บทที่ 430 บางครั้งการกลับมาพบกันอีกครั้งก็เลวร้ายที่สุด
เรือหอเรือนจอดเทียบท่าช้าๆ เนื่องจากตัวเรือใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าขุนเขา เป็นเหตุให้พวกฟ่านเยี่ยน หยวนหยวนและลวี่ไช่ซางที่รออยู่ริมท่าเรือได้แต่แหงนหน้ามองไป
ตรงหัวเรือ กู้ช่านที่สวมชุดหม่างสีหมึกกระโดดลงมาจากราวระเบียง ศิษย์พี่หญิงใหญ่เถียนหูจวินช่วยปัดชุดหม่างให้เขาเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ กู้ช่านชำเลืองตามองนาง “วันนี้เจ้าไม่ต้องขึ้นฝั่งแล้ว”
ใบหน้าเถียนหูจวินเต็มไปด้วยความกังวล “นักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ในนครน้ำบ่อกลุ่มนั้น ว่ากันว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋ง มิอาจดูแคลน มีข้าอยู่ด้วย…”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “มีเจ้าอยู่ด้วยจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร หรือว่าเมื่อถึงช่วงเวลาอันตรายที่ตัดสินเป็นตายจริงๆ ศิษย์พี่หญิงใหญ่จะยอมตายแทนข้า? ในเมื่อไม่มีทางทำได้ ก็ไม่ต้องคิดจะเอาใจข้าในเรื่องนี้อีก คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง? ดูอย่างตอนนี้ที่เจ้าช่วยลูบรอยยับบนชุดของข้าให้ราบเรียบนี่สิ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ อีกทั้งยังเต็มใจทำ ส่วนตัวข้าเองก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ดีจะตายไป”
เถียนหูจวินสายตาหม่นหมอง ไม่ยืนกรานอีก
ฉินเจวี๋ยและเฉาเจ๋อหันมาสบตาแล้วยิ้มให้กัน
จะมองศิษย์น้องเล็กกู้ช่านเป็นเด็กคนหนึ่งไม่ได้เลย
สกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่า อาจารย์ที่พวกเขามีร่วมกันเคยพูดด้วยรอยยิ้มในงานเลี้ยงฉลองครั้งหนึ่งว่า มีเพียงกู้ช่านที่เหมาะสมกับการสืบทอดวิชาของเขามากที่สุด
หลิวจื้อเม่ายังกวาดตามองทุกคนที่นั่งกันอยู่เต็มโถงด้วยสายตามืดทะมึน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเจ้าเกาะชิงเสียในอนาคตมีเพียงกู้ช่านเท่านั้น ใครก็อย่าได้คิดจะแย่งชิง ไม่อย่างนั้นไม่ต้องให้กู้ช่านทำอะไร เขานี่แหละที่จะลงมือด้วยตัวเอง เก็บกวาดสำนักให้สะอาดเอี่ยม ศพของคนผู้นั้นจะไม่ทิ้งให้เสียเปล่าเด็ดขาด
ตอนนั้นกู้ช่านเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างเอ้อระเหย เท้าสองข้างเหยียบอยู่บนร่างของ ‘หนีชิว’ ที่เผยร่างจริง แต่เรือนกาย ‘บอบบาง’ กว่าปกติอยู่มาก พอกู้ช่านได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ชูจอกเหล้าที่บรรจุเหล้าผลไม้รสหวานขึ้นสูง “อาจารย์ ดื่มเหล้าๆ”
สุดท้ายคนที่ลงจากเรือมีเพียงกู้ช่าน ศิษย์พี่สองคนอย่างฉินเจวี๋ยกับเฉาเจ๋อ และแม่นางเปิดสาบเสื้อสองคนที่สวมหมวกผ้าคลุมปิดบังใบหน้า แต่เรือนกายที่อรชนอ้อนแอ้นกลับเผยความมีเสน่ห์เย้ายวนออกมาอย่างเต็มที่
ฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อคือหมอนปักลายบุปผาที่งดงามแต่ไร้ประโยชน์ เรือนกายของเขาสูงใหญ่ หน้าตามีเสน่ห์สง่างาม เขาเดินก้าวเร็วๆ เข้ามารับพวกกู้ช่าน ค้อมเอวกำหมัด ยิ้มประจบเอ่ยว่า “พี่ใหญ่กู้ คราวก่อนเจ้ารังเกียจว่ากินปูยุ่งยากเกินไปไม่ใช่หรือ คราวนี้น้องชายอย่างข้าก็เลยตั้งใจช่วยพี่ใหญ่กู้คัดตัว…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ฟ่านเยี่ยนก็คลี่ยิ้มมีเลศนัย ยกสองมือทำท่าวาดเป็นครึ่งวงกลมตรงหน้าอกของตัวเอง “แม่นางที่หุ่นแบบนี้มาให้ บอกไว้ก่อนว่าหากพี่ใหญ่กู้ไม่ถูกใจ ก็แค่ให้นางช่วยแกะเนื้อปูก็พอ แต่หากถูกใจ ต้องพานางกลับไปเป็นสาวใช้ที่เกาะชิงเสียด้วยนะ แล้วก็ช่วยจดจำความดีของข้าไว้สักครั้ง พี่ใหญ่กู้ไม่รู้หรอกว่า เพื่อพาตัวนางออกจากแคว้นสือหาวมายังนครน้ำบ่อ ข้าต้องเปลืองแรงและต้องทุ่มเงินเทพเซียนไปมากเท่าไหร่!”
กู้ช่านยิ้มตาหยี “คงไม่ใช่ว่าสตรีที่มีโอกาสใกล้ชิดข้าคนนี้ แท้จริงแล้วถูกคนสลับตัว เปลี่ยนมาเป็นศัตรูคู่แค้นที่มีใจคิดร้ายอยากสังหารข้าหรอกกระมัง?”
ฟ่านเยี่ยนอึ้งงันเป็นไก่ไม้ “แล้วจะทำยังไงกันดี? เงินมากมายขนาดนั้นของน้องชายต้องละลายหายไปกับสายน้ำเช่นนี้หรือ?”
