บทที่ 396 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้
พ้นออกมาจากถนนเส้นเล็กของสวนสิงโต เดินผ่านกอต้นอ้อต้นกกเขียวขจีที่ขึ้นริมทะเลสาบขนาดเล็ก เลี้ยวโค้งอีกทีก็สามารถแยกเข้าไปยังทางหลวงของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนได้แล้ว ผลคือพออ้อมออกมาจากทางเล็กที่ขึ้นเต็มไปด้วยพงต้นกกต้นอ้อก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งโดยสารรถมาท่าทางเร่งรีบ เขาเพิ่งจะออกจากถนนทางหลวงเข้ามาในทางเส้นเล็ก เพราะถนนคับแคบ พื้นผิวถนนก็ขรุขระ รถเทียมวัวกระเด้งกระดอนหนึ่งที บุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เกือบจะถูกเหวี่ยงออกมา รถที่โยกคลอนแทบจะทำให้กระดูกเคลื่อน ส่วนสารถีก็คือเด็กหนุ่มลักษณะเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่ง คงเป็นเพราะนายท่านของตนเร่งรัดมาตลอดทาง เดิมทีนิสัยและวัยของเขาก็อยู่ในช่วงใจร้อนอยู่แล้ว บวกกับที่ทักษะในการขับรถเทียมวัวไม่เชี่ยวชาญ สี่ขาของวัวจึงควบตะบึงพุ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในทางเล็กเส้นนี้ คิดไม่ถึงว่าสุดปลายทางของทางเล็กที่เดิมควรมีเพียงพงต้นกกต้นอ้อของสวนสิงโตจะมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา แถมคนที่เดินนำหน้ายังเป็นแม่นางน้อยที่ในมือถือไม้เท้าเดินกระโดดโลดเต้นอีกด้วย หากชนเข้าจะไม่มีคนตายหรอกหรือ?
เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ตระหนกลน บุรุษที่สวมชุดเขียวก็ยิ่งร้อนใจ คนหนึ่งมือไม้พันกันเป็นพัลวัน อีกคนหนึ่งร้องเตือนเสียงดัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเบิกตากว้างมองวัวแก่ลากรถพาคนโง่สองคนส่ายไปส่ายมา ก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปในทะเลสาบหลังพงต้นกกต้นอ้อ
อันที่จริงเผยเฉียนเบี่ยงตัวหลบพวกเขาตั้งนานแล้ว นางมายืนอยู่กลางพงต้นกกต้นอ้อกอใหญ่ ต่อให้รถเทียมวัวจะพุ่งตรงมาข้างหน้าก็ไม่เป็นไร ไม่มีทางชนนางอย่างแน่นอน
อะไรกัน เช้าตรู่ขนาดนี้ก็มีคนนึกอยากอาบน้ำแล้วหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วนั่นคือเทพเซียนคู่หนึ่ง วัวตัวนั้นก็สามารถลากรถเดินบนน้ำได้ เมื่อทำเช่นนั้นจะมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากเป็นพิเศษ? ก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งได้ขี่วัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธุ์ของวัวดินนี่นะ มันมหัศจรรย์มาก ขึ้นเขาลงน้ำก็ล้วนมั่นคงปลอดภัย
ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กร้องโวยวายดังระงม จากนั้นเสียงตูมก็ดังขึ้น สะเก็ดน้ำแตกกระจาย แล้วก็มองไม่เห็นเงาพวกเขาอีก
เผยเฉียนขยับเท้ามองไปตามทางเส้นเล็กที่รถเทียมวัวคันนั้นบดพงต้นกกต้นอ้อให้ราบไปเป็นทาง รถทั้งคันพุ่งลงน้ำไปทั้งอย่างนั้น
เผยเฉียนจับคางจมสู่ภวังค์ความคิด ได้ยินว่าขอแค่เทพเซียนบนภูเขาพกไข่มุกหลบน้ำแหวกว่ายลงไปยังหุบเหวลึกใต้น้ำเพื่อจับเจียวจับมังกรก็ล้วนเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ
จูเหลี่ยนและสือโหรวต่างพากันพุ่งตัวไปช่วยทั้งคนและวัว
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน “บอกเจ้าแล้วไงว่าให้เดินดูทางด้วย”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องวิงวอนเสียงดัง อธิบายว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร วัวตัวนั้นเดินไม่ตรงทางเอง พุ่งส่ายไปส่ายมาเหมือนคนเมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายก็พาตัวเองลงน้ำไปเอง โอ้ย เจ็บๆๆ …อาจารย์ ข้าหลบทางให้พวกเขาแล้วจริงๆ นะ…อีกอย่างอาจารย์ท่านก็เคยเห็นรถเทียมวัวเทียมลามาแล้วไม่ใช่หรือ แต่ละคันไม่ควรช้าอืดอาดหรอกหรือ รถเทียมวัวคันนี้กลับเผด็จการนัก แทบจะบินขึ้นไปบนฟ้าอยู่แล้ว…”
เฉินผิงอันปล่อยมือให้เผยเฉียนได้ยืนดีๆ เผยเฉียนแยกเขี้ยว ยื่นมือมาลูบหูตัวเองเบาๆ เจ็บชะมัด
จูเหลี่ยนปากอีกาจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าไม่ให้ตนหลงระเริงลำพองตนอะไรสักอย่างนี่แหละ
เฉินผิงอันพอจะโล่งใจได้บ้าง เพราะหลังจากจูเหลี่ยนและสือโหรวลงน้ำไปแล้ว เพียงไม่นานก็พาทั้งนายบ่าวทั้งวัวและรถขึ้นมาบนฝั่งได้
เด็กหนุ่มยังหวาดผวาไม่คลาย นั่งอยู่บนต้นอ้อต้นกกที่ก่อนหน้านี้ถูกรถเทียมวัวบดขยี้เป็นทางราบแล้วร้องไห้โฮเสียงดังลั่น
วัวแก่ขึ้นฝั่งมาแล้วก็สะบัดร่าง หางของมันฟาดเข้าที่ศีรษะของเด็กหนุ่มพอดี คราวนี้เขากลับหยุดเสียงร้องเอาไว้ได้
บุรุษสวมชุดสีเขียวอายุประมาณสามสิบปี หน้าตาไม่แก่ พอถูกช่วยขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็กุมมือโค้งตัวขอบคุณสือโหรว
เฉินผิงอันเดินเข้าไปหา กุมหมัดขออภัย
บุรุษชุดเขียวรู้สึกอับอายและละอายใจยิ่งนักจึงรีบคารวะขออภัยติดๆ กันอีกครั้ง
สุดท้ายบุรุษผู้นี้เช็ดคราบน้ำบนใบหน้า ดวงตาพลันเป็นประกาย ถามเฉินผิงอันว่า “ใช่คุณชายเฉินที่ร่วมมือกับเซียนซือนักพรตหญิงช่วยสวนสิงโตของพวกเราไว้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วลองถามหยั่งเชิง “ท่านคือนายอำเภอหลิ่ว?”
บุรุษชุดเขียวหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ข้าน้อยหลิ่วชิงเฟิง คือพี่ชายของหลิ่วชิงซาน”
หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้ฒ่าหลิ่ว ตอนนี้รับหน้าที่เป็นนายอำเภอของอำเภอแห่งหนึ่ง ไม่อาจพูดได้ว่าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน แต่ก็ถือว่าเป็นบัณฑิตที่มีอนาคตราบรื่นยาวไกล
เพียงแต่ว่าเมื่อบิดาของเขาคือหลิ่วจิ้งถิงที่หน้าที่การงานรุ่งโรจน์ มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการนักประพันธ์แล้ว หลิ่วชิงเฟิงจึงกลายเป็นว่าความสามารถธรรมดาสามัญ ตอนที่หลิ่วจิ้งถิงอายุเท่าเขาก็ใกล้จะได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมพิธีการลำดับรองขั้นสามของแคว้นชิงหลวนแล้ว อีกทั้งหลิ่วจิ้งถิงยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำแห่งวงการวรรณกรรม ประมุขแห่งบุคคลผู้มีวัฒนธรรม ตอนนี้พอหันกลับมามองหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นบุตรชายอีกครั้ง ก็ไม่แปลกที่บางคนจะทอดถอนใจที่บิดาเป็นพยัคฆ์แต่บุตรกลับเป็นสุนัข
ต้องรู้ว่าเมื่อหลิ่วจิ้งถิงตายไปเขาย่อมได้รับบรรดาศักดิ์ยกย่องย้อนหลังในลำดับต้นๆ จากทางราชสำนักอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว ส่วนด้านหลังคำว่า ‘บุ๋น’ จะเป็นตัวอักษรอะไร จะเป็นคำว่าเที่ยงตรง หรือจะเป็นคำว่าภักดี หรือบางทีอาจจะเป็นคำว่านอบน้อม สำเร็จ ที่เป็นระดับรองลงมาก็ล้วนมีความเป็นไปได้ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนต้องให้ฮ่องเต้เป็นคนออกพระราชโองการ ไม่อาจให้เหล่าขุนนางตัดสินใจกันได้เอง ก่อนหน้านี้คนในราชสำนักรู้สึกว่าความเป็นไปได้ของข้อแรกมีมากกว่า แต่หลังจากที่หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองของเขากลายเป็นคนขาพิการ สิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ก็ถูกลดทอนลงไปมาก อย่าว่าแต่ผู้เที่ยงตรงแห่งสายบุ๋นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนเลย ต่อให้เป็นผู้ภักดีแห่งสายบุ๋นก็ยังไม่น่าจะได้มาครองแล้ว
เฉินผิงอันตะโกนเรียกเผยเฉียนมา
เผยเฉียนที่เหมือนถูกแปะแผ่นยันต์หยุดนิ่งของตระกูลเซียนมาโดยตลอดประหนึ่งได้รับอภัยโทษ วิ่งปรู๊ดมาหยุดข้างกายเฉินผิงอัน ประสานมือคารวะขออภัยหลิ่วชิงเฟิงและเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ของเขา อธิบายเสียงดังถึงความผิดมากมายของตนเอง
อันที่จริงในใจเผยเฉียนกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดมากสักเท่าไหร่ แถมยังบ่นความไม่ได้เรื่องของหลิ่วชิงเฟิง เพียงแต่ว่าอาจารย์โกรธแล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีก? อย่าว่าแต่เอ่ยคำขอโทษที่ไม่ต้องเสียเนื้อหนังเลย ต่อให้นางต้องควักเงินมาเป็นค่าไถ่โทษ เคลื่อนย้ายสิ่งของที่อยู่ในกล่องเก็บสมบัติออกมาข้างนอก เผยเฉียนก็ได้แต่ทำตามแต่โดยดี
หลิ่วชิงเฟิงรีบช่วยพูดแทนเผยเฉียน เผยเฉียนถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าบัณฑิตที่เป็นนายอำเภอผู้นี้มีคุณธรรมไม่น้อย
หลังจากนั้นก็ย่อมเป็นการชักชวนเฉินผิงอันให้กลับไปสวนสิงโตด้วยกัน เพียงแต่เมื่อเฉินผิงอันบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อดูว่าจะไปทันช่วงท้ายของงานโต้วาทีพุทธเต๋าหรือไม่ หลิ่วชิงเฟิงก็เกรงใจเกินกว่าจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมได้อีก
เฉินผิงอันช่วยหลิ่วชิงเฟิงซ่อมรถเทียมวัวให้ดีก่อน จากนั้นสองฝ่ายก็บอกลากัน ต่างคนต่างเร่งเดินทางต่ออีกครั้ง
พอเดินแยกเข้ามาบนถนนทางหลวงแล้ว จูเหลี่ยนจึงยิ้มเอ่ยว่า “รู้สึกว่าหลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแห่งสวนสิงโตผู้นี้มีลักษณะเหมาะให้เป็นขุนนางมากกว่าหลิ่วชิงซานผู้เป็นน้องชาย”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หลิ่วชิงซานมีกลิ่นอายของบัณฑิตเข้มข้นกว่า ความสามารถมากกว่า ความรู้มีอยู่เต็มท้อง การปฏิบัติตัวก็ยิ่งสมกับเป็นวิญญูชนที่แท้จริง ส่วนพี่ชายอย่างหลิ่วชิงเฟิงคล้ายจะไม่มีประกายคมกริบเช่นนั้น แทบจะไม่มีเหลี่ยมมุมใดๆ เลย
แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าพี่น้องทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นบัณฑิตที่โลกใบนี้ต้องการ เพียงแค่นี้เท่านั้น ส่วนในอนาคตใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วพวกเขาก็ยังเป็นคนของสวนสิงโต เป็นคนในครอบครัวเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน รู้หรือไม่ว่าจุดที่น่านับถือที่สุดของนายอำเภอหลิ่วผู้นี้อยู่ตรงไหน?”
