Skip to content

Sword of Coming 409

บทที่ 409 เวทกระบี่

น่าประหลาดมาก ทั้งๆ ที่เหมาเสี่ยวตงก็จากไปแล้ว แต่ตำหนักหลักของศาลบุ๋นกลับไม่เพียงแต่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าชม กลับกันยังมีลักษณะของการป้องกันอย่างเข้มงวดอีกด้วย

ตำหนักหลัง นอกจากทวยเทพแห่งศาลบุ๋นกลุ่มใหญ่ที่เผยกายบนโลกด้วยร่างทองซึ่งรวมหยวนเกาเฟิงเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยังมีแขกสูงศักดิ์และแขกที่หาได้ยากอีกสองกลุ่ม

ฮ่องเต้ต้าสุยที่ปลอมตัวออกจากวัง ด้านหลังของเขามีขันทีผมขาวสวมชุดหม่างสีแดงสดคนหนึ่งยืนอยู่

และยังมีบุรุษอีกสองคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าผมขาวโพลน แม้จะเผชิญหน้าอยู่กับกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์และอริยะแห่งศาลบุ๋น แต่พลังอำนาจของเขาก็ยังกร้าวแกร่ง และยังมีบุรุษท่าทางสุภาพอ่อนโยนอายุค่อนข้างน้อยอีกคนหนึ่ง บางทีเขาคงคิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเข้าร่วมกับเรื่องลับครั้งนี้ จึงไปยืนแหงนหน้ามองเทวรูปของเจ็ดสิบสองนักปราชญ์อยู่ในตำหนักหน้า

ผู้เฒ่าไม่ใช่คนของแจกันสมบัติทวีป เขาเรียกตัวเองว่าหลินซวงเจี้ยง เพียงแต่ว่าสามารถพูดภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าสุยด้วยสำเนียงที่ถูกต้องเหมือนคนในท้องที่

หลินซวงเจี้ยงนี้น่าจะเป็นเพียงนามแฝงเท่านั้น นี่ไม่สำคัญ สำคัญที่หลังจากผู้เฒ่าปรากฏตัวในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าวิชาอภินิหารของเขาสูงส่งเลิศล้ำ ขันทีชุดหม่างด้านหลังฮ่องเต้ต้าสุยร่วมมือกับผู้ถวายการรับใช้ของวังหลวงคนหนึ่ง ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่อาจหาวิธีทำร้ายผู้เฒ่าได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

หลินซวงเจี้ยงชำเลืองตามองหยวนเกาเฟิงและทวยเทพสายบุ๋นอีกสองท่านที่พร้อมใจกันปรากฎตัวมาโต้คารมกับเหมาเสี่ยวตงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

สายตาของเขาเคลื่อนย้ายมองไปทางองค์เทพที่มีสถานะเป็นขุนพลผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้น รวมไปถึงองค์เทพที่ใช้สถานะขุนนางบุ๋น แต่กลับสร้างคุณความชอบบุกเบิกขยับขยายที่ดินให้แคว้นต้าสุยในประวัติศาสตร์ องค์เทพสองกลุ่มนี้มารวมตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งภูเขาของราชสำนักลูกหนึ่งที่เหมือนจะมีเหมือนไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฝ่ายของหยวนเกาเฟิงที่มีคนอยู่แค่ไม่กี่หยิบมือ สุดท้ายสายตาของหลินซวงเจี้ยงย้ายไปที่ร่างของฮ่องเต้ต้าสุย “ฝ่าบาท ขวัญกำลังใจของกองทัพ และขวัญกำลังใจของชาวบ้านต้าสุยล้วนสามารถนำมาใช้ได้ ราชสำนักมีหัวใจบุ๋น สมรภูมิรบมีหัวใจบู๊ สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะยังเอาแต่กล้ำกลืนความอัปยศต่อไปอีกหรือ? หากพูดว่าตอนที่ลงนามพันธมิตรขุนเขา ต้าสุยไม่อาจต้านทานกองทัพม้าเหล็กของต้าหลี ยากที่จะหนีชะตากรรมแคว้นล่มสลายได้จริงๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ฝ่าบาทจะยังใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่นนี้อีกหรือ?”

