บทที่ 434 หมัดและกระบี่ล้วนวางลงได้ เพื่อไปมองเส้นสายหนึ่ง
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที เขาตบข้างแก้มตัวเอง ลุกขึ้นยืน ย้อนกลับไปยังห้องพักที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขา
มองไปไกลๆ แสงตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะส่องแสงสว่างลอดทะลุหน้าต่างออกมา
เฉินผิงอันเตรียมจะเพิ่มความเร็วฝีเท้าตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วก็ชะลอลง หลุดหัวเราะตัวเองอย่างอดไม่ได้
นับตั้งแต่สี่ขวบมาก็ไม่เคยมีการ ‘กลับบ้าน’ ครั้งไหนที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงจะมีแสงตะเกียงรออยู่ หลังเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม เขาผิดคำสาบานไปเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร หาเงินมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เคยมีครั้งไหนที่ไม่ดับไฟตะเกียง ปล่อยให้น้ำมันตะเกียงลดน้อยลงไปอย่างเปล่าประโยชน์บ้าง? วันนี้ตอนออกจากบ้านกลับลืมดับไฟตะเกียงเสียได้ เวลานี้ต่อให้เจ้ารีบร้อนกลับเข้าไปในห้อง แล้วจะทำอะไรได้? เป่าให้มันดับ? แต่ตอนนี้ยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ย่อมต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือตอนกลางคืนแน่นอน หรือจะให้ดับก่อนแล้วค่อยจุดใหม่อีกครั้ง? ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่ไฟดับและไฟติดจะมีความหมายอะไร?
เฉินผิงอันจึงทอดฝีเท้าเดินให้ช้าลง พอเข้ามาในห้อง ปิดประตูลง มานั่งที่โต๊ะหนังสือเรียบร้อยแล้วจึงเปิดอ่านเอกสารของห้องควันธูปและทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพชนจากแต่ละเกาะต่ออีกครั้งเพื่อหาช่องโหว่แล้วชดเชยแก้ไข
จิตใจไม่สงบก็อย่าเพิ่งฝึกหมัดเลยจะดีกว่า ส่วนเรื่องการฝึกหลอมลมปราณนั้นก็ยิ่งไม่ต้องหวัง
ตอนอยู่พื้นที่มงคลดอกบัวเฉินผิงอันก็รู้แล้วว่า หากจิตใจวุ่นวาย ต่อให้ฝึกหมัดมากแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นเขาจึงมักจะไปที่วัดเล็กใกล้กับตรอกจ้วงหยวนเพื่อพูดคุยกับภิกษุเฒ่าที่ไม่ชอบสอนพระธรรมผู้นั้นบ่อยๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เฉินผิงอันไม่มีอารมณ์เลยสักนิด นี่ซับซ้อนยิ่งกว่ายามที่จิตใจไม่สงบเสียอีก จิงชี่เสินที่เหมือนร่วงดิ่งลงสู่ก้นบ่อแล้วถูกหินยักษ์พันธนาการเอาไว้ เขาจะยกมันขึ้นมาได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความสงบทางใจในอีกความหมายหนึ่งเช่นกัน
เฉินผิงอันปิดเอกสารที่สีออกเหลืองเนื่องจากเก็บรักษาไม่ถูกวิธีลง หยิบมีดแกะสลักเล่มเล็กธรรมดาที่เจ้าของร้านแถมให้ตอนซื้อปิ่นหยกจากร้านหนึ่งในเมืองหลวงต้าสุย ใช้ด้ามมีดวาดเส้นตื้นๆ เส้นหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ
ครุ่นคิดแล้วเฉินผิงอันก็ดึงกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งที่ถูกเขาตัดให้มีขนาดเท่าหน้าปกหนังสือออกมา หยิบพู่กันมาวาดเส้นตรงหนึ่งเส้น ตรงหัวและตรงท้ายสองด้านของเส้นต่างก็เขียนคำว่า ‘กู้ช่านทำผิดมหันต์’ และ ‘กู้ช่านทำความดี’ เอาไว้ ตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ จากนั้นระหว่างคำว่า ‘ผิด’ และ ‘ดี’ ก็เขียนตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันลงไปว่า ‘ขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยน’ และในขณะที่เฉินผิงอันคิดจะเขียนคำว่ากฎหมายของหนึ่งแคว้นลงไปนั้นเอง เขากลับลบตัวอักษรเจ็ดตัวก่อนหน้านี้ทิ้ง ไม่เพียงเท่านั้น เฉินผิงอันยังลบคำว่า ‘กู้ช่านทำความดี’ ไปพร้อมกันด้วย ตรงจุดกึ่งกลางของเส้นนั้น เขาเขียนคำว่า ‘สำนึกผิด’ และ ‘แก้ไขในสิ่งที่ทำผิด’ ลงไปโดยทิ้งระยะห่างจากกันเล็กน้อย ทว่าไม่นานมันก็ถูกเฉินผิงอันลบทิ้งไปอีก
สุดท้ายเฉินผิงอันขยำกระดาษแผ่นนี้เป็นก้อนกลม แต่กลับไม่ได้โยนใส่หีบไม้ไผ่ เขาเลือกเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่นแทน
สองมือของเฉินผิงอันสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเก้าอี้ เป่าไฟตะเกียงให้ดับลง หลับตาคล้ายหลับคล้ายไม่หลับ ลืมตาครั้งถัดมา ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวขมุกขมัวแล้ว
มักใช้เวลาเกินครึ่งคืนขบคิดแผนการพันปี ด้วยกลัวว่าวันใดจะตายไปก่อน (เป็นคำกลอนที่มีความหมายว่าเรื่องราวบนโลกเปลี่ยนแปลงไปหลากหลาย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกจึงไม่ควรใช้เวลาหมดไปกับเรื่องที่เปล่าประโยชน์)
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่ต้องยืดแขนยืดขา เส้นเอ็น กระดูกและกล้ามเนื้อก็คลายตัวด้วยตัวเอง เสียงลั่นกร๊อบดังเป็นระลอก เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง กะว่าจะไปเดินวนรอบเกาะชิงเสียสักหนึ่งรอบ เกาะชิงเสียคือเกาะใหญ่ในจำนวนไม่มากของทะเลสาบซูเจี่ยน คาดว่าหากเดินจริงๆ คงต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน ตอนนี้การกินการอยู่ในเรือนหลังนี้ของเขามีผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยคนหนึ่งของเกาะชิงเสียเป็นผู้รับผิดชอบ เฉินผิงอันจึงไปบอกกล่าวแก่ผู้ฝึกลมปราณเฒ่าคนหนึ่งที่เฝ้าประตูภูเขาอยู่ใกล้ๆ ว่าหากพบผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็ฝากบอกนางว่า วันนี้ไม่ต้องนำอาหารมาส่งที่นี่
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตรีบตกปากรับคำทันที
เฉินผิงอันพลันยิ้มกล่าวว่า “คาดว่านางคงยังเตรียมมาอยู่ดี หากข้าไม่อยู่ นางก็ไม่กล้าเข้าไปในเรือนโดยพลการ ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้ อาหารสามมื้อของวันนี้ให้นางส่งมาที่เจ้า ผู้อาวุโสจางจะได้มีลาภปาก แค่กินให้สบายใจก็พอ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสจางเล่าเรื่องเก่าแก่ในเกาะชิงเสียให้ข้าฟังไม่น้อย ถือว่านี่เป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน”
ผู้ฝึกตนเฒ่ากล่าวอย่างกระวนกระวาย “ท่านเฉิน ข้าคงไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะความตะกละหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีทาง”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายังไม่ค่อยกล้าตอบรับสักเท่าไหร่ เป็นเพราะเคยเห็นคลื่นลมมรสุมที่โถมขึ้นโถมลงในเกาะชิงเสียมาหลายครั้ง ก็ไม่แปลกที่เขาจะขี้ขลาดราวกับหนูตัวหนึ่ง “ท่านเฉินอย่าได้หลอกข้าเลย ข้ารู้ว่าท่านเฉินหวังดี เห็นว่าตาแก่สกปรกอย่างข้ามีชีวิตยากจนก็เลยอยากจะช่วยให้ข้าได้กินของดีๆ บ้าง แต่ทว่าอาหารเลิศรสเหล่านั้นล้วนจัดไว้ให้คนในจวนชุนถิงโดยเฉพาะ หากอีกสองวันท่านเฉินต้องไปจากเกาะชิงเสียแล้ว พวกคนชั่วร้ายที่แอบอิจฉาอยู่ในมุมมืดย่อมต้องออกมาหาเรื่องเล่นงานข้าเป็นแน่”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เอากล่องอาหารของเรือนชุนถิงฝากไว้ที่ผู้อาวุโสจางก่อน เดี๋ยวกลับมาแล้วข้าจะมาเอาไป”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมเหมาะมากกว่า”
