสี่สิบคนคอยพุ่งชนกำแพงด้านนอกที่มีเจียวหลงซึ่งเกิดจากยันต์สีทองว่ายวนโอบล้อมอยู่
คุณชายตู๋กูที่อยู่ในหอเก็บตำราไม่อนุญาตให้เหมิงหลงใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ส่วนตัวเขาเลือกจะนิ่งดูดาย
ดังนั้นจึงมีปลาที่หลุดรอดแหไปไม่น้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้อานุภาพของเทพท่องราตรีตนนั้นก็ยังน่ากลัวมากเกินไปอยู่ดี ภาพมายาของปีศาจจำนวนมากที่ห้อตะบึงไปทางกำแพงสูงของหอเก็บตำราจึงจำต้องเปลี่ยนเส้นทางการหลบหนีกะทันหัน
จึงกลายเป็นว่าทางฝั่งของหอเก็บตำรานี้มีเด็กหนุ่มชุดดำหนีมาน้อยที่สุด
ส่วนทางทิศตะวันตกที่แม้ว่าจะ ‘มากคนมากอำนาจ’ มีผู้ฝึกตนสี่ท่านเฝ้าพิทักษ์ แต่กลับเป็นแถบพื้นที่ที่อันตรายที่สุดเพราะเด็กหนุ่มพุ่งชนกำแพงเยอะที่สุด
ส่วนทางฝ่ายของสือโหรวก็เรียกได้ว่ายุ่งวุ่นวายอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ภูตผีที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และสมบัติก้นกรุที่ชุยตงซานมอบให้ นางก็ไม่กล้าเอาออกมาใช้ในเวลานี้ ดังนั้นจึงมีเด็กหนุ่มเกือบสิบคนพุ่งชนกำแพง จากนั้นก็ถูกแม่น้ำสีทองยาวเหยียดที่อยู่รอบนอกของกำแพงหลอมละลาย ภาพมายาบางส่วนที่โชคดีหลุดพ้นไปได้ก็พุ่งชนกำแพงต่ออีกครั้ง มองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ
โชคดีที่สือโหรวไม่ได้ทำให้เกิดช่องโหว่ที่ใหญ่มากนัก
ส่วนเฉินผิงอันที่มองดูเหมือนออกหมัดไม่เร็ว แต่กลับสามารถต้านทานได้สบายแรงที่สุด
เขาใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเดินกลับไปกลับมาอยู่บนหัวกำแพง ชายแขนเสื้อสองข้างพลิกสะบัด พายุหมัดซัดตลบอบอวล
เพียงแต่ว่าสีทองของเจียวหลงที่เห็นกำแพงสีขาวหิมะเป็นดั่งลำคลองได้หม่นหมองลงไปหลายส่วน เป็นเหตุให้ผนังรอบด้านถูกชนจนเกิด ‘ประตูเล็ก’ ซึ่งเป็นช่องโหว่นับไม่ถ้วน
ดูเหมือนว่าหลังจากวาดยันต์แล้ว การที่เฉินผิงอันต้องมารับมือกับเด็กหนุ่มชุดดำที่จำนวนมากมายชวนตาลายนี้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นจะไม่เพียงพอให้ใช้ จำเป็นต้องหยุดนิ่งเพื่อเปลี่ยนลมปราณ
และเวลานี้เอง
ทางฝั่งของศาลบรรพชนสกุลหลิ่วก็เหมือนมีปลาฉลามพลิกตัว จากนั้นแผ่นดินสี่ด้านแปดทิศก็พากันสั่นสะเทือนส่งเสียงดังครืนครั่น
ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงที่สุดทางทิศตะวันตก
เหมิงหลงถลันลุกขึ้นยืน มือสองข้างทำมุทรา หลับตาลง ใช้เวทลับปล่อยจิตวิญญาณออกจากร่างให้เข้าไปสิงร่างของเทพท่องราตรี องค์เทพเกราะทองลืมตาขึ้น งอเข่าเล็กน้อยแล้วกระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้าปรากฏหลุมใหญ่หนึ่งหลุม เทพท่องราตรีที่ร่างสูงสามจั้งพุ่งตัวไปทางทิศตะวันตก
สองเท้าของเทพท่องราตรีเหยียบกลางสวนดอกไม้ทางทิศตะวันตกที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง พื้นดินยุบยวบลงลึก จากนั้นก็ย่อตัวลงนั่งยอง ควงแขวนเหวี่ยงหมัดกระแทกลงบนพื้นหนักๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเศษดินปลิวกระเด็นว่อน
ต่อยทำลายจนรากภูเขาเล็กๆ เส้นหนึ่งใต้ดินของสวนสิงโตขาดสะบั้น
คุณชายตู๋กูลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ลงมือ
เห็นเพียงว่าบริเวณใกล้เคียงกับหอเก็บตำรามีเด็กหนุ่มหล่อเหลาร่างสูงห้าหกจั้งคนหนึ่งโผล่ออกมาจากใต้ดิน ปีศาจที่ตัวสูงแทบจะทัดเทียมกับหอเก็บตำราพุ่งกระโจนไปทางกำแพงแถบนั้น
เจียวหลงสีทองที่ล้อมรอบกำแพงประหนึ่งเชือกที่ขัดขาเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้น มันที่เผยร่างจริงร้องคำรามพลางก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ เป็นเหตุให้แสงสีทองของยันต์ในตำแหน่งอื่นล้วนถูกกระชากให้ไปรวมอยู่ในทิศทางเดียวกับมัน
มันเริ่มพุ่งชนกำแพง เพียงแต่ว่าตรงหัวเข่ายังคงมีเชือกยันต์สีทองเส้นหนึ่งรัดพันไว้อย่างแน่นหนา