หลินซวงเจี้ยงหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “ต้องการให้คนต่างถิ่นอย่างข้าบอกให้ฝ่าบาทฟังหรือไม่ว่า ช่วงเวลาหลายปีมานี้ ขุนนางในเมืองหลวงต้าสุยที่แขวนตราประทับลาออกจากการเป็นขุนนาง ปัญญาชนที่หลบหนีโลกภายนอกไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามีกี่ร้อยคน? และการเสื่อมโทรมของโชคชะตาศาลบุ๋นในท้องที่แต่ละแห่งนับจากเมืองหลวงไปถึงต่างจังหวัดร้ายแรงแค่ไหน ยังต้องให้ข้าพูดไหม? บอกว่าเป็นพันธมิตรร้อยปี แม้ฝ่าบาทจะใช้การที่คนคนเดียวถูกด่าในประวัติศาสตร์แลกมาด้วยความสงบสุขของชาวบ้านในแคว้นเป็นเวลาร้อยปี แต่ฝ่าบาทแน่ใจได้อย่างไรว่าต่อให้คนเถื่อนสกุลซ่งต้าหลีรักษาสัญญา ไม่ใช้กำลังกับต้าสุยจริงๆ แต่ต้าสุยของพวกท่านจะมีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงไปได้ถึงร้อยปีจริงๆ ? จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้าตาปริบๆ รอให้ขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากท้องฟ้า รอให้สกุลซ่งต้าหลีแพ้ภัยตัวเอง แล้วสกุลเกาต้าสุยของพวกท่านค่อยไปเก็บเกี่ยวดอกผลน่ะรึ?”

หลินซวงเจี้ยงสีหน้าเย็นชา “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง สกุลซ่งต้าหลีมีสันดานอย่างไร คิดว่าฝ่าบาทน่าจะรู้ดี ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้สำเร็จราชการ ชาวยุทธกุมอำนาจอยู่ในมือ ตอนนั้นแม้แต่ทวยเทพแห่งห้าขุนเขาที่มีความเกี่ยวพันกับชะตาแคว้นสกุลเกาอย่างแนบแน่น ฮ่องเต้ต้าหลีก็ยังสามารถเล่นงานด้วยการถอดถอนตำแหน่งพวกเขาทิ้งทั้งหมด พันธมิตรแห่งขุนเขาที่ภูเขาตงหัวต้าสุยกับที่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีจะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ? ข้ากล้าบอกเลยว่าไม่ต้องรอถึงห้าสิบปี อย่างมากสุดสามสิบปี ต่อให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีถูกขัดขวางอยู่ตรงแถบราชวงศ์จูอิ๋ง แต่ก็ถูกผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ต้าหลีคนใหม่กับซิ่วหู่ผู้นั้นควบรวมพื้นที่ทางเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปไปได้สำเร็จแล้ว สามสิบปีให้หลัง ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงกองทัพ ไปจนถึงเสมียนขุนนางชั้นผู้น้อย สุดท้ายมาถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนักต้าสุย ล้วนกลายมาเป็นรังที่แสนสงบสุขที่ราชวงศ์ต้าหลีปรารถนาแม้ในยามหลับฝันแล้ว”

หลินซวงเจี้ยงพูดเสียงกร้าว “รอให้ส่วนลึกในใจของชาวบ้านต้าสุยมองแคว้นอื่นเป็นดั่งมาตุภูมิบ้านเกิดของตัวเองเสียก่อนเถอะ ฮ่องเต้ต้าสุยที่สร้างหายนะทำแคว้นล่มจมกับมือตัวเองอย่างท่านจะยังมีหน้าไปพบบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางอีกหรือ?”

หยวนเกาเฟิงตวาดอย่างเดือดดาล “หลินซวงเจี้ยง เจ้าบังอาจนัก! เรื่องในแคว้นต้าสุยของพวกเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดจาสามหาวอยู่ที่นี่!”

ขุนนางบุ๋นของต้าสุยที่อาศัยการกำหนดนโยบายแห่งแคว้นรับแคว้นหวงถิงไว้เป็นแคว้นใต้อาณัติเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพะยะค่ะ”

หลินซวงเจี้ยงไม่พูดอะไรอีก

ศาสตร์แห่งการเปิดปิดปาก เมื่อเปิดปาก เอ่ยเอื้อนคำพูด เมื่อปิดปาก เงียบงันไม่พูดจา

พูดแล้วเหลือพื้นที่ว่างให้ขบคิด ไม่พูดออกมาตามตรงย่อมได้ผลมากกว่า สามารถล่อลวงใจคนได้ดีกว่า

ในขณะที่ตำหนักหลังตกอยู่ในบรรยากาศเงียบงัน ทางฝั่งของตำหนักหน้า บุรุษสวมชุดตัวยาวที่ให้ความรู้สึกหล่อเหลาอ่อนเยาว์แก่คนมองกำลังไล่มองเทวรูปของเจ็ดสิบสองปราชญ์ไปทีละรูปไม่ต่างจากเฉินผิงอัน

ในที่สุดฮ่องเต้ต้าสุยก็เปิดปากกล่าวว่า “เพราะการตายของซ่งเจิ้งฉุน วันนี้ทั้งสองท่านถึงได้มาเยี่ยมเยือน ถูกไหม?”

