บทที่ 44 น้ำลดหินผุด
บ้านสกุลหลูถนนฝูลวี่คือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กกะทัดรัด แต่กลับมีเอกลักษณ์ ต่อให้เป็นฮูหยินสกุลซวี่แห่งนครลมเย็นก็ยังรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เหมือนสำนักที่ถูกสร้างขึ้นในเปลือกหอยทาก (สร้างสำนักในเปลือกหอยทากหมายความว่าการทำเรื่องใหญ่ในสถานที่เล็กแคบ ยากที่จะจัดการเรื่องราวได้ดี) ถือว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ไม่อาจเรียกร้องอะไรไปได้มากกว่านี้ ในศาลาริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง หญิงผู้ผ่านการแต่งงานแล้วที่เพิ่งไปเอาเสื้อเกราะโหวจื่อมาครอบครองได้สำเร็จมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นางนั่งพิงราวศาลาอย่างเกียจคร้าน อาจเป็นเพราะอารมณ์ดีเกินไป ขนาดเจ้าแมลงวันหลูเจิ้งฉุนที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดของศาลา นางก็ยังไม่รู้สึกขัดหูขัดตามากเท่าไหร่
บุตรชายของนางที่สวมชุดสีแดงสดยืนอยู่บนม้านั่งตัวยาว กำลังโยนเหยื่อลงไปในทะเลสาบผืนน้อย ปลาหลีที่หางและหลังเป็นสีแดงเกือบร้อยตัวเบียดเสียดอยู่ด้วยกันเป็นริ้วคลื่นสีแดง สร้างภาพเหตุการณ์ที่งดงามอลังการไม่น้อย
ฮูหยินผู้นั้นหันมาสั่งความกับหลูเจิ้งฉุน “เจ้าไม่ต้องรอรับใช้อยู่ที่นี่แล้ว รอให้ธุระเสร็จสิ้น เจ้าก็จงติดตามพวกเราไปที่นครลมเย็น นอกจากสามีข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์เข้าสำนักแล้ว ยังรับปากปู่เจ้าด้วยว่าจะทำตามข้อเสนอที่ไร้เหตุผลเหล่านั้นของเขา โดยรับรองว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะสามารถขึ้นไปยืนอยู่ในห้าขอบเขตกลางได้ ต้องรู้ว่าคำสัญญาประเภทนี้ต่างหากที่ถึงจะเรียกว่ามีค่ามากที่สุด ดังนั้นถึงได้บอกไงล่ะว่าปู่ของเจ้าน่ะคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์”
พูดมาถึงตรงนี้ สตรีผู้นั้นก็หัวเราะอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง “ตามความเห็นข้า หากปู่ของเจ้าคือคนคุมหางเสือของสกุลหลู ราชวงศ์สกุลหลูก็อาจจะไม่ล่มสลายเร็วขนาดนี้ ต่อให้เป็นซ่งจ่างจิ้งอ๋องผู้ครองแคว้นของต้าหลีที่วางตัวสูงศักดิ์ไม่เห็นหัวใครผู้นั้นก็ยังบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่เขาสามารถสร้างคุณความชอบในการทำลายแคว้นหนึ่งได้ภายในหนึ่งปี ในตำราบันทึกคุณความชอบก็มีคุณูปการของเชื้อพระวงศ์แซ่หลูของพวกเจ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าสกุลหลูสายของพวกเจ้าที่อยู่ในเมืองแห่งนี้โชคไม่ค่อยดีนัก หากสกุลหลูสายหลักมีเกียรติ พวกเจ้าก็ใช่ว่าจะมีเกียรติไปพร้อมกันด้วย แต่พอเสียหายกลับต้องเสียหายไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นครั้งนี้นครลมเย็นของพวกเราได้มอบโอกาสที่พันปียากจะพานพบให้แก่เจ้า เจ้าก็อย่าพลาดมันไป ต้องคว้าเอาไว้ให้ดี”
หลูเจิ้งฉุนโค้งตัวลงต่ำ มือทั้งคู่กุมประสานยกขึ้นเหนือหัว กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “หลูเจิ้งฉุนย่อมไม่กล้าลืมพระคุณยิ่งใหญ่ของฮูหยินซวี่ วันหน้าเมื่อไปถึงนครลมเย็นอันมีชื่อเสียงกึกก้องไปใต้หล้าแล้วก็ย่อมต้องเป็นวัวเป็นม้าให้กับฮูหยินซวี่ และหลูเจิ้งฉุนขอสาบานว่า ชีวิตนี้จะซื่อสัตย์ภักดีต่อฮูหยินคนเดียว!”