มันยกขาขึ้นสูงก็แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเชือกเส้นนั้นได้จึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาตะบึงไปเบื้องหน้าต่ออีกครั้ง
เจียวหลงสีทองที่เดิมทีหัวและหางเชื่อมติดกันพลันถูกขึงตึงจนขาดออกจากกัน ถูกปีศาจใหญ่ชุดดำที่เผยกายธรรมร่างทองกระชากดึงไปข้างหน้าจนส่ายสะบัดไม่หยุด
ประหนึ่งปลาตัวใหญ่ที่แม้ปากจะยังไม่หลุดจากเบ็ด แต่เพราะเรี่ยวแรงมีเหลือล้น เป็นเหตุให้แม้แต่เส้นเอ็นและคันเบ็ดก็ถูกมันกระชากไปพร้อมกันด้วย
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ พูดในใจว่า “ผิดปกติ รอก่อน”
เรือนกายสูงเพรียวที่ยืนนิ่งอยู่บนหลังคาศาลาตลอดเวลาพลันกลายเป็นรุ้งสีขาวที่พาดผ่านท้องฟ้า ศาลาใต้ฝ่าเท้าล้มครืนกระแทกพื้น มีดเล่มหนึ่งถูกชักออกมาแล้วฟันลงไป
หลิ่วป๋อฉีที่ในที่สุดก็ปรากฎกาย เวลานี้เรือนกายลอยอยู่สูงเกินกว่าหอเก็บตำรา มีดนั้นของนางฟันผ่าให้กายธรรมร่างทองถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน
นางไม่แม้แต่จะมองร่างทองของจริงที่ตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาร่างนั้น เพียงแค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ไป!”
เห็นเพียงว่าด้านหลังนางมีคนถือมีดผู้หนึ่งลอยออกมา ตัวสูงเท่าคนปกติ ทว่าร่างกลับเหมือนปรอทเงิน และในมือกลับถือมีดยาวเรียวบางสีดำที่ยาวยิ่งกว่าตัวคนเสียอีก
ร่างนั้นพุ่งวูบหายไป
นาทีถัดมาเขาก็ใช้ปลายมีดแหลมคมทิ่มลงไปยังช่องโพรงเล็กๆ จุดหนึ่งบนผนัง แล้วยืนนิ่งไม่ขยับ
สือโหรวกลืนน้ำลาย ก้มหน้ามองไป
เห็นเพียงว่าปลายมีดแทงโดนปีศาจร่างสีขาวหิมะขนาดเท่าฝ่ามือที่กำลังเลื้อยขยุกขยิก
หลิ่วป๋อฉีพุ่งตัวโฉบลงมาใต้กำแพงสูงบริเวณใกล้เคียงกับสือโหรว เดินเข้าหาเทพถือมีดท่านนั้น คนทั้งสองผสานรวมร่างกลายเป็นหลิ่วป๋อฉีคนเดียวอีกครั้ง
เพียงแต่ว่ามีดที่ยาวมากเล่มนั้นยังคงหยุดลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หลิ่วป๋อฉีเดินไปตรงปลายมีด ยิ้มกล่าวว่า “จับเจ้าได้แล้ว”
นางไม่ได้เก็บปีศาจจำแลงสมบัติตนนี้เข้ากระเป๋าทันที แต่หันหน้ามองไปยังกำแพงสูงที่มีคนหนุ่มชุดขาวซึ่งเวลานี้เอาฝ่ามือออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยืนอยู่ ถามว่า “เอายังไง? พวกเจ้ามีคนมาก อยากจะลองแย่งชิงดูหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้เปรียบไปแล้วก็อย่าอวดฉลาดอีกเลย”
หลิ่วป๋อฉีกล่าวอย่าง ‘เข้าใจจิตใจของผู้อื่น’ ว่า “สามารถจับเจ้าตัวนี้ได้ ข้าไม่ปฏิเสธว่าอันที่จริงเจ้าออกแรงไม่น้อย แต่ข้าไม่มีนิสัยชอบแบ่งสมบัติกับผู้อื่น ดังนั้นกลัวว่าในใจเจ้าจะไม่พอใจ ไม่สู้พวกเราสองฝ่ายมาต่อสู้กันสักรอบ จะได้ตัดสินว่าเจ้าตัวน้อยนี่ควรจะตกเป็นของใคร ข้ารับปากว่าจะไม่ฆ่าคน หลังจบเรื่องเมื่อเจ้ายอมศิโรราบทั้งกายและใจแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังแอบรู้สึกว่าตนโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ นี่ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว”
เฉินผิงอันจึงเดินเลียบหัวกำแพงไปหานักพรตหญิงเรือนซือเตาผู้นี้
ตรงหอซิ่วโหลว จูเหลี่ยนทะยานวูบออกมาหยุดยืนอยู่บนชายคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหลิ่วป๋อฉี เหมือนตอนที่นักพรตหญิงปรากฎกายครั้งแรกต่อหน้าพวกเขาในเรือนเล็กอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สือโหรวเดินออกมาหลายก้าว หยุดลอยตัวนิ่งกลางอากาศ แต่กลับรอให้เฉินผิงอันเดินพ้นออกมาจากหัวกำแพง เดินสวนไหล่นางไปก่อน นางถึงได้ติดตามไปด้านหลังเขา
เฉินผิงอันโบกมือให้จูเหลี่ยน
หลิ่วป๋อฉีก็ขยับมาที่หัวกำแพง เดินเข้าหาเฉินผิงอัน
หลิ่วป๋อฉีทิ้ง ‘เจี่ยจั้ว’ ที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตไว้ที่เดิม เพียงแค่ดึงมีดเทพเจ้าจิ้งออกจากฝักมาถือไว้ในมือเท่านั้น
นางถามด้วยสีหน้าประหลาด “แค่เจ้าคนเดียวรึ?”