หลังจากเฉินผิงอันจากไป ผู้ฝึกตนเฒ่าก็บ่นในใจที่คนหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักการวางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่น หากสงสารตนจริงๆ ก็ไม่ควรไปบอกกับจวนชุนถิงสักคำหรอกหรือ ถึงเวลานั้นใครจะยังกล้าชักสีหน้าใส่ตน นักบัญชีผู้นี้เสแสร้งวางตัวเป็นคนดี ทำตัวโอ้อวดอยู่ในเรือนหลังนั้นทุกวัน วิธีแสร้งหลอกผีลวงเจ้าและสร้างชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้ ในทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นมาเยอะแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนักหรอก
พอผู้ฝึกตนเฒ่าเริ่มบ่นก็เหมือนทำนบน้ำพังทลาย เขาเริ่มตำหนิที่หลังจากไอ้หมอนั่นมาพักอยู่ตรงประตูภูเขาก็เดือดร้อนทำให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาของตนลดน้อยลง เขาไม่กล้าสร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างด้วยการหักเงินเกล็ดหิมะเหรียญสองเหรียญเอาไว้อีก พอเจอผู้ฝึกตนหญิงเด็กรุ่นหลังที่เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นก็ยิ่งไม่กล้าปากว่ามือถึง พอพูดจาหยาบโลนเสร็จก็แอบยื่นมือไปลูบไปบีบก้นของพวกนางเหมือนในอดีต
เดิมทีนึกว่าเมื่อตีสนิท คุ้นหน้าคุ้นตากับนักบัญชีท่านนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้โชคลาภหลังจากโชคร้าย นับแต่นี้สามารถป่ายปีนไปบนเส้นสายของจวนชุนถิง ไม่กล้าพูดว่าจะต้องก้าวหน้ารุ่งเรือง แต่ได้ทำหน้าที่ที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาเพียงพออยู่บนเกาะชิงเสียก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่หรือ? คิดไม่ถึงว่านักบัญชีผู้นั้นจะเป็นพวกดื้อรั้นถือทิฐิ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการเช่นไร จะเอาอกเอาใจแค่ไหน แต่อีกฝ่ายหากไม่พูดจาห่างเหินเหมือนคนเพิ่งเดินเข้าสู่ยุทธภพจึงไม่เข้าใจอะไร ก็จะต้องแสร้งโง่ไม่รับรู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจจืดใจดำ คาดว่าในสายตาของเขาคงมีแต่พวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่สนิทสนมกับมารกู้อย่างพวกลวี่ไช่ซางเท่านั้น ส่วนขอบเขตถ้ำสถิตที่ไร้อนาคตอย่างตนก็คงถูกเขาดูแคลนเสียมากกว่า น่ารังเกียจซะจริง
เฉินผิงอันเดินอย่างเชื่องช้า ระหว่างนี้ยังเดินอ้อมไปขึ้นภูเขา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจวนตระกูลเซียนที่ผู้ฝึกตนผู้ถวายงานของเกาะชิงเสียพักอาศัย จากนั้นจึงย้อนกลับทางเก่า เป็นเหตุให้กว่าจะกลับไปถึงประตูภูเขาของเกาะชิงเสียก็เป็นยามพลบค่ำแล้ว
เฉินผิงอันมองไปไกลๆ ก็เห็นผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยของจวนชุนถิงผู้นั้น ว่ากันว่านางเป็นสาวใช้ประจำตัวของมารดากู้ช่าน ในมือของนางหิ้วกล่องอาหารงามประณีตมาใบหนึ่ง เวลานี้ร่างสูงโปร่งสะโอดสะองยืนอยู่หน้าประตูเรือน ผู้ฝึกตนเฒ่ากำลังก้มหัวค้อมเอวยืนอยู่ด้านข้าง คล้ายว่ากำลังเอ่ยขออภัยนาง
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหา รับกล่องอาหารมาจากมือของผู้ฝึกตนหญิง เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เด็กสาวแห่งจวนชุนถิงที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่ห่านก็ยอบตัวคารวะท่านเฉินผู้นี้ ครั้นจึงเดินเยื้องย่างจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรมาก
เฉินผิงอันกลับเข้าห้อง เปิดกล่องอาหาร นำอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะ ในนั้นยังมีข้าวอีกสองถ้วยใหญ่ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารอย่างเชื่องช้า
สุดท้ายเก็บชามและตะเกียบกลับลงกล่อง ปิดฝาตามหลัง
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ความถูกความผิด ไม่ใช่ว่ามีเหตุผลมีข้ออ้างแล้วก็จะทำได้ กู้ช่านสามารถพูดเกลี้ยกล่อมตัวเองในใจได้ ก็เหมือนกับตัวอักษรทั้งหลายบนกระดาษที่สามารถถูกลบทิ้งด้วยการขีดฆ่า
แล้วก็เพราะการไม่ยอมรับผิดของกู้ช่าน การที่เขาไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด ถึงได้ทำให้หลุมในใจของเฉินผิงอันขมวดรวมกันกลายเป็นเงื่อนตาย
ในเมื่อตนไม่อาจทอดทิ้งกู้ช่าน แล้วก็ไม่มีทางปฏิเสธคำจำกัดความของถูกและผิดในใจของตัวเอง ปฏิเสธหลักการเหตุผลที่ลดต่ำจนถึงทางสายเล็กในตรอกหนีผิงซึ่งต่ำจนไม่อาจต่ำไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วเพียงเพราะขนบธรรมเนียมของหนึ่งพื้นที่ เฉินผิงอันคิดจะก้าวออกไปข้างหน้าเป็นก้าวแรก พยายามที่จะแก้ไขความผิดและชดเชย เขาก็จำเป็นต้องถอยกลับมาก่อนหนึ่งก้าว ยอมรับก่อนว่าตัวเอง ‘ไม่ถูกมากพอ’ ยังไม่ต้องพูดถึงเหตุผลเป็นพันเป็นหมื่น แต่ลองเปลี่ยนเส้นทางเสียใหม่ เดินไปพลางปรับเปลี่ยนความคิดในใจของตัวเองให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เขาก็ยังคงหวังว่ากู้ช่านจะสำนึกผิด
ถอยไปพูดหมื่นก้าว มีเพียงสวรรค์ที่ไม่อาจขึ้นไปถึง เพราะสวรรค์ก็คือความเป็นอมตะมิดับสลาย แต่ไม่มีภูเขาลูกใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ภูเขาก็คือหลุมในใจมากมายบนโลกมนุษย์
เฉินผิงอันคิดจะเผชิญหน้ากับหลุมในใจเหล่านี้ตรงๆ หลุมในใจที่เป็นทั้งของตัวเอง ของคนที่ตายไปแล้ว ของคนที่ผูกพันกับคนที่ตายไปแล้ว ของคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าคือความทุกข์ยากในโลกมนุษย์ที่จะเสียดสีให้มีดวิเศษที่สืบทอดมาเป็นหมื่นปีในใจคนบิ่นเสียหาย (มีดวิเศษที่สืบทอดมาเป็นหมื่นปีเปรียบเปรยถึงคุณธรรม ความยุติธรรม)
เมื่อทำความผิด ผลลัพธ์ก็หนีไม่พ้นสองอย่าง หากไม่ผิดจนถึงที่สุดก็ต้องค่อยๆ แก้ไขความผิดกันไป อย่างแรกทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจชั่วขณะหรืออาจจะถึงขั้นชั่วชีวิต อย่างมากก่อนตายก็แค่เอ่ยประโยคว่า ตายก็ตายสิ อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่เสียเปรียบ คนในยุทธภพยังชอบพูดประโยคว่าสิบแปดปีให้หลังก็ยังได้เกิดมาเป็นวีรบุรุษผู้องอาจไม่ใช่หรือ ส่วนอย่างหลังจะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากเป็นพิเศษ เปลืองแรงแต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องได้ดี
‘สิบคนปลูกต้นหยาง หนึ่งคนถอนออก ย่อมไม่มีต้นไม้ใดที่ได้เติบโต’
เฉินผิงอันคิดจะทดลองพิสูจน์ทั้งด้านตรงและด้านกลับของคำพูดประโยคนี้เสียก่อน ส่วนข้อที่ว่าถูกหรือผิด ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้ในท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร ก็ค่อยวางไว้ด้านเดียวกับเหตุผลหลักการในตำรา
ช่วงเวลาระหว่างนี้
สิ่งที่เฉินผิงอันสามารถทำได้ในตอนนี้ก็แค่ให้กู้ช่านวางตัวสงบเสงี่ยม ไม่เปิดฉากสังหารอย่างกำเริบเสิบสานเหมือนเก่าอีก
