Skip to content

Sword of Coming 447

บทที่ 447 ลมหิมะสอดผสาน

ยามที่หิมะละลาย อากาศจะหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ

หากไม่ต้องเดินอยู่บนเส้นทางดินของถนนทางหลวง ก็ต้องเดินอยู่บนทางสายเล็กเปลี่ยวร้างที่หิมะทับถมเป็นกอง เวลาที่ก้าวเดินจึงเกิดเสียงดังสวบสาบ

อีกทั้งจากการคำนวณของเซียนดินหลายคนในทะเลสาบซูเจี่ยน ปลายปีนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่จะยังต้องเจอกับหิมะที่ตกหนักกว่าเดิม ถึงเวลานั้นนอกจากทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว หิมะใหญ่ที่ร้อยปียากพานพบนี้จะยังครอบคลุมไปถึงแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งอีกหลายแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาวด้วย แน่นอนว่าผู้ฝึกตนทะเลสาบซูเจี่ยนย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ทว่าแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายคงต้องเจอกับภิบัติภัยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหิมะใหญ่สามครั้งที่ตกลงมาหลังจากเข้าฤดูหนาวจะกลายเป็นอุปสรรคที่มองไม่เห็นต่อความเร็วในการเคลื่อนพลลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี มอบโอกาสให้ราชวงศ์จูอิ๋งที่นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมาก็เพิ่งเคยใช้กลยุทธ์เสริมกำแพงค่ายคู ย้ายผู้คนข้าวของได้ช่วงชิงเวลาให้หายใจหายคอได้เพิ่มขึ้นหรือไม่

เพียงแต่ว่าสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าเหล่านี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มีความมั่นคงสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไร ‘ใต้หล้า’ ก็มีการแบ่งแยกบนภูเขากับล่างภูเขาอยู่แล้ว

ในตำหนักหลักของอารามหลิงกวาน เจิงเย่ไปเก็บฟืนบริเวณรอบด้านมาก่อเป็นกองไฟ

เฉินผิงอันยังคงสวมชุดผ้าฝ้ายตัวหนาไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเกาะชิงเสีย เพียงแต่เขาไม่ได้สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง แต่ใช้วิธีเตาเจี้ยนชั่วที่เผยเฉียนเป็น ‘ผู้บุกเบิก’ นั่นก็คือนำดาบไม้ไผ่ที่ทำเองเล่มหนึ่ง และดาบเลียนแบบฉวีหวงที่ซื้อมาจากถนนวานรร่ำไห้มาห้อยคู่กันตรงเอวด้านหนึ่ง

คนทั้งสองกินอาหารแห้ง การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจิงเย่ได้ออกเดินทางไกล ดังนั้นเมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่เงียบขรึมพูดน้อยแล้ว เจิงเย่ที่ยังมีสภาพจิตใจของเด็กหนุ่มจึงอดที่จะลิงโลดเบิกบานไม่ได้ ตอนที่ผ่านด่านแล้วต้องมอบเอกสารทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ทหารชายแดนแคว้นสือหาวมอบให้ศาลบรรพจารย์บนเกาะชิงเสียก็ยังทำให้เจิงเย่รู้สึกแปลกใหม่ได้ เพียงแต่เขาไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา ดูเหมือนท่านเฉินมีเรื่องในใจ อีกทั้งเจิงเย่ก็ไม่ได้ตาบอด เรื่องราวและความรู้สึกของคนบนโลกประเภทนี้ เจิงเย่ยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง

คนทั้งสองต่างก็เงียบงัน

หลังจากกินอาหารแห้งแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มกางแผนที่ภูมิศาสตร์ของเขตการปกครองแคว้นสือหาวออกมา ตอนนี้อาณาเขตทางทิศใต้ของแคว้นสือหาวยังนับว่าดี เพราะมีเพียงหน่วยลาดตระเวนของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจำนวนบางตาเท่านั้นที่ควบม้าผ่านทางมา เฉินผิงอันกับเจิงเย่เคยเห็นอยู่สองครั้ง ทว่าทิศใต้ที่แท้จริงแล้วยังไม่ถูกไฟสงครามลุกลามมาโดนกลับเกิดลางของกลียุคขึ้นมาแล้ว เช่นอารามกวานหลิงที่คนทั้งสองพักอยู่ในเวลานี้ก็คือตัวอย่าง

นี่คืออารามกวานหลิงเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ไม่ถูกซ่อมแซมมานานปี สภาพจึงค่อนข้างทรุดโทรม จากคำอธิบายของชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง คนเฝ้าอารามที่คอยดูแลเรื่องควันธูปได้จากโลกนี้ไปตั้งแต่ตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้แล้ว เดิมทีทางที่ว่าการอำเภอได้เลือกคนเฝ้าอารามคนใหม่มาไว้แล้ว โดยทั่วไปขอแค่เป็นคนที่มีชาติกำเนิดบริสุทธิ์ อีกทั้งยังมีนักพรตเต๋าในทำเนียบวงศ์ตระกูลช่วยลงนามให้ ทางที่ว่าการเขตการปกครองย่อมต้องพยักหน้าตกลง เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงาเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนกรมพิธีการในเมืองหลวง แต่พอคนเถื่อนต้าหลีมาเยือน โลกก็วุ่นวายอลหม่าน จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรชาวบ้านพากันหนีภัย หลังจบเรื่องหากย้อนกลับมาที่บ้านเกิด ราชสำนักก็ไม่มีทางกล่าวโทษ ทว่าทำหน้าที่คนเฝ้าศาลที่เหมือนซี่โครงไก่นี้ก็ไม่ต่างจากการเป็นนายอำเภอ ที่มีหน้าที่ ‘รับผิดชอบปกป้องดินแดน’ ดังนั้นตัวเลือกสองคนที่ทางที่ว่าการอำเภอเลือกไว้ ต่อให้ที่ว่าการอำเภอจะยอมถอยให้ก้าวใหญ่ บอกกล่าวเป็นการส่วนตัวอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องให้คนทั้งสองใช้เงินส่วนตัวไปผูกความสัมพันธ์กับนักพรตเต๋าทำเนียบวงศ์ตระกูลบางคนที่สูงส่งเหนือผู้ใดในอำเภอ กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ยอมรับตำแหน่ง เรื่องนี้จึงถูกลากยาวมาอยู่อย่างนี้ คาดว่ารอให้คนเถื่อนต้าหลีล้อมเมืองหลวงแคว้นสือหาวได้จนมีเวลาให้ดึงกำลังคนมุ่งหน้าลงใต้มาได้อีกนิด อารามกวานหลิงที่เดิมทีควันธูปก็เบาบางแห่งนี้ ปีหน้าก็คงไม่เหลือควันธูปล่องลอยให้เห็นอีกแล้ว

ท่ามกลางกลียุค

ชาวบ้านยังแทบจะเอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะสนใจเรื่องเข้าวัดมาจุดธูป เมื่อตนกินอิ่มแล้วถึงจะมีเวลาไปสนใจว่าเทวรูปเทพเซียนกินอิ่มหรือไม่ นี่ก็คือความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์

เฉินผิงอันมอบหีบไม้ไผ่ให้เจิงเย่เป็นผู้สะพาย ด้านในเก็บตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ สมบัติอาคมวิถีผีชิ้นที่เชื่อมาจากคลังลับเกาะชิงเสีย

ส่วนอาวุธวิเศษชั้นเยี่ยมเลียนแบบหอแก้วที่อวี๋กุ้ยนำมาขายให้เฉินผิงอันตอนที่มาเยือนเกาะชิงเสียนั้น เฉินผิงอันเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อชั่วคราว ห้องพักสิบสองห้องสามารถหล่อเลี้ยงให้ความอบอุ่นพวกภูตผีได้ ตอนนี้ก็มีจิตหยินและภูตผีที่จิตวิญญาณค่อนข้างสมบูรณ์แบบพักอาศัยอยู่จนเต็มแล้ว นอกจากห้องหนึ่งในนั้น วัตถุหยินอีกสิบเอ็ดตนที่เหลือล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นห้าขอบเขตกลาง แต่กระนั้นก็ยังต้องมาตายด้วยน้ำมือของถานเซวี่ย ปราณดุร้ายค่อนข้างเข้มข้น และความอาฆาตทิฐิก็ค่อนข้างลึกล้ำ

แม้พรสวรรค์ในการฝึกตนของเจิงเย่จะธรรมดา อีกทั้งยังมีนิสัยทึ่มทื่อ แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มือเท้าคล่องแคล่ว ขยันทำงาน พอออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน ตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ เจิงเย่ก็ทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปไม่น้อย

แต่เฉินผิงอันไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย จึงไม่ต้องให้เจิงเย่มาคอยปรนนิบัติ ดังนั้นคนสองคนที่มองดูเหมือนอาจารย์กับศิษย์แต่ไม่ใช่อาจารย์กับศิษย์จึงเดินทางร่วมกันมาอย่างกลมเกลียว ผ่านด่านเข้ามาในแคว้นสือหาวคราวนี้จำเป็นต้องไปเยือนสถานที่มากถึงสี่สิบกว่าแห่ง เกี่ยวพันกับแปดมณฑลและอีกยี่สิบกว่าเมืองของแคว้นสือหาว จุดที่ทำให้เจิงเย่ค่อนข้างปวดหัวก็คือสถานที่ครึ่งหนึ่งนี้ตั้งอยู่แถบทิศเหนือของแคว้นสือหาว ซึ่งเวลานี้มีสงครามวุ่นวาย ไม่แน่ว่ายังต้องคบค้าสมาคมกับพวกคนเถื่อนต้าหลีทางเหนือด้วย เพียงแต่พอคิดได้ว่าท่านเฉินคือเทพเซียนคนหนึ่ง เจิงเย่ก็พอจะโล่งใจได้บ้าง เด็กหนุ่มยากจนถูกพาตัวไปอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนตั้งแต่เด็ก เติบโตกลายเป็นเด็กหนุ่มอยู่บนเกาะเหมาเยว่ เมื่อก่อนไม่เคยติดตามเหล่าผู้อาวุโสในสำนักออกเดินทางมาก่อน จึงไม่เคยลิ้มรสชาติของ ‘เซียนซือบนภูเขา’ จึงยังคงมีความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติต่อราชสำนักและกองทัพอยู่เสี้ยวหนึ่ง

มองดูเหมือนอ่อนด้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันมองว่าเป็นแบบนี้จึงจะถูก ไม่อย่างนั้นเมื่อเจอกับกองทัพม้าเหล็กแปลกหน้าที่เดินทางไกลมาจากทิศเหนือแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทหารม้าทั่วไปของพื้นที่ภาคกลางแจกันสมบัติทวีป แล้วเกิดปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมา อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างอย่างเจิงเย่เลย ขนาดเซียนดินโอสถทองของแคว้นสือหาวที่อยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่นก็ยังต้องมาชนตอกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจมีจุดจบเป็นกายดับมรรคาสลาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ได้จงใจเอ่ยเตือนเจิงเย่ หลักการมากมายที่มองดูเหมือนตื้นเขิน ถึงอย่างไรก็ควรต้องผ่านประสบการณ์ด้วยตัวเองถึงจะสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่า อย่างน้อยก็ควรเห็นกับตาและได้ยินกับหูตัวเอง

เจิงเย่เริ่มฝึกตนโดยใช้วิชาลับตระกูลเซียนที่ท่านเฉินถ่ายทอดให้มาเข้าฌานทำสมาธิ ใช้ความมานะบากบั่นมาชดเชยข้อด้อย ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชาติกำเนิดยากจนเท่าไหร่ก็ยิ่งทะนุถนอมและเห็นค่าโชควาสนาที่ได้มาไม่ง่ายนี้มากเท่านั้น

ตอนนี้สภาพจิตใจของเฉินผิงอันไม่เหมาะกับการฝึกตน เรื่องการฝึกกำลังก็ย่อมหยุดชะงักไม่เดินหน้า วิชาหมัด วิชากระบี่ รวมไปถึงการดึงดูดปราณวิญญาณ ล้วนเป็นเหมือนกันทั้งหมด

เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน ก้าวข้ามธรณีประตู เดินไปด้านนอกห้องโถงหลักของอารามหลิงกวาน เขาขมวดคิ้วน้อยๆ

มีประโยคเก่าแก่ในหมู่ชาวบ้านที่ค่อนข้างแพร่หลายบอกว่า คนเดียวไม่พักอยู่ในวัด สองคนไม่มองบ่อน้ำ

ชาวบ้านอาจจะไม่เข้าใจความลี้ลับของประโยคนี้เสมอไป แต่ผู้ฝึกตนกลับสัมผัสได้อย่างลึกล้ำ

เมื่อความคิดดีๆ ในห้องหัวใจของคนคนหนึ่งกระจัดกระจายเหมือนไม้ใหญ่โค่นวานรแตกฮือ ความคิดชั่วร้าย ความคิดสะเปะสะปะก็จะพากันกรูเข้ามา และในทางกลับกันก็เป็นเช่นนี้

สถานที่ที่เดิมทีมีควันธูปโชติช่วงอย่างวัดวาอารามก็ไม่ต่างกัน สถานที่ที่เดิมทีมีองค์เทพนั่งพิทักษ์ มีกฎมีเกณฑ์ให้ภูตผีหวาดเกรง หากไม่มีควันธูป ปราณวิญญาณกระจัดกระจายก็ยิ่งง่ายที่จะชักนำให้พวกภูตผีวิญญาณคอยลอบมองมาด้วยความละโมบ

ผลงานการประพันธ์ส่วนตัวของปัญญาชนหลายคนบันทึกเรื่องราวประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นในวัดร้างก็เพราะสาเหตุนี้

ระหว่างที่เดินทางอยู่ในแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันก็เคยเจอปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งในวัดร้างผุพังแห่งหนึ่ง

ครั้งนั้นมีพบ แล้วก็ต้องมีจากลา

เฉินผิงอันก้มหน้ากอบกุมมือทั้งสอง เป่าลมหายใจที่มีไอสีขาวใส่ลงกลางฝ่ามือเบาๆ ถูฝ่ามือเข้าด้วยกันหาความอบอุ่น คิดแล้วก็เดินไปปิดประตู หลีกเลี่ยงไม่ให้รบกวนการฝึกตนของเจิงเย่

เจิงเย่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับไม่มีความอดทนมุ่งมั่นในการฝึกตนมากนัก ง่ายที่จะวอกแวกเสียสมาธิ ถ้าการหล่อหลอมปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยงช่องโพรงลมปราณให้อบอุ่นคืนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นก็ถูกขัดจังหวะเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำซ้ำใหม่อีกครั้ง ครั้งสองครั้งย่อมไม่เป็นไร แต่หากหลายครั้งเข้าแล้วก่อตัวกลายมาเป็นทิศทางการโคจรของเส้นทางในหัวใจโดยที่เจิงเย่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ นิสัยใจคอของคน ความละโมบโลภมาก ฯลฯ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ มองดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน แต่ในความเป็นจริงแล้วคนข้างกายกลับมองเบาะแสออกมาตั้งแต่แรกแล้ว

ดังนั้นก่อนหน้าที่เจิงเย่จะเริ่มฝึกตน เฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจ ให้การดูแลเด็กหนุ่มมากหน่อย

แม้จะไม่ใช่อาจารย์ แต่ก็คล้ายกับผู้ปกป้องมรรคาคนหนึ่ง

คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หลุดหัวเราะพรืด

อารมณ์ของเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่หนักอึ้ง กลับกันยังผ่อนคลายได้หลายส่วน คงเป็นเพราะนึกถึงเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดีในอดีต เป็นเหตุให้หัวคิ้วคลายออกโดยไม่ทันรู้ตัว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ออกมาเถอะ ข้ารู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเจ้า แม้ว่าสาเหตุเพราะควันธูปในอารามกวานหลิงเบาบางจึงเป็นเหตุให้หนึ่งในร่างจำแลงของกายธรรมร่างทองซ่อนตัวเงียบหายไปนานหลายปีแล้ว และความศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่เพียงเสี้ยวเดียวขององค์เทพหลิงกวานก็ไม่มากพอจะให้มันปรากฎตัวมาปกป้องโชคชะตาของพื้นที่แถบนี้ได้ แต่พวกเจ้าสองฝ่ายไร้ความแค้นไร้อาฆาต น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ถึงอย่างไรก็คงดีกว่ากลายมาเป็นศัตรูคู่แค้นกันโดยไม่จำเป็นกระมัง? หากเจอเข้ากับองค์เทพหลิงกวานบางท่านที่อารมณ์ร้าย ยอมเผาผลาญความศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ ยอมให้ร่างทองแหลกสลาย ก็ยังสังหารพวกเจ้าได้อยู่ดี พวกเจ้าสามารถกินเศษซากควันธูปที่เหลืออยู่นอกตำหนักใหญ่ได้ เชื่อว่าองค์เทพหลิงกวานท่านนี้คงไม่โกรธ หยินหยางมีความต่าง คนธรรมดามักจะชอบหยางไม่ชอบหยิน ทว่าหลิงกวานของลัทธิเต๋าอาจไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป พวกเจ้าตายไปแล้วแต่ดวงจิตยังคงอยู่ เดิมทีนี่ก็เกิดจากเจตนารมณ์สวรรค์และโชควาสนา ดังนั้นพวกเจ้าสามารถวนเวียนอยู่นอกตำหนักใหญ่เพื่อรักษาสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งของตนเอาไว้ได้ แต่อย่าเข้าไปข้างในเด็ดขาด”