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปด้านหลัง เท้ายังคงไม่หยุดเดินหน้า มือกุมด้ามกระบี่ของ ‘เจี้ยนเซียน’ เอาไว้แล้ว
คนหนึ่งคือนักพรตหญิงเรือนซือเตา
อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่สะพายอาวุธกึ่งเซียน
คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ห้าสิบกว่าก้าว
หลิ่วป๋อฉีพลันหันไปมองบนยอดเขาเขียวขจีแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันก็หันไปแทบจะเวลาเดียวกัน เห็นว่าตรงนั้นมีเรือนกายของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ร่างกำลังสลายไปพอดี
หลิ่วป๋อฉีถอนสายตากลับคืนมา หางตาชำเลืองไปเห็นว่าห่างไปไกลพวกคนสกุลหลิ่วกำลังวิ่งเข้ามา หนึ่งในนั้นคือบัณฑิตขาเป๋ผู้น่าสงสาร
หลิ่วป๋อฉีเก็บมีดเข้าฝัก “ปีศาจจำแลงสมบัติ ข้าเจ็ดเจ้าสาม”
เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าฉงนสนเท่ห์
นางก็เริ่มมีโทสะ “ทำไม ไม่ยอมรับงั้นรึ?!”
เฉินผิงอันนึกถึงสายตาของนางเมื่อครู่นี้ก็พลันบังเกิดความคิดหนึ่งจึงคลายมือที่จับด้ามกระบี่ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แบ่งกันห้าต่อห้า ข้าจะยอมตกลง”
หลิ่วป๋อฉีหรี่ตาลง “อย่าได้คืบจะเอาศอก หยุดเมื่อพอสมควรคือนิสัยที่ดี”
สือโหรวถอนหายใจหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดายทั้งคล้ายอยากจะเกลี้ยกล่อมเฉินผิงอัน แล้วก็เหมือนกลัวว่าเฉินผิงอันจะเปิดฉากสังหารกับหลิ่วป๋อฉีจริงๆ นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชาย ให้แล้วกันไปดีหรือไม่ ถึงอย่างไรคุณชายก็ไม่ใช่คนบนภูเขา ได้ชื่อเสียงที่ดีงามมาก็ไม่เลว ปล่อยให้ท่านเซียนผู้นี้ได้เปรียบครั้งใหญ่ให้เรื่องจบๆ กันไปเถอะ คุณชายยังต้องอยู่ในแคว้นชิงหลวนรอดูงานโต้วาทีพุทธเต๋า แล้วยังต้องไปเยี่ยมเยือนคนรู้จัก สำหรับบัณฑิตที่ต้องการหน้าตาแล้ว ชื่อเสียงเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะ”
มือข้างที่เอาไพล่หลังของเฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้สือโหรว
หลิ่วป๋อฉีหรี่ตามองสือโหรว “เจ้าเป็นผีผู้หญิงตนหนึ่ง มาหลบอยู่ในร่างของตาแก่สกปรกนี่ ไม่สะอิดสะเอียนบ้างหรือไร?”