หยวนหยวนที่ได้เกิดมาในครรภ์ที่ดียิ้มอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ก่อนที่กู้ช่านจะมาอยู่เกาะชิงเสีย ลวี่ไช่ซางที่เคยเป็นอดีตมารน้อยจอมเกเรรุ่นก่อนของทะเลสาบซูเจี่ยนดูแคลนฟ่านเยี่ยนผู้โง่เขลามาโดยตลอด เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ ก็มีคนมือเติบหน้าใหญ่ที่ ‘ใครขวางทางการทุ่มเงินของข้า คนผู้นั้นก็คือศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกับข้า’ เพิ่มขึ้นมาในกลุ่ม ใครเล่าจะไม่ยินดี เจ้าของเกาะทุกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนต้องการพวกเงินถุงเงินถังที่ชอบใช้เงินมากกว่าหาเงินกันทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่นครน้ำบ่อคือหนึ่งในสามนครใหญ่ที่อยู่รอบทะเลสาบซูเจี่ยน ในกระเป๋าของพวกเขาก็มีเงินจริงๆ นั่นแหละ
ลวี่ไช่ซางคือเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีเรือนกายเพรียวบาง ผิวทั้งร่างเป็นสีหิมะขาวนวลเนียน หวงเฮ้อเคยพูดหยอกล้อว่าหากลวี่ไช่ซางทาชาดประทินโฉมสักหน่อย คิดจะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อให้กู้ช่านก็เพียงพอเหลือแหล่ เพียงแต่ว่าต้องยัดหมั่นโถวสองลูกใหญ่ไว้ในสาบเสื้อถึงจะได้ ผลกลับกลายเป็นว่าลวี่ไช่ซางเดือดดาลอย่างหนัก ลงมืออย่างรุนแรง สังหารปรมาจารย์วิถีวรยุทธคนหนึ่งที่มาขวางหน้าปกป้องหวงเฮ้อตาย สุดท้ายเป็นกู้ช่านที่ช่วยเกลี้ยกล่อมจนเขาใจเย็นลง แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างลวี่ไช่ซางและหวงเฮ้อบุตรชายโทนของแม่ทัพใหญ่แคว้นสือหาวแตกร้าวแล้ว หลังจบเรื่องหวงเฮ้อก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลัง คิดหาสารพัดวิธีมาแก้ไขความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น เพียงแต่ว่าลวี่ไช่ซางกลับไม่ไว้หน้าเขาเลย
ลวี่ไช่ซางที่น้ำเสียงเล็กแผ่วเบาพูดกับกู้ช่าน “ช่านช่าน วางใจเถอะ ข้าทดสอบมาแล้ว เป็นแค่ตัวอ่อนในการฝึกตนห้าขอบเขตล่างเท่านั้น แต่หน้าตาดูดีมากจริงๆ ตอนอยู่แคว้นสือหาวนางมีชื่อเสียงมาก ในบรรดาสตรีที่เจ้ารวบรวมไว้ในเรือนใหญ่เกาะชิงเสีย เมื่อเทียบกับนางแล้วก็เป็นแค่สตรีธรรมดาสามัญที่เกะกะนัยน์ตาเท่านั้น”
กู้ช่านวาดเท้าเตะลวี่ไช่ซางเบาๆ หนึ่งที ด่ายิ้มๆ ว่า “น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วหรือไง ไยต้องบอกก่อนด้วย ไม่เหลือเรื่องให้ข้ารู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด”
ลวี่ไช่ซางตวัดตามองค้อนกู้ช่าน มองดูแล้วเย้ายวนไม่น้อย ทำเอาฉินเจวี๋ยและเฉาเจ๋อที่มองเห็นอดรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจไม่ได้ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกนี้ออกมา
แม้ว่าทุกคนจะเป็นหนึ่งในสิบวีรบุรุษของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ในบรรดาคนทั้งเก้านี้ ใครหนักกี่จินกี่ตำลึง ต้องพึงรู้ตัวให้ดี ยกตัวอย่างเช่นหวงเฮ้อที่ไม่ประมาณการตัวเองเพียงครั้งเดียว เข้าใจผิดคิดว่าสามารถวางตัวเป็นพี่เป็นน้องกับลวี่ไช่ซางได้อย่างแท้จริง กลายเป็นว่าถูกตอกกลับจนหน้าหงาย ว่ากันว่าหลังกลับไปถึงจวนแม่ทัพใหญ่ ตอนแรกยังบ่นด้วยความไม่พอใจ แต่ผลกลับถูกบิดาด่าซะจนไม่เหลือชิ้นดี
หยวนหยวนนายน้อยแห่งเกาะหวงหลีที่บิดามารดาตั้งชื่อเล่นให้ว่าหยวนหยวน (กลม/กลมดิก/อ้วนกลม) เหลียวซ้ายแลขวา แล้วกล่าวอย่างสงสัย “กู้ช่าน หนีชิวใหญ่ตัวนั้นของเจ้าล่ะ ไม่ตามขึ้นฝั่งมาด้วยหรือ? เมื่อปีก่อนพวกเราก็เคยเดินผ่านถนนของนครน้ำบ่อมาก่อนแล้ว มันใหญ่พอจะให้หนีชิวใหญ่เลื้อยผ่านไปได้นะ”
กู้ช่านสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อกว้างของชุดหม่าง ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ครั้งนี้ให้หนีชิวน้อยอยู่ในทะเลสาบ ไม่ตามพวกเราไปร่วมความครึกครื้นที่นครน้ำบ่อแล้ว ช่วงนี้มันต้องเดินเล่น ดื่มน้ำให้มากหน่อย เพราะเมื่อปีก่อนมันกินผู้ฝึกลมปราณเยอะเกินไป แถมยังกลืนกินแก่นโชคชะตาน้ำที่สองเกาะใหญ่สะสมมาหลายร้อยปีลงท้องไปรวดเดียว ดังนั้นปีนี้จึงต้องคอยปิดด่านอยู่ใต้ทะเลสาบ จะบอกข่าวดีอย่างหนึ่งแก่พวกเจ้า พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าถึงได้ยอมบอกความลับนี้แก่พวกเจ้า จำไว้ว่าอย่าเอาไปแพร่งพรายข้างนอกล่ะ! อีกไม่นานหนีชิวน้อยก็จะกลายเป็นขอบเขตก่อกำเนิดที่แท้จริงแล้ว ถึงเวลานั้นในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเรา แม้แต่สกัดคงคาเจินจวินอาจารย์ของข้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนีชิวน้อย อืม น่าจะมีแค่ตาแก่ของเกาะกงหลิ่วที่จากไปนานหลายปีผู้นั้นที่ถึงจะพอมีคุณสมบัติมาต่อสู้กับหนีชิวน้อยได้กระมัง”
ฟ่านเยี่ยนอึ้งตะลึง “พี่ใหญ่กู้ เจ้าเคยรับปากข้าว่าหากวันใดอารมณ์ดีจะให้ข้าลูบหัวหนีชิวใหญ่สักครั้ง ข้าจะได้เอาไปคุยโวให้คนอื่นฟัง ยังรักษาสัญญาหรือไม่?”
กู้ช่านเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ มองเจ้าทึ่มผู้นี้ ใต้หล้านี้มีคนโง่อยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่พวกคมในฝัก แต่เป็นเพราะไร้สมองจริงๆ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีเงินมากหรือน้อย แล้วก็ไม่เกี่ยวกับว่าพ่อแม่ของเขาฉลาดหรือไม่ กู้ช่านยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ต้องรักษาสัญญาสิ จะไม่รักษาสัญญาได้อย่างไร ข้ากู้ช่านเป็นคนไม่รักษาคำพูดตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ฟ่านเยี่ยนค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง ชูมือเตะเท้าอย่างร่าเริง
ผลกลับกลายเป็นว่าถูกกู้ช่านถีบเข้าที่เป้า “เสียแรงที่ตัวโตขนาดนี้ ไอ้จ้อนเล็กชะมัด”
ฟ่านเยี่ยนเจ็บจนตัวงอ ยกมือกุมเป้า แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้สึกโกรธ เพียงพูดอ้อนวอนว่า “พี่ใหญ่กู้ อย่าทำแบบนี้สิ พ่อแม่ข้าไม่ว่าเรื่องใดก็พูดง่ายทั้งนั้น มีเพียงเรื่องการสืบทอดตระกูลที่ไม่อนุญาตให้ข้าทำตัวเหลวไหล! คราวก่อนคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าเอ่ยสั่งสอนข้า บอกว่าหากวีรบุรุษชายชาตรีใต้หล้านี้ไม่อยู่ตัวคนเดียวไปจนชั่วชีวิตก็ไม่มีหน้าไปทักทายผู้คนยามที่ท่องอยู่ในยุทธภพอะไรนั่น ทำเอาท่านแม่ข้าโมโหอย่างหนักจนไล่ทุบตีข้าไปรอบหนึ่ง ท่านแม่ลงมือไม่หนัก ข้าจึงไม่เจ็บ เพียงแต่พอเห็นท่านแม่ตาแดงๆ ข้ากลับรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ”
กู้ช่านเขย่งปลายเท้าตบศีรษะฟ่านเยี่ยนดังป้าบ “คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ วันหน้าจะต้องสามารถมีลูกโง่ๆ เป็นครอกร่วมกับเมียที่ยังไม่มาเกิดของเจ้าได้แน่นอน”
ฟ่านเยี่ยนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
กู้ช่านเหลือกตามองบนใส่
ไม่เคยฟังออกว่าประโยคไหนพูดประชด ประโยคไหนชมเชย แล้วก็แยกไม่ออกว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว
แต่ใครก็ล้วนมองออกว่า คนโง่ที่สมองขาดเส้นประสาทไปเส้นหนึ่งอย่างฟ่านเยี่ยนผู้นี้ หากออกไปพ้นจากปีกและสายตาของพ่อแม่เข้าจริงๆ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่จะถูกคนอื่นหลอก ทว่ากู้ช่านกลับใจกว้างกับฟ่านเยี่ยนมากกว่าใคร แม้ว่าจะเคยหลอกเอาเงินอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยทำเกินกว่าเหตุ แล้วก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นรังแกฟ่านเยี่ยนด้วย
สายตาของลวี่ไช่ซางเป็นประกายวิบวับราวกับว่าอารมณ์ดียิ่งกว่ากู้ช่านเสียอีก “นี่เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเชียวนะ เดี๋ยวพอไปถึงงานเลี้ยงแล้ว ช่านช่าน เจ้าต้องร่วมดื่มเหล้าวิหคครวญกับข้าหลายๆ จอกเลย!”