เฉินผิงอันอธิบายละเอียดอย่างอดทน เพราะภูตผีวัตถุหยินจำนวนมากที่ตายไปยังคงมีความดุร้าย ความเคียดแค้นหรือไม่ก็ทิฐิที่ยังรวมตัวกันไม่จางหาย สติไม่แจ่มชัด การรับรู้ที่มีต่อโลกใบนี้จึงไม่มากเท่าตอนที่มีชีวิตอยู่ เกรงว่ายังเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างอย่างเจิงเย่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ในสายตาของเฉินผิงอัน บริเวณประตูหลังของตำหนักหน้ามีวัตถุหยินหลายตนซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ลมหยินพัดโชยเป็นระลอก แต่ไม่ได้เข้มข้นมากนัก ตอนนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บที่สุด ชาวบ้านที่มีพลังหยางมากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพวกชายฉกรรจ์ หากมายืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายอึมครึมที่วัตถุหยินแผ่ออกมา แต่หากเป็นคนที่มีพลังหยางอ่อนแอก็ง่ายที่จะเรียกหายนะมาสู่ตัว ไม่แน่ว่าอาจโดนพลังหยินแทรกซอนเข้ามาในร่างกาย ง่ายที่จะถูกลมหนาวแล้วเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ยาบำรุงของหมอพื้นบ้านก็อาจจะใช้ไม่ผล เพราะรักษาปลายเหตุไม่ได้รักษาต้นเหตุ คนป่วยได้รับบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ กลับกลายเป็นว่าวิชาเรียกขวัญที่เป็นอุบายทำให้จิตใจคนสงบของพวกหมอผีพื้นบ้านเสียอีกที่อาจจะใช้ได้ผล

ไม่รู้ว่ากริ่งเกรงเฉินผิงอันหรือเข้าใจเหตุผล วัตถุหยินเหลานั้นจึงค่อยๆ พากันถอยไป ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในตำหนักหลักอารามกวานหลิง

ในเมื่อพวกมันยอมหยุด เฉินผิงอันจึงไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก

สถานที่แห่งแรกที่พวกเขาต้องไปเยือนในครั้งนี้ก็คือตระกูลเซียนบนภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่งของแคว้นสือหาว วัตถุหยินที่เป็นสตรีจึงเผยกายบนโลก มาท่องอยู่ในโลกคนเป็น และเฉินผิงอันก็มักจะถามความเห็นของพวกนางว่าจะสิงร่างเจิงเย่หรือไม่ แต่หากรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจก็สามารถไปพักพิงอยู่ในยันต์หญิงงามหนังจิ้งจอกที่เฉินผิงอันได้มาจากสกุลสวี่นครลมเย็นได้ชั่วคราว อยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงสาวแผ่นยันต์ที่งดงาม ตอนกลางวันจะต้องถูกเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อหรือไม่ก็ชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ส่วนตอนกลางคืนนั้นสามารถเผยกายได้ พวกนางสามารถติดตามเฉินผิงอันและเจิงเย่ออกท่องเที่ยวในยามค่ำคืน

กระดาษยันต์หญิงงามหนังจิ้งจอกสิบสองแผ่นก็เหมือนโรงเตี๊ยม ตอนนี้ล้วนมีคนมาพักค้างแรม อีกทั้งล้วนเป็นคนของแคว้นสือหาว ดังนั้นพอถึงยามค่ำคืน รอบด้านไร้ผู้คน เฉินผิงอันจึงจะนำกระดาษยันต์ที่พวกนางพักพิงอยู่ออกมา แต่เฉินผิงอันก็จำเป็นต้องเผาผลาญเงินเกล็ดหิมะส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นกระดาษยันต์จะปิดประตู ทำให้พวกนางไม่สามารถย้อนกลับมายังโลกมนุษย์ ไม่อาจเห็นทัศนียภาพหลังหิมะตกที่งดงามชวนประทับใจโดยที่ร่างวัตถุหยินของพวกนางไม่ต้องเหน็บหนาวได้อีก

หากเป็นค่ำคืนในยามปกติ รอบกายของเฉินผิงอันกับเจิงเย่จะต้องมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว เสียงหัวร่อต่อกระซิก ครึกครื้นอย่างมาก ในยันต์ทั้งสิบสองแผ่น ต่อให้เป็นวัตถุหยินที่เดิมทีไม่ชอบพูดคุยกับใคร แต่ตลอดทางที่อยู่ร่วมกันมานี้ ข้างกายก็พอจะมีผีสาวที่สนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่คนสองคน พวกนางจึงจับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องของสตรี ส่วนเรื่องของมหามรรคาและการฝึกตนกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว เพราะพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะทำให้เสียใจเท่านั้น

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดคืนนี้พวกนางถึงถูกเฉินผิงอันเชิญกลับเข้าไปในยันต์ไม่ให้ปรากฏตัว ก็เพราะเขาต้องค้างคืนอยู่ในอารามกวานหลิง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไม่อาจละเมิดกฎเกณฑ์ของศาลแห่งนี้ได้ มีวัตถุหยินบางตนที่ใจกล้าหน่อยยังเอ่ยสัพยอกและบ่นเฉินผิงอัน บอกว่ากฎเกณฑ์พวกนี้ให้ชาวบ้านปฏิบัติตามก็แล้วไปเถอะ ท่านเฉินเป็นถึงเทพเซียนผู้ถวายงานบนเกาะชิงเสีย ไหนเลยจะต้องสนใจ ก็แค่องค์เทพหลิงกวานองค์เล็กๆ หากกล้าเดินออกมาจากเทวรูปจริงๆ ท่านเฉินก็เล่นงานให้ย้อนกลับเข้าไปในรูปปั้นเสียสิ เพียงแต่เฉินผิงอันยืนกราน พวกนางจึงได้แต่กลับเข้าไปในยันต์หนังจิ้งจอกที่สกุลสวี่ตั้งใจสร้างขึ้นอย่างว่าง่าย

เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่กลางระเบียง ห้องโถงหลักด้านหลังตั้งบูชาองค์เทพหลิงกวานใบหน้าเป็นสีแดง หนวดเครายาวเฟิ้ม สวมชุดคลุมสีเหลือง ห่มเกราะสีทอง ในมือถือแส้เหล็ก ยืนอยู่ในท่าไก่ทองขาเดียว (ท่ายืนขาเดียว อีกขาหนึ่งยกงอตั้งฉาก) เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี

เล่าลือกันว่าคือหนึ่งในหลิงกวานดั้งเดิมจำนวนสองร้อยกว่าองค์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลัทธิเต๋า

และยิ่งมีข่าวลือที่ลึกลับยิ่งกว่านั้น ซึ่งเพิ่งจะมาแพร่หลายในใต้หล้าไพศาลช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนและเซียนดินอย่างหลิวจื้อเม่าเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติได้ยินเรื่องนี้

นั่นก็คือเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่มีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ว่าผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมที่แท้จริง หนึ่งในเจ้าลัทธิสามท่านของลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิงของรุ่นก่อน ได้เสนอให้มีรายชื่อเทพหลิงกวานลัทธิเต๋าห้าร้อยองค์ ทุกคนที่อยู่ในสามใต้หล้า ต่อให้เป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ หรือแม้แต่คนที่เดิมทีไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิเต๋า ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของอีกสองลัทธิหรือเมธีร้อยสำนักก็ล้วนมีโอกาส หากสะสมผลบุญและโชควาสนาได้มากพอก็สามารถได้รับตำแหน่ง สุดท้ายได้ถูกนำมาตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลิงกวาน ดื่มด่ำควันธูปอย่างไร้ขีดจำกัดอยู่ในหนึ่งในห้านครใหญ่ของป๋ายอวี้จิง

ถ้าเช่นนั้นหากตัดองค์เทพหลิงกวานที่ ‘อยู่ในลำดับเซียน’ สองร้อยกว่าองค์ทิ้งไป นี่ก็หมายความว่ายังมีตำแหน่งเทพว่างอีกถึงครึ่งหนึ่ง โชคชะตาสวรรค์กำหนด เหลือตำแหน่งว่างไว้รอคอย

เฉินผิงอันเดินลงจากขั้นบันได ปั้นหิมะเป็นก้อนกลม มือทั้งสองบีบกระชับลูกหิมะในมือให้แน่น เขาไม่ได้เดินไปที่ตำหนักหน้า เพียงแค่เดินสาวเท้าวนเวียนไปมาอยู่ในลานระหว่างตำหนักทั้งสอง

นี่คงจะเป็นความหมายประมาณว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองกระมัง

เฉินผิงอันคิดถึงเรื่องในใจบางอย่าง

ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป ทวีปทั้งสามที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดมีสมบัติสำคัญเผยกายบนโลก เหล่าผู้กล้าพากันไปช่วงชิง ตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสกระจัดกระจายไปสี่ทิศ โชควาสนาใหญ่ครั้งนี้ เล่าลือกันว่าชักนำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหลายคนในแจกันสมบัติทวีปกรูกันมาแย่งชิง

จากนั้นก็มีข่าวลือเกี่ยวกับตำแหน่งเทพหลิงกวานห้าร้อยองค์นี่อีก

นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าที่แท้จริง

หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์วุ่นวายในใบถงทวีปที่เฉินผิงอันประสบพบเจอมากับตัว และก็ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย โชคดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ถูก ‘นักพรตหนุ่ม’ ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งของศาลบรรพจารย์ให้เล่นงานเสียจนอ่วม

จงขุยก็ยิ่งต้องกลายเป็นผี สูญเสียสถานะวิญญูชนของสำนักศึกษาด้วยสาเหตุนี้

บนมหามรรคาเต็มไปด้วยอันตรายใหญ่หลวง แต่ก็ลี้ลับเกินจะหยั่ง นี่ก็เพราะอันตรายและโอกาสล้วนดำรงอยู่คู่กัน จะจับปลาในน้ำขุ่นจนได้ผลประโยชน์ ถึงขั้นได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยภายในค่ำคืนเดียว เหนือกว่าการเก็บหอมรอมริบสะสมมานานเป็นร้อยปี หรือมหามรรคาจะเกิดความเสียหาย ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังต้องดูว่าความสามารถของผู้ฝึกตนสูงหรือไม่ เมื่อสถานการณ์ใหญ่ม้วนหอบเข้ามา จงขุยแห่งภูเขาไท่ผิงเป็นเช่นนี้ ตู้เม่าแห่งใบถงทวีปก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่าดีหรือเลว

เรื่องเหล่านี้รู้แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ แต่เมื่อเทียบกับการถูกปิดหูปิดตาตั้งแต่ต้นจนจบ การที่พอจะรู้เส้นสายในเรื่องราวบ้างก็ย่อมดีกว่า

เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ต้องผ่านมณฑลและเมืองทั้งเหนือและใต้ของแคว้นสือหาว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทำความเข้าใจราชสำนัก ยุทธภพและขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้านของแคว้นสือหาวมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเกาะชิงเสีย

แคว้นสือหาวเลื่อมใสในลัทธิเต๋า ยกย่องเจินเหรินเซียนอิสระของลัทธิเต๋าท่านหนึ่งเป็นราชครู คำว่าเซียนอิสระนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นนักพรตเต๋านอกเหนือจากสี่สายใหญ่ของลัทธิเต๋า ซึ่งสามสายที่อยู่ใต้บัญชาการณ์ของมรรคาจารย์เต๋า รูปแบบชุดเต๋าที่สวมใส่ก็แตกต่างกันออกไป แต่กวานเต๋าที่สวมไว้บนศีรษะสามารถแยกได้ง่ายที่สุด เพราะแบ่งเป็นกวานพุดตาน กวานหางปลาและกวานดอกบัว ระดับขั้นของนักพรตเต๋าในลัทธิสูงหรือต่ำ กวานเต๋าก็มีรายละเอียดที่ต้องพิถีพิถันอยู่มากเช่นกัน นอกจากนี้ก็คือสายของภูเขามังกรพยัคฆ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ที่ถือเป็นกองกำลังลัทธิเต๋าท้องถิ่นของใต้หล้าไพศาล

ว่ากันว่าสิ่งที่ทำให้การกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กคนเถื่อนต้าหลีจากทางเหนือต้องหยุดชะงัก ก็เพราะเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นคอยเรียกลมเรียกฝน โปรยเมล็ดถั่วเป็นทหารอยู่เบื้องหน้า ปกป้องให้เมืองหลวงไม่ถูกตีแตก คุณความชอบใหญ่หลวงยิ่ง

นอกจากข่าวบนหน้ากระดาษรายงานตระกูลเซียนที่มาจากเกาะปุยหลิวเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันยังตั้งใจจัดงานเลี้ยงสุราที่นครน้ำบ่อ หาโอกาสเหมาะๆ เชิญพี่น้องสองคนของกู้ช่านมา ซึ่งก็คือหันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาวที่หนีภัยพิบัติมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี รวมไปถึงหวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ชายแดนแคว้นสือหาว

เฉินผิงอันถามหลายอย่าง แต่พูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไม่ลึกซึ้งนัก วางตัวอย่างมีมารยาทเกรงอกเกรงใจ

แม้ว่าหันจิ้งหลิงจะเป็นองค์ชายแคว้นสือหาว เป็นหนึ่งในทายาทสายตรงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน คือเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ตัวจริงเสียงจริง ออกจากเมืองหลวงมาอยู่พื้นที่ศักดินาหลายปี แต่ยังไม่เคยทำสงครามก็หาข้ออ้างออกจากเขตการปกครองของตน เดินทางลงใต้หนีภัยพิบัติมาอย่างรวดเร็ว นิสัยของเขาจะเป็นเช่นไรคงคาดเดาได้ไม่ยาก แต่เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีเดินทางลงใต้ ทุกที่ที่ผ่าน แถบทางเหนือของแคว้นสือหาวที่พยศดื้อดึงล้วนถูกพังราบเป็นหน้ากลอง ไม่เหลือพืชหญ้าสักต้น ไฟสงครามลามปะทุดุเดือด กลับกลายเป็นว่าเขตการปกครองของหันจิ้งหลิงที่เนื่องจากเป็นฝูงมังกรไร้หัว ถึงได้รอดผ่านหายนะครั้งนี้มาได้ ไม่ถูกกองทัพเหยียบย่ำ ในเขตการปกครองนั้น หันจิ้งหลิงจึงได้รับชื่อเสียงดีงามว่า ‘ท่านอ๋องผู้มีคุณธรรม’ มาอย่างน่าประหลาดใจ แต่เฉินผิงอันก็รู้ดีว่า นี่มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นแผนการที่เหล่ากุนซือผู้ประคับประคองมังกรข้างกายหันจิ้งหลิงช่วยวางแผนให้

เมื่อหันจิ้งหลิงเผชิญหน้ากับนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ แน่นอนว่าต้องพูดทุกอย่างที่รู้ เขาแทบจะควักหัวใจ ควักตับไตออกมาให้ท่านเฉินที่สร้างชื่อกระฉ่อนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนหลายต่อหลายครั้งดูด้วยซ้ำ ส่วนหวงเฮ้อทายาทแม่ทัพใหญ่แคว้นสือหาว ก่อนหน้านี้ได้ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปพบบิดาที่สวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ร่วมกันวางแผนสนับสนุนให้หันจิ้งหลิงขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาว ว่ากันว่าเขาเคยได้พบหน้าซูเกาซานมาแล้วด้วย ดังนั้นการเดินทางกลับนครน้ำบ่อแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ก็เพื่อนำข่าวดีมาบอกกล่าวแก่หันจิ้งหลิง

เฉินผิงอันไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้อง แน่นอนว่าทั้งหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อเองก็ไม่มีความกล้านี้เช่นกัน ทว่านิสัยของคนทั้งสองมีความต่างกันอยู่เล็กน้อย ฝ่ายแรกเป็นเพราะตกอับ ความทะเยอทะยานจึงไม่มาก ส่วนในข้อที่ว่าหากเขาได้กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาวได้สำเร็จ จะมีชีวิตอย่างไร จะเสียใจภายหลังที่ตอนนั้นเคยทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในงานเลี้ยงสุรานครน้ำบ่อหรือไม่ หันจิ้งหลิงน่าจะยังไม่คิดไปถึงก้าวนั้น เฉินผิงอันเองก็ไม่สนใจ ส่วนฝ่ายหลังยามที่เผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน ภายใต้สีหน้าที่มองดูเหมือนนอบน้อมถ่อมตนยิ่งกว่าหันจิ้งหลิง หวงเฮ้อกลับซุกซ่อนความคิดที่เหมือนกับสายธนูซึ่งค่อยๆ ถูกขึงจนตึงแน่นเอาไว้ เพราะแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานคือภูเขาลูกใหญ่ตระหง่านง้ำที่เป็นดั่งยาสงบใจเม็ดใหญ่สำหรับสกุลหวงกองทัพชายแดน วันใดที่พึ่งพาภูเขาลูกใหญ่นี้ได้จริงๆ ก็อย่าว่าแต่มารน้อยกู้ช่านที่ไม่เหลือความพยศอยู่อีกเลย ต่อให้เป็นเฉินผิงอัน เกรงว่าในอนาคตหากต้องมาเจอกันอีกครั้งก็ต้องปฏิบัติต่อเขาหวงเฮ้ออย่างมีมารยาท

ความกระเหี้ยนกระหือรือที่เล็กน้อยและละเอียดอ่อนเช่นนี้ในจิตใจคน เฉินผิงอันเพียงแค่มองดูอยู่เงียบๆ

ส่วนรายงานของเกาะปุยหลิวที่บอกว่า ฮ่องเต้แคว้นสือหาวออกพระราชโองการ ป่าวประกาศแก่คนในราชสำนัก โดยมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘กำเริบเสิบสานไม่สมกับเป็นขุนนาง ใช้อำนาจทางการทหารทำร้ายประชาชน’ ซึ่งเป็นการให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่บิดาของหวงเฮ้อผู้ที่เคยได้รับการแต่งตั้งว่าเป็น ‘โหวผู้จงรักภักดี’ จากฮ่องเต้องค์ก่อนนั้น

หวงเฮ้อที่เพียงแต่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเฉินผิงอันกับหันจิ้งหลิงโดยที่แทบไม่เอ่ยอะไร ก็มีเพียงตอนที่พูดถึงเรื่องนี้เท่านั้นที่แสดงความลับบางส่วนออกมาทางสีหน้า เขาแย้มยิ้มพูดว่าหลังจากบิดาได้ฟังพระราชโองการฉบับนี้แล้วก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย กล่าวเพียงว่า ‘ลนลานไปมีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้าย’

ตอนนั้นเฉินผิงอันมองใบหน้าของคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมพลางยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเพียงลำพัง หันจิ้งหลิงที่เห็นว่าเขาดื่มก็รีบเรียกให้หวงเฮ้อยกจอกเหล้าขึ้นดื่มพร้อมกัน

มีความหมายคล้ายเป็นการเฉลิมฉลองร่วมกัน

นี่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

งานเลี้ยงบนโต๊ะสุราเช่นนี้ ต้องใช้ความรู้ที่มีจนหมด มารดามันเถอะ ต่อให้เป็นสุราเลิศรสแค่ไหนก็ไม่เหลือความอร่อยอยู่ดี

หลังจากงานเลี้ยงที่มองดูเหมือนทั้งเจ้าภาพและแขกต่างก็เบิกบานใจ พูดคุยกันอย่างถูกคอนั้นจบลง เฉินผิงอันก็ย้อนกลับไปที่เกาะชิงเสียเพียงลำพัง สำหรับซูเกาซานที่เป็นแม่ทัพบู๊ต้าหลีนั้น เฉินผิงอันต้องมองเขาสูงขึ้นอีกครั้งต่อจากคราวก่อนที่เขาสามารถทำให้ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากไม่รู้ว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลัง

เฉินผิงอันพลันคืนสติ

ที่แท้ตรงตำหนักหน้าก็มีวัตถุหยินร่างสูงใหญ่สวมเกราะตนหนึ่งปรากฏตัว ตอนที่มีชีวิตอยู่อาจจะเคยรับตำแหน่งขุนนางเสี้ยวเว่ย (ชื่อตำแหน่งทางการทหาร) ในสนามรบ

วัตถุหยินตนนี้เดินออกมาจากตำหนักหน้า เท้าซ้ายก้าวข้ามผ่านธรณีประตูมาแล้วกุมหมัดเอ่ยว่า “เซียนซือท่านนี้ ก่อนหน้านี้พวกข้าและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการล่วงเกินจนเกือบจะรบกวนองค์เทพหลิงกวานในตำหนักหลัก เพราะได้เซียนซือช่วยเอ่ยเตือน จึงช่วยลดความยุ่งยากให้ข้าไปไม่น้อย”

กล่าวมาถึงตรงนี้ วัตถุหยินเสี้ยวเว่ยที่มีใบหน้าขาวเผือดก็ยิ้มอย่างซีดเซียว เอามือสองข้างวางลงบนด้ามดาบยาวที่ห้อยไว้ตรงเอวด้วยความเคยชิน

เสื้อเกราะก็ดี ดาบประจำกายก็ช่าง ล้วนเหมือนกับร่างของวัตถุหยินตนนี้ที่ต่างก็เป็นภาพจำแลงมาจากความยึดมั่นถือมั่นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

มองชาวบู๊แคว้นสือหาวที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลท่านนั้น โดยเฉพาะตรงหน้าอกและลำคอที่ถูกฟันจนเกิดรอยแผลฉกรรจ์ แม้เฉินผิงอันจะไม่เคยผ่านประสบการณ์การเข่นฆ่าในสนามรบที่สองกองทัพต้องประจัญบานกันอย่างแท้จริงมาก่อน แต่กลับรู้ว่าคนผู้นี้ที่รบตายในสนามรบ คู่ควรกับสี่คำว่าห้าวหาญองอาจแล้ว

วัตถุหยินหันกลับไปมองตำหนักหน้าแวบหนึ่ง แล้วจึงหันหน้ามาเอ่ยต่อว่า “เซียนซือคือคนบนภูเขา น่าจะเข้าใจดีว่าภูตผีที่ฟ้าดินรังเกียจอย่างพวกเรา ยิ่งตายไปแล้วก็ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นต่อการมีชีวิตอยู่รุนแรงยิ่งกว่าคนเป็น ขอแค่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็พร้อมทำทุกวิถีทาง ดังนั้นหลังจากรบตายไป จิตหยินของข้ากับทหารผู้ใต้บังคับบัญชาจึงยังไม่สลายหายไปไหน กลางวันหยุดพักกลางคืนปรากฏกาย ออกเดินทางมุ่งหน้ามาทางใต้ จนกระทั่งมาถึงที่นี่ มีพี่น้องบางคนเริ่มทนไม่ไหว จิตวิญญาณจึงแหลกสลายไปกลางทาง บางคนก็ไปถึงบ้านเกิด ได้พบหน้าพ่อแม่ลูกเมียแล้วก็เลือกที่จะอยู่ในศาล หรือไม่ก็ในสุสานบรรพบุรุษ ถือว่าจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว แต่ก็มีพี่น้องอีกหลายคนที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งธาตุมารเข้าแทรก ขอแค่ยามค่ำคืนได้พบกับคนเป็นก็คิดแต่จะกลืนกินพลังหยางของพวกเขา หรือไม่เมื่อเดินทางผ่านสถานที่อย่างอารามหลิงกวานในท้องถิ่นที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เฝ้าพิทักษ์ก็ไม่สนใจสิ่งใด คิดแต่จะกินให้อิ่มสักมื้อ ยิ่งควบคุมตัวเองได้ยากมากขึ้นทุกที…”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ก่อนถามว่า “ไม่ทราบว่าหากในกลุ่มเพื่อนร่วมงานของท่านมีคนคิดทำเช่นนี้ ยกตัวอย่างทำร้ายชาวบ้านกลางทาง ท่านแม่ทัพจะห้ามปรามหรือไม่ แล้วท่านมีวิธีจัดการตัวเองอย่างไร?”

นี่เป็นคำถามที่ทำลายบรรยากาศอย่างยิ่ง

แม่ทัพบู๊วัตถุหยินผลักดาบออกจากฝักเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่กลับไร้ซึ่งความลังเล “นี่ก็ต้องถามดาบของข้าว่าจะยินยอมหรือไม่! ตอนมีชีวิตอยู่พวกเราคือชาวบู๊ที่พิทักษ์ปกป้องบ้านเมือง ในเมื่อรบตายไปแล้ว ก็ถือว่าได้ตอบแทนชาติบ้านเมืองเต็มที่แล้ว แต่หากจะบอกว่าตายไปแล้วต้องไปทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ก็ต้องผ่านด่านของข้าไปให้ได้ก่อน”

วัตถุหยินแม่ทัพบู๊สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วแสยะยิ้ม “พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าเซียนซือจะหัวเราะเยาะ ตลอดทางที่เดินทางลงใต้มานี้ พี่น้องแต่ละคนทยอยกันแยกย้ายจากไป จากทหารหยินหกร้อยกว่านายในสายตาชาวบ้านอย่างพวกเรา ตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบตน พวกเราไม่เพียงแต่ไม่เคยทำร้ายชาวบ้านในโลกมนุษย์แม้แต่คนเดียว กลับกันยังช่วยกำราบพวกผีและวิญญาณเร่ร่อนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยลมปราณชั่วร้ายตามสถานที่อย่างสุสานไร้ญาติด้วย เสียดายก็แค่ตอนนั้นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของพวกเราแต่ละคนหนีกันไปได้เร็วนัก ข้ายังไม่ทันได้ถามก็ตายไปเสียก่อน ไม่รู้ว่าการกระทำที่ช่วยกำจัดภัยผดุงคุณธรรมให้ชาวบ้านของพวกเรานี้ จะช่วยสั่งสมบุญในปรโลกให้แก่เหล่าพี่น้อง ให้ชาติหน้าพวกเขาไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะอีกฝ่ายก่อน จากนั้นจึงลดมือลง พูดด้วยเสียงทุ้มหนักแน่นอย่างไม่เหลือพื้นที่ให้สงสัย “ฟ้าดินไร้ความเห็นแก่ตัว แต่ศีลธรรมระหว่างผู้คนนั้นเชื่อมโยงถึงกัน เชื่อว่าท่านแม่ทัพและสหายร่วมรบล้วนต้องได้รับการปกป้องจากผลบุญในปรโลก ทั้งสามารถปกป้องตัวเอง แล้วก็สร้างบุญกุศลให้แก่ลูกหลานในตระกูลได้ด้วย!”

พอแม่ทัพบู๊ได้ยินถ้อยคำน่าเชื่อถือที่เซียนซือกล่าวจากปากตัวเอง นักสู้กระดูกเหล็กในสนามรบอย่างเขากลับถึงขั้นหลั่งน้ำตา หันหน้าไปด้านหลัง “ได้ยินหรือยัง ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า!”

ทางประตูหลังของตำหนักหน้า เหล่าทหารพากันปรากฏกาย แต่ละคนกุมหมัดคารวะ ไม่รู้ว่าขอบคุณแม่ทัพบู๊ที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หรือซาบซึ้งใจในถ้อยคำที่เป็นดั่ง ‘คำสรุปตอกปิดฝาโลง’ ที่คนหนุ่มชุดผ้าฝ้ายสีเขียวมอบให้กันแน่

ในช่วงเวลาที่ฟ้าดินเหน็บหนาวถึงขีดสุด ช่วงเวลาที่แผ่นดินกำลังจะล่มสลาย การปรากฎตัวของพวกเขาก่อให้เกิดเสียงเกราะเหล็กกระทบดังกังวาน

ท่ามกลางม่านราตรีมืดมน เฉินผิงอันหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจดชื่อแซ่ ภูมิลำเนาของวัตถุหยินทั้งหกร้อยตนซึ่งรวมถึงแม่ทัพบู๊จนครบทุกคน บอกว่าวันหน้าหากสหายจะจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาครั้งใหญ่ของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าขึ้น เขาจะลองดูว่าจะช่วยนำชื่อของพวกเขาเข้าร่วมพิธีกรรมด้วยได้หรือไม่ ระหว่างนี้เจิงเย่ที่ฝึกตนเสร็จสิ้นแล้วก็เปิดประตูใหญ่ของตำหนักหลักออกมา ช่วยเหลือเฉินผิงอันและทหารหยินสิบกว่าตนนั้นได้ไม่น้อย แน่นอนว่าเฉินผิงอันพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างคล่องปาก และถึงแม้ภาษาทางการของราชวงศ์จูอิ๋งที่ผู้ฝึกตนและชาวบ้านในแถบของทะเลสาบซูเจี่ยนใช้กันจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เมื่อเจอเข้ากับสำเนียงในแต่ละพื้นที่ของแคว้นสือหาวจากปากของแม่ทัพบู๊และเหล่าทหารแล้ว เขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างมาก ยังดีที่เจิงเย่สามารถเป็น ‘ตัวเชื่อมสะพาน’ ให้ได้พอดี

ยุ่งวุ่นวายกันจนเกือบจะได้เวลาไก่ขัน เฉินผิงอันถึงจดบันทึกชื่อของทหารทั้งหมดมาได้อย่างไม่ง่ายดายนัก

สำหรับวัตถุหยินแล้ว เมื่อไก่ส่งเสียงขันก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงเสมอไป เพราะภูตผีบางตนที่มีปราณหยินแข็งแกร่ง ขอแค่ไม่ถูกแสงแดดช่วงเที่ยงวันสาดส่อง การเดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นตอนกลางวันก็ยังราบรื่นได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าไก่ขันวัตถุหยินหยุดพัก นี่แทบจะเป็นสัญชาตญาณที่คล้ายคลึงกับคนเป็นลุกขึ้นมาใช้ชีวิตเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น

หลังจากเฉินผิงอันเก็บกระดาษและพู่กัน แม่ทัพบู๊แคว้นสือหาวก็เอ่ยขึ้นว่าใกล้จะต้องจากลากันแล้ว เขาอยากออกไปเดินเล่นนอกอารามหลิงกวานพร้อมกับเฉินเซียนซือเสียหน่อย เฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ

คนทั้งสองเดินผ่านตำหนักด้านหน้า หลังจากข้ามผ่านธรณีประตูออกมาแล้ว วัตถุหยินแม่ทัพบู๊ก็หัวเราะเบาๆ “เฉินเซียนซือคงเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลต่างถิ่นกระมัง? ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นฟังภาษาทางการของพวกเราลำบากขนาดนี้?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ามาจากทางเหนือ”

แม่ทัพบู๊ลูบลำคอตัวเองตามจิตใต้สำนึก ยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้มาจากต้าหลีก็ไม่เป็นไร จำต้องยอมรับว่า กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีนั้น…ร้ายกาจจริงๆ บนสนามรบ ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพเข้ามาในสนามรบเลย หนึ่งเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น สองเพราะไม่กล้าพาตัวไปตาย และเมื่อเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมา สถานการณ์ในสมรภูมิที่เดิมทีกองกำลังทหารสองฝ่ายแทบจะเท่าเทียมกันจะเอนเอียงไปข้างหนึ่งทันที สาเหตุยังคงเป็นเพราะกองทหารม้าของต้าหลีกองนั้นลงจากหลังม้ามาต่อสู้กับพวกเรา กลศึกที่ใช้ในสนามรบก็มีพลังน่าเกรงขาม ทหารของแคว้นสือหาวพวกเราเทียบคนอื่นเขาไม่ได้ แพ้อย่างน่าอัดอั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้ากับเหล่าพี่น้องก็คงไม่ถึงขั้นตายตาไม่หลับหรอก แต่จะว่าไปแล้วก็ยังรู้สึกนับถือพวกเขาอยู่หลายส่วน”