หลินซวงเจี้ยงพยักหน้ายอมรับ

ฮ่องเต้ต้าสุยชี้ไปที่ตัวเอง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นหากวันใดข้าถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งฆ่าตาย หรือไม่ก็ถูกกระบี่บินของจอมยุทธสำนักโม่ที่มีนามว่าสวี่รั่วผู้นั้นแทงตาย จะทำอย่างไร?”

ฮ่องเต้ต้าสุยชี้ไปที่เหนือศีรษะของตัวเอง แล้วจึงชี้ไปยังตำแหน่งของตำหนักหน้าที่อยู่ด้านหลังของตน “หากสวี่รั่วสังหารกษัตริย์อย่างไร้เหตุจำเป็น ในฐานะผู้ฝึกตน สวี่รั่วก็น่าจะถูกอริยะบางท่านลงโทษ สวี่รั่วเป็นคนสำคัญของสำนักโม่ ป๋ายอวี้จิงที่ก่อนหน้านี้สายรองของสำนักโม่ช่วยสร้างเลียนแบบให้ถูกทำลาย สายหลักของสำนักโม่ในแผ่นดินกลางกลับเปลี่ยนความคิด เลือกหันมาเดิมพันข้างสกุลซ่งต้าหลี มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสวี่รั่วก็คือบุคคลสำคัญ ดังนั้นไม่แน่เสมอไปว่าสวี่รั่วจะยินดี ‘แลกแต้มหมาก’ กับข้า เพราะสำนักโม่จะขาดทุนมากเกินไป แต่หากหลี่เอ้อร์สังหารข้า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าหากอิงตามกฎบนภูเขาของพวกเจ้า เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อน่าจะไม่ให้ความสนใจ”

หลินซวงเจี้ยงกล่าวอย่างเฉยเมย “หลี่เอ้อร์ผู้นั้น ขอแค่ยังไม่ถึงขอบเขต ‘เทพมาเยือน’ ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ข้าสามารถทำให้เขาไม่อาจเข้ามาในเมืองหลวงต้าสุยได้ แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ศาลบุ๋นของพวกเจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้า ช่วยกันเปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องเมืองด้วย”

พูดถึงขนาดนี้แล้วฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังไม่หวั่นไหว เขาถามต่ออีกว่า “ไม่กลัวโจรมาขโมย กลัวก็แต่โจรจะคอยนึกถึง ถึงเวลานั้นต้องป้องกันโจรตลอดพันวัน จะป้องกันได้ไหวหรือ? หรือท่านหลินจะอยู่ในต้าสุยตลอดไป?”

หลินซวงเจี้ยงขมวดคิ้ว

และเวลานี้เอง ในทะเลสาบหัวใจของทุกคนก็มีน้ำเสียงอ่อนโยนทุ้มหนักดังขึ้น “หากหลี่เอ้อร์กล้ามาฆ่าคนที่เมืองหลวงต้าสุย ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่ออกจากเมืองไปฆ่าเขาเอง ข้าแค่กล้ารับรองในเรื่องนี้ เรื่องอื่นๆ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก”

หยวนเกาเฟิงหัวเราะเหน็บแนม “ดีนักนะ ผู้ฝึกตนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางช่างร้ายกาจซะจริง สังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง พูดเหมือนกับเด็กบีบคอลูกเจี๊ยบให้ตายอย่างไรอย่างนั้น”

หลินซวงเจี้ยงไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงกล่าวเสียงหนักว่า “หากท่านฟ่านพูดได้ก็ต้องทำได้”

ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้มกล่าว “จริงรึ?”

คนผู้นั้นที่อยู่ในตำหนักหน้ายิ้มบางๆ ตอบรับ “สำนักการค้าสืบทอดต่อกันมา มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นรากฐานในการหยัดยืน”

……

หลี่ไหวที่เล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกตามกติกาของเผยเฉียนพ่ายแพ้เสียยับเยิน

หลังจากยอมแพ้แล้วก็ยังโมโหไม่หาย ใช้สองมือปัดป่ายกระดานหมากที่วางเม็ดหมากไว้จนเต็ม “ไม่เล่นแล้วๆ น่าเบื่อนัก หมากแบบนี้ทำเอาข้าเวียนหัวตาลายท้องหิวไปหมดแล้ว”

