Skip to content

Sword of Coming 4

บทที่ 4 นกขมิ้น

หากไม่ได้ไปที่ถนนฝูลวี่หรือตรอกเถาเย่ ชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันคงไม่มีทางตระหนักได้ถึงความคับแคบมืดมิดของตรอกหนีผิง แต่เด็กหนุ่มผู้สวมรองเท้าแตะสานไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกห่อเหี่ยว กลับกันยังรู้สึกสบายใจ เด็กหนุ่มยื่นมือทั้งสองออกไป ฝ่ามือก็สัมผัสเข้ากับผนังดินเหลืองสองฝั่งพอดี จำได้ว่าเมื่อประมาณสามสี่ปีก่อน เฉินผิงอันยังทำได้แค่ใช้ปลายนิ้วแตะไปที่ผนังดินเท่านั้น

เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านตัวเองก็พบว่าประตูหน้าบ้านเปิดอ้าอยู่ เด็กหนุ่มที่นึกว่าโจรบุกบ้านรีบวิ่งเข้าไปในลานกว้าง ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ คนหนึ่งกำลังนั่งหาวอย่างเกียจคร้านอยู่บนธรณีประตู เอนหลังพิงประตูที่ลงกลอนเอาไว้ พอมองเห็นเฉินผิงอัน เขาก็ถลันพรวดลุกขึ้นยืนราวโดนไฟลนก้น วิ่งมาหยุดอยู่หน้าเฉินผิงอันได้เขาก็กำแขนของเฉินผิงอันไว้แน่นแล้วกระชากเข้ามาในบ้าน กดเสียงพูดให้เบาว่า “รีบเปิดประตู มีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า!”

เฉิงผิงอันไม่ได้สลัดพันธนาการของไอ้หมอนี่ออก จึงถูกเขาลากให้ไปที่ประตูบ้าน แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแกร่งที่โตกว่าเฉินผิงอันสองปีก็ผลักเขาให้พ้นทาง ส่วนตัวเองเดินย่องเบาๆ ไปที่เตียงไม้ของเฉินผิงอัน เอาหูแนบติดกับผนังเพื่อฟังความเคลื่อนไหวของบ้านข้างๆ

เฉินพิงอันถามอย่างประหลาดใจ “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้าทำอะไรน่ะ?”

เด็กหนุ่มสูงใหญ่ทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเฉินผิงอัน ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูป หลิวเสี้ยนหยางถึงได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขานั่งลงริมเตียงไม้ สีหน้าซับซ้อน มีทั้งความโล่งอก แล้วก็มีทั้งความเสียดาย

และเวลานี้เองที่หลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะเห็นว่าเฉินผิงอันกำลังทำอะไรแปลกๆ เขานั่งยองอยู่ด้านในของประตู ยืดตัวออกไปข้างนอก ใช้เทียนไขที่เหลือ เท่านิ้วหัวแม่มือเผากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่ง ปล่อยให้ขี้เถ้าหล่นลงนอกธรณีประตู

ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะพึมพำอะไรบางอย่างด้วย แต่เป็นเพราะอยู่ห่างค่อนข้างไกล หลิวเสี้ยนหยางจึงได้ยินไม่ชัดนัก

หลิวเสี้ยวหยางก็คือ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้เฒ่าเหยาช่างเผาเครื่องปั้นที่มีชื่อเสียง ส่วนเฉิงผิงอันที่พรสวรรค์ไม่โดดเด่นและทึ่มทื่อ ผู้เฒ่าไม่เคยยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์อย่างแท้จริง ตามประเพณีพื้นบ้าน หากลูกศิษย์ไม่เคยยกน้ำชาไหว้ครู หรือ ครูไม่เคยดื่มน้ำชาถ้วยนั้นจากศิษย์จะเท่ากับว่าไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กันจริงๆ

เฉินผิงอันไม่ใช่เพื่อนบ้านของหลิวเสี้ยนหยาง บ้านบรรพบุรุษของทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ไกลกันมาก ที่ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางพาเฉินผิงอันไปแนะนำให้กับผู้เฒ่าเหยา สาเหตุก็เป็นเพราะในอดีตเขาเคยติดหนี้บุญคุณเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง

ในอดีตหลิวเสี้ยนหยางคือ เด็กเกเรที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วเมืองเล็ก ตอนที่ปู่ ของเขายังไม่เสียชีวิต ในบ้านจึงยังมีผู้ใหญ่คอยดูแล แต่พอปู่ของเขาจากไปด้วย อาการเจ็บป่วย เด็กหนุ่มที่อายุแค่สิบสองสิบสามปีก็ร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ชายฉกรรจ์ จึงกลายมาเป็นราชาปีศาจกลับชาติมาเกิดที่สร้างความปวดหัวให้กับชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ภายหลังไม่รู้ว่าทำไม หลิวเสี้ยนหยางถึงไปมีเรื่องกับลูกหลาน ตระกูลหลู ผลกลับกลายเป็นว่าถูกอีกฝ่ายดักอยู่ในตรอกหนีผิงแล้วซ้อมเขา อย่างรุนแรง อีกฝ่ายล้วนเป็นพวกเด็กหนุ่มที่กำลังวังชาพลุ่งพล่าน ลงมือทีก็ไม่รู้ หนักเบา หลิวเสี้ยนหยางถูกอัดจนกระอักเลือดไม่หยุด ชาวบ้านหลายสิบกว่า หลังคาเรือนที่อยู่อาศัยในตรอกหนีผิง ส่วนใหญ่เป็นพวกแรงงานชั้นล่างที่ทำงาน ในเตาเผามังกรเล็กๆ เพื่อหาเงินมาประทังชีวิต มีหรือจะกล้าเข้ามาข้องเกี่ยวกับ น้ำขุ่นบ่อนี้

ตอนนั้นซ่งจี๋ซินไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เขากลับไปนั่งยองดูเรื่องสนุกอยู่บนกำแพงอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเช่นนั้นราวกับกลัวว่าจะไม่เกิดเรื่องใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

มาถึงท้ายที่สุดมีเพียงเด็กหนุ่มผอมแห้งราวไม้ฟืนคนหนึ่งที่แอบดอดออกทางหลังบ้าน แล้ววิ่งไปแผดเสียงตะโกนดังลั่นที่หน้าปากซอย “มีคนตายแล้ว มีคนตายแล้ว…”

พอได้ยินคำว่า ‘มีคนตาย’ ลูกหลานตระกูลหลูถึงได้สะดุ้งตกใจ เขามอง หลิวเสี้ยนหยางที่นอนเลือดอาบอยู่บนพื้น พอเห็นว่าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หายใจ รวยริน เหล่าเด็กหนุ่มของตระกูลร่ำรวยถึงได้รู้สึกกลัวความผิดขึ้นมาบ้าง พวกเขา มองหน้ากันไปมา ก่อนจะพากันวิ่งหนีออกไปทางท้ายตรอกหนีผิง

แต่หลังจากนั้นมา หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกขอบคุณเด็กที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ กลับกลายเป็นว่าชอบมากลั่นแกล้งเขาทุกๆ สามวันห้าวัน เด็กกำพร้าคนนี้ ก็อดทนได้ดีนัก ไม่ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะรังแกอย่างไรก็ไม่ยอมร้องไห้ ทำเอาเด็กหนุ่มยิ่งโมโห เพียงแต่ว่าหนึ่งปีต่อมา หลิวเสี้ยนหยางเห็นว่าเด็กกำพร้าแซ่เฉินผู้นั้น คงจะมีชีวิตรอดพ้นหน้าหนาวไปไม่ได้ ในที่สุดความเมตตาของเขาก็บังเกิด เด็กหนุ่มที่ได้กราบอาจารย์เล่าเรียนวิชาเผาเครื่องปั้นที่เตาเผามังกรแล้วจึงพาเด็กกำพร้าไปที่เตาเผามังกรซึ่งตั้งอยู่ริมธารน้ำ โดยเดินออกจากเมืองมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทางหลายสิบลี้ท่ามกลางหิมะที่ตกกระหน่ำ มาจนถึงตอนนี้หลิวเสี้ยนหยางก็ยังคงไม่เข้าใจว่าขาเล็กๆ สองข้างที่เห็นได้ชัดว่าบางยิ่งกว่าคันไม้ไผ่ตกปลาของ เด็กน้อยร่างผอมแห้งราวท่อนฟืนผู้นั้นพาเขาเดินไปถึงเตาเผามังกรได้อย่างไร?