เขาพูดกับกู้ช่านไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น สุดท้ายทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองได้อธิบายเหตุผลหลักการของทั้งชีวิตไปหมดแล้ว ยังดีที่ถึงแม้กู้ช่านจะไม่ยอมรับผิด แต่ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป ดังนั้นเขาจึงยินดีจะเก็บความโอหังบ้าระห่ำของตัวเองเอาไว้ ไม่กล้าเดินไปตามเส้นทางในจิตใจที่ ‘ตอนนี้ข้าชอบฆ่าคน’ เดินห่างออกไปบนทางสายนั้นจนไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างไรในสายตาของกู้ช่าน คิดจะเชิญเฉินผิงอันให้มานั่งร่วมโต๊ะอาหาร กินข้าวพร้อมกับพวกเขาสองแม่ลูกและหนีชิวน้อยที่บ้านใหม่อย่างจวนชุนถิงทุกๆ สามวันห้าวัน กู้ช่านก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง กฎการแลกเปลี่ยนประเภทนี้ใช้ได้ผลจริง แล้วก็ถือว่าสมเหตุสมผลในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ถึงขนาดที่พูดได้ว่าเป็นเหตุผลที่ใช้ได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ดังนั้นต่อมาเฉินผิงอันจึงขอป้ายหยกของผู้ถวายงานเกาะชิงเสียแผ่นหนึ่งมาจากหูเถียนจวิน เอามาแขวนไว้ตรงเอว วันต่อมาก็เริ่มเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเกาะชิงเสียเพื่อพูดคุยกับผู้คน
วันที่เหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันที่เกาะกงหลิ่วเพื่อจัดงานคัดเลือก ‘เจ้าแห่งยุทธภพ’ เฉินผิงอันได้ขอยืมเรือข้ามฟากลำหนึ่งมาจากเกาะชิงเสีย กลับมาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อีกครั้ง สะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง ใช้ตัวตนของผู้ถวายงานเกาะชิงเสีย และตัวตนผู้ฝึกลมปราณแห่งสำนักนักประพันธ์ที่ป่าวประกาศแก่คนนอกว่าตัวเองชอบเขียนบันทึกแห่งแม่น้ำและภูเขา ใช้ตัวตนน่าขำขันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยนนี้มาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วเกาะมากมายที่เป็นสถานที่ไร้กฎหมายของทะเลสาบซูเจี่ยนเพียงลำพัง
ตามแผนที่ของทะเลสาบที่เถียนหูจวินมอบให้ เขาเริ่มขึ้นฝั่งไปเที่ยวเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งของเกาะชิงเสียก่อน ซึ่งรวมไปถึงเกาะเหมยเซียนที่เถียนหูจวินเริ่มบุกเบิกพื้นที่ก่อตั้งจวนหลังจากที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ และยังมีเกาะซู่หลินที่ทุกครั้งหากแสงจันทร์สาดส่อง สันภูเขาบนเกาะก็จะเป็นดั่งเกล็ดปลาสีขาวหิมะที่ส่องประกายระยิบระยับ
กว่าที่เฉินผิงอันซึ่งไม่หลับไม่นอนจะไปเยือนตามเกาะเหล่านี้จนครบถ้วนก็เป็นเวลาสามวันให้หลังแล้ว และเขาก็ได้รายชื่อที่ไม่มีบันทึกอยู่ในเอกสารห้องควันธูปมาอีกส่วนหนึ่ง
บนเกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยนยังคงมีเสียงถกเถียงกันไม่หยุด มองดูแล้วแบ่งออกเป็นสามกลุ่มได้แก่ กองกำลังของเกาะหลายแห่งที่สนับสนุนให้หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียรับตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ เจ้าเกาะกลุ่มหนึ่งที่ยืนกรานหนักแน่นว่าสกัดคงคาเจินจวิน ‘ไม่เหมาะกับตำแหน่ง’ เจ้าเกาะเหล่านี้และกองกำลังของพวกเขามีจุดยืนที่หนักแน่นอย่างยิ่ง ต่อให้หลิวจื้อเม่าจะได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้นำแห่งพันธมิตรเจ้ายุทธภพแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมรับ หากมีปัญญาก็มาไล่ฆ่าพวกเขาทีละเกาะซะสิ ส่วนกลุ่มสุดท้ายก็คือพวกเจ้าเกาะที่นั่งภูดูเสือกัดกัน มีบางส่วนที่อาจเป็นหญ้ายอดกำแพงซึ่งขับเรือตามกระแสลม แล้วก็มีบางส่วนที่อาจจะผูกพันธมิตรไว้อย่างลับๆ แต่กลับยังไม่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
ที่น่าสนใจก็คือ ทุกครั้งที่พวกเจ้าเกาะซึ่งคัดค้านหลิวจื้อเม่าเปิดปาก ก็ราวกับว่านัดกันมาก่อนแล้ว พวกเขามักจะชอบพูดจาแปลกแปร่งระคายหูทำนองว่าแม้หลิวจื้อเม่าจะมีชื่อเสียงขจรไกลคุณธรรมสูงส่ง ทว่านิสัยส่วนตัวกลับไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้
ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ คำว่าชื่อเสียงขจรไกลคุณธรรมสูงส่งนั้น ดูเหมือนว่าจะบาดหูและทิ่มแทงใจดำคนได้ดียิ่งกว่าคำด่าใดๆ
วันนี้เฉินผิงอันพายเรือมาเยือนเกาะแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเกาะจูไช ห่างจากเกาะชิงเสียมาค่อนข้างไกล ตัวเกาะมีขนาดไม่ใหญ่ ลูกศิษย์ในสำนักก็มีน้อยบางตา ดังนั้นเจ้าของเกาะที่จะไปหรือไม่ไปร่วมงานประชุมบนเกาะกงหลิ่วก็ได้ผู้นั้น จึงไม่ทำเหมือนเจ้าเกาะขนาดเล็กหลายคนที่ด้วยความหัวแหลมจึงเลือกไปยึดพื้นที่แห่งหนึ่งให้กับตัวเองบนเกาะกงหลิ่ว แต่เลือกจะอยู่บนเกาะ ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองที่มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถตัดสินสถานการณ์ในอนาคตอีกร้อยปีของทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้
เฉินผิงอันจอดเรือเทียบท่า ท่าเรือมีสตรีวัยผู้ใหญ่ที่หน้าผากโหนกกว้าง มวยผมสูง เรือนร่างอวบอิ่ม สวมอาภรณ์เปิดเผยเนื้อตัวมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
เฉินผิงอันพอจะเดาตัวตนของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตประตูมังกรท่านนี้ออกแล้ว สตรีแต่งงานแล้วที่เล่าลือกันว่ามีนามเดิมว่าหลิวจ้งรุ่นผู้นี้เคยเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์แห่งหนึ่งในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ล่มสลายไปแล้ว ว่ากันว่าฮ่องเต้น้อยองค์สุดท้ายของราชวงศ์ถูกสตรีที่เรียกตัวเองว่าป้าผู้นี้อุ้มส่งขึ้นไปบนบัลลังก์มังกร ในเกร็ดพงศาวดารของนครน้ำบ่อยังมีคำเล่าขานกันว่า ตอนนั้นฮ่องเต้น้อยยังเยาว์วัยไม่รู้ประสา ยังหัวเราะร่าพลางตบบัลลังก์มังกรตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ใต้ก้น เรียกให้ท่านป้ามานั่งด้วยกัน และตอนนั้นสตรีผู้นี้ก็นั่งลงไปจริงๆ นางอุ้มฮ่องเต้น้อยไว้ในอ้อมกอด ขุนนางบุ๋นบู๊ในท้องพระโรงเงียบกริบเป็นจักจั่นหน้าหนาว ไม่มีใครกล้าแสดงความกังขาแม้แต่น้อย
เถียนหูจวินเองก็เคยพูดถึงเจ้าเกาะจูไชท่านนี้ เคยเอ่ยชื่นชมนางด้วยประโยคว่า ‘มีความองอาจเหมือนชายชาตรี’
หลิวจ้งรุ่นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็คือนักบัญชีที่พักอยู่ตรงประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง อยู่ที่เกาะชิงเสีย ไม่เคยมีใครกล้าเรียกเขาว่านักบัญชีซึ่งๆ หน้ามาก่อน
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ถือว่าใช่กระมัง”
หลิวจ้งรุ่นถามเข้าประเด็นทันที “คงไม่ใช่ว่าเกาะชิงเสียของพวกเจ้าเห็นเกาะจูไชแห่งนี้เกะกะตา ฉวยโอกาสที่เจ้าเกาะต่างก็พากันไปที่เกาะกงหลิ่วกันหมด เลยคิดจะมาทำอะไรบางอย่างที่นี่กระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีแค่ข้าคนเดียวที่มาเยือนเกาะจูไช คงต้องรบกวนแล้ว แค่อยากจะถามหลิวฮูหยินเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยน หากหลิวฮูหยินไม่ยินดีให้ข้าขึ้นเกาะ ข้าก็จะไปที่อื่น”
หลิวจ้งรุ่นหรี่ดวงตาหงส์ที่เรียวยาวคู่นั้นลง “หากข้าบอกว่าเกาะจูไชไม่ต้อนรับท่านนักบัญชีเล่า? บนเกาะนี้ของข้ามีแต่สตรี ทุกคนต่างก็มีตบะไม่สูง หากใครถูกเจ้าหมายตาแล้วจับไปเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อที่เกาะชิงเสีย ถึงเวลานั้นข้าควรจะปล่อยไปหรือไม่ปล่อยไปดีล่ะ?”
เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลาด้วยสีหน้าเป็นปกติ แล้วจึงหมุนตัวเดินขึ้นเรือ มุ่งหน้าไปที่อื่นอย่างที่บอกจริงๆ
หลิวจ้งรุ่นยืนอยู่ที่เดิม คราวนี้นางสับสนแล้วจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้ว นางเองก็ได้เตรียมลูกศิษย์หญิงอายุน้อยที่หน้าตาโดดเด่นไว้คนหนึ่งแล้ว คิดเสียว่าเป็นการฟาดทรัพย์ดับเคราะห์
บนเกาะเฟยชุ่ยที่อยู่ใกล้เคียงกัน เฉินผิงอันก็ต้องกินน้ำแกงประตูปิดเช่นกัน เจ้าเกาะไม่อยู่ ผู้ดูแลไม่กล้าปล่อยให้ ‘ผู้ถวายงาน’ คนหนึ่งของเกาะชิงเสียขึ้นมาบนฝั่ง ถึงเวลานั้นหากถูกผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์เอาหายนะมาให้ เขาจะไปร้องไห้กับใคร? หากมีแค่ตัวคนเดียว เขาย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ทว่าบนเกาะยังมีครอบครัวใหญ่ที่เขาแตกกิ่งก้านสาขาเอาไว้ จึงไม่กล้าประมาทจริงๆ แต่จะไม่เห็นแก่หน้าของผู้ถวายงานหนุ่มเกาะชิงเสียผู้นี้เลยก็ไม่ได้ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงหาทางลงให้คนผู้นั้นด้วยการเดินส่งไปตลอดทาง ปากก็พูดขออภัยไม่หยุด แทบอยากจะลงไปคุกเข่าโขกหัวให้เฉินผิงอันเสียด้วยซ้ำ เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยปลอบใจอะไรอีกฝ่าย เพียงแค่ก้าวเร็วๆ ขึ้นเรือจากไปไกลเท่านั้น
เกาะที่สามคือเกาะฮวาผิง เจ้าเกาะผู้เป็นเซียนดินโอสถทองไม่อยู่ เพราะไปปรึกษาหารือเรื่องใหญ่ที่เกาะกงหลิ่ว แล้วเขาก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ช่วยชูธงร้องสนับสนุนสกัดคงคาเจินจวินมากที่สุด มีเจ้าเกาะน้อยอยู่บนเกาะคอยดูแลถิ่นของตัวเอง ได้ยินว่าแขกของมารใหญ่กู้ ผู้ถวายงานที่หนุ่มที่สุดของเกาะชิงเสียจะมาเป็นแขกบนเกาะตัวเอง พอรู้ข่าวเข้าก็รีบกระโดดออกมาจากรังอันอบอุ่นอ่อนหวานที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของเครื่องประทินโฉม รีบร้อนสวมเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วตรงดิ่งไปที่ท่าเรือ ปรากฎตัวต้อนรับคนผู้นั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรด้วยตัวเอง
เมื่อได้พบกับผู้ถวายงานหนุ่มที่เกาะชิงเสียปกปิดเรื่องราวของเขาเอาไว้เข้าจริงๆ อันที่จริงเจ้าเกาะน้อยอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ มองดูแล้วไม่เหมือนยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารอะไร กลับเหมือนอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนแถบบ้านนอกบ้านนามากกว่า ตอนนี้เกาะน้อยใหญ่โดยรอบเกาะชิงเสียต่างก็กำลังแอบพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ทางฝ่ายของเกาะชิงเสียปิดปากแน่นสนิท ไม่มีข่าวแพร่งพรายออกมาแม้แต่น้อย แค่ได้ยินว่าเป็นคนอำมหิตที่ตบบ้องหูมารใหญ่กู้ไปสองทีต่อหน้าฝูงชนในนครน้ำบ่อ กู้ช่านเองก็ไม่เอาคืน กลับยังปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท รับตัวมาที่จวนชุนถิงเกาะชิงเสีย ตอนนี้พวกสหายจิ้งจอกมิตรสุนัขทั้งหลายซึ่งรวมถึงเจ้าเกาะน้อยเองต่างก็กำลังลงเดิมพันกันว่าคนผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ได้กี่วัน นายน้อยแห่งเกาะฮวาผิงลงเดิมพันไว้ว่าเขาต้องตายภายในหนึ่งเดือนแน่นอน ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพญามารกู้ช่านขึ้นชื่อในเรื่องอารมณ์แปรปรวน ชอบสังหารคนตามใจชอบ? ผู้ฝฝึกลมปราณของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ต้องกลายเป็นอาหารในท้องของหนีชิวใหญ่ตัวนั้น ไม่ได้มีแค่ศัตรูคู่แค้นของเขาเท่านั้น แขกของเกาะชิงเสีย หรือแม้แต่เพื่อนกินในวงเหล้าทั้งหลายก็ถูกฆ่าตายไปไม่น้อย
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่บนเกาะฮวาผิงครู่หนึ่ง เขาดื่มน้อย แต่อีกฝ่ายกลับดื่มอย่างสมกับคำว่า พบคนรู้ใจ ดื่มพันจอกก็ยังน้อยไป แล้วก็เล่า ‘ความจริงหลังดื่มเหล้า’ จากเจ้าเกาะน้อยไปหลายเรื่อง
ตอนที่กลับมาขึ้นเรือ เฉินผิงอันที่บังคับเรือใคร่ครวญถึงความน่าเชื่อถือของคำพูดเหล่านั้น แล้วก็ได้รู้ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนไม่มีตะเกียงดวงใดที่ประหยัดน้ำมัน เมื่อออกห่างมาจากเกาะฮวาผิงแล้วก็หยุดเรืออยู่กลางทะเลสาบ เฉินผิงอันหยิบกระดาษและพู่กันออกมาเขียนเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวลงไป
หลังจากนั้นทุกวันเขาก็เดินๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้ ได้เห็นเรื่องราวและทัศนียภาพที่แตกต่างกันจากเกาะต่างๆ ส่วนเกาะที่ปิดประตูไม่รับแขก ปฏิเสธไม่ให้เฉินผิงอันขึ้นไปบนภูเขาอย่างเกาะจูไชก็มีมากเช่นกัน
ภาพวาดแผนที่ของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เฉินผิงอันยัดไว้ในสาบเสื้อหน้าอกถูกเฉินผิงอันวาดวงกลมลงไปตามเกาะต่างๆ บนแผนที่อย่างต่อเนื่อง
ทุกวันฟ้ายังไม่ทันสางก็พายเรือออกไปจากเกาะชิงเสีย ดึกดื่นค่ำคืนถึงจะกลับมายังห้องบนเกาะชิงเสีย
นอกจากทะเลสาบซูเจี่ยนจะเป็นจุดศูนย์รวมผู้ฝึกตนอิสระจากทั่วสารทิศของแจกันสมบัติทวีปแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเชื่อเรื่องพ่อมดภูตผี วิชานอกรีตที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ยิ่งมีมากมายหลายหลาก
และยังมีอย่างเกาะฮวาผิงที่ผู้ฝึกตนต่างก็ชื่นชอบความหรูหรา ใช้ชีวิตเสพสุขดื่มด่ำอย่างเต็มที่ ทุกวันจะจมจ่อมอยู่กับชีวิตเปี่ยมสุขที่หลงมัวเมาอยู่ในความฝัน บนถนนหนทางของพวกเขาเจาะทองมาแกะสลักเป็นดอกบัว เอาบุปผามาปูพื้น
มีเกาะอีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเย่เฉิง เจ้าของเกาะเปิดสนามประลองสัตว์ ใครที่กล้าเอาหินโยนใส่สัตว์ร้ายก็เท่ากับว่ามีความผิดมหันต์ที่ ‘ล่วงเกินสัตว์’ จะต้องถูกลงทัณฑ์ ทุกวันจะต้องมีผู้ฝึกตนของเกาะแห่งอื่นเอาตัวลูกศิษย์ในสำนักที่ทำผิดหรือไม่ก็ศัตรูคู่แค้นที่ถูกจับตัวมา มาโยนใส่กรงขังของลานประลองสัตว์หลายแห่งที่ชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในเมืองเย่เฉิง และเมืองเย่เฉิงแห่งนี้ยังจัดหาสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามเปี่ยมเสน่ห์มาคอยปรนนิบัติผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศที่มาหาความบันเทิง มาชื่นชมพฤติกรรมอำมหิตนองเลือดของสัตว์ร้ายบนเกาะ
และยังมีเจ้าของเกาะอีกวานที่ว่ากันว่าเคยเป็นผู้รอบรู้ของแคว้นหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ทว่าตอนนี้กลับชื่นชอบเสาะหาเอาหมวกและกวาน (ที่ครอบผมในสมัยโบราณ) ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจากสถานที่ต่างๆ มาทำเป็นกระโถนฉี่ยามค่ำคืน
มีวันหนึ่งเฉินผิงอันออกมาจากเกาะแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเกาะอวิ๋นอวี่ บนเกาะมีสำนักตระกูลเซียนอยู่สองแห่ง ซึ่งทั้งสองสำนักต่างก็เชี่ยวชาญการฝึกตนแบบสองผสานในห้องหับ
เมื่อเห็นเฉินผิงอัน สตรีของสำนักหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย สายตาของพวกนางล้วนเหมือนหมาป่าที่หิวกระหาย เพียงแต่ป้ายหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่คนหนุ่มห้อยไว้ตรงเอวทำให้พวกนางไม่กล้าทำตัวเหลวไหลมากนัก
ตอนที่เฉินผิงอันเดินลงเขาขึ้นเรือ เขาสะบัดร่างเบาๆ หนึ่งครั้ง กลิ่นหอมอบอวลของเครื่องประทินโฉมที่ยังคงลอยอ้อยอิ่งวนเวียนใกล้กับชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ล้วนสลายหายไปเกลี้ยง
ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนเกาะถัดไป ในที่สุดก็เจอกับนักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในทะเลสาบ มีกันสามคน
ชูอีและสืออู่ช่วยกันปั่นทำลายช่องโพรงลมปราณซึ่งเป็นที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนักฆ่าสองคน นักฆ่าที่บาดเจ็บสาหัสจึงพลัดตกลงไปในน้ำ
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งฉวยโอกาสนี้ขยับเข้าใกล้เฉินผิงอัน ในขณะที่เขาคิดว่ากุมชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง กลับถูกคนหนุ่มที่สีหน้าอิดโรยคล้ายคนขี้โรคต่อยหมัดเดียวร่วงตูมลงทะเลสาบ
เฉินผิงอันพายเรือ ใช้ไม้พายที่ทำจากไม้ไผ่ตวัดเอาคนทั้งสามขึ้นมาบนเรือเพื่อถามคำถามบางอย่าง นักฆ่าคนหนึ่งในนั้นฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันตกอยู่ในภวังค์ความคิดพยายามลอบโจมตีอีกครั้ง แต่กลับถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็นำคนมีชีวิตสองคนกับศพที่เย็นชืดหนึ่งศพไปส่งที่ริมฝั่งใกล้กับนครอวิ๋นโหลวของทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากที่คนผู้หนึ่งแบกศพ และอีกคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซขึ้นฝั่ง เฉินผิงอันก็หันหัวเรือพายกลับไปช้าๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ผู้ฝึกลมปราณหลายสิบคนที่พกพาปราณสังหารเต็มเปี่ยมก็พากันบุกออกจากนครอวิ๋นโหลวอย่างเอิกเกริก
มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งเป็นผู้นำ
ล้อมเฉินผิงอันและเรือลำนั้นไว้ตรงกลาง
เฉินผิงอันถามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ชื่อว่าอะไร? เจ้าออกจากเมืองมาสังหารข้าเพราะต้องการทวงความเป็นธรรมแทนสหาย หรือมีความแค้นกับเกาะชิงเสียนานแล้ว?
