Skip to content

Sword of Coming 433

บทที่ 433 ลองวางหลักการในตำราลงก่อน

วันนี้แถบเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยนคลื่นลมนิ่งสงบ ผิวน้ำของทะเลสาบราบเรียบราวกระจก เกาะใต้อาณัติน้อยใหญ่รอบด้านมีเทือกเขาเขียวขจีสลับสล้าง เสียงนกกระเรียนเซียนในตระกูลเซียนแผดยาวให้ได้ยินเป็นระยะ บางครั้งก็มีสายรุ้งเส้นสองเส้นพุ่งพาดผ่านท้องนภาห่างไปไกล บางครั้งก็มีเสียงสายฟ้าคำรามครืนครั่น

ทัศนียภาพงดงามชวนสบายตาสมกับเป็นถ้ำสถิตแห่งเทพเซียน

ศิษย์พี่ใหญ่เถียนหูจวินสวมเสื้อแขนสั้นสีแดงสดปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายสีทอง ในมือหอบเอกสารปึกใหญ่กำลังเดินเนิบช้าไปยังห้องที่อยู่ใกล้กับประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย ตลอดทางผู้ฝึกตนทุกคนที่เห็นเถียนหูจวินต่างก็หลีกทางถอยไปอยู่ด้านข้างแล้วคารวะผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามผู้นี้

เถียนหูจวินไม่เคยตอบรับใคร

ทุกวันนี้นางคือบุคคลผู้กุมอำนาจที่งไม่ว่าไปที่ไหนก็ล้วนได้รับการต้อนรับจากคนทั่วเกาะชิงเสีย ตลอดหลายปีมานี้พลังอำนาจของเกาะชิงเสียเพิ่มพูนขึ้น เถียนหูจวินติดตามหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์และศิษย์น้องเล็กกู้ช่านออกกรีฑาทัพไปทั่ว สงครามนองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่ช่วยขัดเกลาตบะของนาง ส่วนแบ่งหลังจบเรื่องยังมากมหาศาล บวกกับของรางวัลที่หลิวจื้อเม่ามอบให้ ทำให้เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน เถียนหูจวินสามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้อย่างราบรื่น ตอนนั้นเกาะชิงเสียจัดงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับเถียนหูจวินที่กลายเป็นโอสถทอง กลายเป็นเทพเซียน

เถียนหูจวินเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องแห่งนั้น เคาะประตูก่อนเดินเข้าไป นางเห็นว่าคนหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะกำลังเงยหน้ามองมาที่ตน

คนหนุ่มปักปิ่นไว้บนศีรษะ สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ข้างโต๊ะวางน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ใบหนึ่ง เพียงแต่ว่ามาที่นี่หลายครั้งแล้ว เถียนหูจวินที่เป็นเซียนดินโอสถทองจึงพอจะมองเบาะแสบางอย่างออกว่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกยอดฝีมือร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ สิ่งของที่มีค่ามากพอให้ผู้ฝึกตนใหญ่อำพรางภาพลักษณ์ของมันเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นสมบัติอาคมชั้นสูงของแท้อย่างเช่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แน่นอน

เถียนหูจวินเคยพูดคุยกับหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์อย่างลับๆ ครั้งหนึ่งเกี่ยวกับน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนี้ คำตอบที่หลิวจื้อเม่ามอบให้ได้ช่วยพิสูจน์ว่าการคาดเดาของเถียนหูจวินเป็นความจริง มันก็คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชั้นสูงใบหนึ่ง

แต่ที่ยิ่งทำให้เถียนหูจวินหวาดหวั่นหาใช่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่คนหนุ่มผู้นี้เอามาทำเป็นน้ำเต้าบรรจุเหล้าไม่ แต่เป็นกระบี่ยาวเล่มที่วางไว้ในห้องด้านข้างอันเป็นที่พักของศิษย์น้องเล็กกู้ช่านเล่มนั้นต่างหาก หลิวจื้อเม่ายืนยันว่า นั่นคืออาวุธกึ่งเซียนที่พยศยากจะกำราบเล่มหนึ่ง

หลิวจื้อเม่าบอกเถียนหูจวินว่าระยะเวลาช่วงนี้ให้ควบคุมผู้ฝึกตนทุกคนบนเกาะชิงเสียให้ดี อย่างน้อยที่สุดก็ห้ามทำอะไรตามใจชอบเหมือนเวลาปกติจนกว่าเฉินผิงอันจะไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน

นั่นเป็นครั้งแรกที่เถียนหูจวินสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่คุ้นเคยอย่าง ‘การถูกจำกัด’ จากบนร่างของหลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์

เมื่อเข้ามาในห้อง คนหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเคลื่อนย้ายของบนโต๊ะ เว้นที่ว่างแถบหนึ่งให้กับเถียนหูจวิน

เถียนหูจวินจึงวางเอกสารปึกใหญ่ที่ถูกฝุ่นเกาะหนาชั้นในมือลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยขออภัยว่า “ท่านเฉิน นี่เป็นเอกสารลับชุดที่สามที่หามาได้จากห้องควันธูปของเกาะชิงเสีย ห้องควันธูปไม่ถูกกำราบมานาน ใช้ชีวิตสุขสบายที่ฟ้าไม่สนดินไม่แลมานานจนชินแล้ว ดังนั้นเอกสารจึงเก็บไว้ได้ไม่ครบถ้วน มดมอดกันกินไปค่อนข้างมาก ท่านเฉิน ต้องขออภัยด้วย”

เฉินผิงอันโบกมือ “หวังว่าเถียนเซียนซือจะไม่ลงโทษห้องควันธูปด้วยเรื่องนี้ เดิมทีก็เป็นเถียนเซียนซือกับห้องควันธูปของเกาะชิงเสียที่ช่วยเหลือข้า เถียนเซียนซือ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

เดิมทีเถียนหูจวินคิดไว้แล้วว่าจะลากตัวผู้ดูแลหลักสามคนของห้องควันธูปมาจัดการสักคำรบ แต่เวลานี้เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอัน เถียนหูจวินก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที นางเปลี่ยนความคิดใหม่ หรือควรจะเรียกมาสั่งสอนเป็นการส่วนตัวดี? ตอนนี้มองภายนอกทะเลสาบซูเจี่ยนสุขสงบ ผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียคุ้นเคยกับคาวลมฝนเลือดอย่างปีก่อนๆ แล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้แต่ละคนจึงอยู่ว่างจนเกิดความว้าวุ่นและเบื่อหน่ายอย่างยิ่งยวด จากลูกศิษย์ใหญ่ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ของสกัดคงคาเจินจวิน จากที่เคยถูกผู้ฝึกตนยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักหยินหยางที่เคยมาเป็นแขกของเกาะชิงเสียวิเคราะห์ไว้ว่าชีวิตนี้จะเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ไร้ความหวังว่าจะได้เป็นเซียนดิน เถียนหูจวินกระโดดพรวดก้าวเดียวมากุมอำนาจใหญ่ อาศัยพลังการต่อสู้ยึดครองเกาะเหมยเซียนที่แย่งชิงมาเพียงลำพัง เมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ก็เทียบเท่าเป็นแคว้นใต้อาณัติที่แยกตัวเป็นอิสระ ที่นั่นคือถิ่นฐานที่กลายมาเป็นของนางเถียนหูจวินอย่างแท้จริง อีกทั้งสกัดคงคาเจินจวินยังเป็นคนที่แบ่งแยกการให้รางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจน ซึ่งนี่ก็คือรากฐานที่ทำให้หลิวจื้อเม่าสามารถสร้างสถานการณ์ใหญ่ให้เกาะชิงเสียเป็นผู้พิชิตเพียงหนึ่งเดียวของทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวจื้อเม่าไม่เคยขี้เหนียวกับการให้รางวัลแก่ ‘กลุ่มขุนนางผู้มีคุณูปการ’ พวกคนที่เข้ามาอยู่ภายหลัง หรือพวกคนที่มาสวามิภักดิ์ ขอแค่กล้าสู้กล้าสังหารกล้าทุ่มเทชีวิตเพื่อสร้างผลงานให้แก่เกาะชิงเสีย การให้รางวัลจากศาลบรรพจารย์เกาะชิงเสียล้วนเท่าเทียมกันเสมอ

เฉินผิงอันกล่าว “หลังจากนี้ข้าอาจจะต้องไปหาผู้ดูแลของห้องควันธูปเพื่อถามเรื่องบางอย่าง รบกวนเถียนเซียนซือช่วยนำความไปแจ้งแก่เขาสักหน่อย”

ในใจเถียนหูจวินหวาดผวา รีบคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านเฉินเกรงใจกันเกินไปแล้ว นี่เป็นงานในหน้าที่ของเถียนหูจวิน ยิ่งเป็นเกียรติของห้องควันธูป”

เฉินผิงอันเงียบงันเป็นคำตอบ เห็นว่าเถียนหูจวินเหมือนยังไม่คิดจะจากไป จึงได้แต่เปิดปากถามเบาๆ ว่า “เถียนเซียนซือมีเรื่องอะไรจะปรึกษากันหรือ?”