รอยยิ้มของสกุลซวี่แห่งนครลมเย็นยิ่งหวานหยดย้อย นางหรี่ตาลง พูดเสียงอ่อนโยน “คำพูดที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจเช่นนี้ ห้ามให้สามีของข้า หรือก็คืออาจารย์ของเจ้าได้ยินเด็ดขาดเชียว หรือว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะสามารถพูดแบบนี้ต่อหน้าเขาได้อีกรอบ?”
บางทีอาจเป็นเพราะหลังจากคุกเข่าให้หลิวเสี้ยนหยางในตรอกหนีผิง หลูเจิ้งฉุนจึงไม่แสลงใจกับเรื่องแบบนี้อีกต่อไป พอได้ยินคำพูดแทงใจดำจากฮูหยินผู้นี้ เขาจึงรีบคุกเข่าลงทันที ร่างทั้งร่างนอนหมอบอยู่บนบันไดขั้นบนสุดนอกศาลา กล่าวเสียงสั่นว่า “หลูเจิ้งฉุนไม่กล้าลืมตัวแน่นอน!”
หญิงผู้ออกเรือนแล้วคลี่ยิ้ม โบกมือไล่คน “เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ วันหน้าเมื่อไปถึงนครลมเย็น การฝึกตนเป็นเรื่องที่เผาผลาญเวลาได้มากที่สุด หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เจ้าจะลืมตนหรือไม่ เมื่อน้ำลดหินย่อมผุดออกมาเอง”
หลูเจิ้งฉุนก้าวถอยหลังออกห่างจากศาลาริมน้ำ เมื่อลงบันไดมาแล้วถึงได้หมุนตัวช้าๆ คุณชายเสเพลที่ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วเมืองว่าเรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝนคนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีนางนี้กลับดูเหมือนว่าเอวของเขาจะไม่เคยยืดตรงมาก่อน
สกุลหลูนอกเมืองถือเป็นแซ่ที่คุมแคว้นของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากที่ถูกกองทัพชายแดนของต้าหลีทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ก็เรียกได้ว่าเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล พอทรุดแล้วก็ยากที่จะลุกผงาดขึ้นมาได้อีกในช่วงเวลาสั้นๆ จากบนถึงล่าง สกุลหลูสายหลัก สายรอง รวมไปถึงญาติห่างๆ จึงได้แต่ทำตัวสงบเสงี่ยม
หาไม่แล้วด้วยชื่อเสียงและรากฐานของนครลมเย็นย่อมไม่มีทางกล้าสมคบคิดกับคนสกุลหลูในเมืองนี้ ซ้ำยังกล้าดูถูก จิกหัวใช้ลูกหลานสกุลหลูตามใจตัวเองเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เปลี่ยนมาเป็นคู่นายบ่าวของเขาตะวันเที่ยงก็ยังยากที่จะทำเช่นนี้ได้
ตอนนี้สถานการณ์ของสกุลหลูยากลำบาก ดุจมังกรที่ว่ายอยู่ในน้ำตื้น จึงจำต้องยอมก้มหัวให้คนอื่นสามส่วน
เด็กชายชุดแดงหลุดหัวเราะพรืด “ช่างสมกับเป็นสุนัขรับใช้ที่มีชะตาเป็นขี้ข้ามาตั้งแต่เกิดจริงๆ ท่านแม่ ท่านจะรับเศษสวะแบบนี้มาทำอะไร? คงไม่คิดจะให้ท่านพ่อข้ารับเขาเป็นศิษย์จริงๆ หรอกนะ แถมยังรับปากจะให้เขาเลื่อนถึงห้าขอบเขตกลางด้วย? ห้าขอบเขตกลางเป็นเรื่องง่ายดายราคาถูกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