แต่แม้ว่าผู้เฒ่าเหยาจะรับเฉิงผิงอันเอาไว้ในท้ายที่สุด ทว่าการปฏิบัติที่เขามีต่อ คนทั้งสองกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว สำหรับหลิวเสี้ยนหยางผู้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย เขาทั้งด่าทั้งตีก็จริง แต่ขนาดคนตาบอดก็ยังสัมผัสได้ถึงความทุ่มเทที่เขามีให้ต่อ หลิวเสี้ยนหยาง ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งที่เขาลงมือหนักไปหน่อย ทำเอา หลิวเสี้ยนหยางหน้าผากแตกเลือดไหล เด็กหนุ่มหนังหนาไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ กลับเป็นผู้เฒ่าเหยาผู้เป็นอาจารย์เสียอีกที่เสียใจอย่างมาก ผู้เฒ่าที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชอบแสดงอำนาจต่อหน้าลูกศิษย์กลัวเสียหน้าจึงพูดอะไรไม่ได้มาก แต่พอกลับไป ถึงบ้านตัวเอง เดินวนไปวนมาจนดึกดื่นก็ยังไม่เลิกเป็นห่วงหลิวเสี้ยนหยาง สุดท้าย จึงได้แต่เรียกให้เฉินผิงอันมาเอายาไปให้อีกฝ่าย

ตลอดหลายปีมานี้ เฉินผิงอันอิจฉาหลิวเสี้ยนหยางมาโดยตลอด

ไม่ได้อิจฉาที่หลิวเสี้ยนหยางมีพรสวรรค์สูง มีแรงเยอะ มีวาสนาดี แต่อิจฉาที่ หลิวเสี้ยนหยางไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยคิดมาก ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต้องเดียวดาย ต่อให้เจอเรื่องย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่หวั่น ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน หลิวเสี้ยนหยางก็เข้ากับคนอื่นได้เสมอ ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็ตีสนิทเรียกคนอื่นว่า พี่ว่าน้องได้แล้ว เพราะปู่ของหลิวเสี้ยนหยางสุขภาพไม่ดี เขาจึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก จึงกลายมาเป็นหัวโจกของเด็กคนอื่นๆ จับงู จับปลา จับนก ไม่มีอะไรที่เขาไม่คล่องแคล่ว หน้าไม้ คันเบ็ด ธนู กรงนก ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่หลิวเสี้ยนหยางทำไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องจับปลาหนีชิว[1]ตามคันนาและตกปลาไหลสองเรื่องนี้ที่เด็กหนุ่มมีฝีมือร้ายกาจที่สุดในเมือง อันที่จริงปีนั้นตอนที่หลิวเสี้ยนหยางออกจากโรงเรียน อาจารย์ฉียังเคยไปหาปู่ของหลิวเสี้ยนหยางที่นอนป่วยติดเตียง บอกว่าเขาจะไม่เก็บเงินสักอีแปะเดียว แต่ให้ตายอย่างไรหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่ยอม บอกว่าเขาอยากหาเงินเท่านั้น ไม่อยากเรียนหนังสือ อาจารย์ฉีบอกว่าเขาสามารถออกเงินจ้างให้หลิวเสี้ยนหยางไปเป็นเด็กรับใช้ของตัวเอง แต่หลิวเสี้ยนหยางก็ยัง ไม่ยอมรับปาก อันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางมีชีวิตที่ดีมาก ต่อให้ผู้เฒ่าเหยาจะตายไป เตาเผามังกรถูกสั่งปิด แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเขาก็ถูกช่างตีเหล็กที่ตรอกฉีหลงรับตัวไป และเริ่มไปสร้างกระท่อม สร้างเตาอยู่ทางทิศใต้ของเมือง มีงานรัดตัวไม่เว้นวัน

หลิวเสี้ยนหยางมองเฉิงผิงอันที่เป่าเทียนให้ดับแล้วนำมาวางบนโต๊ะ ถามขึ้นเบาๆ ว่า “ปกติช่วงเช้าตรู่เจ้าเคยได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ บ้างมั้ย เหมือนเสียง…”

เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว รอฟังประโยคถัดไปของอีกฝ่าย

หลิวเสี้ยนหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าของเขาแดงน้อยๆ “เหมือนเสียงแมวครวญในช่วงฤดูใบไม้ผลิ”

เฉินผิงอันถาม “ซ่งจี๋ซินหรือจื้อกุยหัดร้องเลียนเสียงแมว?”