เผยเฉียนหลุดปากตอบออกไป “เป็นขุนนางแต่นิสัยยังดีอยู่ ไม่มีการวางมาดใดๆ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คือการกระทำที่ออกมาจากใจจริงของเขา เขายอมให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ต้องหลีกทางให้เจ้าให้ได้”
เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งทีคล้ายเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ “อาจารย์ ข้าจะจำเอาไว้ก่อน ก็เหมือนเมื่อสองวันก่อนตอนที่เอาตำราและแผ่นไม้ไผ่พวกนั้นออกมาตากแดด ตอนที่แดดแรงๆ ก็ต้องคอยเอาเจ้าพวกนี้มาตากแดดพลิกกลับไปกลับมา”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ลูบศีรษะนางแล้วไม่พูดอะไรให้มากความอีก
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นายน้อย วันหน้าหากมีโอกาส บ่าวเฒ่าจะช่วยป้อนหมัดให้ท่านดีไหม?”
เฉินผิงอันตอบรับอย่างไม่ลังเล “ดีสิ”
จากนั้นจูเหลี่ยนก็หันไปมองเผยเฉียน “เห็นหรือยัง นี่ก็คือการกระทำที่ออกมาจากใจจริง ต้องรู้ว่าการป้อนหมัดเลี้ยงหมัดระหว่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวบนโลกใบนี้ประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำ ต่อยเบาๆ ปล่อยเบาๆ ล้วนไม่มีประโยชน์ หากต้องการจะให้ได้ผล บ่าวเฒ่าก็ต้องเอาความสามารถที่แท้จริงออกมา เมื่อเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้ว หมัดก็จะมีปราณสังหาร บนร่างก็จะมีจิตสังหาร ถ้าอย่างนั้นหากแท้จริงแล้วบ่าวเฒ่ามีการวางแผนมาล่วงหน้า ในใจมีจิตสังหารอยู่ก่อนแล้วก็จะต้องเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี แต่นายน้อยก็ยังคงเชื่อใจบ่าวเฒ่า นี่จึงเรียกว่าการกระทำที่ออกมาจากใจจริง…”
เผยเฉียนยังคงกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ นางตั้งใจคิดตามแล้วกล่าวว่า “พ่อครัวเฒ่า ตอนที่อยู่สวนสิงโต ทุกวันเวลาเจ้าอ่านหนังสือจบเล่มก็จะต้องพึมพำกับตัวเองว่า ในกระเป๋าไม่มีเงินจิตใจว้าวุ่น หากไปถึงเมืองหลวงแล้วพลาดตำราดีๆ พวกนั้นไปจะทำอย่างไร แถมยังพูดถึงภาพตำหนักวสันต์ (หรือภาพชุนกง คือภาพการร่วมเพศในสมัยโบราณ) อะไรของแคว้นชิงหลวนนั่น บอกว่าคือสุดยอดในแจกันสมบัติทวีป เข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วกลับมามือเปล่าจะไม่เสียดายตายหรอกหรือ…เจ้าบอกกับข้ามาตามตรงดีกว่าว่า เจ้าคิดจะหลอกเอาเงินของอาจารย์ข้าไปซื้อหนังสือและภาพตำหนักวสันต์ใช่ไหม?”
จูเหลี่ยนมีสีหน้าอับอาย ได้แต่ถูมือไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ป้อนหมัดนั้นได้ แต่เงินไม่มีให้!”
จูเหลี่ยนร้อนใจขึ้นมาครามครัน “นายน้อย พวกเราเดินทางมาสวนสิงโตครั้งนี้ได้เงินมาตั้งเยอะนี่นา แม้ว่าครั้งนี้บ่าวเฒ่าจะไม่ได้ลงมือ แต่ตะวันจันทราส่องกระจ่าง เป็นพยานความจงรักภักดีของข้าได้!”
เฉินผิงอันพูดกับเผยเฉียน “เจ้าเป็นคนพูด”
เผยเฉียนจึงตะเบ็งเสียงดังลั่น “เงินอะไรกัน! เงินที่เข้าไปในกระเป๋าของอาจารย์ข้าก็ไม่ใช่เงินแล้ว!”
สือโหรวที่เดินอยู่ด้านหลังสุดทอดถอนใจไม่หยุด
เห็นไหม สันดอนเปลี่ยนง่ายสันดานเปลี่ยนยาก สามคนนี้เอาอีกแล้ว
……
หลิ่วชิงเฟิงถูกเด็กรับใช้บ่นมาตลอดทาง และเขาก็ไม่โต้แย้ง ยิ่งไม่ใช้สถานะของตัวเองมากดข่มอีกฝ่าย ร่างของคนทั้งคู่เปียกโชก รถเทียมวัวที่นั่งมาเคลื่อนมาใกล้สวนสิงโต เด็กรับใช้เห็นหน้าผาหินและต้นไม้โบราณ เห็นเค้าโครงร่างของสวนสิงโตที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีคำบ่นอีกต่อไป เด็กหนุ่มเติบโตมาจากที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก และสำหรับจ้าวหยาที่เติบโตเคียงคู่กันมานั้น เขาก็ชื่นชอบนางอย่างมาก…
บุตรชายหญิงห้าคนของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วซึ่งเป็นเด็กรุ่นที่ใช้อักษรตัวชิง มีชื่อเป็นห้าคำว่า ‘เฟิง หย่า ซาน ชิง อวี้’ พอดี (หากแปลรวมกันจะได้ว่าสายลมงามสง่าขุนเขาครึ้มเขียวขจี)
เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้านเรียบร้อย หลิ่วชิงเฟิงก็ตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือของน้องชาย เด็กรับใช้บอกว่านายท่านผู้เฒ่าไปรออยู่ที่นั่นแล้ว
พ่อลูกสามคนนั่งลงบนเก้าอี้
หลิ่วจิ้งถิงได้พบหน้าหลิ่วชิงเฟิงก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความผ่อนคลายนี้ไม่น้อยไปกว่าตอนที่ได้เห็นปีศาจถูกจับตัวได้เลย
ทุกคนคงจินตนาการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือต่างถิ่นอย่างเฉินผิงอันหรือหลิ่วป๋อฉี แม้แต่คนส่วนใหญ่ในสวนสิงโตก็คงไม่รู้เรื่องหนึ่ง นั่นคือหัวใจหลักตามความหมายที่แท้จริงของสวนสิงโตนั้น แท้จริงแล้วคือหลิ่วชิงเฟิงที่ระดับขุนนางไม่สูง ความสามารถและชื่อเสียงก็ธรรมดาสามัญผู้นี้ต่างหาก หาใช่หลิ่วจิ้งถิงที่เป็นประมุขของตระกูลไม่ ตอนนั้นหลิ่วป๋อฉีแอบฟังคนทั้งสามคุยกันในวงสุรา ความสนใจส่วนใหญ่ล้วนถูกหลิ่วชิงซานดึงดูดไป ไม่อาจขบคิดใคร่ครวญได้ถึงความนัยของการ่ำสุราครั้งนั้นออก เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของพ่อลูกสามคนที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ประดุจน้ำมาคลองก็เสร็จนี้ หาใช่สิ่งที่หลิ่วชิงเฟิงจงใจทำให้เป็นเช่นนั้นไม่ หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตที่เน้นในด้านการปฏิบัติ ศรัทธาในการสร้างคุณความชอบได้รับหน้าที่ซึ่งมีบทบาทคล้ายคลึงกับเค่อชิง (คนต่างแคว้นที่มารับหน้าที่ขุนนางในอีกแคว้นหนึ่ง) หรือไม่ก็กุนซือของหลิ่วจิ้งถิงมานานมากแล้ว เพราะนอกจากหลิ่วชิงซานจะต้องออกไปหาประสบการณ์และสอบเคอจวี่แล้วก็ล้วนมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้อยู่ในสวนสิงโตมาโดยตลอด แต่หลิ่วชิงเฟิงนั้นไม่เหมือนกัน ในช่วงเวลาระหว่างที่หลิ่วจิ้งถิงเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง บุตรชายคนโตอย่างเขาก็คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างในจวนที่เมืองหลวงตลอดเวลา ดังนั้นจึงเข้าใจภาระงานด้านการปกครองของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วมากกว่าหลิ่วชิงซาน และยิ่งคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลมมรสุมในราชสำนักแคว้นชิงหลวนเป็นอย่างดี
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “จดหมายที่ท่านพ่อส่งไปยังที่ว่าการอำเภอ ข้าได้อ่านอย่างละเอียดแล้ว”
หลิ่วชิงซานพบว่าพี่ชายกำลังยิ้มมองตนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข
หลิ่วชิงเฟิงพลันหัวเราะเสียงดังกึกก้อง
หลิ่วชิงซานหน้าแดงน้อยๆ “พี่ใหญ่!”