หญิงผู้นั้นยิ้มบางๆ “แม้ว่าหลูเจิ้งฉุนจะมีโฉมหน้าอัปลักษณ์ไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีส่วนให้ใช้งานได้เสียเลย พรสวรรค์ของคนผู้นี้ธรรมดา เดิมทีหากเป็นลูกศิษย์นอกสำนักก็ถือว่าโชคดีค้ำฟ้ามากแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเพียงแค่ของแถมที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่เท่านั้น ไม่อาจสร้างมรสุมใดๆ ได้ และที่แม่รับปากคนสกุลหลูของเมืองนี้ไปมากมายขนาดนั้นก็เพราะเคยรับปากเหล่าเชื้อพระวงศ์และพวกญาติมิตรสกุลหลูที่ลี้ภัยไว้ว่า พวกเขาสามารถมาหลบภัยในนครลมเย็น ทั้งยังสามารถตั้งรกรากอยู่ที่นั่นได้ นครลมเย็นจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีมารยาท มองเป็นแขกผู้มีเกียรติ ซ้ำยังถึงขั้นที่จะแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ในเมืองให้เป็นถิ่นของคนสกุลหลูโดยเฉพาะ โดยจำกัดเวลาไว้ที่หนึ่งร้อยปี”
เด็กชายที่โยนเหยื่อล่อปลาเสร็จ จู่ๆ ก็วิ่งออกไปจากศาลาแล้วเก็บเอาหินกองใหญ่กลับมาด้วย จากนั้นเขาก็คว่ำหน้าลงบนราวศาลา แล้วโยนหินใส่ปลาหลีพวกนั้นเต็มแรง เล่นสนุกเต็มที่ ก่อนหันหน้ามาพูดว่า “ท่านแม่ พวกเรามาตามหาเกราะโหวจื่อที่เมืองเล็กแห่งนี้ คือเหตุผลที่ใช้ปิดบังคนอื่นใช่ไหม? คือเวทอำพรางตาที่สกุลซวี่นครลมเย็นของพวกเรายืมใช้โอกาสนี้มาควบคุมคนสกุลหลู? เพราะอย่างไรซะแมลงร้อยขา ตายไปก็ตัวไม่แข็ง (แมลงร้อยขาหรือกิ้งกือ ต่อให้ถูกหั่นออกเป็นท่อนๆ ร่างก็ยังกระดุกกระดิกได้ เป็นการเปรียบเปรยถึงตระกูลใหญ่มากอำนาจที่ต่อให้ตกต่ำ แต่เนื่องจากพลังอำนาจมาก รากฐานหนาก็ยังไม่ถือว่าล่มสลายอย่างเต็มที่) ข้าได้ยินมาว่าสกุลหลูสุนัขไร้บ้านที่เคยยิ่งใหญ่ ลำพังเพียงแค่สมาชิกที่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็มีสามพันกว่าคนแล้ว บวกกับข้าราชบริพาร ข้ารับใช้และพวกคนเก่าคนแก่ของราชวงศ์ที่ล่มสลายซึ่งไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งของแคว้นต้าหลีเข้าไป จึงเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนคนในกับนครลมเย็นของพวกเรา และพวกเขาก็จะช่วยเหลือเราได้มาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่นี่ถึงจะถือว่าเป็นศูนย์กลางการส่งผ่านข้อมูลที่แท้จริงของสกุลหลูที่ตกต่ำในทุกวันนี้ใช่หรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “สามารถคิดได้ถึงขั้นนี้ แสดงว่าบุตรชายของข้าฉลาดมาก แต่ว่า ที่เจ้าพูดมายังไม่ถูกต้อง”