หลิวเสี้ยนหยางกลอกตาขึ้นสูง ไม่คิดจะสีซอให้ควายฟังอีก เขาเอาฝ่ามือทั้งคู่ ยันลงบนเตียง งอข้อศอกเล็กน้อย ก่อนจะยืดแขนให้ตรง ก้นลอยออกมาจากเตียง เท้าทั้งสองข้างก็ลอยออกมาจากพื้น ก้นของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ปากก็พูด เยาะเย้ยไปด้วยว่า “จื้อกุยอะไรกัน นางชื่อหวังจูชัดๆ เจ้าคนแซ่ซ่งนั่นขี้อวดมา ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่รู้ว่าไปเห็นคำว่า ‘จื้อกุย’ มาจากไหน ก็เลยเอามาใช้มั่วซั่วโดย ไม่สนใจสักนิดว่าความหมายของสองคำนี้มันดีหรือไม่ หวังจูมาติดพันคุณชายคนนี้ ช่างเป็นเวรกรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ หาไม่แล้วคงไม่มีใครยอมมาตกระกำลำบากอยู่ข้างกายซ่งจี๋ซินผู้นี้หรอก”

เฉิงผิงอันไม่ได้พูดเออออไปกับเด็กหนุ่มสูงใหญ่

หลิวเสี้ยนหยางที่ยังทำท่านั้นอยู่ตลอดเวลาแค่นเสียงพูดต่อไปว่า “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าทำไมเจ้าช่วยหวังจูแบกน้ำครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ไม่พูดกับเจ้าอีกเลย? รับรองได้เลยว่าเจ้าซ่งจี๋ซินที่ใจแคบยิ่งกว่าไส้ไก่ผู้นั้นต้องหึงนาง ถึงได้วางอำนาจ ไม่อนุญาตให้หวังจูมาเล่นหูเล่นตากับเจ้า หาไม่แล้วก็จะใช้กฎบ้านลงโทษ ไม่เพียงแต่จะตีขานางจนหัก ยังจะเอาไปโยนทิ้งในตรอกหนีผิงด้วย…”

เฉินผิงอันทนฟังไม่ได้อีกต่อไป จึงตัดบทหลิวเสี้ยนหยาง “ซ่งจี๋ซินก็ไม่ได้เลวร้ายกับนางสักหน่อย”

หลิวเสี้ยนหยางอับอายจนพานมาเป็นโกรธ “เจ้ารู้หรือว่าอะไรดี อะไรเลว?”

เฉินผิงอันกล่าวเบาๆ ด้วยสายตาใสซื่อ “บางครั้งเวลาที่นางทำงานอยู่ในลานบ้าน ซ่งจี๋ซินก็จะนั่งอ่านอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นอะไรนั่นของเขาไปด้วย และเวลาที่นางมองไปยังซ่งจี๋ซินก็มักจะยิ้มบ่อยๆ”

สีหน้าของหลิวเสี้ยนหยางเหม่อลอย

แล้วทันใดนั้นเตียงไม้ที่เปราะบางก็ไม่อาจทานรับน้ำหนักของหลิวเสี้ยนหยางได้อีกจึงหักออกเป็นสองท่อน ทำเอาเด็กหนุ่มสูงใหญ่ก้นกระแทกลงบนพื้น

เฉินผิงอันลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น ยกมือทั้งคู่กุมหัว ถอนหายใจเฮือกๆ รู้สึกปวดหัวแปล๊บ

หลิวเสี้ยนหยางเกาหัวแกรกๆ ลุกขึ้นยืน แล้วก็ไม่คิดจะพูดอะไรที่แสดงให้เห็นว่ารู้สึกผิด เขาเพียงแค่เตะเฉินผิงอันเบาๆ ยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “เอาน่า ก็แค่เตียงผุๆ หลังหนึ่งเท่านั้น วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะเอาข่าวดีข่าวใหญ่มาบอกเจ้า จะยังไงก็มีค่า มากกว่าเตียงผุๆ หลังนี้ของเจ้ามากนัก!”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น

หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างลำพองใจว่า “หลังจากช่างหร่วนของข้าออกไป จากเมือง จู่ๆ ก็ต้องการจะขุดหลุมหลายหลุมที่ริมแม่น้ำทางทิศใต้ คนที่มีอยู่ไม่พอ เลยต้องการคนไปช่วย ข้าก็เลยเสนอชื่อเจ้าไป บอกว่ามีเจ้าฟักแคระคนหนึ่ง (เปรียบเปรยถึงคนที่ทั้งเตี้ย ทั้งหน้าตาไม่ดี) เรี่ยวแรงเยอะ ช่างหร่วนก็เลยรับปาก บอกว่าอีกสองวันให้เจ้าไปที่นั่น”

เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน เตรียมจะเอ่ยขอบคุณ

หลิวเสี้ยนหยางยกมือข้างหนึ่งขึ้น “หยุดเลยๆ! พระคุณยิ่งใหญ่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย! แค่จดจำให้ขึ้นใจก็พอ!”

เฉินผิงอันแยกเขี้ยว

หลิวเสี้ยนหยางกวาดตามองไปรอบด้าน ตรงมุมห้องมีเบ็ดตกปลาอันหนึ่งวางอยู่ ตรงหน้าต่างมีหนังสติ๊กวางนอนอยู่อันหนึ่ง ตรงผนังแขวนธนูไม้ไว้หนึ่งอัน เด็กหนุ่ม สูงใหญ่ทำท่าจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลั้นไว้ ไม่พูดออกมา

เขาก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูออกไป และเห็นได้ชัดว่าจงใจเดินอ้อมขี้เถ้าที่เกิดจากการเผากระดาษกองนั้น

เฉินผิงอันมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่ไป

หลิวเสี้ยนหยางหันขวับกลับมาเผชิญหน้ากับเฉินผิงอันที่ยังยืนอยู่ในห้อง แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มสูงใหญ่ก็ย่อตัวลง เท้าติดพื้น หลังจากกระโดดออกมาสองสามก้าว เขาก็ปล่อยหมัดหนักๆ หนึ่งที จากนั้นจึงเก็บหมัด ยืดเอวขึ้นตรง กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ช่างหร่วนบอกกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ขอแค่ข้าฝึกวิชาหมัดนี้ให้ได้หนึ่งปี ก็จะสามารถต่อยคนให้ตายได้!”

ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางยังไม่สาแก่ใจ เขาจึงทำท่าเตะเท้าแปลกๆ อยู่อีก สองสามครั้ง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “นี่เรียกว่าเท้าดีต้องเข้าเป้า เตะลาจนล้มตาย!”

สุดท้ายหลิวเสี้ยนหยางชูนิ้วโป้งชี้ไปที่หน้าอกตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเหิมห้าวว่า “ตอนที่ช่างหร่วนสอนวิชาหมัดนี้ให้กับข้า ข้าก็นำความรู้ที่เคยได้เล่าเรียนมาเล่า ให้เขาฟัง ยกตัวอย่างเช่นสุดยอดเคล็ดลับอันเป็นความลับสุดยอดอย่าง ‘ยก-มีด’ ที่ข้าบรรลุมาตอนทำเครื่องปั้นกับผู้เฒ่าเหยา ช่างหร่วนยังชมว่าข้ามีพรสวรรค์ ด้านการฝึกยุทธ์ซึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้ง วันหน้าขอแค่เจ้าติดตามข้า รับรองว่า เจ้าจะได้กินดื่มเต็มอิ่ม!”

