Skip to content

Sword of Coming 398

บทที่ 398 เจอคนบ้านเดิมในต่างแดน

สองวันต่อมา เฉินผิงอันก็พาสือโหรวและจูเหลี่ยนไปเดินเที่ยวตามร้านต่างๆ ทั่วเมืองหลวง เดิมทีคิดจะให้สือโหรวอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อเฝ้าที่พัก นางเองก็จะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญผวา คิดไม่ถึงว่าสือโหรวจะขอติดตามไปด้วยตัวเอง

บรรยากาศในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความครึกครื้นอย่างแท้จริง นี่ก็เป็นเพราะงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ และแคว้นชิงหลวนก็คือพื้นที่หลักที่สำคัญ สามลัทธิเก้าสาขา ปลาและมังกรปะปนกัน คนที่หวังชื่อเสียงก็หวังชื่อเสียง คนที่หวังโชคลาภก็หวังโชคลาภ แน่นอนว่ายังมีคนประเภทเฉินผิงอันที่มาเพื่อชมภาพบรรยากาศและทัศนียภาพอย่างเดียว แล้วก็ถือโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีเฉพาะในแคว้นชิงหลวนกลับไปด้วย

คงเป็นเพราะเผยเฉียนและจูเหลี่ยนเป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟจึงมองไม่ออกถึงความประหลาดในการเดินเที่ยวชมร้านหนังสือของเฉินผิงอัน แต่สือโหรวที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับมองเบาะแสบางอย่างออก ร้านหนังสือน้อยใหญ่ที่เฉินผิงอันแวะเวียนเข้าไปเยือน หากเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม เฉินผิงอันแทบจะไม่เคยแตะ แล้วก็ไม่ค่อยสนใจตำราของร้อยเมธีสักเท่าไหร่ กลับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัวและหนังสือเบ็ดเตล็ดประเภทอักขรานุกรมของแต่ละแคว้นมากกว่าที่เขาให้ความสนใจ บางครั้งก็ยังเปิดอ่านเทียบวงศ์ตระกูลที่ถูกวางไว้ในมุมห่างไกล เจอเล่มหนึ่งก็เปิดอ่านเป็นครึ่งๆ เล่ม เพียงแต่ว่าหลังจากอ่านจบแล้วเฉินผิงอันกลับไม่ซื้อ

ทำเอาเจ้าของร้านมองค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ไม่น้อย

ยังดีที่มีจูเหลี่ยนซึ่งพอมีเงินก็ชอบใช้จ่ายอย่างมือเติบคอยให้ความช่วยเหลือ ถึงได้ไม่ถูกคนในร้านหนังสือพูดจาบาดหูหยาบคาบใส่

ส่วนเผยเฉียนก็คงเป็นเพราะรู้สึกว่าพอมาถึงเมืองหลวง ตอนแรกเฉินผิงอันก็ซื้อกระดาษเซวียนจื่อราคาแพงที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นชิงหลวนมาสิบกว่าปึก จากนั้นยังซื้อโถเก็บเม็ดหมากคู่หนึ่งที่เป็นเครื่องเคลือบสีเขียวฟ้ามาให้หลูป๋ายเซี่ยง แล้วยังซื้อน้ำเต้าจิ๋วให้นางอีก จ่ายเงินไปก้อนใหญ่มากกว่าเวลาปกติแล้ว ต่อให้เจอกับของที่ถูกตาและชื่นชอบอย่างแท้จริงก็ทำเพียงแค่แอบมองอยู่หลายครั้งเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่กล่องเก็บสมบัติที่มีหลายช่องซึ่งเหยาจิ้นจือมอบให้ ทุกวันนี้แต่ละช่องล้วนเต็มแน่นไปหมดแล้ว ไม่อาจยัดของเพิ่มได้อีก หรือว่านางควรจะขอให้อาจารย์ซื้อกล่องเก็บสมบัติใบใหม่ให้ดี? เผยเฉียนชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป รู้สึกว่าถึงแม้การเดินทางไปสวนสิงโตจะทำให้อาจารย์ได้เงินฝนธัญพืชมาจำนวนหนึ่ง แต่ตนก็ได้ของติดไม้ติดมือมาแล้วหนึ่งชิ้น รอให้คราวหน้าได้เงินมาเพิ่มก่อนแล้วค่อยพูดกับอาจารย์อีกที

สุดท้ายก็ยังยากจนอยู่ดี

เผยเฉียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะสามารถสะสมกล่องเก็บสมบัติได้หลายๆ ใบ ด้านในกล่องล้วนบรรจุสมบัติจนเต็มแน่น พ่อครัวเฒ่าบอกว่าสิ่งที่ใหญ่กว่าและดีกว่ากล่องเก็บสมบัติก็คือชั้นวางสมบัติที่ตระกูลเศรษฐีต้องมี พอวางสิ่งของไว้จนเต็มชั้น นั่นถึงจะเรียกได้ว่าละลานตาอย่างแท้จริง ทำให้คนมองตาถลนออกมานอกเบ้า ลูกตาหล่นลงพื้นแล้วก็ยังไม่เก็บขึ้นมา

การเดินเล่นสองวันนี้ พวกเขาได้ยินข่าวเล็กๆ บางส่วนที่ถือว่าพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา

ตามคำบอกของจูเหลี่ยน รสนิยมของฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานช่างเป็น ‘นกกระเรียนในฝูงไก่’ ทำให้เขานับถืออย่างสุดจิตสุดใจ กษัตริย์แห่งแคว้นชิ่งซานที่คำพูดหนักดุจเก้ากระถางผู้นี้ไม่ชอบสาวงามเรือนกายสะโอดสะอง แต่ชอบสตรีที่ร่างอวบอิ่ม ในบรรดาพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของวังหลวงแคว้นชิ่งซานก็มีอยู่สี่คน พวกนางทุกคนล้วนไม่สามารถใช้คำว่าอวบอิ่มมาบรรยายได้แล้ว แต่ละคนหนักเกินสองร้อยจิน (ประมาณหนึ่งร้อยกิโล) ขึ้นไป ซึ่งต่างก็ถูกฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานตั้งชื่อให้ว่าเม่ยจู (หมูงดงาม) เม่ยเฉวี่ยน (สุนัขงดงาม) เม่ยผี (หมีงดงาม) และเม่ยเชวี่ย (นกกระจอกงดงาม)

และเม่ยจูหรือหยวนเย่ที่เป็นผู้นำของสี่เม่ยก็ยังมีสถานะอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า นั่นคือเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของสิบกว่าแคว้นในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป

ตอนนี้เหอขุยฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานพักอยู่ในจุดพักม้าเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ข้างกายก็มีสี่เม่ยติดตามมา