หยวนหยวนแห่งเกาะหวงหลีที่หน้ากลมดิกคือคนที่ไม่สนใจสิ่งใดมากที่สุดในบรรดา ‘พี่น้อง’ ทั้งหลาย ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีรอยยิ้มมอบให้ ไม่ว่าจะล้อเล่นกับเขาอย่างไร เขาก็ไม่โกรธ
เพียงแต่ว่าพอได้ยินข่าวใหญ่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้ หยวนหยวนที่ไม่ทันตั้งตัวกลับมีสีหน้าแข็งค้าง แต่เพียงชั่วครู่สีหน้าก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาจุ๊ปากรัวๆ “วันหน้าพวกเราที่ได้พึ่งใบบุญกู้ช่านก็ไม่เท่ากับว่าต้องทำตัวกร่างอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนเท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับสถานะของตัวเองหรอกหรือ?”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ฟ่านเยี่ยน เจ้ากับไช่ซางแล้วก็หยวนหยวนพาศิษย์พี่ทั้งสองของข้าไปกินปูกันก่อนเถอะ หาตำแหน่งที่ดีๆ สักหน่อยล่ะ ข้าจะอ้อมไปซื้อของสักสองสามอย่างก่อน”
ฟ่านเยี่ยนขุ่นเคืองขึ้นมาทันควัน ถึงขนาดถลึงตาใส่กู้ช่าน พูดอย่างฉุนเฉียว “ซื้อของ? ซื้อ! พี่ใหญ่กู้ เจ้าดูแคลนพี่น้องอย่างข้าใช่ไหม? อยู่ที่นครน้ำบ่อ ของสิ่งใดที่ถูกใจ ต้องให้พี่ใหญ่กู้ควักเงินจ่ายเองด้วยหรือ?”
กู้ช่านกระโดดตบหน้าฟ่านเยี่ยนหนึ่งที “ใครแม่งบอกว่าซื้อของแล้วต้องจ่ายเงินกันเล่า? จะให้พูดว่าแย่งชิงมาหรือไง มันน่าฟังนักรึ?”
ฟ่านเยี่ยนที่โดนตบกลับยิ้มกว้างสดใส ยกมือหนึ่งกุมหน้า อีกมือหนึ่งชูนิ้วโป้ง “ยังคงเป็นพี่ใหญ่กู้ที่พิถีพิถัน!”
กู้ช่านโบกมือ “ไสหัวไปเลย อย่ามาถ่วงเวลาการชื่นชมทัศนียภาพของนายน้อยอย่างข้า อยู่กับพวกเจ้าแล้วข้าจะหาเรื่องสนุกใส่ตัวได้อย่างไร”
ลวี่ไช่ซางตีหน้าเคร่ง “ไม่ได้ ตอนนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนวุ่นวายยิ่งนัก ข้าต้องคอยอยู่ข้างกายเจ้า”
กู้ช่านกล่าวอย่างระอาใจ “ก็ได้ๆๆ ให้เจ้าตามมากินฝุ่นหลังก้นข้าก็ได้ ทำตัวอย่างกะผู้หญิง”
ลวี่ไช่ซางแค่นเสียงดังหึ
ทั้งสองกลุ่มแยกกันตรงท่าเรือ แน่นอนว่าฟ่านเยี่ยนต้องเตรียมรถม้าหรูหราใหญ่โตมาให้พี่ใหญ่กู้ของเขาเรียบร้อยแล้ว
กู้ช่านกับลวี่ไช่ซางเดินตรงไปที่รถม้าคันหนึ่ง แม่นางเปิดสาบเสื้อสองคนนั่งอยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่ง
ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลาและมังกรนับหมื่นปะปนกัน ความเหมือนเพียงอย่างเดียวระหว่างกู้ช่านกับลวี่ไช่ซางก็คงจะเป็นเพราะคนทั้งสองต่างก็มีอาจารย์ที่ดี ทว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลับไม่เลวเลยทีเดียว
กู้ช่านยังคงสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วจู่ๆ ก็ใช้ศอกถองลวี่ไช่ซางที่อยู่ข้างกาย หัวเราะชั่วร้ายพลางพูดเสียงเบาว่า “หากเจ้าไปที่บ้านเกิดของข้าแล้วไม่มีตบะอะไรเลย ข้ากล้าพูดเลยว่ายามที่เจ้าเดินอยู่ในตรอกเล็กต้องถูกพวกหนุ่มโสดบ้าตัณหาที่เดินผ่านทางมามองด้วยสายตาหิวกระหาย วิ่งไล่ตามมาลูบคลำเนื้อตัวเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะต้องร้องไห้โฮวิ่งไปที่หน้าประตูบ้านข้า เคาะประตูบ้านข้าอย่างแรง ตะโกนเรียกกู้ช่าน กู้ช่าน แย่แล้ว มีบุรุษจะฉีกเสื้อผ้าของข้า ฮ่าๆ แค่นึกภาพก็ตลกแล้ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ตลกกว่านั้นคืออะไร คือหลังจากที่พวกตะพาบเหล่านั้นถอดกางเกงของเจ้าแล้วกลับสบถด่าโฉงเฉง แม่งเอ้ยมันมีไอ้จ้อนด้วย! ที่ตลกสุดๆๆ ไปเลย รู้หรือไม่ว่าคืออะไร? สุดท้ายพวกเขาก็กัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด ยังคงพลิกตัวเจ้ากลับหันหลังแล้วจัดการเจ้าตรงนั้น…โอ้ย ไม่ไหวๆ ข้าปวดท้องไปหมดแล้ว”
กู้ช่านหัวเราะฮ่าๆ กุมท้องตัวงอพลางเดินไปด้วย
ลวี่ไช่ซางสีหน้าเย็นชา “น่าขยะแขยง!”
คนทั้งสองทยอยกันขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารรถม้า ลวี่ไช่ซางถึงได้ถามเสียงเบา “ทำไมถึงเปลี่ยนการแต่งกาย? เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบสวมชุดหรูหราพวกนี้ไม่ใช่หรือ?”