สือโหรวเพียงยิ้มบางๆ ไม่พูดจา
พวกคนสกุลหลิ่วขยับมาใกล้มากขึ้นทุกที
หลิ่วป๋อฉียื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้า เจี่ยจั้วมีดอาคมแห่งชะตาชีวิตก็ถูกนางกุมไว้ในกำมือ จากนั้นนางก็หยิบน้ำเต้าลูกเล็กจิ๋วออกมาจากชายแขนเสื้อ เก็บตัวทากไว้ในน้ำเต้าหนังสีเหลือง ก่อนกดเสียงเบาพูดกับเฉินผิงอันอย่างขุ่นเคืองว่า “เดี๋ยวค่อยมาแบ่งของกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”
……
คนทั้งครอบครัวของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วย่อมต้องซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้งต่อการที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันกำราบปีศาจ โดยเฉพาะกับหลิ่วป๋อฉีและเฉินผิงอันที่พวกเขาซาบซึ้งในพระคุณเป็นพิเศษ
หลิ่วชิงซานที่ขาพิการตาแดงก่ำ หาโอกาสคารวะนักพรตหญิงวัยกลางคนเพียงลำพังก่อน จากนั้นจึงไปคารวะพวกเฉินผิงอันด้วย
หลิ่วป๋อฉีเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
ตอนกลางคืนสวนสิงโตจัดงานเลี้ยงฉลองชำระสิ่งเสนียดจัญไร หลิ่วป๋อฉียังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ทำเพียงคีบอาหารไม่กี่ครั้ง แต่ต่อให้จะรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย เปลืองเวลามากแค่ไหน นางก็ยังนั่งอยู่จนงานเลี้ยงสิ้นสุดลง
วันต่อมาไม่รู้ว่าเหตุใดหลิ่วชิงซานถึงเดินเคียงไหล่มากับหลิ่วป๋อฉี เชื้อเชิญให้เฉินผิงอันไปชมทัศนียภาพของสวนสิงโตด้วยกัน
เฉินผิงอันปฏิเสธแล้วแต่ไร้ผล จึงได้แต่ไปเดินเล่นกับพวกเขา
ระหว่างทางหลิ่วป๋อฉียังคอยชำเลืองตามองเฉินผิงอันอย่างเย็นชาอยู่หลายครั้ง
วันนี้แสงแดดกำลังดี พอได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอัน เผยเฉียนที่เกิดความฮึกเหิมก็หาพื้นที่โล่งว่างแห่งหนึ่งของสวนสิงโต ขนย้ายเอาตำราและไม้ไผ่ออกมาตากแดดประหนึ่งมดย้ายรังอยู่เพียงลำพัง
ยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่จนเสร็จ เผยเฉียนก็นั่งยองลงบนพื้นด้วยความพึงพอใจ
มีคนสองคนเดินมาแต่ไกล เผยเฉียนรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร อาจารย์ผู้เฒ่าคือฝูเซิง ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อแซ่หลิว ต่างก็เป็นอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในสวนสิงโต
ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่ขัดขวางพวกเขาที่ขยับเข้ามาใกล้
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนหยุดยืนอยู่ห่างไปไกล
มีเพียงอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินมาหยุดข้างกายเผยเฉียน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางน้อย ขอข้าอ่านตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ได้หรือไม่?”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือคารวะอย่างเข้าท่าเข้าที เรียกอีกฝ่ายคำหนึ่งว่าอาจารย์ผู้เฒ่าฝู ครุ่นคิดแล้วก็ทรุดตัวกลับไปนั่งดังเดิม โบกมือกล่าวว่า “เชิญท่านอ่านเถอะ ไม่ได้มีอะไรที่น่าอับอายเสียหน่อย มีแต่เรื่องดีๆ ด้วยซ้ำ อาจารย์ของข้าคัดลอกมาจากในตำราอย่างยากลำบาก หากไม่ใช่ประสบการณ์จากการเดินทางไกลไปทั่วทิศก็เป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามาอีกที”
ก็เหมือนประโยคเหลวไหลที่จูเหลี่ยนหลุดปากเมื่อไม่นานมานี้ว่า ชีวิตคนคือตำราแห่งความทุกข์ยาก สามารถสอนคนได้ดีที่สุด
แล้วเฉินผิงอันก็ยังเอามาสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่ครบถ้วนทุกตัวอักษร แต่เผยเฉียนไม่ชอบไม้ไผ่แผ่นนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงวางมันไว้ริมขอบนอกสุด ปล่อยให้มันโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง
ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกว่าไม้ไผ่แผ่นนี้เทียบกับไม้ไผ่แผ่นอื่นทุกแผ่นของอาจารย์ไม่ได้
เผยเฉียนเชิดศีรษะขึ้นสูง พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ตกลงกันก่อนว่า ให้ท่านดูสมบัติที่อาจารย์ของข้าเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเหล่านี้แล้ว หากอาจารย์ของข้าโกรธขึ้นมา ท่านต้องแบกรับไว้ด้วย ท่านไม่รู้อะไร อาจารย์เข้มงวดกับข้ามาก เฮ้อ ช่วยไม่ได้ อาจารย์ชอบข้านี่นะ ทั้งคัดตำราเอย ทั้งเดินนิ่งเอย ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้พูดไปท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็คงไม่เข้าใจ ก็ท่านเป็นอาจารย์ที่สร้างความรู้อยู่ในห้องหนังสือนี่นะ คงไม่รู้หรอกว่าหมั่นโถวลูกหนึ่งขายได้กี่อีแปะ”
เผยเฉียนเอ่ยเตือนอย่างจริงจังอีกครั้ง “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านห้ามตอบแทนความหวังดีของข้าด้วยประสงค์ร้ายนะ ตกลงไหม?”
ผู้เฒ่าชุดเขียวคลี่ยิ้ม “ตกลง!”