ผู้ฝึกกระบี่เอ่ยถ้อยคำอันห้าวหาญ บอกว่าเขาไม่สนิทกับคนทั้งสองด้วยซ้ำ พวกเขาถือเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าใครในทะเลสาบซูเจี่ยนก็อยากสังหารทั้งนั้น
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง
แต่ใช้สองนิ้วคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา
ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี
สังหารให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดและ ‘ผู้ผดุงธรรม’ ของนครอวิ๋นโหลวสองสามคนที่บุกนำมาด้านหน้าสุดตายคาที่ จากนั้นก็ใช้กระบี่บินชูอีสังหารหนึ่งในนักฆ่าที่รอดชีวิตไปได้ในตอนแรก
ไม่สนใจผู้ฝึกตนของนครอวิ๋นโหลวที่แตกฮือเหมือนนกแตกรัง เฉินผิงอันที่ยิ่งเหนื่อยล้าไม่ได้กลับไปที่เกาะชิงเสียทันที เขาตัดหัวคนสองคนมาห้อยไว้ตรงเอว พาเรือไปจอดเทียบท่าอีกครั้ง หลังจากผูกเรือไว้ที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในนครอวิ๋นโหลว มาหยุดที่นอกจวนประตูสูงหลังหนึ่ง บอกว่าต้องการมาพบคน คนคุ้นเคยผู้หนึ่งที่เพิ่งจะได้รู้จักกันใกล้กับเกาะอวิ๋นอวี่ของทะเลสาบซูเจี่ยน
ไม่มีใครขัดขวาง หลังจากเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป เขาก็เจอนักฆ่าคนที่ตอนนั้นแบกศพคนตายขึ้นฝั่ง ข้างกายเขามีกระบี่บินสืออู่ที่ติดตามเขาเข้าเมืองมาอย่างเงียบเชียบลอยตัวอยู่
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางมุมหนึ่งแล้วตะโกนเรียกเบาๆ “ถานเซวี่ย”
เด็กสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวบนหัวกำแพง
เฉินผิงอันกล่าว “วันหน้าไม่ต้องคอยตามข้าแล้ว ไปคุ้มครองกู้ช่านให้ดี อีกอย่างบอกกู้ช่านด้วยว่า เรื่องพวกนี้เขาไม่ต้องมายุ่ง ห้ามพาลโกรธเอากับนครอวิ๋นโหลว”
หนีชิวน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง มันรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษจึงรีบพุ่งวูบจากไป
เฉินผิงอันวางศีรษะทั้งสองลงบนโต๊ะหินกลางลานบ้าน เขานั่งลงฝั่งหนึ่ง มองนักฆ่าที่ไม่กล้ากระดุกกระดิกคนนั้นแล้วถามว่า “มีอะไรจะพูดไหม?”
บุรุษผู้นั้นคงรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว ความหวังสุดท้ายว่าตัวเองจะโชคดีหายวับไปไม่มีเหลือ ความกล้าพลันผุดขึ้นมาแทนที่ เขาหัวเราะเหี้ยมเสียงดัง “ข้าผู้อาวุโสจะไปรอเจ้าในนรก!”
เฉินผิงอันถาม “แล้วถ้าข้าเปลี่ยนใจ สังหารคนทั้งหมดในนครอวิ๋นโหลวที่เจ้ารู้จักจนสิ้นซากเล่า?”
บุรุษจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “ข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองคนหลายคนของจวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ผ่านไปอีกสองสามวันข้าจะมาหาเจ้าใหม่”
เฉินผิงอันแตะปลายเท้าหนึ่งครั้ง กระโดดขึ้นไปเหยียบบนหัวกำแพง คล้ายว่าไปจากนครอวิ๋นโหลวแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนก่อนจะจากไป กระบี่บินสืออู่ได้จ้วงแทงทำลายช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ของนักฆ่าคนนั้นจนสิ้นซาก
ทว่าในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันกลับแอบย้อนกลับมาที่จวนแห่งนั้นอย่างลับๆ
แล้วเขาก็ได้เห็นเหตุการณ์วุ่นวาย
ที่แท้นักฆ่าผู้นั้นไม่ใช่คนของจวน แต่เป็นคนในกลุ่มของเทพเซียนที่สนิทสนมกับเจ้าประมุขคนก่อนของตระกูล คือผู้ฝึกตนที่หลุดรอดจากการฆ่าล้างสำนักแห่งหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนไปได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มาแฝงตัวอยู่ในนครอวิ๋นโหลวที่ง่ายต่อการเปิดเผยร่องรอย แต่ไปอยู่ในนครริมชายแดนแคว้นสือหาวซึ่งห่างจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปประมาณสามร้อยกว่าลี้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันพาพวกเขามาทิ้งไว้ที่นี่ นักฆ่าจึงมาพักรักษาตัวที่จวนแห่งนี้ พอดีกับที่นักฆ่าอีกคนหนึ่งมีคนรู้จักและความสัมพันธ์ควันธูปกับนครอวิ๋นโหลวอยู่พอดี จึงรวบรวมผู้ฝึกตนให้ออกจากเมืองไปไล่ฆ่าคนหนุ่มแห่งเกาะชิงเสียได้หลายคน นอกจากมีบุญคุณความแค้นกับเกาะชิงเสียแล้ว ก็หวังจะใช้โอกาสนี้ทำให้หลิวจื้อเม่าที่ตอนนี้ตัวอยู่บนเกาะกงหลิ่วต้องเสียหน้าด้วย หากทำสำเร็จ ไม่แน่ว่ากองกำลังของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เป็นศัตรูกับเกาะชิงเสียก็อาจจะปกป้องคุ้มครองพวกเขาบ้าง หรืออาจถึงขั้นที่ช่วยให้พวกเขากลับมาผงาดได้อีกครั้ง ดังนั้นตอนที่คนทั้งสองวางแผนกันอยู่ในจวนจึงรู้สึกว่าแผนนี้น่าจะใช้ได้ผล เป็นทั้งการแสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง มีโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้ระบือไปทั่ว แล้วยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากของเกาะชิงเสียได้ เหตุใดจะไม่ยินดีทำเล่า?
