บทที่ 416 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก
ฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยเสด็จมาร่วมงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน ทูตจากต้าหลีก็คือรองเจ้ากรมพิธีการที่ปีนั้นเคยไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียน หากเฉินผิงอันได้เห็นต้องจำเขาได้ในทันที
ในงานเลี้ยงที่มองไปทางใดก็เห็นแต่เส้นผมสีขาวโพลน ซ่งจี๋ซินและสวี่รั่วที่นั่งขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวาของรองเจ้ากรมต้าหลีต่างก็ใช้ชื่อปลอม ส่วนจื้อกุยนั้นไม่ได้มาร่วมงานด้วย
สวี่รั่วยังคงแต่งกายเป็นจอมยุทธพเนจรที่สะพายกระบี่ในแนวขวางไว้ด้านหลัง
คาดว่านอกจากซิ่วหู่ในวัยเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วก็คงไม่มีใครรู้ว่าสวี่รั่วทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
ปะทะกับอาจารย์ฟ่านซึ่งๆ หน้า เป็นฝ่ายเอ่ยอนุญาตให้หนึ่งในสายการค้าสามารถบุกครึ่งทางเข้ามาเข่นฆ่าสังหารในงานเลี้ยงเถาเถี่ย (สัตว์ในตำนานชนิดหนึ่ง เป็นตัวแทนของความตะกละ) ที่หอบเอาอาณาเขตของหนึ่งทวีปเข้ามาเกี่ยวข้องครั้งนี้แทนต้าหลี ปล่อยให้พวกเขาได้พัฒนารุ่งเรืองไปตามใจปรารถนา ภายในเวลาสามสิบปี สกุลซ่งต้าหลีจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก
สวี่รั่วดื่มเหล้า สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องใหญ่และสถานการณ์ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ แต่กำลังคิดว่าควรจะอบรมปลูกฝังต่งสุ่ยจิ่งที่ยังคงขายเกี้ยวน้ำผู้นั้นให้กลายเป็นคนเชื่อดาบที่แท้จริงได้อย่างไร
ซ่งจี๋ซินมองฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุย แล้วก็กวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกเพียงว่าตลอดทั้งราชสำนักต้าสุยมีแต่กลิ่นอายของความท้อแท้โรยรา
จื้อกุย หรือควรจะเรียกว่าหวังจู อยู่ในจุดพักม้าที่เงียบสงัดเพียงลำพัง
นักพรตวัยกลางคนร่างสูงผอมคนหนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา ปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริง นำพาผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่สองคนมาเยือนจุดพักม้าอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเดินตรงเข้ามาหาจื้อกุยที่กำลังยืนเอนตัวพิงราวระเบียงฟังเสียงลมพัดกระดิ่งลมใต้หลังคา
นักพรตวัยกลางคนถอนเวทคาถาออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง กลิ่นอายเซียนอบอวลไปทั่วร่างของเขา บนศีรษะสวมกวานหางปลา เพียงแค่ยืนอยู่ในลานบ้านก็มีกลิ่นอายของมหามรรคาอันไกลโพ้นที่อยู่ร่วมกับฟ้าดิน ร่างของเขาจึงเป็นเหมือนขุนเขายิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน
จื้อกุยเพียงแค่ชำเลืองตามองฉีเจิน เต้าจวิน (หรือเต๋าจวิน) ของสำนักโองการเทพ ผู้ปกครองระบบเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนผู้ฝึกตนที่สะพายกระบี่ของภูเขาเจินอู่ นางกลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง ความสนใจส่วนใหญ่ของนางอยู่ที่คนหนุ่มที่มีแมวดำนั่งอยู่บนไหล่ผู้นั้นมากกว่า ท่าทางของเขาสุภาพสงบนิ่ง ไม่ต่างจากเจ้าโง่ของตรอกซิ่งฮวาในความทรงจำสักเท่าไหร่ หน้าตาของเขาค่อนข้างหล่อเหลา แต่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขากำลังมองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และมีความปรารถนาอยากครอบครองที่เร่าร้อนซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของดวงตา
จื้อกุยไม่ค่อยชอบเจ้าหมอนี่สักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่ามีอคติอะไรกับเขา แต่เป็นเพราะย่าของหม่าขู่เสวียนผู้นี้ทำให้นางรังเกียจเดียดฉันท์มากจริงๆ นิสัยไม่ดีที่สตรีในหมู่ชาวบ้านของใต้หล้าควรมีหรือไม่ควรมี ดูเหมือนว่าหญิงชราผู้นั้นจะยึดครองไว้หมด ทุกครั้งที่ออกไปตักน้ำตรงบ่อโซ่เหล็ก ขอแค่เจอกับหญิงชราคนนั้น นางก็จะต้องทนฟังคำพูดแปลกแปร่งระคายหูอยู่หลายประโยค หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นจื้อกุยถูกกฎเกณฑ์ของถ้ำสวรรค์หลีจูกำราบไว้อย่างแน่นหนา นางก็มีวิธีการนับร้อยรูปแบบที่จะทำให้หญิงชราปากยืดปากยาวอยู่ไม่สู้ตาย ภายหลังหยางเหล่าโถวเสียสติ ถึงขั้นมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้แก่หญิงชรา ทำให้นางกลายเป็นแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวีในเมืองเล็ก จื้อกุยก็ได้แต่รอคอยโอกาสต่อไป สักวันหนึ่งนางจะต้องทำให้หญิงชราที่มีชื่อเดิมว่าหม่าหลันฮวาผู้นั้นได้ลิ้มรสชาติของนรกบนดินดูให้ได้
ส่วนหม่าขู่เสวียนจะทำอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น นางสนใจหรือ? นางไม่สนเลยสักนิดเดียว
ฉีเจินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แม่นางจื้อกุย เรื่องที่เจ้าลัทธิลู่ไหว้วานให้ผินเต้า (คำเรียกแทนตัวอย่างถ่อมตัวของนักพรต) ทำ ผินเต้าทำเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สำนักโองการเทพเพิ่งจะได้พื้นที่มงคลที่ปริแตกใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งมาครอง ผินเต้าขอต้อนรับแม่นางจื้อกุยให้เข้าไปหาโชควาสนาข้างในนั้น และผินเต้าก็ยินดีจะช่วยคุ้มครองแม่นางตลอดการเดินทาง”
หากย้อนสืบสาวกันไปถึงต้นกำเนิดแล้ว แม้ว่าฉีเจินจะเป็นสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่เดิมทีลู่เฉินก็เป็นหนึ่งในสามเจ้าลัทธิใหญ่ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง การที่ฉีเจินได้ทำงานให้กับลู่เฉิน เขาย่อมปลาบปลื้มยินดี การที่สามารถเข้าตาเจ้าลัทธิลู่ได้นั้น ฉีเจินมั่นใจไม่คลางแคลง แต่เขากลับไม่วาดหวังแล้วว่าในอนาคตตนจะไปสู่ขอบเขตบินทะยานได้ ตอนที่ฉีเจินยังเยาว์ก็เคยได้รับคำทำนายจากยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง ด้วยประโยคว่า ‘เซียนเองก็ต้องมองลูกบ๊วยดับกระหายเช่นกัน’ ก่อนที่จะมาถึงขอบเขตสิบสอง เขาคิดว่ามันเป็นคำอวยพรที่เป็นมงคล แต่รอจนฉีเจินเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน มันกลับกลายเป็นคำทำนายอัปมงคลที่ราวกับจะบอกว่าเขาได้เดินมาจนสุดปลายทางและกำลังรอความตายอย่างเชื่องช้า และเจ้าลัทธิลู่เฉินก็คือหนึ่งในบุคคลยิ่งใหญ่ของหลายใต้หล้าที่ชอบเปลี่ยนชะตาชีวิตให้กับคนที่ถูกชะตามากที่สุดพอดี เล่าลือกันว่างานอดิเรกสี่เรื่องใหญ่ที่เจ้าลัทธิลู่ชอบทำมากที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือแกะสลักไม้ผุ
ในสายตาของหม่าขู่เสวียนมีแต่นาง เขามองแม่นางคนที่ตัวเองชื่นชอบมาเนิ่นนานแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องรบกวนเทียนจวิน ข้าจะทำหน้าที่นั้นให้เอง”
จื้อกุยเองก็ไม่ได้สนใจเทียนจวินลัทธิเต๋า ถึงขั้นไม่คิดจะนั่งตัวตรงให้เรียบร้อย ยังคงเอียงศีรษะอย่างเกียจคร้านมองหม่าขู่เสวียน “เจ้าก็คือโชควาสนาที่ลู่เฉินรับปากว่าจะมอบให้ข้า? วันหน้าเจ้าจะฟังคำสั่งจากข้าทุกอย่างหรือไม่?”