เด็กชายขมวดคิ้ว รอฟังคำตอบ
สตรีผู้ออกเรือนแล้วกะพริบตาปริบๆ “ด้านในเสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้นมีความลี้ลับซุกซ่อนอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือมันไม่แย่กว่าคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นเลย”
เด็กชายขว้างหินก้อนหนึ่งไปกระแทกบนหลังปลาหลีตัวหนึ่งอย่างแรง จนเลือดของมันกระเซ็นไปทั่ว ปลาหลีที่น่าสงสารดิ้นสะบัดจนน้ำแตกกระจาย
ดวงตาเด็กชายฉายประกายร้อนแรง “บิดาของข้าเชี่ยวชาญวิถีแห่งการจู่โจมมากที่สุด พลังการทำลายล้างยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองซ่งจ่างจิ้งของต้าหลีผู้นั้นมากนัก เสียดายก็แต่ร่างกายที่เกิดมาอ่อนแอของเขาเป็นอุปสรรคมาโดยตลอด กลัวที่สุดว่าคู่ต่อสู้จะต่อยตีกับเขาด้วยวิธีที่ไร้เหตุผลอย่างใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยการบาดเจ็บ นี่ต่างหากที่ทำให้เขาไม่อาจมีชื่อเสียงเลื่องลือ ซ้ำยังกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น แม้แต่คนของนครลมเย็นด้วยกันเองก็ยังกล้าหัวเราะเยาะพวกเราลับหลัง ท่านแม่ หลังจากที่ท่านพ่อข้าได้เสื้อเกราะตัวนี้ไปครอง เขาจะใช้มันทั้งป้องกันและโจมตี สามารถประมือกับซ่งจ่างจิ้งผู้นั้นได้เลยหรือไม่?”
ฮูหยินผู้นั้นยังคงส่ายหน้า
เด็กชายชุดแดงตบราวไม้อย่างแรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ท่านเลิกยั่วให้ข้าอยากรู้เสียที!”
เด็กชายแยกเขี้ยวขู่เหมือนลูกพยัคฆ์ขี้โมโห
สตรีวัยกลางคนไม่เคยรู้สึกว่าการที่บุตรชายโวยวายเสียงดังต่อหน้าตนมีอะไรที่ไม่เหมาะสม เพราะอย่างไรซะพอบุตรชายของตนเกิดมาก็ได้รับคำทำนายที่สูงส่งมากจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งว่า “โหงวเฮ้งดุจพยัคฆ์ดุจหมาป่า เกิดมาเพื่อเป็นนายคน”
ฮูหยินอธิบายอย่างใจเย็น “หลังจากที่บิดาของเจ้าได้เสื้อเกราะไป หากทำความเข้าใจได้สำเร็จก็จะพัฒนาไปอีกก้าว หากต้องการใช้ป้องกัน กำลังของเขาคนเดียวก็เอาชนะคนได้เป็นสิบคน สามารถบดขยี้ศัตรูได้ในรวดเดียว”
เด็กชายหัวเราะร่าเสียงดังเพราะชอบใจอย่างถึงที่สุด “ฆ่าๆๆ เมื่อถึงเวลานั้นให้ท่านพ่อข้าเริ่มฆ่าจากฝ่ายในของนครลมเย็นก่อนเลย! คนกันเองทำเรื่องชั่วร้ายถึงเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงมากที่สุด!”
หลังจากเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป เพียงไม่นานเด็กชายก็กลับคืนสู่ความสงบ จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านแม่ ท่านปั่นหัวเขาตะวันเที่ยง ปั่นหัววานรเฒ่าอย่างนี้ ท่านไม่กลัวว่าวานรโง่ตัวนั้นจะนึกขึ้นได้แล้วลงมือโจมตีพวกเราหลังออกไปจากเมืองหรือ? ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจเสียทีว่า ในเมื่อเจ้าคนแซ่หลิวคนนั้นมีคนซื้อเครื่องปั้นตั้งนานแล้ว แถมฐานกระดูกของเขาเองก็ดีมาก บวกกับมีเสื้อเกราะและคัมภีร์กระบี่ มีดีหลายข้อขนาดนี้ น้อยคนนักที่จะเป็นได้อย่างเขา แม้แต่ข้าเองก็จำต้องยอมรับว่าต้องมองเขาเสียใหม่ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดคนซื้อเครื่องปั้นถึงไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าเสียที จนท่านแม่สามารถจับปลาในน้ำขุ่นได้ แถมยังทำให้วานรเฒ่าของเขาตะวันเที่ยงช่วยพวกเราจัดการปัญหายุ่งยาก หลังจากที่เขาต่อยหลิวเสี้ยนหยางตายด้วยหมัดเดียว อะไรก็สะอาดเอี่ยมไปหมด ปัญหาใหญ่เทียมฟ้ามีเขาตะวันเที่ยงเป็นผู้แบกรับ ส่วนนครลมเย็นของพวกเรากลับมีที่กว้างขวางมากพอให้ถอยกลับ”
สตรีผู้ออกเรือนแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ต่อให้วานรเฒ่าย้ายภูเขาอายุสูงเป็นพันปีของเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นจะสมองไม่ดีแค่ไหน แต่ก็คงไม่โง่ถึงขั้นปล่อยให้แม่ปั่นหัวได้ตามใจชอบ อันที่จริงเขาเดาแผนการที่แม่จะยืมมีดฆ่าคนออกนานแล้ว แต่เหตุใดวานรเฒ่าถึงยังยอมให้คนจูงจมูก พาตัวเองโดดลงไปในหลุมกับดักเสียเอง สาเหตุค่อนข้างซับซ้อน ทั้งเป็นเพราะเขาตะวันเที่ยงรับผิดชอบตัวเองได้จึงไม่กลัวว่าจะนำพาหายนะมาใส่ตัว แล้วก็ทั้งเป็นเพราะมีประวัติศาสตร์ลับท่อนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องสนเรื่องพวกนี้หรอก”
นางจมสู่ภวังค์ของความคิด ลองไล่คิดตามแนวความคิดเดิมอีกครั้ง พยายามตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีภัยร้ายเป็นพรวนตามมาเบื้องหลัง
คนซื้อเครื่องปั้นของเด็กหนุ่มหลิวเสี้ยนหยางเคยเป็นกองกำลังขุมหนึ่งที่ให้การสนับสนุนราชวงศ์สกุลหลูอย่างเต็มกำลัง หลังจากที่ราชวงศ์ถูกดับทำลาย ต้นทุนที่ลงไปจึงเสียเปล่า ไม่ได้กำไรกลับมาแม้แต่นิดเดียว ก่อนหน้านี้พวกเขาคือกองกำลังอันดับหนึ่งของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาอย่างแท้จริง หาไม่แล้วหลังจากที่แน่ใจว่าหลิวเสี้ยนหยางมีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ก็คงไม่สามารถสิ้นเปลืองทองจำนวนมากมารั้งตัวหลิวเสี้ยนหยางไว้ในเมือง ซื้อเวลาเก้าปีที่เหลือหลังจากนั้นให้แก่เขา
ไม่รู้ว่าเขาตะวันเที่ยงใช้ช่องทางใดถึงรู้เรื่องนี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปหาตระกูลที่ตกต่ำนั้น พยายามจะขอซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยาง บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของเขาตะวันเที่ยงให้ราคาที่สูงเทียมฟ้าต่อหน้าพวกเขา แต่คนตระกูลนั้นกลับเหมือนกินยาผิดขนาน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมตกลง พูดแค่ว่าได้ขายต่อให้คนอื่นไปแล้ว ส่วนขายให้ใคร มีความเป็นมาอย่างไร พวกเขากลับปิดปากแน่นสนิท