เทพเซียน ‘เฒ่า’ ขอบเขตชมมหาสมุทรที่เคยได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนในจวนท่านนี้จึงถูกผู้ถวายงานสองคนที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสี่ร่วมมือกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวห้าขอบเขตกลางอีกคนหนึ่งทรมานอยู่ครึ่งวัน ด้วยกลัวว่าเจ้าคนที่นอนจมอยู่ในกองเลือดจะยังมีท่าไม้ตาย กว่าจะกล้าลงมือจับอีกฝ่ายมัดไว้ได้ คนทั้งสามก็เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัว และประมุขของตระกูลคนปัจจุบันถึงได้กล้าผรุสวาทด่าทอว่าคนผู้นี้เป็นพวกเนรคุณ เกือบจะเดือดร้อนให้คนร้อยกว่าชีวิตในจวนต้องตายไปด้วย เจ้าประมุขผู้นี้มีสีหน้าดุร้าย บอกว่าต่อให้ต้องขุดดินลึกลงไปสามฉื่อก็จะต้องไปหาตัวบุตรสาวหน้าตางดงามที่เคยมาเป็นแขกที่จวนเมื่อไม่กี่ปีก่อนของเจ้ามาให้ได้ ถึงเวลานั้นจะให้เจ้าได้ชื่นชมภาพวังวสันต์ที่มีชีวิตทั้งวันทั้งคืนกับตาตัวเอง
ในที่สุดนักฆ่าที่ถูกมัดมือไพล่หลังก็เริ่มดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เนื้อหนังทั่วร่างของเขาปริแตก เลือดสดไหลนองเปรอะเปื้อน
เจ้าประมุขคนนั้นมีความสุขมากเป็นพิเศษ ดวงตาของเขาแดงก่ำ เอ่ยถ้อยคำที่เป็นดั่งการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอย่างเช่นว่า อย่านึกว่าลูกสาวที่เจ้าได้มาตอนแก่คนนั้นจะหาตัวยากนัก คนอื่นไม่รู้รากฐานของเจ้า แต่ข้ารู้ดี เจ้าชอบไปซ่อนตัวอยู่ในเมืองของด่านต่างๆ ตามชายแดนแคว้นสือหาวนักไม่ใช่หรือ? ได้ยินมาว่านางคือเศษสวะที่ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แต่ดันเกิดมาหน้าตางดงาม เชื่อว่าหญิงสาวที่มีรูปโฉมเช่นนี้ หากทุ่มเงินก้อนใหญ่คงหาตัวเจอได้ไม่ยาก หากไม่ได้จริงๆ ก็จะปล่อยข่าวออกไปแถวนั้นว่าเจ้าใกล้จะตายอยู่ที่นครอวิ๋นโหลวแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าลูกสาวคนนั้นของเจ้าจะยังหลบซ่อนตัวไม่ยอมเผยกาย!
สามวันต่อมา
เมืองหน้าด่านแห่งหนึ่งของแคว้นสือหาวมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งได้ไปรออยู่ที่นั่นก่อนที่กลุ่มคนของนครอวิ๋นโหลวจะไปถึงแล้ว
เพื่อเร่งเดินทาง คนทั้งกลุ่มจึงต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ลำบากเหน็ดเหนื่อยกันมาไม่น้อย
ผู้ฝึกตนขอบเขตสี่และผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่งเป็นคนนำขบวน พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่ามีคนผู้หนึ่งคอยมองดูการกระทำและคำพูดของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา และยังถึงขั้นจดลงบนกระดาษอย่างเงียบๆ ด้วย
คนกลุ่มนั้นค้นหาในเมืองหน้าด่านแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ จึงรีบรุดเดินทางไปยังเขตการปกครองอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับแคว้นสือหาวทันที
สุดท้ายก็เจอครอบครัวหนึ่งที่มีเพียงหญิงชราและเด็กสาวซึ่งมีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งของเขตการปกครอง ไม่ถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยสูงศักดิ์ แค่มีฐานะปานกลางพอมีจะกินเท่านั้น
คนกลุ่มนี้ไม่ได้ปรี่เข้าไปแย่งชิงตัวคนมาทันที ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเขตการปกครองของแคว้นสือหาว ไม่ใช่ทะเลสาบซูเจี่ยน ยิ่งไม่ใช่นครอวิ๋นโหลว หากหญิงชราผู้นั้นคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำขึ้นมา แผนการของพวกเขาจะไม่ล่มในช่วงสุดท้ายทั้งที่ใกล้จะสำเร็จแล้วหรอกหรือ?
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันคิดวิธีหนึ่งออกมาได้ นั่นคือฉวยโอกาสตอนที่หญิงชราออกจากบ้าน บอกให้องค์รักษ์ที่ดูแลบ้านซึ่งมีหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งไปแจ้งข่าว บอกว่าบิดาของนางถูกผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอยู่ในนครอวิ๋นโหลว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน สูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ยอมกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไปง่ายๆ พอเจ้าประมุขแห่งจวนพวกเขาโน้มตัวลงไปฟังก็ได้ยินแค่ว่าเขาพูดชื่อของเขตการปกครองและชื่อของบุตรสาวซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาถึงได้ตามหาจนมาเจอที่นี่อย่างยากลำบาก หากยังไม่ไปนครอวิ๋นโหลวอีกก็จะสายเกินกาลแล้ว เพราะนางย่อมไม่ได้เห็นหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
ตอนแรกเด็กสาวยังไม่ยอมเปิดประตู พอได้ยินข่าวร้ายที่คนของนครอวิ๋นโหลวฝากผู้ดูแลจวนมาแจ้ง นางก็ยอมเปิดประตูพร้อมกับน้ำตาที่นองเต็มใบหน้าจริงดังคาด นางร้องไห้สะอึกสะอื้น เรือนกายบอบบางราวกับกิ่งหลิว ทำเอาชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่ดูแลเรือนแอบกลืนน้ำลายเบาๆ
หลังจากที่เด็กสาวเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็พลันนึกถึงหญิงชราที่ดูแลการกินการอยู่และอยู่ร่วมกับตนมานานผู้นั้นขึ้นมา จึงบอกกับคนดูแลบ้านที่รีบร้อนจะพานางออกมาจากเขตการปกครองว่านางต้องบอกกับท่านยายสักคำ ร่างกายของท่านยายย่ำแย่เกินไป หากหาตนไม่เจอต้องเป็นกังวลและเสียใจมากแน่ๆ ไม่แน่ว่าเมื่อนางไปถึงนครอวิ๋นโหลวแล้ว หากท่านยายจากโลกนี้ไปอีกคน ก็ไม่เท่ากับว่านางจะไม่เหลือญาติอีกแม้แต่คนเดียวหรอกหรือ?
คนดูแลบ้านได้ยินก็ดีดลูกคิดอยู่ในใจ ก็แค่หญิงชราที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง? แล้วพอหันมามองสตรีงดงามที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา อายุของนางประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ไม่พูดถึงถ้ำสถิตบนภูเขา พูดถึงแค่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ก็อาจจะไม่ถือว่าเป็นสาวน้อยอะไรแล้ว เขาจึงรู้สึกว่าต่อให้นางได้พูดกับหญิงชราที่แก่จนใกล้จะลงโลงสักคำ จะเกิดปัญหาอะไรได้? หากตนใช้ไม้แข็งเกินไป ไม่แน่ว่าอาจทำให้นางสงสัยก็เป็นได้
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนความตั้งใจเดิม อยู่รอให้หญิงชราคนนั้นกลับมาพร้อมกับสตรีผู้งดงามที่กำลังเศร้าอาดูร
ผลกลับกลายเป็นว่าพอหญิงชราที่ในมือห้อยตะกร้าผักเดินเข้าประตูมา เขาเพิ่งคลี่รอยยิ้มส่งไป สีหน้าก็พลันแข็งค้าง หัวใจด้านหลังถูกกริชเล่มหนึ่งแทงทะลุ ชายฉกรรจ์หันหน้าไปมองก็ถูกสตรีผู้นั้นอุดปากอย่างรวดเร็ว นางผลักเบาๆ เขาก็ล้มลงในลานบ้าน
หญิงชราเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวข่มกลั้นความเศร้าและกังวลในใจ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนครอวิ๋นโหลวให้อีกฝ่ายฟัง หญิงชราพยักหน้ารับ เอ่ยแค่ว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่คนครอบครัวนั้นกำลังได้ทีขี่แพะไล่ หรือไม่ก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อศัตรูอย่างเกาะชิงเสียไปแล้ว
หญิงสาวขอร้องหญิงชราว่าต้องไปที่นครอวิ๋นโหลวสักครั้งให้จงได้ ต่อให้ต้องตาย ต่อให้นางไม่ได้พบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย นางก็ต้องไปที่นครอวิ๋นโหลว
หญิงชราทอดถอนใจ บอกว่าชีวิตอันสงบสุขมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว นางกวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็เป็นดั่งนกที่สยายปีกโผบินสู่ท้องนภา มุ่งตรงไปยังที่พักของผู้ฝึกตนที่จับตามองพวกนางมานานมากแล้ว เปิดศึกนองเลือดกันไปครั้งหนึ่ง กลับมาพร้อมกับบาดแผลที่อันตรายถึงชีวิตหลายจุด บอกกับสตรีผู้นั้นว่านางจัดการภัยร้ายที่ซ่อนแฝงอยู่รอบสถานที่แห่งนี้จนหมดแล้ว ยายคงไปที่นครอวิ๋นโหลวไม่ไหวแน่นอน ขอให้สตรีระวังตัวให้มาก และยังมอบยาให้นางหนึ่งเม็ด บอกนางว่าหากอับจนหนทางจริงๆ เมื่อกัดยาเม็ดนี้ก็จะปลิดชีพตัวเองได้ทันที