ปีนั้นลู่เฉินตั้งแผงดูดวง หลังจากได้พบฮ่องเต้ต้าหลีกับซ่งจี๋ซินแล้วก็ได้ไปเยือนตรอกหนีผิงเพียงลำพังเพื่อมาหานาง บอกว่าเขาอาศัยอุบายเล็กๆ น้อยๆ จนได้คำว่า ‘จะปล่อยไปสักครั้ง’ จากซ่งเจิ้งฉุนซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของเขาลู่เฉินพอดี ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคล้อยตามสถานการณ์ เก็บเอาหม่าขู่เสวียนเข้าเป็นของในกระเป๋าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเขาลู่เฉินก็คิดจะมอบหม่าขู่เสวียนให้แก่จื้อกุย
จื้อกุยไม่สนใจความเป็นไปเป็นมาเหล่านั้น ตอนแรกนางเองก็ไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าหม่าขู่เสวียนคนเดียวจะสร้างเรื่องก่อราวอะไรได้ ภายหลังหม่าขู่เสวียนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูเขาเจินอู่ ฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้งติดต่อกันราวกับผ่าลำไม้ไผ่ นางถึงได้รู้สึกว่าแม้หม่าขู่เสวียนจะไม่ใช่หนึ่งในห้าคน แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างอื่น จื้อกุยคร้านจะคิดมาก มีมีดเพิ่มมาในมืออีกหนึ่งเล่ม ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องร้าย ตอนนี้นอกจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าแล้ว นางก็ไม่มีลูกสมุนคนอื่นที่เรียกใช้งานได้ตามใจปรารถนาอีก
หม่าขู่เสวียนพยักหน้ารับ “ทุกอย่างล้วนฟังเจ้า เจ้าอยากฆ่าใครก็แค่พูดมาคำเดียว ขอแค่ไม่ใช่ตะพาบเฒ่าห้าขอบเขตบน ข้ารับรองว่าจะต้องเอาหัวของเขากลับมาให้เจ้าให้จงได้ ส่วนห้าขอบเขตบนคงต้องรออีกหน่อย วันหน้าข้าย่อมทำได้ อีกทั้งยังไม่ต้องรอนานมากเกินไปด้วย”
เพราะชื่นชอบจื้อกุย ปีนั้นตอนที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกซิ่งฮวา หม่าขู่เสวียนจึงต้องโดนท่านย่าบ่นและตำหนิใส่ไม่น้อย
มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ท่านย่าซึ่งรักและเอ็นดูเขาที่สุดจะตำหนิเขา
จื้อกุยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฆ่าเฉินผิงอันได้หรือไม่?”
หัวใจของผู้ปกป้องมรรคาจากภูเขาเจินอู่คนนั้นบีบรัดตัว กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ไม่ได้”
จื้อกุยเอาแต่จับจ้องหม่าขู่เสวียน
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ ข้าไม่สามารถสังหารเฉินผิงอันได้ แต่เจ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแก่ข้าได้ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งปีหรือสามปี แต่บอกตามตรง หากคำเล่าลือเป็นจริง เฉินผิงอันในเวลานี้ฆ่าได้ไม่ง่ายนัก เว้นเสียแต่ว่า…”
จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะตัดบทคำพูดของหม่าขู่เสวียนตรงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไหร่ ลู่เฉินไม่ค่อยมีคุณธรรมเอาเสียเลย คนรุ่นหลังที่มอบให้เทียนจวินเซี่ยสือก็คือเจ้าคนคิ้วยาวทึ่มทื่อนั่น ลงมือทีหนึ่งก็เป็นเจดีย์จิ๋วที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แต่พอมาถึงคราวข้ากลับใจแคบเช่นนี้”
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ท่านนั้นกลัวว่าหม่าขู่เสวียนได้ยินประโยคนี้แล้วจะมีโทสะ นึกไม่ถึงว่าเขาลองใช้เวทลับลอบสังเกตทะเลสาบหัวใจของอีกฝ่าย กลับพบว่ามันสงบนิ่งดุจกระจก ถึงขั้นที่ว่าบนพื้นผิวกระจกนั้นยังมีประกายแสงแวววาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยินดีปรากฎขึ้นด้วย
หม่าขู่เสวียนคลี่ยิ้มเจิดจ้า “หวังจู เจ้ารอก่อนเถอะ สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้ว่าข้านั้นดีที่สุด อาวุธเซียนที่มีมูลค่าควรเมือง หรือลูกรักแห่งสวรรค์อะไรทั้งหลายแหล่ ถึงเวลาเมื่อย้อนกลับมามองดูก็เป็นแค่สิ่งเละเทะและมดตัวน้อยเท่านั้น”
จื้อกุยกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าชอบข้าที่ตรงไหน? ตอนอยู่ในเมืองเล็ก ข้าไม่เคยคบค้าสมาคมกับเจ้าสักหน่อย จำไม่ค่อยได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เคยคุยกันเลยสักคำด้วย”
ถูกมองข้ามและเย็นชาใส่ขนาดนี้ การแสดงออกของหม่าขู่เสวียนก็ยังคงมากพอจะทำให้บรรพบุรุษของภูเขาเจินอู่ทุกคนอ้าปากค้าง เห็นเพียงว่าเขามีท่าทางเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่กลับไม่ได้ให้คำตอบ
จื้อกุยพลันหัวเราะ ยื่นนิ้วมาชี้หม่าขู่เสวียน “ตอนนี้เจ้าหม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่ลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?”