กู้ช่านหลับตาลง ไม่เอ่ยอะไร
ลวี่ไช่ซางลังเลเล็กน้อย “หยวนหยวนเป็นคนมีอุบายลึกล้ำ มารดาของเขายังเคยมีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง คนไม่น้อยของทะเลสาบซูเจี่ยนรู้สึกว่านี่เป็นคำกล่าวอ้างที่เกาะหวงหลีจงใจใช้ขู่ให้ผู้อื่นกลัว แต่อาจารย์ของข้าเคยบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ตัวตนแรกเริ่มสุดของมารดาหยวนหยวนก็คืออนุภรรยาที่ผู้ฝึกกระบี่ฝีมือร้ายกาจคนนั้นโปรดปรานมากที่สุด แม้ว่าจะไม่อาจมอบสถานะที่ถูกต้องให้นางได้ แต่ความสัมพันธ์ควันธูปต้องยังคงอยู่ เจ้าต้องระวังให้มาก หากฆ่าหยวนหยวนที่มีใจคิดร้าย ก็หมายความว่าเจ้าจะต้องถูกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดหมายหัว!”
กู้ช่านไม่ได้ลืมตา เพียงตวัดมุมปากโค้งขึ้น “อย่าคิดถึงหยวนหยวนในแง่ร้ายขนาดนั้นเลยน่า”
ลวี่ไช่ซางกล่าวอย่างเดือดดาล “นี่ข้าหวังดีต่อเจ้านะ! หากเจ้าไม่เก็บไปใส่ใจจะต้องเสียเปรียบแน่! คนในครอบครัวของหยวนหยวนล้วนเป็นพวกคนเลวที่ชอบแอบทำร้ายผู้อื่นลับหลัง!”
ในที่สุดกู้ช่านก็ลืมตาขึ้น ถามว่า “ต่อให้หยวนหยวนจะเลวแค่ไหน ยังจะเลวสู้ข้ากู้ช่านได้หรือ?”
ลวี่ไช่ซางพลันปิดปากหัวเราะคิก
กู้ช่านพูดหยอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเลียนแบบเขา “น่าขยะแขยง”
อยู่ดีๆ ลวี่ไช่ซางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขามองกู้ช่าน ‘เด็กชาย’ ที่เปลี่ยนไปในทุกๆ ปีผู้นี้ ใครเล่าจะมองเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง กล้าหรือ?
แม้แต่อาจารย์ของเขา ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าจำนวนน้อยนิดที่สามารถทำให้สกัดคงคาเจินจวินเกิดใจกริ่งเกรงได้ผู้นั้นก็ยังเคยบอกว่าคนประหลาดอย่างกู้ช่านนี้ เว้นเสียจากว่าวันใดวันหนึ่งตายอย่างเฉียบพลัน ไม่ทันระวังจึงตายไปดั่งคำกล่าวที่ว่าทำกรรมใดไว้กรรมนั้นย่อมคืนสนอง หาไม่แล้วหากปล่อยให้เขาผูกไมตรีรวบรวมกองกำลังใหญ่ที่ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับเกาะชิงเสียมาเป็นสมัครพรรคพวกได้จริงๆ ต่อให้เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนก็คงไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้ามีเรื่องกับเขา
ลวี่ไช่ซางถามเบาๆ “กู้ช่าน เมื่อไหร่เจ้าถึงจะจริงใจกับข้าได้สักที”
กู้ช่านดึงมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของชุดหม่าง ใช้มือนั้นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น ตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เจ้าลวี่ไช่ซางเลิกหวังซะเถอะ ใต้หล้านี้มีแค่สองคนเท่านั้นที่ข้าจะควักหัวใจออกมาให้พวกเขาดู และจะเป็นอย่างนี้ไปชั่วชีวิต ข้ารู้ว่านี่ไม่ยุติธรรมต่อเจ้า เพราะเจ้าคือผู้ฝึกตนในจำนวนไม่กี่คนของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เห็นข้าเป็นสหายอย่างแท้จริง แต่ช่วยไม่ได้ พวกเรารู้จักกันช้าเกินไป ตอนที่เจ้ารู้จักกับข้า ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว เจ้าจึงไม่อาจได้เป็นคนผู้นั้น”
เข้าเมืองมาแล้ว กู้ช่านปล่อยม่านรถม้าลง ยิ้มกล่าวกับลวี่ไช่ซาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ หากวันใดเจ้าถูกคนฆ่าตาย ข้ากู้ช่านจะช่วยแก้แค้นให้เจ้าเอง”
ลวี่ไช่ซางเบ้ปาก
เขาเอนตัวพิงผนังรถม้า ถามว่า “กู้ช่าน เจ้าเพิ่งจะอายุน้อยแค่นี้เอง จะทำได้อย่างไร?”
กู้ช่านตอบ “ตอนอยู่บ้านเกิด ข้าอายุแค่สามสี่ขวบก็เริ่มเห็นแม่ข้าทะเลาะตบตีกับคนอื่นแล้ว ข้าเป็นคนที่เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง”
กู้ช่านยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “พอโตขึ้นมาอีกนิด ข้าสามารถนอนหมอบนิ่งอยู่บนเนินดินใต้แสงแดดแผดเผา อย่างน้อยก็หนึ่งชั่วยาม เพียงเพื่อตกปลาหนีชิวหนึ่งตัว ขนาดเขาก็ยังสู้ข้าไม่ได้”
ลวี่ไช่ซางถามอย่างใคร่รู้ “เขาคนนั้น เป็นใครกันแน่?”
กู้ช่านหรี่ตาลง ถามกลับ “เจ้าอยากตายงั้นรึ?”
ลวี่ไชซางแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง บัดนี้กลับรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
กู้ช่านพลันเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแต้ตาหยี “เจ้าชั่วน้อยหยวนหยวนนั่น สักวันหนึ่งข้าจะต้องมอบประโยคนี้ให้แก่เขา แต่เปลี่ยนคำหนึ่งว่า ‘อยากให้แม่เจ้าตายหรือ?’ แค่ได้บิดาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งมาฟรีๆ ร้ายกาจตรงไหนกัน กล้ามาแหยมกับข้า ถึงเวลานั้นข้าจะถอดเสื้อผ้าแม่ของหยวนหยวนต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นให้เกลี้ยง จับนางห้อยไว้บนหัวเรือของเรือหอเรือน แล้วล่องไปทั่วทุกเกาะในทะเลสาบซูเจี่ยนเลย”
ลวี่ไช่ซางมีสีหน้ามึนงง
กู้ช่านเลิกผ้าม่านขึ้นอีกครั้ง พูดอย่างใจลอยว่า “ภาษาถิ่นของบ้านเกิด เจ้าฟังไม่เข้าใจหรอก”
……
ชั้นบนสุดของหอเรือนสูงในนครน้ำบ่อ รอบกายของชุยตงซานยังคงเป็นบ่อสายฟ้าสีทองวงนั้น
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที
ชุยฉานก้มตัวลงน้อยๆ มองม้วนภาพวาดสองม้วนที่อยู่บนพื้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผิดหวังมากเลยใช่ไหม ความหวังว่าจะโชคดีที่เหลืออยู่เสี้ยวสุดท้ายในใจเจ้าก็ไม่หลงเหลืออีกแล้ว? เจ้าไม่ควรมีความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ควรเอาความหวังไปฝากไว้ที่คนอื่น”
ชุยฉานคงจะรู้ว่าชุยตงซานไม่คิดจะต่อบทสนทนา จึงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “นี่คือเงื่อนตายสองปมที่ถูกผูกเข้าด้วยกัน หลักการเหตุผลที่เฉินผิงอันค่อยๆ ใคร่ครวญออกมาได้ ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นไปตามสถานการณ์ของกู้ช่าน เจ้าคิดว่าหนึ่งนั้นอาจจะอยู่บนร่างของกู้ช่าน คิดว่าขอแค่เฉินผิงอันใช้หลักเอาความรู้สึกมาทำให้คนซาบซึ้ง ใช้เหตุผลมาทำให้คนเข้าใจกับเจ้าเด็กนี่ เขาก็จะสามารถตื่นรู้กระจ่างแจ้งได้เอง? อย่าว่าแต่เหตุผลนี้อธิบายได้ยากเลย ต่อให้ความรู้สึกความผูกพันระหว่างเขากับกู้ช่านจะลึกซึ้งแค่ไหน กู้ช่านก็ไม่มีทางเปลี่ยนสันดานของตัวเอง นี่ก็คือกู้ช่าน ตรอกหนีผิงใหญ่แค่นั้น ข้าจะไม่ให้ความสำคัญกับเด็กอย่างกู้ช่านที่มี ‘ปราณกระดูก’ หนักอึ้งจนแม้แต่หลิวจื้อเม่าก็ยังยกไม่ขึ้นเชียวหรือ?”