ปลายหางตาของหลิวเสี้ยนหยางเหลือบไปเห็นว่าสาวใช้ข้างบ้านเดินเข้าบ้านไปแล้วจึงหมดความสนใจที่จะแสดงเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่

เขาหันมาพูดกับเฉินผิงอันอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนเดินผ่าน ต้นไหวเก่าแก่ ข้าเห็นว่าที่นั่นมีตาแก่คนหนึ่งเรียกตัวเองว่า ‘นักเล่านิทาน’ กำลัง จัดแผงของตัวเองอยู่ แถมยังบอกว่าเขาสะสมเรื่องประหลาดน่าสนใจเอาไว้มากมาย อยากจะมาเล่าให้พวกเราฟัง ถ้าเจ้าว่างก็ลองไปดูได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หลิวเสี้ยนหยางก้าวยาวๆ ออกไปจากตรอกหนีผิง

สำหรับเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังคนนี้ ในเมืองมีเรื่อง เล่าลือมากมายเกี่ยวกับเขา แต่เด็กหนุ่มชอบบอกว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นแม่ทัพ ที่ยกทัพทำสงคราม ดังนั้นที่บ้านของเขาถึงได้มีเสื้อเกราะล้ำค่าที่สืบทอดต่อกันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่าตัวนั้น

พูดถึงเสื้อเกราะล้ำค่าตัวนี้ เฉินผิงอันเคยได้เห็นครั้งหนึ่ง อันที่จริงสภาพของมันน่าเกลียดมาก มันเหมือนทั้งหูดที่อยู่บนร่างของคน แล้วก็เหมือนทั้งปมบนต้นไม้แก่ๆ

แต่คนวัยเดียวกับหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่ได้พูดเช่นนี้ พวกเขาพูดแค่ว่าบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางเป็นทหารหนีสงคราม พอหนีมาถึงเมืองเล็กแห่งนี้ก็ได้เป็นเขยของตระกูลใหญ่โต จึงโชคดีรอดพ้นการตามจับของทางการมาได้ แต่ละคนยืนยัน หนักแน่นเหมือนได้เห็นกับตาตัวเองว่าบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางหนีออกมาจากสมรภูมิรบอย่างไร แล้วโซซัดโซเซจนมาถึงเมืองเล็กแห่งนี้อย่างไร

เฉินผิงอันคิดอยู่เล็กน้อยก็เดินไปนั่งยองอยู่ข้างธรณีประตู ก้มหน้าเป่าให้ขี้เถ้าพวกนั้นปลิวกระจาย

ไม่รู้ว่าซ่งจี๋ซินมายืนอยู่ข้างกำแพงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้างกายมีจื้อกุยสาวใช้ยืนอยู่ด้วย เขาตะโกนเข้ามาว่า “จะไปเที่ยวเล่นแถวต้นไหวกับพวกเราไหม?”

เฉินผิงอันเงยหน้า “ไม่ล่ะ”

ซ่งจี๋ซินเบ้ปาก “น่าเบื่อ”

เขาหันกลับไปส่งยิ้มให้สาวใช้บ้านตัวเอง “จื้อกุย พวกเราไปกันเถอะ! ข้าจะซื้อ ผงดอกท้อทาหน้าให้เจ้าโถใหญ่ๆ เลย”

นางกล่าวอย่างเขินอาย “แค่กระปุกเล็กๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

ซ่งจี๋ซินเอามือทั้งคู่ไพล่หลัง เชิดหน้าอกตั้ง เดินก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า “คนตระกูลซ่งของข้า ยามกินข้าวต้องมีดนตรีบรรเลง ใช้กระถางสามขาวางอาหาร พวกเราเป็นขุนนางขั้นสูงกันมาหลายรุ่นหลายสมัย จะทำตัวเหมือนคนจนได้อย่างไร นั่นไม่เท่ากับสร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูลข้าหรอกหรือ?!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนธรณีประตู เอามือคลึงหน้าผาก อันที่จริงตอนที่ซ่งจี๋ซินผู้นี้ ไม่พูดจาเลื่อนเปื้อนก็ไม่ได้ดูแย่อะไรนัก แต่ถ้าเขาเป็นอย่างในตอนนี้แล้ว หลิวเสี้ยนหยางอยู่ด้วยก็จะต้องพูดว่า อยากใช้ก้อนอิฐทุบลงไปที่ท้ายทอยของซ่งจี๋ซินแรงๆ แน่นอน

