Skip to content

Sword of Coming 403

บทที่ 403 อยู่ที่สำนักศึกษา

หลี่เป่าผิงเก็บสะสมถ้อยคำไว้มากมาย แต่พอได้พบกับเฉินผิงอันเข้าจริงๆ แต่ละคำที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับถูกนางกลืนกลับลงท้องไปอีกครั้ง

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาวัดระดับอยู่ตรงหน้าผากของหลี่เป่าผิง “ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเลย”

หลี่เป่าผิงกระโดดโหยง พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “อาจารย์อาน้อย เหตุใดท่านถึงตัวสูงเร็วกว่าข้าอีกล่ะ ตามไม่ทันแล้ว”

เฉินผิงอันช่วยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้แม่นางน้อย ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่เป่าผิงโถมตัวเข้ามาในอ้อมกอด เฉินผิงอันรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ได้แต่กอดแม่นางน้อยไว้เบาๆ คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ดูท่าจะยังไม่โตสักเท่าไหร่

อาจารย์ผู้เฒ่ามองเห็นภาพนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ เหมือนเขากำลังชมภาพที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและอบอุ่นที่สุดในใต้หล้า สายลมวสันตฤดูคู่กับต้นหยางต้นหลิ่ว ภูเขาเขียวกับสายน้ำใสสะอาด

มีกลอนบทหนึ่งเขียนไว้ได้ดี พบกันในวันชีซี (วันแห่งความรักของจีน) ที่มีลมฤดูใบไม้ร่วงและหมอกขาว ย่อมดีกว่าเป็นสามีภรรยาที่แนบชิดเพียงกายแต่ใจเหินห่าง

ดังนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าจึงหัวเราะเบิกบานอย่างอารมณ์ดี

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กหญิงที่หลังจากบอกลาอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วก็พากันเดินเข้าไปในสำนักศึกษา

หลี่เป่าผิงเหมือนนกขมิ้นตัวน้อยที่พูดเสียงดังจิ๊บๆๆ เล่าสถานการณ์ในสำนักศึกษาให้เฉินผิงอันฟังไม่หยุด

คนทั้งสองไปที่หอพักแขก เฉินผิงอันเห็นผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูกับเผยเฉียน เผยเฉียนอ้าปากกว้างเล็กน้อย ขยับปากเป็นคำว่า ‘เหมา’ โดยไม่ได้ออกเสียง

ท่องอยู่ในยุทธภพมานาน เฉินผิงอันจึงจะยกมือขึ้นกุมเป็นหมัดตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่รีบเก็บลงแล้วคารวะต่อรองเจ้าขุนเขาสำนักซานหยาท่านนี้ด้วยพิธีการแบบลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “เฉินผิงอัน พวกเราไปคุยกันหน่อย”

ทิ้งหลี่เป่าผิงที่อายุสิบสองขวบกับเผยเฉียนที่อายุสิบเอ็ดขวบไว้หน้าประตู

คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีแดง อีกคนคือถ่านดำน้อย

หลี่เป่าผิงมองเผยเฉียน เผยเฉียนไม่รู้ว่าควรจะวางมือวางเท้าอย่างไร นางก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสบตากับอีกฝ่าย

หลี่เป่าผิงเดินวนรอบตัวเผยเฉียนหนึ่งรอบ สุดท้ายหยุดยืนอยู่ที่เดิม ถามว่า “เจ้าก็คือเผยเฉียน? อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของเขา ได้เดินทางมาร่วมกับเขามาเป็นระยะทางไกลมากแล้ว?”

เผยเฉียนที่ไหล่ลู่คอตกพยักหน้ารับ

หลี่เป่าผิงถาม “อาจารย์อาน้อยบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ดีเยี่ยม แล้วก็ฉลาดมากด้วย สามารถทนรับกับความยากลำบากได้เหมือนข้าในปีนั้น แถมยังบอกว่าความคาดหวังที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าก็คือได้ขี่ลาน้อยท่องไปในยุทธภพ?”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับ

หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ก็ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะมอบของให้เจ้าสองชิ้น ถือเป็นของขวัญพบหน้ากัน เจ้าตามข้ามา”

เผยเฉียนกลืนน้ำลาย ไม่กล้าขยับเท้า แม้เผยเฉียนจะรู้ว่าพี่สาวตัวน้อยที่ชอบสวมชุดสีแดงผู้นี้ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายแบบนั้นแน่นอน แต่นางก็กลัวว่าหากเดินไปถึงตรอกมืดแล้วหลี่เป่าผิงจะหันตัวกลับมาเอาถุงผ้าป่านคลุมหัวตน จากนั้นก็จับนางไปโยนทิ้งที่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองหลวงต้าสุยนอกสำนักศึกษา

หลี่เป่าผิงหมุนตัววิ่งออกไปได้หลายก้าวแล้ว หันกลับมาเห็นว่าเผยเฉียนยังยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ตรงนั้นก็พูดขึ้นอย่างคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “อาจารย์อาน้อยเล่าเรื่องของเจ้าหลายเรื่อง บอกว่าเจ้าขี้ขลาด เอาเถอะ หยิบแผ่นยันต์สีเหลืองมาแปะที่หน้าผากก่อนแล้วค่อยตามข้ามา”

เผยเฉียนรีบควักยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแปะลงบนหน้าผาก ถึงได้มีความกล้าเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจนยอมเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

ฝีเท้าของหลี่เป่าผิงเร็วรี่ เพียงแต่เห็นแก่ความเร็วในการเดินของเผยเฉียนจึงได้แต่ซอยเท้าให้สั้นลง แขนสองข้างของนางเหมือนชิงช้าที่แกว่งไกว วิ่งถอยหลังกลับมาอยู่ข้างกายเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อยนะ ต่อให้จะอยู่ในสถานที่ที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคย หวาดกลัวว่าจะเจอคนแปลกหน้าในสำนักศึกษามากแค่ไหน แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าใจกล้ามาก อีกอย่างมีข้าอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าหรอก วางใจเถอะ”

เผยเฉียนเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ ก่อนจะหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมายื่นส่งให้หลี่เป่าผิง ไม่เสียแรงที่เป็นหญ้ายอดกำแพง เป็นคนที่ขับเรือตามกระแสลม นางอยากจะเอาใจหลี่เป่าผิงให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนคำพูดอันห้าวเหิมก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะงัดข้อกับหลี่เป่าผิงอะไรนั่น ล้วนถูกนางโยนทิ้งไปหลังสมองไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว

เพียงแต่ว่ายื่นออกไปแล้ว เผยเฉียนกลับอดรู้สึกเสียใจภายหลังนิดๆ ไม่ได้ รู้สึกว่านี่จะทำให้หลี่เป่าผิงดูแคลน คิดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงจะรับไปทันที แตะน้ำลายป้ายยันต์แล้วแปะลงบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง หัวเราะฮ่าๆ

เผยเฉียนก็หัวเราะตามไปด้วย

แม้แต่วิชาอภินิหารหมื่นจั้งของบรรพบุรุษภูเขาไท่ผิงในตอนนั้น เผยเฉียนยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นนางจึงยังพอจะมองเห็นสภาพจิตใจคนบางส่วนได้ บางคนก็เป็นก้อนดำราวน้ำหมึก จิตใจดำมืด บางคนก็เป็นดั่งก้อนแป้งเปียก สลัวรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นผีสาวสือโหรวที่เหมือนกับสายลมสายฝนที่พัดกระโชกรุนแรง มีเพียงเมล็ดพันธ์สีทองเมล็ดหนึ่งที่มองเห็นได้ยากกำลังแตกหน่อให้เห็นเป็นสีเขียวนิดๆ หรือยกตัวอย่างเช่นจูเหลี่ยนที่น่าตกใจเป็นพิเศษ คือลมคาวฝนเลือด สายฟ้าตัดสลับกันแลบแปลบปลาบ แค่พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีหอชมทัศนียภาพงดงามที่โอ่อ่าโอฬารอยู่หลังหนึ่ง

แต่คนบางคนกลับ…สะอาดดุจแก้วใส ก็เหมือนกับพี่สาวน้อยชุดแดงผู้นี้ ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกละอายใจที่ตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้

หลี่เป่าผิงเห็นว่านางยังเดินได้ไม่เร็วจึงล้มเลิกความคิดที่จะวิ่งตะบึงกลับไปยังหอพักของตัวเอง เดินเล่นอย่างเชื่องช้าเป็นเต่าคลานเป็นเพื่อนเผยเฉียนพลางถามชวนคุยว่า “ได้ยินอาจารย์อาน้อยบอกว่าพวกเจ้าได้เจอกับชุยตงซานแล้ว เขารังแกเจ้าหรือไม่?”