เฉินผิงอันอืมตอบรับหนึ่งที

แม่ทัพบู๊หยุดเดิน “ข้าคงไม่ถามอะไรให้มากความ แต่ข้าเองก็ไม่โง่ รู้ดีว่าแท้จริงแล้วเฉินเซียนซือก็คือคนที่จะจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาของสองลัทธินั่นขึ้น เพราะฉะนั้น…”

แม่ทัพบู๊ขยับเสื้อเกราะเบาๆ ปล่อยมือที่กุมด้ามดาบออก เตรียมจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พระคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ควรต้องแสดงการขอบคุณเทพเซียนบนภูเขาท่านนี้แทนเหล่าพี่น้อง

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยื่นสองมือมาจับประคองเขาไว้ ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาคุกเข่าลงไป

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่อาจรับพิธีการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้”

แม่ทัพบู๊จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดอย่างจนใจ เอ่ยหยอกล้อว่า “เฉินเซียนซือเกรงใจกันขนาดนี้ หรือคิดจะให้ข้าตายอย่างละอายใจอีกรอบ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “มิกล้าๆ”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไปไกล ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาแล้ว ม่านราตรีค่อยๆ จางลง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงแม่ทัพเว่ยเก่งกว่าข้ามากนัก เพราะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าควรจะทำเรื่องที่ถูกต้องอย่างไร นี่ต่างหากจึงจะดีต่อสหายร่วมสมรภูมิรบอย่างแท้จริง ข้าทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไวเช่นแม่ทัพเว่ย ไม่พูดถึงตัวเองที่ต้องเหนื่อยยาก ยังลำบากให้ทุกคนต้องเดือดร้อนตามไปด้วย”

แม่ทัพบู๊เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหตุใดจึงไม่พูดถึงตัวเองที่ต้องเหนื่อยยาก? ตัวเองไม่มีความสุขแล้วยังไม่ยอมให้พูดอีกงั้นหรือ? แล้วจะเอา ‘ลำบากให้ทุกคนต้องเดือดร้อนตามไปด้วย’ มาจากไหน? เฉินเซียนซือ แม้ข้าจะเป็นคนนอก แต่ตลอดทางที่เดินทางมานี้ ทั้งขมขื่นและหวานชื่นข้าล้วนผ่านมาหมดแล้ว นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะยามที่ต้องชักดาบเข้าห้ำหั่นสหายร่วมสมรภูมิ โทษทัณฑ์นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าตัวเองถูกดาบของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีฟาดฟันเสียอีก เวลาที่ทุกข์ทรมานจนคิดว่าผ่านไปไม่ได้ ข้าก็จะเรียกพี่น้องที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสองสามคนมา แล้วซ้อมพวกเขาเป็นการส่วนตัวไปรอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้าก็คงถูกบีบให้ต้องเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว คาดว่าพวกพี่น้องยังไม่ทันสูญเสียจิตวิญญาณกลายเป็นผีร้าย ข้าก็คงกลายเป็นผีอาฆาตที่สร้างหายนะไปทั่วเสียก่อน ดังนั้นเฉินเซียนซือไม่ควรคิดเช่นนี้”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียด จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “ขอบคุณมาก พอได้ยินแม่ทัพเว่ยพูดเช่นนี้ ในใจข้าก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยหัวเราะร่า “ข้าไม่ใช่แม่ทัพอะไรทั้งนั้น เป็นแค่ชาวยุทธที่มีตำแหน่งขุนนางระดับหกติดตัว อันที่จริงยังเป็นแค่ขุนนางคุณูปการ (ชื่อเรียกขุนนางที่มีคุณความชอบด้วยความยกย่อง แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่แท้จริง) ด้วย เพียงแต่ว่าแม่ทัพที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงนั้น ส่วนที่หนีก็หนีไป ส่วนที่หลบเลี่ยงสงครามก็หลบเลี่ยงไป ข้าถึงต้องเป็นผู้นำของพี่น้องมากมายขนาดนั้น…”

กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็กระทืบเท้าเบาๆ เหยียบเข้าไปในกองหิมะริมทาง “ก็แค่กระโจนเข้าหาความตายเท่านั้น ไม่ถือเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร แค่ได้รับความอยุติธรรมก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงควักเงินเกล็ดหิมะออกมาหนึ่งเหรียญ “นี่คือเงินเทพเซียนบนภูเขา พวกเจ้าสามารถเอาไปดูดซับปราณวิญญาณเพื่อรักษาสติปัญญาเอาไว้ คือเงินประเภทที่ไม่มีค่ามากที่สุด”

แม่ทัพบู๊ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยื่นมือมารับไป แล้วจึงเอ่ยสัพยอกว่า “เฉินเซียนซือจะให้มากกว่านี้ก็ได้ ข้าไม่รังเกียจเงินเทพเซียนที่มีน้ำหนัก ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วข้าก็ล้วนรักเงิน สิ่งที่ไม่หนักมือมากที่สุดบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เงินหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันรีบโบกมือยิ้ม “ตอนนี้ข้าเป็นนักบัญชีคนหนึ่ง ทำการค้าต้องฉลาดหน่อย ข้ารู้ภูมิลำเนาของพวกเจ้าแล้ว ไม่มากไม่น้อย ควรต้องให้เงินเทพเซียนเป็นค่าเดินทางยามค่ำคืนแก่พวกเจ้ากี่เหรียญ ข้ารู้ชัดเจนนักล่ะ”

แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

ดีนักนะ

ใต้หล้านี้ยังมีคนที่กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองคือพ่อค้าที่ ‘ฉลาด’ อยู่อีกหรือ?

เฉินผิงอันถาม “ในเมื่อภูมิลำเนาของแม่ทัพเว่ยอยู่ที่เขตทหารแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือแคว้นสือหาว คิดจะพาพวกพี่น้องไปส่งให้ครบแล้วค่อยย้อนกลับมาทางทิศเหนือเพียงลำพังใช่ไหม?”

แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยที่แท้จริงแล้วเพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ ส่ายหน้า “คงไม่กลับไปแล้วล่ะ พ่อแม่ข้าจากไปนานแล้ว แล้วก็ไม่มีลูกเมีย คนรู้จักของที่บ้านเกิดล้วนตายกันหมดแล้ว เมื่อปีก่อนฮ่องเต้ก็เริ่มโยกย้ายกำลังทหารจำนวนมาก นอกจากพวกกระดูกแข็งที่เดิมทีก็อยู่ในกองทัพทางเหนือแล้ว ทหารชายแดนหลายกองที่กล้าต่อสู้ อีกทั้งยังเก่งกาจในการทำสงครามต่างก็ถูกโยกย้ายให้ไปทางทิศเหนือจนหมด ส่วนกองกำลังของพื้นที่เมืองชายแดนอย่างสกุลหวงที่อยู่ทางใต้นั้น เรียกมาแล้ว แต่ก็แค่พวกเขาไม่ยอมมาเท่านั้น นี่ไม่ได้เรียกว่ากบฏหรือไร? ไม่ต่างจากการจ้วงมีดเข้าที่เอวของพวกเราอย่างแรง อันที่จริงข้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความกล้าหาญของแคว้นสือหาวเราถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำจนสิ้นหมดแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “หากแม่ทัพเว่ยยินดี รอให้เจ้าทำเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วก็จงไปที่นครอวิ๋นโหลวของทะเลสาบซูเจี่ยน ตามหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดคนหนึ่งที่มีชื่อว่าตู้เซ่อหู่ หากตู้เซ่อหู่ไม่อยู่ในเมืองก็ไปหาสกุลหลิ่วที่อยู่ในตรอกเหมยจื่อบอกให้เจ้าบ้านของพวกเขาเป็นผู้แนะนำ พาเจ้าโดยสารเรือไปที่เกาะชิงเสีย ตู้เซ่อหู่ก็ดี ประมุขสกุลหลิ่วก็ช่าง เจ้าแค่บอกว่าตัวเองเป็นสหายของเฉินผิงอัน เมื่อไปถึงเกาะชิงเสียจะมีคนมาต้อนรับเจ้าเอง เจ้าสามารถไปพักอยู่ที่เรือนหน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย พักอยู่ในห้องของเจิงเย่ชั่วคราวก่อนได้ รอพวกเรากลับไป หากแม่ทัพเว่ยยินดี ข้าสามารถเขียนจดหมายให้แม่ทัพเว่ยนำติดตัวไปด้วยฉบับหนึ่ง”

แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยยิ้มถาม “เฉินเซียนซือหรือไม่ก็สหายข้างกายเชี่ยวชาญวิชาผีงั้นหรือ? เลยคิดจะเลี้ยงข้าให้กลายเป็นแม่ทัพผี? เพราะเฉินเซียนซือมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อข้า ข้าถึงได้ถามเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คิดเปิดปาก อย่างมากก็แค่รับปากแต่ปาก แต่พอถึงเวลาก็เตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ไม่ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนก็เท่านั้น และยังหวังให้เฉินเซียนซือให้อภัย บอกตามตรง ข้าไม่สนใจการเข่นฆ่าสังหารอีกแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ ต่อให้ต้องรอวันที่จิตวิญญาณแหลกสลายไปวันๆ อยู่อย่างนี้ ข้าก็ยอมรับชะตากรรม พระคุณยิ่งใหญ่ของเฉินเซียนซือ คงได้แต่มาชดใช้คืนให้ชาติหน้าแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม้ข้าจะรู้เวทลับวิชาผีบางอย่าง และก็มีสมบัติอาคมวัตถุวิเศษสองชิ้นที่เหมาะให้ภูตผีพักพิง แต่ไม่ต้องการให้แม่ทัพเว่ยมารับใช้ข้า เพียงแค่ไม่อยากเห็นแม่ทัพเว่ยต้องแหลกสลายไปท่ามกลางฟ้าดินทั้งอย่างนี้ ขอแค่ไปถึงเกาะชิงเสีย วันหน้าจะอยู่หรือจะไป ขอเพียงเชื่อใจข้า ทุกอย่างล้วนให้แม่ทัพเว่ยเป็นผู้ตัดสินใจเอง ต่อให้แม่ทัพเว่ยอยากกลายเป็นแม่ทัพผี ข้าเองก็ไม่มีทางพยักหน้าตอบรับ นี่เป็นการหมิ่นเกียรติคนอื่น อีกทั้งยังหมิ่นเกียรติตนเอง”

วัตถุหยินแซ่เว่ยกุมหมัดกล่าวว่า “หากพูดอย่างนี้ข้าก็วางใจแล้ว มีชีวิตอยู่หลายวันก็ได้กำไรหลายวัน ส่วนเรื่องที่ว่าระหว่างนี้จะเผาผลาญเงินเทพเซียนของเฉินเซียนซือไปเท่าไหร่ ข้าก็คงยังต้องเอ่ยประโยคหน้าไม่อายประโยคนั้น หากมีโอกาสจะกลับมาใช้คืนชาติหน้า! หากไม่มีโอกาส ก็คงต้องคิดแค่ว่านักบัญชีอย่างเฉินเซียนซือไม่ฉลาดมากพอ!”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก

ไม่ได้ดื่มเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า แต่ดื่มเพราะอยากดื่มเท่านั้น ซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง

กลับเข้ามาในอารามหลิงกวาน เฉินผิงอันก็เขียนจดหมายหนึ่งฉบับ และยังมอบยันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่นกับแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ทำมาจากไม้ไผ่ม่วงอีกหนึ่งแผ่นให้แม่ทัพแซ่เว่ย สุดท้ายยังแอบยัดเงินร้อนน้อยให้เขาหนึ่งเหรียญ

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ฟ้าก็สว่างแล้ว

วัตถุหยินทั้งหมดล้วนพากันพักพิงอยู่ในตำหนักหน้าของอารามหลิงกวานชั่วคราว

เฉินผิงอันย้อนกลับไปที่ตำหนักหลัก เจิงเย่เก็บสัมภาระ สะพายหีบไม้ไผ่รอไว้เรียบร้อยแล้ว

เฉินผิงอันหันไปกุมหมัดคารวะเทวรูปสีสันองค์นั้น เอ่ยขออภัยเสียงเบาว่า “คืนนี้พวกเราสองคนมาพักที่นี่ และยังมีทหารหยินกลุ่มนั้นที่พักอยู่ตำหนักหน้า รบกวนท่านแล้ว”

เจิงเย่ได้แต่กุมหมัดขออภัยตามไปด้วย

พวกเขาเดินออกจากตำหนักหลัก ตอนที่เดินผ่านตำหนักหน้า แม่ทัพแซ่เว่ยทำเพียงแค่กุมหมัดส่งลาคนทั้งสอง ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำซาบซึ้งใจใดๆ ให้มากความ

เมื่อออกมาจากอารามหลิงกวานแล้วก็เดินทางขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง คนทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ เจิงเย่เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน? ขอข้าถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันกำลังก้มตัวกอบหิมะขึ้นมาล้างหน้าง่ายๆ ยิ้มกล่าวว่า “ถามมาเถอะ”

เจิงเย่ถาม “ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน เหตุใดท่านเฉินต้องยอมสิ้นเปลืองเงินทองของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ด้วย? ตอนอยู่บนเกาะเหมาเยว่ อาจารย์และทุกๆ คนต่างก็บอกว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเราใช้เงินทองเปลืองมากที่สุด หากไม่รู้จักประหยัดอดออมในเรื่องเล็กๆ ชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ยาวไกล”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าตอนนี้ข้ามีอนาคตยิ่งใหญ่ยาวไกลหรือไม่?”

เจิงเย่เกาหัว “ต้องมีอยู่แล้ว! ท่านเฉินคือผู้ฝึกตนใหญ่ที่ค้ำฟ้าได้แล้ว!”

เฉินผิงอันกล่าว “ก็ใช่น่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็ถือเป็นนักพรตใหญ่ในสายตาของเจ้าอยู่แล้ว จะไม่ประหยัดบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก”

เจิงเย่รู้สึกว่าท่านเฉินที่ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจเสมอมากลับจงใจตอบต่อคำถามนี้ของตนอย่างไม่กระจ่าง เพียงแต่เห็นว่าท่านเฉินไม่อยากพูดให้ละเอียด เจิงเย่จึงไม่กล้าที่จะซักไซ้ไล่เรียงต่อ

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เมื่อคืนพวกเราไปพักค้างแรมอยู่ในอารามหลิงกวาน แล้วเจ้ารู้ประวัติความเป็นมาของหลิงกวาน รู้หน้าที่รับผิดชอบขององค์เทพเหล่านี้หรือไม่?”