เมื่อวันก่อนเหอขุยปลอมตัวเป็นคนธรรมดาพาเม่ยเชวี่ยที่ ‘เรือนร่างเพรียวบาง’ ที่สุดในบรรดาเหล่านางสนมไปเที่ยวชมวัดวาอารามในเมืองหลวงด้วยกัน ผลคือตอนที่จุดธูปไหว้พระกลับเกิดข้อพิพาทกับลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง เม่ยเชวี่ยลงมืออย่างดุดัน ถึงขั้นเล่นงานให้คนผู้หนึ่งเกือบตาย ก่อให้เกิดคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ ที่ว่าการที่ดูแลความสงบสุขปลอดภัยในเมืองหลวง หรือแม้แต่ขุนนางชั้นสูงจากกรมพิธีการของแคว้นชิงหลวนต่างก็พากันปรากฏตัว ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของสองแคว้น กว่าจะปลอบใจทุกคนให้สงบลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คนก่อเรื่องคือคนวัยเดียวกันซึ่งเป็นลูกหลานสกุลใหญ่ของเมืองหลวงและชนชั้นสูงอีกหลายคนที่เดินทางลงใต้ พอรู้สถานะฮ่องเต้ของเหอขุยก็พากันหยุดลงแต่โดยดี แต่คลื่นลูกหนึ่งเพิ่งสงบก็มีคลื่นลูกใหม่โถมตัวขึ้นมาอีกครั้ง คืนนั้นในบรรดาคนที่ก่อเรื่องก็มีคนมากมายที่เพิ่งมาลงหลักปักฐานอยู่ในแคว้นชิงหลวนได้ไม่นานตายอย่างเฉียบพลัน สภาพการตายอเนจอนาถอย่างยิ่ง ว่ากันว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของที่ว่าการก็ยังพะอืดพะอมแทบอาเจียน

ไม่นานก็มีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง วิธีการที่ฆาตรกรใช้ก็คือวิธีที่เม่ยจูปรมาจารย์ใหญ่แห่งแคว้นชิ่งซานถนัดที่สุด นั่นคือดึงแขนขาทั้งสี่ออก เหลือไว้แค่หัวกับร่างกาย สกัดจุดใบ้ และยังช่วยห้ามเลือดให้เพื่อให้คนคนนั้นทรมานจนกว่าจะตาย

ราชสำนักแคว้นชิงหลวนเร่งรีบระดมคนจากฝ่ายต่างๆ มาตรวจสอบเรื่องนี้ และยิ่งมีขุนนางกรมอาญาที่ประสบการณ์ในการสืบสวนคดีความโชกโชน เซียนซือที่ถวายการรับใช้ราชสำนักและกลุ่มคนมีชื่อเสียงจากยุทธภพต่างก็พากันกรูเข้าไปยังจุดพักม้าที่เหอขุยพักอาศัยในทันที

แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานความแค้นเคืองของฝูงชนได้ บัณฑิตและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมาล้อมจุดพักม้าที่ฮ่องเต้เหอขุยพักค้างแรม หากไม่เป็นเพราะเหล่ามือปราบของเมืองหลวงขัดขวางเอาไว้ อีกทั้งยังมีทหารชุดเกราะสองร้อยนายที่ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงส่งมาคอยจับตามองอย่างดุดัน ไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์เละเทะต่อไป หาไม่แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้ถึง บัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่พวกนั้นมีแต่จะถูกหนึ่งในสี่เม่ยผู้เป็นสนมรักของเหอขุยฆ่าตายคาที่เท่านั้น

เม่ยจูหยวนเย่ประกาศออกมาแล้วว่า นางจะเปิดฉากเข่นฆ่ากับจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่เช่นกัน หากนางแพ้ แคว้นชิ่งซานจะยอมรับน้ำสกปรกที่สาดใส่อ่างนี้เอาไว้ แต่หากนางชนะ พวกปัญญาชนแคว้นชิงหลวนที่มาเอะอะโวยวายล้อมจุดพักม้าจะต้องพากันคุกเข่าโขกหัวอภัยอยู่นอกจุดพักม้า

และจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เล่าลือกันว่าเคยโดยสารรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งสร้างลมคาวฝนเลือดในยุทธภพของหลายแคว้นก็พักอยู่ในอารามเต๋าแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองหลวงจริงๆ

ซึ่งเมื่อวานนี้จู๋เฟิ่งเซียนที่เมื่อสามสิบปีก่อนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วก็กลับมาเผยกายในยุทธภพอีกครั้ง เขาถึงขั้นใช้สถานะของวีรบุรุษผู้กล้าอันดับหนึ่งของแคว้นชิงหลวนมาเยือนจุดพักม้าตามนัดหมาย แล้วก็เปิดฉากสังหารเข่นฆ่ากับเม่ยจูหยวนเย่จริงๆ

นับตั้งแต่ที่จู๋เฟิ่งเซียนโดยสารรถม้าออกมาจากอารามเต๋า ระหว่างทางก็มีชาวบ้านและคนในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนจำนวนนับไม่ถ้วนช่วยโบกธงร้องตะโกนแทนคนผู้นี้

เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จู๋เฟิ่งเซียนที่ถูกฝากความหวังไว้มากกลับมีพลังการต่อสู้ด้อยกว่าเม่ยจู สุดท้ายเขาก็บาดเจ็บสาหัส พ่ายแพ้ให้กับหยวนเย่ที่อยู่ในอันดับสองของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ จู๋เฟิ่งเซียนถูกหยวนเย่ที่ร่างท่วมไปด้วยเลือด แต่กลับไม่เป็นอะไรมากกระชากคอเดินอาดๆ ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจุดพักม้า นางกวาดตามองผู้คนรอบด้านที่บื้อใบ้เงียบกริบแล้วโยนจู๋เฟิ่งเซียนที่สลบไปแล้วลงบนถนนใหญ่ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า พรุ่งนี้อย่าลืมมาโขกหัว

จู๋เฟิ่งเซียนถูกลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อที่น้ำตานองหน้าหามเข้าไปไว้ในห้องโดยสารรถม้า ออกจากจุดพักม้ากลับไปรักษาตัวที่อารามเต๋าแห่งนั้น

นอกจุดพักม้าเงียบสงัด นอกอารามเต๋ากลับเต็มไปด้วยเสียงด่าทอดังไม่ขาดสาย

ตอนที่ได้ยินเรื่องราวมรสุมครั้งนี้ในร้านหนังสือโดยบังเอิญ เฉินผิงอันก็ยังคงหาหนังสือต่อไป