ดังนั้นพอเด็กน้อยนั่งยองอยู่ที่เดิม คนแก่ก็นั่งยองตามไปด้วย ไล่สายตาอ่านไปตามไม้ไผ่แผ่นแล้วแผ่นเล่า บางครั้งก็หยิบขึ้นมาเบาๆ แล้ววางลงอย่างระมัดระวัง
นี่ทำให้เผยเฉียนคลายใจลงได้
หลังจากไล่อ่านแผ่นไม้ไผ่ไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ผู้เฒ่าก็ยิ้มถามว่า “หมัดใหญ่คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม่นางน้อย เจ้าเชื่อคำพูดนี้หรือไม่?”
เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “เชื่อสิ ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าเพิ่งตัวแค่นี้ก็ต้องฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบทุกวันแล้วเล่า? ยุทธภพอันตรายอย่างมาก มีแต่คนชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมด”
เดิมทีเผยเฉียนอยากจะเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมที่เกี่ยวกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของตน แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหล่าเว่ยเคยบอกว่า การพูดจาจริงใจกับคนที่ไม่สนิทสนมเป็นข้อต้องห้ามใหญ่ของยุทธภพ ดังนั้นนางจึงอดทนไว้ไม่พูดออกมา คำพูดที่เหมือนควักหัวใจให้ดูเช่นนี้เอาเก็บไว้ในใจตัวเองจะดีกว่า แค่อาจารย์รู้คนเดียวก็พอแล้ว
ชาวขงจื๊อวัยกลางคนที่อยู่ห่างไปไกลขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน
แต่ผู้เฒ่ากลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างชอบใจ
เผยเฉียนไม่เข้าใจว่ามีอะไรให้น่าหัวเราะ ขยับไปพลิกไม้ไผ่บางส่วนที่อยู่ใกล้มาตากแดดใหม่ ทำงานหนักพลางพูดชวนคุยไปด้วยว่า “แต่อาจารย์สอนข้าว่า หากจะพูดหลักการข้อนี้ให้ชัดเจนก็ต้องพูดถึงลำดับขั้นตอนก่อน จะให้ลำดับขั้นตอนผิดพลาดไปไม่ได้ นั่นคือเป็นคนต้องมีเหตุผลก่อน จากนั้นเมื่อหมัดใหญ่แล้ว เวลาที่พูดเหตุผลกับคนที่ไร้เหตุผลถึงจะสะดวกมากขึ้น ไม่ใช่บอกให้คนเอาแต่สนใจว่าหมัดแข็งพอหรือไม่ แล้วก็มีอะไรอีกมากมาย อย่างเช่นเวลาอยู่คนเดียวห้ามลืมระวังตัวเอง หมั่นสำรวมทบทวนตน ถามใจตนเองไม่ละอาย ฯลฯ เฮ้อ อาจารย์บอกว่าข้าอายุยังน้อย จำเรื่องพวกนี้ได้ก็พอแล้ว ส่วนจะเข้าใจหรือไม่ ในตำราก็รอข้าอยู่”
สุดท้ายเผยเฉียนให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ดังนั้นประโยคนี้ของอาจารย์นั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าไม่ครบถ้วน”
นี่ถึงทำให้สีหน้าของชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนดีขึ้นมาได้เล็กน้อย
ส่วนผู้เฒ่ากลับไม่ได้หัวเราะเยาะเผยเฉียน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
สายตาเผยเฉียนเป็นประกายวาววับ “อาจารย์ผู้เฒ่า ความรู้ของอาจารย์ข้ายิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าตอบกลับ “อาศัยแค่ไม่กี่ประโยคนี้ของอาจารย์เจ้า มองไม่ออกว่าความรู้ของเขายิ่งใหญ่หรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็…พูดได้ถูกมาก อืม ก็คือไม่มีข้อผิดพลาด ฟังดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ง่ายเลย และการปฏิบัติตามหลักการนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่”
เผยเฉียนเลิกคิ้วสูง เอาตัวมาบังสายตาที่ไล่อ่านแผ่นไม้ไผ่ของผู้เฒ่าอย่างขุ่นเคือง ยกสองมือกอดอก “ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ผู้เฒ่าก็อย่าอ่านแผ่นไม้ไผ่พวกนี้สิ”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “โอ้โห แม่หนูน้อยเจ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันหรือนี่”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เคารพคนแก่รักเมตตาเด็ก ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าท่านอายุมาก ข้าอายุน้อย พวกเราสองคนถือว่าเท่าเทียมกันแล้ว ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าห้ามคิดจะอาศัยว่าตนอายุมากกว่ามาทำตัวอาวุโสใส่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง”
ผู้เฒ่าได้แต่พูดว่า “อาจารย์ของเจ้าสอนได้ถูกต้อง ส่วนที่หาได้ยากยิ่งและล้ำค่าก็คือ เขายังคงรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์ของเจ้าเอาไว้ได้ อาจารย์ของเจ้าร้ายกาจมาก”
ตอนแรกเผยเฉียนก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่จากนั้นก็ส่ายหน้า “อาจารย์ผู้เฒ่าพูดอย่างนี้เพราะอยากอ่านแผ่นไม้ไผ่ให้มากขึ้นสินะ? ก็ได้ๆ อ่านเถอะๆ ข้าล่ะกลัวคำพูดมีไมตรีทั้งหลายแหล่ของพวกอาจารย์อย่างท่านแล้ว เฮ้อ กลุ้มจริง”
พอนางเอ่ยเช่นนี้ ต่อให้เป็นชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนก็ยังคลี่ยิ้มอย่างห้ามไม่ได้
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยเขียนตำราหนึ่งเล่ม วัตถุประสงค์ของเขามีแค่สามคำว่าไม่คิดอกุศลเท่านั้น