เผยเฉียนไม่กล้าพูดความจริง ได้แต่พูดว่าก็ไม่เลว

หลี่เป่าผิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปทำท่าคว้าจับ ดึงเอากลับมาวางไว้ตรงปาก เป่าลมใส่ กล่าวว่า “ไอ้หมอนี่วอนหาเรื่องซะแล้ว รอให้เขากลับสำนักศึกษาเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยระบายความแค้นแทนเจ้าเอง”

เผยเฉียนหันหน้าไปแอบมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง คราวนี้นางยอมนับถืออีกฝ่ายอย่างหมดจิตหมดใจแล้ว

นอกจากอาจารย์ นับตั้งแต่พวกเหล่าเว่ยเสี่ยวป๋ายสี่คน จนมาถึงพี่หญิงสือโหรว หรือแม้แต่ปีศาจวัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธ์ของวัวดินตัวนั้น มีใครบ้างที่ไม่กลัวชุยตงซาน? เผยเฉียนก็ยิ่งหวาดกลัวเขา

ในหัวใจของชุยตงซานคล้ายมีบ่อลึกดำมืดขนาดใหญ่มโหฬารอยู่บ่อหนึ่ง แต่น้ำในบ่อกลับไม่ใช่น้ำนิ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความไร้ชีวิต ด้านในมีเงาเรือนลางของเค้าโครงร่างเจียวหลงตัวหนึ่งที่เผยเฉียนเคยอ่านเจอจากในตำราและเคยเห็นจากภาพแขวนกำลังว่ายวนอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่ร่างของเจียวหลงขยับเข้ามาใกล้ผิวน้ำก็จะมาพร้อมกับระลอกคลื่นที่ทำให้ใจคนเยียบเย็น แต่ยังดีที่ข้างบ่อน้ำมีตำราสีเงินสีทองหลายเล่มกองไว้เต็มไปหมด ถึงทำให้มันดูไม่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวมากนัก ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนหรือจะกล้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุยตงซาน

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดก็คือแกนกลางสำคัญตามความหมายที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยา เหมาเสี่ยวตง

เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปยังห้องหนังสือของเขา ระหว่างทางแทบไม่ได้พูดโอภาปราศรัยใดๆ กับเฉินผิงอัน

หลังจากคนทั้งสองนั่งลงแล้ว เหมาเสี่ยวตงที่ตีหน้าเคร่งมาตลอดเวลาก็พลันคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ถึงขนาดประสานมือคารวะเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันรีบขยับเท้าเบี่ยงหลบ คิดว่าตัวเองไม่อาจรับพิธียิ่งใหญ่ของลัทธิขงจื๊อที่มาเยือนกะทันหันนี้ได้

เหมาเสี่ยวตงยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “หากปีนั้นไม่ได้เจ้าช่วยปกป้องคุ้มครอง ควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาซานหยาของพวกเราก็ต้องขาดสะบั้นไปเกินครึ่งแล้ว”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยอธิบายว่า “เมื่อครู่อยู่ด้านนอก มีหูตาของคนมากมาย ไม่สะดวกจะพูดจาเป็นกันเองกับเจ้า ศิษย์น้องเล็ก ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

เหมาเสี่ยวตงโบกมือเป็นวงกว้าง “คนกันเอง แค่รู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันนั่งลงอย่างจนใจ

เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ มองประเมินเฉินผิงอันแล้วยื่นมือออกมา “ศิษย์น้องเล็ก ขอข้าดูเอกสารผ่านด่านของเจ้าหน่อย ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ยื่นเอกสารผ่านด่านส่งให้ด้วยสองมือ

เหมาเสี่ยวตงรับมาแล้วก็ยิ้มพูดว่า “ยังต้องขอบคุณศิษย์น้องเล็กที่จัดการเจ้าตะพาบน้อยชุยตงซานผู้นั้น หากเจ้าหมอนี่ไม่เป็นกังวลว่าวันใดเจ้าจะมาเยือนสำนักศึกษา เกรงว่าเขาคงพลิกค้นภูเขาตงซานและเมืองหลวงต้าสุยไปทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงชุยตงซานยังคงหวาดกลัวท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าสักเท่าไหร่”

เหมาเสี่ยวตงยื่นมือมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “ท่าทางเช่นนี้ของศิษย์น้องเล็กช่างเหมือนกับอาจารย์ของพวกเราในปีนั้นยิ่งนัก ยิ่งสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เท่าไหร่ เวลาเผชิญหน้ากับลูกศิษย์อย่างพวกเราก็ยิ่งชอบพูดจาถ่อมตัวเช่นนี้มากเท่านั้น ซะเมื่อไหร่ๆ เรื่องเล็กๆ คุณความชอบไม่ใหญ่ๆ ก็แค่ขยับปากเท่านั้น พวกเจ้าน่ะหัดประจบยกยอให้น้อยๆ ลงน้อย ราวกับว่าอาจารย์ทำเรื่องใหญ่ที่มีบุญคุณต่ออาณาประชาราษฎร์มากมายอย่างนั้นแหละ อาจารย์อย่างข้าเถียงชนะคนอื่นได้ ไม่ใช่ศาสดาพุทธมรรคาจารย์เต๋าสักหน่อย พวกเจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ไปไย ทำไม หรือพวกเจ้ารู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจารย์ไม่มีทางชนะ พอชนะแล้วถึงได้รู้สึกตะลึงระคนดีใจ เจ้าเหมาเสี่ยวตงยิ้มกว้างจนเกินพอดี ออกไป ไปรับโทษท่องตำราอยู่ในลานบ้านเหมือนจั่วโย่ว อืม จำไว้ว่าตอนที่จั่วโยวปีนกำแพงออกไป อย่าลืมเตือนเขาว่าให้ซื้ออาหารมื้อดึกมาฝากเสี่ยวฉีสักชุด ตอนนี้เสี่ยวฉีกำลังโต จำไว้ว่าอย่าเป็นอาหารที่มันเลี่ยนเกินไป ได้กลิ่นตอนกลางคืนแล้วจะทำให้คนนอนไม่หลับเอาได้…”

เหมาเสี่ยวตงเล่าเรื่องเก่านานปีของอาจารย์ตัวเองพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไปด้วย

เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด

ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนคุยยากยิ่งกว่าชุยตงซานเสียอีก?

เฉินผิงอันถาม “ได้ยินอาจารย์เหลียงที่อยู่หน้าประตูบอกว่าหลินโส่วอีได้ดิบได้ดีอย่างมาก ไม่ต้องเป็นห่วง แต่หลี่ไหวดูเหมือนว่าจะทำการบ้านได้ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นหลี่ไหวจะรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่?”

เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ ตอบว่า “ด้วยนิสัยสนุกสนานเฮฮาดั่งลูกกระต่ายน้อยของหลี่ไหวนั่น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเขาก็ยังนอนหมอบกับพื้นเล่นหุ่นไม้ตุ๊กตาจิ๋วได้ ไม่แน่ว่ายังอาจจะรู้สึกดีใจที่ในที่สุดวันนี้ก็ไม่ต้องไปนั่งฟังพวกอาจารย์พร่ำพูดพร่ำสอนแล้วก็ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหลี่ไหว ต่อให้การบ้านจะอยู่ลำดับล่างสุดทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะกินดื่มได้น้อยลง คราวก่อนพ่อแม่และพี่สาวเขาก็มาเยี่ยมที่สำนักศึกษา ทิ้งเงินไว้ให้เขาจำนวนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ได้ใช้เงินส่งเดช เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งอาจารย์ที่อยู่เวรตอนกลางคืนจับได้คาหนังคาเขา ตอนนั้นเขากับสหายร่วมห้องสองคนกำลังดื่มน้ำต่างเหล้าพลางแทะน่องไก่ หลังจากถูกลงโทษให้ออกไปยืนรับไม้เรียว หลี่ไหวยังเรอดังเอิ้ก อาจารย์ถามเขาว่าไม้เรียวอร่อยหรือน่องไก่อร่อยกว่ากัน เจ้าเดาดูสิว่าหลี่ไหวจะตอบอย่างไร?”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “หากโดนไม้เรียวแล้วสามารถกินน่องไก่ได้ ถ้าอย่างนั้นไม้เรียวก็อร่อยเหมือนกัน แต่ข้าคาดว่าหลังจากพูดประโยคนี้จบ หลี่ไหวคงกินไม้เรียวจนอิ่ม”

เหมาเสี่ยวตงยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์อาน้อยที่คุ้มครองพวกเขามาส่งตลอดทาง ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจหลี่ไหวดีที่สุด”

จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็ยิ้มกล่าว “แม้ว่าหลี่ไหวจะหัวช้าในด้านการเรียน แต่อันที่จริงเขาไม่ใช่คนโง่ คนวัยเดียวกันหลายคนดีแต่ท่องตำรา ทว่าขอแค่หลี่ไหวอ่านเข้าหัว ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นของตัวเขาเองทันที ดังนั้นอันที่จริงแล้วพวกอาจารย์จึงประทับใจหลี่ไหวอย่างมาก ทุกครั้งแม้จะทำการบ้านได้อันดับท้ายสุดก็ไม่เคยว่ากล่าวตำหนิเขา”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ต้องบอกให้หลี่ไหวมุมานะอ่านตำราให้มาก ห้ามแอบขี้เกียจเด็ดขาด หลักการเหล่านี้คงยังต้องพูดกันอยู่บ้าง”