ได้ยินเสียงใสกังวานที่เกิดจากเม็ดหมากกระทบกัน

ขนตาของเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่ตรงมุมหนึ่งของระเบียงที่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่มรกตก็สั่นระริกเบาๆ จิตใจไม่ใคร่จะสงบนิ่งนัก จำต้องลืมตาหันหน้าไปชำเลืองมองทางฝั่งนั้น เผยเฉียนกับหลี่ไหวกำลังเลือกเม็ดหมากดำขาวของใครของมัน แล้วโยนใส่โถเก็บเม็ดหมากที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ใส่ใจจนเกิดเสียงดังแกร๊กๆๆ

แม้ว่าโถเก็บเม็ดหมากจะเป็นภาชนะที่หลอมจากเตาทางการของต้าสุย มีมูลค่าอยู่หลายสิบตำลึงเงิน แต่เม็ดหมากพวกนั้นต่างหากที่เซี่ยเซี่ยรู้ดีว่ามีมูลค่าควรเมือง

หากเปลี่ยนมาเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ชุยตงซานยังอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ บางครั้งเซี่ยเซี่ยก็จะถูกชุยตงซานลากให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกัน แค่วางเม็ดหมากหนักมือนิดหน่อยก็ต้องถูกชุยตงซานตบจนร่างปลิวคว้างไปกระแทกกำแพง บอกว่าหากนางทำให้เม็ดหมากเม็ดใดแตก ก็เท่ากับว่าทำลายของสะสมของเขาให้ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ กลายเป็นของมีตำหนิ รูปลักษณ์เสียหาย ต่อให้นางเซี่ยเซี่ยชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่พอ

เม็ดหมากบนโลกใบนี้ หากเป็นของครอบครัวคนทั่วไปก็แค่ทำมาจากหินที่งดงามหน่อยเท่านั้น หากเป็นของครอบครัวเศรษฐี โดยทั่วไปจะทำมาจากเนื้อกระเบื้อง แต่ถ้าเป็นของตระกูลเซียนบนภูเขาจะกลึงมาจากหยกที่งดงามมากเป็นพิเศษ

ทว่าเม็ดหมากสองโถนี้ของชุยตงซานมีประวัติความเป็นมาน่าตื่นตะลึง พวกมันคือ ‘หมากเมฆหลากสี’ ที่คนเล่นหมากล้อมทั่วหล้าอิจฉาตาร้อนอยากครอบครอง เมื่อพันปีก่อน ศิษย์น้องของเจ้านครจักรพรรดิขาว เจ้าของหอแก้วหลากสีแห่งนั้นได้ใช้วิชาลับเฉพาะอย่างการ ‘กลั่นหยด’ สร้างมันขึ้นมา เมื่อหอแก้วหลากสีพังทลายลง เจ้าของของมันหายเข้ากลีบเมฆไปนานนับพันปี วิธีการ ‘กลั่นหยดหลอมใหญ่’ ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษจึงสาบสูญไปนับแต่นั้น เคยมีเซียนของแผ่นดินกลางที่รักการเล่นหมากล้อมดุจชีวิตได้หมากเมฆหลากสีไปหนึ่งโถครึ่ง เพื่อรวบรวมให้ครบถ้วน เขาถึงกับให้ราคาสูงเทียมฟ้า หมากหนึ่งเม็ดจ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ

ทว่าเวลานี้เมื่อหมากแก้วหลากสีมาอยู่ในมือของเผยเฉียนกับหลี่ไหว กลับไม่ได้ดีไปกว่าก้อนหินบนพื้นดินเลย

เซี่ยเซี่ยถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่ถึงอย่างไรหมากเมฆหลากสีก็เป็นวัตถุที่มีมูลค่า ต่อให้ชายฉกรรจ์ออกแรงเต็มที่ก็ยังไม่สามารถทำให้มันแตกร้าวได้ กลับจะยิ่งส่งเสียงดังกังวานมากขึ้น

หลี่ไหวไม่เต็มใจจะเล่นหมากเรียงไข่มุก เผยเฉียนจึงเสนอการละเล่นจับหินของชาวบ้าน หลี่ไหวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในทันที เรื่องนี้เขาถนัด ปีนั้นมักจะเล่นกับเพื่อนร่วมห้องในโรงเรียนเป็นประจำ เด็กหญิงผมแกละที่ชื่อว่าสือชุนเจียผู้นั้นก็มักจะแพ้ให้เขา เล่นจับหินกับพี่สาวหลี่หลิ่วตอนอยู่ในบ้านก็ยิ่งไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน!