เถียนหูจวินเรียงคำต่อประโยคในใจอย่างระมัดระวัง หลังจากเรียบเรียงได้คร่าวๆ แล้วก็เอ่ยว่า “อาจารย์ต้องการให้ข้าถามท่านเฉินว่า อีกไม่นานทางทะเลสาบซูเจี่ยนจะจัดงานคัดเลือกผู้นำแห่งยุทธภพบนเกาะกงหลิ่ว ท่านเฉินจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าว “นี่เป็นสถานการณ์ใหญ่ดีงามที่เกาะชิงเสียของพวกเจ้าได้มาครองอย่างยากลำบาก แล้วก็เป็นเรื่องในบ้านของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้า ข้าย่อมไม่เข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว แต่ข้าจะอยู่รอชมเรื่องสนุกที่นี่”

เถียนหูจวินรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก คำตอบของนักบัญชีที่ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่บนเกาะชิงเสียมึนงงไม่เข้าใจผู้นี้นับว่าน่าพึงพอใจ และนางก็น่าจะนำไปอธิบายให้หลิวจื้อเม่าผู้เป็นอาจารย์ฟังได้

เฉินผิงอันอ้อมโต๊ะหนังสือ เดินไปส่งเถียนหูจวินที่หน้าประตู

แม้ว่าเขาจะทำเช่นนี้ทุกครั้ง ทว่าเถียนหจวินกลับยังอดรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันไม่ได้ หลังจากที่เถียนหูจวินเดินจากไปไกลแล้ว นางก็แอบครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่กับตัวเอง นักบัญชีเฉินผิงอัน คนยังคงเป็นคนเดิม แต่ที่ทำให้รู้สึกแปลกไป น่าจะเป็นเพราะตอนนี้นางรู้ว่าน้ำเต้าของเขาคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่เล่มนั้นก็คืออาวุธกึ่งเซียนกระมัง?

เฉินผิงอันย้อนกลับไปที่โต๊ะหนังสือ เริ่มอ่านเอกสารของห้องควันธูปแต่ละฉบับ

ชื่อแซ่ ภูมิลำเนา วันเดือนปีเกิด วิชาความรู้ที่ได้รับถ่ายทอด ญาติและตระกูล

ในบรรดานี้มีชื่อของคนหลายคนที่ได้ถูกทางห้องควันธูปเกาะชิงเสียใช้ชาดสีแดงขีดฆ่าตามกฎดั้งเดิม นี่เรียกว่าการเพิกถอนจากเอกสาร

ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเจอชื่อที่ตัวเองต้องการหา เขาก็จะเขียนมันลงไปในตำราว่างเปล่าที่จงใจไม่ขีดเขียนตัวอักษรใดๆ ลงไปซึ่งวางอยู่ข้างกาย นอกจากวันเกิดและภูมิลำเนาแล้ว ยังมีหน้าที่ที่คนเหล่านี้เคยทำบนเกาะชิงเสีย ในเอกสารเหล่านี้ของห้องควันธูป เนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้ฝึกตนหรือนักการบนเกาะชิงเสียจะหนาหรือบางจะเกี่ยวพันกับว่าตบะของพวกเขาสูงหรือต่ำ หากตบะสูง เนื้อหาที่ถูกบันทึกไว้ก็จะมีมาก ตบะน้อยนิดก็มักจะมีแค่ชื่อแซ่บวกกับภูมิลำเนาเท่านั้น ไม่ถึงสิบตัวอักษร

และยังมีคนตายหลายคนที่อันที่จริงแล้วไม่เคยแม้แต่จะปรากฏในเอกสารของห้องควันธูปมาก่อน เมื่อตายไปแล้ว แม้แต่ชื่อก็ไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้

หลังจากนั้นนอกจากจะไปที่ห้องควันธูปเพื่อสอบถามถึงนิสัยใจคอและความรู้สึกที่คนรอบข้างมีต่อกลุ่มคนที่ตัวเองบันทึกชื่อเอาไว้แล้ว เฉินผิงอันยังสืบสาวเบาะแสต่อไปอีกจากปากของผู้ฝึกตน พ่อบ้านของจวนและแม่นางเปิดสาบเสื้อบนเกาะชิงเสีย ถามถึงคนเหล่านั้นแล้วบันทึกไว้ในตำรา และระยะเวลาช่วงนี้ก็ยังไปรบกวนบุคคลผู้กุมอำนาจที่ดูแลด้านต่างๆ ของเกาะชิงเสียเหมือนที่รบกวนให้เถียนหูจวินไปที่ห้องควันธูป เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นเฉินผิงอันอาจจะไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจหมดไปแค่กับเรื่องนี้ แต่กลับต้องเสียเวลาเดินไปเดินมาอยู่บนเกาะมากเกินความจำเป็น

ในขณะที่เถียนหูจวินกำลังเดินทางไปรายงานเรื่องนี้แก่หลิวจื้อเม่า นางก็เจอเข้ากับกู้ช่านศิษย์น้องเล็กที่สวมชุดคลุมอาคมคราบหนังเจียวหลงพอดี

ส่วนศิษย์น้องชายหญิงคนอื่นๆ ที่รวมถึงฉินเจวี๋ย เฉาเจ๋อ และยังมีเค่อชิงผู้ถวายงานใหญ่สิบคนที่แยกกันอยู่ตามเกาะใหญ่ทั้งสิบสองแห่งซึ่งรวมเกาะชิงเสีย เกาะเหมยซานและเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากพิธีใหญ่บนเกาะกงหลิ่วขยับเข้ามาใกล้ทุกที อีกทั้งระบบขั้นสูงของเกาะชิงเสียนั้นภายนอกมองดูเหมือนผ่อนคลาย แต่ภายในแน่นหนารัดกุม พวกคนสนิทและขุนพลที่มีความสามารถของเกาะชิงเสียเหล่านี้จึงต้องอาศัยชื่อของสกัดคงคาเจินจวินไปทำหน้าที่เป็นผู้โน้มน้าวชักจูง ประหนึ่งคนของสำนักจ้งเหิงที่วิ่งวุ่นคอยซื้อใจผู้คนไปทั่ว ไม่ว่าจะใช้แผนการชั่วร้ายหรือเอาสถานการณ์ใหญ่มาอ้าง ก็เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทาง หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

กู้ช่านเห็นเถียนหูจวิน เขาก็ยังคงมีท่าทีเหมือนชาวนาหนุ่มน้อยที่สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปพบเฉินผิงอันมาอีกแล้วหรือ ข้าขอเตือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยความหวังดีสักคำว่าอย่าได้คิดเรื่องที่ไม่ควร ห้ามคิดว่าหากวันใดเสนอตัวปีนขึ้นเตียงของเฉินผิงอันแล้วจะได้ลิ้มรสชาติที่ถูกข้าเรียกว่า ‘อาซ้อ’ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพอข้าเรียกว่าอาซ้อจบแล้วก็จะไม่เห็นแก่มิตรภาพของคนในสำนักเดียวกันอะไรอีก”

เถียนหูจวินยิ้มเฝื่อน “ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่ได้ถูกผีบังใจสักหน่อย อีกอย่าง ท่านเฉินจะชอบคนที่หน้าตาดาษดื่นอย่างข้าหรือ?”