เฉินผิงอันเอนตัวพิงประตูบ้าน นึกถึงชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่คงเหมือนกับวันนี้ นึกถึงชีวิตในวันถัดไปที่คงเหมือนพรุ่งนี้ แล้วก็เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา และชั่วชีวิตนี้ของเขาเฉินผิงอันก็คงเป็นอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่ไม่ต่างจาก ผู้เฒ่าเหยาสักเท่าไหร่

คนกินดินมาเกิด ดินกินคนเมื่อกลับไป

การหลับตาลงครั้งสุดท้าย บางทีเมื่อลืมตาอีกครั้งอาจเป็นเรื่องราวของชีวิตหน้าแล้วก็ได้

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองรองเท้าสานของตัวเองแล้วพลันหัวเราะ ความรู้สึกเวลาเหยียบบนพื้นหินเขียวกับเหยียบโคลนเละๆ ไม่เหมือนกันเท่าไหร่เลยจริงๆ

หลิวเสี้ยนหยางออกมาจากตรอกเล็ก ตอนที่เดินผ่านแผงดูดวง นักพรตหนุ่มคนนั้น ก็เรียกเขา “มาๆๆ นักพรตผู้ต่ำต้อยเห็นว่าสีหน้าของเจ้าเหมือนน้ำมันเดือด นี่ย่อมไม่ใช่ลางดีแน่นอน แต่ไม่ต้องกลัวไป นักพรตผู้ต่ำต้อยมีวิชาที่ช่วยดับ…”

หลิวเสี้ยนหยางตกใจเล็กน้อย เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนนักพรตคนนี้เคยดูดวงอ่าน ใบเซียมซีให้กับผู้คน ไม่พูดว่าแม่นหรือไม่แม่น แต่คนคนนี้ไม่เคยเป็นฝ่ายเรียก ลูกค้ามาก่อน

ทุกครั้งล้วนมีแต่คนที่ยินยอมพาตัวเองมาติดเบ็ดแทบทั้งนั้น หรือว่าตอนนี้ พอเตาเผามังกรถูกราชสำนักสั่งปิด นักพรตคนนี้ก็เลยซวยไปด้วย เงินเริ่มไม่พอ เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จึงยินดีฆ่าพลาด แต่ไม่ยอมปล่อยพลาด? หลิวเสี้ยนหยางผรุสวาทกลั้วยิ้ม “วิชาของเจ้าก็คือดับทรัพย์ทำลายสินใช่ไหม? ไสหัวไปไกลๆ เลย คิดจะหลอกเอาเงินจากกระเป๋าข้า รอชาติหน้าเถอะ!”

นักพรตหนุ่มไม่โกรธ เขาเพียงตะโกนพูดเสียงดังกับเด็กหนุ่มสูงใหญ่ว่า “หวังให้ ปีนี้สมปรารถนา ไหนเลยจะรู้ว่าชะตามีเคราะห์ ไร้ภัยก็ไม่คิดถึงเทพเซียน อยากสงบสุขต้องเผาธูปหอม…ควรจะเผาธูปหอม…”

จู่ๆ หลิวเสี้ยนหยางก็หมุนตัวขวับกลับมา เดินเร็วๆ ราวกับวิ่งเข้าใส่แผงดูดวง มือทั้งสองข้างถูเข้าหากัน ปากก็แผดเสียงตะโกนไปด้วย “เผาธูปใช่ไหม ข้าจะเผาแผงของเจ้าก่อนเลยแล้วกัน!”

เห็นได้ชัดว่านักพรตหนุ่มตกใจไม่น้อย พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนโดย ไม่สนใจแผงของตัวเองอีกต่อไป

หลิวเสี้ยนหยางยืนอยู่ข้างแผง มองภาพเงาร่างของนักพรตที่หนีตายกระเซอะกระเซิงก็หัวเราะร่า เหลือบตามองไปเห็นกระบอกเซียมซีบนโต๊ะเลยใช้มือปัดมันให้ล้ม เซียมซีไม้ไผ่ร่วงกราวออกมาจากในกระบอก สุดท้ายเรียงกันเหมือนพัดที่ถูกคลี่อยู่บนโต๊ะ

หลิวเสี้ยนหยางชี้หน้านักพรตที่หนีไปหยุดอยู่ไกลๆ “วันหน้าถ้าเจอเจ้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะอัดเจ้าเมื่อนั้น!”