เจิงเย่ส่ายหน้า “แค่เคยได้ยินอาจารย์เล่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋ามีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขา”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินประโยคว่าเหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองอยู่กระมัง? หลิงกวาน เคยเป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยตรวจสอบความดีความชอบและความขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของทุกคนบนโลกมนุษย์ แม้จะบอกว่าคำกล่าวนี้อาจไม่จริงเสมอไป แต่ข้ารู้สึกว่าเชื่อเรื่องนี้ไว้ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่เชื่ออยู่มาก ชาวบ้านก็ดี ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราก็ช่าง หากในใจไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ถึงเวลานั้นเอาแต่กลัวคนชั่วกลัวผีร้าย ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นแค่ความคิดของข้าคนเดียว เจิงเย่ เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก แค่ฟังผ่านๆ ไปก็พอ”

เจิงเย่พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะจำเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันใดอาจได้นำมาใช้”

เฉินผิงอันหันหน้ามามองเจิงเย่แล้วหัวเราะ

เจิงเย่รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง “ท่านเฉิน ข้าพูดอะไรผิดอีกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า สาวเท้าเดินหน้าเนิบช้า “เปล่าหรอก เจ้าพูดได้ดีมาก หลักการเหตุผลบางอย่างนำมาใช้ต่อชีวิต รวมไปถึงช่วยให้ตัวเองมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม แต่บางอย่างมีไว้เพื่อให้จิตใจสงบ ส่วนเรื่องที่ว่าหลักการเหตุผลไหนที่ดีกว่า เหมาะกับปัจจุบันมากกว่า ก็ต้องดูที่ทรัพย์สินและสภาพจิตใจของแต่ละคน ถึงอย่างไรข้าก็คิดว่านี่เป็นหลักการเหตุผลที่มีประโยชน์ วันหน้าเจ้าเองก็จะรู้ว่าหลักการเหตุผลที่บ้างก็เล็กบ้างก็ใหญ่เหล่านี้ เวลาเจอกับเหตุการณ์เข้าจริงๆ ก็แค่เอามันออกมา คิดให้มากแล้วค่อยเลือกให้ดี”

เจิงเย่พูดชื่นชมจากใจจริง “ท่านเฉินรู้หลักการเหตุผลเยอะจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้ม “วันหน้าคำพูดเหมือนผายลมพวกนี้เจ้าก็พูดให้น้อยหน่อย ข้างกาย ‘ท่านเฉิน’ ของเจ้าไม่เคยขาดพวกช่างประจบหรอกนะ”

เจิงเย่สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ เบี่ยงตัวมาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ตอนนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่อยู่ข้างกายท่านเฉินเพราะฉะนั้นวันหน้าข้ายังต้องพูดประจบอย่างจริงใจแบบนี้ให้มาก หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านเฉินที่ไม่ได้ยินคนพูดประจบเอาใจนานเกินไปแล้วจะรู้สึกไม่ชิน”

เฉินผิงอันหัวเราะจนตาหยี เขาพลันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบหิมะมาปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือด้วยความคล่องแคล่ว แล้ววางไว้บนหีบไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังเจิงเย่ ทำเอาเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มองดูอยู่มึนงงสับสน

เฉินผิงอันปัดมือ “หลังจากนี้ข้าจะเดินด้วยท่าหมัดขั้นพื้นฐาน ง่ายมาก ก็แค่ทุกหกก้าวจะออกหมัดหนึ่งครั้ง เจ้าสามารถเรียนรู้ตามข้าได้ เจ้าจะเรียนวิชาหมัดก็ได้ แต่ต้องรับปากข้าว่าจะไม่ทำให้ตุ๊กตาหิมะตัวน้อยบนหีบไม้ไผ่ร่วงลงมา ข้าจะสอนเจ้าสามรอบ จากนั้นตลอดทางที่เดินไปนี้ เจ้าว่างหรือไม่ว่างก็ลองเดินด้วยท่าหมัดนี้ ข้าไม่บังคับเจ้า และเจ้าก็ไม่ต้องฝืนใจ คิดซะว่าเป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้แก้เบื่อก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็แสดงท่าเดินนิ่งให้เจิงเย่ดูสามรอบ เจิงเย่รวบรวมสมาธิจ้องมองฝีเท้า รวมไปถึงการออกหมัดในช่วงท้ายสุดของเฉินผิงอันเขม็ง

เฉินผิงอันล้วนเห็นอยู่ในสายตา และบอกให้เจิงเย่ลองเดินดูเอง

มั่นคงทั้งสี่ด้านแปดทิศ เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะในตรอกหนีผิงของปีนั้นแล้ว ดูเหมือนจะเดินได้ดีกว่ามาก

แต่เฉินผิงอันกลับถอนหายใจอยู่ในใจ มองหมัดไม่รู้ถึงความหมาย สามปีก็ไม่เข้าขั้น

ไหวพริบในการเรียนหมัดของเจิงเย่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเด็กชายร่างกายผอมแห้งในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีที่ปีนั้นถือมีดผ่าฟืนยืนอยู่ตรงหน้าตนได้ติด

แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันบอกไว้ เขาก็แค่หาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เจิงเย่ทำเท่านั้น เขาจะได้ไม่ต้องคอยเอาแต่จับตามองตนไปตลอดทาง ถึงอย่างไรยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยิบออกมาได้บ่อยๆ อีกอย่างเฉินผิงอันก็กลัวสตรีวัตถุหยินที่นับวันก็ยิ่งสดใสร่าเริง พูดจาไร้ยำเกรงพวกนั้นจริงๆ หากพวกนางแค่หยอกเย้าเจิงเย่เล่นก็ช่างเถิด แต่นี่แต่ละคนแอบพนันกันว่าจะเล่นหูเล่นตายั่วยวนเฉินผิงอันด้วยวิธีใด พวกนางทำอย่างนั้นไม่เรียกว่าหาเรื่องน่าอายให้ตนจะเรียกว่าอะไร? ข้าเฉินผิงอันเคยเห็นความชั่วร้ายในยุทธภพและเห็นคลื่นลมมรสุมมามากน้อยแค่ไหนแล้ว?

ถึงอย่างไรเจิงเย่ก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกเกาะเหมาเยว่ทุ่มเงินเลี้ยงดูปลูกฝัง เรือนกายจึงแข็งแกร่งกำยำ ดังนั้นแม้จะเรียนวิชาเดินนิ่งหมัดเขย่าขุนเขาเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอก ขอแค่เฉินผิงอันไม่พูดเปิดโปง เจิงเย่ก็รู้สึกว่าตัวเองพอใจอย่างมาก ถึงอย่างไรตุ๊กตาหิมะตัวน้อยที่วางไว้บนหีบไม้ไผ่ด้านหลังก็ไม่เอียงตกลงมา

หลังจากเฉินผิงอันเดินท่าหมัดครบสามครั้งแล้วก็ไม่เดินนิ่งต่ออีก แต่คอยหยิบเอาแผนที่ออกมากางดู

คืนนั้นคนทั้งสองเตรียมจะค้างแรมกันในผืนป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง ขอแค่ไม่มีหิมะตกลงมา อันที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

เฉินผิงอันหยิบยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกออกมาหนึ่งแผ่น สตรีวัตถุหยินที่พักอยู่ด้านในมีนามว่าซูซินไจ

ตอนมีชีวิตอยู่นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต เป็นคนของแคว้นสือหาว บิดาเป็นคนประเภทรักลูกชายชังลูกสาว ตอนเยาว์วัยถูกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตของตระกูลเซียนแคว้นสือหาวท่านหนึ่งหมายตาในฐานกระดูกจึงพาไปที่ภูเขาหวงหลี และเริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการ ฝึกตนอยู่บนภูเขาหลายสิบปี ไม่เคยลงจากภูเขากลับคืนสู่บ้านเกิด ซูซินไจจึงไม่เหลือความรู้สึกผูกพันกับคนในตระกูลมานานแล้ว บิดาเคยไปเยือนตีนเขาภูเขาหวงหลีด้วยตัวเอง ขอร้องว่าอยากพบหน้าบุตรสาวสักครั้ง แต่ซูซินไจก็ยังคงปิดประตูไม่ต้อนรับแขก บุรุษที่หวังให้บุตรสาวช่วยเหลือบุตรชายด้านการสอบเคอจวี่จึงได้แต่กลับไปมือเปล่า สบถด่าด้วยคำพูดหยาบคายไปตลอดทาง ยากที่จะจินตนาการได้ว่านั่นเป็นคำพูดของบิดาแท้ๆ ซูซินไจที่แอบติดตามเขามาด้านหลังอย่างลับๆ ล้วนได้ยินทั้งหมด นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง ซูซินไจที่เดิมทีคิดจะช่วยเหลือทางบ้านสักครั้งแล้วจากนั้นค่อยตัดขาดเรื่องทางโลกอย่างจริงจังจึงย้อนกลับสำนักไปทั้งอย่างนั้น

ครั้งสุดท้ายที่ซูซินไจลงเขามาหาประสบการณ์ นางกับศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงอีกสองคนถูกบรรพจารย์ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของเกาะซู่หลินทะเลสาบซูเจี่ยนลักพาตัวไป สุดท้ายตายอนาถอยู่ในปากของเจียวหลงตัวนั้น ส่วนสตรีร่วมสำนักอีกสองคนนั้นได้ตายไปด้วยน้ำมือของบรรพจารย์เกาะซู่หลินคนเก่านานแล้ว

ซูซินไจปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของสตรีที่ถูกวาดอยู่บนแผ่นยันต์หนังจิ้งจอก นางคลี่ยิ้มงดงาม สายตาเป็นประกายบ่งบอกความรู้สึก

นางคือหนึ่งในสตรีวัตถุหยินสิบสองตนที่มีนิสัยเปิดกว้างร่าเริงมากที่สุด แผนร้ายที่ใช้เย้าหยอกเจิงเย่หลายอย่างก็ล้วนเป็นความคิดของนาง

หากไม่เป็นเพราะอีกไม่นานก็จะเข้าขอบเขตของภูเขาหวงหลีแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่กล้าเชิญนางออกมาจริงๆ

เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของภูเขาหวงหลี เฉินผิงอันพอจะรู้มาคร่าวๆ แล้ว และก็เล่าให้ซูซินไจฟังมาตั้งแต่แรก

อาจารย์ผู้มีพระคุณที่นางคิดถึงอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ทว่าทุกวันนี้ภูเขาหวงหลีก็ยังถือว่ามั่นคง ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลเซียนลำดับสองของแคว้นสือหาว ไม่สูงไม่ต่ำ ในสถานการณ์วุ่นวายกลับสามารถหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ง่ายยิ่งกว่า พวกสำนักระดับสามหรือสำนักปลายแถวล้วนถูกตระกูลเซียนในบริเวณใกล้เคียงฮุบกลืนไปนานแล้ว กองกำลังชั้นยอดระดับหนึ่งก็เหมือนไม้ใหญ่เรียกลม ยุ่งวุ่นวายจนหัวหูไหม้ ควรจะสื่อสารกับราชสำนักแคว้นสือหาวหรือคบค้าสมาคมกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างไร หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยก็อาจเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว

บนภูเขาหวงหลีมีผู้ฝึกตนสามสิบกว่าคน ล้วนถือเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างถูกต้องเหมาะสม บวกกับพวกสาวใช้และนักการที่มาพึ่งพิง ตอนนี้ก็มีคนอยู่ประมาณสองร้อยกว่าคน

ความปรารถนาสุดท้ายของซูซินไจคือหวังว่าจะสามารถกลับมาที่ภูเขาหวงหลี มาจุดธูปสามดอกกราบไหว้หน้าหลุมศพอาจารย์และบรรพจารย์ แล้วก็ไม่มีความต้องการอื่นใดอีก แม้แต่ความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ในตำหนักพญายมราชคุกล่าง หรือในหอเรือนที่เลียนแบบหอแก้วก็ยังไม่มี

หลังจากซูซินไจปรากฏตัว นางก็ไม่ได้เอ่ยสัพยอกเจิงเย่หรือนักบัญชีท่านนั้นอย่างที่หาได้ยาก

เจิงเย่รู้สึกประหลาดใจ แต่เฉินผิงอันกลับไม่

ยิ่งใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งขลาดกลัว

เจิงเย่ได้พบซูซินไจแล้วก็รู้สึกดีใจ

จิตใจของเด็กหนุ่มใสกระจ่างจนมองเห็นก้นบึ้ง

เฉินผิงอันรู้ดีว่าซูซินไจก็รู้เหมือนกัน แต่นางแค่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น เด็กสาวจะหวั่นไหวหรือไม่ ส่วนใหญ่มักจะพิถีพิถันในเรื่องรักแรกพบมากกว่าสตรีที่อายุมากกว่า

บุรุษเห็นสาวงามแล้วประทับใจ สตรีเห็นบุรุษหล่อเหลาแล้วหวั่นไหว ล้วนเป็นหลักการที่สะเทือนอย่างไรก็ไม่ปริแตก ไม่มีค่าให้ต้องตกตะลึง

น่าสงสารก็แต่เจิงเย่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เมื่อเทียบกับสภาพการณ์ที่หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนต้องเผชิญแล้วอาจจะดีกว่า แต่กลับไม่ดีกว่าสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันเห็นว่าซูซินไจขมวดคิ้วมุ่นก็เปลี่ยนใจ บอกกับเจิงเย่ว่านอกจากฝึกตนแล้วให้นอนหลับสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็จะเดินทางกันต่อในตอนกลางคืน

นานๆ ทีเจิงเย่จะได้ทำอะไรเพื่อซูซินไจบ้าง แน่นอนว่าเขาย่อมตบอกสะเทือนฟ้าให้การรับรอง เฉินผิงอันถึงกับยกมือกุมขมับ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่ลูกนกที่เพิ่งหัดบินผ่านกอบุปผานี่นะ

แต่เฉินผิงอันก็ยังมอบโอกาสให้เจิงเย่ เขาเดินห่างออกไป ปล่อยให้ซูซินไจช่วย ‘ปกป้องมรรคา’ ให้กับเจิงเย่ที่กำลังฝึกตนอยู่ข้างกองไฟ

เฉินผิงอันแอบทิ้งกระบี่บินสองเล่มไว้ที่นั่น จากนั้นก็เดินไปบนทางสายเล็กของสันเขาที่หิมะทับถมไม่หนาแน่นมากนัก บางครั้งยังร่วงกราวลงมาเป็นสายเพียงลำพัง

หันหน้าไปมองก็พบว่าซูซินไจยกชายกระโปรงวิ่งเร็วๆ เข้ามาหา ทั้งยังจงใจเหยียบหิมะให้เกิดเสียงดังตามมาด้านหลังเป็นระลอก นี่ไม่ใช่เพราะตอนมีชีวิตอยู่นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต แต่เป็นเพราะอยู่ในร่างของสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกซึ่งถือเป็นต้นไม้เขย่าเงินของสกุลสวี่นครลมเย็น การทำเรื่องเหล่านี้จึงไม่ได้ยากเย็นอะไร

ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์

ผู้ฝึกตนเดินทีละก้าวขึ้นที่สูง เมื่อทอดสายตามองไป ถึงอย่างไรก็ย่อมได้เห็นทัศนียภาพที่งดงามมากกว่าตรงตีนเขา

ซูซินไจวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินเล่นเคียงไหล่ไปกับเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเฉินเป็นพ่อสื่อไม่เก่งจริงๆ มองไม่ออกหรือว่าข้าไม่หวั่นไหวกับเจ้าเด็กโง่เจิงเย่นั่นเลยแม้แต่น้อย?”

เฉินผิงอันยิ้มฝืดฝืน “ไม่หวั่นไหวก็ไม่หวั่นไหว ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าต้องทำอะไรสักหน่อย แต่เจ้าก็ไม่ควรจงใจทำร้ายจิตใจเขา วันหน้าแม่นางซูก็แยกตัวไปสบายแล้ว แต่ข้ายังต้องอยู่กับเจ้าเด็กโง่นั่นอีกหลายปีนะ”

ซูซินไจแสร้งทำเป็นตกตะลึง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เทพเซียนอย่างท่านเฉินยังจะสนใจความรู้สึกของเด็กโง่คนหนึ่งด้วยหรือ? ไม่เชื่อฟังก็ซ้อมเขาซะสิ ตีจนกว่าเขาจะว่าง่าย ผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนเราล้วนทำเช่นนี้ ใครก็ไม่จำเรื่องที่ดี จำได้แต่ตอนโดนตี”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ “ข้าล่ะเบื่อคุยกับเจ้าจริงๆ”

จู่ๆ ซูซินไจก็จะเอามือมาคล้องแขนเฉินผิงอัน ผลคือเฉินผิงอันกระโดดหลบอย่างว่องไว ถลึงตาใส่นาง “จำได้แต่ตอนโดนตีใช่ไหม?”

ซูซินไจปิดปากหัวเราะคิกคัก ก้มตัวลงหยิบหิมะมาปั้นเป็นก้อน ถามชวนคุยว่า “เตาใบเล็กที่ท่านเฉินพกติดตัวใบนั้นล่ะ ข้าสามารถช่วยก่อไฟให้ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าเปลืองถ่านเลย ตอนอยู่บนเกาะชิงเสียไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องนี้ ใช้หมดแล้วเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเติมให้เอง แต่อยู่ที่นี่ หากใช้หมดก็ต้องควักเงินไปหาซื้อจากตลาดมาเอง มืออุ่น แต่ใจเจ็บปวด”

แม้ว่าตลอดทางมานี้ซูซินไจจะได้ปรากฏตัวอยู่หลายครั้ง และรู้ถึงความขี้งกของนักบัญชีท่านนี้ดี แต่พอได้ฟังประโยคนี้ก็ยังรู้สึกแปลกใหม่อยู่ดี

เดิมทีนางถามคำถามนั้นก็เพราะหวังจะได้ยินคำตอบเช่นนี้อยู่แล้ว

ซูซินไจเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน จากนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวพลางหัวเราะคิกคัก “พอไปถึงภูเขาหวงหลี ท่านเฉินจะต้องซื้อขนมหมาฮวา (แป้งทอดกรอบที่บิดเป็นเกลียว) ที่กรอบอร่อยของถนนกุ้ยฮวาในเมืองเล็กตีนเขามาให้ได้ การเดินทางครั้งนี้ถึงจะไม่ถือว่าเสียเที่ยว ทางที่ดีที่สุดซื้อกลับไปถุงใหญ่ๆ เลย”

เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าออกเงินให้ข้าหรือไง?”