คนทั้งสองแบ่งกันหยิบหมากในโถของตัวเองขึ้นมาใหม่คนละห้าเม็ด เล่นจบไปรอบหนึ่งก็พบว่าระดับความยากมีน้อยเกินไป จึงคิดจะเพิ่มเป็นสิบเม็ด

เซี่ยเซี่ยได้ยินเสียงเม็ดหมากกระทบกระดานดังกังวานยิ่งกว่าเก่า จิตใจก็สั่นสะท้านน้อยๆ หวังเพียงว่าชุยตงซานจะไม่รู้เรื่องโศกนาฎกรรมในครั้งนี้

บางครั้งยังมีหมากเมฆหลากสีเม็ดสองเม็ดปลิวกระเด็นพ้นจากหลังมือไปตกอยู่บนพื้นหินในลาน จากนั้นก็ถูกเจ้าเด็กสองคนที่ไม่เห็นคุณค่าของพวกมันเก็บกลับมา

เซี่ยเซี่ยไม่มีอารมณ์จะเข้าฌานทำสมาธิอีกแล้ว นางเลือกลุกขึ้นยืนเดินกลับไปอ่านหนังสือในห้องปีกข้างของตัวเองเสียเลย

หลี่เป่าผิงเดินออกมาจากห้องหลัก มานั่งดูการรบระหว่างเผยเฉียนกับหลี่ไหวอยู่ด้านข้าง หลี่ไหวยังคงถูกเข่นฆ่าจนต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ (เปรียบเปรยว่าพ่ายแพ้ยับเยินจนต้องเผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง)

หลี่เป่าผิงหยิบหมากสีดำห้าเม็ดออกมาจากโถอีกใบหนึ่งและเก็บหมากสีขาวห้าเม็ดใส่กลับเข้าไปในโถเงียบๆ บนพื้นมีหมากขาวและหมากดำอย่างละห้าเม็ด หลี่เป่าผิงพูดอธิบายให้คนสองคนที่หันมามองหน้ากันเองว่า “เล่นแบบนี้ค่อนข้างสนุก พวกเจ้าเลือกกันคนละสี ทุกครั้งที่จับก้อนหิน ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนเจ้าเลือกหมากสีดำ หากจับหมากขึ้นมาได้เจ็ดเม็ด ด้านในมีหมากสีขาวสองเม็ดก็เท่ากับว่าเจ้าจับหมากสีดำได้แค่สามเม็ด”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “พี่หญิงเป่าผิง ข้าอยากเลือกหมากสีขาว”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “ได้สิ”

หลี่ไหวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็อยากเลือกหมากสีขาวเหมือนกัน!”

หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง

หลี่ไหวรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ช่างเถิด หมากสีดำมองแล้วสบายตามากกว่า”

จิตใจของสือโหรวสั่นไหวเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงผู้นี้มักจะมีความคิดที่มหัศจรรย์เช่นนี้เสมอ เนื่องจากในบรรดาคนทั้งหมด เฉินผิงอันลำเอียงรักหลี่เป่าผิงอย่างเห็นได้ชัด สือโหรวจึงจับตามองหลี่เป่าผิงมากที่สุด นางพบว่าคำพูดและการกระทำของแม่นางน้อยคนนี้ ไม่อาจพูดได้ว่านางจงใจวางตัวเหมือนคนแก่ อันที่จริงนางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ทว่าความคิดมากมายของนางกลับทั้งอยู่ในกฎเกณฑ์ แล้วก็ทั้งอยู่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ไปในเวลาเดียวกัน

ในขณะที่สือโหรวแอบมองหลี่เป่าผิงได้ไม่นานเท่าไหร่ ศึกใหญ่ของทางฝั่งนั้นก็ปิดฉากลง เล่นตามกติกาของหลี่เป่าผิง หลี่ไหวแพ้ได้อนาถยิ่งกว่าเดิม

เผยเฉียนโคลงศีรษะ ชั่งน้ำหนักหมากสองสามเม็ดที่อยู่ในมือด้วยการโยนขึ้นเบาๆ แล้วรับไว้ติดต่อกัน “เหงายิ่งนัก แค่อยากจะแพ้สักครั้งต้องยากขนาดนี้เชียวหรือ?”

หลี่ไหวทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กลอกตารวดเร็ว อยากจะหาเรื่องอื่นมาทวงคืนหน้าตาที่เสียไปของตน

เผยเฉียนโยนเม็ดหมากทิ้ง หยิบไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ข้างเท้าขึ้นมา กระโดดเข้าไปในลานบ้าน “พี่หญิงเป่าผิง หลี่ไหวขุนพลผู้ปราชัย ข้าจะทำให้พวกเจ้าเห็นว่า อะไรที่เรียกว่ามือถือเสายาว บินข้ามบ้านกระโดดข้ามหลังคา ตอนนี้ข้ายังฝึกวิชาได้ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้แต่บินบนชายคาเดินบนกำแพงเท่านั้น! ดูให้ดีล่ะ! ต้องดูให้ดีนะ!”