หลิ่วจิ้งถิงทอดถอนใจกล่าวว่า “เรื่องของเจ้าแม่ต้นหลิ่ว หากยอมฟังคำของเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ พูดคุยกับนางอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์ก็อาจจะไม่ชะงักงันอย่างในทุกวันนี้”
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยปลอบใจ “ท่านพ่อ การเป็นคนก็ดี เป็นเทพรับควันธูปก็ช่าง ถึงอย่างไรจิตใจก็เป็นรากฐานของแต่ละคน อันที่จริงไม่ใช่ว่าคำพูดจากใจจริงแค่ไม่กี่คำของฝ่ายพวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่สวนสิงโตประสบพบเจอในครั้งนี้ได้ โชคดีที่เจ้าแม่ต้นหลิ่วต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับสวนสิงโตของพวกเรา หายนะครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการตักเตือนนาง ได้พบโชคดีหลังหายนะ นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับคุณชายเฉินที่มีจิตใจของจอมยุทธ์ผู้ผดุงธรรม รวมไปถึงนักพรตหญิงที่ชิงซานคุ้นเคยดีผู้นั้น…แซ่หลิ่ว ชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”
หลิ่วชิงซานอับอายจนพานเป็นความโกรธ “หลิ่วป๋อฉี! พี่ใหญ่ท่านพูดไม่แล้วไม่เลิกสักทีนะ?!”
หลิ่วชิงเฟิงหุบยิ้ม ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าชอบนางจริงๆ หรือ?”
หลิ่วชิงซานเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
หลิ่วจิ้งถิงลังเลอยู่ชั่วขณะก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ถึงอย่างไรนักพรตหญิงคนนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา หากพูดถึงแค่เรื่องของสวนสิงโต พวกเราซาบซึ้งในพระคุณของนางอย่างไรก็ล้วนไม่มากเกินไป แต่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ในชีวิตของน้องชายเจ้าอย่างเรื่องของการแต่งงานนี้ เฮ้อ วุ่นวายซะจริง”
ในฐานะรองเจ้ากรมพิธีการผู้เฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน ตระกูลเซียนในอาณาเขตของหนึ่งแคว้นหรือเซียนซือที่เดินทางผ่านมาย่อมไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ บวกกับที่ฮ่องเต้สกุลถังมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระแห่งภูเขาแม่น้ำ รองเจ้ากรมอย่างเขาก็ล้วนหยัดเอวได้ตรงอยู่เสมอ
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นขุนนางที่เที่ยงธรรมแค่ไหนก็ยากจะตัดสินใจเรื่องในบ้านได้
หลิ่วชิงเฟิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่บิดาว่าเขารู้ดีว่าควรทำเช่นไร ก่อนจะพูดกับหลิ่วชิงซานว่า “ชิงซาน ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าชอบแล้วก็เป็นความชอบที่มาจากใจจริง รูปร่าง ชาติกำเนิด นิสัยใจคอ สิ่งเหล่านี้เจ้าต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบมาด้วยตัวเองแล้ว และข้าก็เชื่อในสายตาของเจ้า ข้าผู้เป็นพี่ชายจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ และยิ่งไม่มีทางเข้าไปจู้จี้กับเรื่องของพวกเจ้าสองคน แต่พวกเรามาลองสมมติกันว่าหลังจากนี้เซียนซือนักพรตหญิงจากทวีปอื่นที่ชื่อว่าหลิ่วป๋อฉีผู้นี้อาจแต่งเข้ามาในสวนสิงโตของพวกเรา กลายมาเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้องเปิดเผยของเจ้าชิงซาน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องพิจารณาสองเรื่อง เรื่องแรก หลิ่วป๋อฉีคือคนบนเส้นทางของการฝึกตน ดังนั้นพวกเราจะไม่เรียกร้องในเรื่องยิบย่อยกับนาง เพียงแต่ว่านางจะเต็มใจมาฝึกตนอยู่ในสวนสิงโต ปฏิบัติกับเจ้าชิงซานตามมารยาทของสามีภรรยาอย่างจริงใจ หรือว่าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็จะอาศัยสถานะเซียนซือบนภูเขาของตนถือตัวอยู่เหนือเจ้าหลิ่วชิงซาน อาจถึงขั้นยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระในสวนสิงโตหรือไม่?”
“ข้อที่สอง ชิงซาน นางเคยพูดอะไรที่เป็นการบอกนัยๆ ให้เจ้าฝึกวิชาเซียนกับนางหรือไม่? ต้องการให้เจ้าละทิ้งตำราอริยะปราชญ์ทั้งหมด ไปจากสวนสิงโต ออกจากวิถีของมนุษย์ปุถุชนขึ้นไปบนภูเขาหรือไม่?”
“ความรักระหว่างชายหญิงบนโลก แรกเริ่มมักจะทำให้คนรู้สึกงดงามเสมอ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนน่าประทับใจ ก็เหมือนกับสวนสิงโตแห่งนี้ที่สร้างขึ้นระหว่างภูเขาเขียวสายน้ำใส ประหนึ่งแดนสุขาวดีนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาเกิดเรื่อง เจ้าแม่ต้นหลิ่วเทพแห่งผืนดินที่ได้รับการยกย่องมาทุกยุคสมัยล่ะเป็นอย่างไร? หากไม่เป็นเพราะเจ้าแม่ต้นหลิ่วไม่อาจย้ายถิ่นฐานได้ เกรงว่านางคงทอดทิ้งสวนสิงโตไปหลบภัยอยู่ไกลๆ นานแล้ว บุญสัมพันธ์และควันธูปที่คนเจ็ดรุ่นของสกุลหลิ่วสร้างไว้ พอถึงเวลา อยู่ต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษมากมายในศาลบรรพชน คำพูดของเจ้าแม่ต้นหลิ่วก็ทำร้ายจิตใจคนอย่างถึงที่สุดอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ดังนั้นชิงซาน ใช่ว่าข้าจะไม่ต้องการให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหลิ่วป๋อฉี เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ บนภูเขากับล่างภูเขาคือโลกสองใบ ปัญญาชนกับผู้ฝึกตนก็เป็นมนุษย์คนละประเภท เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว จะเป็นนางหลิ่วป๋อฉีที่ย้ายมาอยู่กับเจ้า หรือเป็นเจ้าหลิ่วชิงซานที่ต้องติดตามนาง? เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเคยคิดแล้ว ได้คิดให้กระจ่างแล้วหรือยัง?”