ซูซินไจกลอกตามองบน “โอ้โห ท่านเฉินใหญ่ ท่านเทพเซียนเฉินของข้า ท่านอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้ ยังจะสนใจเงินแค่ไม่กี่ตำลึงอีกหรือไง?”

เฉินผิงอันยิ้ม “แค่มองก็รู้ว่าเป็นสตรีที่ไม่รู้จักใช้ชีวิต ยังจะกล้าดูแคลนเจิงเย่ที่ซื่อสัตย์จริงใจอีกรึ?”

ซูซินไจขุ่นเคืองสุดขีด พลันขว้างลูกหิมะออกมา แต่เฉินผิงอันที่เรือนกายเริ่มผ่ายผอมกลับหลบเลี่ยงไปได้อย่างสบายๆ ซูซินไจยังจะก้มไปหยิบหิมะมาปั้นอีก เฉินผิงอันจึงรีบกล่าวว่า “หยุดเลยๆ ข้าไม่ต้องการให้เจิงเย่เข้าใจพวกเราสองคนผิด”

ซูซินไจหยุดมือจริงๆ นางเอ่ยสัพยอกว่า “ท่านเฉินยึดมั่นในรัก หรือว่ามีใจอยากเป็นโจร แต่ไม่กล้าทำตัวเป็นโจรกันแน่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนนอกฟัง”

ซูซินไจมองดวงตาคู่นั้นของบุรุษหนุ่มแล้วทำหน้าทะเล้นใส่ “โอ้ๆๆ ที่แท้ท่านเฉินที่ทึ่มเหมือนท่อนไม้ก็มีแม่นางที่ชื่นชอบอยู่แล้วจริงๆ ด้วย เฮ้อ เดิมพันแพ้อีกแล้ว”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

สุดท้ายเฉินผิงอันบอกให้ซูซินไจกลับไปหาเจิงเย่ บอกว่าเขาจะไปเดินเล่นอีกสักหน่อย

ซูซินไจจึงยิ้มสัพยอกว่าอายุน้อยๆ ก็ทำตัวเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ซะแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าทำร้ายหญิงสาวไปกี่มากน้อยถึงมีจิตใจที่ละเอียดรอบคอบได้เช่นนี้

เฉินผิงอันคิดแค่ว่านี่เป็นคำชม จึงไม่ถือสานางอีก

ซูซินไจกลับไปหาเจิงเย่ นั่งลงข้างกองไฟ

เฉินผิงอันหายไปนานก็ยังไม่ยอมกลับมา

เจิงเย่ฝึกตนเสร็จแล้วก็มองซูซินไจที่นั่งอยู่ข้างกาย แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างโง่งม

พอเฉินผิงอันกลับมาแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อ

เนื่องจากขยับเข้าใกล้อาณาเขตของตระกูลเซียน เฉินผิงอันจึงไม่เอาสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกที่เหลืออีกเก้าแผ่นออกมา ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางผ่านศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ ศาลบุ๋นบู๊หรือศาลเทพอภิบาลเมืองก็ล้วนทำเช่นนี้

อันที่จริงมีแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนแค่แผ่นเดียวก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาเล็กๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้พวกนี้แล้ว นอกจากนี้เนื่องจากแคว้นสือหาวอยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีผู้ฝึกตนอิสระอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เรื่องประหลาดและคนแปลกๆ น่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆ จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขาแล้ว ทว่าเฉินผิงอันยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ ซูซินไจกับวัตถุหยินที่เหลืออีกเก้าตนจึงได้แต่บ่นไม่กี่คำเท่านั้น และอันที่จริงก็เรียกว่าบ่นไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าจะเรียกว่างอแงกับผู้อาวุโสในตระกูลมากกว่า

ยามสนธยาของวันหนึ่ง หนึ่งผีสองคนก็มาถึงเมืองเล็กตรงตีนเขาภูเขาหวงหลี ก่อนจะขึ้นเขา แม้เฉินผิงอันจะไม่เต็มใจเสียเงิน แต่ก็ยังซื้อขนมหมาฮวาที่ถนนกุ้ยฮวามาถุงหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นขนมหมาฮวามีไส้ที่แพงที่สุด แล้วแบ่งให้ซูซินไจกับเจิงเย่ ขนมนี้หอมกรอบอร่อยจริงๆ กินไปได้ไม่กี่คำ เฉินผิงอันก็ถึงกับย้อนกลับไปซื้อมาอีกสองถุงใหญ่ ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแอบเก็บพวกมันไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เห็นใบหน้าแต้มยิ้มของซูซินไจ เฉินผิงอันก็ได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ผู้ฝึกตนสองคนที่เฝ้าประตูภูเขาของภูเขาหวงหลีคือลูกศิษย์ห้าขอบเขตล่างที่พรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ดีนัก หนึ่งคนแก่ หนึ่งคนหนุ่ม

เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอาแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นออกมา แล้วบอกจุดประสงค์การมาเยือนคร่าวๆ คนทั้งสองก็ตกใจจนหน้าเผือดสี ถึงขั้นไม่คิดจะไปแจ้งข่าวก่อนก็นำทางพาพวกเฉินผิงอันสามคนขึ้นเขาไปโดยตรง

เกี่ยวกับสถานะของซูซินไจและอีกสองเรื่องนั้น เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังต่อภูเขาหวงหลี

อันที่จริงผู้ฝึกตนเฒ่าก็ยังจำชื่อของซูซินไจได้ ถึงอย่างไรปีนั้นนางก็เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ภูเขาหวงหลีฝากความหวังไว้ให้มาก เพียงแต่ว่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากนางลงภูเขาไป ภูเขาหวงหลีไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีจะกล่าวโทษ กลับกันยังเป็นฝ่ายส่งคนไปเยือนเกาะซู่หลินของทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อขออภัยบรรพจารย์เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นอีกด้วย แน่นอนว่าก็มีความคิดที่จะ ‘เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องมงคล เปลี่ยนเลวให้กลายเป็นดี’ คิดจะผูกสัมพันธ์กับเกาะซู่หลิน จะได้เหมือนการปักธงผืนหนึ่งบนภูเขาหวงหลี สยบกำราบสำนักคู่แค้นที่ทั้งอยู่ไกลและใกล้เหล่านั้น เพียงแต่ตอนนั้นเกาะซู่หลินไม่ได้ให้ผู้ฝึกตนภูเขาหวงหลีเข้าไป เรียกว่าไม่ให้เกียรติกันแม้แต่น้อย ยังดีที่พอผู้ฝึกตนคนนั้นกลับไปถึงภูเขาหวงหลีแล้วก็ได้แอบจงใจปล่อยข่าวที่ตีความหมายได้หลายแง่มุมออกไป จึงถือว่าพอจะหาผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงมาให้แก่สำนักของตัวเองได้บ้าง

ดังนั้นพอได้ยินว่าผู้ถวายงานคนหนึ่งของเกาะชิงเสียมาเยี่ยมเยือน ผู้ฝึกตนเฒ่าหรือจะกล้าเพิกเฉย

เพียงไม่นานบรรพจารย์ของสำนักบนภูเขาหวงหลีก็ออกมาจากจวน พาผู้ฝึกตนหลายคนที่มีอำนาจบนภูเขามาต้อนรับผู้ถวายงานใหญ่เฉินที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมถึงผู้นี้

สำหรับแคว้นสือหาวแล้ว เกาะพันกว่าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนที่โอหังยากกำราบ มีอยู่ร้อยกว่าเกาะที่จำเป็นต้องจดจำชื่อให้แม่นยำ ซึ่งในบรรดาเกาะที่ว่านี้ก็ต้องจดจำเกาะใหญ่สิบกว่าแห่งที่รวมไปถึงเกาะชิงจ่ง ลี่ซู่ เทียนหมู่เป็นหนึ่งในนั้นให้ขึ้นใจ ส่วนเกาะชิงเสียก็ยิ่งมีบรรพจารย์ก่อกำเนิดอย่างสกัดคงคาเจินจวินเป็นเทพเซียนพสุธาที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด ซึ่งราวกับอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว ภูเขาหวงหลีไม่ทราบคลื่นลมมรสุมที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนล่าสุดของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เกี่ยวกับเรื่องที่หลิวจื้อเม่านั่งดำรงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพได้อย่างราบรื่นนั้น นอกจากสำนักปลายแถวในแคว้นสือหาวที่การข่าวไม่ว่องไว ตัดขาดกับโลกภายนอกแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาแทบทุกคนก็ล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้

ซูซินไจได้เห็นหน้าบรรพจารย์ของภูเขาหวงหลีที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน น้ำตาร้อนๆ ก็ขึ้นมาเอ่อคลอดวงตา รีบลงไปนั่งคุกเข่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียงทันที

การกระทำนี้ทำให้บรรพจารย์ท่านนั้นและทุกคนของภูเขาหวงหลีตกใจกันยกใหญ่

เฉินผิงอันจึงใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างละมุนละม่อมเล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ผู้ฝึกตนตรงประตูภูเขาฟังอีกรอบ

คำกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่ซูซินไจใคร่ครวญออกมาเอง

เฉินผิงอันแค่ทำตามที่นางต้องการเท่านั้น

หลังจากที่ภูเขาหวงหลีรู้ ‘ความจริง’ แล้ว ลึกๆ ในใจของทุกคนก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้ว บรรพจารย์ขอบเขตชมมหาสมุทรที่ไม่มีหวังได้เลื่อนสู่ประตูมังกรท่านนั้นก็ถึงกับหันมาพูดจาปราศรัยกับแม่หนูที่เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากซูซินไจคนเดิมในปีนั้น ซึ่งในคำพูดคำจาก็ยังพอจะมีความจริงใจให้เห็นไม่มากก็น้อย สำหรับการที่ซูซินไจยังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ในอดีตก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนของภูเขาหวงหลีสะท้อนใจไม่หยุด

จากนั้นซูซินไจก็ได้ไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักอย่างราบรื่น ซึ่งบรรพจารย์ภูเขาหวงหลีเป็นผู้ส่งมอบธูปให้นางด้วยตัวเอง

สุดท้ายซูซินไจไปที่หน้าหลุมศพของอาจารย์ ครั้งนี้มีแค่เฉินผิงอันและเจิงเย่สองคนเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง นางปฏิเสธบรรพจารย์และผู้ฝึกตนอาวุโสคนอื่นๆ ของภูเขาหวงหลีไปอย่างละมุนละม่อม

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนหนึ่งมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่ห่างไปไกลก็อดพูดอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ “ผู้ถวายงานเฉินที่เดินทางมาไกลจากเกาะชิงเสียคนนี้ช่าง…นิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลยจริงๆ”

บรรพจารย์ภูเขาหวงหลียิ้มเอ่ย “ที่เจ้าพูดนี่หมายความว่าไง สรุปจะชมคนหรือด่าคนกันแน่? โชคดีที่ผู้ถวายงานเฉินไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นแค่ประโยคนี้ของเจ้า เกรงว่ามากพอจะทำให้ภูเขาหวงหลีเล็กๆ ของเราต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่”

แต่เพียงไม่นานบรรพจารย์ภูเขาหวงหลีก็ลูบหนวดคลี่ยิ้ม “แต่นิสัยเขาก็ไม่เหมือนหน้าตาจริงๆ หน้าตาธรรมดา บนร่างก็ไม่ได้พกสมบัติอาคมเป็นประกายแวววาวสะดุดตาเลยสักชิ้น หากไม่เป็นเพราะแผ่นหยกผู้ถวายงานแผ่นนั้นก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อได้จริงๆ ว่าผู้ฝึกตนที่หนุ่มขนาดนี้จะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียแล้ว! ร้ายกาจนัก ตาแก่หนังเหนียวที่ไม่ได้ความอย่างพวกเรา เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้จริงๆ”

ไม่รอให้ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดอะไรอีก

บรรพจารย์กลับชำเลืองตามองเขา ส่ายหน้าเบาๆ “ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะให้ภูเขาหวงหลีของพวกเราทำอะไรอีกหรือ? รังเกียจว่าเรื่องดีไม่ดี กินอิ่มแล้วว่างงานก็เลยคิดจะทำเรื่องจำพวกวาดงูเติมขาหรืออย่างไร?”

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนรีบพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทันที

แม้ว่าจะเดินห่างไปไกลมากแล้ว ซูซินไจกลับสังเกตเห็นสีหน้าระอาใจของเฉินผิงอันอย่างเฉียบไว จึงยิ้มถามว่า “เป็นอะไรไป? พวกบรรพจารย์บนภูเขานินทาข้าลับหลังว่าอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า “เปล่าสักหน่อย กำลังชมข้าอยู่ต่างหาก”

ซูซินไจเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ทำไม หรือกำลังพูดว่าท่านเฉินอายุน้อยมีความสามารถ นับว่าพอเข้าที หากชมอย่างนี้ท่านเฉินสามารถตอบรับอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่หากชมว่าท่านเฉินหน้าตาหล่อเหลา สง่างามองอาจ ท่านเฉินอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “สมกับคำว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบ้านเดียวกันจริงๆ สายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาหวงหลีอย่างพวกเจ้าไม่ต่างกันสักเท่าไหร่เลย”

ซูซินไจหัวเราะทันใด

หลังจากนั้นนางก็เริ่มเดินช้าลง

เฉินผิงอันจึงชะลอฝีเท้าให้ช้าตามไปด้วย

ภูเขาด้านหลังภูเขาหวงหลีที่ปราณวิญญาณเบาบางห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับแถบของเกาะชิงเสียได้ติด สถานที่แห่งหนึ่งที่พอจะถือว่าน้ำใสภูเขาเขียวขจี หน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง

หลังจากจุดธูปเสร็จก็โขกหัวคำนับ

ซูซินไจหยุดค้างไว้เป็นนานไม่ยอมลุกขึ้น

เฉินผิงอันนั่งอยู่ห่างไปไกล เอื้อมมือไปคว้าดินมากำเล็กๆ แล้วคลึงเบาๆ

เจิงเย่มองแผ่นหลังของซูซินไจอยู่ไกลๆ เด็กหนุ่มรู้สึกเพียงความเสียใจและความเสียใจ

หลังจากซูซินไจลุกขึ้นยืนแล้วเช็ดน้ำตา เดินมาหาเฉินผิงอันด้วยสีหน้าปล่อยวาง หว่างคิ้วไม่เหลืออารมณ์กลัดกลุ้มอยู่อีกแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันทิ้งดินในมือ ลุกขึ้นยืน

ซูซินไจยิ้มบางๆ “ท่านเฉินสามารถเก็บกระดาษยันต์ได้แล้ว”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ เก็บยันต์หนังจิ้งจอกกลับเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ

ด้านหน้ามีเพียงสตรีวัตถุหยินที่หวนกลับคืนมามีรูปลักษณ์ดังเดิม

เฉินผิงอันถาม “ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อในยันต์หนังจิ้งจอกจริงๆ หรือ? ต่อให้มีงานพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น แต่เรื่องไปจุติเกิดใหม่ก็ยัง…”

ซูซินไจกลับส่ายหน้าเสียก่อน “ข้าไม่เสียใจ ไม่เลยสักนิดเดียว”

นางถอยหลังไปหลายก้าว คลี่ยิ้มหวาน แล้วยอบกายคารวะนักบัญชีที่หน้าซีดขาวไม่ได้ดูดีไปกว่าวัตถุหยินเท่าใดอย่างแช่มช้อย

จากนั้นนางก็หันหน้ามาพูดกับเจิงเย่ที่น้ำตาคลอก่อนว่า “เด็กโง่ วันหน้าติดตามท่านเฉินต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี จำไว้ว่าต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลาง กลายเป็นเซียนดินคนหนึ่งให้จงได้!”

เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรง

จากนั้นนางก็มองมาทางเฉินผิงอัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอให้ท่านเฉินทำทุกอย่างสำเร็จดังใจปรารถนา ไร้ทุกข์ไร้กังวล”

เฉินผิงอันถามน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่พิจารณาอีกหน่อยหรือ?”