เผยเฉียนใจจืดใจดำ รู้สึกเพียงว่าจู๋เฟิ่งเซียนผู้นั้นช่างน่าอนาถจริงๆ ความสามารถไม่สูงพอ กลับยังชอบโอ้อวดตัว ไม่รู้จักหลบอยู่ในอารามไม่ต้องออกมาหรือไร? นี่ต้องมาถูกเม่ยจูที่หนักสองร้อยกว่าจินผู้นั้นซ้อมจนไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ชื่อเสียงดีงามที่สั่งสมมาทั้งชาติก็ต้องสูญเสียไปด้วย ตามคำบรรยายถึงบุคลิกของชาวยุทธ์ การแก่งแย่งแข่งขันในยุทธภพที่บอกไว้ในนิยายเล่มนั้น พวกคนที่หากินอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีชื่อเสียงก็ไม่เท่ากับว่าไร้ชีวิตแล้วหรือไร? ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียนก็คือตอนนั้นที่ขึ้นเขาไปเยือนอารามจินกุ้ย พวกเขายังเคยไปพักที่เรือนหรูหราใหญ่โตซึ่งจู๋เฟิ่งเซียนสร้างไว้ให้หลานสาวที่กึ่งกลางภูเขา นับว่าเขาเป็นคนมีเงินแถมยังใจกว้าง นางชื่นชอบอย่างมาก น่าเสียดายที่ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตาเฒ่าจู๋ชะตาแข็ง ไม่ตายอยู่ในอารามเต๋าแห่งนั้น แต่ครั้งหน้าที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหน้ากัน คาดว่านางคงไม่คิดอยากกินดื่มของของตาเฒ่าผู้นั้นเปล่าๆ โดยไม่จ่ายเงินอีก

ครั้งนั้นคนทั้งสองกลุ่มมาพบกันโดยบังเอิญ ตอนแรกก็หลบฝนด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน สุดท้ายจู๋จื่อหยางหลานสาวของผู้เฒ่าและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวจากเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวต่างก็ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ย

เผยเฉียนและเฉินผิงอันเคยได้ชมพิธีรับศิษย์ของที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นพิธีการที่ซับซ้อนยืดเยื้อ ใช้เวลาหมดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ดูถึงช่วงท้ายเผยเฉียนก็ถึงกับปวดหัว นางต้องนั่งนิ่งไม่ขยับเป็นหุ่นไม้อยู่ตั้งนาน รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนคัดตัวอักษรเสียอีก

เฉินผิงอันเดินออกมาจากร้านหนังสือ เป็นช่วงเที่ยงวันพอดี เขายืนคิดอะไรบางอย่างอยู่บนขั้นบันได

จูเหลี่ยนถามเบาๆ “นายน้อย เอาอย่างไรต่อ?”

หัวใจของสือโหรวหดรัดเกร็ง ในใจท่องพึมพำว่าอย่าได้เข้าไปมีส่วนร่วม อย่าเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้เด็ดขาดเชียว

คำตอบของเฉินผิงอันทำให้สือโหรวทั้งรู้สึกดีใจและทั้งเป็นกังวล

เฉินผิงอันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมจู๋เฟิ่งเซียนสักหน่อย หากเขาบาดเจ็บสาหัส ที่ตัวข้ามียาอยู่บางส่วน มอบยาและเยี่ยมคนเรียบร้อย พวกเราก็ออกมาจากอารามแห่งนั้น”

จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “นายน้อยมีทั้งคุณธรรมและน้ำใจ ประเด็นสำคัญคือยังมีสติสุขุม”

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เจ้าแย่งข้าพูดทำไม พ่อครัวเฒ่าเจ้าพูดไปหมดแล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”

จูเหลี่ยนเองก็ไม่เกรงใจ “ทำอย่างไร? ก็ไปกินขี้สิ ไม่ต้องจ่ายเงิน ถึงเวลาหากกินไม่อิ่มก็มาบอกข้า กลับไปถึงโรงเตี๊ยมแล้วก็ไปรอข้านอกห้องส้วม รับรองว่าออกมาร้อนๆ เลยล่ะ”

เผยเฉียนมองค้อน “น่าขยะแขยงจริงๆ”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการโต้คารมของหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน สอบถามเส้นทางเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปยังอารามในเมืองหลวงที่ชื่อเสียงระบือไกลภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

เดินกันไปเกินครึ่งชั่วยามกว่าจะขยับเข้ามาใกล้อาราม รอบนอกกำแพงมีผู้คนอยู่บางตา บางคนก็ขว้างหินสบถด่าหลายคำแล้วก็วิ่งหนีไป คนส่วนใหญ่คือมาชมความครึกครื้น ได้เดินเตร่อยู่รอบนอกอารามเต๋ารอบหนึ่งก็พึงพอใจแล้ว และยังมีคนในยุทธภพที่เร่งรุดเดินทางมาเพราะได้ข่าว น่าจะเป็นพวกคนที่รุ่นบรรพบุรุษรุ่นบิดาเคยได้รับความทุกข์ยากด้วยฝีมือของพรรคต้าเจ๋อมาก่อน แต่พวกเขากลับไม่กล้าอ้าปากด่าทอ ยิ่งไม่มีทางซ้ำเติมอย่างโง่งม ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่ามารเฒ่าจู๋เฟิ่งเซียนเป็นหรือตาย อีกทั้งก็ยังมีลูกศิษย์ของเขาที่มีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายอยู่ในอารามด้วยหลายคน ต่อให้เดินออกมาแค่คนเดียวก็สามารถทำให้ยอดฝีมือทั่วไปในยุทธภพแคว้นชิงหลวนดื่มสุราลงทัณฑ์ได้กาใหญ่

อารามแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก วันนี้ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เฉินผิงอันเคาะประตูข้างอยู่นานมากกว่าจะมีนักพรตมาเปิดประตูให้ สีหน้าของเขาระแวดระวัง เฉินผิงอันจึงบอกว่าตัวเองเป็นคนรู้จักของเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ รบกวนให้ทางอารามช่วยนำความไปแจ้งสักหน่อย แค่บอกว่าเฉินผิงอันมาเยี่ยมเยียน

นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับ บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ พอปิดประตูเรียบร้อย ประมาณครึ่งก้านธูป นอกจากนักพรตที่กลับไปแจ้งข่าวแล้วก็ยังมีหนึ่งในลูกศิษย์ที่ตอนนั้นติดตามจู๋เฟิ่งเซียนพาจู๋จื่อหยางขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ตามมาด้วย เขาจำเฉินผิงอันได้ในทันที นี่ทำให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของจู๋เฟิ่งเซียนถอนหายใจโล่งอก พาเฉินผิงอันเดินไปยังเรือนหลังที่อยู่ลึกเข้าไปในอารามเต๋า ตลอดทางที่เดินกันมาคนผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยขอบคุณที่เฉินผิงอันยังจดจำมิตรภาพในยุทธภพได้ตามมารยาท