หลังจากนั้นเขาตะวันเที่ยงที่ยังคงฉงนสนเท่ห์ไม่คลายก็ได้ยินข่าวลือบอกว่า ศัตรูคู่อาฆาตของเขาตะวันเที่ยงอย่างสวนลมฟ้าฉวยโอกาสปล้นคนตอนไฟไหม้ ชิงโอกาสไปได้ก่อน แน่นอนว่าคนตระกูลนั้นย่อมไม่กล้าพูดต่อหน้าเซียนกระบี่อย่างเขาตะวันเที่ยง ไม่กล้าพูดว่าตัวเองขายของให้กับสวนลมฟ้าที่เป็นศัตรูคู่แค้นของเขาตะวันเที่ยง
ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นคนเปิดเผยข่าวว่าตระกูลหลิวมีเสื้อเกราะโหวจื่อและคัมภีร์กระบี่สืบทอดต่อกันมา รวมถึงข่าวที่ว่าสวนลมฟ้ารับช่วงต่อซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของหลิวเสี้ยนหยางไปนั้น
เรื่องนี้จะว่าไกลก็ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้ก็ใกล้เพียงแค่ปลายสายตา
ซึ่งก็คือสกุลซวี่แห่งนครลมเย็นนั่นเอง แต่แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องเป็นผู้บงการที่หลบอยู่เบื้องหลัง
ส่วนนางก็ยิ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนการ ครั้งนี้นางมาที่เมืองแห่งนี้ด้วยตัวเอง จำต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล แน่นอนว่านางย่อมต้องการการรับประกันว่า อย่างน้อยการค้าขายครั้งนี้ต้องได้ทุนคืน หาไม่แล้วตำแหน่งของนางที่อยู่ในนครลมเย็นจะดิ่งฮวบลงเหว ตกอยู่ท่ามกลางอันตราย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องคาดวาดหวังว่าจะสามารถครอบครองนครลมเย็นเพียงลำพังได้เลย
และในความเป็นจริงแล้วเมืองเล็กแห่งนี้ก็เป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนตัว ไม่อาจดูถูกได้อย่างแท้จริง ไม่พูดถึงสกุลหลูที่ตกต่ำดุจตะวันใกล้จะลาลับโลก สามสกุลใหญ่ที่เหลือ ใครบ้างที่ไม่เป็นผู้พิชิตดินแดนแห่งหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปบูรพา ไม่ใช่ตะวันที่อยู่กลางฟากฟ้า?
อันที่จริงรากฐานที่แท้จริงของสี่แซ่สิบสกุล ไม่ได้พูดถึงข้อที่ว่ามีมังกรดินซึ่งมีเวทคาถาค้ำฟ้าขดตัวอยู่มากน้อยเท่าไหร่ เพราะในความเป็นจริงแล้วประมุขและเหล่าบุรพาจารย์ของตระกูลเหล่านั้นได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจจากไปไหนได้ คำโบราณบอกไว้ว่าต้นไม้ย้ายที่ปลูกตาย คนย้ายถิ่นรอด น่าเสียดายที่สำหรับในใจของเมืองแห่งนี้แล้ว พวกเขาไม่ต่างจากต้นไหวโบราณและต้นท้อในตรอกเถาเย่ที่ย้ายเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะกลับชาติมาเกิดได้ใหม่ ดังนั้นต่อให้พวกเขามีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ติดตัวก็เสียเปล่า เพราะไม่อาจนำมาใช้ได้
รากฐานของครอบครัวเหล่านี้อยู่ที่พวกเขาสามารถครอบครองเตาเผามังกรได้มากเท่าไหร่ สามารถดูแลคนได้กี่ตระกูล เพราะว่านี่จะเป็นตัวตัดสินได้โดยตรงว่าทุกปีจะมีคนนอกมาเสนอซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกี่ชิ้น หากมีตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนปรากฏขึ้น ขอแค่คนซื้อเครื่องปั้นที่ลงเดิมพันไม่ขาดแคลนเงินทองมากเกินไป ส่วนใหญ่แล้วก็ยังจะต้องมอบ “อั่งเปาซองใหญ่” ให้เพิ่มเติม นอกจากนี้แล้วก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายผูกสมัครเป็นพันธมิตรกัน แน่นอนว่าย่อมมีน้ำหนักมากกว่าความสัมพันธ์ในช่วงเริ่มต้น