มุมปากของหม่าขู่เสวียนตวัดขึ้น พริบตานั้นเขาก็กลับคืนมาเป็นผู้ฝึกตนจอมยโสโอหังมีพรสวรรค์เลิศล้ำที่คนบนโลกคุ้นเคย ผู้ฝึกตนที่ทำให้คนวัยเดียวกันเกิดความสิ้นหวัง ทำให้ผู้ฝึกตนวัยชรารู้สึกเพียงว่าเวลาหลายร้อยปีที่มีชีวิตมาล้วนเอาไปใช้บนร่างสุนัขเสียหมด ประเด็นสำคัญก็คือหลายครั้งที่หม่าขู่เสวียนลงจากภูเขาไปฝึกขัดเกลาประสบการณ์หรือไม่ก็ต่อสู้บนสนามประลองกับคนอื่นบนภูเขาเจินอู่ เขาเข่นฆ่าสังหารได้อย่างเด็ดขาด อำมหิตเลือดเย็น เพียงชั่วพริบตาก็ตัดสินเป็นตาย อีกทั้งยังชอบตัดรากถอนโคน ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล เขาก็ล้วนไม่ละเว้น
หม่าขู่เสวียนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าไม่ใช่ลูกรักแห่งสวรรค์อะไรทั้งนั้น”
แมวดำที่นั่งอยู่บนไหล่ของเขางอตัว ยกกรงเล็บขึ้นมาเลีย ท่าทางอ่อนโยนว่าง่ายเป็นพิเศษ
จื้อกุยมองประเมินเขาแวบหนึ่งก็เบ้ปาก “ก็แล้วแต่”
หม่าขู่เสวียนเอ่ยถาม “หากวันใดข้าสังหารซ่งจี๋ซิน เจ้าจะโกรธหรือไม่?”
จื้อกุยถลึงตาใส่คล้ายมีโทสะ “หม่าขู่เสวียน ก่อนที่เจ้าจะมีความสามารถเช่นนั้นก็อย่าพูดจาวางโตนักเลย เพราะมันจะทำให้คนรังเกียจ”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า”
อารมณ์ของผู้ปกป้องมรรคาจากภูเขาเจินอู่ที่มองดูหม่าขู่เสวียนเติบโตมาทีละก้าวซับซ้อนยิ่ง
ส่วนเทียนจวินฉีเจินกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
แต่เพราะความเคารพที่มีต่อเจ้าลัทธิลู่ที่ย้อนกลับป๋ายอวี้จิงไปแล้วผู้นั้น เขาถึงได้อดทนยืนอยู่ตรงนี้ มองดูพวกเด็กรุ่นหลังพูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
ไม่ว่าจื้อกุยกับหม่าขู่เสวียนจะมีตัวตนเช่นไร ขอแค่ยังเป็นหนึ่งวันที่พวกเขายังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน พวกเขาก็เป็นแค่เครื่องกระเบื้องงดงามสองชิ้นที่คิดจะแตกก็แตกได้ทุกเมื่อ
หม่าขู่เสวียนกล่าวอย่างเสียดาย “เดี๋ยวข้าต้องไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว ไปสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองสามคนเพื่อฝ่าทะลุขอบเขต”
จื้อกุยพูดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าไม่เห็นอยากรู้ว่าเจ้าจะไปไหน”
หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หันหน้าไปพูดกับฉีเจิน “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เทียนจวินช่วยพาพวกเราออกจากเมืองทีเถอะ”
ฉีเจินพยักหน้ารับ พูดกับจื้อกุยว่าไว้พบกันใหม่ จากนั้นเงาร่างของคนทั้งสามก็หายไป
ค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุยไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
เสมือนเข้าออกดินแดนที่ไร้ผู้คน
โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป คาดว่าคงมีแค่เมืองหลวงต้าหลีเท่านั้นที่พอจะทำให้เทียนจวินท่านนี้กริ่งเกรงได้บ้าง
จื้อกุยฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง รู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย นางหลับตาลง เล็บบนนิ้วเรียวยาววาดไปตามราวระเบียงอย่างเรื่อยเปื่อย เกิดเสียงดังครืดๆ
นางพลิกตัวกลับ เอนหลังพิงรั้ว แหงนศีรษะไปด้านหลัง ส่วนเว้าส่วนโค้งของตลอดทั้งร่างปรากฎเด่นชัด
นางงอนิ้วแล้วดีดออกครั้งแล้วครั้งเล่า กระดิ่งที่แขวนไว้ใต้หลังคาพวงนั้นส่งเสียงกรุ้งกริ้งไปตามจังหวะ
ท่ามกลางแสงสนธยา
นางลืมดวงตาทั้งคู่ที่มีตาดำเป็นสีทองตั้งตรงคู่นั้นขึ้น
แต่ชั่วแวบเดียวภาพปรากฎการณ์ผิดปกติก็พลันหายไป
นางยืดเรือนกายสะโอดสะองขึ้นตรง ยิ้มมองไปทางประตูเรือน
ซ่งจี๋ซินที่บนร่างมีกลิ่นสุราจางๆ เดินเข้าเรือนมา
นางเอ่ยถาม “งานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนสนุกไหม?”
ซ่งจี๋ซินสะบัดชายแขนเสื้อ ทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด “ตาแก่ในงานเลี้ยงพวกนั้นคงนึกอยากจะเลาะหนังดึงเส้นเอ็นแล้วกินเนื้อดื่มเลือดของพวกเราทั้งสามคนเต็มที ข้าตกใจเกือบตายแน่ะ”
จื้อกุยถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ใช่ว่าไปเพื่อลงนามพันธมิตรร้อยปีหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความแค้นอะไรกับคุณชาย กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเราก็ยังไม่เคยย่ำผ่านหน้าประตูบ้านของพวกเขา แต่ตรงดิ่งไปทางใต้เลย ทำไมพวกเขาต้องทำตัวไม่เป็นมิตรแบบนั้นด้วย?”