สตรีที่ได้สัมผัสกับคำว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนได้อย่างแท้จริงฝืนยิ้ม เช็ดน้ำตาทิ้ง เก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ออกจากเขตการปกครองแห่งนี้ไปเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังนครอวิ๋นโหลวแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรรอนางอยู่บ้าง
สตรีเช่ารถม้าหนึ่งคัน หลังจากที่นางขับรถม้าออกจากประตูใหญ่ของเมืองไปแล้ว
นางไม่รู้เลยว่า ทางฝั่งของเรือนหลังเล็กจะมีบุรุษวัยกลางคนสะพายกระบี่คนหนึ่งตีพวกคนที่เหลืออยู่ของนครอวิ๋นโหลวให้สลบ จากนั้นก็ไปยังเรือนที่หญิงชราไอเป็นเลือดกำลังต้มยา หญิงชราเห็นบุรุษปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบก็เกิดความคิดนึกอยากตายขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่าบุรุษสะพายกระบี่ที่หน้าตาธรรมดา ลักษณะคล้ายจอมยุทธในยุทธภพผู้นั้นจะโยนยาเม็ดหนึ่งให้นาง แล้วเขาก็นั่งลงตรงมุมกำแพง ช่วยต้มยาให้กับนาง สายตามองเปลวไฟพลางถามถึงประวัติความเป็นมาของผู้ฝึกตนที่ตายอย่างเฉียบพลันผู้นั้น หญิงชรามองประเมินยาสีเขียวเข้มที่มีกลิ่นหอมลอยมาปะทะจมูกเม็ดนั้นพลางเลือกตอบคำถามบางคำถาม บอกว่าผู้ฝึกตนคนนั้นคือผู้ฝึกตนนอกรีตของทะเลสาบซูเจี่ยน เขาปรารถนาในความงดงามของคุณหนูตนมานานมากแล้ว ฝีมือไม่เลว เชี่ยวชาญการอำพรางตน เป็นเพราะท่านผู้นำตระกูลจากไปนานมากแล้ว ช่วงไม่นานมานี้ผู้ฝึกตนนอกรีตคนนี้ถึงได้เผยพิรุธให้เห็น มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากเกาะอวิ๋นอวี่หรือไม่ก็เกาะหลิวจิน น่าจะคิดลักพาตัวคุณหนูนำไปมอบให้ผู้ฝึกตนใหญ่ในสำนักเพื่อแสดงความนอบน้อม เดิมทีนางคิดจะรอให้เจ้านายกลับมาแล้วค่อยแก้ไขปัญหา ไหนเลยจะคิดว่านายท่านที่มีวิชาอภินิหารเทียมฟ้าจะเจอกับหายนะอยู่ที่นครอวิ๋นโหลวแล้ว
ยิ่งคุยกันนานหญิงชราก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ที่แท้ระหว่างที่บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นต้มยา เขายังควักกระดาษและพู่กันออกมาจดในสิ่งที่ตัวเองพบเห็นและได้ยินไปด้วย
บุรุษวัยกลางคนช่วยต้มยาเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน เพียงแต่ว่าก่อนจะจากไป เขาชี้ไปยังศพที่ยังไม่ทันได้เก็บแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าคนผู้นี้สมควรตายหรือไม่?”
หญิงชราลังเลอยู่เล็กน้อยก็เลือกที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากเขาไม่ตาย คุณหนูของข้าก็จะต้องเจอกับหายนะ เมื่อไปถึงนครอวิ๋นโหลวแห่งนั้น นางก็มีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย ไม่แน่ว่าในบรรดาคนมากมายที่ทำให้คุณหนูอยู่ไม่สู้ตาย ก็อาจจะมีคนผู้นี้รวมอยู่ด้วย”
บุรุษวัยกลางคนไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงออกไปจากเรือนหลังนั้น
กลางดึกของหลายวันต่อมา มีเรือนกายสะโอดสะองเรือนกายหนึ่งพลิกกายข้ามผ่านหัวกำแพงของนครอวิ๋นโหลวเข้ามา แม้ว่าปีนั้นจะมาพักอยู่ที่จวนแห่งนี้แค่ไม่กี่วัน แต่ความจำของนางก็ดีเยี่ยม มีฝีมือเท่าเทียมกับแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม แต่กลับสามารถมาเยือนที่แห่งนี้ได้ราวกับว่ามันเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าตอนนี้ผู้ถวายงานสามคนของจวนต่างก็กำลังเร่งรุดเดินทางกลับมายังนครอวิ๋นโหลวด้วย
เพียงแต่ว่าเมื่อนางพลิ้วกายลงในเรือนแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ตลอดทั้งเรือนกลับสว่างไสว โคมไฟหลายดวงถูกจุดและชูขึ้นสูง
สตรีที่แฝงตัวเข้ามาในจวนยามค่ำคืนผู้นี้ถูกผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหก ผู้ถวายงานที่ถูกจ้างมาชั่วคราวด้วยเงินก้อนใหญ่จงใจใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งยันไว้ตรงหัวใจนาง ไม่ใช่ที่หว่างคิ้วหรือลำคอ จากนั้นก็ใช้กระบี่ยาวที่ชักออกจากฝักวางพาดบนไหล่ของสตรีที่ปิดบังใบหน้า สองนิ้วประกบเข้าด้วยกันแล้วโบกเบาๆ ก็ฉีกกระชากผ้าคลุมหน้าที่บดบังโฉมหน้าของสตรีได้อย่างง่ายดาย ผู้ฝึกกระบี่ ‘หนุ่ม’ ที่ใบหน้าเหมือนคนแก่อายุหกสิบปีตกตะลึงอย่างยิ่ง เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เลวๆ ไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่กลับมีผิวพรรณได้งดงามถึงเพียงนี้ นับว่างดงามตั้งแต่กำเนิดจริงๆ ได้ยินว่าแม่นางเจ้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งด้วย คิดดูแล้วหากสั่งสอนให้ดี ความสามารถบนเตียงย่อมต้องยิ่งทำให้คนคาดหวังรอคอยได้แน่นอน”
ผู้ฝึกกระบี่หันหน้าไปยิ้มพูดกับเจ้าประมุข “ในเมื่อไม่ได้โกหก ตามข้อตกลง เงินเทพเซียนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง พวกเจ้าก็ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายแล้ว”
สตรีผู้นั้นกล่าวแค่ว่านางต้องการพบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจะจัดการกับนางอย่างไรก็ตามแต่ใจพวกเขา
ผู้ฝึกกระบี่เก็บกระบี่สอดเข้าฝัก พยักหน้ารับ แต่กลับลงมืออย่างรวดเร็ว สองนิ้วเคาะลงบนลำคอของหญิงสาว จากนั้นดีดเบาๆ อีกสองสามทีก็สามารถแงะเอายาเม็ดหนึ่งออกมาจากปากนางได้ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีใบหน้าแก่ชราถือเม็ดยาไว้ในมือ เอามาดมแล้วทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะโยนยาเม็ดนั้นลงพื้น ใช้ปลายเท้าบดขยี้มันจนแหลก “สตรีที่งดงามปานบุปผาปานหยกเช่นนี้ จะปล่อยให้ตายได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าเงินเทพเซียนครึ่งหนึ่งที่ข้าใช้ซื้อชีวิตของเจ้า แลกเป็นเงินขาวได้เท่าไหร่? สองแสนตำลึงเงิน!”
สตรีที่ไม่รู้ว่าเหตุใดร่างทั้งร่างถึงได้ชาและอ่อนแรง คิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายยังกลายเป็นเพียงความเพ้อฝัน ได้แต่ปล่อยให้ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นจับไหล่กระชากเดินไปทางห้องแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เขาถีบประตูเปิดออก ให้นางได้เห็นบุรุษที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกโพลง
สตรีสะอื้นไห้
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกกล่าวอย่างลำพองใจ “หลังจากที่พ่อลูกได้พบหน้ากันแล้ว ก็ควร…”
และเวลานี้เอง ร่างของผู้ฝึกกระบี่พลันแข็งค้าง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นเพิ่งจะออกจากช่องโพรงลมปราณก็ส่งเสียงร้องครวญขึ้นมาทันที ที่แท้มันก็พุ่งเข้าชนกับปลายกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่ง
ไม่เพียงแต่ปลายกระบี่คืบหนึ่งจะปริแตก กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ยังถูกคนผู้หนึ่งใช้สองนิ้วคีบเอาไว้
ผู้ฝึกกระบี่หันตัวกลับไปอย่างแข็งทื่อ รีบกุมหมัดกล่าวว่า “ผู้น้อยคือตู้เซ่อหู่แห่งนครอวิ๋นโหลว คารวะผู้อาวุโสเซียนกระบี่แห่งเกาะชิงเสีย!”
ที่แท้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตหกมีคนหนุ่มที่ใบหน้าซีดขาว สะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้ามายืนอยู่
คนผู้นั้นคลายนิ้ว ยื่นเงินร้อนน้อยสองเหรียญส่งให้ผู้ฝึกกระบี่คนนี้
ตู้เซ่อหู่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกรับเงินร้อนน้อยสองเหรียญมาด้วยเนื้อตัวสั่นงันงก ไม่พูดไม่จาก็เดินดิ่งออกไปจากจวนแห่งนี้ทันที
ปลายกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตปริแตก เงินร้อนน้อยสี่เหรียญที่ได้มาเป็นค่าตอบแทนในคราวนี้จะชดเชยได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเงินเทพเซียนที่ใช้ซ่อมแซมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตหรือจะมีค่ามากพอเท่ากับชีวิตของตน?