เห็นเพียงว่าเผยเฉียนถอยไปอยู่ปลายสุดของกำแพงแถบหนึ่ง หันหน้าเข้าหากำแพงฝั่งตรงข้าม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วสาวเท้าวิ่งตะบึงออกไป ระหว่างนั้นก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มลงไปในรอยแยกระหว่างร่องหินของลานบ้านอย่างแม่นยำ เท้าทั้งสองข้างของเผยเฉียนพ้นจากพื้น ไม้เท้ายาวโค้งงอเป็นวงกว้าง และเมื่อไม้เท้าเดินป่าดีดผึงกลับเป็นเส้นตรง เผยเฉียนก็กระโดดขึ้นสูง ร่างเล็กๆ คลายตัวกลางอากาศ ขึ้นไปยืนอยู่บนหัวกำแพงได้อย่างมั่นคง แล้วจึงหันตัวกลับมายิ้มกว้างให้หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหว “เห็นแล้วหรือยัง!”

หลี่ไหวมองตาค้างอ้าปากกว้าง ตะโกนโหวกเหวกว่า “ข้าก็จะลองทำดูบ้าง!”

เผยเฉียนกระโดดพลิ้วกายลงมาจากหัวกำแพงอย่างปราดเปรียวดุจแมวป่าตัวน้อย ยามที่เท้าสัมผัสกับพื้นไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดให้ได้ยิน

จากนั้นนางก็ยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งให้หลี่ไหวอย่างใจกว้าง

หลี่ไหวเองก็เลียนแบบเผยเฉียน ถอยไปอยู่มุมกำแพง วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเร่งร้อนก่อน จากนั้นก็ชำเลืองตามองพื้นดิน แล้วพลันทิ่มไม้เท้าเดินป่าลงไปในร่องแตกของก้อนหิน ตวาดเบาๆ หนึ่งที พอไม้เท้าเดินป่างอตัวเป็นเส้นโค้ง ร่างของหลี่ไหวก็ถูกยกลอยขึ้น เพียงแต่ว่าท่วงท่าและองศาในการส่งแรงช่วงสุดท้ายไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้สองขาของหลี่ไหวกางชี้ฟ้า หัวทิ่มลงหาดิน ร่างเอียงกระเท่เร่ ร้องเฮ้ยๆๆ อยู่สองสามที แล้วก็ร่วงดิ่งลงพื้นในท่านั้น

อวี๋ลู่เป็นเหมือนลมเย็นที่พัดวูบผ่านไป รีบรับตัวหลี่ไหวแล้วประคองให้เขายืนอยู่ในท่าตรง

หลี่ไหวคุยโวอย่างไม่ละอายว่า “ล้มเหลวในขั้นสุดท้าย ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”

เผยเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นจะให้โอกาสเจ้าอีกสิบครั้งไหมล่ะ?”

หลี่ไหวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าข้าหลี่ไหวจะมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธที่พันปียากจะพานพบสักครั้งก็ต้องเป็นแปดร้อยปี แต่ปณิธานของข้าไม่ได้อยู่ที่สิ่งนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะแข่งขันสูงต่ำกับเจ้าในเรื่องนี้แล้ว”

หลี่เป่าผิงหยิบไม้เท้าเดินป่ามาจากมือของหลี่ไหว แล้วนางก็ลองทำดูรอบหนึ่ง

ผลคือภายใต้สายตาของคนมากมายจับจ้อง แม่นางน้อยชุดกระโปรงสีแดงผู้นี้ไม่เพียงแต่ทำสำเร็จ ยังทำสำเร็จมากเกินไป นางถึงกับบินลอยพ้นไปจากหัวกำแพง

มีเสียงบางเบาส่งมาจากนอกกำแพง

สำหรับหลี่เป่าผิงที่คุ้นเคยกับเรื่องประเภทนี้เป็นอย่างดีย่อมไม่บาดเจ็บ เพียงแต่ว่าตอนร่วงลงพื้นร่างไม่มั่นคงนัก เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ยังไม่ทันจะคุกเข่าร่างก็ผงะหงายไปด้านหลัง ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น

หลี่เป่าผิงลุกขึ้นยืน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย

ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งยืนหัวเราะร่าอยู่ห่างไปไม่ไกล “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “แค่นี้จะเป็นอะไรได้เล่า!”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

หลี่เป่าผิงวิ่งฉิวกลับเข้าไปในเรือน

ในฐานะปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล สายตาของจูเหลี่ยนจึงดีเยี่ยมเหนือกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่าเขารู้ดีกว่าใครว่าหลี่เป่าผิงไม่มีทางเป็นอะไร เขาถึงไม่ได้ลงมือช่วยเหลือนาง