สายตาของเหมาเสี่ยวตงฉายแววชื่นชม “สมควรเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นหลี่เอ้อร์เพิ่งไปอาละวาดที่วังหลวงมารอบหนึ่ง แต่ละคนอกสั่นขวัญผวา หนึ่งเพราะพวกอาจารย์ค่อนข้างชอบหลี่ไหว สองเพราะกังวลว่าหลี่เอ้อร์จะปกป้องบุตรชายมากเกินไป จึงมีระยะเวลาช่วงหนึ่งที่ไม่กล้าพูดจารุนแรงใส่เขาแม้แต่คำเดียว ดังนั้นข้าจึงตำหนิพวกอาจารย์ทั้งหลายไปรอบหนึ่ง หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็เริ่มกลับมาเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง ส่วนที่ควรตีก็ตี ส่วนที่ควรสั่งสอนก็สั่งสอน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสภาพที่อาจารย์และลูกศิษย์สมควรมี”

เฉินผิงอันถาม “หลังจากมรสุมครั้งนั้นผ่านไป มีภัยแฝงอะไรที่พวกเด็กๆ อย่างหลี่ไหวตระหนักไม่ถึงบ้างหรือไม่?”

เหมาเสี่ยวตงยิ้ม “มีข้าอยู่ หรือต่อให้แย่ที่สุดก็ยังมีเจ้าคนที่มีความคิดชั่วร้ายเต็มท้องอย่างชุยตงซานผู้นั้นคอยจับจ้อง ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมารยาทในการเรียนรู้ เป็นหลักเหตุผลของการอ่านตำรา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากเกินไป”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ปล่อยและเก็บได้ดังใจปรารถนา ไม่เดินไปบนทางที่สุดโต่ง เพียงแต่ว่าเจ้าขุนเขาเหมาคงต้องค่อนข้างเหนื่อยใจแล้ว”

เหมาเสี่ยวตงทำสีหน้าไม่พอใจ “เรียกว่าศิษย์พี่เหมาสักคำมันยากขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไม หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าข้าเหมาเสี่ยวตงอยู่ห่างชั้นจากฉีจิ้งชุน จั่วโย่วมากเกินไป หรือแม้แต่ชุยฉานและชุยตงซานก็ยังสู้ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยไม่เต็มใจจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่เหมาสักคำ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น ขอเจ้าขุนเขาเหมาโปรดอภัยให้ด้วย”

เรื่องที่เกี่ยวพันกับสายบุ๋น เฉินผิงอันไม่อาจทำตัวเกรงอกเกรงใจหรือตอบรับอย่างขอไปทีได้

มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงจะไม่พอใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง

หากเป็นคนหนุ่มที่พออริยะในสำนักศึกษาซานหยาอย่างตนกระตือรือร้นรับรอง แต่พอตีหน้าเคร่งบึ้งตึงใส่ก็เปลี่ยนความคิด

จะเรียกตนว่าศิษย์พี่เหมา แน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัติ แต่หากจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ เป็นศิษย์น้องเล็กของฉีจิ้งชุนและจั่วโย่ว กลับยังไม่แน่เสมอไป

เห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานได้เป็นวงกว้าง

สายตาเพียงน้อยนิดแค่นี้ เหมาเสี่ยวตงยังพอมีอยู่บ้าง

ตอนนั้นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสี่คน ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกมีความรู้กว้างขวางและมีความสามารถมากที่สุด ฉีจิ้งชุนมีความรู้ที่ลึกซึ้งและถูกต้องมากที่สุด จั่วโย่วที่เลื่อมใสในคำว่า ‘มหามรรคาต้องเดินด้วยตัวเอง’ ประสบความสำเร็จในช่วงที่อายุมากแล้ว ตบะสูงส่งที่สุด และยังมีเจ้าคนหนึ่งที่มองดูเหมือนนิสัยโง่เขลา เป็นโล้เป็นพายได้ช้าที่สุด แต่กลับเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์รักและเอ็นดูมากที่สุดเว้นจากฉีจิ้งชุนในปีนั้น ในความเป็นจริงแล้วตอนที่พ่ายแพ้ในศึกตรีจตุ สายของเหวินเซิ่งที่ในอดีตเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาก็ค่อยๆ เงียบหายไป นอกจาก ‘จั่วโย่วคอยอยู่ข้างกายอาจารย์’ (ประโยคภาษาจีนคือจั่วโย่วเซี่ยงปั้นเซียนเซิงจั่วโย่ว มีจั่วโย่วสองคำ คำแรกหมายถึงตัวละครจั่วโย่ว อีกคำหนึ่งหมายถึงการอยู่เคียงข้าง) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแล้ว ยังมีคนผู้นี้ที่คอยติดตามอาจารย์อยู่ตลอดเวลา คอยอยู่เคียงข้างอาจารย์ที่สุดท้ายแล้วก็ขังตัวเองอยู่ในสวนป่ากงเต๋อหลินมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ดูเหมือนตอนนั้นศิษย์พี่รองจั่วโย่วก็คล้ายจะแยกกันเดินไปคนละทางกับศิษย์พี่สี่แล้ว

และในบรรดาลูกศิษย์กลุ่มที่ได้รับการบันทึกชื่อนี้ คนอย่างเขาเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ถือว่าโดดเด่นเท่าใดนัก

นี่แสดงให้เห็นว่าปีนั้นสายของเหวินเซิ่งเป็นที่จับจ้องของผู้คนมากมาย โชคชะตาบุ๋นส่องสว่างพร่างพราวมากแค่ไหน

เหมาเสี่ยวตงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ความสง่างามมักถูกสายลมและสายฝนพัดพาไปเสมอ

หลีจิ้งชุนออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่แจกันสมบัติทวีป คนนอกบอกว่าฉีจิ้งชุนคิดจะงัดข้อและสยบกำราบชุยฉานอดีตศิษย์พี่ใหญ่ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษ แต่เหมาเสี่ยวตงรู้ดีว่าไม่ใช่แบบนั้น

จั่วโย่วก็ยิ่งตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด หนีห่างจากโลกมนุษย์ไปไกล ออกทะเลไปเยี่ยมเยียนเซียนเพียงลำพัง

เจ้าคนโง่เง่าดื้อรั้นที่เคยมีคำเล่าลือบอกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถวิ่งไล่ให้อาเหลียงเตลิดไปทั่วถนนได้ก็ยิ่งเงียบหายไร้ข่าวคราวไปร้อยกว่าปีแล้ว

เหมาเสี่ยวตงหยุดความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายลง สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของคนหนุ่มตรงหน้า

ตอนนี้อาจารย์รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สืบทอดสายบุ๋น

ในระยะเวลาเกือบสามปีหลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านสำนักศึกษาแต่ไม่ยอมเข้ามา เหมาเสี่ยวตงทั้งสงสัยใคร่รู้ แล้วก็ทั้งเป็นกังวล สงสัยว่าอาจารย์จะรับเมล็ดพันธ์บัณฑิตแบบใดมา แล้วก็กังวลว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูและถูกฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้มากผู้นี้จะทำให้คนผิดหวัง

เพียงแต่เมื่อเหมาเสี่ยวตงใช้วิชาอภินิหารของอริยะลัทธิขงจื๊อนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษามองทุกคำพูดและทุกการกระทำของเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ

เขาก็ทั้งไร้ซึ่งความตื่นตะลึง แล้วก็ไม่มีความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

เพียงแค่รู้สึกว่าลูกหลานคนยากจนที่มีชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์จะรับตัวไว้ ถึงจะเป็นศิษย์น้องเล็กที่ฉีจิ้งชุนเต็มใจรับไว้แทนอาจารย์ แบบนี้จึงจะถูกต้อง

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ซักถามอย่างละเอียดว่าการฝึกตนและการเรียนของหลินโส่วอีจะมีส่วนที่ขัดแย้งกันเองหรือไม่

ถามว่าเมื่อเกาเซวียนเป็นสหายกับอวี๋ลู่แล้ว มิตรภาพนั้นจะไม่บริสุทธิ์พอหรือไม่

หลังจากเซี่ยเซี่ยกลายเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สภาพจิตใจจะเกิดปัญหาหรือเปล่า