ซ่งจี๋ซินเอนตัวพิงราวระเบียง ครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “มีชีวิตดีๆ มาจนเคยชินแล้วน่ะสิ พอต้องเจอกับความอยุติธรรมนิดๆ หน่อยๆ เลยรับไม่ได้”
สีหน้าจื้อกุยกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นนิสัยของบ่าวก็ดีกว่าพวกเขามากเลย”
ซ่งจี๋ซินเข้าใจผิดนึกว่านางพูดถึงเรื่องหยุมหยิมไม่มีสาระในตรอกทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงของปีนั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้คุณชายได้ดิบได้ดีเมื่อไหร่ จะต้องช่วยระบายโทสะแทนเจ้าแน่”
จื้อกุยอืมรับหนึ่งที แล้วถามว่า “หนังสือสามเล่มนั้น คุณชายยังมองอะไรไม่ออกอีกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาหลับตาลง ยกสองมือนวดคลึงข้างแก้ม “ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่ตำราทั่วไป ทำให้ข้าสงสัยโน่นนี่อยู่เป็นนาน”
ซ่งจี๋ซินพลันสอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อ หยิบงูสี่ขาสีเหลืองดินที่ลักษณะเหมือนงูสี่ขาทั่วไปในป่าเขาออกมาโยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน มันกระเหี้ยนกระหือรือเต็มที หากไม่เป็นเพราะสวี่รั่วใช้ปราณกระบี่กำราบเอาไว้ เกรงว่ามันคงพุ่งไปกัดหัวฮ่องเต้ต้าสุยเอามากินเป็นอาหารมื้อดึกแล้ว”
สาวใช้ย่อตัวลงนั่งยอง หยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางบนฝ่ามือ
งูสี่ขาตัวนั้นทำท่าขลาดกลัว ยังคงไม่กล้าเขมือบกลืนอาหารเลิศรสนั่น
ซ่งจี๋ซินก้มตัวลงมองเจ้าตัวน้อยที่บนหน้าผากมีเขางอกออกมาแล้วกล่าวอย่างระอาใจว่า “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้านี่สิ แล้วก็ลองมองงูน้ำที่ทะเลสาบเจี่ยนหูตัวนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ”
ซ่งจี๋ซินไม่สนใจมันอีก เขาอ้าปากหาวหวอด เดินไปนอนในห้องที่อยู่ด้านใน
จื้อกุยแกว่งฝ่ามือ งูสี่ขายังคงไม่กล้าเดินขึ้นหน้ามา
“ถือว่าเจ้ายังรู้ความ”
จื้อกุยยิ้มตาหยีโยนเงินฝนธัญพืชใส่เข้าปากตัวเอง เจ้าตัวน้อยส่งเสียงฟ่อเบาๆ คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ
จื้อกุยกำหมัดต่อยลงบนหัวของมัน “สามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้สามปี แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”
นางลุกขึ้นยืน เตะงูสี่ขาตัวนั้นกระเด็นเข้าไปในลานบ้าน “ไม่มีความสามารถสักนิด แต่ยังกล้าปรารถนาอยากครอบครองคราบร่างเซียนบรรพกาลของราชครู แอบน้ำลายไหลก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำให้คนเขาจับได้อีก ทำไมข้าถึงต้องมาเจอเจ้าตัวที่มือไม้พายเอาเท้าราน้ำอย่างเจ้าด้วยนะ”
จื้อกุยนั่งลงบนขั้นบันได ถอดรองเท้าปักออกมาข้างหนึ่ง กวักมือเรียกมันมา
เจ้าตัวน้อยวิ่งมาหยุดอยู่ข้างเท้านางแต่โดยดี นางที่ยังโมโหจึงยกรองเท้าปักลวดลายตบลงบนตัวเจ้าตัวเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า
……
บนภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน สำนักศึกษาหลินลู่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุยมาขอศึกษาต่อที่นี่ ทั้งต้าสุยและต้าหลีต่างก็ไม่ได้จงใจจะปิดบังเรื่องนี้
นี่เป็นครั้งที่สองที่เกาเซวียนได้เข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน แต่ครั้งแรกนั้นเขาต้องเดินผ่านบันไดทอดฟ้าขึ้นไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนท้องฟ้า ครั้งนี้กลับอยู่บนดิน อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีอย่างแท้จริง
ตอนนี้ภูเขาพีอวิ๋นคือขุนเขาเหนือของต้าหลี ภูเขาคือลูกใหม่ สำนักศึกษาก็คือแห่งใหม่ ตั้งแต่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปจนถึงปัญญาชนหนุ่มสาวที่มาขอศึกษาต่อก็ล้วนถือว่าเป็นคนใหม่
สำนักศึกษาหลินลู่คือสำนักศึกษาที่ราชสำนักต้าหลีเป็นผู้สร้าง ไม่มียศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาไม่มีชื่อเสียงมากนัก หนึ่งในนั้นก็คือรองเจ้ากรมผู้เฒ่าจากแคว้นหวงถิงที่ในอดีตเคยเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าสุย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสำนักศึกษาหลินลู่ต้องพุ่งเข้าหา ‘เจ็ดสิบสอง’ อย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่สกุลซ่งต้าหลีต้องครอบครองให้จงได้
ตอนแรกเริ่มเกาเซวียนยังนึกว่าตัวเองที่อยู่ในสำนักศึกษาจะต้องพบเจอกับความขัดแย้งมากมาย อย่างน้อยก็ต้องถูกคนดูแคลนหรือทำตัวเย็นชาใส่ ไม่ก็ลองหยั่งเชิงด้วยเจตนาร้าย เหมือนอย่างที่พวกหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่ที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาบนภูเขาตงหัวโดนกระทำ จะอย่างไรก็ต้องเจอกับความยากลำบากที่ถูกรังแกบ้าง แต่เกาเซวียนมาอยู่สำนักศึกษาหลินลู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่านับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ พวกเขาต่างก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลูกศิษย์หรือเพื่อนร่วมชั้นอย่างองค์ชายจากแคว้นศัตรูเช่นเขาเท่าไหร่ แทบจะไม่มีใครเผยความเป็นศัตรูออกมาอย่างชัดเจน
เกาเซวียนยังเคยฉงนสนเท่ห์กับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ภายหลังถึงได้รับคำชี้แนะจากบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น
ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยปี ราชวงศ์ต้าหลีก็เปลี่ยนจากแคว้นที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลู เปลี่ยนจากขันทีที่มีส่วนร่วมกับงานบริหารบ้านเมืองและพระญาติที่กุมอำนาจในช่วงยุคแรกซึ่งไม่ต่างจากบ่อโคลนเละๆ เติบโตกลายมาเป็นผู้พิชิตพื้นที่ทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่างในทุกวันนี้ ในช่วงเวลานี้มีศึกสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดย่อน พวกเขาคอยต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มีคนตายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งฮุบกลืนแคว้นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่อให้ชาวบ้านของเมืองหลวงต้าหลีจะเป็นคนที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่มีฐานะและตัวตนอย่างคนมากมายในราชสำนักต้าสุย ตอนนี้เป็นเช่นไร เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาเมื่อสองสามร้อยปีก่อนก็เป็นเช่นเดียวกัน
เกาเซวียนรู้เพียงแค่นี้ก็กระจ่างแจ้ง น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่เน่า วงกบประตูที่ถูกเปิดตลอดเวลามอดย่อมไม่กิน (อุปมาว่าเมื่อฝึกปรือฝีมือตลอดเวลาก็ย่อมเกิดความคล่องชำนาญ)
แต่บรรพบุรุษสกุลเกาที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ใช้ฐานะของนักเล่านิทานปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านกลับเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “น้ำไหล? เลือดไหลน่ะสิไม่ว่า”