จูเหลี่ยนเดินเล่นรอบเรือนหลังนี้ต่ออีกครั้ง

ตอนนั้นก่อนที่เฉินผิงอันจะไปจากสำนักศึกษา บทสนทนาระหว่างเขากับหลี่เป่าผิง จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลได้ยินชัด และเฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจงใจปิดบังอะไรเขา

จูเหลี่ยนถึงขั้นรู้สึกเสียดายแทนสุยโย่วเปียนที่ไม่ได้ยินบทสนทนาครั้งนั้น

ก่อนหน้านี้พวกเขาสี่คนในภาพวาดยังไม่ได้แยกย้ายกัน ตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า ผู้เฒ่าแซ่สวินที่หมายตาใน ‘พรสวรรค์เซียนกระบี่’ ของสุยโย่วเปียนมาตั้งแต่แรกผู้นั้นชอบจะมาเยือนที่ร้านยา มีครั้งหนึ่งที่นั่งดูการประชันหมากล้อมในลานบ้านระหว่างสุยโย่วเปียนกับหลูป๋ายเซี่ยง ผู้เฒ่าได้พูดสองสามประโยคโดยใช้หลักการของหมากล้อมมาบรรยายวิถีแห่งกระบี่

ตั้งขวางตัดสลับ วางหมากลงตรงจุด

ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่คำว่าตัด นี่ก็คือเวทกระบี่

สถานการณ์หมากดีหรือร้าย อยู่ที่สองคำว่ากำหนดขอบเขต ยึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา แบ่งแยกดินแดน ภูเขาและสายน้ำกางกั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปณิธานกระบี่

การเล่นจบลง บวกกับการทบทวนกระดาน สุยโย่วเปียนยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน นี่ทำให้ผู้เฒ่าแซ่สวินรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง แถมเขายังถูกเผยเฉียนหัวเราะเยาะอยู่เป็นครึ่งๆ วันว่า ดีแต่ใช้คำพูดคุยโวใหญ่โตหาแก่นสารไม่ได้มาข่มขู่คนอื่น มิน่าเล่าพี่หญิงสุยถึงไม่รับน้ำใจ

เพียงแต่ว่าคืนนั้นสุยโย่วเปียนกลับปิดด่านทำความเข้าใจกับกระบี่ ไม่ออกมาจากห้องเลยเป็นเวลาหนึ่งวันสองคืน

ตอนนี้สุยโย่วเปียนเดินทางไปยังใบถงทวีปแล้ว นางต้องการไปเยือนสำนักกุยหยกที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นผู้นำตระกูลเซียน เพื่อเปลี่ยนสถานะไปเป็นผู้ฝึกกระบี่

เว่ยเซี่ยนติดตามชุยตงซานหนีไปแล้ว

หลูป๋ายเซี่ยงต้องการท่องเที่ยวไปทั่วภูเขาและแม่น้ำเพียงลำพัง

จึงเหลือเพียงเขาจูเหลี่ยนที่เลือกจะติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน

สองครั้งที่เฉินผิงอันลงมือในสวนสิงโต ครั้งหนึ่งคือเล่นงานปีศาจที่ออกอาละวาด อีกครั้งหนึ่งคือรับมือกับหลี่เป่าเจิน อันที่จริงจูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันมีฝีมือโดดเด่นอะไรนัก

แต่พอย้อนมามองบทสนทนาระหว่างเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิง จูเหลี่ยนที่นำกลับมาขบคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ให้เลื่อมใสจากใจจริง

หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง หลี่ซีเซิ่ง ตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่

ระหว่างทั้งสี่นี้มีความเชื่อมโยงกันทางสายเลือด ส่วนเฉินผิงอันที่แม้จะถูกหลี่เป่าผิงเรียกว่าอาจารย์อาน้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง

เฉินผิงอันจะจัดการกับหลี่เป่าเจินอย่างไรเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง และหากจะคาดหวังให้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ล้วนไม่ทำให้หลี่เป่าผิงเสียใจ ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ นั่นแทบจะเป็นทางตันที่ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วน ‘ไม่ผิด’ แต่ก็ ‘ไม่ถูกต้อง’ สักอย่าง

หากเฉินผิงอันปิดบังเรื่องนี้หรือเล่าเหตุการณ์ที่เขาพบเจอกับหลี่เป่าเจินที่สวนสิงโตอย่างเรียบง่าย ตอนนี้หลี่เป่าผิงก็คงยังสนิทสนมกับเฉินผิงอันได้เหมือนเดิมโดยไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน

แต่หากวันใดที่เฉินผิงอันสังหารหลี่เป่าเจินที่รนหาที่ตายเอง ต่อให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล หลี่เป่าผิงเองก็เข้าใจเหตุผลได้ดี แต่นี่ไม่เกี่ยวกับว่าส่วนลึกในใจของแม่นางน้อยจะเสียใจหรือไม่

นี่จะกลายเป็นปมทางใจ

ดังนั้นจึงมีบทสนทนาครั้งนั้นเกิดขึ้น

จูเหลี่ยนเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้าพลางพึมพำกับตัวเองว่า “นี่ต่างหากถึงจะเป็นเวทกระบี่ในใจของคน ตัดขาดได้แม่นยำยิ่ง”

ตัดขาดอย่างไร?