“ใช่ หลิ่วป๋อฉีมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อสวนสิงโต ไม่เพียงแต่กำจัดปีศาจปราบมาร ช่วยสกุลหลิ่วของพวกเราที่เป็นดั่งอาคารใหญ่ใกล้จะล้มลงเอาไว้ หลังจบเรื่องก็ยิ่งยอมทุ่มเงินก้อนใหญ่จ่ายเงินเทพเซียนตั้งมากมายให้แทนสกุลหลิ่วของพวกเรา แต่ชิงซานเจ้าคิดดีแล้วหรือ ใช่ว่าพระคุณยิ่งใหญ่นี้ของหลิ่วป๋อฉีสกุลหลิ่วของเราจะไม่ยินดีใช้คืน ตั้งแต่ท่านพ่อมาจนถึงพี่ชายอย่างข้า และไปถึงคนทั้งสวนสิงโต ล้วนไม่มีใครต้องการให้เจ้าหลิ่วชิงซานแบกรับไว้คนเดียว คนรุ่นนี้ของสกุลหลิ่วไม่อาจชดใช้พระคุณครั้งนี้คืนได้หมด ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นคนสองรุ่น คนสามรุ่น ขอแค่หลิ่วป๋อฉียินดีรอ พวกเราก็ยินดีชดใช้ให้ตลอดไป”
หลิ่วชิงเฟิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อย่าโทษที่ข้าทำตัวเหมือนพ่อค้าหน้าเลือด ใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชน แต่เป็นเพราะวันนี้พวกเราคิดให้มากหน่อย ในอนาคตก็จะได้ทุกข์น้อยลง พูดไปร้อยอย่างพันอย่าง สุดท้ายก็แค่หวังให้เจ้าชิงซานมีชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันข้าเองก็มีใจเห็นแก่ตัว ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วสวนสิงโต ข้าที่เป็นพี่ชายคนโตรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถจะแบกรับเอาไว้ จึงต้องให้เจ้าเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน”
หลิ่วชิงซานลุกขึ้นยืน เนื่องจากขาพิการ ไหล่จึงเอียงไปข้างหนึ่ง เขากุมมือคารวะด้วยสีหน้าสง่างาม “ข้าจะไปถามให้แน่ชัดเดี๋ยวนี้”
สายตาหลิ่วชิงเฟิงมีประกายซับซ้อนผ่านไปวูบหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “บนโลกมีเทพเซียนอยู่มากมาย ชิงซาน เจ้าวางใจเถอะ ต้องรักษาหายแน่นอน พี่ใหญ่รับรองกับเจ้า”
หลิ่วชิงซานคิดแค่ว่าพี่ชายกำลังปลอบใจตนจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วจิ้งถิงกลับมีสายตาเฉียบคมที่ผ่านการฝึกฝนมาจากการเป็นขุนนาง เขารู้จักนิสัยของบุตรชายคนโตดีที่สุดว่าหนักแน่นแตกต่างไปจากคนทั่วไป ใจคอกว้างขวางเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจึงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หลังจากหลิ่วชิงซานออกไปจากห้องหนังสือและปิดประตูลงแล้ว
หลิ่วชิงเฟิงที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ระหว่างที่เดินทางมาได้เจอกับเฉินผิงอันผู้นั้นพอดี”
หลิ่วจิ้งถิงระงับแรงสั่นสะเทือนในหัวใจขุมนั้นเอาไว้ ยิ้มพูดว่า “รู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า “เป็นคนบนภูเขาที่พบเจอได้ยากยิ่ง และยิ่งเหมือนบัณฑิตแท้จริงที่มาจากตระกูลชนชั้นสูง”
หลิ่วจิ้งถิงคลี่ยิ้ม “เป็นเช่นนี้จริง”
หลิ่วชิงเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หลิ่วจิ้งถิงลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่บุตรชายคนโต “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาเกรงใจกัน วันหน้าชิงซานจะเข้าใจความหวังดีของเจ้าเอง ส่วนพ่อน่ะ บอกตามตรง ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำถูก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำผิดเช่นกัน”
สีหน้าของหลิ่วชิงเฟิงหม่นหมอง
หลิ่วจิ้งถิงกล่าว “ไปดูชิงชิงหน่อยเถอะ นางสนิทกับชิงซาน แต่กลับเคารพนับถือเจ้ามาก ดังนั้นคำพูดบางอย่างหากเจ้าพูดจะได้ผลที่สุด”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ “ข้าจะนั่งอยู่อีกสักพัก เดี๋ยวจะไปพบอาจารย์ทั้งสองท่านก่อนแล้วค่อยไปที่หอซิ่วโหลว”
หลิ่วจิ้งถิงถอนหายใจ “ตามหลักแล้วสมควรทำเช่นนี้”
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเดินออกไปจากห้องหนังสือก่อน
หลิ่วชิงเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง หันหน้าไปมองกลอนคู่บทนั้น
ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน
อันที่จริงคนที่เขียนกลอนบทนี้ไม่ใช่หลิ่วชิงซานผู้เป็นเจ้าของห้องหนังสือ แต่เป็นพี่ชายอย่างเขาหลิ่วชิงเฟิง ปีนั้นที่น้องชายทำพิธีสวมกวาน (พิธีที่แสดงให้รู้ว่าเด็กหนุ่มกลายเป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว) เขาเขียนมันด้วยตัวเองแล้วมอบให้หลิ่วชิงซานเป็นของขวัญ
หลิ่วชิงเฟิงเดินออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าอ้างว้าง ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงและอาจารย์หลิวชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ ฝ่ายแรกไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน มีเพียงฝ่ายหลังที่อยู่ หลิ่วชิงเฟิงจึงถามข้อสงสัยบางอย่างในด้านความรู้กับฝ่ายหลังแล้วถึงได้บอกลาจากมา ไปหาน้องสาวหลิ่วชิงชิงที่หอซิ่วโหลว
หลังจากหลิ่วชิงเฟิงจากไป อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงถึงได้ปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่า
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อถามขึ้น “อาจารย์ หลิ่วชิงเฟิงทำเช่นนี้จะลากหลิ่วชิงซานเข้าไปในน้ำวนแห่งการแก่งแย่งช่วงชิงของสามลัทธิแคว้นชิงหลวน เป็นการกระทำที่ถูกหรือว่าผิด?”
ฝูเซิงยิ้มกล่าว “ก็มีคนบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ ผิดถูกในวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผิดถูกในวันหน้า ยังต้องดูที่คน อีกอย่างนี่เป็นเรื่องของสกุลหลิว ข้าเองก็อยากยืมใช้โอกาสนี้มาลองดูว่าหลิ่วชิงซานอ่านตำราของอริยะปราชญ์เข้าท้องไปกี่มากน้อย เรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบัณฑิตนี้ เดิมทีก็มีเพียงผ่านการขัดเกลาอย่างยากลำบากเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกจนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อาจารย์ใช้คำกล่าวของลัทธิพุทธมาพูดถึงการกระทำของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่ถูกหลักมารยาทเลย เพียงแต่เขาเองก็รู้ดีว่าฐานะของอาจารย์ที่อยู่ในศาลบุ๋นดั้งเดิมของแผ่นดินกลางสูงส่งเท่าไหร่ สิ่งที่สายตาของอาจารย์มองไปเห็นนั้นกว้างไกลอย่างมาก หากไม่เกี่ยวพันกับความเบี่ยงเบนบนมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของหลิ่วชิงซาน อาจารย์ก็จะไม่ยื่นมือเข้าก้าวก่าย หากครั้งนี้ตอนที่อยู่ในศาลบรรพชน หลิ่วชิงซานไม่ได้ออกมาโต้เถียงเจ้าแม่ต้นหลิ่ว ถ้าเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้หลิ่วชิงซานก็จะรู้แค่ว่าในโรงเรียนมีอาจารย์สองคนที่อยู่สวนสิงโตมานานหลายปี หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านเกิด แล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีก
อันที่จริงโชควาสนาทั้งหลายในโลกก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อาจมีการแบ่งแยกเล็กใหญ่ รวมไปถึงการรับลูกศิษย์ของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนต่างก็มีเส้นทางให้ต้องเดิน จุดเริ่มต้นในการเจาะเข้าหาลูกศิษย์ที่หมายตาก็แตกต่างกันออกไป ทว่าแท้จริงแล้วในด้านของลักษณะกลับเหมือนกัน นั่นคือยังต้องดูว่าคนที่ถูกทดสอบสามารถคว้าโชควาสนานั้นไว้ได้อยู่มือหรือไม่ เทพเซียนลัทธิเต๋าจะชอบใช้วิธีการนี้เป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับการเฝ้ามองไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของอาจารย์ฝูเซิงแล้ว พวกเขาจะเพิ่มอุปสรรคและความซับซ้อนให้มากขึ้น ทั้งเกียรติยศและความอัปยศล้วนสลับสับเปลี่ยนกันไป การพบพรากจากลา ความรักระหว่างพ่อลูก สามีภรรยา ห่วงพะวงมากมาย ความล่อลวงใจทั้งหลายก็ล้วนอาจต้องทดสอบให้ครบถ้วนไปหนึ่งรอบ ถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร์ยังมีขั้นตอนการรับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงบางอย่างที่กินเวลาอย่างยาวนาน ถึงขนาดเกี่ยวพันไปถึงการมาจุติเกิดใหม่ในครรภ์ รวมไปถึงการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคล
น่าตะลึงพรึงเพริด อีกทั้งยังงดงามละลานตาไปหมด
ฝูเซิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงหลิ่วชิงเฟิงเหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้ามาก”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ไม่เลว อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำงานยิบย่อยได้ดี น่าเสียดายก็แต่ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะจะสืบทอดความรู้จากสายเล็กๆ ของข้า”
ฝูเซิงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก
เขาไม่ได้พูดชี้ชัด
อาจารย์ถ่ายทอดมรรคาให้ลูกศิษย์
ง่ายดายแค่ลูกศิษย์ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์เท่านั้นจริงๆ หรือ?
ลูกศิษย์ไม่สามารถตรวจสอบแล้วชดเชยช่องโหว่ของความรู้อาจารย์ได้จริงๆ หรือ?
เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้ ต้องคิดได้เองเท่านั้น
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยมีความกังวลว่า ยิ่งความรู้ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสูงเท่าไหร่ ตำแหน่งฐานะก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ตำแหน่งเทพจะถูกขยับให้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปเรื่อยๆ แบบนั้นโลกมนุษย์จะทำอย่างไร?
หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและยังมีเขาฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่ง รวมไปถึงรองเจ้าลัทธิขงจื๊อสองคนนั้น ต่างคนต่างก็มีคำตอบเป็นของตัวเอง
เพียงแต่ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย
ภายหลังจึงมีซิ่วไฉเฒ่าจากตรอกยากจนผู้นั้นโผล่มา
ยุคสมัยนั้นช่างส่องแสงรุ่งโรจน์ชัชวาล
งานโต้วาทีระหว่างสามลัทธิทั้งสองครั้งนั้น เมล็ดพันธ์เต๋าและพุทธสองกลุ่มที่มีความสามารถล้ำเลิศน่าตะลึงซึ่งตัดสินใจแปรพักตร์เข้าไปเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างเด็ดเดี่ยวไม่ได้มีแค่คนสองคนเท่านั้น
เคยมีเซียนหนุ่มคนหนึ่งของป๋ายอวี้จิงที่เข้าร่วมการโต้วาทีถามคำถามว่า ‘ในเมื่อลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าศรัทธาในคำกล่าวที่ว่าสันดานเดิมของมนุษย์นั้นดีงาม ในเมื่อทุกคนต่างก็มีจิตใจที่ดีงามแล้ว ถ้าเช่นนั้นคุณความชอบจากการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด?’