“เจ้าชุยตงซานดูแคลนชุยฉานที่เป็นตัวเองไปหน่อยไหม? ขนาดนิสัยใจคอของกู้ช่านยังไม่เข้าใจ แต่ยังกล้าวางแผนครั้งนี้? สำหรับคนอย่างพวกเราแล้ว ทำผิดพลาดครั้งหนึ่งก็ไม่ควรทำผิดซ้ำอีก แต่จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ เมื่อตกอยู่ในทางตัน คนบนโลกมักจะชอบไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตไว้ได้เสมอ นี่ก็คือสันดานของคน ในความเป็นจริงแล้ว ปีนั้นที่พวกเรายังเป็นคนคนเดียวกัน ข้ามองเห็น เจ้าเองก็ต้องมองเห็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าเสียกระบวนไปเองเท่านั้น”
ชุยฉานชี้ไปยังเฉินผิงอันที่กำลังสะกดรอยตามรถม้าไปอย่างลับๆ บนม้วนภาพ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความผิดที่ใหญ่กว่านั้นของเจ้าคืออะไร?”
ชุยฉานถามเองตอบเอง “ปีนั้นตอนที่ฉีจิ้งชุนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเมืองเล็ก หลังจากที่แตกหักกับพวกเราอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ภายในระยะเวลาหกสิบปี หากยังกล้าเล่นงานเฉินผิงอัน เขาจะทำให้ขอบเขตของพวกเราถดถอยไม่หยุด นี่ย่อมไม่ใช่แค่ฉีจิ้งชุนแสร้งพูดจาใหญ่โตข่มขู่ให้คนกลัว เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดี แต่หลังจากที่เจ้าและข้าแยกกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังหลงเหลือจิตใจของเด็กหนุ่ม จึงไม่เชื่อในคำพูดนั้น ถูกไหม? ตอนที่อยู่ใต้ก้นบ่อของโรงเตี๊ยม เจ้าเลยเกือบจะถูกเฉินผิงอันที่อยู่บนปากบ่อใช้ปราณกระบี่หนึ่งกลุ่มฆ่าตาย หลังจากนั้นมาเจ้าก็เดินไปยังทางสุดโต่งอีกเส้นหนึ่ง เจ้าเริ่มเชื่อมั่นในประโยคนี้อย่างลึกล้ำ นี่ก็คือฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนทะเลสาบหัวใจอันวุ่นวายของเจ้าชุยตงซานตอนนี้”
มุมปากชุยตงซานกระตุก
สีหน้าของชุยฉานเรียบเฉยอยู่ตลอดเวลา เขาจ้องมองม้วนภาพนั้น พูดกับตัวเองต่อไปว่า “ฉีจิ้งชุนที่จิตหยินไม่ดับสลาย ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่สู้พวกเรามามองปัญหาข้อนี้ในแบบที่ปลอดภัยสักหน่อย สมมติว่าฉีจิ้งชุนมีวิชาหมากล้อมเลิศล้ำค้ำฟ้า อนุมานไปได้ไกลมาก อนุมานจนมาถึงหายนะครั้งนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะตาย เขาจึงได้ใช้วิชาลับบางอย่างนำจิตวิญญาณส่วนหนึ่งมาซ่อนไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ฉีจิ้งชุนเป็นบัณฑิตแบบใด? เขายอมให้จ้าวเหยาที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากไม่ต้องสืบทอดควันธูปสายบุ๋นของเขาก็ได้ ขอแค่ให้จ้าวเหยาได้เดินทางไกลไปศึกษาต่ออย่างปลอดภัย ต่อให้ ‘ฉีจิ้งชุน’ ที่จิตวิญญาณไม่สมบูรณ์ผู้นั้นหลบอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อแอบมองเฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเขาจะแค่หวังให้เฉินผิงอันมีชีวิตอยู่รอด ไร้ทุกข์ไร้กังวล สงบสุขปลอดภัย หวังจากใจจริงว่าวันหน้าบนบ่าของเฉินผิงอันจะไม่ต้องแบกภาระทั้งหลายแหล่ที่ยุ่งเหยิงอุตลุดอีกต่อไปหรือไม่? ขนาดเจ้ายังสงสารอาจารย์คนใหม่ของเจ้า เจ้าว่าฉีจิ้งชุนผู้นั้นจะไม่สงสารเลยหรือ?”
ชุยฉานคลี่ยิ้ม “แน่นอน ข้าไม่ปฏิเสธว่าต่อให้ตอนนั้นจิตวิญญาณของฉีจิ้งชุนจะแบ่งเป็นสามส่วน ข้าก็ยังคงกริ่งเกรงเขา ทว่าตอนนี้ ขอแค่เขากล้าโผล่ออกมาแล้วทำให้ข้าจับเบาะแสได้ ข้าจะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแม้แต่คำเดียว แค่คำเดียวก็ไม่ได้”
ชุยตงซานหันหน้ามามองชุยฉาน ตัวเขาเองที่หลังจากเติบใหญ่แล้วกลายมาเป็นคนแก่ผู้นี้อย่างเหม่อลอย “เจ้าว่า ทำไมข้าถึงกลายมาเป็นเจ้าในปัจจุบันนี้ได้?”
ชุยฉานยิ้มบางๆ ขยับนิ้วชี้ไปยังรถม้าคันนั้น “ประโยคนี้ หลังจากที่เฉินผิงอันได้เจอกับกู้ช่าน เขาก็น่าจะพูดกับกู้ช่านเหมือนกันว่า ‘ทำไมต้องเปลี่ยนมาเป็นคนแบบที่ตัวเองเคยเกลียดที่สุดในอดีต’”
ชุยฉานไม่แม้แต่จะมองชุยตงซานและบ่อสายฟ้าสีทองที่กระเพื่อมเบาๆ ของเขา เพียงเอ่ยเนิบช้าว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงข้อที่ว่าเจ้าสังหารข้าไม่ได้ ต่อให้ทำได้ ทางตันครั้งนี้ก็ยังคงเป็นทางตัน ก็เหมือนกับสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเจ้าก็นั่งอยู่ตรงนี้อย่างว่าง่ายเถอะ ฉวยโอกาสที่ข้ายังพอมีเวลา ยังไม่ได้กลับไปยังต้าหลี คำถามมากมายที่เจ้าชุยตงซานไม่เข้าใจ ยังพอจะถามข้าชุยฉานได้”
เมื่อชุยฉานไม่พูดต่อ
ในห้องก็เงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง
ดูเหมือนชุยฉานจะนึกเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ถาม ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้าเองก็แล้วกัน เจ้าว่าหากกู้ช่านตอบคำถามนั้นของเฉินผิงอันแบบนี้ เฉินผิงอันจะรู้สึกอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น…อืม กู้ช่านอาจพูดกับเขาอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลว่า ‘ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ผิด หากเจ้าเฉินผิงอันมีปัญญาก็ฆ่าข้าให้ตายเสียเลยสิ’ หรือยกตัวอย่างเช่น… ‘ตอนที่ข้ากู้ช่านกับแม่ถูกคนชั่วของทะเลสาบซูเจี่ยนรังแก เจ้าเฉินผิงอันมัวไปอยู่ที่ไหน?’”