เหมาเสี่ยวตงไล่ตอบไปทีละคำถาม บางครั้งก็พลิกเปิดเอกสารผ่านด่านฉบับนั้น

พอรู้ทุกอย่างคร่าวๆ แล้ว เฉินผิงอันถึงรู้สึกโล่งอกได้อย่างแท้จริง

สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงยิ้มถามว่า “เรื่องของตัวเอง เรื่องของคนอื่น เจ้าล้วนคิดมากขนาดนี้ ไม่เหนื่อยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าตอบอย่างจริงใจ “ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงการศึกษาหาความรู้และการเรียนวรยุทธ์ฝึกวิชากระบี่ก็คือหลักการเดียวกัน ล้วนจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เมื่อวิญญูชนพบเจอกับยุคที่การปกครองชัดเจนโปร่งใส สามารถแสดงปณิธานอันแรงกล้าของตน พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ เมื่อพบเจอกับยุคที่การปกครองดำมืด ใต้หล้าวุ่นวาย ก็ให้ทำเหมือนเจียวหลงที่ยืดได้หดได้ ซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ไม่มีใครรู้ เป็นเหตุให้พอเกิดความคิดอันแปลกใหม่ ความคิดอันมหัศจรรย์จึงเหมือนมีสีสันอันงดงามพร่างพราวหล่นลงมาจากนอกฟ้า คนบนโลกไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ออกจะยิ่งใหญ่เกินไป เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

เหมาเสี่ยวตงพลันกดเสียงลงต่ำถามว่า “อาจารย์เคยพูดถึงข้าไหม?”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแล้วก็หยุดไป แต่สุดท้ายก็ยอมตอบไปตามตรงว่า “ดูเหมือนจะ…ไม่เคยพูดถึง”

เหมาเสี่ยวตงตบเข่าฉาด พูดอย่างขุ่นเคือง “ใต้หล้านี้มีอาจารย์ที่ลำเอียงขนาดนี้ได้อย่างไร?!”

เหมาเสี่ยวตงยังคงไม่ยอมแพ้ ถามอีกว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้งสิ มีตรงไหนที่พลาดไปหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม พูดอย่างมาดมั่นว่า “คิดดูแล้วต้องเป็นเพราะในใจอาจารย์มีลูกศิษย์ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเอามาพูดถึงบ่อยๆ”

เฉินผิงอันมั่นใจแล้ว

เจ้าขุนเขาเหมาตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนมาเองกับมืออย่างแน่นอน

……

คงเป็นเพราะรู้สึกว่าหลี่เป่าผิงค่อนข้างพูดง่าย เผยเฉียนจึงเดินเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าก็ยิ่งแผ่วเบาขึ้นทุกที

เพียงแต่พอมาถึงหอพักของหลี่เป่าผิง มองเห็นตำราที่ถูกคัดปึกแล้วปึกเล่าบนเตียงเหล่านั้น เผยเฉียนก็เกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้หลี่เป่าผิงแล้ว

มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้เผยเฉียนปลุกความกล้าโอ้อวดตัวเองไปเล็กน้อย บอกว่าตนคัดตัวอักษรทุกวัน หลี่เป่าผิงก็แค่ร้องอ้อรับทีเดียว แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกว่าในที่สุดตนก็พอจะทวงคืนความเสียเปรียบกลับมาได้เล็กน้อย แล้วก็ยังอดลำพองใจนิดๆ ไม่ได้ เอวก็ยืดขึ้นตรงได้อีกนิด

หลี่เป่าผิงรินชาให้เผยเฉียนถ้วยหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนหาที่นั่งได้ตามสบาย

ส่วนนางปีนขึ้นไปบนเตียง ยกหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางพิงไว้กับหัวเตียงมาไว้บนโต๊ะ หยิบเอาดาบแคบ ‘ยันต์มงคล’ และน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กที่อาเหลียงมอบให้นางออกมา

หลี่เป่าผิงกล่าว “ยกให้เจ้า”

เผยเฉียนมองดาบแคบและน้ำเต้าลูกเล็ก ตอนนี้นางพอจะดูของออกบ้างแล้ว จึงเงยหน้ามองเผยเฉียน ถามประโยคที่ไม่มีความจำเป็น “แพงมากๆๆ เลยใช่ไหม?”

หลี่เป่าผิงไม่ได้จงใจจะปิดบัง ตอบไปตามที่ตัวเองรู้อย่างหมดเปลือก “อาเหลียงเคยพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ยันต์มงคลเล่มนี้ ระดับขั้นธรรมดา เป็นอาวุธกึ่งเซียนอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่น้ำเต้าเล็กที่หลอกเอามาจากเว่ยจิ้นเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะต่างหากที่ถือว่าดี เป็นหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ออกลูกบนเถาน้ำเต้าเส้นที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกเองกับมือระหว่างที่สร้างกระท่อมฝึกตนในปีนั้น หากผู้ฝึกกระบี่บนโลกใช้เจ้าสิ่งนี้มาบำรุงให้ความอบอุ่นแก่กระบี่บินจะค่อนข้างร้ายกาจ เผยเฉียนเจ้าเริ่มเรียนกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอามันไปใช้เถอะ”

เผยเฉียนลิ้นพันกันไปหมด พูดอย่างมึนงงว่า “แต่ข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกกระบี่ ฝึกได้งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไรนั่น ข้าค่อนข้างโง่ ชีวิตนี้อาจจะฟูมฟักมันออกมาไม่ได้…”

หลี่เป่าผิงถามตรงประเด็น “ยันต์มงคลกับน้ำเต้าลูกเล็กนี่ เจ้าชอบหรือไม่?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างขลาดๆ

หลี่เป่าผิงเกาหัว ทอดถอนใจอยู่ในใจหนึ่งที

เหตุใดอาจารย์อาน้อยถึงได้หาลูกศิษย์ที่ทึ่มทื่ออย่างนี้มาได้นะ

เผยเฉียนยิ่งกระวนกระวายใจ หางตาเหลือบไปเห็นภูเขาหนังสือบนเตียง แล้วก็หันมามองดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินบนโต๊ะอีกครั้ง

เผยเฉียนพลันเกิดความคิดดีๆ จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่หญิงเป่าผิง ของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้ อาจารย์ต้องด่าข้าแน่”

หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกกับอาจารย์ว่าข้าให้เจ้ายืมสิ หนึ่งปีสิบปีก็คือยืม ร้อยปีพันปีก็คือยืมเหมือนกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดจะทวงคืน ส่วนเจ้าก็แค่พาพวกมันไปท่องยุทธภพให้สบายใจ แค่นี้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”

เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “จริงด้วย”

หลี่เป่าผิงเปลี่ยนที่นั่ง มานั่งบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเผยเฉียน พูดปลอบใจว่า “อย่าคิดว่าตัวเองโง่ เจ้าอายุยังน้อยนี่นา อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าเด็กกว่าข้าตั้งขวบหนึ่ง”

เผยเฉียนฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีเหตุผลอย่างมาก จึงรีบเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม สองมือวางพาดไปบนโต๊ะ ถามอย่างระมัดระวัง “พี่หญิงเป่าผิง ขอข้าลูบคลำพวกมันได้ไหม?”

หลี่เป่าผิงลุกพรวดขึ้นยืน ทำเอาเผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง หลี่เป่าผิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องตื่นเต้น หลังจากนั้นก็บอกให้เผยเฉียนดูให้ดี

ผลคือเผยเฉียนเห็นว่าหลี่เป่าผิงชักดาบออกจากฝัก สองมือถือดาบ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เงื้อดาบฟันฉับไปยังน้ำเต้าลูกนั้น

เผยเฉียนที่มองอยู่ถึงกับตาค้าง

ดาบนี้ของหลี่เป่าผิงค่อนข้างจะเผด็จการ ผลคือน้ำเต้าเล็กมีแสงเปล่งวาบแล้วพุ่งเข้าใส่เผยเฉียนพอดี เผยเฉียนจึงยกมือปัดตบมันตามจิตใต้สำนึก

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินส่งเสียงดังเพี๊ยะ ไปกระแทกบนหน้าหลี่เป่าผิงแทน

เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง

น้ำเต้าร่วงหล่นลงพื้น

หลี่เป่าผิงที่ยืนตะลึงเริ่มเลือดกำเดาไหล

เผยเฉียนรู้สึกว่าตนต้องตายแน่ๆ

ตอนนี้ในมือหลี่เป่าผิงยังถือยันต์มงคลอยู่เลยนะ มีความเป็นไปได้มากว่าอีกเดี๋ยวนางคงฟันมาที่หัวของตนกระมัง?

คาดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงจะแค่ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือปาดเลือดทิ้งลวกๆ เก็บยันต์มงคลกลับเข้าฝักอย่างคุ้นเคย เขย่งปลายเท้าเบาๆ เอื้อมไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาไว้ในฝ่ามือ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะ

พอนั่งลงเรียบร้อย หลี่เป่าผิงก็หัวเราะกับเผยเฉียนอย่างอารมณ์ดี “เผยเฉียน เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้าสกัดขวางและตบทิ้ง งดงามอย่างมาก มีมาดของชาวยุทธแล้ว! ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์อาน้อยข้า”

เผยเฉียนหน้าม่อย ชี้ไปที่จมูกของหลี่เป่าผิง พูดอย่างทึ่มทื่อว่า “พี่หญิงเป่าผิง เลือดยังไหลอยู่เลย”

หลี่เป่าผิงเอามือปาดอีกครั้ง มองฝ่ามือตัวเอง ดูเหมือนว่าเลือดจะยังไหลอยู่จริงๆ นางจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ วิ่งไปข้างเตียง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษเซวียนจื่อ ฉีกเป็นสองแผ่นแล้วขยำเป็นก้อนกลม เงยหน้าขึ้น ยัดกระดาษใส่จมูก ก่อนจะกลับมานั่งข้างกายเผยเฉียน เผยเฉียนหน้าซีดขาว ทำเอาหลี่เป่าผิงที่มองอยู่มึนงง อะไรกัน ทำไมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเต้าลูกเล็กกระแทกลงบนหน้านังหนูนี่แทนตนเล่า? แต่ต่อให้กระแทกโดนหน้าอย่างจังก็ไม่เจ็บสักหน่อย หลี่เป่าผิงจึงจับคางตัวเองพลางมองประเมินเผยเฉียนน้อยตัวดำเมี่ยมอย่างละเอียด รู้สึกว่าความคิดของลูกศิษย์อาจารย์อาน้อยคนนี้ค่อนข้างจะพิลึก แม้แต่นางหลี่เป่าผิงก็ยังตามความคิดไม่ทัน ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อย ยังพอจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่บ้าง!

เผยเฉียนข่มกลั้นความเสียดาย หยิบน้ำเต้าลูกเล็กหนังสีเหลืองที่ตัวเองรักออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างอืดอาด วางไว้บนโต๊ะแล้วผลักไปให้หลี่เป่าผิงเบาๆ “พี่หญิงเป่าผิง มอบให้เจ้า ถือซะว่าเป็นของชดใช้ที่ข้าให้เจ้า”

หลี่เป่าผิงโมโหเล็กน้อย เผยเฉียนผู้นี้ไยทำตัวห่างเหินนัก นางจึงถลึงตาพูดว่า “เก็บไปเลยนะ!”

เผยเฉียนจึงเก็บน้ำเต้าลูกเล็กกลับมาใส่ในชายแขนเสื้อด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบแต่โดยดี

……

ออกมาจากห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงแล้ว แสงสุดท้ายกำลังจะหมดลง พลบค่ำใกล้มาเยือน เฉินผิงอันจึงไปหาหลี่ไหวที่น่าจะกำลังเรียนหนังสืออยู่

นอกหน้าต่างของห้องเรียน เฉินผิงอันมองปราดเดียวก็เห็นหลี่ไหวที่ยกหนังสือในมือตั้งสูง ส่วนตัวเขาที่อยู่ด้านหลังหนังสือกำลังงีบหลับ หัวสัปหงกเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

ข้างกายซ้ายขวาของหลี่ไหวมีคนวัยเดียวกันนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเป็นคนประเภทนั่งไม่ติดที่ กำลังเหลียวซ้ายแลขวา เขามองเห็นเฉินผิงอันตั้งนานแล้ว จึงกำลังใช้ตาน้อยจ้องตาใหญ่อยู่กับเฉินผิงอัน

ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ตั้งใจฟังอาจารย์สอนมากเป็นพิเศษ

หลิวกวานเห็นว่าคนหนุ่มชุดขาวผู้นั้นคลี่ยิ้มมองมาทางตนอยู่ตลอดเวลาก็รู้ว่าคนหนุ่มที่อายุไม่มากผู้นี้ต้องไม่ใช่อาจารย์ในโรงเรียนแน่นอน จึงแอบทำมือท้าทายด้วยการใช้หมัดทุบฝ่ามือ

ผลกลับถูกอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ตวาดใส่อย่างดุดัน “หลิวกวาน!”

หลิวกวานขยับตัวนั่งตรงแต่โดยดี

หลี่ไหวที่กำลังหลับฝันหวานตกใจจนขวัญบิน หลังจากสะดุ้งตื่นแล้วก็วางหนังสือลง มองไปรอบด้านอย่างมึนงง

อาจารย์ตะโกนก้องทันที “แล้วยังมีเจ้าอีก หลี่ไหว! พวกเจ้าสองคนคืนนี้คัดบท ‘เชวี่ยนเซวี๋ยเพียน’ ห้ารอบ! แล้วก็ห้ามให้หม่าเหลียนช่วยด้วย!”

บทเรียนจบลงแล้ว อาจารย์เดินหน้าเคร่งออกมาจากห้อง

ผงกศีรษะทักทายเฉินผิงอันที่เขาสังเกตเห็นมานานแล้ว

เฉินผิงอันจึงคารวะกลับคืน

เดินออกมาจากห้องเรียนที่ดังจอแจไปด้วยเสียงเบิกบานใจ หลี่ไหวพลันเบิกตากว้าง ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เฉินผิงอัน!”

เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือเบาๆ

หลี่ไหวยิ้มกว้าง แล้วจู่ๆ ก็ตวาดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน จงรับหมัดไร้ศัตรูของปรมาจารย์ใหญ่หลี่ซะเถอะ!”

จากนั้นหลี่ไหวก็เดินนิ่งหกก้าวอย่างส่งเดชเข้าหาเฉินผิงอัน แล้วก็ถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือดันศีรษะเอาไว้

หลี่ไหวดีดดิ้นอยู่นาน ในที่สุดก็ยอมหยุดลง ถามเฉินผิงอันด้วยตาแดงๆ ว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ พี่สาวข้าจากไปตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเจ้าได้พบหน้านาง ข้าจะช่วยจับคู่ให้พวกเจ้า พวกเจ้าส่งสายตาให้กัน แล้วค่อยใช้เวลากระหนุงกระหนิงกัน ยืนชมจันทร์ใต้ต้นหลิ่วในสำนักศึกษาของพวกเราด้วยกัน ป่านนี้ข้าก็เรียกเจ้าว่าพี่เขยได้แล้ว”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หลี่ไหวคว้าแขนเฉินผิงอันมากอด หันตัวไปยิ้มพูดกับหลิวกวานและหม่าเหลียน “เขาก็คือเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคนที่มอบตำราและถักรองเท้าสานให้ข้าผู้นั้น! ข้าบอกแล้วไงว่าเขาต้องกลับมาหาข้าที่สำนักศึกษาแน่นอน เป็นไงล่ะ ทีนี้เชื่อหรือยัง?”

หลิวกวานกลอกตามองบน

ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็คือเฉินผิงอันที่หลี่ไหวพร่ำพูดถึงจนพวกเขาหูแทบแฉะ

หม่าเหลียนรีบคารวะเฉินผิงอัน

หลี่ไหวหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดเสียงหัวเราะ “ไปพบหลี่เป่าผิงหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาถึงสำนักศึกษาก็ไปพบเป่าผิงน้อยก่อนแล้ว”

หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง “อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาหลี่เป่าผิงด้วยกัน นางต้องขอบคุณข้า เป็นข้าที่เชิญเจ้ามาสำนักศึกษา ตอนนั้นนางอยู่บนยอดเขายังคิดจะซ้อมข้า ฮ่าๆ เป็นแค่แม่นางน้อยตัวเล็กๆ จะวิ่งไวเท่าข้าได้หรือ? น่าขันจริงๆ ทุกวันนี้ข้าหลี่ไหวฝึกวิชาเทพประสบความสำเร็จ ก้าวเดินว่องไวราวกับบิน ทะยานบนชายคาเดินบนกำแพง…”

เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที

หลี่ไหวพลันสังเกตเห็นสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นของหลิวกวาน และท่าทางอึกๆ อักๆ ของหม่าเหลียน เขาจึงหันหน้ากลับไปช้าๆ มองเห็นว่าด้านหลังตัวเองคือหลี่เป่าผิงและเด็กหญิงข้างกายนางที่ตัวดำราวกับถ่าน แค่มองนางหลี่ไหวก็รู้สึกถูกชะตาทันที เพราะเหมือนเฉินผิงอันตอนที่เพิ่งได้รู้จักกันอย่างมาก

หลี่เป่าผิงยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็น “หลี่ไหว ข้าต่อให้เจ้าวิ่งไปก่อนร้อยก้าว จะไปหลบบนต้นไม้ บนหลังคาหรือในห้องส้วมก็ตามใจเจ้า”

หลี่ไหวกล่าวอย่างขลาดๆ “หลี่เป่าผิง เห็นแก่ที่เฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษาจริงๆ พวกเราก็ถือซะว่าเจ๊ากันดีไหม?”

หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “เจ๊ากัน?”

หลี่ไหวคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?”

หลี่เป่าผิงเห็นแก่อาจารย์อาน้อย ครั้งนี้จึงไม่ถือสาหลี่ไหวอีก

เผยเฉียนตาเป็นประกาย หลี่ไหวผู้นี้คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!