ซูซินไจกล่าวอีกว่า “ขอให้ท่านเฉินกับแม่นางที่รักคนนั้นได้ผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียน”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือกุมหมัด “แม่นางซู หากมีวาสนาก็ขอให้เราได้พบกันอีกครั้ง”

ซูซินไจน้ำตาอาบหน้า แต่กลับยิ้มเอ่ยอย่างเบิกบานใจว่า “ถึงเวลานั้น ท่านเฉินห้ามจำข้าไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ

ซูซินไจเอียงศีรษะน้อยๆ จ้องมองดวงตาคู่นั้นของคนหนุ่มราวกับกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าเขาโกหกอยู่หรือไม่ สุดท้ายก็ยิ้มกว้าง “ฮ่า ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่แท้ท่านเฉินของพวกเราหล่อเหลาอย่างถึงที่สุด”

เฉินผิงอันเค้นรอยยิ้มส่งไปให้นาง พลางชูนิ้วโป้งที่สั่นระริกขึ้นมา “แม่นางคนนี้ สายตาไม่เลว”

ซูซินไจไม่เหลือความยึดมั่นอยู่อีก จิตวิญญาณของนางเริ่มแหลกสลายไปทีละเล็กทีละน้อย ประหนึ่งภาพวาดสาวงามที่ถูกไฟไหม้จนสิ้น เศษธุลีปลิวกระจายกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง

เฉินผิงอันโบกมือบอกลานาง

เจิงเย่ปิดหน้าร่ำไห้

สุดท้ายเฉินผิงอันตบไหล่เด็กหนุ่ม “ไปกันเถอะ”

เจิงเย่ไหล่ลู่คอตก พยักหน้ารับเบาๆ

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงแผ่ว “หากชอบแม่นางซูมากขนาดนั้นจริงๆ ในเมื่อถึงท้ายที่สุดแล้วชีวิตนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้บอกว่าชอบนางก็ไม่เป็นไร อีกหลายสิบปีหรือร้อยกว่าปีในภายภาคหน้า ต่อให้ต้องตามหาไปทั่วโลกมนุษย์ เจ้าก็ต้องหานางให้พบอีกครั้ง แล้วบอกกับนางดังๆ ว่าตัวเองชอบนาง หากร้อยปีไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็พยายามกลายเป็นเซียนดินที่อายุยืนยาวแข่งกับฟ้าดินให้จงได้ ขอแค่ตอนนั้นยังคงชอบนางอยู่ก็ให้ตั้งใจฝึกตนและออกเดินทางไกลหมื่นลี้ไปพร้อมๆ กัน ต่อให้ต้องตามหานางพันปีแล้วจะเป็นไรไป”

เจิงเย่พลันเงยหน้าขึ้น พูดเสียงสะอื้น “แต่คุณสมบัติในการฝึกตนของข้าย่ำแย่”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เจิงเย่ หากเจ้ายังไม่ได้ทุ่มเทความพยายามเหนือคนปกติทั่วไป เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดว่าพรสวรรค์ของตัวเองไม่ดี คุณสมบัติแย่! คำพูดประเภทนี้ เจ้าจะเอาไปพูดกับคนอื่นพันครั้งหมื่นครั้ง ข้าไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับข้า ขอแค่เจ้ายังอยากฝึกตนกับข้าก็พูดได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”

เจิงเย่อึ้งตะลึง

เฉินผิงอันขยับเท้าก้าวนำไปก่อน พูดกับเจิงเย่เป็นประโยคสุดท้ายว่า “ข้าจะรอเจ้าที่หน้าประตูภูเขา ก่อนหน้านั้นข้าจะไปบอกลากับผู้ฝึกตนของภูเขาหวงหลี เจ้าไม่ต้องตามมาแล้ว คำพูดในใจบางอย่างเจ้าสามารถพูดอยู่ตรงนี้คนเดียวได้ ส่วนจะพูดออกมาจากปากหรือไม่ก็ไม่สำคัญ จะจดจำไว้ในใจอย่างยาวนานได้จริงหรือไม่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นข้อพิสูจน์ให้รู้ว่าเจ้าชอบแม่นางซูมากน้อยแค่ไหน แต่ข้าขอพูดประโยคหนึ่งที่เจ้าอาจจะไม่ชอบฟังสักเท่าไหร่ ต่อให้อีกไม่กี่เดือนหรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้าเจ้าจะไปชอบผู้หญิงคนอื่นแล้ว ข้าก็ไม่มีทางดูแคลนเจ้าเจิงเย่ด้วยเรื่องนี้ แต่ถ้าหาก…ถ้าหากเจ้าสามารถจดจำแม่นางซูได้ตลอดเวลา ข้าจะต้องมองเจ้าเจิงเย่ในทางที่สูงขึ้นแน่นอน!”

เฉินผิงอันทิ้งเจิงเย่ไว้ตรงนั้นคนเดียว ส่วนตัวเองย้อนกลับไปขอบคุณและบอกลาผู้ฝึกตนภูเขาหวงหลีเพียงลำพัง

เขาค่อยๆ เดินลงเขาช้าๆ

ตอนที่มานั่งอยู่บนขั้นบันไดล่างสุดของประตูภูเขา

หันหน้ากลับไปก็เห็นว่าเด็กหนุ่มสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงลงภูเขามา

……

บนถนนซงเฮ้อในเขตการปกครองแห่งหนึ่งของแคว้นสือหาวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง มีจวนสกุลหม่าที่ธรณีประตูสูงอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เดิมทีก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ภายหลังเป็นเพราะให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีที่มีชีวิตสูงส่งยิ่งกว่าเชื้อพระวงศ์ เป็นเหตุให้ตระกูลได้พัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตการปกครองที่กว้างใหญ่ เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่มีเทศกาลสำคัญ ใต้เท้าผู้ตรวจการมณฑลที่หยิ่งทระนงวางตัวสูงส่งเหนือใครคนนั้นก็ยังต้องส่งคนไปเป็นแขกที่จวนสกุลหม่าด้วยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ช่วงสิ้นปี เช้าตรู่ของวันนี้เสียงกีบเท้าม้าดังก้องสะท้อนอยู่บนถนนใหญ่ที่ปูด้วยหินเขียวเป็นระลอก มีทหารม้าสามนายควบม้าเข้ามายังถนนซงเฮ้อในเมืองแห่งนี้ก่อนผู้ใด

เนื่องจากไฟสงครามได้ลุกลามมาถึงแถบใจกลางของแคว้นสือหาวซึ่งถูกกั้นขวางไว้แค่มณฑลแห่งเดียวแล้ว สิ้นปีของปีนี้ ถนนซงเฮ้อจึงไม่มีกลิ่นอายมงคลของวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงอย่างในอดีตอีก

ทหารม้าทั้งสามพากันลงจากหลังม้า

บุรุษหนุ่มหน้าตาอิดโรยคนหนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียว แต่กลับพกดาบและกระบี่เลียนแบบจอมยุทธพเนจร

ชายหญิงสองคนข้างกายที่ทำหน้าที่จูงม้า หญิงสาวเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น น่าเสียดายที่สวมหมวกปิดคลุมใบหน้า และยังมีเด็กหนุ่มร่างกายบึกบึนที่สะพายหีบไม้ไผ่ไว้ด้านหลังอยู่อีกคน

คนเฝ้าหน้าประตูคือบุรุษวัยกลางคนที่แต่งกายไม่เป็นรองเศรษฐีผู้มีอิทธิพลในอำเภออ้าปากหาวหวอด ชำเลืองตามองคนต่างถิ่นที่เป็นผู้นำคนนั้นแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจนัก เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าคนผู้นี้มาจากเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนก็พลันสะดุ้งโหยง ไม่เหลือความง่วงงุนอยู่อีกเลย เขารีบก้มหน้าค้อมเอว บอกว่าเซียนซือโปรดรอสักครู่ เขาจะไปแจ้งเจ้าประมุขเดี๋ยวนี้ คนเฝ้าประตูผู้นั้นวิ่งเร็วๆ ออกไป ยังไม่ลืมหันหน้ามายิ้มกล่าวว่าขอเซียนซือหนุ่มโปรดอย่าร้อนใจ เขาจะต้องรีบไปรีบกลับแน่นอน

จวนแห่งนี้กว้างใหญ่ ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา คนเฝ้าประตูที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะก็เร่งร้อนเดินมาพร้อมกับบุรุษร่างผอมบางท่าทางสุภาพสง่างามซึ่งจอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาคนหนึ่ง

ด้านหลังคนทั้งสองคือผู้เฒ่าที่ก้าวเดินไม่รีบร้อน แต่กลับเดินไม่ช้าแม้แต่น้อย ลักษณะคล้ายอาจารย์ในโรงเรียน

สตรีที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมหน้าน้ำตาเอ่อคลอดวงตาอยู่นานแล้ว เพียงแต่นางกัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่เปิดปากเอ่ยอะไร

เฉินผิงอันหยิบแผ่นหยกแผ่นนั้นออกมา อาจารย์ผู้เฒ่ารับเอาไปตรวจดูทั้งด้านตรงและด้านหลังอย่างละเอียด ก่อนจะส่งมอบกลับคืนไปให้เฉินผิงอันอย่างนอบน้อม เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้ถวายงานมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับแต่ไกล”

เจ้าประมุขสกุลหม่าสะกดกลั้นความตกตะลึงระคนยินดีและความกริ่งเกรงในใจเอาไว้ รีบเชื้อเชิญให้คนทั้งสามที่เดินทางไกลมาจากเกาะชิงเสียเข้าไปในจวนของตัวเอง

เดิมทีสกุลหม่ายังคิดจะใช้พิธีเปิดประตูกลางต้อนรับเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ แต่กลับถูกเซียนซือหนุ่มคนนั้นปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

เฉินผิงอันใช้คำพูดที่ปรึกษากับสตรีซึ่งในอดีตเป็นทายาทสายตรงสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่จวนสกุลหม่ามาตั้งแต่แรก มาเอ่ยกับเจ้าประมุขที่อายุเกือบร้อยปีแต่กลับยังสุขภาพแข็งแรงผู้นี้อย่างตรงไปตรงมาว่า “หม่าตู่อี๋ที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน แรกเริ่มสุดเป็นผู้ฝึกตนของเกาะซงเฟิง แต่ได้ไปเกิดใหม่ในสำนักของผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีนามว่าเส้าต้งเทียน เดิมทีไม่มีหวังบนมหามรรคา ภายหลังหม่าตู่อี๋ได้รับโชควาสนาอย่างอื่น จึงได้เดินเข้าสู่การฝึกตนที่แท้จริง โชคดีที่อยู่สายเดียวกับข้า ตอนนี้จึงถือว่าเป็นรุ่นหลานของข้า ดังนั้นข้าออกเดินทางไกลมาครั้งนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสกุลหม่าของพวกเจ้าโดยเฉพาะ”

คำกล่าวประโยคนี้ ในฐานะแขก อันที่จริงถือว่าไม่เกรงใจกันอย่างมากแล้ว ประหนึ่งคนที่หลุบตามองเหยียดคนอื่น สอดคล้องกับน้ำเสียงของผู้ฝึกตนทะเลสาบซูเจี่ยนคนหนึ่ง แล้วก็สอดคล้องกับลักษณะของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลชั้นสูงบนยอดเขาของแคว้นสือหาวอย่างมาก

แต่เจ้าประมุขสกุลหม่าก็ดี ผู้ถวายงานของตระกูลคนนั้นก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้จึงจะถูก

เพราะบางทีพวกเขาคงต้องลองประเมินดูว่าสถานะผู้ถวายงานของคนหนุ่มตรงหน้าเป็นจริงหรือเท็จแล้วจริงๆ เพราะอีกฝ่ายอาจเห็นว่าตอนนี้สกุลหม่าตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม ก็เลยคิดจะมาหลอกเล่นงานพวกตน ไม่อย่างนั้นมากสุดพวกเขาก็แค่ต้องตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ให้อีกฝ่ายได้กินอิ่มหนำ แล้วค่อยรีบส่งเทพออกไปจากบ้าน เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็น ถึงอย่างไรตอนนี้สิ่งที่สกุลหม่าต้องการก็คือการส่งถ่านท่ามกลางหิมะที่แท้จริง ไม่ใช่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรที่ไม่เจ็บไม่คันอะไรนั่น

แม้ว่าจะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในตัวตนของผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงอย่างไรส่วนที่เชื่อก็มากกว่า ดังนั้นคำพูดคำจาจึงยิ่งเกรงใจ จนแทบจะใกล้เคียงกับการประจบเอาใจ

อย่างไรเสียการพูดจาอย่างมีมารยาท ต่อให้พูดเป็นกระบุงโกยก็ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว

สกุลหม่ามีทรัพย์สมบัติได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าอาศัยแค่การอ่านตำราอริยะปราชญ์อย่างยากลำบากของรุ่นบรรพบุรุษ และรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเดียวเท่านั้น

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือหลายสิบปีมานี้ สกุลหม่ามีหน้ามีตามากเกินไป ทำอะไรก็ราบรื่นไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเงินจากฝ่ายไหนก็ล้วนอยากได้ ผลคือกลับได้ปัญหาใหญ่เทียมฟ้ามาแทน สกุลหม่าไม่กลัวเรื่องการใช้เงินแก้ปัญหา กลัวก็แต่ว่าจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อไปแล้ว แต่ที่ได้มาไม่ใช่ยันต์คุ้มครองชีวิตที่สามารถฟาดเงินสะเดาะเคราะห์ แต่เป็นยันต์เร่งเอาชีวิตเสียมากกว่า

หากเซียนซือหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์อาคนใหม่ของหม่าตู่อี๋จริง ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องมงคลอย่างใหญ่หลวง!

แคว้นสือหาวในทุกวันนี้ ตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงระดับท้องถิ่น คำพูดของผู้ฝึกตนเทพเซียนคนหนึ่งที่มีน้ำหนักมากพอยังใช้ได้ผลยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่ที่น่าสงสารในที่ว่าการหกกรมกลุ่มนั้นเสียอีก!

เข้ามานั่งในห้องโถงใหญ่ เฉินผิงอันก็ยังคงพูดจาอย่างกระชับเรียบง่าย บอกว่าเขากับหม่าตู่อี๋สนิทกันไม่น้อย หากสกุลหม่าเจอเรื่องยากลำบาก เขาก็จะพยายามช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้มากที่สุด หากฐานะทางตระกูลมั่นคงดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูว่าในตระกูลมีต้นกล้าที่ดีที่เหมาะกับการฝึกตนหรือไม่ เพราะหากมีโชควาสนาเช่นนี้จริง ถึงเวลานั้นต้นกล้าที่ดีต้นนั้นจะถูกส่งตัวไปฝึกตนที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะให้เขาทิ้งเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งไว้ให้ก็ล้วนได้ทั้งสองอย่าง

สามวันต่อมา ม้าทั้งสามตัวก็ออกไปจากเมือง

สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นหันกลับไปมองกำแพงเมืองแวบหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน

หลังจากที่ผู้ถวายงานหนุ่มของเกาะชิงเสียปรากฏตัว เรื่องสำคัญเร่งด่วนของสกุลหม่าในตอนนี้ก็คือไปเยือนจวนผู้ตรวจการมณฑลมารอบหนึ่ง แล้วก็ผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่น

เด็กสกุลหม่าคนหนึ่งที่พอจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ห้าได้อย่างถูไถได้ไปอยู่ในสำนักของเทพเซียนผู้เฒ่าคนหนึ่งของเขตการปกครองแล้วเริ่มฝึกตน ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แค่ได้รับการบันทึกชื่ออะไร แต่เป็นลูกศิษย์เข้าสำนักอย่างแท้จริง จำเป็นต้องได้รับการจดบันทึกไว้ในที่ว่าการของราชสำนักอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าเด็กคนนั้นนอกจากจะมีอาจารย์ในนามแล้ว ทางตระกูลยังคอยสนับสนุนเงินเทพเซียนให้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกปีเงินจำนวนนี้จะเข้าไปในกระเป๋าของอาจารย์ แน่นอนว่าไม่ได้เอามาใช้ปูทางในการฝึกตนของเด็กคนนั้นทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเด็กคนนั้นไม่มีเรื่องให้ต้องคอยกังวลในภายหลังอีกแล้ว เพราะเขาจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์ที่เป็นของเขาอย่างแท้จริงมาได้ไม่มากก็น้อย