ทุกคนมาถึงห้องห้องหนึ่ง กลิ่นยาเข้มข้นอบอวล ลูกศิษย์หลายคนของจู๋เฟิ่งเซียนยืนกุมมือประสานอยู่บนระเบียงนอกประตูอย่างเคร่งขรึม แต่ละคนสีหน้าหนักอึ้ง พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำเพียงแค่ผงกศีรษะทักทาย อีกทั้งยังไม่มีท่าทางผ่อนคลายใดๆ ถึงอย่างไรการเดินทางไปเยือนอารามจินกุ้ยร่วมกันในครานั้นก็เป็นแค่การพบกันอย่างผิวเผินในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ใจคนมีหนังท้องกั้น (เปรียบเปรยว่าจิตใจคนยากจะคาดการณ์ได้ถึง) สวรรค์เท่านั้นที่ถึงจะรู้ว่าคนต่างถิ่นแซ่เฉินผู้นี้มีเจตนาใด หากไม่เป็นเพราะจู๋เฟิ่งเซียนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงออกปากเองว่าให้พาพวกเฉินผิงอันเข้ามา ก็คงไม่มีใครกล้าพาเขามาที่นี่

เฉินผิงอันบอกให้พวกจูเหลี่ยนสามคนรอที่มุมหัวเลี้ยวของระเบียง ไม่ยอมให้พวกเขาขยับเข้าใกล้ห้องแห่งนั้น

หลังจากที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของจู๋เฟิ่งเซียนมาเปิดประตูให้ เฉินผิงอันที่สะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่ก็เดินเข้าไปในห้องเพียงลำพัง

จู๋เฟิ่งเซียนนอนพิงหมอน สีหน้าซีดขาว คลุมผ้าห่มทับกาย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จากลากันบนภูเขา ได้มาพบกันอีกครั้งในต่างแดน ข้าจู๋เฟิ่งเซียนกลับมีสภาพน่าสังเวชถึงเพียงนี้ ทำให้คุณชายเฉินขบขันเสียแล้ว”

เขาบาดเจ็บสาหัสมาก

ในห้องนอกจากจู๋เฟิ่งเซียนที่อยู่บนเตียงแล้วยังมีนักพรตเฒ่าสีหน้าเฉยชาอยู่อีกคนหนึ่ง หลังจากลูกศิษย์ที่มาเปิดประตูให้ปิดประตูลงแล้วก็ยกเก้าอี้มาให้เฉินผิงอันนั่ง ส่วนตัวเองไปยืนอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่ได้จากไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอันเกิดคิดอยากสังหารคนในฉับพลัน

เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ข้างเท้า นั่งลงบนเก้าอี้ ถามเบาๆ ว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของตัวเองหรือ?”

จู๋เฟิ่งเซียนกระแอมไออยู่หลายที พยายามฝืนยิ้มกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ปิดบังเล่า เพียงแต่หูตาของทางราชสำนักดีเกินไป อำพรางได้ไม่ดีพอ อารามเต๋าของเมืองหลวงแห่งนี้คือหนึ่งในสาขาที่พรรคต้าเจ๋อตั้งใจดำเนินงานมาเกือบสามสิบปี ไม่แน่ว่าอาจถูกราชสำนักจับตามองมานานแล้ว นี่ไม่นับเป็นอะไร ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนของพวกเราท่านนั้น ตอนยังหนุ่มก็วาดฝันต่อยุทธภพมาโดยตลอด พอขึ้นครองราชย์ก็ยังถือว่าปฏิบัติต่อยุทธภพเป็นอย่างดี การเข่นฆ่าสังหารของพวกคนส่วนใหญ่ที่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ขอแค่ไม่เกินขอบเขตที่พอดี ทางการก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจนัก”

“ในความเป็นจริงแล้ว ปีนั้นที่ข้าห้อตะบึงอยู่ในยุทธภพของหลายแคว้น บุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เวลานั้นถังหลียังเป็นองค์ชายอยู่ในจวนมังกรซ่อน ว่ากันว่าเขาเลื่อมใสในตัวข้าอย่างยิ่ง จึงป่าวประกาศว่าสักวันหนึ่งจะต้องเรียกผู้ฝึกยุทธ์ที่สร้างชื่อเสียงและหน้าตาให้กับแคว้นชิงหลวนอย่างข้าเข้าพบให้ได้ ดังนั้นครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็ถูกเม่ยจูผู้นั้นท้าทาย แม้ข้าจะรู้ดีว่ามีคนจงใจใส่ร้ายข้า แต่ข้าก็ยังไม่มีหน้าหนีออกไปจากเมืองหลวงเงียบๆ จริงๆ”

เฉินผิงอันเห็นว่าจู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเปลืองแรง เดี๋ยวพูดเดี๋ยวหยุดพัก จึงไม่คิดจะถามอะไรอีก เพียงก้มตัวลงไปเปิดหีบไม้ไผ่

เมื่อเขาทำท่าทางนี้ นักพรตเฒ่าและบุรุษที่อยู่ในห้องต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม เฉินผิงอันจึงหยุดชะงัก เอ่ยอธิบายว่า “ข้ามียาที่หลอมขึ้นบนภูเขาอยู่หลายขวด แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้กระดูกขาวมีเนื้องอกขึ้นมา หรือช่วยฟื้นฟูความเสียหายของเส้นเอ็นและชีพจรอย่างรวดเร็ว แต่พอจะบำรุงลมปราณได้ดี ในด้านการซ่อมแซมชดเชยให้กับจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ ถือว่าได้ผลดีพอสมควร”

จู๋เฟิ่งเซียนอยากจะยกมือขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรง จึงได้แต่วางมือไว้บนผ้าห่มแล้วขยับส่ายเบาๆ หันไปยิ้มพูดกับคนสนิททั้งสองคนว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ความสามารถในการมองคนของข้าจู๋เฟิ่งเซียนดีกว่าการเรียนวรยุทธ์มากนัก ในเมืองหลวงตอนนี้ ไม่ว่าใครก็อาจมาฉกฉวยผลประโยชน์ได้ มีเพียงคุณชายเฉินที่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”

ตอนที่เฉินผิงอันเดินทางมาที่นี่ก็เลือกหาตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งย้ายยาสามขวดออกจากวัตถุฟางชุ่นมาใส่ในหีบไม้ไผ่แล้ว ไม่อย่างนั้นจู่ๆ เอาของออกมาจากความว่างเปล่าจะสะดุดตาเกินไป

หลังจากหยิบขวดยาทั้งสามใบออกมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมันส่งให้กับนักพรตผู้เฒ่า “รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วยวินิจฉัยประสิทธิภาพของยาก่อนว่าเหมาะจะนำมารักษาบาดแผลของเจ้าประมุขผู้เฒ่าหรือไม่”

จู๋เฟิ่งเซียนกลั้นยิ้ม “คุณชายเฉิน อุตส่าห์หวังดีเอายาช่วยชีวิตมามอบให้คนอื่น แต่กลับต้องมอบให้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้ ใต้หล้านี้ก็คงมีแค่เจ้าคนเดียวแล้ว”

นักพรตเฒ่ารับขวดยาทั้งสามใบมา ยังคงไม่มีรอยยิ้มหรือเอ่ยคำใด เขาเดินไปที่ข้างโต๊ะ เทยาออกมาขวดละหนึ่งเม็ด จากนั้นหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วทิ่มเม็ดยาให้แตกละเอียด

เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ขุ่นเคืองที่ความหวังดีถูกคนอื่นมองเป็นประสงค์ร้าย กลับกันยังรู้สึกว่านักพรตเฒ่าทำเช่นนี้ถึงจะสอดคล้องกับการกระทำของคนในยุทธภพ

แม้ว่าสีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนจะย่ำแย่ แต่อารมณ์กลับดีไม่น้อย อีกอย่างถึงอย่างไรรากฐานผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดของเขาก็ไม่ธรรมดา เขามองเมินสายตาบอกเป็นนัยจากลูกศิษย์ในห้องที่บอกว่าให้ส่งแขกได้แล้ว ยิ้มถามว่า “คุณชายเฉิน คิดว่าว่าเม่ยจูผู้นั้นใช่คนร้ายที่แท้จริงหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เคยพบนางมาก่อน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงบอกได้ยาก หากว่ากันตามสถานการณ์ทั่วไปแล้ว สนมของแคว้นชิ่งซานผู้นั้นคงไม่โง่ถึงขนาดใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมาสังหารคนหลายคนในเมืองหลวงของแคว้นอื่น แต่หากใช้สิ่งนี้มาเป็นตัวอำพรางตาเพื่อสลัดเรื่องให้พ้นตัว ความเป็นไปได้กลับมีไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความเป็นไปได้นี้อยู่ ถึงท้ายที่สุดอาจจะกลายเป็น…การแข่งขันด้านกองกำลังของสองแคว้น การช่วงชิงกันของพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป หยวนเย่จะใช่คนที่สังหารผู้อื่นหรือไม่กลับกลายเป็นว่าไม่สำคัญอีกแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของเจ้าประมุขผู้เฒ่าในครั้งนี้ไม่คุ้มเอาเสียเลย คนเบื้องหลังที่วางแผนเล่นงานเจ้าประมุขผู้เฒ่าค่อนข้างจะฉลาด หลังจากนี้ควรจะออกจากเมืองหลวงอย่างไร เจ้าประมุขผู้เฒ่าคงต้องระวังตัวแล้วระวังตัวอีก”

จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”

นักพรตผู้เฒ่ารวบรวมสมาธิตรวจสอบเม็ดยาอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินมาถึงตรงนี้ก็อดเงยหน้ามองคนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ไม่ได้

เฉินผิงอันคุยเล่นกับจู๋เฟิ่งเซียนอีกสองสามคำก็ลุกขึ้นยืนบอกลา

จู๋เฟิ่งเซียนไม่สามารถลงจากเตียงได้ ได้แต่ฝืนกุมหมัดคารวะส่ง เพียงแต่ว่าการทำเช่นนี้ไปกระเทือนบาดแผลจึงไอโขลกๆ ไม่หยุด

พวกเฉินผิงอันออกจากอารามเต๋าแล้วย้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม

ในห้องของอารามเต๋า บุรุษที่พาพวกเฉินผิงอันไปส่งนอกห้องและนอกอารามเต๋าย้อนกลับมาแล้วขยับปากทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

จู๋เฟิ่งเซียนจึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม ยังอยากให้เฉินผิงอันส่งพวกเราออกไปจากเมืองหลวงงั้นรึ?”

บุรุษตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากเขายินดีช่วย ย่อมถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อเขายอมมาที่นี่ก็แสดงให้รู้ว่าสนิทสนมกับพรรคต้าเจ๋อของพวกเรา หากพวกเราลองโน้มน้าวเขาดู ไม่แน่ว่า…”

จู๋เฟิ่งเซียนหลุดหัวเราะพรืด พูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็นตัดบทความคิดเพ้อฝันของลูกศิษย์ว่า “เจ้าโง่ คนเราโลภมากไม่รู้จักพอก็เหมือนงูคิดอยากกลืนกินช้าง ความหมายนอกเหนือจากประโยคนั้นของเฉินผิงอันที่บอกให้พวกเราออกจากเมืองอย่างระมัดระวัง เจ้าแกล้งทำเป็นฟังไม่ออกหรือไร? นั่นเป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้ว เอายามามอบให้ก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพน้อยนิดเมื่อครั้งพบกันครั้งแรกในยุทธภพ มาเยี่ยมถึงที่ เอายามามอบให้ก็ถือว่าแสดงน้ำใจไมตรีอย่างถึงที่สุดแล้ว หลักการเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เจ้าก็ยังไม่เข้าใจรึ? อย่าได้เห็นคนอื่นที่มีคุณธรรมน้ำใจเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา”

มีหรือที่บุรุษจะไม่รู้เรื่องราวซับซ้อนวกวนเหล่านี้ เขาก้มหน้ากล่าวว่า “สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้อันตรายเกินไป”

จู๋เฟิ่งเซียนถอนหายใจหนึ่งที “โชคดีที่เจ้าอดทนข่มกลั้นได้ไหว ไม่ได้วาดงูเติมหาง ไม่อย่างนั้นคราวหน้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นจื่อหยางที่ฝึกตนอยู่ในอารามจินกุ้ยแล้วเกิดปัญหา ถ้าอย่างนั้นต่อให้เฉินผิงอันไปเจอเข้าอีกครั้ง เจ้าว่าเขาจะยังช่วยหรือไม่ล่ะ?”

บุรุษเงียบงันไม่ตอบคำถาม

เหตุผลทุกอย่างเขาล้วนเข้าใจดี แต่ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าจู๋เฟิ่งเซียนผู้เป็นอาจารย์และพรรคต้าเจ๋อจะไม่อาจอ้อมผ่านหลุมแห่งความเป็นความตายนี้ไปได้ ตั้งแต่อารามเต๋าไปถึงประตูใหญ่ของเมืองหลวง จากนั้นก็เป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่พรรคต้าเจ๋อ ไม่แน่ว่าระยะทางใดระยะทางหนึ่งอาจเป็นเส้นทางที่พาไปสู่น้ำพุเหลือง

จู๋เฟิ่งเซียนคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เอาเถอะ ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง หรือเจ้ายอมได้แค่ยามที่คนอื่นมีฝีมืออ่อนด้อยจนต้องมาตายอยู่ภายใต้สองหมัดของข้าจู๋เฟิ่งเซียน แต่ไม่ยอมให้ข้าจู๋เฟิ่งเซียนตายอยู่ในยุทธภพ? หรือว่ายุทธภพแห่งนี้เป็นของข้าจู๋เฟิ่งเซียนคนเดียว เป็นเพียงบ่อน้ำในเรือนด้านหลังของพรรคต้าเจ๋อพวกเรา?”

บุรุษแย้มยิ้ม “ในอดีตเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน พวกเราที่อยู่ในแคว้นชิงหลวนเป็นเช่นนี้จริง”

จู๋เฟิ่งเซียนหลับตาลง

นักพรตผู้เฒ่าคนนั้นเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “ยานี่ไม่มีปัญหา ระดับขั้นสูงมาก ราคาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ช่วยให้อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นตัวได้ดี ไม่ใช่การปักบุปผาลงบนผ้าแพร แต่เป็นการส่งถ่านกลางหิมะอย่างแท้จริง”

บุรุษดีใจเป็นล้นพ้น “จริงหรือ?”