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อพลันเอ่ยถามว่า “หากหลิ่วชิงซานออกเดินทางไกลไปพร้อมกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี สุดท้ายจะได้เป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่งอริยะใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “นี่ก็ไม่เห็นเป็นไร ความคิดเห็นของคนในสามลัทธิจะเอาจริงเอาจังก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของความรู้เท่านั้น”
ในใจชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “คาดว่าหลิ่วชิงเฟิงคงจะเดาตัวตนของพวกเราออกแล้ว เพราะสวนสิงโตมีทางให้ถอยแล้ว ดังนั้นถึงได้มีการเดิมพันชะตาบุ๋นระหว่างหลิ่วชิงเฟิงกับซิ่วหู่แห่งต้าหลีในครั้งนี้”
ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนแค่นเสียงหยัน
ทว่าอาจารย์ผู้เฒ่ากลับพูดอย่างสะท้อนใจ “หากปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่ามีคนอย่างชุยฉาน หลิ่วชิงซานมากๆ หน่อย ก็คงไม่ถึงขั้นแพ้อย่าง…อาจจะยังแพ้อยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้”
……
หลิ่วชิงเฟิงยืนอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลว บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเชิญหลิ่วชิงชิงน้องสาวของเขาลงมาจากหอเรือน
จ้าวหยารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
หลายวันมานี้หลังจากที่คุณหนูได้รู้ความจริงคร่าวๆ ก็เจ็บปวดร้าวรานใจแทบใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพี่รองหลิ่วชิงซานเป็นคนพิการเพราะนาง แม้แต่ความคิดจะฆ่าตัวตายก็มีแล้ว หากไม่เป็นเพราะนางค้นพบได้เร็ว รีบย้ายพวกมีดกรรไกรออกไปจนหมดเกลี้ยง เกรงว่าสวนสิงโตที่หลังจากปิติยินดีกันอย่างยิ่งยวดไปแล้วคงต้องเจอกับความทุกข์ตรมเศร้าสร้อยอีกรอบ ดังนั้นนางจึงคอยอยู่ข้างกายคุณหนูทั้งวันทั้งคืนไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว สองวันมานี้คุณหนูทรุดโทรมเสียยิ่งกว่าตอนที่ประสบหายนะเสียอีก ผ่ายผอมจนแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกแล้วจริงๆ
หลิ่วชิงเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไปเรียกนางลงมา”
จ้าวหยาหวาดผวา รีบหมุนตัววิ่งกลับไปบนหอทันที
หลิ่วชิงชิงลงจากหอมาอย่างขลาดกลัว ถึงขั้นไม่กล้าให้จ้าวหยาช่วยประคอง
หลิ่วชิงเฟิงมองน้องสาวแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
หลิ่วชิงชิงก้มหน้าลงต่ำ ในใจบังเกิดความหวาดหวั่น
นางกลัวพี่ชายใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าแต่ละด้านล้วนโดดเด่นได้ไม่เท่าหลิ่วชิงซานผู้นี้มาตั้งแต่เด็ก
หลิ่วชิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอก ข้าจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้าวหยาที่ยืนรออยู่ตรงหอซิ่วโหลวชะเง้อคอยาวด้วยความกังวลใจ
พบว่าตอนที่คุณหนูของตนกลับมา แม้ใบหน้าจะยังมีคราบน้ำตาหลงเหลือ แต่ดูเหมือนว่าจะคลายปมในใจได้แล้ว
หลิ่วชิงชิงยกชายกระโปรงเดินขึ้นหอซิ่วโหลว จ้าวหยาที่มึนงงสงสัยเดินตามไปด้านหลัง
หลิ่วชิงชิงพลันถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หยาเอ๋อร์ เจ้าขึ้นเขาไปฝึกตนเป็นเพื่อนข้าดีไหม?”
จ้าวหยาตะลึงพรึงเพริด มองคุณหนูที่ไม่เหลือความหมดอาลัยตายอยากแล้วพยักหน้ารับ
หลิ่วชิงเฟิงเดินอยู่ในสวนสิงโตเพียงลำพัง
เป็นผู้รอบรู้ที่สามารถสร้างความรู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าทำไม่ได้
ในเมื่อเขาหลิ่วชิงเฟิงก้าวข้ามก้าวนั้นออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องป่ายปีนกลิ้งเกลือกอยู่ในบ่อดินโคลนเละๆ นี่เท่านั้น
ความทุกข์ทรมานในใจของหลิ่วชิงเฟิงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้
เป็นบัณฑิต ใครบ้างที่ไม่ยินดีขยันศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือ เขียนบทความผลงานคุณธรรมบทแล้วบทเล่าให้แพร่หลายไปร้อยปี
เป็นบัณฑิต ใครบ้างที่ไม่ยินดีมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ถูกขนานนามให้เป็นผู้นำด้านวัฒนธรรม เป็นประมุขแห่งปัญญาชน
เป็นบัณฑิต ใครบ้างที่ไม่ยินดีให้ชายเสื้อสองข้างมีลมเย็น เป็นผู้ปฏิรูปรากเหง้าแห่งความรู้สายลัทธิขงจื๊อ บุกเบิกโฉมหน้าใหม่
แต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องมีคนมาเป็นขุนนางซึ่งเป็นหน้าที่ที่ยากจะคิดคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนมากที่สุด และงานยิบย่อยหยุมหยิมที่เงินทุกแดงต้องคิดทำเพื่อชาวบ้าน ก็ต้องมีคนมาทำ
ยังดีที่ว่ากันว่าเมื่อเรียนหนังสือสร้างความรู้ได้ถึงจุดที่สูงที่สุดแล้วก็สามารถทำทั้งความรู้และทำงานได้ทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน
หลิ่วชิงเฟิงที่ยืนอยู่ตรงสะพานซึ่งมีสายน้ำไหลผ่านหันหน้าไป เห็นว่าหลิ่วชิงซานเดินเคียงบ่ามาพร้อมกับนักพรตหญิงผู้นั้น
สุดท้ายก็เป็นหลิ่วชิงซานที่เดินมาหาหลิ่วชิงเฟิงเพียงลำพัง เขายิ้มกล่าวว่า “ข้าอยากจะเดินทางไกลไปทั่วแจกันสมบัติทวีปพร้อมกับหลิ่วป๋อฉีก่อน อยากจะไปเยือนทะเลสาบกวานหู และยังมีสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย รวมไปถึงสำนักศึกษาที่สร้างขึ้นใหม่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลี”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มถาม “คิดดีแล้วหรือ? หากคิดดีแล้ว จำไว้ว่าต้องไปแจ้งอาจารย์ทั้งสองท่านก่อน ดูว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไร”
หลิ่วชิงซานอืมรับหนึ่งที “หลิ่วป๋อฉีบอกว่าขาของข้าสามารถรักษาให้หายดีได้ แต่ข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่อย่างนั้นจะต้องติดค้างน้ำใจนางอีก หากถึงเวลานั้น…”
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยสัพยอก “หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยมากขนาดนั้น”
หลิ่วชิงซานหมุนตัวเดินหนีไปทันที
หลิ่วชิงเฟิงพลันเอ่ยเรียกน้องชายเอาไว้ กล่าวว่า “ข้าขอบคุณเจ้าแทนบรรพบุรุษสกุลหลิ่วและบัณฑิตทุกคนในแคว้นชิงหลวน ความรู้ที่บริสุทธิ์ของสกุลหลิ่วไม่ลดทอนไปจากในอดีต บัณฑิตแคว้นชิงหลวนก็สามารถเงยหน้ายืดอกตั้งได้ไม่อายใคร”
หลิ่วชิงซานกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดต้องกล่าวเช่นนี้? พี่ใหญ่ ท่านกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ?”
หลิ่วชิงเฟิงช่วยจัดสาบเสื้อให้หลิ่วชิงซาน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เด็กโง่ ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เจ้าแค่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหาความรู้อย่างสบายใจก็พอ วันหน้าจะได้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อมาสร้างเกียรติยศให้แก่สกุลหลิ่วของพวกเรา”
หลิ่วชิงซานพูดหยอกล้อ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นขุนนางจนทึ่มไปแล้วหรือไร ตอนนี้เพิ่งได้เป็นนายอำเภอเท่านั้น วันหน้าหากท่านเป็นรองเจ้ากรม เป็นเจ้ากรมจะทำอย่างไร?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มอ่อน “ก็คอยรอดูกัน”
หลิ่วชิงเฟิงถาม “ตอนที่เจ้าไปบอกลาอาจารย์ทั้งสอง ข้าขอคุยกับหลิ่วป๋อฉีหน่อยได้หรือไม่? วางใจเถอะ แค่พูดคุยกันไม่กี่คำเท่านั้น”
หลิ่วชิงซานพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
หลิ่วชิงซานจึงไปบอกหลิ่วป๋อฉี หลิ่วป๋อฉีตอบรับ ตอนที่หลิ่วชิงซานไปหาอาจารย์ผู้เฒ่าฝูและอาจารย์หลิว
หลิ่วชิงเฟิงก็พาหลิ่วป๋อฉีเดินไปทางศาลบรรพชนสกุลหลิ่ว
ตลอดทางที่เดินกันไป หลิ่วชิงเฟิงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ในใจหลิ่วป๋อฉีกลับเกิดความหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แน่นอนว่าหลักๆ เป็นเพราะเมื่อนางตกหลุมรักหลิ่วชิงซาน ยามที่เผชิญหน้ากับหลิ่วชิงเฟิงหรือหลิ่วจิ้งถิง นางจึงรู้สึกว่าลำดับศักดิ์ของตัวเองต่ำกว่าอีกฝ่ายอยู่เสมอ
แต่หลิ่วป๋อฉีก็มีลางสังหรณ์ที่แปลกประหลาดบางอย่างว่า หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้อาจจะไม่ใช่คนธรรมดา
หลิ่วชิงเฟิงหยุดฝีเท้าอยู่ด้านนอกประตูศาลบรรพชน เอ่ยถามว่า “หลิ่วป๋อฉี หากหลิ่วชิงซานน้องชายของข้ามีอายุขัยแสนสั้นดั่งมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เจ้าจะทำอย่างไร?”