นักพรตหนุ่มยกมือขึ้นกุมเขย่าติดๆ กันเพื่อขออภัย

หลิวเสี้ยนหยางถึงได้ยอมจากไป

รอจนเด็กหนุ่มสูงใหญ่จากไปไกลแล้ว นักพรตหนุ่มถึงได้กล้ากลับมาที่แผงตัวเองอีกครั้ง เขาถอนหายใจหนึ่งที “โลกทุกวันนี้อยู่ยาก ใจคนไม่บริสุทธิ์ดั่งอดีต นักพรต ผู้ต่ำต้อยอย่างข้าใช้ชีวิตได้ไม่ง่ายเลย”

และเวลานี้เอง ดวงตาของนักพรตก็พลันเป็นประกาย เขารีบหลับตาลง พูดเสียงดังกังวานว่า “เสียงกบร้องดังระงมในบ่อน้ำ ทิ่มแทงไปทั้งใจคน ชื่อเสียงและ คุณความชอบดั่งจอกแหนลอยน้ำ ขอแค่ลมพัดพาก็เคลื่อนหน้าไปสี่ทิศ!”

เห็นได้ชัดว่าชายหญิงคู่นั้นได้ยินคำพูดของนักพรต แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มี ทีท่าว่าจะหยุดเดิน

นักพรตเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าจะกำลังเสียลูกค้าก็จำต้องเอามือตบโต๊ะ เพิ่มระดับน้ำเสียง “จอหงวนหรืออัครเสนาบดีก็เป็นเพียงคนธรรมดา อัจฉริยะรอบรู้ชื่อเสียงย่อมเลื่องลือ ภาคภูมิทั้งกายและใจ!”

ซ่งจี๋ซินและจื้อกุยสาวใช้ยังคงเดินหน้าต่อไป

นักพรตห่อเหี่ยว ได้แต่พึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “จะใช้ชีวิตต่อยังไงล่ะเนี่ย”

แต่แล้วเด็กหนุ่มก็หันหน้ากลับมากะทันหัน โยนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง ข้ามมาไกลให้นักพรตหนุ่ม ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”

นักพรตรีบคว้าเหรียญทองแดงเอาไว้ พอแบมือออกดูก็ขมวดคิ้วมุ่น นี่มัน เหรียญอีแปะหน่วยเล็กที่สุดเลยนี่นา แต่ว่านักพรตหนุ่มวางเหรียญทองแดงนี้ ลงบนโต๊ะเบาๆ

เพียงชั่วพริบตาก็มีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินโฉบลงมาบนโต๊ะ มันก้มหน้าจิก เหรียญทองแดงนั้นเบาๆ จากนั้นก็คาบขึ้นมาไว้ในปาก เงยหน้ามองนักพรตหนุ่ม ดวงตาของนกขมิ้นมีแววเฉลียวฉลาดแทบไม่ต่างจากดวงตาของคน

นักพรตเอ่ยเบาๆ ว่า “ไปเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน”

นกขมิ้นจึงบินทะยานจากไป

นักพรตหนุ่มกวาดตามองรอบด้าน สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนกรอบป้ายที่เขียนคำว่า “ชี่ชงโต้วหนิว (พลังอำนาจสะท้านฟ้า)” บนซุ้มประตูหินสูงที่อยู่ห่าง ไปไกลพอดี เขาจึงกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “น่าเสียดายนัก”

สุดท้ายนักพรตพูดเสริมขึ้นอีกประโยค “หากเอาไปขายข้างนอก จะอย่างไรก็คงได้เงินแปดร้อยหรืออาจถึงพันตำลึงเลยกระมัง?”

……………..

[1] ปลาหนีชิวหรือปลาเลนหนีซิว คือชื่อปลาชนิดหนึ่งที่ตัวกลม หางแบน เกล็ดเล็ก มีน้ำหนักมาก หลังสีดำมีจุดด่าง ท้องสีขาวหรือสีเทา หัวเล็กแต่แหลม ปากมีหนวดห้าคู่ มักจะอยู่ในแม่น้ำ บึงหรือสระน้ำ ในนาน้ำ เป็นต้น ชอบซ่อนตัว อยู่ในดินเลน เนื้อรับประทานได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!