ยามที่เกาเซวียนมีเวลาว่างก็มักจะสะพายหีบหนังสือไปท่องเที่ยวตามภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง บ้างก็ไปเดินเล่นตามตรอกซอกซอยของเมืองเล็ก หรือไม่ก็ไปเที่ยวในเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ทางทิศเหนือ อีกทั้งยังตั้งใจเดินอ้อมเล็กน้อยเพื่อไปจุดธูปที่ศาลภูเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือ ระหว่างทางก็แวะกินเกี้ยวน้ำ เจ้าของร้านแซ่ต่ง เป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ มักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความมีไมตรีปรองดอง ไปๆ มาๆ เกาเซวียนจึงกลายเป็นเพื่อนกับเขา หากต่งสุ่ยจิ่งไม่ยุ่งก็จะเข้าครัวทำกับข้าวธรรมดาสองจาน แล้วคนทั้งสองก็กินแกล้มเหล้าด้วยกัน
บางครั้งเกาเซวียนก็จะไปเยือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ว่ากันว่าเจ้าของบ้านคือบุรุษที่มีนามว่าหลี่เอ้อร์ ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกคนบ้านเดิมฝั่งภรรยาของเขายึดครองไปแล้ว กำลังคิดว่าจะเอามาขายในราคาสูง เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะติดขัดที่ฝ่ายอาคารบ้านเรือนของที่ว่าการอำเภอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีโฉนดที่ดิน
ในหีบหนังสือของเกาเซวียนมีข้องราชามังกรอยู่ใบหนึ่ง
ทุกวันเขาจะต้องใช้เวทลับที่บรรพบุรุษสกุลเกาถ่ายทอดให้ นำเงินร้อนน้อยมาหลอมเล็กแล้วกรอกเทเข้าไปข้างใน เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณที่อยู่ในนั้นเข้มข้นราวกับน้ำ
ในข้องปลาที่สานด้วยไม้ไผ่มีปลาหลีสีทองตัวหนึ่งว่ายวนอยู่อย่างเชื่องช้า
นั่นเป็นครั้งแรกที่เกาเซวียนได้พบหลี่เอ้อร์ แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันด้วย
อันที่จริงก่อนจะมาที่นี่ เกาเซวียนก็เตรียมใจมาก่อนแล้ว ไม่แน่ว่าวันใดเขาอาจจำเป็นต้องมอบข้องราชามังกรและปลาหลีสีทองให้กับบุคคลที่มีอำนาจบางคนของราชวงศ์ต้าหลี เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้ตัวเองสามารถเรียนอยู่ในสำนักหลินลู่ได้อย่างปลอดภัย
แต่จนถึงทุกวันนี้ แม้แต่นายอำเภอหยวนและเจ้าเมืองอู๋ก็ยังไม่เคยมาพบเขา
วันนี้ขณะที่เกาเซวียนกำลังนั่งล้างหน้าอยู่ริมลำธาร เขาหันขวับกลับไปก็เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ หูข้างหนึ่งสวมต่างหูวงกลมสีทอง
เกาเซวียนรีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “เกาเซวียนคารวะองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ”
เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลียิ้มกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เห็นว่าเจ้าเดินเที่ยวไปหลายสถานที่ เอาแต่สะพายข้องราชามังกรไว้บนหลังแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง หากเจ้าเชื่อใจข้า ไม่สู้เปิดข้องราชามังกร ปล่อยปลาหลีสีทองตัวนั้นลงไปในลำธาร เลี้ยงมันไว้ในน้ำที่มีชีวิต ใช้ปราณวิญญาณต่างน้ำคือการเลี้ยงให้ตาย นานวันเข้ามันจะสูญเสียสติปัญญา แม้ว่าขอบเขตจะสามารถไต่ทะยานได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น แต่จะถูกสกัดขวางไว้บนคอขวดของขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าการปล่อยมันลงน้ำ ปราณวิญญาณที่ดูดซับมาได้ในแต่ละวันจะด้อยกว่ามาก การพัฒนาของขอบเขตก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่หากมองในระยะยาวก็ยังถือว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย”
เว่ยป้อชี้ยังทิศไกล “จากลำคลองหลงซวีตรงนี้ไปจนถึงแม่น้ำเถี่ยฝู มันสามารถแหวกว่ายได้อย่างอิสระเสรี ข้าจะบอกกล่าวแก่แม่ย่าลำคลองและเทพแม่น้ำทั้งสองท่านไว้ก่อนว่าไม่ให้ขัดขวางการฝึกตนของมัน”
อันที่จริงเกาเซวียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย
เขาไม่เคยไปมาหาสู่กับเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีผู้นี้มาก่อน จะให้เขาวางใจได้อย่างไร?
ปลาหลีสีทองในข้องปลาตัวนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่ท่านบรรพบุรุษยกย่องว่าในอนาคตมีหวังจะกระโดดข้ามประตูมังกรของแผ่นดินกลาง กลายเป็นมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่งเชียวนะ
บนเส้นทางของการฝึกตน ความมืดดำของจิตใจคน กลอุบายและแผนการมีหลากหลายสารพัดรูปแบบ
หากถูกคนช่วงชิงโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ไป ในเมื่อเกาเซวียนต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาผู้อื่น เขาก็คงต้องยอมรับ ยอมรับในสถานการณ์ใหญ่ ทว่าจิตแห่งเต๋าของตนกลับยิ่งยึดมั่นหนักแน่น บุกรุดหน้าทวนกระแสไปอย่างห้าวเหิม สามารถขัดเกลาจิตใจได้ดีที่สุด
แต่หากถูกคนวางแผนเล่นงาน ทำให้ต้องสูญเสียโชควาสนาที่อยู่ในมือของตัวเองแล้วไป ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เขาสูญเสียจะไม่ใช่แค่ปลาหลีสีทองหนึ่งตัว แต่ยิ่งเป็นการทำให้มหามรรคาของเขาเกาเซวียนเกิดรูรั่วและช่องโหว่ขึ้น
เว่ยป้อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร รอวันใดที่เจ้าคิดตกแล้วค่อยเลี้ยงมันแบบปล่อยก็ยังไม่สาย”
เว่ยป้อพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป
บรรพบุรุษสกุลเกาพลันพุ่งตัวจากยอดเขาพีอวิ๋นมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเกาเซวียน พูดกับเกาเซวียนว่า “เชื่อท่านเว่ยย่อมต้องมีแต่เรื่องดีไม่มีเรื่องร้ายแน่นอน”
เกาเซวียนเห็นว่าบรรพบุรุษของตนปรากฏตัวก็ไม่มัวลังเลอีก เขาเปิดหีบหนังสือ หยิบเอาข้องราชามังกรออกมา ปล่อยปลาหลีสีทองตัวนั้นลงลำธาร
ปลาหลีสีทองส่ายสะบัดหางอย่างลิงโลด พริบตาเดียวก็ว่ายพรวดไปตามกระแสน้ำตอนล่าง
เกาเซวียนนั่งยองอยู่ริมน้ำ ในมือถือข้องปลาที่ว่างเปล่า พึมพำเบาๆ ว่า “ถูกขังอยู่ในกรงมานาน ได้หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งแล้ว”
……
ปีนั้นจ้าวเหยานั่งรถเทียมวัวเดินทางออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูตามแผนการของท่านปู่ เพื่อที่จะเดินทางไปฝึกตนในสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของภาคกลางแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ติดกับมหาสมุทรใหญ่ทิศตะวันตก
เพียงแต่ว่าระหว่างทางเขาเจอกับเด็กหนุ่มที่มีใฝแดงกลางหน้าผาก อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าซิ่วหู่
สุดท้ายจ้าวเหยามอบตราประทับตัวอักษรชุนที่อาจารย์ฉีมอบให้ออกไป เพราะอีกฝ่ายคือราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี
ในบรรดาคนรุ่นนี้ของโรงเรียนประจำเมืองเล็ก เป็นเขาจ้าวเหยาที่อยู่เคียงข้างอาจารย์บ่อยที่สุด เด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิง และซ่งจี๋ซินคนวัยเดียวกันที่จ้าวเหยารู้สึกเลื่อมใสนั้น ล้วนเทียบเขาไม่ได้ในเรื่องนี้
การเดินทางของจ้าวเหยาอาศัยวิชาลับในการฝึกตนหนึ่งวิชาและอาวุธตระกูลเซียนสองชิ้นที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนกับชุยฉาน จึงเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ตลอดทาง
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วขณะที่จ้าวเหยาใกล้จะไปถึงตระกูลเซียนแห่งนั้น รถเทียมวัวเดินทางไปถึงตีนเขาแล้ว จ้าวเหยาที่อ่อนระโหยโรยแรงกลับเปลี่ยนความคิดกะทันหัน เขาสละรถเทียมวัวทิ้ง คลายพันธนาการให้กับวัวตัวนั้น ส่วนตัวเองมุ่งหน้าไปยังทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตกเพียงลำพัง สุดท้ายก็พบท่าเรือตระกูลเซียนในตำนานแห่งหนึ่ง เขาโดยสารเรือข้ามฟากไปเยือนเกาะเทพเซียนที่อยู่โดดเดี่ยวนอกโพ้นทะเล จากนั้นก็เปลี่ยนเรือข้ามฟากอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถึงอย่างไรตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป เรือข้ามทวีปก็มีแค่ที่นครมังกรเฒ่าเท่านั้น อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นเรือพานิชย์ของภูเขาห้อยหัว ด้วยเหตุนี้หากผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปต้องการเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ได้แต่ใช้วิธีการเดียวกับจ้าวเหยา นั่นคือโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่บนทะเลในระยะทางสั้นๆ ต่อไปเป็นทอดๆ
เพียงแต่ว่าหลังจากเดินทางมาได้เกินครึ่งทาง เรือตระกูลเซียนลำที่จ้าวเหยาโดยสารมาก็เจอกับหายนะ ถูกปลาบินชนิดหนึ่งที่บินกันมามืดฟ้ามัวดินราวกับฝูงตั๊กแตนพุ่งมาชนเรือจนแตก จ้าวเหยากับคนส่วนใหญ่ล้วนจมลงสู่มหาสมุทร บางคนก็ตายคาที่ จ้าวเหยาอาศัยสมบัติอาคมป้องกันกายชิ้นหนึ่งหนีพ้นหายนะมาได้ แต่มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล มองไปทางใดก็มีแต่ทางตาย ไม่ช้าก็เร็วคงต้องทิ้งร่างไว้ในท้องปลา
ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองสองคนที่อยู่บนเรือคิดจะทะยานลมหนีไป คนหนึ่งพยายามจะพุ่งฝ่าขบวนปลาบินไปให้ได้ ผลกลับต้องร่างแหลกเหลวอยู่ท่ามกลางฝูงปลาที่มากมหาศาลจนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดอย่างสิ้นหวัง คนหนึ่งเห็นท่าไม่ดี อีกทั้งยังใช้พละกำลังจนหมดสิ้นแล้ว จึงได้แต่รีบดิ่งลงเบื้องล่าง หลบหนีเข้าไปในทะเล
จ้าวเหยานั่งอยู่บนไม้ยักษ์ที่เป็นเศษซากของเรือข้ามฟาก รัดห่อสัมภาระห่อนั้นเอาไว้บนร่างแน่น ไม่รู้ว่าล่องลอยอยู่นานเท่าไหร่ เรือนกายของเขาผ่ายผอมลงทุกขณะ มีชีวิตแต่ก็เหมือนอยู่ไม่สู้ตาย
สุดท้ายประคองตัวเองต่อไปไม่ไหว จ้าวเหยาจึงหมดสติไป เขาพลัดตกจากไม้ยักษ์ลงไปในน้ำทะเล อาศัยแสงแห่งสติปัญญาเสี้ยวสุดท้ายของสมบัติอาคมที่คุ้มครองตนพาร่างลอยไปตามกระแสคลื่น
เมื่อจ้าวเหยาสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหลังหนึ่ง เขาพลันสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง จึงเห็นว่าที่นี่คือกระท่อมที่ค่อนข้างกว้างขวางแต่กลับเรียบง่าย รอบด้านนอกจากผนังโล่งก็เต็มไปด้วยตำราสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าจนแทบจะไม่มีทางให้เดิน
จ้าวเหยาที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกลุกขึ้นแล้วก็พบว่าห่อสัมภาระใบนั้นวางอยู่บนหัวเตียง เปิดออกแล้วเห็นว่าสิ่งของด้านในไม่หายไปสักชิ้น เขาก็พลันโล่งอก
เดินตามทางเล็กๆ ของ ‘ภูเขาหนังสือ’ ที่สูงครึ่งตัวคนไป พอจ้าวเหยาผลักประตูห้องให้เปิดออก การมองเห็นก็พลันเปิดโล่ง เขาพบว่ากระท่อมสร้างอยู่บนบนยอดเขาแห่งหนึ่ง แค่เปิดประตูก็สามารถชมทะเลเมฆ
จ้าวเหยายังมองเห็นกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนยอดเขา ตัวกระบี่เกรอะไปด้วยสนิม สีสันหม่นหมองไร้ประกาย
จ้าวเหยาเดินมาถึงริมหน้าผา เหม่อมองเบื้องล่างที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ในขณะที่จ้าวเหยากำลังจะก้าวเท้าออกไปนั้นเอง ด้านข้างก็พลันมีเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน เจ้าผิดหวังในตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?”
น้ำตาเอ่อคลอกลบดวงตาจ้าวเหยา เขาหันหน้าไปมองก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดสีเขียว อีกฝ่ายกำลังทอดสายตามองไปทางมหาสมุทรใหญ่
ตอนนั้นจ้าวเหยาที่ยังเป็นเด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาทิ้ง พลันถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์คงเป็นยอดฝีมือนอกโลก ช่วยรับข้าเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่? ข้าอยากเรียนวิชาตระกูลเซียน!”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคนนี้ไม่เคยกราบไหว้อาจารย์ แล้วก็ไม่เคยรับลูกศิษย์ด้วยกลัวความวุ่นวาย เจ้าอยู่ที่นี่รักษาตัวให้ดี เมื่อหายดีแล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป”
จ้าวเหยาถาม “ที่นี่คือที่ไหน?”
บุรุษยิ้มตอบ “โลกมนุษย์ ยังจะเป็นที่ไหนได้อีก”
จ้าวเหยาคงคิดว่าในเมื่อไหแตกแล้วก็ทุ่มให้แหลกไปเสียเลย อีกทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาที่สภาพจิตใจสิ้นหวังและเปราะบางมากที่สุดจึงซักไซ้ไล่เรียงอย่างไม่เกรงใจ “ข้าอยากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหนของโลกมนุษย์?!”
บุรุษเองก็ไม่โกรธ ยังคงคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่ว่าข้าจงใจเล่นลิ้นกับเจ้า ที่นี่คือสถานที่ธรรมดาไร้ชื่อไร้นาม ไม่ใช่จวนเทพเซียนอะไรทั้งนั้น ปราณวิญญาณบางเบา ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ไกล หากโชคดีอาจยังได้พบกับชาวประมงหรือไม่ก็คนที่มาเก็บไข่มุก”
จากนั้นจ้าวเหยาก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกันนานวันเข้าจึงค้นพบว่าบุรุษผู้นั้น นอกจากฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาแล้ว อันที่จริงทุกอย่างล้วนธรรมดาอย่างยิ่ง
ต่อให้ในกระท่อมหลายหลังที่อยู่บนยอดเขาของเขาจะมีตำราเก็บสะสมไว้มาก ทว่าเวลาปกติบุรุษก็ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำที่แฝงความหมายลึกล้ำอะไร แล้วก็ต้องกินข้าวทุกวัน นอกจากนี้ยังมักจะลงจากเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดเป็นประจำ
ชีวิตในแต่ละวันจ้าวเหยาจะใช้ไปกับการเปิดตำราอ่านหนังสือ หรือไม่ก็นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าผา
มีเพียงบางวันที่จ้าวเหยารู้สึกอุดอู้เต็มที นึกอยากจะชักกระบี่ที่ปักอยู่ในดินขึ้นมา บุรุษถึงจะมายืนอยู่ที่กระท่อมของตน ยิ้มเตือนจ้าวเหยาว่าอย่าไปแตะต้องมัน
จ้าวเหยาถามอย่างใคร่รู้ “กระบี่เล่มนี้มีชื่อหรือไม่?”