หลิ่วป๋อฉีตอบ “ตอนนี้ข้ามีตบะเป็นเซียนดินแล้ว วันหน้าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นข้ายินดีจะถ่วงเวลารอหลิ่วชิงซานหนึ่งร้อยปี”
หลิ่วชิงเฟิงถามอีก “แล้วหากอนาคตอันรุ่งโรจน์ของหลิ่วชิงซานอยู่ที่สามอมตะ (สูงสุดคือสร้างคุณธรรม รองลงมาคือสร้างคุณประโยชน์ จากนั้นคือรังสรรค์ถ้อยคำ แม้เนิ่นนานก็ไม่เสื่อมสลาย) ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา อีกทั้งยังมีหวังว่าจะทำได้ เจ้าจะทำอย่างไร?”
หลิ่วป๋อฉีตอบ “แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา ใครที่กล้าทำลายมหามรรคาของสามีข้าหลิ่วป๋อฉี ก็ต้องถามมีดเทพเจ้าจิ้งและเจี่ยจั้วมีดแห่งชะตาชีวิตของข้าก่อนว่ายอมหรือไม่”
หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเบาๆ “เมื่อเผชิญกับเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะยามที่ต้องเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย ข้าหวังว่าเจ้าที่เป็นภรรยาของน้องชายข้าจะสามารถพิจารณาปัญหาโดยยืนอยู่ในมุมมองของหลิ่วชิงซาน ไม่ใช่ว่าความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือ ‘ข้าหลิ่วป๋อฉีรู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะดีต่อหลิ่วชิงซาน ดังนั้นข้าก็จะทำแทนเขา’ มหามรรคาขรุขระเดินได้ยากลำบาก การเข่นฆ่าสังหารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในเมื่อตัวเจ้าเองก็พูดแล้วว่าแต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะรู้ในสิ่งที่หลิ่วชิงซานคิดและต้องการจริงๆ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงสามารถพูดกับเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า วันหน้าย่อมต้องมีช่วงเวลาที่เจ้าได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือถึงขั้นได้รับความอยุติธรรมใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เดิมทีหลิ่วป๋อฉีได้ยินคำว่า ‘ภรรยาของน้องชาย’ ก็ให้รู้สึกพิพักพิพ่วน แต่พอได้ยินคำพูดประโยคหลัง หลิ่วป๋อฉีกลับเหลือเพียงแค่ความเคารพนับถือจากใจจริง นางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ คำพูดเหล่านี้ข้าฟังด้วยความนับถือ ยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ! ข้าผู้นี้เป็นคนค่อนข้างดื้อรั้น แต่ยังฟังออกว่าคำพูดใดหวังดี คำพูดใดประสงค์ร้าย!”
หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกจากบ่า ยิ้มกล่าวว่า “น้องชายของข้าคนนี้สายตาดีมาก”
หลิ่วชิงเฟิงผายฝ่ามือไปทางศาลบรรพชน “เจ้าคือเทพเซียนบนภูเขา แค่ไหว้ศาลบรรพชนสกุลหลิ่วของพวกเราสามครั้งก็พอ”
หลิ่วป๋อฉีทำตามคำบอก
แต่กลับค้นพบว่าหลิ่วชิงเฟิงก็คำนับสามครั้งอยู่ไกลๆ เช่นกัน
อารมณ์ของหลิ่วป๋อฉีหนักอึ้งขึ้นมา
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานข้าจะต้องถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูลสกุลหลิ่ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไม่ใช่พี่ชายใหญ่ของหลิ่วชิงซานอีกต่อไป ถึงเวลานั้นหากหลิ่วชิงซานได้จดหมายจากทางบ้าน คิดจะล้มเลิกการเดินทางไกลหาประสบการณ์ ไม่ว่าตอนนั้นพวกเจ้าจะอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือในแผ่นดินกลาง หากเขายืนกรานจะกลับสวนสิงโตเพื่อมาซักไซ้เอาความผิดกับข้าให้ได้ เจ้าต้องขัดขวางเขาเอาไว้ ปกป้องเขาให้เขาได้เดินทางไกลหมื่นลี้เพื่อศึกษาหาความรู้ต่อไป”
แม้หลิ่วป๋อฉีจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับ แล้วยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “จะให้ข้าเป็นคนชั่วเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ท่านไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ”
หลิ่วชิงเฟิงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ได้ยินว่าเจ้าจัดการเจ้าแม่ต้นหลิ่วเสียจนอ่วม?”
หลิ่วป๋อฉีเริ่มรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
หลิ่วชิงเฟิงกลับยิ้มตาหยี “ข้านึกอยากทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนยังเด็กแล้ว เดิมทียังนึกว่าต้องให้ผ่านไปอีกเจ็ดแปดปีถึงจะทำได้ ต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้งแล้ว”
จนกระทั่งบัดนี้หลิ่วป๋อฉีถึงได้เริ่มยอมรับ ‘ขนบธรรมเนียมประจำสกุลหลิ่ว’ อย่างแท้จริง
ห่างออกไปไกล หลิ่วชิงซานเดินกะเผลกตรงมาทางศาลบรรพชน
เห็นว่าพี่ชายและสตรีที่รักกำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ ขอแค่พี่ชายใหญ่พยักหน้าตอบรับ ถ้าอย่างนั้นงานแต่งงานระหว่างตนกับหลิ่วป๋อฉีก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว หลิ่วชิงซานจึงคลี่ยิ้ม บัณฑิตที่ยังหนุ่มผู้นี้รู้สึกเพียงว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินไปอีกแล้ว
……
พวกเฉินผิงอันเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นชิงหลวนได้อย่างราบรื่น
นี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกถึงความเจริญรุ่งเรืองผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่นหลังเดินทางออกมาจากนครมังกรเฒ่า
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยังมอบเงินขาวทองก้อนให้จูเหลี่ยน ปล่อยให้เขาไปซื้อหนังสือภาพที่ทำให้สือโหรวสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุดนั่น
ส่วนตัวเฉินผิงอันเองก็ตามหาร้านเก่าแก่มีอายุเป็นร้อยปีร้านหนึ่งเจอ ซื้อกระดาษเซวียนจื่อที่งามประณีตซึ่งคุณภาพสมกับราคามาส่วนหนึ่ง
ก่อนจะเข้าเมือง เฉินผิงอันก็หาพื้นที่ที่เงียบสงัดเอาของทั้งหมดในหีบไม้ไผ่ย้ายไปเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผา ชุยตงซานเคยพูดถึงเรื่องวงในของงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ หนึ่งในนั้นก็มีอารามป๋ายอวิ๋นซึ่งไร้สัญชาติของแคว้นชิงหลวนอยู่ด้วย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจงใจเดินอ้อมผ่านพื้นที่นี้
เขามักรู้สึกว่าตอนอยู่ในสวนสิงโตตนเองโชคดีมากพอแล้ว อย่าได้ทำตัวโอ้อวดด้วยการเป็นฝ่ายบุกเข้าไปอยู่ในสายตาของฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนและสกุลเจียงอวิ๋นหลินเลยจะดีกว่า
ตอนที่สวาปามอาหารมื้อใหญ่อยู่ในเหลาสุรากลางเมืองที่จอแจแห่งหนึ่ง คนของเมืองหลวงที่มากินอาหารต่างก็พูดคุยกันถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ดำเนินมาถึงช่วงท้าย แต่กลับยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงด้วยสีหน้าชื่นมื่นเบิกบาน ไม่ว่าจะพูดถึงการไหว้พระหรือแสวงหาเต๋า ในถ้อยคำของพวกเขาก็ล้วนปกปิดความภาคภูมิใจในฐานะประชาชนแคว้นชิงหลวนไว้ไม่มิด อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในการแสดงออกให้เห็นถึงกองกำลังและโชควาสนาแห่งแคว้น
เฉินผิงอันเคยเห็นมาจากสถานที่บางแห่ง ยกตัวอย่างเช่นเคยเห็นมาจากบนร่างของทหารลาดตระเวนริมชายแดนต้าหลีท่ามกลางพายุหิมะ เคยเห็นมาจากร่างของชาวบ้านเมืองหลวงต้าสุย เคยเห็นมาจากบนร่างของเด็กสาวที่อยู่บนรถม้าของนครมังกรเฒ่า แล้วก็เคยเห็นมาจากที่ภูเขาห้อยหัว
โต๊ะใกล้เคียงต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและแพร่หลายอยู่ในเมืองหลวง
เฉินผิงอันเงี่ยหูฟัง เผยเฉียนเห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟังมากจึงวางไก่ย่างรสชาติอร่อยล้ำซึ่งเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งลงเงียบๆ แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟังเช่นกัน