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่เอ่ยอะไร

ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทางโลกอย่างเจิงเย่ ตลอดหลายวันที่อยู่ในจวนสกุลหม่านี้ เขาก็ยังมองออกว่าตั้งแต่เจ้าประมุขสกุลหม่ามาจนถึงสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้น ต่างก็ไม่เหลือความผูกพันอะไรต่อหม่าตู่อี๋บุตรสาวที่ไปจากข้างกายนานแล้วอีกต่อไป ในถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยแฝงไว้ด้วยการสอบถามนั่นนี่อย่างระมัดระวัง ถามประวัติความเป็นมาของสำนักหม่าตู่อี๋ ถามถึงขอบเขตและตบะของหม่าตู่อี๋ เลียบๆ เคียงๆ ถามว่าผู้ฝึกตนหนุ่มมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วหรือยัง…สรุปก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับหม่าตู่อี๋เปลี่ยนจากผู้ฝึกตนเกาะซงเฟิงไปเป็นผู้ฝึกตนเกาะชิงเสีย สองสามีภรรยาแค่ถามพอเป็นพิธีคำสองคำ แต่นั่นก็เหมือนคำพูดตามมารยาทในงานเลี้ยงรับรองของวงการขุนนางหรือในงานเลี้ยงสุราทั้งหลายที่ควรต้องพูดถึงสักหน่อย มีถามมีตอบ อันที่จริงไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก เพราะไม่อย่างนั้นบรรยากาศจะกระอักกระอ่วนเกินไป แค่นี้เท่านั้น

ความห่างเหินระหว่างความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก บางทีอาจเป็นเพราะหม่าตู่อี๋จากบ้านไปนานเกินไป การฝึกตนบนเกาะซงเฟิงไม่ราบรื่น ทำให้บรรพจารย์รู้สึกผิดหวัง จนกระทั่งตายไปก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตห้า ไม่สามารถออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดได้ ดังนั้นระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจึงมีมากเกินไป บางทีพ่อแม่อาจรู้สึกว่าสถานะของบุตรสาวแตกต่างไปจากตนแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะควันธูปของลูกหลานโชติช่วง บุตรชายหญิงที่อยู่ใกล้ชิดย่อมได้รับความชื่นชอบจากผู้อาวุโสในตระกูลมากกว่าบุตรสาวที่ ‘แต่งออกไปไกล’ …เหตุผลอาจมีร้อยพันอย่าง แต่เรื่องจริงกลับมีเพียงอย่างเดียว

เวลานี้ไม่ว่าคำพูดใดๆ ของคนนอกก็มีแต่จะกลายเป็นดั่งการจ้วงมีดลงบนหัวใจ พูดหนึ่งคำก็เจ็บปวดหนึ่งครั้ง

ดังนั้นครั้งหนึ่งระหว่างหยุดม้า เฉินผิงอันจึงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เจิงเย่ ไม่ให้เด็กหนุ่มนิสัยซื่อใสที่อดใจไม่ไหวเตรียมจะเปิดปากเอ่ยปลอบใจสักสองสามคำพูดอะไรออกมา

เฉินผิงอันไม่ได้เก็บยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกซึ่งเป็นที่พักพิงของหม่าตู่อี๋แผ่นนั้นลงไป แต่ปล่อยให้นางขี่ม้าผ่อนคลายอารมณ์ ติดตามพวกเขาไปยังสถานที่ถัดไป

ผ่านไปสองวันสายตาของเจิงเย่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทว่ารูปโฉมและน้ำเสียงกลับคงเดิม แต่ดวงตาของคนก็คือหน้าต่างของหัวใจ ง่ายที่จะส่งผลต่อการรับรู้ทางรูปลักษณ์ของผู้อื่น

ในที่สุดหม่าตู่อี๋ก็เลิกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงเป็นเพราะรู้สึกว่าสภาพของเจิงเย่ในเวลานี้ค่อนข้างจะน่าสนใจ

นั่นเป็นเพราะมีจิตหยินของนักการคนหนึ่งบนเกาะชิงเสียเริ่มเข้ามาสิงร่างเจิงเย่ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างไปจากการ ‘เชิญเทพเข้าร่าง’ ‘เปิดประตูรับวิญญาณ’ ที่ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปเชี่ยวชาญอยู่บ้าง

ส่วนวิธีการที่แท้จริงนั้น หม่าตู่อี๋ย่อมมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก

ขยับเข้าไปใกล้หมู่บ้านในป่าเขาแห่งหนึ่ง

ก็เห็นหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ต่อให้จะมีรอยปะชุน ก็ยังไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางยากจนตกอับอยู่ดี

นางเพิ่งจะกลับมาจากซักผ้าริมลำธาร ในมือคล้องตะกร้าสานใบใหญ่ ขาที่ก้าวเดินกะโผลกกะเผลก

สำหรับหญิงชราบ้านป่าที่อายุมากคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ชีวิตคนและเรื่องราวทางโลกผ่านการขัดเกลามามากมาย แค่ใช้ชีวิตที่ยากลำบากโดยไร้คำพร่ำบ่นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว คนจนอยากมีชีวิตเหมือนคนรวยย่อมยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากอยากมีชีวิตที่อิสระเสรีผ่อนคลายกลับยากยิ่งกว่า

‘เจิงเย่’ พลิกกายลงจากหลังม้า วิ่งตะบึงโซซัดโซเซไปด้านหน้า มาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชราแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า เอาแต่โขกศีรษะคำนับเสียงดังตึงๆ

หญิงชรามีสีหน้ามึนงง นางรีบวางตะกร้าสานลง ไม่มีเวลามาสนใจว่าเสื้อผ้าที่เพิ่งซักสะอาดจะเปื้อนดินหรือไม่ นางทรุดตัวลงนั่งอย่างเปลืองแรงเล็กน้อย คิดจะช่วยประคองเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ขึ้นมา นางถามอย่างร้อนใจด้วยภาษาท้องถิ่นที่ทั้งเฉินผิงอันและหม่าตู่อี๋ต่างก็ไม่เข้าใจ “นี่เจ้าทำอะไรกัน? นี่เจ้าทำอะไร? อย่าทำแบบนี้ อย่าทำแบบนี้…”

คืนนั้น

ในบ้านของหญิงชรามีสาวงามยันต์หนังจิ้งจอกโผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน ทว่าด้านในกลับมีบุรุษคนหนึ่งอาศัยอยู่ บนโต๊ะวางเงินเทพเซียนหนึ่งกองที่คนผู้หนึ่งซึ่งจากไปทิ้งเอาไว้ ปราณวิญญาณในเงินกองนี้มากพอจะให้เขาประคับประคองตัวเองไปยี่สิบปี

มากพอจะให้เขาอยู่ต่อเพื่อดูแลหญิงชราในช่วงบั้นปลายชีวิตจนกระทั่งนางจากไป

หลังจากแขกพากันจากไปไกลแล้ว หญิงชราและ ‘หลานชาย’ ที่จากบ้านไปนานหลายปีผู้นี้ก็จับมือกันและกัน นั่งหลั่งน้ำตาอยู่ตรงข้ามกัน

บนทางสายเล็กของหมู่บ้านชนบท ยังคงเป็นม้าสามตัวที่จากไป

จิตวิญญาณของเจิงเย่แกว่งไกวเล็กน้อย จำเป็นต้องสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ

คนทั้งสามเดินทางกลับพร้อมกันอย่างไม่รีบร้อน

หม่าตู่อี๋พลันเอ่ยขึ้นว่า “หญิงชราคนนั้นเป็นคนดี แต่ตอนนี้ที่รู้ความจริงก็ไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับเจ้า ใช้ชีวิตแลกชีวิต แม้เหตุผลจะถูกต้อง แต่นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าคิดว่านางควรจะพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้นี่แหละถึงจะถูกต้องแล้ว”

หม่าตู่อี๋พลันแค่นเสียงเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เห็นไหม ขนาดนั้นหญิงชราบ้านป่าคนหนึ่งยังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ยิ่งกว่าพ่อแม่ใจดำของข้าเสียอีก!”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “โมโหแทบตายแล้วใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นกลับไปที่เมือง ให้ข้าทวงเงินเทพเซียนก้อนนั้นคืนมาแทนเจ้า? แล้วค่อยช่วยเจ้าด่าพ่อแม่เจ้าสักรอบ? ตามกฎเดิม เจ้าคิดหาถ้อยคำ ส่วนข้าจะเป็นคนพูดเอง”

หม่าตู่อี๋ที่นั่งอยู่บนหลังม้าซึ่งเยาะย่างเนิบช้าหันมาทำเสียงถุยใส่นักบัญชี “ฝันไปเถอะ! สมกับเป็นนักบัญชีที่ถูกเงินบังตาจริงๆ มีโอกาสได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ยอมให้พลาดสักนิด”

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

หม่าตู่อี๋พลันพูดกลั้วหัวเราะ “รู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อแม่ข้าถึงตั้งชื่อนี้ให้ข้า? เพราะตอนที่ข้ายังไม่เกิด หมอตำแยพูดจาอย่างน่าเชื่อถือว่าต้องเป็นบุตรชายตัวอ้วนใหญ่แน่นอน ผลคือพอข้าคลอดออกมา ท่านพ่อที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินว่าเป็นลูกสาวก็อึ้งตะลึงไปทันที ก่อนจะกระทืบเท้าเดินหนีไปด้วยความขุ่นเคือง เพียงแต่สุดท้ายก็ยังย้อนกลับมาด้วยความโกรธ ในอดีตท่านแม่ข้าเคยพูดกับข้าอยู่บ่อยๆ ว่า ครั้งแรกที่พ่อของเจ้าได้เห็นเจ้าที่เหมือนหยกสีชมพูแกะสลัก ไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่ตอนเกิดใหม่จะหน้าตาอัปลักษณ์แม้แต่น้อย กลับกันยังงดงามอย่างมาก ท่านพ่อเจ้าก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง ใช่แล้ว รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงชื่อ ‘ตู่อี๋’? ข้าถามเจ้าอยู่นะ ท่านเฉินผู้ยิ่งใหญ่!”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มแล้วส่ายหน้า

หม่าตู่อี๋โคลงศีรษะไปมาเหมือนอาจารย์ในโรงเรียนในวัยเด็กที่ตนไม่ชอบอย่างถึงที่สุด “พรสวรรค์สูงส่ง บวกกับการมานะตั้งใจเรียน เชี่ยวชาญชำนาญ ก้าวย่างลำพังบนมหามรรคา เหมาะสมยิ่งแล้ว!” (ในประโยคมีคำว่าตู่ และคำว่าอี๋)

เฉินผิงอันถาม “ไม่ใช่ ‘ก้าวย่างลำพังอย่างโดดเด่น’ หรอกหรือ?”

หม่าตู่อี๋กุมท้องหัวเราะก๊าก “ดีนักนะ ท่านอาจารย์เฉิน ถูกข้าดึงหางจิ้งจอกออกมาได้แล้วสินะ?!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เอาเถอะๆๆ เจ้าฉลาดนักล่ะ”

หม่าตู่อี๋หันหน้ามาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านเฉิน ทำอย่างนี้กับพวกเรา เพื่ออะไรกัน?”

เฉินผิงอันปล่อยมือที่กำเชือก สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดพึมพำว่า “นั่นสิ เพื่ออะไรกัน?”

หม่าตู่อี๋จ้องมองซีกหน้าที่ค่อนข้างผอมตอบอย่างเหม่อลอย ไร้ความรู้สึกรักหลงของชายหญิง เพียงแค่มองแล้วรู้สึกเวทนา ถึงขั้นกลบทับความรู้สึกเสียใจที่ลอยเวียนวนอยู่ในหัวใจของตัวเองลงไปได้

จากนั้นก็เห็นว่าบุรุษสวมชุดผ้าฝ้ายหดมือกลับมา ปรบมือหนึ่งครั้ง “มีคำตอบแล้ว!”

หม่าตู่อี๋ทำหน้าสงสัยใคร่รู้

นักบัญชีที่ตรงเอวห้อยดาบสลับกับกระบี่คลี่ยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างที่หาได้ยาก “เหมาะสมยิ่งแล้ว! เพราะเหมาะสมยิ่งแล้ว!”

หม่าตู่อี๋หัวเราะตามไปด้วย เพียงแต่ปากกลับพูดว่า “คำตอบกะผายลมสุนัขอะไร”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “หากยังบ่นมากอีก ระวังข้าจะเก็บเจ้ากลับไป”

หม่าตู่อี๋ไม่กลัวแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของเขา “สถานที่ถัดไปคือที่ใด?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม หรี่ตามองไปไกลพลางพึมพำเบาๆ “อยู่ในโลกมนุษย์ก็แล้วกัน”

หม่าตู่อี๋หัวเราะเสียงสูง “เหมาะสมยิ่ง!”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะตามไป “ประเสริฐ”

เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ไกลห่างไปจากหมู่บ้านชนบทที่มีแต่เสียงหมาเห่าไก่ขัน

หิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ใหญ่ที่สุดซึ่งตกเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้มาเยือนอย่างกะทันหัน

กลางดึกที่ลมหิมะพัดหวีดหวิว

พวกเขาเดินทางออกห่างมาไกลจากหมู่บ้านนานแล้ว

วัตถุหยินเช่นหม่าตู่อี๋ไม่หวาดกลัวหิมะหนาวเหน็บแม้แต่น้อย ยังคงผ่อนคลายสบายอารมณ์ ระหว่างนั้นยังท่องกลอนร้องเพลง บอกว่าหิมะใหญ่เหมือนวิหคบิน มองไปเห็นเพียงชายคาราบเรียบ ออกจากบ้านลมหนาวปะทะใบหน้า…

เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังม้ากวาดตามองไปรอบด้านอยู่หลายครั้ง พยายามมองหาสถานที่พักพิงที่สามารถหลบลมหิมะได้ พอได้ยินประโยคนี้ของนางก็อดบ่นเสียงสั่นไม่ได้ “แค่ลมหนาวปะทะใบหน้าเสียที่ไหน นี่มันหนาวจนเกือบจะทำให้คนแข็งตายอยู่แล้ว…”

หม่าตู่อี๋หัวเราะคิกคัก “อาจารย์เฉิน คราวนี้ยังประเสริฐอยู่อีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง เขาเปลี่ยนจากนั่งอยู่บนหลังม้ามาเป็นยืนอยู่บนหลังของมัน พยายามมองไปให้ได้ไกลที่สุด ครู่หนึ่งต่อมา ในที่สุดก็สังเกตเห็นว่ามุมหนึ่งที่ห่างไปไกลคล้ายจะมีประกายแสงไฟให้เห็นวับแวม

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

ระยะทางที่คนทั้งสามขี่ม้ากันมานี้ถือเป็นการย้อนกลับทางเดิม ภาพบรรยากาศที่ได้พบเห็นมาก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันแอบจดจำไว้ในใจเงียบๆ แล้ว และเดิมทีไม่ควรจะมีแสงสว่างเช่นนี้ถึงจะถูก

และในขณะที่เฉินผิงอันคิดจะฝืนทนกับความหนาวเย็นจากลมหิมะที่เหมือนมีดกรีดแทงเดินทางต่อไปโดยอ้อมแสงไฟที่มองเห็นเลือนรางนั้นเอง

เขากลับค้นพบว่าแสงสว่างเล็กน้อยนั่นคล้ายจะขยับเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ หากไม่ผิดไปจากที่คาด สุดท้ายแสงไฟกับม้าสามตัวนี้จะต้องไปรวมตัวกันอยู่บนทางเบื้องหน้า

เฉินผิงอันกลับสงบใจลงได้ อากาศเช่นนี้ คนที่สามารถจับตามองตนทั้งที่อยู่ห่างไปไกลขนาดนี้ อีกทั้งยังเลือกโอกาสเหมาะในการลงมือ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไม่ใช่โจรป่าอะไร และหากเป็นผู้ฝึกตนอิสระหรือภูตผีปีศาจจริงๆ เขาก็พอจะวางใจลงได้มาก

ฟ้าดินกว้างใหญ่ บางครั้งการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ง่ายดายเสมอไป มีเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้นที่ง่ายที่สุด

หม่าตู่อี๋กลับรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ในที่สุดนางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน พวกเราจะไม่เดินทางอ้อมไปหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยเรียบๆ “ไม่ต้อง”

หม่าตู่อี๋อึ้งตะลึง

คงเป็นเพราะเคยชินกับนักบัญชีที่พูดคุยง่ายที่สุดไปแล้ว นับตั้งแต่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนมาจนกระทั่งบัดนี้ หม่าตู่อี๋ถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า อันที่จริงแล้วขอแค่เป็นช่วงเวลาที่ท่านเฉินผู้นี้รู้สึกว่าไม่ต้องพูดกันดีๆ เขาก็จะกลายเป็นคนที่พูดยากยิ่งกว่าใครอย่างแท้จริง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!