บุรุษชุดเขียวส่ายหน้า “ไม่เคยมี”
จ้าวเหยาถามอีก “ท่านอาจารย์คือคนที่ผิดหวังจากการสอบเคอจวี่งั้นหรือ? หรือว่าต้องการหลบหนีศัตรูคู่แค้น จึงออกจากผืนแผ่นดินมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่?”
บุรุษยังคงส่ายหน้า “ล้วนไม่ใช่ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด ข้าก็แค่เห็นด้วยกับประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า ชีวิตคนนั้นยากลำบาก มหามรรคามีทางแยกมากมาย ในเมื่อเส้นทางเดินได้ยากก็ควรหยุดเดิน แอบเกียจคร้านเสียบ้าง จะได้ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดี”
จ้าวเหยาถามหยั่งเชิง “ท่านอาจารย์ไม่ใช่ยอดฝีมือนอกโลกอย่างเช่นพวกเทพเซียนพสุธาโอสถทองหรือก่อกำเนิดอะไรจริงๆ หรือ?”
บุรุษถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่ใช่เซียนดินอะไรทั้งนั้น อีกอย่าง ข้าจะใช่หรือไม่ใช่แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าจ้าวเหยาด้วย?”
จ้าวเหยาอาศัยอยู่ที่นี่เกือบสองปี เกาะแห่งนี้ไม่ถือว่าใหญ่นัก จ้าวเหยาเดินเที่ยวเล่นเพียงลำพังจนทั่วเกาะ แล้วก็เป็นอย่างที่บุรุษพูดจริงๆ หากโชคดีก็จะเจอกับชาวประมงที่ออกทะเลมาจับปลา รวมไปถึงคนเก็บไข่มุกที่ต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง แต่กลับสามารถร่ำรวยได้ภายในค่ำคืนเดียว
สภาพจิตใจของจ้าวเหยาเริ่มมั่นคงขึ้นแล้ว จึงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับบุรุษว่าจะไปท่องเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
บุรุษพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตอนเดินทางก็ระวังด้วย จำไว้ว่าอย่าผิดหวังกับตัวเองเกินไปนัก บางทีนี่ต่างหากจึงจะทำให้คนผิดหวังได้มากที่สุด”
จ้าวเหยารู้สึกเขินอายเล็กน้อย สุดท้ายหยิบที่ทับกระดาษไม้แกะสลักเป็นรูปชือหลงชิ้นนั้นออกมา “เพื่อตอบแทนพระคุณช่วยชีวิต ข้าอยากจะมอบมันให้ท่านอาจารย์”
บุรุษโบกมือปฏิเสธ พูดเหมือนระอาใจเล็กน้อย “การช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยกลายเป็นเรื่องเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมสำหรับใต้หล้าด้านนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จ้าวเหยากล่าวอย่างดึงดัน “ท่านอาจารย์ช่วยข้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ข้าที่เป็นคนถูกช่วยจะไม่สนใจใยดีไม่ได้! นี่คือของที่สำคัญมากที่สุดบนร่างข้า เอามาตอบแทนท่านอาจารย์ได้พอดี”
บุรุษคลี่ยิ้ม “นั่นก็หมายความว่าใต้หล้ายังไม่ย่ำแย่เกินไปนัก”
เพียงแต่สุดท้ายแล้วบุรุษก็ยังไม่ยอมรับที่ทับกระดาษชิ้นนั้นไป
จ้าวเหยานั่งโดยสารแพไม้ที่ต่อขึ้นเองมุ่งหน้าไปยังผืนแผ่นดิน จ้าวเหยาที่ยืนอยู่บนแพไม้ประสานมือโค้งตัวบอกลาบุรุษ
หลังจากนั้นบุรุษก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายเฉกเช่นเดิม
มีอยู่วันหนึ่ง กระบี่ยาวเล่มที่ปักอยู่บนยอดเขาพลันสั่นไหวพลางส่งเสียงครวญเบาๆ
บุรุษยืนอยู่ข้างกระบี่ยาว มองไปยังทิศทางของแจกันสมบัติทวีปแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อย่าไปเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่พวกนั้นอีกเลย”
กระบี่บินที่สั่นสะท้านและส่งเสียงครวญครางค่อยๆ หยุดนิ่ง
ต่อมาก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏขึ้นบนเกาะ คนผู้หนึ่งคือผู้เฒ่าที่กลิ่นเหล้าคลุ้งโชย อีกคนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม ฝ่ายหลังรีบทรุดตัวลงกับพื้นแล้วอาเจียนอย่างแรง
นับจากในตรอกของหมู่บ้านทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มาจนถึงชายหาดทางทิศตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป แล้วก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลของตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนักอยู่ในชื่อ สุดท้ายมาถึงที่นี่ นักพรตหนุ่มก็อาเจียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า
นักพรตเฒ่ารีบทรุดตัวลงนั่งยอง ตบแผ่นหลังของลูกศิษย์ตัวเองเบาๆ กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “ไม่เป็นไรๆ อ้วกเสร็จครั้งนี้…แค่อ้วกอีกครั้ง เอ่อ หรืออาจจะอีกสองครั้ง เดี๋ยวก็ผ่านมันไปได้แล้ว”
นักพรตหนุ่มเกือบจะขย้อนเอาน้ำดีออกมา เขาถามด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “อาจารย์ ทุกครั้งท่านก็พูดแบบนี้ เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที ท่านช่วยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้าได้ไหม?”
นักพรตเฒ่าที่บนร่างสวมชุดนักพรตเต๋าลักษณะประหลาดเพราะเหมือนมีมังกรเพลิงว่ายวนอยู่บนชุดได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน ถามว่า “อาจารย์ ท่านบอกว่าจะพาข้าไปพบคนที่ท่านเลื่อมใสที่สุด แต่ท่านกลับไม่ยอมบอกประวัติความเป็นมาของเขา เพราะอะไรกัน?”
นักพรตเฒ่าเพียงคลี่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเงยหน้าถามว่า “เปิดประตู พวกเราสองอาจารย์และศิษย์จะขอน้ำชาจากเจ้ามาดื่มสักถ้วย จะได้ไหม?”
บุรุษถอนหายใจ มาปรากฏตัวที่ริมชายหาด ยืนห่างจากสองอาจารย์และศิษย์มาหนึ่งจั้ง “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เจ้าเป็นถึงเซียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่กลับจะให้ข้าแข่งวิชาอสนีและการเขียนยันต์กับเจ้างั้นหรือ?”
นักพรตเฒ่าร่ายวิชาอภินิหารมาตั้งแต่แรก เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ของเขาไม่ได้ยินคำพูดของคนผู้นี้
เรื่องบางเรื่องก็ยังจำเป็นต้องปิดบังลูกศิษย์โง่ผู้นี้เอาไว้ก่อน
นักพรตเฒ่าร่างเล็กเตี้ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่ประตูก็ไม่ให้ผ่านเข้าไป? ทำไม นี่ถือเป็นการตอบรับว่าจะแข่งมรรคกถากับข้าแล้วใช่ไหม? หากข้าเข้าไปได้ก็ถือว่าข้าชนะ จากนั้นเจ้าก็ให้ข้ายืมกระบี่เล่มนั้น?”
บุรุษส่ายหน้า “เจ้าจะตอแยข้าไม่เลิกจริงๆ หรือ?”