ครั้งแรกเฉินผิงอันยังไม่ฆ่าหลี่เป่าเจินก่อน เป็นการรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับหลี่ซีเซิ่ง โดยเนื้อแท้แล้วนี่คล้ายคลึงกับการรักษากฎหมาย

จากนั้นก็ใช้วัตถุที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษบนร่างของหลี่เป่าเจินมา ‘รับจำนำ’ กับหลี่เป่าผิงและคนตระกูลหลี่ทั้งตระกูลที่อยู่บนถนนฝูลวี่ นี่เป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกของคนทั่วไป

นี่คือการตัดแบ่งหลี่เป่าเจินคนเดียวออกมาจากคนตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ เหมือนชุยตงซานใช้กระบี่บินวาดพื้นดินให้เป็นพื้นที่ลับบ่อสายฟ้าแล้วกักขังหลี่เป่าเจินไว้ภายใน

หลี่เป่าเจินคือหลี่เป่าเจิน ตระกูลหลี่เบื้องหลังหลี่เป่าผิงและหลี่ซีเซิ่งคือตระกูลหลี่ที่หลังจากเด็ดดึงหลี่เป่าเจินออกมาแล้ว

เฉินผิงอันทำการวาดวงกลมและกำหนดขอบเขต

อีกทั้งยังชี้นำทิศทางการโคจรของเส้นทางในหัวใจให้กับหลี่เป่าผิงอย่างเงียบเชียบ มอบความเป็นไปได้ที่เปิดกว้างว่า ‘ไม่มีใครผิด ถึงเวลานั้นทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง’ วันหน้าเมื่อย้อนกลับมาดู ต่อให้เฉินผิงอันต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับหลี่เป่าเจินจริงๆ ต่อให้หลี่เป่าผิงจะยังเสียใจอยู่เหมือนเดิม แต่จะไม่มีทางเปลี่ยนจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง

นี่ก็คือเวทกระบี่ที่ผู้เฒ่าแซ่สวินผู้นั้นกล่าวถึง

การออกกระบี่ของเฉินผิงอันสอดคล้องกับวิถีนี้อย่างพอดิบพอดี

คือการเล่นชักคะเย่อบนจิตใจคนที่มหัศจรรย์ครั้งหนึ่ง

และวันนั้นเฉินผิงอันเองก็ดูการเล่นหมากล้อมอยู่ในเรือนหลังของร้านยา ได้ยินคำพูดล้ำค่าที่แต่ละคำดุจทองพันชั่งของผู้เฒ่าแซ่สวินเช่นกัน แต่จูเหลี่ยนกล้าพูดเลยว่า ต่อให้สุยโย่วเปียนปิดด่านทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่หนึ่งวันสองคืน ต่อให้พรสวรรค์ในการเรียนกระบี่ของสุยโย่วเปียนจะดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะบรรลุถึงความหมายแท้จริงของคำพูดนั้นได้อย่างเฉินผิงอัน

มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนมีแบ่งแยกใกล้และไกล แต่ก็มีความต่างที่ระดับสูงต่ำอยู่เช่นกัน

ยังจำสองประโยคนั้นที่หลี่เป่าผิงสอนเผยเฉียนได้

สะพายหีบไม้ไผ่ สวมรองเท้าสาน ต่อยหมัดล้านรอบ เด็กหนุ่มสะโอดสะองผู้สุขุมเยือกเย็นที่สุด

สะพายกระบี่เซียน สวมชุดคลุมสีขาว เดินทางพันหมื่นลี้ อาจารย์น้อยดีที่สุดในโลก

จูเหลี่ยนพึมพำเบาๆ “เป่าผิงน้อย แม้ว่าตอนนี้อาจารย์อาน้อยของเจ้าจะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่จิตแห่งเซียนกระบี่นั้นกลับมีเค้าโครงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วกระมัง?”

จูเหลี่ยนพลันหยุดเดิน มองไปยังสุดปลายทางสายเล็กที่ทอดตรงมายังเรือนหลังเล็ก หรี่ตาลง

ตรงนั้นมีชายชราลัทธิขงจื๊อที่มีกวางขาวตัวหนึ่งอยู่เคียงข้างปรากฏตัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!