การมองเห็นของชุยตงซานพร่าเลือน เขามองผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อหรือตัวเขาเองที่ก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างมั่นคงหนักแน่นจนกระทั่งมีวันนี้อย่างเหม่อลอย
ชุยฉานยิ้มบางๆ “อันที่จริงหลังจากที่ทุกคนเติบใหญ่ ไม่ว่าจะได้เรียนหนังสือหรือไม่ ก็ล้วนรู้สึกเดียวดายไม่มากก็น้อย ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดแค่ไหนก็ยังรู้สึกได้ว่า มีเสี้ยวเวลาหนึ่งที่ดูเหมือนว่าระหว่างฟ้าดินและมนุษย์คล้ายเงียบสงัดไม่เคลื่อนไหว บางคนที่ถามใจตัวเองจะได้รับการตอบรับที่พร่าเลือน บ้างก็เป็นความรู้สึกละอายใจ ความรู้สึกเคียดแค้น รู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? เจ้าไม่รู้ก็เพราะว่านี่คือสิ่งที่ข้าชุยฉานเพิ่งจะขบคิดจนเข้าใจเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เจ้าชุยตงซานล่องเรือทวนกระแสน้ำ ถอยแล้วถอยอีก หากข้าไม่บอก เจ้าก็ยิ่งไม่มีทางเข้าใจ นั่นเรียกว่ามโนธรรมในใจฟ้าดินรับรู้ของมนุษย์คนหนึ่ง ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีทางทำให้ชีวิตของคนคนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นดีมากขึ้น มีแต่จะยิ่งทำให้คนรู้สึกทุกข์ยากมากขึ้น คนดีคนเลวล้วนเป็นเช่นนี้”
ชุยฉานพูดต่อ “ใช่แล้ว ในช่วงเวลาที่เจ้าผลาญไปในสำนักศึกษาต้าสุย ข้าได้เล่าความคิดที่ปีนั้นพวกเราใคร่ครวญออกมาได้ให้เสินจวินผู้เฒ่าฟัง ถือเป็นการช่วยให้เขาคลายปมในใจเล็กๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าลองคิดดูนะ บุคคลอย่างเสินจวินผู้เฒ่า ขนาดหลุมในใจหลุมหนึ่งยังต้องใช้เวลาเกือบหมื่นปีในการขบคิด แล้วเจ้าคิดว่าเฉินผิงอันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่? นอกจากนี้หากเปลี่ยนมาเป็นข้าชุยฉาน แค่เพราะคำตอบที่ไม่ได้ตั้งใจว่า ‘ขอคิดดูอีกหน่อย’ ของเฉินผิงอัน เพราะมันเป็นคำตอบที่แตกต่างจากซิ่วไฉเฒ่าอย่างสิ้นเชิง ข้าก็ไม่มีทางร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก อย่างเช่นที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน”
ชุยตงซานยกมือขึ้นมาวางขวางทับดวงตา
ชุยฉานยิ้มกล่าว “แม้แต่อารมณ์จะด่าข้าว่าตะพาบเฒ่าก็ยังไม่มีแล้วหรือ ดูท่าจะเสียใจมากจริงๆ น่าสงสารพอๆ กับเฉินผิงอันเลยนะ แต่ไม่ต้องรีบร้อน หลังจากนี้อาจารย์จะยิ่งน่าสงสาร และยิ่งเสียใจมากกว่าลูกศิษย์ซะอีก”
ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใบหน้าเปรอะไปด้วยน้ำมูกและน้ำตาที่ไหลปนรวมกัน สะอื้นไห้ไม่หยุด
ชุยฉานพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากข้าจำไม่ผิด สภาพจิตใจที่น่าสังเวชเช่นนี้ ครั้งแรกที่เกิดขึ้นก็เมื่อนานมากมาแล้ว เป็นตอนที่อยู่ชั้นบนของหอเก็บตำราของบ้านเกิดแล้วถูกท่านปู่ดึงบันไดออก ตอนนั้นอายุพอๆ กับหนังหุ้มร่างของเจ้าในเวลานี้ เพราะโกรธท่านปู่ก็เลยจงใจฉีกตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งที่ท่านปู่เลื่อมใสมากที่สุดเอามาเช็ดก้นแล้วขยำทิ้ง พอท่านปู่เห็นกองกระดาษพวกนั้นก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ ถึงขั้นไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็ไม่ได้ดุด่า เพียงแค่เอาบันไดกลับมาพาดให้ใหม่ แล้วถึงเดินจากไป”
ชุยฉานยิ้มกล่าว “อันที่จริงที่ข้าพูดกับเสินจวินผู้เฒ่าก็แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเรื่องของจุดที่แข็งแกร่งซึ่งซ่อนอยู่ในนิสัยอันอ่อนแอของมนุษย์ คือคำกล่าวที่พวกคนรุ่นหลังใช้คำว่า ‘เห็นอกเห็นใจ’ ‘รู้สึกร่วม’ ‘จิตเกิดความสงสาร’ มาอธิบาย ไม่ต้องสนว่าคนแต่ละคนมีพละกำลังมากเท่าไหร่ อนาคตยาวไกลแค่ไหน เพราะพวกเขาล้วนสามารถทำเรื่องโง่ที่ขนาดองค์เทพซึ่งอยู่สูงเหนือผู้ใด เฉยชาไร้ความรู้สึก บริสุทธิ์ไร้มลทินก็ยังมิอาจจินตนาการได้ถึง พวกเขาสามารถกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญเพื่อคนอื่น สามารถชอบโกรธรักหลงเพราะความชอบโกรธรักหลงของผู้อื่น ยินดีให้ร่างตัวเองแหลกสลายเป็นผุยผงแทนคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เปลวเพลิงจุดเล็กๆ ในใจคนจะเปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา จะกู่ร้องพุ่งเข้าหาความตาย ยินยอมพร้อมใจให้ศพของตัวเองช่วยให้คนรุ่นหลังเดินขึ้นเขาไปได้ไกลอีกก้าว เดินไปยังยอดเขา ยอดเขาที่มีหอหยกเรือนแก้ว แล้วรื้อถอนพวกมันทิ้งซะ! ทุบทำลายเทวรูปที่หลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์ เอาโชคชะตาของมนุษย์แปลงเป็นควันธูปแล้วกินแทนอาหารให้สิ้นซาก!”
ชุยฉานพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาอีก “แต่ว่า นี่เป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น สันดานของมนุษย์อีกครึ่งหนึ่งก็คือ คนคนหนึ่งเกิดมาก็รู้แล้วว่าเพื่อการอยู่รอดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีการ ไม่ว่า ‘ข้า’ จะต่ำต้อยเท่าไหร่ ก็ยังมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ดังนั้น ‘ข้า’ ที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วนนี้ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตให้ยาวนานยิ่งกว่าเดิม มีชีวิตให้ดียิ่งกว่าเดิม พวกเราไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองรู้จักหนึ่งนั้นแล้ว จึงอาศัยสัญชาตญาณที่เคยถูกองค์เทพปลูกฝังบ่มเพาะไปแย่งชิงมันมา ในเมื่อมีหนึ่งเพียงหนึ่งเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ต้องไปแย่งมาจากมือของคนอื่น ให้หนึ่งนั้นของตัวเองใหญ่ขึ้น เยอะขึ้น การไขว่คว้าไล่ตามเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด”
ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังเฉินผิงอันและรถม้าคันนั้น “กู้ช่านอาจจะไม่รู้ถึงความลำบากใจของเฉินผิงอันเสมอไป ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันไม่รู้ความคิดของฉีจิ้งชุน”
ชุยฉานหดมือกลับมา ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองเดาดูสิว่า ครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนกางร่มให้เฉินผิงอัน เดินเคียงข้างกันอยู่บนถนนนอกร้านยาตระกูลหยาง ฉีจิ้งชุนได้บอกเหตุผลที่ทำให้ในอนาคตเฉินผิงอันไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดแก่การอนุมานก็คือ ตอนนั้นเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ เขาเดาได้แล้วหรือไม่ว่า ตัวเองก็คือหมากสำคัญที่ทำให้ฉีจิ้งชุนต้องตาย?”
ชุยฉานหันหน้ากลับไป ส่ายหน้ายิ้มๆ
ชุยตงซานตัดขาดความรู้สึกและการรับรู้ทั้งหมดแล้ว
ชุยฉานมองม้วนภาพทั้งสองต่อไป “ซิ่วไฉเฒ่า หากเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าจะพูดว่าอะไร? อืม คงจะลูบหนวดแล้วเอ่ยว่า ‘ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่’”
ชุยฉานพลันหัวเราะหยัน “ใบถงทวีปอันยิ่งใหญ่ กลับมีแค่สวินยวนคนเดียวที่ไม่ได้ตาบอด ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ชุยตงซานนอนตัวตรงแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนคนตายคนหนึ่ง
ชุยฉานหันหน้ากลับมา “ในถุงผ้าแพรใบนั้นเจ้าเขียนประโยคใดไว้กันแน่? นี่เป็นจุดเดียวที่ข้าอยากรู้ เลิกแกล้งตายเถอะ ข้ารู้ว่าต่อให้เจ้าผนึกสะพานแห่งความเป็นอมตะก็ต้องเดาความคิดของข้าออกเหมือนกัน ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เจ้าชุยตงซานยังคงมีอยู่บ้าง”
ชุยตงซานแน่นิ่งไม่ขยับ แกล้งตายจนถึงที่สุด
……
บนถนนที่มีผู้คนสัญจรกันคลาคล่ำจอแจมากที่สุดในนครน้ำบ่อ ในสถานที่ที่เดิมทีไม่ควรเกิดการลอบฆ่ามากที่สุดกลับเกิดฉากล้อมสังหารที่น่าอกสั่นขวัญผวา
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดของราชวงศ์จูอิ๋งคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดเดินทางไกลคนหนึ่ง อาจารย์ค่ายกลขอบเขตโอสถทองที่จัดวางค่ายกลไว้เรียบร้อยแล้วคนหนึ่ง
เป็นแผนการที่รัดกุมไร้ช่องโหว่
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เหล่าผู้ชมผิดหวังกันอย่างมาก
หนึ่งเพราะการลอบสังหารนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สองเพราะฉากจบมาถึงเร็วเกินไป
ห้องโดยสารของรถม้าคันที่สองระเบิดกระจายไปสี่ทิศ แล้วปรากฎร่างของ ‘แม่นางเปิดสาบเสื้อ’ ที่สวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่ง
นางปล่อยให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดแทงทะลุหัวใจ โดยที่ตัวเองปล่อยหมัดต่อยผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่กระโจนเข้าใส่ให้ตายด้วยหมัดเดียว ในมือยังกำหัวใจที่นางควักออกมาจากอกของอีกฝ่ายไว้แน่น ครั้นจึงทะยานร่างพุ่งออกไป อ้าปากกว้างกลืนหัวใจลงท้อง จากนั้นก็ไล่ตามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไป ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลังของเขา ต่อยให้เสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหารที่คนผู้นั้นสวมใส่ปริแตก จากนั้นก็กระชากควักหัวใจอีกดวงออกมา ทะยานลมหยุดยืนนิ่ง ไม่มองศพที่ร่วงหล่นลงบนพื้น ปล่อยให้ทารกก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนนำโอสถทองเผ่นหนีไปไกล
นี่เป็นสิ่งที่นายท่านตกลงกับนางไว้ก่อนแล้ว เพราะหากสังหารทุกคนหมดรวดเดียว วันหน้าจะไม่มีอะไรให้เล่นสนุกอีก
และ ‘แม่นางเปิดสาบเสื้อ’ ผู้นี้ก็คือ ‘หนีชิวน้อย’ ตัวนั้น
นางได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเงียบเชียบแล้ว
ขอบเขตก่อกำเนิดของเผ่าพันธุ์เจียวหลง มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งบวกกับผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่มันยังไม่ใช่เผ่าพันธุ์เจียวหลงธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในทายาทของมังกรตัวสุดท้ายห้าตัวที่หลงเหลืออยู่ในท้ายที่สุดของโลก
มันกลับมาอยู่ด้านข้างรถม้าคันแรก ยังตั้งใจคงลิ้มรสรสชาติหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด รสชาตินี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม การที่จะได้กินอาหารมื้อใหญ่รสชาติอร่อยถูกปากแบบนี้ในทะเลสาบซูเจี่ยน ถือว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว
กู้ช่านที่สวมชุดหม่างสีหมึกกระโดดลงมาจากรถม้า ลวี่ไช่ซางตามหลังมาติดๆ
กู้ช่านเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมัน ยื่นนิ้วมาช่วยเช็ดมุมปากให้มันพลางบ่นว่า “หนีชิวน้อย บอกกับเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว คราวหน้าห้ามกินอย่างตะกละตะกลามน่าเกลียดแบบนี้อีก! ยังอยากจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับข้าและท่านแม่อยู่อีกไหม?!”
มันยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะหันหน้ากลับไปอย่างลำบากใจเล็กน้อย
ภาพนี้ทำให้ลวี่ไช่ซางที่มองอยู่รู้สึกสั่นเยือกทั้งที่ไม่หนาว
กู้ช่านเดินอาดๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าอาจารย์ค่ายกลโอสถทองที่ยืนนิ่งอยู่ข้างถนนไม่กล้ากระดุกกระดิก ผู้คนที่อยู่รอบกายเซียนดินท่านนี้สลายหายไปดั่งน้ำลงนานแล้ว
ที่อาจารย์ค่ายกลยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะจิตใจของนางไม่หนักแน่นมากพอ ตกใจจนก้าวขาไม่ออก
แต่เป็นเพราะนางถูกเดรัจฉานตัวนั้นจ้องเขม็ง ขอแค่กล้าขยับตัวก็ต้องตาย
กู้ช่านสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินวนรอบตัวผู้ฝึกตนโอสถทองที่อยู่ในสภาพของสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดา สุดท้ายมาหยุดยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้านาง ทอดถอนใจกล่าวว่า “น่าเสียดายนัก ท่านอาหญิงหน้าตาน่าเกลียดเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องตายแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ “กู้ช่าน ขอร้องล่ะ เว้นชีวิตข้าสักครั้งเถอะ! นับจากนี้ไปข้ายอมอุทิศตนรับใช้เจ้า!”