เป็นเหตุให้อริยะใหญ่รุ่นหลังคนหนึ่งที่เพื่อรักษาคุณธรรมอันไร้ข้อบกพร่องของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว ไม่อาจแต่งตำราขึ้นมาเองโดยพลการได้อีก ดังนั้นจึงได้แต่เขียนอรรถาธิบายอย่างยากลำบากแทน
นี่ทำให้อาจารย์ฝูท่านนี้ตลกขบขันอยู่พักใหญ่
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ราวกับว่าสามลัทธิร้อยสำนัก กษัตริย์ขุนนาง ตลอดทั้งใต้หล้าล้วนมีปัญหาข้อนี้
แต่ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกว่าอาจารย์ฝูในวันนี้แตกต่างไปจากปกติ ถึงขนาดทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ
อยู่ในสวนสิงโตมานานขนาดนี้ เขายังไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง
อ่านแผ่นไม้ไผ่ครบถ้วนแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืน มองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ยังคงพลิกไม้ไผ่อย่างขยันขันแข็งก็คิดจะช่วย แต่เผยเฉียนกลับรีบโบกมือห้าม ใช้หลังมือเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผากอย่างสะเปะสะปะ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเคารพผู้ใหญ่อย่างมากเลยนะ ไม่ต้องให้อาจารย์ผู้เฒ่าช่วยเหลือหรอก ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์มาเห็นเข้าต้องดึงหูข้าแน่”
อาจารย์ผู้เฒ่าจึงคลี่ยิ้มเอ่ยลา แล้วก็ยื่นมือออกมากดลงเบื้องล่างสองที บอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องลุกขึ้นคำนับ ถือเป็นการรักเมตตาเด็กแล้ว
อาจารย์สองท่านเดินเคียงไหล่กันไปบนทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางร่มเงาต้นไม้
อาจารย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
ผู้เฒ่าที่ชื่อว่าฝูเซิงจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ผิดจากที่คาด คนหนุ่มผู้นั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่า”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนมีสีหน้าซับซ้อน
ฝูเซิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “พวกเราอย่าได้สนใจเลย”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนพยักหน้ารับ ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะรับหลิ่วชิงซานเป็นลูกศิษย์เมื่อไหร่? ข้ารู้สึกว่าการทดสอบใหญ่ครั้งนี้ หลิ่วชิงซานถือว่าผ่านด่านแล้ว”
ฝูเซิงส่ายหน้า “ยังเร็วนัก อ่านตำราหมื่นเล่มในห้องหนังสือ เข้าใจหลักการและเหตุผลบ้างแล้ว แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ยังจำเป็นต้องให้หลิ่วชิงซานเดินทางไกลหมื่นลี้ไปเห็นคนและเรื่องราวให้มากขึ้น”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเอ่ยถาม “อาจารย์คิดจะพาหลิ่วชิงซานกลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพร้อมกันด้วย? จากนั้นค่อยมอบสำเนาตำราอริยะปราชญ์ที่อาจารย์ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวช่วยเหลือไว้ในปีนั้นให้แก่หลิ่วชิงซาน?”
ฝูเซิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้าอาจจะไม่เดินทางพร้อมกับเด็กคนนี้ แบบนั้นสะดุดตาเกินไป อีกอย่างนี่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี”
อาจารย์ผู้เฒ่าที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้ต่อควันธูปหนึ่งก้านให้แก่ลัทธิขงจื๊อแห่งใต้หล้า’ ผู้นี้พลันยิ้มกล่าวว่า “แม้ซิ่วไฉเฒ่าจะอยู่สายบุ๋นคนละสายกับพวกเรา แต่ก็จำต้องยอมรับว่า สายตาในการเลือกลูกศิษย์ของเขา ตั้งแต่ชุยฉาน มาถึงจั่วโย่ว แล้วก็มาถึงฉีจิ้งชุน…ยิ่งนานก็ยิ่งขยับขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “อย่างน้อยที่สุดตอนนี้คนหนุ่มผู้นั้นก็ยังไม่อาจรับคำชมประโยคนี้ของอาจารย์ฝูได้”
……
หลิ่วชิงซานบุรุษพิการพาเฉินผิงอันและหลิ่วป๋อฉีไปนั่งในห้องหนังสือของเขา
หลิ่วป๋อฉีมองปราดเดียวก็เห็นกล่องไม้ใบเล็กกล่องนั้น ด้านในบรรจุลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติของฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หนึ่งเอาไว้ เมื่อมาอยู่ในมือของผู้ฝึกลมปราณคนละสาย อีกทั้งวิสัยทัศน์ยังไม่สูง มันก็เป็นแค่ทองก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น มากสุดก็เอาไปขายได้แค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อย
และแน่นอนว่านางก็ถือเป็นผู้ฝึกลมปราณคนละสายนั่น
นางพลันเกิดความคิดบางอย่าง
ต่อมาคุณชายตู๋กูและสาวใช้เหมิงหลงก็ไปจากสวนสิงโตก่อนผู้ใด เอาแค่ของโบราณธรรมดาสองชิ้นไปด้วยเท่านั้น
ส่วนคู่ผู้ฝึกลมปราณอาจารย์และศิษย์ที่เดินทางไปพร้อมกับพวกเขาต่ออีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าสกุลหลิ่วไปหาเงินเทพเซียนกองหนึ่งมาจากที่ไหน คนทั้งคู่จึงกลับไปด้วยสมบัติเต็มไม้เต็มมือ
หลังจากนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนคู่สามีภรรยาที่จากไป พวกเขาเองก็ได้ผลเก็บเกี่ยวไปอย่างอุดมสมบูรณ์ ในกระเป๋าบรรจุเงินร้อนน้อยไว้มากเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งสองจึงปิติยินดีอย่างถึงที่สุด
เดิมทีเฉินผิงอันก็อยากจากไปแต่เร็ววัน เพียงแต่ว่าถูกหลิ่วชิงซานรั้งตัวไว้ตลอดเวลา จึงอยู่ต่ออีกสามวัน ได้เดินเล่นจนทั่วสวนสิงโต
อันที่จริงบางครั้งหว่างคิ้วของหลิ่วชิงซานยังเผยให้เห็นความกลัดกลุ้ม ดังนั้นทุกครั้งจะต้องมาดื่มเหล้ากับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรู้ว่าเขากลุ้มด้วยเรื่องของหอซิ่วโหลว เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่าย เฉินผิงอันจึงไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ในระยะเวลาสองสามวันนี้ หลิ่วป๋อฉีมาหาเฉินผิงอันที่เรือนเล็กสองครั้ง ครั้งหนึ่งบอกกับเฉินผิงอันว่า นางซัดเจ้าแม่ต้นหลิ่วนั่นเกือบตาย อย่างน้อยในร้อยปีนี้นางน่าจะทำตัวว่าง่ายขึ้นมากแล้ว
อีกครั้งหนึ่งคือมาแบ่งของกับเฉินผิงอัน
จะใช้มีดอาคมเทพเจ้าจิ้งผ่าปีศาจจำแลงสมบัติออกเป็นสองส่วนก็คงไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าปีศาจจำแลงสมบัติเซียนดินตัวใดก็ตามบนโลกใบนี้ ขอแค่เอามาเลี้ยงและอบรมสั่งสอนอย่างเหมาะสม มหามรรคาก็นับวันรอได้เลย
แน่นอนว่าหากรังเกียจที่มันเผาผลาญเงินเทพเซียนและโชควาสนามากเกินไป สังหารมันเพื่อชิงเอาสมบัติก็จะได้ทรัพย์สินก้อนใหญ่มหาศาลก้อนหนึ่งเช่นกัน
ดังนั้นหลิ่วป๋อฉีจึงหักเป็นเงินฝนธัญพืชก้อนหนึ่งมาให้เป็นค่าตอบแทนแก่เฉินผิงอัน
พอหลิ่วป๋อฉีจากไป เฉินผิงอันและเผยเฉียนสองอาจารย์และศิษย์ก็นั่งหันหน้าเข้าหากองภูเขาเล็กๆ บนโต๊ะ เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส เฉินผิงอันก็ยิ้มเช่นกัน เขาลูบคลำศีรษะของเผยเฉียน “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดึงหูเจ้าแล้ว”
เผยเฉียนมึนงง “ว่าไงนะ?”
เฉินผิงอันค้อมเอวฟุบตัวลงนอนคว่ำบนโต๊ะ ไม่ได้ให้คำตอบ แค่มองภูเขาเงินฝนธัญพืชเล็กๆ ลูกนั้น
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ยืดเอวตั้งตรง ไม่คิดถึงคำถามประโยคนั้นอีก แต่ถามใหม่อย่างอารมณ์ดีว่า “อาจารย์ ครั้งนี้ข้าไม่ใช่ตัวขาดทุนแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่งตัวตรง ยิ้มพลางยื่นมือสองข้างออกมาบดบี้แก้มของเผยเฉียน
จูเหลี่ยนนั่งเปิดหนังสืออยู่ตรงหน้าประตู ตั้งใจอ่านอย่างยิ่งยวด กำลังอ่านถึงจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจจนตัดใจพลิกเปิดหน้าต่อไปไม่ลง
เริ่มคิดถึงผู้อาวุโสสวินซะแล้วสิ
สือโหรวชำเลืองตามองตำราเล่มนั้นของจูเหลี่ยน นางเกือบจะโมโหเขาจนตายอยู่แล้ว
วันสุดท้ายที่อยู่ในสวนสิงโต พวกเฉินผิงอันก็เตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวง สีท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง หลิ่วป๋อฉีก็มาเยือนเพียงลำพัง มอบลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติที่เอาออกมาจากในกล่องไม้ให้กับเฉินผิงอัน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “นี่คือสิ่งของที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วรับปากไว้ตั้งแต่แรก มันเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าเอาไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะต้องโดดเด่นเกินใครอย่างแน่นอน เพราะในทองก้อนเล็กก้อนนี้ นอกจากจะมีชะตาบุ๋นของราชวงศ์หนึ่งในโลกมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว เมื่อถูกนำมาวางไว้ในสวนสิงโตหลายร้อยปีก็มีชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วแฝงอยู่เช่นกัน ข้าเอามันมาก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากเจ้าเฉินผิงอันหล่อหลอมมันได้สำเร็จ สำหรับบัณฑิตครึ่งตัวอย่างเจ้าจะมีประสิทธิผลยอดเยี่ยม ที่สำคัญที่สุดก็คือวัตถุชิ้นนี้ ต่อให้เจ้ามีวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองของห้าธาตุแล้วก็ยังหลอมมันให้ผสานรวมไปด้วยกันได้ สามารถช่วยเพิ่มระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีอยู่เดิมของเจ้าให้สูงขึ้น วันหน้าเมื่ออยู่บนเส้นทางของการฝึกตนย่อมลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นทวีคูณ”
เฉินผิงอันรับลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติขนาดเล็กจิ๋วชิ้นนี้มาพินิจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็คืนให้กับหลิ่วป๋อฉี พูดเบาๆ ว่า “ช่วยข้าแอบนำไปเก็บไว้ในห้องหนังสือของหลิ่วชิงซานที จำไว้ว่าอย่าเอาไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาเกินไป”
หลิ่วป๋อฉีขมวดคิ้วกล่าว “ไม่ต้องการหรือ? เจ้าคิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้าหรือไร หรือรู้สึกว่าลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติชิ้นนี้ไม่สมกับชื่อ?”