น่าเสียดายก็แต่สตรีที่ผิวพรรณขาวนวลเปล่งปลั่งดุจเทพวารีผู้นั้นที่ตนไม่อาจโชคดีได้ลิ้มรสแล้ว
ค่ำคืนนี้ รถม้าคันหนึ่งขับออกจากประตูเมืองของนครอวิ๋นโหลวมุ่งตรงไปยังแคว้นสือหาว จนกระทั่งฟ้าสางและออกห่างจากนครอวิ๋นโหลวมาไกลมากแล้ว เฉินผิงอันถึงหยุดรถม้า กระโดดลงมา เตรียมจะกลับไปยังท่าเรือนอกนครอวิ๋นโหลวแห่งนั้น หวังว่าเรือที่ผูกไว้ตรงริมชายฝั่งจะไม่ถูกคนขโมยไป ไม่อย่างนั้นคงจะยุ่งยากอยู่สักเล็กน้อย
สตรีผู้นั้นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น เดินมานั่งบนตำแหน่งของสารถี บิดาของนางนอนหลับสนิทอยู่ในห้องโดยสารด้านหลัง ไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว เพียงแต่ชั่วชีวิตนี้ยากที่จะหวนกลับมาสู่ห้าขอบเขตกลางได้อีก นางมองไปยังแผ่นหลังของคนหนุ่มผู้นั้น กลั้นน้ำตาเอาไว้ พูดเสียงหนักแน่น “สักวันหนึ่ง ข้าจะตามไปแก้แค้นเจ้า!”
ทว่าคนหนุ่มไม่สนใจนางแม้แต่น้อย จะมองนางสักครั้งก็ไม่มี นี่ทำให้สตรียิ่งเศร้าสร้อยและแค้นเคือง
แต่ทันใดนั้นสันหลังของนางก็พลันเย็นวาบ
เพราะคนผู้นั้นหยุดเดินและหันกลับมา
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ข้าอาจต้องอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างน้อยสองสามปี หากสำหรับเจ้าแล้วเป็นเวลาที่น้อยเกินไป ไม่มั่นใจว่าจะแก้แค้นได้สำเร็จ ในอนาคตก็ไปหาข้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีได้”
หญิงสาวตะลึงพรึงเพริด
เฉินผิงอันเอ่ยกับนางว่า “เจ้าพาเพื่อนไปเยอะๆ หน่อยก็ได้ พวกเขาจะได้ช่วยเก็บศพให้เจ้า เพราะถึงเวลานั้นข้าจะฆ่าเจ้าแค่คนเดียว”
สตรีเหม่อมองคนผู้นั้นที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล
ในห้องโดยสาร บิดาของนางคล้ายจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงที่ดังโหวกเหวก เขาไอโขลกๆ พลางกล่าวว่า “อย่าได้คิดจะไปแก้แค้นเขาอีกเลย”
นางเช็ดน้ำตาให้แห้ง หันหน้ามาถาม “ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้มีเขาอยู่ด้วย ข้าไม่สะดวกจะถามท่าน พวกเรากับเขาผูกความแค้นกันได้อย่างไร?”
ในห้องโดยสารรถม้า บุรุษไร้คำตอบให้แก่บุตรสาว
อ้อมผ่านนครอวิ๋นโหลวมาที่ท่าเรือแห่งนั้น เรือข้ามฟากลำนั้นไม่เพียงแต่ยังอยู่ ยังมีผู้ฝึกตนสองคนของนครอวิ๋นโหลวที่เขาไม่รู้จักมาช่วยเฝ้าให้ด้วย คงเป็นเพราะต้องการป้องกันพวกโจรโง่ตาไร้แววที่ละโมบในทรัพย์สินจนไม่สนใจชีวิต และกลัวว่าจะทำให้ผู้ถวายงานของเกาะชิงเสียคนนั้นพาลโกรธมาถึงนครอวิ๋นโหลวของพวกเขากระมัง
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณผู้ฝึกตนทั้งสองแล้วพายเรือจากมา
ยิ่งออกห่างมาไกล ความคิดของเฉินผิงอันก็ยิ่งล่องลอย พอคืนสติ เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งออมาวาดวงกลมวงหนึ่งท่ามกลางความว่างเปล่า
มุ่งหน้าไปยังเกาะชิงเสีย เส้นทางน้ำยาวไกล
เฉินผิงอันยังไม่คิดจะไปเยือนเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ใกล้เคียง ผลกลับกลายเป็นว่าล่องเรือมาได้ครึ่งทางก็เจอเข้ากับเรือหอเรือนขนาดใหญ่ยักษ์ที่มารับตัวเขา เฉินผิงอันพลิ้วกายขึ้นไปบนหัวเรือ กู้ช่านกับหนีชิวน้อยยืนเคียงบ่ากัน กู้ช่านเกาหัวพูดว่า “เฉินผิงอัน ทำไมไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เจ้าถึงได้ผอมลงอีกแล้วล่ะ?”
เฉินผิงอันถาม “ทางเกาะกงหลิ่วเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
กู้ช่านเหลือกตามองบน สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “น่าเบื่อจะตาย แต่ละคนตบโต๊ะถลึงตา ทะเลาะกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่นี่ก็ไม่แปลก การคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพหลายครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยน ครั้งที่ใช้เวลานานที่สุดก็ยังลากยาวไปตั้งเกินครึ่งปี ขาดก็แค่ยังไม่ได้สร้างกระท่อมหรือไม่ก็ปูเสื่อนอนในโถงประชุมบนเกาะก็เท่านั้น ครั้งที่ใช้เวลาสั้นที่สุดก็แค่ประมาณหนึ่งเดือน เพราะทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ทำให้คนผู้หนึ่งรำคาญใจ ไอ้หมอนั่นเลยสังหารเจ้าเกาะยี่สิบกว่าคนในตอนนั้นไปรวดเดียว วันเดียวกันนั้นก็มีเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ขึ้นครองตำแหน่ง คือชู้รักของคนผู้นั้น ซึ่งก็คือผู้ฝึกตนเพียงหนึ่งเดียวของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ใช้ตัวตนของสตรีนั่งบนบัลลังก์เจ้าแห่งยุทธภพนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
กู้ช่านถามอย่างประหลาดใจ “ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปบนฝั่งครั้งนี้มีเรื่องสนุกๆ ไหม?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “เห็นเบาะแสเส้นหนึ่ง”
กู้ช่านกับหนีชิวน้อยหันมามองหน้ากัน
กู้ช่านคิดว่าไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการยิ้มกล่าวว่า “เกาะชิงเสียได้รับข่าวจากกระบี่บินเล่มหนึ่งแล้ว มาจากภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ใกล้กับบ้านเกิดของพวกเรา ข้าออกคำสั่งให้เก็บกระบี่บินเล่มนั้นไว้ในเรือนกระบี่เหมือนมันเป็นบรรพบุรุษแล้ว จะไม่มีใครกล้าเปิดจดหมายลับออกอ่านโดยพลการเด็ดขาด”
เฉินผิงอันหันมามองกู้ช่าน พยักหน้ารับ เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ เอ่ยเตือนว่า “ทางฝ่ายของเกาะกงหลิ่ว ยิ่งคลื่นลมสงบมากเท่าไหร่ เจ้ากับหนีชิวน้อยก็ยิ่งต้องระวังให้มากเท่านั้น ข้าเดาเอาว่าต้าหลีกับราชวงศ์จูอิ๋งจะงัดข้อกันอย่างลับๆ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หากเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าร่วมด้วย ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรถอยมาก้าวหนึ่ง อย่ารีบร้อนลงมือ หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียจะได้เป็นเจ้าแห่งยุทธภพหรือไม่ ไม่ใช่แค่ว่าเจ้ากับหนีชิวน้อยกินเซียนดินโอสถทองไปคนสองคนแล้วจะตัดสินใจได้อีกแล้ว”
กู้ช่านอืมรับ “จำเอาไว้แล้ว! ข้ารู้หนักเบา ใครที่ฆ่าได้ กลุ่มอิทธิพลไหนที่ไปแหยมด้วยไม่ได้ อย่างมากข้าก็แค่ต้องคิดก่อนแล้วค่อยลงมือ”
หนีชิวน้อยลูบหน้าท้อง อันที่จริงมันเริ่มหิวนิดๆ แล้ว
เฉินผิงอันเก็บสายตากลับมาทอดมองทัศนียภาพของทะเลสาบอันกว้างไกลต่ออีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะยังมีโอกาสหันกลับไปเห็น ยิ้มกว้างงดงามประหนึ่งหยกอีกหรือไม่ (ยิ้มกว้างงดงามประหนึ่งหยก ภาษาจีนคือเหม่ยอวี้ช่านหราน มีอักษรที่เป็นคำเดียวกับชื่อของกู้ช่าน ประโยคนี้จึงน่าจะเปรียบเปรยว่า เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะได้เห็นกู้ช่านเปลี่ยนมาเป็นคนดี กลับมาเป็นน้องชายคนเดิมของตนได้อีกหรือไม่)