กู้ช่านอารมณ์ดีเล็กน้อย “ก็ใช่น่ะสิ เฉินผิงอันตาสูงนักล่ะ ปีนั้นเขายังไม่เห็นผู้หญิงอย่างจื้อกุยที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ในสายตาเลย ศิษย์พี่หญิงใหญ่เจ้ารู้จักประมาณตนเช่นนี้ ข้าปลาบปลื้มนัก”

เวลาที่พูดคุยกับกู้ช่าน เถียนหูจวินจะต้องค้อมตัวลงต่ำอย่างไม่ให้เป็นที่จับสังเกตเสมอ เพื่อที่ว่ากู้ช่านจะได้ไม่ต้องแหงนหน้าหรือกวาดสายตามองขึ้นด้านบน นานวันเข้า ท่าทางเช่นนี้จึงเป็นไปเองตามธรรมชาติ

กู้ช่านเอ่ยต่อ “อีกอย่าง เรื่องเกี่ยวกับแม่นางเปิดสาบเสื้อ เจ้าต้องช่วยข้าปิดปากให้สนิท หากคนอื่นหลุดปากพูดออกไปคือพวกเขาโง่ รนหาที่ตายเอง แต่หากคนฉลาดที่จิตใจละเอียดอ่อนอย่างศิษย์พี่หญิงใหญ่เผลอพูดเมื่อไหร่ ข้าคงต้องสงสัยซะแล้วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่มีจิตคิดร้ายต่อข้า ขนาดปีนั้นอาจารย์ยังปกป้องศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็ย่อมปกป้องศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้ารู้ว่า ศิษย์พี่หญิงสามที่นิสัยคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชอบมุดเข้าผ้าห่มของผู้อื่นคนนั้นไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับศิษย์พี่หญิงใหญ่เท่าใดนัก หากไม่เป็นเพราะตบะและคุณสมบัติในการฝึกตนย่ำแย่เกินไป ไม่แน่ว่าทุกวันนี้พวกเราอาจจะต้องเรียกนางว่าอาจารย์แม่แล้ว”

รอยยิ้มของเถียนหูจวินชะงักค้าง “นิสัยของศิษย์พี่ ศิษย์น้องเล็กยังไม่รู้อีกหรือ?”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ก็เพราะว่ารู้นี่แหละ ข้าถึงต้องเอ่ยเตือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไม่อย่างนั้นหากวันใดต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่ข้าเพียงแค่เพราะหวังเศษอาหารจากซอกฟันของอาจารย์ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่เสียดาย ข้าที่เป็นศิษย์น้อง ได้รับการดูแลจากศิษย์พี่หญิงใหญ่มานานหลายปีขนาดนี้ ย่อมต้องเสียใจอย่างสุดซึ้ง”

เถียนหูจวินยิ้มฝาดเฝื่อน “ข้าจำไว้แล้ว”

กู้ช่านยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาตบข้างแก้มของเถียนหูจวินเบาๆ “ไปเถอะ อาจารย์กำลังรอฟังข่าวจากเจ้าอยู่นะ”

เถียนหูจวินจากไปแล้ว

กู้ช่านจึงหันมาพูดกับหนีชิวน้อย “จะเอาแต่เรียกเจ้าว่าหนีชิวน้อยก็คงไม่เข้าท่า ไป ข้าจะไปให้เฉินผิงอันช่วยตั้งชื่อให้กับเจ้า”

หนีชิวน้อยทำท่าอิดออด

กู้ช่านยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของเจ้าสักหน่อย มีอะไรให้ต้องกลัวและเขินอายกันเล่า”

ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องแห่งนั้น กู้ช่านขมวดคิ้วถาม “คืนนั้น ความเคลื่อนไหวในห้องของเฉินผิงอัน เป็นความผิดพลาดจากการหลอมลมปราณอย่างที่เขาบอกจริงๆ หรือ?”

หนีชิวน้อยส่ายหน้า ในฐานะที่มันเป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหลอมลมปราณ ก็เหมือนคนที่อยู่สูงกว่าหลุบตาลงต่ำมองการหลอมลมปราณของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนดุจแสงไฟในถ้ำมืดมิด “ย่อมไม่ได้ง่ายดายแค่นั้น เพียงแค่ดีกว่าธาตุไฟเข้าแทรกเล็กน้อย ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดนั้นบอกได้ยาก เฉินผิงอันมีรากฐานของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อีกทั้งยังสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ ไม่ค่อยเหมือนกับพวกเราเท่าไหร่ ดังนั้นข้าจึงมองความจริงไม่ออก แต่คืนนั้นเฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บไม่เบา นายท่านเองก็มองออกแล้ว ไม่ใช่แค่ในด้านของร่างกายและจิตวิญญาณเท่านั้น สภาพจิตใจก็…”

หนีชิวน้อยไม่กล้าพูดต่อ

กู้ช่านหยุดเดิน เงียบงันไปนาน

ร่างทั้งร่างของเขาแผ่พลังอำนาจที่ทำให้คนหายใจไม่ออก

มารน้อยชั่วร้ายที่คนในทะเลสาบซูเจี่ยนแค่ได้ยินชื่อก็ขวัญผวาผู้นี้ ไม่ได้อาศัยแค่หนีชิวน้อยและหลิวจื้อเม่าถึงได้เดินมาจนถึงทุกวันนี้

กู้ช่านยิ้มขื่นกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาสิว่าควรจะชดเชยแก้ไขอย่างไร?”

หนีชิวน้อยที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวผิวขาวนวลเนียนดุจขนนกเกาหัว “ตัวเฉินผิงอันเองยังไม่พูดอะไร นายท่านก็อย่าวาดงูเติมขาดีกว่ากระมัง? นายท่านชอบเยาะเย้ยพวกมดตัวน้อยที่อยู่ในทางตันเหมือนสัตว์ตกหลุมกับดักว่ายิ่งทำมากก็ยิ่งทำผิดไม่ใช่หรือ?”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

ไปถึงห้องขนาดไม่ใหญ่ของเฉินผิงอัน กู้ช่านหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งตรงธรณีประตู ยิ้มพลางเล่าให้เฉินผิงอันฟังถึงเป้าหมายในการมาที่นี่ บอกว่าต้องการให้เขาช่วยตั้งชื่อให้หนีชิวน้อย ซึ่งไม่เกี่ยวพันถึงชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกภูตผีปีศาจและเผ่าพันธุ์เจียวหลงในโลกมนุษย์

เฉินผิงอันวางพู่กันลง เงยหน้าขึ้น ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “งั้นก็ชื่อถานเซวี่ย (ถ่านและหิมะ) แล้วกัน ถานเซวี่ยถงหลู (ถ่านและหิมะอยู่ในเตาเดียวกัน เปรียบเปรยถึงสองสิ่งที่ตรงข้ามกันแต่กลับสามารถมาอยู่ร่วมกันได้) ใกล้ชิดสนิทสนม ล้ำค่าหาได้ยากเป็นพิเศษ”

กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง ยิ้มพูดกับหนีชิวน้อย “เป็นอย่างไร?!”

หนีชิวน้อยกล่าวอย่างเขินอาย “เรียบง่ายไปสักหน่อย แต่ข้าก็ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน จะถูกคนหัวเราะเยาะหรือไม่”

กู้ช่านหลุดหัวเราะพรืด “หากใครกล้าหัวเราะเยาะชื่อจริงของเจ้า ข้าก็จะ…”

กู้ช่านรีบปิดปากแน่นสนิท แอบหันหน้าไปมองด้านหลัง

พบว่าเฉินผิงอันได้หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งและก้มหน้าเขียนตัวอักษรต่อแล้ว

กู้ช่านนั่งตากแดดอบอุ่นของช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงอย่างเกียจคร้าน สุขสบายและผ่อนคลายยิ่งนัก สบายจนเขาใกล้จะเคลิ้มหลับแล้ว

ตนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านหลัง กู้ช่านไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

กู้ช่านยืดแขนบิดขี้เกียจ หันหน้าไปถามว่า “ท่านแม่ข้าบอกว่าคืนนี้จะเข้าครัวทำอาหารพื้นบ้านที่เรียบง่ายยิ่งกว่าครั้งก่อนด้วยตัวเอง มีเวลาว่างไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณท่านอาหญิงแทนข้าสักคำ บอกว่าพอถึงเวลากินมื้อค่ำ ข้าจะรีบไปให้ทัน ใช่แล้ว บอกกับท่านอาหญิงด้วยว่าคืนนี้ไม่ดื่มเหล้าแล้ว”

กู้ช่านคลี่ยิ้มกว้าง “ได้เลย! ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำธุระของตัวเองก่อนล่ะ”