นักพรตเฒ่าปรายตามอง “ไม่เชื่อรึ?”

บุรุษยิ้มกว้าง “มิกล้า”

นักพรตเฒ่าผู้นี้ก็คือกุนซือผู้เฒ่าที่ช่วยวางแผนให้กับพรรคต้าเจ๋ออย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังมานานหลายสิบปี และการที่จู๋จื่อหยางได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ต้องยกความดีความชอบให้แก่สายตาที่เฉียบแหลมของนักพรตผู้เฒ่าท่านนี้

จู๋เฟิ่งเซียนพลันลืมตาขึ้น บอกให้ลูกศิษย์คนนั้นออกจากห้องไปก่อน พอประตูปิดลงแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “พูดมาเถอะ ช่วยข้ามาตั้งนานหลายปี แต่ครั้งนี้กลับผลักข้าลงหลุม เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า หวังเพียงว่าเจ้าและคนที่อยู่เบื้องหลังจะให้การดูแลจื่อหยางให้มาก พยายามอย่าลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ให้นางได้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาไปดีๆ”

นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน เดินมานั่งบนเก้าอี้ที่เฉินผิงอันนั่งก่อนหน้านี้ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “เหล่าจู๋ ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันคนนั้น แม้จะอายุยังน้อย แต่กลับมีกลิ่นอายเหมือนคนเก่าคนแก่ในยุทธภพ”

นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างพวกเรานี้ ดูเหมือนว่ายิ่งนานวันก็ยิ่งไม่ได้รับการยอมรับ คนหนุ่มสาวในปัจจุบันนี้ เพื่อเลื่อนตำแหน่งก็มักจะชอบออกหมัดสังหารปรมาจารย์เฒ่าให้ตายโดยไม่สนกฎเกณฑ์ใดๆ แล้วก็ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ทั้งหลายด้วย”

จู๋เฟิ่งเซียนหันหน้ามามอง ยิ้มถามว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่กันแน่ ปีนั้นที่ได้รู้จักกับเจ้า เจ้าก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้ เวลาผ่านไปเกือบหกสิบปีแล้ว เจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย”

นักพรตเฒ่าครุ่นคิด “ครึ่งชีวิตระเหเร่ร่อนอยู่ที่บ้านเกิด และอีกครึ่งชีวิตก็มาใช้เวลาอยู่ในแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าพอดี”

จู๋เฟิ่งเซียนเห็นว่าเพื่อนเก่าผู้นี้ไม่เต็มใจจะตอบก็ไม่ซักไซ้เอาความอีก เพราะนั่นไม่มีความหมาย

ลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวงและเหล่าปัญญาชนที่เดินทางลงใต้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันในวัด เม่ยเชวี่ยสนมข้างกายเหอขุยลงมือสั่งสอน คืนนั้นก็มีคนจำนวนมากตายไปอย่างเฉียบพลัน ในใจของชาวบ้านที่อยู่เมืองหลวงเกิดความหวาดหวั่น มองเห็นคนคนเดียวกันเป็นศัตรู ปัญญาชนแซ่สกุลใหญ่ที่ย้ายลงใต้มายังแคว้นชิงหลวนเดือดดาลอย่างถึงที่สุด จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างแคว้นชิงหลวนกับแคว้นชิ่งซาน เม่ยจูเอ่ยชื่อท้าทายจู๋เฟิ่งเซียนปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ จู๋เฟิ่งเซียนพ่ายแพ้ไปพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่มีใครมาโขกหัวขออภัยที่จุดพักม้าแม้แต่คนดียว เม่ยจูหยวนเย่จึงเอ่ยเย้ยหยันบัณฑิตของแคว้นชิงหลวนอย่างเปิดเผย เมืองหลวงโกลาหลวุ่นวาย เพียงชั่วพริบตาเรื่องนี้ก็กลบความยิ่งใหญ่ของงานโต้วาทีพุทธเต๋าลงอย่างสิ้นเชิง ชนชั้นสูงที่ย้ายลงใต้จำนวนมากร่วมมือกับตระกูลในท้องที่พร้อมใจกันกดดันถังหลีฮ่องเต้แคว้นชิงหลวน เหอขุยฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานจึงพาสนมทั้งสี่เดินอาดๆ ออกไปจากเมืองหลวง เป็นเหตุให้คนในยุทธภพทุกคนของแคว้นชิงหลวนแค้นเคืองสุดขีด

เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เมฆทะมึนและลมมรสุมก็ก่อตัว

เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นทอดๆ

ขณะที่พวกเฉินผิงอันพากันเดินทางออกจากเมืองหลวง

ทางฝั่งของสวนสิงโตที่ตั้งอยู่ชานเมืองก็มีรถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนมาบนทางสายเล็กท่ามกลางม่านรัตติกาล

ตัวตนที่แท้จริงของสารถีคนขับรถม้าก็คือผู้เฒ่าที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าซึ่งเป็นผู้นำแห่งสี่ปรมาจารย์ใหญ่ เรือนกายของเขาสูงใหญ่มาก เพิ่งจะเดินทางออกจากแคว้นอวิ๋นเซียวเข้ามาในแคว้นชิงหลวนเงียบๆ ตบะวรยุทธ์ของทั้งร่างเท่ากับขอบเขตเดินทางไกลแล้ว เหนือชั้นกว่าเม่ยจูหยวนเย่แห่งแคว้นชิ่งซานที่เป็นขอบเขตเจ็ดและจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋ออยู่มาก

หลิ่วชิงเฟิงอ่านรายงานลับจากศาลาคลื่นมรกตฉบับหนึ่งจบก็กล่าวว่า “สามารถวางมือได้แล้ว”

คุณชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แค่นี้ก็ปล่อยมือแล้วหรือ? เดิมทีข้าคิดจะเบียดบังงานส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว ไปพบกับใครบางคนสักหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้กินเบ็ด”

หลิ่วชิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ปล่อยมือได้แล้ว”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลิ่วชิงเฟิงในรถม้าก็คือหลี่เป่าเจินแห่งเขตการปกครองหลงเฉวียน เขาประสานสายตากับหลิ่วชิงเฟิงแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อท่านหลิ่วบอกว่าไฟแรงพอแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียนรู้จากท่านหลิ่วให้มากหน่อยตามที่ใต้เท้าราชครูบอก ถึงอย่างไรครั้งนี้…ก็เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กๆ ที่มอบให้ฮ่องเต้ถังหลีแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าหลังจากข้าขึ้นรับตำแหน่ง เขาจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าพึ่งพาต้นไม้ใหญ่อย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้วก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจไร้กังวล ถึงอย่างไรฝนที่ถูกลมพัดสาดมาโดนในแนวเฉียงก็ทำให้คนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกได้เช่นกัน”