จู่ๆ หญิงวัยกลางคนก็หันไปพูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจัง “ห้ามดูถูกใครเด็ดขาด ต่อให้เป็นบุคคลที่ต่ำต้อยอย่างหลูเจิ้งชุนที่ยอมก้มหัวเป็นสุนัขรับใช้คนอื่นก็ตาม เจ้าคิดว่าแค่มาที่เมืองเล็กแห่งนี้ก็จะครอบครองโชควาสนาและสมบัติเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายงั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่าแทบจะจิตใจแหลกสลาย ไช่จินเจี่ยนก็ยิ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย และยังมีเด็กรุ่นหลังที่พรสวรรค์ไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่งที่โชคมาเยือน จิตใจเปิดกว้างจึงเข้าฌานดูน้ำอยู่ตรงสะพาน แต่กลับถูกคนรบกวนสมาธิ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าก้นทะเลสาบในใจของนางได้ถูกคนทุบให้เกิดเป็นหลุมใหญ่ ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบลดลง เรื่องแบบนี้ไม่มีทางหยุดอยู่แค่นี้ กลับมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นบนเส้นทางของการฝึกตน ไม่มีใครสักคนที่จะเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์”
เด็กชายลองคิดตาม “เมื่อระวังย่อมขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ท่านแม่ ข้าจะระวังไว้”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับ “ทำได้เช่นนี้ย่อมดีที่สุด”
เด็กชายโยนหินก้อนสุดท้ายออกไปแล้วถามว่า “ฉีจิ้งชุนผู้นั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
หญิงวัยกลางคนเดือดดาล ตวาดสั่งสอนบุตรชายอย่างที่หาได้ยาก “บังอาจ! ต้องเรียกอย่างให้ความเคารพว่าท่านฉี!”
เด็กชายตะลึงงัน แต่ก็ยอมเปลี่ยนคำพูดโดยดี “ท่านฉีมีปัญหาอะไรหรือไม่?”
หญิงวัยกลางคนลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยช้าๆ ว่า “อาจารย์ผู้มีพระคุณของท่านฉีไม่เพียงแต่เคยเป็นผู้ร่วมทำพิธีของศาลเจ้าบุ๋น ยังเคยเป็นมือซ้ายอันดับที่สองของเจ้าลัทธิขงจื๊อ”
เด็กชายปากอ้าตาค้าง
นี่หมายความว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉีจิ้งชุนคือนักปราชญ์ของสำนักขงจื๊อ หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเซิ่งเหรินอันดับที่สี่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของลัทธิขงจื๊อ?
บุคคลที่อยู่เหนือจินตนาการประเภทนี้ หากจะมีใครพูดจาโอ้อวดเกินจริงสักหน่อย บอกว่าหากเซิ่งเหรินประเภทนี้เดือดดาลขึ้นมา เพียงฝ่าเท้าเดียวก็สามารถกระทืบให้ยอดเขาที่ใหญ่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพาแตกทลายลงได้ เด็กชายคงไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะเชื่อทั้งหมด แต่ก็ต้องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแน่นอน
หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงเบาอย่างเป็นกังวลว่า “เพียงแต่ว่าเซิ่งเหรินในเซิ่งเหรินท่านนี้ ฐานะในตอนนี้กลับดูเหมือนว่าจะเทียบกับรูปปั้นเทพเจ้าที่แตกพังในเมืองพวกนั้น…ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เด็กชายกลืนน้ำลาย ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เพื่อนของหลิวเสี้ยนหยางคนนั้นจะจัดการอย่างไร?”
ฮูหยินวัยกลางคนครุ่นคิดเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงเด็กกำพร้าแซ่เฉินในตรอกหนีผิงคนนั้นน่ะหรือ?”
เด็กชายพยักหน้ารับ
หญิงวัยกลางคนกล่าวยิ้มๆ “ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน เจ้าเองก็บอกว่าเขาเป็นแค่มดตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ? ปล่อยเขาไปตามยถากรรมก็พอ”