ตอนที่กู้ช่านวางม้านั่งตัวเล็กกลับไปในมุม เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบอกกับเถียนหูจวินสักคำว่า ข้าอยากจะรวบรวมอักขรานุกรมท้องถิ่นของทะเลสาบซูเจี่ยน นอกจากตำราสำคัญที่ถูกเก็บสะสมอย่างดีของแต่ละเกาะแล้ว อาจจะยังมีตำราที่เกี่ยวพันไปถึงนครน้ำบ่อที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยน และอักขรานุกรมของอำเภอ มณฑลและเขตการปกครอง ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าต้องใช้กี่เหรียญเงินเทพเซียน ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง เตือนนางอีกสักประโยคว่า การแจ้งราคาในท้ายที่สุดให้รวมค่าใช้จ่ายที่เกินมานอกเหนือจากหน้าบัญชีเข้าไปด้วย รวมถึงกำลังคนกำลังสิ่งของของเกาะชิงเสีย ทั้งหมดให้อิงตามเกณฑ์ของการทำการค้า เชื่อว่านี่น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับทะเลสาบซูเจี่ยน”

กู้ช่านยิ้มกล่าว “เรื่องเล็ก! ตอนนี้สิบสองเกาะซึ่งรวมถึงเกาะชิงเสียได้คัดเลือกพวกคนเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่โบกธงร้องไห้กำลังใจ แต่ไม่ยอมลงแรงไว้กลุ่มใหญ่ คราวนี้ก็ได้เวลาให้พวกเขาไปทำเรื่องเป็นการเป็นงานสักที”

เฉินผิงอันมองกู้ช่าน

กู้ช่านครุ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้าจะบอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่า นี่เป็นการซื้อขายที่ทำกันอย่างตรงไปตรงมา ห้ามเอาชื่อของเกาะชิงเสียไปบังคับซื้อขายกับใคร หรือทำอะไรที่เหลวไหล”

เฉินผิงอันกล่าว “หากยังมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจ้าต้องมาบอกข้าทันที ข้าจะจัดการเอง”

กู้ช่านยิ้มสดใส “วางใจเถอะ ไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นแน่ ที่นี่คือเกาะชิงเสีย คือทะเลสาบซูเจี่ยน มีกฎเกณฑ์อยู่มากมาย แล้วก็มีคนมากมายที่ชอบแหกกฎ แต่หากคิดจะทำลายกฎจริงๆ ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร แต่ละคนล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ”

กู้ช่านพาหนีชิวน้อยไปจากประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย

แล้วจู่ๆ กู้ช่านก็เอ่ยขึ้นว่า “หนีชิวน้อย ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าสายตาสุดท้ายของเฉินผิงอันดูแปลกๆ เจ้ารู้สึกใจวูบโหวงบ้างไหม?”

หนีชิวน้อยกล่าวอย่างขลาดๆ “ก็มีบ้างนิดหน่อย”

กู้ช่านเดินอาดๆ ต่ออีกครั้ง “ข้าก็บอกแล้วไงว่าเฉินผิงอันเหมาะที่จะอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเรา มีเขาอยู่ อย่างมากข้าก็แค่ต้องกลัวเขาคนเดียว แต่ข้าสามารถฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงได้อย่างแท้จริง การค้าครั้งนี้ เจ้าว่าใครได้กำไรมากกว่า? แน่นอนว่าต้องเป็นข้า”

หนีชิวยิ้มอย่างเขินอาย “ถานเซวี่ยเห็นด้วย”

กู้ช่านหันหน้ากลับมา เห็นว่าหนีชิวน้อยกำลังก้มหน้าบิดชายอาภรณ์ก็ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้ามันผู้หญิงหน้าไม่อาย ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าชื่อเรียบง่ายเกินไป คราวนี้กลับรีบร้อนเอามาใช้แล้วรึ?”

แต่แล้วกู้ช่านก็ทำหน้าม่อยห่อเหี่ยว “แต่ว่าหนีชิวน้อย ช่วงนี้พวกเราคงต้องว่างกันหน่อยล่ะ ห้ามรบราฆ่าฟันเหมือนเมื่อก่อนอีก อย่าเห็นว่าตอนนี้เฉินผิงอันทำตัวเป็นนักบัญชีแล้ว แต่ความจริงเขาคอยจับตามองพวกเราอยู่ตลอดนั่นแหละ”

หนีชิวน้อยตบท้องตัวเอง “ตอนนี้ยังไม่หิว”

กู้ช่านมองค้อนใส่ “เพิ่งจะกินสตรีโอสถทองผู้นั้นเข้าไป หากเจ้ายังบอกว่าหิวอีก ข้าจะไปจับใครมาให้เจ้าได้? อาจารย์ข้าหรือไง?”

ดวงตาของหนีชิวน้อยเป็นประกายวิบวับ

กู้ช่านหัวเราะหึหึ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ แหงนหน้าขึ้น “หนีชิวน้อย ข้าอารมณ์ดีมาก อารมณ์ดียิ่งกว่าเวลาฆ่าคนอื่นเสียอีก”

ช่วงนี้หนีชิวน้อยก็เรียนรู้ที่จะ ‘ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับผู้อื่น’ แล้ว จึงพูดอย่างเข้าท่าเข้าทีว่า “หากท้องยังไม่หิว นายท่านอารมณ์ดี ข้าก็อารมณ์ดีมากเหมือนกัน”

กู้ช่านเอ่ยถาม “เจ้าว่าเฉินผิงอันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”

หนีชิวน้อยส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าเข้าใกล้เฉินผิงอันกับโต๊ะตัวนั้นมากเกินไป แล้วข้าก็ไม่ชอบคิดมากด้วย ข้าเลยไม่รู้”

กู้ช่านถอนหายใจ “ช่างเถอะ ขอแค่ได้เห็นเฉินผิงอันทุกวัน ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีกเล่า”

……

ในหอเรือนของนครน้ำบ่อ

ช่วงนี้ชุยตงซานเริ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนไปวนมาในบ่อสายฟ้าสีทองแห่งนั้นอยู่บ่อยๆ แล้ว

หันกลับมามองชุยฉาน เขาเริ่มหลับตาทำสมาธิ บางครั้งก็รับเอาข่าวจากกระบี่บินระดับขั้นสูงสุดที่มาแจ้งเรื่องบ้านเมืองและสงครามซึ่งเกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในต้าหลีที่ต้องให้เขาจัดการด้วยตัวเอง

ชุยตงซานยืนอยู่ริมขอบของวงกลมนั้น ก้มหน้าลงมองภาพวาดทั้งสอง ภาพหนึ่งคือคำพูดและการกระทำของกู้ช่านกับสาวใช้หนีชิวน้อย ส่วนอีกภาพหนึ่งคือบรรยากาศในห้องของนักบัญชีเฉินผิงอัน

ชุยตงซานเริ่มวิจารณ์กู้ช่าน “คนที่กระดูกปูดโปน อายุสั้น คนที่กระดูกโผล่ มิอาจหยัดยืนได้ด้วยตัวเอง คนที่กระดูกลามเลื้อย ดุร้ายอำมหิต คนที่ข้อต่อกระดูกคล้ายหินทอง ชะตาแข็งอย่างถึงที่สุด นี่ เจ้าตะพาบเฒ่า เจ้าคิดว่าเจ้าลูกกระต่ายกู้ช่านผู้นี้ หากออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วไม่ได้พบเจอกับเฉินผิงอันอีก มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะกลายมาเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนที่สองของแจกันสมบัติทวีปตามหลังหลิวเหล่าเฉิงแห่งตรอกหางผึ้ง?”