คนทั้งกลุ่มจึงพากันไปยังหอพักชั่วคราวของเฉินผิงอัน

อันที่จริงหม่าเหลียนอยากจะตามหลี่ไหวไปด้วย แต่กลับถูกหลิวกวานลากให้ไปกินข้าวด้วยกัน

จูเหลี่ยนยังคงออกไปเที่ยวไม่กลับมา

สือโหรวอยู่ในห้องพักของตัวเองไม่ออกมาพบหน้าใคร

เมื่อมาอยู่ในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ

ไม่ว่าเจ้าจะเป็นวัตถุหยินเซียนดินสมชื่อแค่ไหน แต่ใครเล่าจะกล้าทำตัวโอ้อวดในสถานที่แบบนี้?

สือโหรวรู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจล้วนเป็นการดูหมิ่นสำนักศึกษา จึงรู้สึกละอายใจและกริ่งเกรงอย่างยิ่งยวด

นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล

เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง เผยเฉียน หลี่ไหว

พวกเขาสี่คนนั่งล้อมโต๊ะหนึ่งได้พอดี กำลังกินอาหารที่ทางสำนักศึกษาจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่มาเข้าพักร่วมกัน

หลี่ไหวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอันเสียงดังที่สุด ถึงอย่างไรขอแค่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย แม้แต่หลี่เป่าผิงเขาก็ไม่ต้องกลัว

หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน กินข้าวเสร็จแล้วให้ข้าพาเจ้าไปหาหลินโส่วอีไหม? ทุกวันนี้เจ้าหมอนั่นพบหน้าได้ยากมากเลยล่ะ มีชีวิตสุขสำราญยิ่งนัก มักจะออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ ข้าอิจฉาจะตายอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เป็นช่วงยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) พอดี คือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกลมปราณค่อนข้างให้ความสำคัญ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปรบกวนเขา รอให้ผ่านยามซวีไปก่อนค่อยไปหา ไม่ต้องให้เจ้านำทาง ข้าจะไปหาหลินโส่วอีเอง”

การฝึกตนบนมหามรรคาต้องจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

กฎบางอย่างของการฝึกตน ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหนในสี่สมุทรก็ล้วนถูกต้องแม่นยำ

ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งวันเน้นย้ำในสี่ช่วงเวลา ไม่อาจเพิกเฉยเกียจคร้าน ยามจื่อฟ้าดินสว่างแจ่มใส เหมาะกับการมองพลังชีวิตจากภายใน ใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะสื่อสารกับฟ้าดินขนาดเล็กในร่างและฟ้าดินขนาดใหญ่นอกร่าง ยามอิ๋นเหมาะแก่การหล่อเลี้ยงลมปราณ โคจรลมปราณมาบำรุงช่องโพรงและเส้นชีพจร ยามอู่ใช้ไฟหยางมาหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นของเหลว ยามซวีหล่อหลอมของเหลวให้เป็นพลังจิต ค่อยๆ สั่งสมอยู่ใน ‘จวน’ สำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ตามช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปทีละนิด สั่งสมจนแตกหน่อเกิดเป็นรากฐานของมหามรรคา

นอกจากสี่ช่วงเวลาของหนึ่งวันแล้ว แต่ละเดือนแต่ละปีก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันแตกต่างกันไป

รากฐานมหามรรคาล้วนเป็นการใช้ความสามารถในภายหลังมาขัดเกลาซ่อมแซมความสามารถก่อนกำเนิด ใช้วิธีการหลังกำเนิดที่คล้ายคลึงกับการใช้น้ำเช็ดกระจก ทำให้ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทีละนิด สุดท้ายจึงกลายเป็นแก้วใสไร้มลทินอย่างในตำนาน

กุญแจสำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย ขอแค่ก้าวข้ามธรณีประตูของการฝึกตนไปได้ เริ่มเดินขึ้นเขา เพียงเกียจคร้านหนึ่งวันก็จะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ตนเองพลาดไปในหนึ่งวัน ดังนั้นผู้ที่ฝึกตนจึงมิอาจเกียจคร้านได้เลย

หากเข้าใจความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่นี้ กฎเกณ์หลายอย่างที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเพราะสาเหตุนี้ ซึ่งเดิมทีมองดูเหมือนมีไอเมฆไอหมอกล้อมเวียนวนก็จะพลันเปิดกว้างกระจ่างแจ้ง ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์ในราชวงศ์โลกมนุษย์ที่ไม่สามารถฝึกตนได้ถึงห้าขอบเขตกลาง หรือยกตัวอย่างเช่นเหตุใดผู้ฝึกตนถึงได้ค่อยๆ หนีห่างไปจากโลกมนุษย์ ไม่ยินดีถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฝุ่นผงแห่งโลกีย์ แต่ต้องไปฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ลงจากเขามาฝึกตนหาประสบการณ์ ย้อนกลับเข้ามาในโลกมนุษย์ก็แค่เพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจของตัวเอง แล้วเหตุใดหลังจากผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานแล้วกลับไม่ยินดีออกจากภูเขา บุกเข้าไปกลืนกินปราณวิญญาณและโชคชะตาของสถานที่แห่งอื่นโดยพลการ

ชุยตงซานเคยยิ้มพูดว่า มีผู้ฝึกลมปราณที่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ยิ่งตบะสูงส่งมากเท่าไหร่ คนที่ไม่เต็มใจจะใช้เหตุผลกฎเกณฑ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และเรื่องที่ไม่พิถีพิถันก็จะยิ่งมากตามไปด้วย โลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขาจะเริ่มสั่นคลอน ก็เหมือนกับม้านั่งที่เบ้าและเดือยเริ่มคลายตัว

ในฐานะที่เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อเป็นผู้นำแห่งใต้หล้าไพศาล การซ่อมแซมชดเชยจึงค่อนข้างจะยากลำบาก

หากพูดแค่เรื่อง ‘การสั่งสอนอบรมทางบ้าน’ เหล่านักพรตเต๋าจมูกวัวในใต้หล้ามืดสลัวนับว่าเปลืองแรงกายแรงใจน้อยที่สุด ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ใจกล้ามากไป ไม่ถูกใจเมื่อไหร่ สิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็จะมีเซียนที่ได้รับคำสั่งจาก ‘เจ้าหอ’ บางท่านของสามลัทธิบินทะยานออกไป ตบคนผู้นั้นให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่ก็มีผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่หนีพ้นหายนะมาได้ไปตีกลองร้องทุกข์อยู่บนหอฟ้าแห่งใดแห่งหนึ่งของใต้หล้าแห่งนั้น ในประวัติศาสตร์มีเพียงเจ้าลัทธิใหญ่สวมกวานเต๋าดอกพุดตานซึ่งเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋าเท่านั้นที่มักจะฟังคำร้องทุกข์ของผู้คนเป็นประจำและช่วยพวกเขาให้หลุดพ้น อย่างน้อยก็สามารถลดโทษให้เบาลง หรือบางครั้งก็ถึงขั้นละเว้นโทษไปโดยตรง กลับกลายเป็นว่าบันทึกกล่าวโทษและลงโทษเซียนของป๋ายอวี้จิงอย่างหนักแทน

หากลู่เฉินลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ตัดสินใจก็ต้องดูที่อารมณ์ของเจ้าลัทธิคนนี้แล้ว หากอารมณ์ดี ทุกเรื่องก็พูดง่าย ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่ง หากอารมณ์ไม่ดีก็มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเพิ่มโทษทัณฑ์เป็นเท่าตัว

หากมาถึงคราวที่เต๋าเหล่าเอ้อร์เฝ้าบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง

ก็ไม่มีทางมีคนมาตีกลองร้องทุกข์แล้ว

เพราะว่าต้องถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ลงมือสังหารโดยตรง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะโดนกระชากเข้าไปไว้ในฝ่ามือของเขา และที่นั่นก็คือ ‘แดนชำระบ่อสายฟ้า’ ที่บริสุทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน

ฟ้าดินกว้างใหญ่

คนธรรมดาใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิต ต่อให้จะชื่นชอบการท่องเที่ยวมากแค่ไหนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถท่องเที่ยวไปตามพื้นที่ของหนึ่งแคว้นได้ทั่ว และต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้วก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะท่องไปได้ทั่วพื้นที่ของทวีปแห่งหนึ่ง หรือหากโชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่อยู่บนยอดเขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถเดินท่องไปทั่วทุกใต้หล้าได้เช่นกัน

ตอนที่หลี่เป่าผิงกินข้าว นางไม่ค่อยชอบพูดคุย

เผยเฉียนนั้นไม่กล้าพูด

ดังนั้นจึงมีเสียงของหลี่ไหวดังจ้อไม่หยุดอยู่คนเดียว หลี่เป่าผิงถลึงตามองหลี่ไหวอยู่หลายครั้ง เรื่องราวในสำนักศึกษาหลายเรื่องล้วนถูกหลี่ไหวเล่าไปหมดแล้ว นางยังจะมีอะไรเล่าให้อาจารย์อาน้อยฟังอีก