จูเหลี่ยนแอบยื่นตะเกียบออกมา หมายจะคีบน่องไก่ชิ้นหนึ่งใส่ในถ้วย แต่กลับถูกเผยเฉียนที่ตาไวใช้ตะเกียบขัดขวาง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กถลึงตาใส่กัน ออกตะเกียบรวดเร็วราวกับบิน รอจนเฉินผิงอันเริ่มคีบอาหารอีกครั้ง คนทั้งสองก็เริ่มตีเครื่องทองสัมฤทธิ์ส่งสัญญาณหยุดทัพ พอเฉินผิงอันก้มหน้าพุ้ยข้าว เผยเฉียนและจูเหลี่ยนก็เริ่มปรึกษาหารือกัน
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจสมบัติมีชีวิต (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบทำโก๊ะปล่อยไก่ น่าตลกขบขัน) คู่นี้ แค่สงสัยใคร่รู้ในปริศนาธรรมที่มองดูเหมือนจะเป็นความบังเอิญครั้งนั้น
เดิมทีเมื่อวานเมืองหลวงมีฝนตกครั้งใหญ่ บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคา และมีภิกษุคนหนึ่งถือร่มอยู่กลางสายฝน
ดังนั้นจึงมีบทสนทนาที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดครั้งนั้นเกิดขึ้น เนื้อหามีไม่มาก แต่ความหมายลึกซึ้ง ลูกค้าโต๊ะที่นั่งกินอาหารอยู่ใกล้กับเฉินผิงอันขบคิดใคร่ครวญถึงความลี้ลับได้นับไม่ถ้วน
ตอนนั้นบัณฑิตถามภิกษุว่าพาเขาเดินไปด้วยกันสักระยะทางหนึ่งได้ไหม จะได้สะดวกให้หลบฝน ภิกษุบอกว่าเขาอยู่ท่ามกลางสายฝน บัณฑิตอยู่ใต้ชายคาที่ไม่มีฝน ไม่จำเป็นต้องข้ามมา บัณฑิตจึงเดินออกมาจากใต้ชายคา มายืนอยู่ท่ามกลางน้ำฝน ภิกษุจึงตวาดเสียงดังว่าไปหาร่มเอาเอง สุดท้ายบัณฑิตจึงกลับเข้าไปใต้ชายคาอีกครั้งด้วยความอกสั่นขวัญผวา
ลูกค้าที่มาดื่มเหล้ากินอาหารหลายคนต่างก็ทอดถอนใจในพระธรรมที่สูงส่งลึกล้ำของภิกษุท่านนี้ บอกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ คือพระธรรมที่แท้จริง เพราะต่อให้บัณฑิตก็ตากฝนด้วย แต่การที่ภิกษุท่านนั้นไม่เปียกฝนก็เพราะในมือเขามีร่ม และร่มคันนั้นก็มีความหมายถึงพระธรรมที่ปลดปล่อยปวงประชาจากความทุกข์ยาก สิ่งที่บัณฑิตต้องการอย่างแท้จริงไม่ใช่ให้ภิกษุพาเขาไปส่ง แต่เป็นเพราะในใจของเขาขาดพระธรรมที่จะนำพาตัวเองให้ข้ามผ่านความทุกข์ไปได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นสุดท้ายภิกษุถึงได้ตวาดเตือน
คีบน่องไก่มาจากใต้เปลือกตาของเผยเฉียนเป็นเรื่องยากจริงๆ จูเหลี่ยนจึงหันไปเทน้ำแกงไก่ให้ตัวเองชามหนึ่ง ดื่มไปหนึ่งคำก็เบ้ปาก “รสชาติงั้นๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลึกลงไปในกระดูกเจ้ายังคงเป็นบัณฑิต แน่นอนว่าย่อมรู้สึกว่ารสชาติธรรมดา”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ก็นั่นน่ะสิ เหนื่อยกายเหนื่อยใจยังไม่ได้ดี หากเปลี่ยนมาเป็นนายน้อยหรือพี่น้องสกุลหลิ่วก็คงถือร่มเดินออกไปบังลมบังฝนให้บัณฑิตคนนั้น พาเขากลับบ้านแต่โดยดี ไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจเหยียบแอ่งน้ำ หรือไม่บนไหล่ของคนผู้นั้นก็อาจเปียกไปด้วยน้ำฝน แต่คนผู้นั้นก็ยังไม่เห็นในความดีของพวกท่าน หากเปลี่ยนมาเป็นพวกจมูกโคหน้าเหม็น คาดว่าคงไม่มีเรื่องพวกนี้แล้ว คงไม่แม้แต่จะชายตามองใต้หลังคา เลือกจะเดินผ่านไปโดยตรงเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามด้วยรอยยิ้ม “หากตวาดไปครั้งหนึ่งแล้วภิกษุค่อยให้บัณฑิตคนนั้นยืมร่ม เดินทางท่ามกลางสายลมสายฝนไปด้วยกัน น้ำแกงไก่ชามนี้จะมีรสชาติเป็นอย่างไร?”
จูเหลี่ยนแกว่งน้ำแกงไก่ที่อยู่ในถ้วย ยิ้มตอบว่า “อาจจะดีกว่าเดิมเยอะมาก”
ในที่สุดสือโหรวก็ฟังเข้าใจเสียที
เผยเฉียนฟังอย่างมึนงง แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังต้องง่วนอยู่กับการแทะน่องไก่ด้วย
เฉินผิงอันหันไปยิ้มพูดกับเผยเฉียน “อย่าเอาแต่กินน่องไก่ กินข้าวให้มากๆ ด้วย”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ดันพุงที่นูนป่องเพราะอิ่มจนพุงกางขึ้นมา พูดอย่างลำพองใจว่า “อาจารย์ ข้ากินไปไม่น้อยเลยล่ะ”
งานโต้วาทีพุทธเต๋าในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ อันที่จริงยังมีเรื่องประหลาดอีกมากมาย
มีภิกษุที่ฟันพระพุทธรูปจนเละเทะแล้วเอามาทำเป็นฟืนเผาไฟ และยังมีภิกษุที่ร้องโวยวายกลางตลาดว่าจะกินเนื้อจะดื่มเหล้า ตะโกนก้องว่าเหล้าและเนื้อไหลผ่านกระเพาะ พระพุทธเจ้ายังคงอยู่ในใจ (ความหมายคือหากในใจเรามีพุทธศาสนา จะดื่มเหล้าหรือกินเนื้อก็ไม่เป็นปัญหา) เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนแก้วหูผู้คน อดทำให้คนขบคิดอย่างลึกซึ้งไม่ได้
ส่วนทางฝ่ายของนักพรตแคว้นชิงหลวนกลับมีคำพูดและการกระทำที่น่าตะลึงพรึงเพริดน้อยนัก พวกเขาเนิบนาบเกียจคร้าน อีกทั้งว่ากันว่าพวกเจินเหรินเทพเซียนจากอารามเต๋าที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ เริ่มค่อยๆ ตกเป็นรองในการถกเถียงเรื่องหลักคำสอนของทั้งสองฝ่ายแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีภิกษุสมณศักดิ์สูงสังหารแมวที่วัดป๋ายสุ่ยทางทิศใต้ของเมืองหลวง แรกเริ่มดูเหมือนว่าเทพเซียนลัทธิเต๋าจะโจมตีที่ช่องโหว่ของลัทธิพุทธ แต่ดูเหมือนเหล่าภิกษุจะคาดการณ์ไว้ได้นานแล้ว จึงใช้คำกล่าวอันเคร่งขรึมตอกกลับเสียจนพวกนักพรตเต๋าพูดอะไรไม่ออก
เฉินผิงอันแค่ฟังเรื่องเล่าพวกนี้แล้วก็ปล่อยผ่านไป
เมื่อกินอาหารกลางวันเรียบร้อยก็พาพวกเผยเฉียนไปเดินเล่น
ซื้อโถกระเบื้องเก็บเม็ดหมากล้อมเคลือบสีเขียวฟ้ามาหนึ่งคู่ รูปร่างของภาชนะเหมือนโถธรรมดาทั่วไป ขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่กลับวาดลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง นับว่าไม่ง่ายเลย เจ้าของร้านบอกว่าวัตถุชิ้นนี้เคยเป็นเครื่องปั้นในจำนวนน้อยนิดที่เชื้อพระวงศ์ในวังหลวงแคว้นอวิ๋นเซียวใช้กัน อีกฝ่ายน่าจะไม่โกหก
เฉินผิงอันเคยเป็นช่างเผาเครื่องปั้นมาก่อน สายตาในส่วนนี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง ประเด็นสำคัญคือโถเก็บเม็ดหมากยังมีฝาปิด ซึ่งไม่ได้ทำเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง ดังนั้นแม้จะแพงไปสักหน่อย โถหนึ่งคู่ ทางร้านขายราคาห้าสิบตำลึง แต่เฉินผิงอันกลับควักเงินจ่ายด้วยความเต็มใจ
จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าลูกจิ๋วให้เผยเฉียนหนึ่งใบ น้ำเต้านี้มีคำเรียกภาษาชาวบ้านว่าทองในหญ้า ขนาดเล็กมากแต่คุณภาพกลับดีเยี่ยม ตอนนั้นที่นักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉียืนอยู่บนกำแพงของสวนสิงโตก็เคยเอาน้ำเต้าจิ๋วลักษณะใกล้เคียงกันนี้มาเก็บร่างจริงของปีศาจทากตัวนั้นไว้ภายใน
แน่นอนว่าน้ำเต้าจิ๋วหนังสีเหลืองใบนี้เป็นเพียงแค่วัตถุธรรมดาทั่วไปที่มีไว้ให้คนนำมาถือเล่นเท่านั้น
เฉินผิงอันชอบใจทันทีที่ได้เห็น แล้วก็เห็นว่าเผยเฉียนเองก็มองมันตาไม่กะพริบ ดังนั้นจึงซื้อเอาไว้
เพราะในใจของเผยเฉียนคิดว่า เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพก็ต้องมีวัตถุเอาไว้บรรจุเหล้าดื่มอย่างเฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์บ้าง
น้ำเต้าสีเหลืองใบจิ๋วที่แค่มองก็รู้ว่าแพงจะตายชักใบนี้ เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมาะกับอายุของนางพอดี แน่นอนว่านางไม่กล้าเปิดปากร้องขอ แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันซื้อให้ด้วยตัวเอง นางก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง นำมาถือประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง ปากก็โหวกเหวกเสียงดังว่ามีเหล้าให้ดื่มแล้ว
ผลกลับถูกมะเหงกเขกหัวจนนางทรุดลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น แม้ว่าจะเจ็บหัว แต่เผยเฉียนกลับอารมณ์ดีอย่างมาก
……
วัดป๋ายสุ่ย ภิกษุชุดขาวผู้นั้นนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำที่ถูกปิดผนึกมานานหลายปี พึมพำอยู่กับตัวเอง “แพ้แล้ว แพ้แล้ว ไม่ใช่พระธรรมที่แพ้ แต่เป็นพวกเราที่แพ้”