ชุยฉานลืมตาขึ้น พยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้สูงมาก อยู่ท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวาย กู้ช่านกลับจะยิ่งเป็นดั่งปลาได้น้ำ”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “เจ้าตะพาบเฒ่า ทีนี้จะเอายังไงต่อ? แม้ว่าอาจารย์ข้าจะถูกทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิด ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา แต่ถึงอย่างไรสถานการณ์ตายครั้งนี้ก็ไม่ได้รุนแรงมากกว่าเดิม เจ้าจะผิดหวังมากกว่าอาจารย์ของข้าหรือเปล่า? ฮ่าๆ สี่ข้อยากที่เจ้าทุ่มเทสติปัญญาจัดวางเอาไว้ ผลกลับกลายเป็นว่าอาจารย์ของข้าดันยอมแพ้ในเรื่องของจิตดั้งเดิมอันเป็นข้อยากที่สามไปโดยตรง ในเมื่อจุดลึกในใจยืนกรานคิดว่ากู้ช่านทำผิด แต่กลับไม่อาจต่อยให้กู้ช่านตายด้วยหมัดเดียว ยิ่งไม่อาจทอดทิ้งกู้ช่านไม่เหลียวแล ถ้าอย่างนั้นก็ผ่านหลุมในใจไปให้ได้ก่อน จึงตัดสินใจทำลายวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองซึ่งกว่าจะหลอมสำเร็จได้ไม่ง่ายอย่างเด็ดขาด อาศัยโอกาสนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้สองข้อยากแรกของเจ้ากลายมาเป็นเรื่องตลก อาจารย์ของข้ายังทำการตัดขาดและวาดขอบเขตอีกครั้งหนึ่ง เลือกทางไส้แกะเส้นเล็กที่ไม่มีทางแยกออกไปไหน โยนความรู้สึกและกฎเกณฑ์ทิ้งไปชั่วคราว ไม่ไปสนใจกฎหมายและเหตุผลอันยิบย่อยอีก แต่เริ่มย้อนสืบเสาะไปยังจุดเริ่มต้น อีกทั้งขณะเดียวกันกับที่ใคร่ครวญถึงความเป็นไปเป็นมาเส้นนี้ อาจารย์ของข้ายังเริ่มทดลองเดินออกมาจากวงกลมที่ ‘ไร้ความผิด’ ของตัวเองเป็นครั้งแรก เท่ากับว่าฝ่าทำลายสิ่งกีดขวาง ไม่เอาเหตุผลมาสร้างกรงขังให้กับตัวเองอีกต่อไป เริ่มเดินเข้าไปยังฟ้าดินที่กว้างใหญ่ ขอแค่ต้องการ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีที่ใดที่เขาไปเยือนไม่ได้!”

ชุยฉานตอบไม่ตรงคำถาม “ได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้าหยิบเอาวิชาคำนวณที่ปีนั้นพวกเราโยนทิ้งไปกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อีกทั้งยังเริ่มศึกษาเรื่องอุปสรรคด้านขั้นตอนแล้ว?”

ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “แค่ประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง เทียบกับกิจการยิ่งใหญ่พันปีที่ตะพาบเฒ่าอย่างเจ้าวางแผนไว้ไม่ได้หรอก”

ชุยฉานหัวเราะหยัน “อยากจะพูดก็พูดมาสิ จะต้องกลั้นไว้ทำไม? หรือเจ้าคิดว่าข้าจะขอร้องให้เจ้าพูดถึงความมหัศจรรย์ของหลักการอันลี้ลับที่เพิ่งบรรลุมาได้ใหม่เหล่านั้น?”

ชุยตงซานถูมือกล่าวว่า “ในเมื่อตะพาบเฒ่าเปลี่ยนวิธีการมาขอร้องข้า งั้นข้าก็…จะพูดเรื่องน่าสนใจแค่เรื่องเดียว เชื่อว่าเจ้าจะต้องใคร่รู้มากเหมือนกัน ข้าถามเจ้า ตะพาบเฒ่าชุย เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าการเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวคราวนั้น อาจารย์ของข้าผ่านด่านของพ่อตาแม่ยายมาได้อย่างไร? ข้าสามารถบอกเป็นนัยๆ แก่เจ้าได้นิดนึงว่ามันเกี่ยวข้องกับกู้ช่านด้วย”

ชุยฉานกล่าวอย่างเฉยเมย “ปีนั้นตอนอยู่บนหอเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว ท่านปู่เคยพูดถึง บอกว่าด่านใหญ่ที่อันตรายที่สุดที่เฉินผิงอันพบเจอที่ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ที่การฝ่าจากขอบเขตสี่ไปสองขอบเขตติด เลื่อนสู่ขอบเขตสูงสุดของวิถีวรยุทธที่หกในรวดเดียว ข้อนี้ เฉินผิงอันที่เป็นคนมีอุบายลึกล้ำย่อมต้องคิดได้ ดูจากที่ตอนนี้เฉินผิงอันสามารถปล่อยและเก็บปณิธานหมัดทั่วร่างได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ สิ่งที่เขาประสบพบเจอมาในพื้นที่มงคลดอกบัวอาจจะยังไม่เพียงพอ มีความเป็นไปได้ว่าจะได้มาจากการทดสอบที่พ่อตาใช้ทดสอบลูกเขยในคราวนั้นเสียมากกว่า อืม ภูเขาห้อยหัวมีร้านหนึ่งที่ขายเหล่าหวงเหลียง เมื่อดื่มเหล้าก็ลืมความทุกข์ ตอนนั้นเฉินผิงอันก็น่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหกแล้ว ทำได้อย่างไร แล้วย้อนกลับมาที่ขอบเขตเดิมได้อย่างไร หนึ่งพันโลกธาตุเต็มไปความมหัศจรรย์ ที่นั่นยังมีบรรพจารย์ของสำนักจ๋าเจียที่ขายเหล้ามานานหลายปีอยู่ด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ต่อให้เฉินผิงอันเดินขึ้นฟ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินได้ในก้าวเดียว ข้าก็ไม่แปลกใจ ดังนั้นเฉินผิงอันผ่านด่านมาได้อย่างไร ง่ายมาก คู่รักเซียนกระบี่ใหญ่สองคนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แกล้งปลอมตัวเป็นคนที่ผ่านทางมา จงใจทำให้เฉินผิงอันโมโหตอนอยู่ในร้านเหล้าของพื้นที่มงคลหวงเหลียง เฉินผิงอันเลือดร้อนขึ้นหน้า ต่อให้ต้องสละอนาคตบนวิถีวรยุทธ์ก็ต้องพูดทวงความยุติธรรมให้แก่พ่อแม่ของสตรีผู้เป็นที่รักให้จงได้ นั่นจึงทำให้เขาฝ่าออกจากทางตัน ฝ่าทะลุขอบเขตไปได้สำเร็จ”

ชุยตงซานหัวเราะคิก “เจ้าตะพาบเฒ่า เจ้ายังร้ายกาจอยู่เหมือนเดิม แต่วันหน้าพูดจาให้ระวังหน่อย อย่างอาจารย์ข้านั่นไม่เรียกว่ากลอุบายลึกล้ำ แต่เรียกว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนคิดให้เยอะ เพิ่มพูนสติปัญญา เมื่อเทียบกับพวกเราสองคนที่เกิดมาก็มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง คนหนึ่งคือฟ้า อีกคนก็คือดิน”

ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด “ข้าคาดว่าทุกคนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ต้องคิดว่าเฉินผิงอันไม่คู่ควรกับหนิงเหยา”

ชุยตงซานกล่าวอย่างกังขา “ตะพาบเฒ่า อะไรของเจ้า ทำไมถึงพูดจาดีๆ ถึงอาจารย์ข้าได้แล้วล่ะ ทำไม คิดจะยกธงขาวยอมแพ้ครึ่งทาง? หากเจ้าคิดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าพวกเราเสมอกันดีไหม?”

ชุยฉานพูดกับตัวเอง “ตอนนั้นต้องเป็นเพราะเขายอมสละอนาคตบนวิถีวรยุทธของตัวเอง ถึงได้ผ่านด่านของภูเขาห้อยหัวมาได้ หากตอนนี้แม้แต่การอยู่ต่อเพื่อกู้ช่านยังไม่ยินดีทำ แล้วเฉินผิงอันจะมีคุณสมบัติเดินเข้ามาในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร คนฉลาดที่วันนี้ตัดใจไม่ลง คิดว่าวันหน้ารอให้ทรัพย์สมบัติมีมากแล้วค่อยเสียสละ พวกเราเคยเห็นกันมากี่มากน้อยแล้ว?”

ชุยตงซานยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ “ชุยฉาน เจ้าพูดถึงอาจารย์ข้าดีๆ อีกแล้วหรือ? เจ้าคงจะไม่เสียสติไปแล้วกระมัง? อย่าเป็นแบบนี้สิ หากจะเสียสติจริงๆ ก็ได้ แต่รอให้เรื่องใหญ่เรื่องนั้นสำเร็จลงก่อนเจ้าค่อยเป็นบ้า ถึงเวลานั้นอย่างมากข้าก็แค่ต้องเอาข้าวถ้วยเล็กๆ มาวางให้เจ้าตรงหน้าประตูเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว…”

ชุยฉานชี้ไปยังห้องในม้วนภาพวาด หันหน้ามามองชุยตงซาน มุมปากตวัดขึ้นหัวเราะหยัน “ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร? ข้อยากที่สี่ ยากที่มีความยากนับไม่ถ้วน เจ้ารู้หรือไม่ ด่านที่สี่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ยิ่งเฉินผิงอันตั้งใจเท่าไหร่ หลุมในใจหลังจากนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถึงเวลานั้นข้าว่าคงเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องขอยอมแพ้ข้าครึ่งทาง แล้วก็ต้องกังวลว่าเฉินผิงอันจะจิตมารเข้าแทรกอย่างสมบูรณ์หรือไม่”

ชุยตงซานไม่แสร้งทำเป็นผ่อนคลายอย่างเมื่อครู่นี้อีก เขากลับมานั่งที่เดิม เอ่ยเนิบช้าว่า “ความอ่อนแอและแข็งแกร่งอยู่ที่กำลังมากน้อยเพียงชั่วคราว ชัยชนะและพ่ายแพ้อยู่ที่เหตุผลอันยาวนาน”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “หากคำว่า ‘ชั่วคราว’ นี้ก็คือหลายสิบปี หนึ่งร้อยปีล่ะ นั่นก็เป็นเวลาชั่วชีวิตของคนธรรมดาแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร เฉินผิงอันล่ะจะทำอย่างไร?”

ชุยตงซานสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าต้องหัดเรียนรู้จากอาจารย์ของข้าด้วยการปฏิบัติต่อคนบนโลกด้วยความดีเสียบ้าง และนายท่านชุยตงซานอย่างข้าก็คือคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้มาวางตัวบีบคั้นมารดาเจ้าอยู่ที่นี่”

ชุยฉานยิ้มบางๆ “พวกกลุ่มของหร่วนซิ่วเข้ามาในสถานการณ์แล้ว หลิวเหล่าเฉิง เจ้าของเกาะกงหลิ่วที่เกือบจะถูกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนลืมเลือนก็ใกล้จะเข้ามาในสถานการณ์ ไม่แน่ว่ามาเร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะ”

ชุยตงซานโคลงศีรษะ “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”

ชุยฉานเอ่ยเนิบช้า “นี่ก็คือค่าตอบแทนของการใช้เหตุผล ตอนอยู่ตรอกหนีผิงมอบหนีชิวที่ต้องเป็นก่อกำเนิดอย่างแน่นอนตัวหนึ่งให้ไปเปล่าๆ ตอนอยู่ร่องเจียวหลงต้องสูญเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุน ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าเกือบจะถูกตู้เม่าแทงตาย ดูท่าอาจารย์ของเจ้ายังกินความยากลำบากไม่มากพอ ค่าตอบแทนไม่ใหญ่พอ ไม่เป็นไร มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนคราวนี้ เขากินรวบรวดเดียวได้จนท้องแตกตายเลยล่ะ”

ชุยตงซานยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น โคลงศีรษะไปมา “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์ ตะพาบท่องคัมภีร์ไม่น่าฟังที่สุด”

ชุยฉานหันหน้ามามอง ‘เด็กหนุ่มชุยฉาน’ ผู้นี้ “วันหน้าหากเจ้ายังมีโอกาสได้ไปภูเขาลั่วพั่ว จำไว้ว่าต้องทำตัวดีๆ กับท่านปู่ให้มากหน่อย หากข้าเป็นท่านปู่แล้วเห็นกิริยานี้ของเจ้า ปีนั้นคงตีเจ้าตายไปแล้ว”

ชุยตงซานไม่เพียงแต่ส่ายก้น ยังเริ่มโบกชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะสองข้างด้วย

ชุยฉานพูดพึมพำกับตัวเอง “คิดจะบีบให้ตัวเองตายบนทางตายอย่างนั้นหรือ?”

ตอนที่เฉินผิงอันวางพู่กันลงก็พลันสังเกตเห็นแสงแดดด้านนอก

เขาคิดแล้วก็เดินออกจากห้อง เอาแผ่นไม้ไผ่ทั้งหลายไปตากแดด

แผ่นไม้ไผ่หลายแผ่นล้วนถูกแกะสลักไว้ทั้งสองด้าน ไม่ใช่ว่าแผ่นไม้ไผ่ไม่พอใช้ เดินทางยาวไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ระหว่างทางย่อมพบเจอป่าไผ่อยู่เนืองๆ

เพียงแต่ว่าตอนนั้นอ่านหนังสือได้มากแล้วก็จะค้นพบว่าหลักการเหตุผลมากมาย ต่อให้เป็นความรู้ของสายบุ๋นที่แตกต่างกันของสามลัทธิร้อยสำนัก ก็ยังมีบางประโยคที่กลายเป็นว่าเข้าคู่กันได้ดีเมื่ออยู่บนแผ่นไม้ไผ่ อีกทั้งยังค่อนข้างจะ ‘ใกล้ชิด’ กันด้วย สายบุ๋นในลัทธิขงจื๊อไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังคงเป็นสายตรงเหมือนกัน สามลัทธินั้นแตกต่าง แต่ก็เหมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง เมธีร้อยสำนักที่นอกเหนือจากสามลัทธิก็เหมือนสหายที่มาพบกันโดยบังเอิญในยุทธภพ หรือไม่ก็เหมือนญาติห่างๆ ที่ไม่เคยได้ไปมาหาสู่กันมานานหลายปี

ตอนที่เฉินผิงอันเอาไม้ไผ่มาตากแดด เขาหยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งในนั้นขึ้นมา ด้านหน้าของมันสลักประโยคหนึ่งของลัทธิขงจื๊อว่า ‘ทุกสิ่งมีต้นและปลาย เรื่องราวมีเริ่มต้นและจุดจบ เมื่อเข้าใจการเริ่มต้นและจบลงนี้ ก็จะเข้าใกล้กฎเกณฑ์ของการพัฒนาแห่งสรรพสิ่ง’

ส่วนด้านหลังเป็นประโยคของลัทธิเต๋าที่กล่าวไว้ว่า ‘ฟ้าดินมีความงดงามที่ยิ่งใหญ่ แต่มนุษย์มิอาจใช้ถ้อยคำมาบรรยาย หนึ่งปีสี่ฤดูกาลมีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด แต่ผู้คนมิเคยเอ่ยถึง การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งล้วนเคารพในกฎเกณฑ์ เพียงแต่มนุษย์ยังไม่สังเกตเห็นก็เท่านั้น’

เพียงแต่ว่าไม้ไผ่แผ่นนี้ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะตอนนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันเปิดอ่านตำราลัทธิพุทธก็ได้ใช้มีดแกะสลักแกะตัวอักษรอีกประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธไว้ตรงมุมที่ว่างเปล่าตัวเล็กๆ ว่า ‘พระธรรมคำสั่งสอนมิได้อยู่ที่ตัวอักษร’

มีไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่ทั้งหน้าตรงและหน้าหลังแยกกันสลักประโยคว่า ‘วิญญูชนควรมุ่งมั่นตั้งใจกับเรื่องที่เป็นรากฐาน เมื่อสร้างรากฐานขึ้นได้แล้ว หลักการแห่งการปกครองประเทศและการครองตนจึงจะกำเนิด’ และประโยคของลัทธิพุทธที่บอกว่า ‘กฎเกณฑ์บนโลกล้วนคือพระธรรม จึงไม่ควรแยกแก่นแท้แห่งการศึกษาธรรมออกจากการใช้ชีวิตจริง’

หยิบขึ้นมาแล้วอ่านเงียบๆ รอบหนึ่ง ก่อนจะวางลงเบาๆ

เฉินผิงอันหยิบไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา ‘สรรพสิ่งบนโลกล้วนเท่าเทียม ไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำ’ ‘มนุษย์มีเหนือใต้ พระพุทธศาสนาไม่มีเหนือใต้’ ด้านหลังคือประโยคที่บอกว่า ‘กษัตริย์ขุนนาง บนล่าง สูงต่ำ ล้วนขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์’

สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่หน้าตรงเป็นคำว่า ‘ความทุกข์ตรมมิเหนือกว่าจิตใจที่ตายแล้ว และกายดับก็ยังเป็นเรื่องรอง’ ด้านตรงข้ามเขียนว่า ‘เรื่องราวต่างๆ เมื่อดำเนินไปถึงขีดสุดย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง เรื่องราวจึงจะพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด’

อากาศของฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย ดวงอาทิตย์ลอยสูงเหนือศีรษะ

เฉินผิงอันตากแผ่นไม้ไผ่ทั้งหมด ส่วนตัวเองก็นั่งอยู่ตรงพื้นที่ว่างเปล่าใจกลางแผ่นไม้ไผ่ที่อยู่รายล้อม สองมือสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ สายตากวาดมองไปรอบกายอยู่เช่นนี้

เขานั่งอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งดวงตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขา เฉินผิงอันถึงได้เริ่มเก็บไม้ไผ่ขึ้นทีละแผ่น เอากลับไปเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นอีกครั้ง

หลักการเหตุผลในตำรามากมายเหล่านี้ ลองวางลงดูก่อน

หลักการเหตุผลอยู่ในตำรา การปฏิบัติตัวอยู่นอกตำรา

ประโยคนี้คือหลักการที่เฉินผิงอันรู้มาตั้งแต่ก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะปริแตกแล้วร่วงลงพื้นเสียอีก อีกทั้งยังไม่ได้อ่านเจอจากในหนังสือ แต่เป็นคนอื่นตั้งใจพูด ส่วนเขาตั้งใจฟัง

เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บแผ่นไม้ไผ่ทั้งหมดเสร็จก็เห็นกู้ช่านพาหนีชิวน้อยเดินมา อีกฝ่ายโบกมือให้เขา

เฉินผิงอันปิดประตูห้อง เดินไปหากู้ช่าน แล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่โอ่อ่าประดุจจวนของเชื้อพระวงศ์พร้อมกับเขา

หน้าประตูใหญ่แปะภาพแขวนของเทพทวารบาลมีสีสันไว้สองแผ่น

เฉินผิงอันมองพวกมันแล้วพึมพำในใจว่า “กันผีได้ แต่กันคนไม่ได้”

กู้ช่านถาม “เป็นอะไรไป?”

จากนั้นเขาก็บ่นอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “เจ้ายืนกรานจะย้ายไปอยู่ที่ประตูภูเขานั่นทำไมกัน แม้แต่ภาพเทพทวารบาลที่เข้าท่าเข้าทีก็ยังไม่มีแขวนไว้ ยากจนข้นแค้นนัก”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ไปกินข้าวกันเถอะ”

ไปถึงโต๊ะอาหารถึงได้เห็นว่าแม้ของกู้ช่านรินสุรารอไว้ให้เฉินผิงอันและกู้ช่านเรียบร้อยแล้ว

หนีชิวน้อยนั่งอยู่ข้างกายกู้ช่าน อันที่จริงมันไม่ชอบกินของพวกนี้ แต่มันชอบนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับสองแม่ลูก เพราะนั่นทำให้มันดูเหมือนคนยิ่งขึ้น

อันที่จริงกู้ช่านบอกกับมารดาแล้วว่าคืนนี้ไม่ดื่มเหล้า เขาจึงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ

แต่กลับเห็นว่าเฉินผิงอันหยิบจอกเหล้าขึ้นมาแล้ว เขาดื่มคารวะอาหญิงหนึ่งจอก ไม่เพียงเท่านี้ ยังรินเหล้าใส่จอกของตัวเอง จิบหนึ่งคำ ถึงได้เริ่มคีบกับข้าว

อาหารมื้อนี้ส่วนใหญ่เป็นสตรีแต่งงานแล้วที่ชวนคุยเรื่องจุกจิกยิบย่อยน่าสนใจของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เฉินผิงอันก็ไม่ได้เอาแต่เงียบอย่างเดียว เขาเองก็เล่าเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้เหมือนกัน

บรรยากาศกลมเกลียวปรองดอง

ทำให้กู้ช่านดื่มเหล้าไปหนึ่งจอกแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าต่อให้ตนดื่มอีกสักร้อยจินพันจินก็ไม่เมา

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะสาดน้ำเย็นใส่หน้าเขาด้วยประโยคว่า “ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย ต่อให้ทุกวันนี้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว และเหล้าวิหคครวญก็มีประโยชน์ต่อการฝึกตน แต่ดื่มให้น้อยจะดีกว่า หากอารมณ์ดีจริงๆ ดื่มแค่สามแก้วก็พอ”

กู้ช่านทำหน้าทะเล้นใส่ ก่อนจะพยักหน้ารับปาก

สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก

หากเฉินผิงอันสามารถให้การดูแลกู้ช่านผู้เป็นบุตรชายในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องใหญ่ได้เช่นนี้ นางก็ยังยินดีที่จะได้เห็น

โดยเฉพาะหลังจากที่หนีชิวน้อยพูดถึงเรื่องแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ให้ฟังโดยไม่ได้ตั้งใจ สตรีแต่งงานแล้วครุ่นคิดอยู่คนเดียวครึ่งค่อนคืนก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ทำให้หลิวจื้อเม่ากริ่งเกรงได้บ้าง ขอแค่เฉินผิงอันมีกำลังมากพอที่จะปกป้องคุ้มครองตัวเอง อย่างน้อยนี่ก็หมายความว่าเขาจะไม่เป็นตัวถ่วงกู้ช่านของนางไม่ใช่หรือ? ส่วนเรื่องความผิดความถูกที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาเหล่านั้น นางฟังแล้วก็มีแต่จะหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เพราะคิดว่าเฉินผิงอันจะทำร้ายกู้ช่าน แต่ขอแค่เฉินผิงอันไม่หวังดีจนทำเรื่องร้าย อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา นางก็ย่อมปล่อยให้เฉินผิงอันอยู่บนเกาะชิงเสียต่อไปได้

หลังกินข้าวอิ่ม เฉินผิงอันก็ทำเหมือนทุกครั้ง นั่นคือไปเดินเล่นเพียงลำพังบนเส้นทางเล็กๆ ริมทะเลสาบของเกาะชิงเสีย

เดินๆ หยุดๆ ไม่มีเป้าหมาย

บางครั้งก็เจอกับผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสีย คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่อายุยังน้อย ลำดับศักดิ์ต่ำ ส่วนพวกสาวใช้และนักการทั้งหลาย แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าออกจากจวนแต่ละแห่งโดยพลการ

พอเห็นเฉินผิงอัน พวกเขาจะพากันเรียกว่าท่านเฉิน เพราะไม่รู้แน่ชัดถึงความเป็นมาของคนหนุ่มผู้นี้ ได้ยินแค่ว่าเป็นแขกสูงศักดิ์ที่กู้ช่านเชิญให้มายังเกาะชิงเสียด้วยตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ ทุกวันกู้ช่านจะต้องไปนั่งที่ห้องตรงประตูภูเขาแห่งนั้นพักหนึ่งเพื่อพูดคุยกับแขกผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ นี่ถือเป็นเรื่องหายากใหญ่เทียมฟ้าประหนึ่งพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเลยทีเดียว

เพียงแต่เมื่อเห็นว่านักบัญชีท่านนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับทุกคน กลับยิ่งทำให้ผู้คนไม่เข้าใจ ความคิดที่จะเคารพยำเกรงจึงหายไปไม่น้อย

หรือว่าแค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง? ยกตัวอย่างเช่นแท้ที่จริงก็เป็นแค่คนต้าหลีบ้านเดียวกับมารน้อยกู้? หรือจะเป็นเด็กรุ่นหลังจากบ้านเดิมของฮูหยินผู้นั้น?

เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนเส้นทางอันเงียบสงบพลันหยุดฝีเท้า

ด้านหน้ามีคนยืนอยู่สองคน เฉาเจ๋อหนึ่งในศิษย์พี่ของกู้ช่าน และยังมีลวี่ไช่ซางคนที่ทำให้กู้ช่านโปรดปรานได้ เขาคือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ อายุแท้จริงเกือบจะสามสิบปีแล้ว ทว่านิสัยกับเนื้อหนังมังสาภายนอกยังเป็นเด็กหนุ่ม น่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ถึงได้มีหน้าตาเหมือนเด็กเช่นนี้ นี่หมายความว่าการที่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นั้นรับลวี่ไช่ซางไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ถือว่าสายตาเขามีแววไม่น้อย

ลวี่ไช่ซางสลัดเฉาเจ๋อที่หยุดเดินเรียบร้อยแล้วทิ้งไป ตัวเองปรี่ขึ้นหน้ามาหลายก้าว พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึนว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอัน? ข้าขอเตือนเจ้าว่าเลิกเจ้ากี้เจ้าการกับช่านช่านเสียที!”

เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “ไม่งั้นเจ้าจะทำยังไง?”

ลวี่ไช่ซางตกตะลึงไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยพูด

เส้นสายตาของเฉินผิงอันกลับมองข้ามลวี่ไช่ซางไปมองเฉาเจ๋อที่เห็นว่าตัวเองเป็นคนนอก เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยประโยคประหลาดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ช่างเถอะ คราวหน้าอย่าทำอีกก็แล้วกัน”

เฉาเจ๋อทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องอธิบายหรอก ข้ารู้แล้ว ก็แค่ไม่อยากฟังเท่านั้น”

ลวี่ไช่ซางมองคนหนุ่มที่มีสีหน้าอิดโรย หว่างคิ้วก็เต็มไปด้วยพยับเมฆอึมครึมแล้วเอ่ยเย้ยหยันว่า “ช่างเป็นคำพูดคำจาที่ใหญ่โตยิ่งนัก เป็นช่านช่านที่มอบความกล้านี้ให้เจ้ากระมัง?”

เฉินผิงอันที่ท่าทางเหมือนคนขี้โรคยกแขนข้างหนึ่งตั้งในแนวขวาง

เฉาเจ๋อคิดจะถอยหนีตามสัญชาตญาณ เพียงแต่ไม่อยากแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนนอกของเกาะชิงเสียอย่างลวี่ไช่ซาง จึงพยายามฝืนบังคับตัวเองให้สงบนิ่ง

ฟ้าดินเงียบสงัด

ลวี่ไช่ซางหัวเราะเสียงดังลั่น “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ไม่มา? เจ้าคิดให้ดีล่ะ”

เพิ่งจะขาดคำ

ก็เห็นว่าเส้นสีทองเส้นหนึ่งพุ่งจากเรือนที่พักของกู้ช่าน ทะยานขึ้นฟ้า เส้นสีทองลากยาวอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็มาหยุดอยู่เหนือฝ่ามือของบุรุษหนุ่มคนนั้น

ต่อให้กระบี่จะบินมาลอยอยู่สูงเหนือฝ่ามือของคนผู้นั้นหนึ่งชุ่นแล้ว

ทว่าเส้นยาวสีทองที่ลากตามวงโคจรของกระบี่ยาวเล่มนี้

กลับยังไม่สลายหายไป

ลวี่ไช่ซางหรี่ตาลง

ในใจสะท้านสะเทือนไม่หยุด

เฉินผิงอันถาม “ตามกฎของทะเลสาบซูเจี่ยน พวกเจ้าถือว่าตายได้แล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่ร้องครวญเบาๆ เล่มนั้นแล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “กลับไป ออกจากฝักคราวหน้าจะทำให้เจ้าพอใจ”

‘เจี้ยนเซียน’ เล่มนี้จึงพุ่งวาบหายไป เส้นสีทองยาวพันกว่าจั้งเส้นนั้นถึงได้หายไปด้วย

ลวี่ไช่ซางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ยอมถอยหนี

เฉาเจ๋อกลับถอยออกจากเส้นทางไปยืนอยู่ด้านข้างแล้ว

เฉินผิงอันมองลวี่ไช่ซางที่ทำสีหน้าประหนึ่งเห็นความตายเป็นมาตุภูมิ สีหน้าที่อิดโรยเหนื่อยล้าของเฉินผิงอันยังคงไม่จางหาย ทว่ากลับหลุดเสียงหัวเราะอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง “กู้ช่านควรจะเห็นเจ้าเป็นสหายอย่างแท้จริง”

กล่าวจบเฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับไปยังห้องแห่งนั้นของตัวเอง

ลวี่ไช่ซางที่ส่วนลึกในใจยังเหลือความหวาดกลัวไม่หายหันหน้าไปมองเฉาเจ๋อที่หลั่งเหงื่อเย็นท่วมตัว แต่ลวี่ไช่ซางกลับยังทำปากแข็งถามว่า “น้ำเข้าสมองไอ้หมอนี่หรือไง?”

เฉาเจ๋อกลับไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

มารดามันเถอะ เจ้าลวี่ไช่ซางวิ่งกลับไปหลบหลังอาจารย์ของตัวเองได้นี่ แต่หากข้าไปแหย่ให้เทพแห่งโรคระบาดที่เป็นเซียนกระบี่ซึ่งอำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ขุ่นเคืองขึ้นมา จะหนีไปไหนได้?

เฉินผิงอันกลับมาถึงห้องแล้วก็จุดไฟตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะ

อักขรานุมกรมท้องถิ่นของสถานที่ต่างๆ ในทะเลสาบซูเจี่ยนถูกส่งมาให้อย่างต่อเนื่อง และยังมีทำเนียบศาลบรรพชนของเกาะใหญ่อีกไม่น้อยปะปนมาด้วย เถียนหูจวินสามารถส่งมาให้ได้เร็วขนาดนี้ เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะสิ่งเหล่านี้คือของเชลยศึกที่เกาะชิงเสียได้รับมา อีกทั้งยังเป็นของประเภทที่ไม่มีค่ามากที่สุดด้วย หากเฉินผิงอันไม่พูดถึง สักวันพวกมันก็ต้องถูกเผาทิ้ง ตอนนี้กาะชิงเสียมีเกาะใหญ่สิบเอ็ดเกาะอยู่ใต้อาณัติ แต่ละเกาะล้วนถูกอาจารย์และศิษย์คู่นั้นสังหารสะบั้นควันธูปทิ้งจนสิ้นแล้ว

ล้วนจำเป็นต้องไล่เปิดไปทีละหน้า และต้องคัดลอกสำเนาเช่นกัน

หลังจากนี้ยังจำเป็นต้องสอบถามอย่างละเอียด ถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่แค่มานั่งขยับพู่กันอยู่ที่นี่แล้ว

แต่เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอะไร หนึ่งเพราะเขาถนัดในด้านการทำงานละเอียด ก็แค่ต้องวางเรื่องฝึกหมัดลงแล้วเปลี่ยนมาทำอีกเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น สอง หากแค่เริ่มต้นก็รู้สึกว่ายากแล้ว ป่านนี้เขาก็คงถอยไปนานแล้ว

กลางดึกสงัด ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภาสาดส่องแสงจันทร์เย็นกระจ่าง เฉินผิงอันวางพู่กันลง บิดข้อมือผลักประตูออกมาเดินวนรอบลานบ้าน ถือเป็นการผ่อนคลายอารมณ์

จดหมายสามฉบับที่ส่งออกไปยังภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน ภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปและตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า

คาดว่าคงยังไม่ได้รับการตอบกลับมาในเร็ววันนี้

เฉินผิงอันไม่รีบร้อน แล้วก็รีบร้อนไม่ได้ด้วย

พันภูเขาหมื่นแม่น้ำเขาก็เดินทีละก้าวผ่านมันมาแล้ว กระบี่บินที่ทะยานดั่งสายฟ้าแลบย่อมเร็วกว่ามากนัก

เฉินผิงอันพลันเดินออกจากวงกลม มายังประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย มุ่งหน้าไปยังท่าเรือ

เขายืนอยู่ริมฝั่ง ทรุดตัวลงนั่ง วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า แล้วจึงเงยหน้ามองไปยังทิศไกล

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยามนี้เมื่อเฉินผิงอันมองทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั้งแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ เขากลับนึกถึงประโยคดีๆ ประโยคหนึ่งที่ลืมไปแล้วว่าได้ยินมาจากไหน และตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะไปสืบเสาะหาอีกแล้ว

ความองอาจห้าวหาญค้ำฟ้ายันดิน แม้ผ่านกาลเวลาและยุคสมัยนับพันนับหมื่นปี ความน่าเกรงขามและสง่างามก็ยังคงอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!