หลี่ไหวโคลงศีรษะ ยังคงท้าทายหลี่เป่าผิงอย่างไม่รู้จักกลัวตาย นี่เรียกว่าไหแตกแล้วก็ทุบให้แหลกเสียเลย ถึงอย่างไรในอนาคตก็ต้องถูกหลี่เป่าผิงคิดบัญชีย้อนหลังอยู่แล้ว

เฉินผิงอันพูดไม่มาก ยังคงเคี้ยวข้าวช้าๆ อย่างละเอียดเหมือนในอดีต ส่วนใหญ่คือคอยคีบอาหารให้เด็กทั้งสามมากกว่า

หลี่ไหวพลันถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนการแต่งกายแล้วล่ะ รองเท้าแตะก็ไม่สวมแล้ว ระวังว่าเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดนั้นยาก…”

ไม่รอให้หลี่ไหวพูดจบ เขาก็งอตัวร้องโอดโอยเสียก่อน

หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนพร้อมใจกันกระทืบเท้าหลี่ไหวคนละทีอยู่ใต้โต๊ะ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็เคยคิดมาก่อนว่าตอนที่เข้ามาในสำนักศึกษาจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าฟางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลัวว่าพวกเจ้าจะอับอาย ตอนนี้ที่แต่งตัวแบบนี้ก็เพราะเดินทางอยู่ในยุทธภพต้องระมัดระวังให้มาก บวกกับที่เมื่อแต่งกายแบบนี้สามารถช่วยในการฝึกตน ดังนั้นข้าจึงสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างตัวนี้มานานจนชินแล้ว แต่หากให้สวมชุดที่เมื่อก่อนเคยสวมก็ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน”

หลี่ไหวแสยะยิ้ม “ตอนนั้นที่อยู่นอกห้องเรียน ข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เฉินผิงอันเจ้าตัวสูงขึ้นเยอะมาก แล้วก็ไม่ได้ดำทะมึนเหมือนเมื่อก่อน ข้าเห็นแล้วไม่ชินตาเลย”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แต่เจ้าหลี่ไหวกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แค่อ่านหนังสือก็ง่วงแล้ว?”

หลี่ไหวทอดถอนใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าเรียนหนังสือเหนื่อยยากแค่ไหน เหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่พวกเราเดินทางกันเสียอีก โดยเฉพาะตอนที่พวกอาจารย์สอนหนังสือแล้วต้องอั้นฉี่ อั้นจนเกือบจะทำให้คนตายได้เลยล่ะ”

หลี่เป่าผิงใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ บอกเป็นนัยให้หลี่ไหวระวังคำพูด

หลี่ไหวกล่าวอย่างหงุดหงิด “น่ารำคาญ มีกฎเกณฑ์มากยิ่งกว่าพวกอาจารย์เสียอีก”

ทุกคนกินอิ่มกันพอสมควรแล้ว และบนโต๊ะก็แทบไม่เหลืออาหารอะไรอีก

เฉินผิงอันกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปหาเจ้าขุนเขาเหมาอีกรอบ มีธุระสำคัญต้องคุยกัน หลังจากนั้นจะไปหาหลินโส่วอีกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย พวกเจ้าไปเดินเล่นกันเองเถอะ จำไว้ว่าอย่าให้ละเมิดกฎห้ามออกจากที่พักยามราตรีของสำนักศึกษา”

หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน เจ้าจะอยู่ที่สำนักศึกษากี่ปี?”

หลี่เป่าผิงหลุดหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เผยเฉียนหน้าเจื่อน ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่อยู่นานนักหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่แค่ไม่กี่วันแล้วก็ไป”

หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที ในขณะที่หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนช่วยกันเก็บถ้วยเก็บตะเกียบก็ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่อเพื่อเรียนหนังสือในสำนักศึกษาล่ะ วันหน้าพวกเรากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยกันก็ดีจะตายไป ทำไม ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนานแล้ว จิตใจก็ทะเยอทะยานแล้วใช่ไหม ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่หลี่เป่าผิง แต่ในสำนักศึกษาก็ยังมีข้าหลี่ไหวอยู่นี่นา พวกเราเป็นพี่น้องเป็นสหายรักที่เคยร่วมทุกข์ร่วมความยากลำบากด้วยกันมา ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะยังได้เรียกเจ้าว่าพี่เขย เจ้าจะใจดำทิ้งน้องภรรยาตัวน้อยอย่างข้าไว้ในสำนักศึกษาได้ลงคอหรือ? เจ้าเองก็รู้ดีว่าปีนั้นอาเหลียงอยากจะเป็นพี่เขยของข้า ข้ายังไม่ยอมรับปากเลย!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “คำพูดแบบนี้ เจ้าอย่าเอาไปพูดต่อหน้าหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงเชียว”

หลี่ไหวถอนหายใจหนักๆ “เจ้าสองคนนี้ คนหนึ่งคือน้ำเต้าตันที่ไม่รู้จักพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา อีกคนหนึ่งก็ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ข้าว่าไม่มีหวังหรอก พี่สาวข้าไม่น่าจะชอบพวกเขาได้ ส่วนท่านแม่ข้าชอบหลินโส่วอีมากกว่าเล็กน้อย ท่านพ่อข้าชอบต่งสุ่ยจิ่งมากกว่า แต่ครอบครัวข้าเป็นอย่างไร คำพูดของข้าหลี่ไหวได้ผลดีที่สุด แม้แต่พี่สาวข้าก็ยังต้องเชื่อฟังข้า เฉินผิงอัน พวกเรามาปรึกษากันหน่อย ขอแค่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าในสำนักศึกษาหนึ่งปี ก็ได้ ครึ่งปีก็ได้ เจ้าก็จะเป็นพี่เขยข้า! สินสอดทองหมั้นกะผายลมอะไรนั่นก็ไม่เอา!”

เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “ไสหัวไปเลย!”

หลี่ไหวตบโต๊ะ “เฉินผิงอัน พูดกับน้องภรรยาให้ดีหน่อย! วันหน้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ!”

หลี่เป่าผิงตบผัวะหนึ่งที หลี่ไหวทำคอย่น ท่าทางดุดันหายวับไปทันใด

หลี่ไหวฉวยโอกาสตอนที่หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนยกจานชามไปไว้ที่ห้องครัวนอกหอพักขยับมานั่งข้างกายเฉินผิงอัน นอนฟุบตัวบนโต๊ะ พูดเสียงค่อยว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้พี่สาวข้าหน้าตางดงามนักล่ะ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อย “ไม่ต้องให้เจ้าเชื่อมสะพานเป็นพ่อสื่อให้จริงๆ ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว”

หลี่ไหวสีหน้าหม่นหมอง

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่เป็นพี่เขยของเจ้า ใช่ว่าจะไม่เป็นเพื่อนเจ้าด้วยสักหน่อย”

หลี่ไหวกล่าวอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง “แต่ข้ากลัวนี่นา คราวนี้จากไปทีก็นานถึงสามปี คราวหน้าล่ะ จากไปแล้วจะไม่ผ่านไปอีกสามปีห้าปีเลยหรือ? มีเพื่อนที่ไหนเป็นแบบเจ้าบ้าง ตอนที่ข้าถูกคนในสำนักศึกษารังแก เจ้าก็ไม่อยู่ด้วย”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก

หากอิงตามแผนการที่เขาวางไว้ในใจ คราวนี้ไม่ใช่แค่สามปีห้าปีแล้วจะได้พบกันใหม่จริงๆ

เขาเตรียมจะไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนและทะเลสาบเจี่ยนหู พอผ่านแคว้นไฉ่อีแคว้นซูสุ่ยแล้วก็จะขึ้นเหนือต่อ เหนือยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปซะอีก

หลี่ไหวสูดจมูก เงยหน้าขึ้นยิ้ม “ช่างเถอะ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มัวร่ำรี้ร่ำไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้!”

เฉินผิงอันตบศีรษะหลี่ไหวเบาๆ “ดูเหมือนเผยเฉียนจะยังกลัวเป่าผิงอยู่เล็กน้อย ช่วงเวลานี้เจ้าก็อยู่เล่นกับเผยเฉียนบ่อยๆ ได้”

หลี่ไหวหัวเราะคิกทันที “เจ้าถ่านดำน้อยนั่นน่ะหรือ ไม่มีปัญหา กลัวหลี่เป่าผิงแล้วน่าอายตรงไหน ข้าเองก็กลัวเหมือนกัน ใครกลัวคนนั้นต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษชายชาตรี!”