หลิ่วชิงเฟิงไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

พอขยับเข้าใกล้สวนสิงโต หลี่เป่าเจินก็พลันคลี่ยิ้ม “ข้าคงไม่เข้าไปในสวนแล้ว ข้าจะอยู่บนรถ รอให้ท่านหลิ่วมอบหมายงานให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วเรียบร้อยก่อน แล้วเราค่อยย้อนกลับไปที่ที่ว่าการอำเภอด้วยกัน”

หลิ่วชิงเฟิงลงจากม้า เดินเข้าไปในสวนสิงโตที่อยู่ท่ามกลางม่านราตรีเพียงลำพัง

หลี่เป่าเจินเดินออกมาจากห้องโดยสาร ไม่ได้ลงจากรถ แต่มานั่งอยู่ด้านหลังสารถี คนหนุ่มที่มาจากอดีตถ้ำสวรรค์หลีจูเช่นเดียวกับเฉินผิงอันผู้นี้ไม่มีอะไรให้ทำ จึงแกว่งเท้าสองข้างเล่น ยิ้มพูดว่า “พอนึกถึงว่าน้องสาวที่รักของข้าชอบเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย ข้าก็โมโหยิ่งนัก จะทำอย่างไรดี ข้าที่เป็นพี่ชายไม่อาจตัดใจพูดหนักๆ ใส่เป่าผิงน้อยได้แม้แต่ครึ่งคำ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่หันไปเล่นงานเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้นแทน หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เขาปกป้องเป่าผิงน้อยไปส่งสำนักศึกษา หยวนเย่เอย จู๋เฟิ่งเซียนอะไรเอย พวกเขาก็คงไม่ใช่แค่มาเข่นฆ่ากันเองแบบนี้แล้ว แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ข้านับถือท่านราชครูที่สุด นั่นคือด้านการคาดการณ์จิตใจคน เรื่องอย่างการวางเม็ดหมากไว้ในเรือนของผู้อื่นนี้ อันที่จริงทุกคนต่างก็กำลังทำกันอยู่ ในเมืองหลวงต้าหลีของพวกเราปีนั้น และยังมีในตำหนักฉางชุน หรือแม้แต่ข้างกายซ่งจ่างจิ้ง และยังมีอีกมากมายหลายแห่ง อันที่จริงล้วนมีหมากที่ว่านี้อยู่ อีกทั้งยังมีไม่น้อยด้วย แม้แต่ฮ่องเต้ของพวกเราก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ มียอดฝีมือของเมธีร้อยสำนักท่านนั้นมาคอยคาดเดาจิตใจ? แต่พอถึงช่วงใกล้จะจบกระดาน พวกเราลองมองแต่ละตำแหน่งบนกระดานหมากล้อมก็ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้เสียเปรียบเล็กน้อย ทางฝั่งนั้นได้กำไรก้อนใหญ่ สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นใต้เท้าราชครูของพวกเราที่ได้ผลประโยชน์ไปมากกว่าใคร นี่แหละที่น่ากลัวอย่างมาก”

หลี่เป่าเจินพูดพึมพำกับตัวเองอยู่นาน ก่อนจะหันไปยิ้มถามสารถีผู้นั้นว่า “คดีของเจ้า ต่อให้แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจพลิกขึ้นมาได้ชั่วคราว แต่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงยินดีอุทิศตนเพื่อต้าหลีของพวกเรา?”

สารถีเฒ่าเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หวังว่าบนเส้นทางอนาคตที่ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไม่สะดุดล้ม หาไม่แล้วเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนแรกที่สังหารเจ้า”

หลี่เป่าเจินไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย “นิสัยแย่ๆ ที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดความในใจไปด้วยซะหมดของเจ้า ต้องแก้ไขแล้วจริงๆ จะดีจะชั่วก็ต้องอยู่ให้ถึงวันที่เจ้าคว้าโอกาสนั้นได้ รอให้ถึงวันที่เจ้าสามารถสังหารข้าก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องพวกนี้จะดีกว่า”

สารถีเฒ่าหัวเราะหยัน “ได้สิ ถึงเวลานั้นข้าค่อยพูดซ้ำอีกรอบ”

เงียบงันกันไปครู่หนึ่ง

หลิ่วชิงเฟิงก็ยังไม่กลับมา

หลี่เป่าเจินถามชวนคุย “ยุทธภพสนุกไหม?”

สารถีตอบเสียงหนัก “ไม่สนุก คนตายได้ง่าย”

หลี่เป่าเจินร้องอ้อหนึ่งที “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องระวังไว้หน่อยดีกว่า เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ควรจะทำความคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมประเพณีของแถบนี้เสียก่อน ข้าไม่ใช่คนใจกล้ามาตั้งแต่เด็กแล้ว แถมที่บ้านเกิดก็มียอดฝีมือมากมาย เดินผายลมอยู่บนถนนก็ยังกลัวว่าจะไปรบกวนเทพเซียนพสุธา ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ที่เป็นเพื่อนบ้าน”

หลี่เป่าเจินใช้สองมือตีหัวเข่าเบาๆ “ต่างก็พูดกันว่าคนบ้านเดิมพบคนบ้านเดิม น้ำตาคลอเต็มสองตา ไม่รู้ว่าครั้งหน้าที่พบเจอกัน ข้ากับเจ้าเด็กบ้านนอกแซ่เฉินผู้นั้น ใครที่จะเป็นคนร้องไห้ เฮ้อ เด็กโง่จูลู่คนนั้น ตอนหาข้าเจอที่เมืองหลวงก็ร้องไห้น้ำตาร่วงเผลาะๆ ทำเอาข้าเจ็บปวดใจจะตายอยู่แล้ว เจ็บปวดใจจนเกือบจะตบนางให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว เรื่องเล็กแค่นั้น เหตุใดถึงทำไม่สำเร็จนะ ทำให้ข้าถูกเหนียงเนียงพาลโมโหใส่ อนาคตในวงการขุนนางต้าหลีหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะต้องมาเยือนสถานที่โกโรโกโสแห่งนี้ มีแต่จะได้เดินขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว”

สารถีเฒ่ายิ้มกล่าวว่า “ลูกกระต่ายสารเลวอย่างเจ้า รอวันใดที่ตกต่ำอับจน จะต้องอนาถมากเป็นพิเศษ”

หลี่เป่าเจินถอนหายใจ “ดูสิ พูดความในใจออกมาอีกแล้ว เจ้าคนนี้ทำไมไม่เชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของคนอื่นบ้างเลยนะ แบบนี้ไม่ดีเลย”