เฉินผิงอันคร้านจะอธิบายกับนาง
เอ่ยเรียกเผยเฉียนที่สะพายห่อสัมภาระและในมือถือไม้เท้าเดินป่ารออยู่ก่อนแล้วมาหา พากันเดินออกจากเรือนที่พัก เดินเลียบทางเดินเล็กๆ ที่เงียบสงบออกไปนอกสวนสิงโต
หลิ่วป๋อฉียืนอยู่ในลานบ้านตลอดเวลา แล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะ
หากเฉินผิงอันกล้ารับมันไป
นางก็คงต้องชักมีดฆ่าคนจริงๆ แล้ว
ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้ปฏิเสธจะรับของที่เขาสมควรได้รับอย่างสมเหตุสมผลนี้?
เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความคิดของนาง ไม่กล้ารับเอาไว้ หรือแค่ไม่ต้องการรับไว้จริงๆ?
หลิ่วป๋อฉีไม่คิดให้ลึกซึ้งอีก ในเมื่อตระเวนไล่ล่าสมบัตินี่ยังอยู่ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันคิดอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว
เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอันที่กำลังเดินนิ่งหกก้าว ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “อาจารย์ ทำไมถึงไม่รับทองก้อนนั้นไว้ล่ะ มองดูแล้วน่ารักมากเลยนะ? อีกอย่างนักพรตหญิงคนนั้นก็พูดถึงข้อดีของมันตั้งมากมาย”
เฉินผิงอันออกหมัดเดินนิ่งพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โชคชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วเชื่อมโยงอยู่กับมัน พวกเราเอาไปแล้ว หลิ่วชิงซานจะทำอย่างไร? เขายังมอบหนังสือให้เจ้าเล่มหนึ่งด้วยนะ”
เผยเฉียนคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็จริงนะ เดิมทีท่านอาขาเป๋ก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ให้เขาเก็บไว้จะดีกว่า”
จากนั้นเผยเฉียนก็ฝึกเดินนิ่งไปพร้อมเฉินผิงอัน
แล้วอยู่ดีๆ เผยเฉียนก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ นี่เรียกว่าวิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่นใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันออกหมัดไม่หยุด เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าน่ะยังอยู่ห่างจากวิญญูชนที่แท้จริงอีกไกลนัก”
“ไกลแค่ไหน? ไกลเท่าสวนสิงโตมาถึงตรงนี้ของพวกเราไหม?”
“น่าจะไกลยิ่งกว่าจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาถึงสวนสิงโตเสียอีก”
“ไกลขนาดนั้นเชียว?!”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“อาจารย์ ทว่าต่อให้ไกลแค่ไหนก็ยังเดินถึงกระมัง?”
“ใช่แล้ว แต่ก็ต้องเดินไม่ผิดทางด้วยถึงจะได้”
เผยเฉียนพลันหยุดเดิน ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่พักหนึ่ง รอจนจูเหลี่ยนและสือโหรวต่างก็พากันเดินสวนไหล่ไปแล้ว นางถึงได้แอบยื่นมือไปไว้หลังก้น ฝ่ามือกำเป็นหมัด วิ่งมาหยุดข้างกายจูเหลี่ยน ยิ้มตาหยีถามว่า “อยากรู้หรือไม่ว่าในมือข้าซ่อนอะไรเอาไว้?”
จูเหลี่ยนหน้าดำทะมึน “ไสหัวไป”
สือโหรวกลอกตามองบน
เดิมทีเฉินผิงอันยังแอบหัวเราะชอบใจ ผลกลับเห็นว่าเผยเฉียนยิ้มตาหยีวิ่งมาหาตน ไม่รอให้นางพูดอะไรก็เขกมะเหงกลงไปทันที