สามารถเอาเรื่องที่น่าอายมาพูดอย่างสมเหตุสมผลและเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมเช่นนี้ เกรงว่าก็คงมีแต่หลี่ไหวเท่านั้นที่ทำได้

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงอีกครั้ง

เริ่มพูดคุยปรึกษาเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สอง

เหมาเสี่ยวตงได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากชุยตงซานแล้ว เขาถึงขนาดคิดทุกอย่างไว้รอบคอบยิ่งกว่าเจ้าเรื่องอย่างเฉินผิงอันเสียอีก

เกี่ยวกับวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นในการหล่อหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้น เขาได้ซื้อของมาเตรียมไว้เจ็ดแปดส่วนแล้ว บางส่วนยังส่งมาไม่ถึงสำนักศึกษา แต่ก่อนจะเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิต้องรวบรวมได้ครบไม่ขาดสักชิ้นแน่นอน

เฉินผิงอันบอกว่าอาจต้องคืนเงินให้ภายหลัง

เหมาเสี่ยวตงไม่ได้อิดออด บอกว่าจะคิดเงินตามราคาตลาด ให้เฉินผิงอันพยายามคืนเงินให้ครบภายในยี่สิบปี

เพราะเป็นการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่พิเศษอย่างถึงที่สุดมาทำเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ เหมาเสี่ยวตงนอกจากจะพินิจพิเคราะห์หัวใจบุ๋นดวงที่เฉินผิงอันเอาออกมาจากวัตถุฟางชุ่นอย่างละเอียดแล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์แคว้นไฉ่อีและอักขรานุกรมท้องถิ่นที่ศาลเทพอภิบาลเมืองตั้งอยู่ สุดท้ายก็วิเคราะห์ได้ว่าเสิ่นเวินที่เปลี่ยนจากขุนนางบุ๋นเป็นเทพผู้นั้นได้ใช้ควันธูปที่บริสุทธิ์และปราณแห่งความเที่ยงธรรม และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่ายังต้องใช้อิทธิพลของตราประทับที่เทียนซือใหญ่หล่อหลอมด้วยตัวเองกับใช้วิชาอสนีมาปลุกเสกร่วม สุดท้ายถึงกลายมาเป็นหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย

ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงวางแผนว่าจะพาเฉินผิงอันไปเยือนสถานที่อย่างศาลบุ๋นของเมืองหลวงต้าสุยเป็นการส่วนตัวสักรอบหนึ่งก่อน

แต่สถานที่สุดท้ายที่ใช้หล่อหลอม แน่นอนว่ายังต้องเป็นสำนักศึกษาซานหยาที่เขาสามารถควบคุมโชคชะตาได้แห่งนี้

คนทั้งสองพูดคุยเรื่องรายละเอียดกันอย่างต่อเนื่อง

เหมาเสี่ยวตงยิ่งรู้สึกปลาบปลื้ม

ต่อให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนที่สุดท้ายจะตัดสินว่าความสำเร็จสูงหรือต่ำ เฉินผิงอันก็ยังคงไม่รีบไม่ร้อน สภาพจิตใจประดุจบ่อโบราณไร้ระลอกคลื่น ทำให้เหมาเสี่ยวตงพึงพอใจอย่างมาก

การพูดคุยหลายอย่างที่มองดูเหมือนเป็นเรื่องสัพเพเหระ คำตอบของเฉินผิงอัน รวมไปถึงการที่เขาเป็นฝ่ายถามถึงข้อสงสัยในตำราบางอย่างด้วยตัวเองก่อน เหมาเสี่ยวตงไม่ได้รู้สึกตื่นตะลึง แต่กลับรู้สึกถึงความแน่วแน่ที่แสดงให้เห็นถึงปณิธานที่เด็ดเดี่ยวได้อย่างรางๆ

แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินผิงอันมองสีท้องฟ้าแล้วบอกว่าจะไปพบหลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสักหน่อย ไม่คิดจะพูดถึง ‘เรื่องเป็นการเป็นงาน’ ที่ใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าให้เสร็จรวดเดียวจบ เหมาเสี่ยวตงก็คลี่ยิ้มตอบรับอีกฝ่าย

หลังจากเฉินผิงอันจากไปพร้อมกับความรู้สึกเกรงใจ

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ผู้อื่นมองว่าคร่ำครึเข้มงวดนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง น้ำตาอาบนองใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ แต่ปากกลับคลี่ยิ้มปลาบปลื้ม

ในสายตาของเหมาเสี่ยวตง ต่อให้มีชุยตงซานที่แม่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำสักสิบคนก็ยังเทียบกับเฉินผิงอันคนเดียวไม่ได้เลย!

……

ไม่มีหลี่เป่าผิงอยู่ข้างกาย

เผยเฉียนพลันเหมือนคนที่ไร้พันธนาการ เปี่ยมไปด้วยพลังห้าวเหิมมีชีวิตชีวา

พอไปถึงหอพักของหลี่ไหว เพิ่งนั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่หลี่ไหวเท่านั้น แม้แต่หลิวกวานและหม่าเหลียนก็ยังเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง คอยหันมามองหน้ากันเอง

ตรงเอวของเผยเฉียนห้อยดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่เอาไว้แล้ว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว เผชิญหน้ากับคนสามคนที่นั่งเรียงกันอยู่

นางกำลังเล่าประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้พวกเขาฟัง

เปิดฉากมาก็มีพลังสยบอย่างยิ่ง “พวกเจ้าคงจะมองออกว่า ในฐานะที่ข้าเผยเฉียนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ จึงเป็นชาวยุทธ์ที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นมากคนหนึ่ง! ภูตผีปีศาจตามภูเขาและหนองน้ำที่ถูกข้าฆ่าตายหรือไม่ก็สยบกำราบได้นั้น มีมากมายจนนับไม่ถ้วน”

หอยทากที่ถูกวิชากระบี่มารคลั่งของนางสังหาร คางคกบนทางภูเขาที่โดนนางเตะกระเด็น หรือแม้แต่สุนัขพันธ์พื้นบ้านที่ถูกนางกดหัวเอาไว้ ภูเขากระโดดที่ถูกนางจับได้ ล้วนเป็นภูตผีปีศาจในอนาคตที่นางจินตนาการเอาไว้

หลิวกวานที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยกน้ำรินชาให้นางดื่ม

หม่าเหลียนก็รีบฉวยจังหวะที่จอมยุทธ์หญิงเผยดื่มน้ำไปหยิบเมล็ดแตงและขนมออกมาให้นางกิน

หลี่ไหวโอบหุ่นไม้หลากสีตัวนั้นไว้ในอ้อมอก แกล้งยิ้มโง่ๆ แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่านังหนูตัวดำผู้นี้นิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลย ขี้โม้ยิ่งกว่าตนกับอาเหลียงเสียอีก! ถือว่าตนได้มาเจอกับคู่ต่อสู้แล้ว!

……

หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมาจากที่พักของเหมาเสี่ยวตงก็เห็นว่าหลี่เป่าผิงมายืนรอตนอยู่ตรงหน้าประตู แถมยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาด้วย

เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย

ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเกิด เดินทางไปสู่โลกที่อยู่ภายนอกถ้ำสวรรค์หลีจู แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นครั้งที่เฉินผิงอันคุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงมาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย

ในทางกลับกันแม่นางน้อยเองก็ออกท่องยุทธภพเป็นเพื่อนอาจารย์อาน้อยเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

ระยะทางช่วงแรกเริ่มสุดที่มีเพียงคนสองคนคอยอยู่เคียงข้างกัน ช่วงเวลาที่เดินทางผ่านภูเขาเขียวและน้ำใส พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เขาย่อตัวลง ยิ้มถามว่า “เป่าผิง หลายปีมานี้มีใครในสำนักศึกษาแกล้งเจ้าหรือไม่?”

หลี่เป่าผิงตั้งใจคิด ก่อนจะส่ายหน้า “อาจารย์อาน้อย ไม่มีหรอก”

เฉินผิงอันเกาหัว ถึงกับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ในทะเลสาบหัวใจพลันมีเสียงของเหมาเสี่ยวตงดังขึ้น

เฉินผิงอันหน้าไม่เปลี่ยนสี ฟังจบแล้วก็ยืดตัวขึ้น จูงมือหลี่เป่าผิง มองออกไปยังทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงนอกภูเขาตงซานของสำนักศึกษา

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กพากันเดินลงจากภูเขา

“อาจารย์อาน้อย เมื่อครู่นี้ข้าคัดตำราไว้ห้าฉบับแล้ว เอามาเก็บแยกไว้ในหีบหนังสือเพื่อรอมอบให้กับอาจารย์ห้าท่าน แต่นั่นเป็นแค่ส่วนที่ต้องคัดหลังจากโดดเรียนหนึ่งเดือนเท่านั้น ในหอพักของข้ายังมีอยู่อีกเยอะเลยล่ะ อาจารย์อาน้อยท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

“พวกอาจารย์ไม่โกรธหรือ?”

“พวกอาจารย์ดีมากเลยนะ”

“อืม ดีมาก แต่ความรู้สู้อาจารย์ฉีไม่ได้”

“ทำไมล่ะ?”

“อาจารย์ฉีมีความรู้ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจารย์อาน้อยเป็นคนดีที่สุด ไม่มีคำว่าทำไมแล้ว”

“ฮ่า มีเหตุผล”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!