น้ำตาอาบนองใบหน้าของภิกษุหนุ่ม เขาทอดสายตามองไปไกล “หากคนบนโลกเรียนรู้จากข้าก็เหมือนเข้าไปเยือนถ้ำมาร ข้าผิดแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”
……
อารามป๋ายอวิ๋นของเมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งพาลูกที่ทำว่าวหายเพราะติดต้นไม้ของอารามเล็กมาเยือนอีกครั้ง เวลานี้กำลังเปิดปากด่าดังลั่นไม่หยุด เจ้าอารามวัยกลางคนไปหลบอยู่ไกลๆ นักพรตน้อยร้องไห้มาหาอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาราม พูดอย่างเสียใจว่า “อาจารย์ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ตัดต้นไม้พวกนั้นทิ้งไปเถอะ ต้องถูกชาวบ้านละแวกใกล้เคียงด่า พวกคนที่มีจิตศรัทธาได้ยินคำด่าก็พากันหนีหาย หลังจากนี้พวกเราคงไม่มีควันธูปแล้วจริงๆ จะต้องหิวตายแน่ วันหน้าอาจารย์ก็ซื้อตำราพวกนั้นไม่ได้อีก”
เจ้าอารามวัยกลางคนไม่มีทางตัดต้นไม้โบราณพวกนั้นทิ้งอยู่แล้ว แต่เห็นว่าลูกศิษย์คนเล็กร้องไห้อย่างเสียใจก็ได้แต่พูดดีๆ ปลอบใจ จูงมือนักพรตน้อยไปที่ห้องหนังสือ นักพรตน้อยสูดน้ำมูก ถึงอย่างไรก็เป็นนักพรตน้อยของอารามป๋ายอวิ๋นที่ผ่านลมผ่านฝนมานานแล้ว หลังจากความเสียใจผ่านพ้นไปก็กลับคืนมามีนิสัยไร้เดียงสาของเด็กน้อยอีกครั้ง เขายังถือว่าดีแล้ว ศิษย์พี่ยังถึงขั้นถูกสตรีดุร้ายบางคนที่บ่นว่าเสียงระฆังที่ตียามเช้าและเสียงกลองที่ตียามเย็นหนวกหูข่วนหน้าเชียวนะ ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่พวกศิษย์พี่ในอารามออกไปข้างนอกก็แทบไม่ต่างจากหนูที่วิ่งผ่านถนน แค่ทำตัวให้ชินก็จะดีไปเอง อาจารย์เจ้าอารามบอกว่านี่ก็คือการฝึกตน ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ทุกคนต่างก็ร้อนจนนอนไม่หลับ อาจารย์เองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ต้องเดินออกมานอกห้อง หยิบพัดโบกรับลมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับพวกเขา เขาจึงถามอาจารย์ว่าพวกเราเป็นผู้ฝึกตน ทำตามบทเรียนและพิธีกรรมมากมาย เมื่อจิตใจสงบก็น่าจะเย็นสบายถึงจะถูก เหตุใดถึงยังร้อนอยู่อีก
อาจารย์เองก็บอกไม่ถูกว่าทำไม ได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้น
นักพรตน้อยโมโหจนแย่งพัดมาจากมือของอาจารย์ ยังดีที่อาจารย์เจ้าอารามไม่เคยโกรธเขา
เวลานี้หลังจากจัดการกับลูกศิษย์คนเล็กที่เป็นดั่งท้องฟ้าใสหลังฝนตกเรียบร้อยแล้ว นักพรตวัยกลางคนก็ดึงตำราความรู้ชั้นประถมของลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาให้เด็กชายอ่าน
ส่วนเจ้าอารามวัยกลางคนก็อ่านตำราของสำนักนิติธรรมเล่มที่อยู่บนโต๊ะต่อไป
ก่อนหน้านี้เขาอ่านเจอประโยคที่ว่า ‘ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองก็เหมือนคนสระผม แม้ว่าผมจะร่วงก็ยังต้องสระ’
เขาจึงเริ่มจรดพู่กันเขียนคำอธิบาย หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเขียนสรุปที่เกิดจากความเข้าใจของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้เขียนไว้เต็มหน้าหนังสือจนไม่มีแม้แต่พื้นให้ตั้งเข็มสักเล่มแล้ว จึงได้แต่เอากระดาษที่ราคาถูกที่สุดออกมาหนึ่งแผ่น พอเขียนเสร็จแล้วก็จะได้สอดแทรกไว้ตรงกลาง
นักพรตน้อยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ เขาชอบเวลาที่อาจารย์เจ้าอารามเล่าเรื่องราวในตำราให้เขาฟังมากกว่า จึงวางตำราลง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์ เห็นว่าอาจารย์จรดพู่กันรวดเร็วราวกับบิน เขียนเนื้อหาบางอย่างที่ต่อให้เขาอ่านออกก็ยังไม่เข้าใจ จึงเขย่งปลายเท้าเหลือบดูตำราเล่มที่เปิดกางไว้ พอหันมามองอาจารย์ นักพรตน้อยก็ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “อาจารย์ ท่านเขียนอะไรน่ะ?”
เจ้าอารามวัยกลางคนวางพู่กันในมือลงบนแท่นวางพู่กันไม้ที่เขาแกะสลักด้วยตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “อ่านมาเจอประโยคหนึ่งของสำนักนิติธรรมซ้ำอีกครั้ง ในใจบังเกิดความรู้สึกจึงเขียนอะไรบางอย่างเพื่อให้สะดวกต่อการทบทวนตัวเองในการอ่านครั้งต่อไปเอาไว้ จะได้รู้ถึงความคิดของตัวเองเมื่อวานนี้ แล้วเอามาพิสูจน์ความคิดของวันพรุ่งนี้ ขัดเกลาใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนัก ความรู้ถึงจะสามารถกลายมาเป็นความรู้ของพวกเราเองได้”
นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที แต่อารมณ์ก็ยังไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่ ถามว่า “อาจารย์ ในเมื่อพวกเราตัดใจตัดต้นไม้ทิ้งไม่ลง แถมยังถูกพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรังเกียจ คนนี้รังเกียจคนนั้นรำคาญ ราวกับว่าไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ผิดไปหมด สภาพเช่นนี้เมื่อไหร่ถึงจะจบสิ้น? ข้ากับพวกศิษย์พี่น่าสงสารมากเลยนะ”
สีหน้าของเจ้าอารามวัยกลางคนเมตตาปราณี คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวขออภัย “อย่าไปโทษพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง หากจะโทษก็โทษอาจารย์เถอะ เพราะว่าอาจารย์…ยังไม่รู้”
นักพรตน้อยเกาหัว นักพรตของอารามป๋ายอวิ๋นจะสวมหมวกผ้าทรงเหลี่ยม ไม่สวมกวานเต๋าสามชนิดอย่างทรงดอกพุดตาน ทรงหางปลาและทรงดอกบัว นักพรตน้อยกะพริบตาปริบๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่อาจารย์ถึงจะรู้คำตอบของการแก้ปัญหาล่ะขอรับ”
แม้คำว่า ‘รู้’ (คำว่า 知道 ภาษาจีนแปลว่ารู้/เข้าใจ แต่หากแปลตรงตามตัวอักษรจะหมายถึงรู้มรรคา/รู้วิถีทาง บรรลุเต๋า/บรรลุมรรคา คำกล่าวว่า 知道ของเจ้าอารามจึงน่าจะหมายถึงความหมายที่สอง) ที่อาจารย์และศิษย์สองคนพูดถึงจะห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่เจ้าอารามวัยกลางคนก็ยังถอนหายใจ เอ่ยอธิบายอย่างอดทน “ก็ยังไม่รู้อยู่ดี”
นักพรตน้อยพลันคลี่ยิ้ม ตบหลังมือของอาจารย์ “อาจารย์ ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราไม่รีบ ไม่อย่างนั้นให้ข้าบีบนวดแขนให้ท่านดีไหม?”
เจ้าอารามวัยกลางคนเขียนคำอธิบายประโยคนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนจะหยิบคัมภีร์ลัทธิพุทธเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ด้านบนบันทึกคดีทางพุทธศาสนาไว้เกือบร้อยบท เพียงแต่ว่าเขายังไม่รีบเปิดออก เขาพลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พระพุทธเจ้าน่าจะกลัดกลุ้มยิ่งกว่าพวกเรา พระพุทธเจ้ายังไม่กลุ้ม พวกเราจะกลุ้มไปไย”
นักพรตน้อยพลันพูดขึ้นเสียงเบา “ใช่แล้ว อาจารย์ ศิษย์พี่บอกว่าข้าวสารเหลือติดก้นถังแล้ว”
เจ้าอารามวัยกลางคนพยักหน้ารับ เอ่ยเนิบช้า “รู้แล้ว”
นักพรตน้อยกลอกตามองบน
อาจารย์เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย สุดท้ายแล้วอารามป๋ายอวิ๋นของพวกเขาก็ยังต้องรื้อผนังตะวันออกมาซ่อมผนังตะวันตก (เปรียบเปรยว่ารับมือกับภาวะขับคันแค่ให้ผ่านๆ พ้นไป ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาจากต้นตออย่างแท้จริง) อยู่ดีไม่ใช่หรือ
เพียงแต่จู่ๆ นักพรตน้อยก็เห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีลมเย็นสีทองระลอกหนึ่งพัดจากนอกหน้าต่างเข้ามาเปิดหน้าหนังสือบนโต๊ะของอาจารย์เจ้าอาราม จากนั้นตำราของทั้งห้องก็คล้ายจะถูกพลิกเปิดครบหนึ่งรอบ
นักพรตน้อยกะพริบตาแรงๆ จึงพบว่าตัวเองตาลายไปเอง
เห็นเพียงว่าอาจารย์กำลังหลับตาคล้ายงีบหลับ คงเป็นเพราะอาจารย์อ่านหนังสือจึงเหนื่อยเกินไปกระมัง นักพรตน้อยจึงเดินย่องเบาๆ ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงอย่างไร้เสียง
……
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังมุมหนึ่ง
เผยเฉียนถาม “มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่มีอะไร”