ม่านฟ้ามืดทะมึน

หลี่เป่าเจินมองไปทางสวนสิงโตแห่งนั้น ยิ้มกล่าวว่า “ท่านหลิ่วของพวกเราคนนี้น่าอนาถกว่าข้าเยอะเลย อย่างมากสุดข้าก็แค่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง คนที่กลัวข้ามีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลับมีแต่ความทุกข์ยากขมขื่นอยู่เต็มท้อง คนที่ด่าเขามีแต่จะมากมายไม่ขาดสาย”

……

ในจุดพักม้าเล็กๆ แห่งหนึ่งชานเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน

บรรยากาศหนักอึ้งกดดันอย่างถึงที่สุด

ค่ำคืนนี้จุดพักม้าเล็กๆ มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ

ในห้องแห่งหนึ่ง

ตาใหญ่มองตาเล็ก

เด็กหนุ่มชุดขาวชี้หน้าผู้เฒ่าชุดเขียว เต้นผางสบถด่า “เจ้าเฒ่าสารเลว ตกลงกันแล้วว่าพวกเรามาเดิมพันกันตามกฎ ห้ามเล่นนอกรอบ! ในช่วงเวลาเช่นนี้เจ้ากลับโยนหลี่เป่าเจินมาทิ้งไว้ที่แคว้นชิงหลวน ด้วยสันดานของเจ้าเด็กนี่ เขาจะไม่ใช้งานส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวหรอกหรือ? หน้าแก่ๆ ของเจ้ายังมียางอายอยู่อีกหรือไม่?!”

ผู้เฒ่าชุดเขียวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าลูกกระต่ายน้อย แอบส่งข่าวบอกเฉินผิงอัน ให้เขาไปดักขวางทางอยู่ที่สวนสิงโต นี่เรียกว่ามียางอายอย่างนั้นรึ?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วยังด่าทอต่อไป “เจ้าแก่เจ้าแม่งเป็นคนทำลายกฎก่อน วางแผนเล่นงานเฉินผิงอันก็เท่ากับทำลายรากฐานมหามรรคาของข้า ยังจะไม่ยอมให้ข้าผู้อาวุโสเอาคืนเจ้าอีกรึ?”

คนสองคนที่อยู่ในห้อง

ก็คือชุยตงซาน

และซิ่วหู่ชุยฉาน

อันที่จริงก็คือคนคนเดียวเท่านั้น

ชุยฉานมีสีหน้าเฉยเมยอยู่ตลอดเวลา ยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายที่เปื้อนเปรอะหน้า “ด่าตัวเองอยู่ได้ สนุกนักรึ?”

ชุยตงซานยิ้มเหี้ยม “สาแก่ใจนักล่ะ!”

ชุยฉานหัวเราะเสียงเย็น “เห็นสภาพน่าเวทนาของเจ้าในเวลานี้ ถึงได้รู้ว่าเหตุใดปีนั้นขอบเขตสูงสุดของพวกเราถึงได้หยุดอยู่ที่ขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุด”

ชุยตงซานนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าเป็นเศษสวะไร้ประโยชน์เช่นนี้ ปีนั้นข้าผู้อาวุโสก็คงบีบคอตัวเองตายไปแล้ว”

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ตอนนี้เจ้าอยากตายก็ยังทันนะ แต่จำไว้ว่าทิ้งคราบร่างนี้และวัตถุฟางชุ่นเอาไว้ด้วย”

ชุยตงซานกลอกตามองบน กางแขนสองข้างออก นอนฟุบตัวลงบนโต๊ะ เอาหน้าแนบกับผิวโต๊ะ พูดเสียงอู้อี้ “ฮ่องเต้ตายแล้วหรือ? ช่วงนี้เลยให้ซ่งจ่างจิ้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน?”

ชุยฉานพยักหน้ารับ

ชุยตงซานไม่เงยหน้าขึ้น “ถ้าอย่างนั้นใครจะมาเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่? หรือว่าเป็นตัวเลือกเดิมสองคนนั้น มีสิทธิ์กันคนละครึ่ง?”

ชุยฉานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนจากท่าฟุบโต๊ะมานอนทิ้งตัวพิงผนักเก้าอี้ “น่าเบื่อซะจริง”

ชุยฉานกล่าว “ข้าว่าเจ้าดูจะมีความสุขในการเป็นลูกศิษย์ของคนอื่นอยู่มาก”

ชุยตงซานเหลือกตามองบนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา

หาความสุขในความทุกข์ไงล่ะ

ชุยฉานเองก็ฉงนสนเท่ห์อยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าตอนที่ตนเป็นหนุ่มก็ไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา?

ชุยตงซานกลอกตากลับลงมา รู้สึกลังเลเล็กน้อย “ตาเฒ่าอยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ชุยฉานเงียบงันไปนานก่อนจะตอบว่า “ถูกลู่ไถตัดขาดเส้นทางการเดินสู่ขอบเขตสิบเอ็ดไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้สภาพจิตใจนับว่าไม่เลว”

ชุยตงซานยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ถามว่า “หากเฉินผิงอันสังหารหลี่เป่าเจิน เจ้าจะทำอย่างไร?”

ชุยฉานส่ายหน้า “เฉินผิงอันเคยรับปากหลี่ซีเซิ่งว่าจะปล่อยหลี่เป่าเจินไปหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นจะเป็นหรือตายก็ต้องรับผิดชอบกันเอาเอง”

ชุยตงซานพลันเงยหน้าขึ้น จ้องเป๋งไปที่ชุยฉาน

ชุยฉานเอ่ยเสียงเรียบ “ใช่ ข้าวางแผนมาดีแล้ว ตอนนี้หลี่เป่าเจินยังอ่อนหัดเกินไป คิดจะเอามาใช้ทำงานสำคัญในอนาคต ยังต้องให้เขาเผชิญกับความยากลำบากเสียก่อน”

ชุยตงซานหัวเราะร่าพลางกระโดดลงมาจากเก้าอี้ เดินมานวดไหล่ให้ชุยฉาน ยิ้มตาหยีอย่างเบิกบาน “เหล่าชุย ไม่เสียแรงที่เป็นคนกันเอง คราวนี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะ ระงับโทสะเถอะ”

ชุยฉานไม่สะทกสะท้าน “หากรู้แต่แรกว่าสุดท้ายจะมีเจ้าที่เป็นคนเช่นนี้ ปีนั้นพวกเราก็ควรจะบีบคอตัวเองตายไปจริงๆ”

ชุยตงซานตบศีรษะชุยฉานเบาๆ “พูดจาอัปมงคลอะไรอย่างนี้ เพ้ยๆๆ ต่อให้พวกเราสองคนจะเดินกันคนละทาง แต่ก็ต้องพยายามอยู่ต่อเพื่อสร้างหายนะไปอีกสักพันปี”

ชุยฉานกล่าว “หากยังเอาน้ำลายมารดหัวข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้สร้างหายนะไปอีกพันปีเลย”

……

บนทางเดินเส้นเล็กพงต้นกกต้นอ้อของสวนสิงโตที่ทอดยาวเข้าสู่ถนนทางหลวง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!