กู้ช่านเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร คล้ายว่ากำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
มันที่ไม่มีหมวกคลุมหน้า แต่ยังคงสวมเครื่องแต่งกายยามออกมาข้างนอกของแม่นางเปิดสาบเสื้อเรอดังเอิ้ก มันรีบปิดปากตัวเองทันที
กู้ช่านหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่มัน
จากนั้นก็หันไปพูดกับลวี่ไช่ซางด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร เดินตามก้นข้าไม่ได้กินฝุ่นอย่างเปล่าประโยชน์ใช่ไหม?”
ลวี่ไช่ซางพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มเจิดจ้าสดใส
หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่ใช่มารตัวเป้งของทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้าที่จะมีกู้ช่านแล้ว
กู้ช่านหันหน้ากลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา ยิ้มกล่าวว่า “ลวี่ไช่ซาง ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยบอกกฎกติกาที่ก่อนหน้านี้ข้าป่าวประกาศแก่คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนให้ท่านอาหญิงผู้นี้ฟังที”
ในอดีตบนเกาะชิงเสียเคยเกิดการลอบสังหารและลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดกู้ช่านถึงห้ามไม่ให้หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่เดือดดาลจนมิอาจควบคุมตัวเองไปสืบไซ้ไล่เรียง ไม่ต้องไปเสาะหาว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังของนักฆ่าเหล่านั้นเป็นใคร
ทว่าคู่แค้นในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ดี หรือผู้ฝึกตนอิสระที่เกลียดขี้หน้ากู้ช่านเลยจ้างนักฆ่ามาสังหารเขาก็ช่าง ล้วนไม่มีใครเป็นคนโง่ พวกเขาจึงไม่คิดจะจ่ายเงินหรือทุ่มเทเอาชีวิตไปตายอย่างเปล่าประโยชน์ที่เกาะชิงเสียอีก
ลวี่ไช่ซางชำเลืองตามองสตรีแต่งงานแล้วคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ กล่าวว่า “การลอบฆ่าและท้าทายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อออกมาจากเกาะชิงเสีย แขกผู้มีเกียรติที่ลงมือเป็นครั้งแรกจะฆ่าแค่คนเดียว ครั้งที่สองนอกจากคนที่ลงมือแล้ว ยังเอาชีวิตของคนที่สนิทสนมกับเขาที่สุดอีกคนหนึ่ง ให้ตายเป็นคู่ ครั้งที่สามหากมีครอบครัวก็ฆ่าทั้งครอบครัว หากไม่มีญาติก็ฆ่าคนทั้งครอบครัวของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง หากคนเบื้องหลังก็เป็นคนน่าสงสารที่เหลือตัวคนเดียว ก็ฆ่าคนที่สนิทกับเขามากที่สุดอย่างเช่นสหาย สรุปก็คืออย่าให้การเดินทางไปเยือนวังยมบาลของเขาต้องโดดเดี่ยวเดียวดายเกินไปนัก”
กู้ช่านพยักหน้ารับ หันหน้ากลับมามองสตรีแต่งงานแล้วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังคนนั้นอีกครั้ง เขาดึงมือข้างหนึ่งออกมา ชูนิ้วสามนิ้ว “จะเอาชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ ให้เหนื่อยยากไปไย การแก้แค้นของผู้ฝึกตน ร้อยปีก็ยังไม่สาย แต่อันที่จริงพวกเจ้าก็คิดถูกแล้ว หากให้ผ่านไปอีกร้อยปี พวกเจ้าจะกล้ามาหาเรื่องซวยใส่ตัวได้อย่างไร? พวกเจ้าสามคนนี่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย จำได้ว่าเมื่อปีก่อนตอนอยู่บนเกาะชิงเสีย มีนักฆ่าคนหนึ่ง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าร้ายกาจ ความสามารถไม่สูง แต่ความคิดกลับดีเยี่ยม ถึงขนาดนั่งยองอยู่ในห้องส้วมแล้วปล่อยกระบี่ใส่นายท่านอย่างข้า แม่งช่างมีพรสวรรค์ซะจริง หากไม่เป็นเพราะหนีชิวน้อยลงมือเร็วเกินไป นายท่านอย่างข้าก็คงตัดใจฆ่าเขาไม่ลงด้วยซ้ำ!”
กู้ช่านหดมือข้างหนึ่งไว้ในชายแขนเสื้อ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งชูสามนิ้วไว้ตลอดเวลา “ก่อนหน้าเจ้า นอกเกาะชิงเสียก็มีสามครั้งแล้ว คราวก่อนข้าพูดกับคนผู้นั้นว่า ครอบครัวเดียวกันต้องอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องกลับมารวมตัวกันอย่างสุขสันต์ ครั้งแรกใครฆ่าข้า ข้าก็ฆ่าคนนั้น ครั้งที่สองค่อยฆ่าคนสนิทของเขา ครั้งที่สามฆ่าคนทั้งครอบครัวของเขา ส่วนครั้งนี้ เป็นครั้งที่สี่แล้ว ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
มันผู้นั้นกลืนน้ำลาย “ประหารเก้าชั่วโคตร”
กู้ช่านกระจ่างแจ้งในทันใด “ใช่ พูดอย่างนี้นี่แหละ”
กู้ช่านหดนิ้วกลับ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวลงเล็กน้อย พูดกับพวกผู้หญิงก็ดีอย่างนี้ พวกนางมักจะตัวไม่สูง ไม่ต้องให้เขาเงยหน้าพูดให้เมื่อย
กู้ช่านพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “จะต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตรแล้วนะ ประหารเก้าชั่วโคตร อันที่จริงไม่ต้องกลัวหรอก นั่นเป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่เชียวนะ เวลาปกติต่อให้เป็นช่วงเทศกาลหรือวันปีใหม่ พวกเจ้าก็มารวมตัวกันได้ไม่ครบหรอก”
และเวลานี้เอง มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่ห้อยกาเหล้าเดินออกมาจากใต้ชายคาของเรือนข้างถนนห่างไปไม่ไกล
เขาเดินตรงเข้าหากู้ช่าน
ลวี่ไช่ซางหันตัวกลับมา หรี่ตาลง ปราณสังหารท่วมท้น
กู้ช่านเองก็หันตัวกลับมาทันที ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขามา”
ลวี่ไช่ซางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังหลีกทางให้
‘บุรุษวัยกลางคน’ แซ่เฉินผู้นั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘เด็กหนุ่ม’ ที่สวมชุดหม่าง
อยู่ดีๆ หนีชิวน้อยที่จำแลงร่างกลายเป็นคนก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
กู้ช่านที่จิตใจเชื่อมโยงอยู่กับมันเพิ่งจะขมวดคิ้วก็ถูกคนผู้นั้นตบเข้าที่ใบหน้า
คนผู้นั้นกล่าว “เจ้าลองพูดอีกทีสิ?”
ลวี่ไช่ซางอ้าปากกว้าง
ทุกคนที่อยู่บนถนนก็เป็นอย่างนี้กันแทบทั้งหมด
คนผู้นั้นยกมือตบฉาดลงบนใบหน้ากู้ช่านเต็มแรงอีกครั้ง เขาพูดเสียงสั่นแต่กลับเฉียบขาด “กู้ช่าน! เจ้าพูดอีกทีสิ!”
กู้ช่านหันหน้าไปถ่มเลือดทิ้ง จากนั้นก็เอียงศีรษะ ข้างแก้มบวมฉึ่งแดงก่ำทันตาเห็น ทว่าในสายตาของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ เฉินผิงอัน! เจ้ามาแล้วหรือ!”