นักพรตหนุ่มจางซานเฟิงไม่ได้ยินแม้แต่น้อยว่าอาจารย์และบุรุษชุดเขียวพูดอะไรกัน
ในความเป็นจริงแล้ว จางซานเฟิงค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ตนมองใบหน้าของบุรุษชุดเขียวแวบหนึ่งก็จะลืมไปว่าก่อนหน้านั้นใบหน้าของเขาเป็นแบบใด
นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “โอ้ะโอ โกรธซะแล้ว แน่จริงเจ้าก็ออกมาตีข้าสิ?”
บุรุษกระตุกมุมปาก
จางซานเฟิงพลันได้ยินคำพูดหน้าไม่อายประโยคนี้ของอาจารย์ก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “อาจารย์ แม้ว่าท่านจะภาคภูมิใจมาโดยตลอดว่าตัวเองคือคนที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จ แต่ในฐานะผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา มาเยี่ยมเยือนคนอื่นถึงบ้าน คำพูดคำจาก็น่าจะยึดหลักมารยาทและมีความเกรงใจหน่อยกระมัง”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับรัวๆ ปากก็บอกว่าใช่ จากนั้นก็หันไปถลึงตาใส่บุรุษ “ใช้ลูกไม้ประเภทนี้ จะนับว่าเป็นชายชาตรีวีรบุรุษได้อย่างไร!”
บุรุษกล่าว “กระบี่เล่มนั้นเจ้ายังดึงออกมาไม่ได้ จะยืมไปได้ยังไง?”
สีหน้าของนักพรตเฒ่าเคร่งเครียด “ด้วยขอบเขตของผินเต้า (คำเรียกแทนตัวของนักพรตเต๋าอย่างนอบน้อม) ตอนนี้ก็ยังดึงไม่ออกอย่างนั้นหรือ?”
บุรุษพยักหน้ารับ “ต่อให้ขอบเขตของเจ้าจะสูงกว่านี้อีกขั้นก็ยังไม่อาจบังคับควบคุมมันได้อยู่ดี”
นักพรตเฒ่าทอดถอนใจ
ปีนั้นภูเขามังกรพยัคฆ์เคยมีความลับอยู่เรื่องหนึ่ง
นักพรตเฒ่าเคยรับปากเทียนซือใหญ่ของรุ่นก่อนว่า มีเพียงสังหารปีศาจขอบเขตบินทะยานตัวนั้นได้ถึงจะยอมหวนกลับภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างถูกต้องเหมาะสม
ตอนนี้โอกาสแพ้ชนะคือแปดต่อสอง เขามีโอกาสคว้าชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง แต่หากจะให้ตัดสินเป็นตาย กลับมีโอกาสแค่ห้าต่อห้าเท่านั้น
นักพรตเฒ่ามองลูกศิษย์ข้างกายที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากที่สุดแล้วก็ตัดสินใจว่าต้องลองดูสักตั้ง!
บุรุษพลันมองไปทางนักพรตหนุ่ม “ปณิธานหมัดนี้ของเจ้า?”
ตอนนี้จางซานเฟิงสะพายกระบี่ไม้ท้อธรรมดาของภูเขามังกรพยัคฆ์และกระบี่โบราณที่ได้รับความเสียหายซึ่งสลักสองคำว่า ‘เจินอู่’ พอได้ยินคำถามของบุรุษชุดเขียว จางซานเฟิงก็รู้สึกมึนงงไปหมด
นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นยังไง ร้ายกาจมากเลยใช่ไหมล่ะ? ลูกศิษย์ของข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง!”
บุรุษชุดเขียวเผยสีหน้าชื่นชมอย่างที่หาได้ยาก “ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถบุกเบิกเส้นทางใหญ่ของการเรียนวรยุทธ์ให้กับใต้หล้า และยังสามารถสร้างให้เกิดเป็นบุญกุศลได้อีกมากมาย อืม ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือความจริงใจของเขา เจ้ามีลูกศิษย์ที่ดี”
นักพรตเฒ่าหัวเราะปากกว้าง แล้วก็เริ่มพูดเหลวไหล “ที่ไหนกันๆ ปกติๆ ลูกศิษย์ของข้าที่เป็นแบบนี้ อันที่จริงหากไม่มีหนึ่งโหลก็มีเจ็ดแปดคน”
จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าอาจารย์กำลังคุยโว ยิ่งไม่รู้สึกผิดหวังเพราะเรื่องนี้ ปีนั้นตอนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ธรรมดาที่สุดจริงๆ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงได้ติด ถึงขั้นสู้นักพรตน้อยบางคนที่มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ…
บุรุษยิ้มกล่าว “เรื่องของภูเขามังกรพยัคฆ์ในปีนั้น ข้าเคยได้ยินมาบ้าง เจ้าคิดจะพาลูกศิษย์คนนี้ขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ปู่ เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ และปีศาจตนนั้นก็ล้ำเส้นเกินไปพอดี”
บุรุษครุ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “รอข้าหนึ่งก้านธูป”
พูดจบก็หมุนตัวเดินขึ้นไปบนยอดเขา
บุรุษเอื้อมมือคว้าหนึ่งที กระบี่ยาวเล่มที่ปักอยู่บนยอดเขาก็ถูกเขากุมเอาไว้ในมือ
คนนอกโลกที่แค่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบัณฑิตไม่มีสีหน้าฮึกเหิมห้าวหาญใดๆ ถึงขั้นที่ว่าพอดึงกระบี่ยาวเล่มที่แม้แต่เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ก็ยังดึงไม่ออกมาได้แล้ว ฟ้าดินก็ยังไม่มีภาพปรากฎการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้น
เหมือนปัญญาชนยากจนคนหนึ่งที่ตรากตรำเล่าเรียนนั่งอยู่ในห้องหนังสือแล้วหยิบพู่กันด้ามหนึ่งขึ้นมา เพราะคิดจะเขียนบทความวรรคที่ใหญ่เท่าก้อนเต้าหู้เท่านั้น
จากนั้นเขาก็ไปเยือนหุบเหวลึกหมื่นจั้งที่ไม่มีใครในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกล้าเข้าไป ใช้หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจขอบเขตสิบสามที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเหวลึกจนร่างของมันแหลกสลาย มรรคาวูบดับ
ครั้นจึงย้อนกลับมาที่ยอดเขา เสียบกระบี่เล่มยาวที่เกรอะไปด้วยสนิมกลับลงไปบนพื้นดินอีกครั้ง เดินลงจากภูเขา พูดกับนักพรตเฒ่าว่า “ตอนนี้พวกเจ้าสามารถขึ้นเขากลับไปยังภูเขามังกรพยัคฆ์ได้แล้ว”
นักพรตเฒ่ายิ้มตาหยี “ลำบากเจ้าแล้ว พระคุณยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย พวกเราไปก่อนล่ะนะ วันหน้าจะมาหาใหม่”
พูดจบก็ลากแขนของจางซานเฟิงที่ยังมีสีหน้ามึนงง ใช้ปลายเท้าวาดเป็นยันต์ หดพื้นที่พันหมื่นลี้ให้สั้นลง ไปเยือนภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในผืนแผ่นดินของภูเขามังกรพยัคฆ์
บุรุษชุดเขียวไม่ถือสา เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม มองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นจ้าวเหยาที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่รู้ประสาเคยถามเขาว่า เขาใช่คนที่ผิดหวังคือไม่
คำถามนี้น่าสนใจจริงๆ
เพราะบัณฑิตผู้นี้ถูกขนานนามมาโดยตลอดว่าคือ ความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์