Skip to content

Sword of Coming 449

บทที่ 449 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง

ลมหิมะเป็นอุปสรรคและอันตราย ม้าทั้งสามตัววิ่งห้อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางของแคว้นสือหาว

นครที่มีกำแพงสูงใหญ่จำนวนไม่น้อยซึ่งเป็นสถานที่ที่กองทัพต้องยึดครองมาล้วนเต็มไปด้วยหลุมบ่อผุพัง กลับกลายเป็นแถบชนบทชานเมืองเสียอีกที่ส่วนใหญ่โชคดีรอดพ้นจากภัยสงครามมาได้ ทว่าชาวบ้านต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ระเหเร่ร่อนหนีภัยพิบัติไปสี่ทิศ และยิ่งมาเจอกับหิมะใหญ่ที่ตกหนักถึงสามครั้งติดนับตั้งแต่เข้าหน้าหนาวมา ข้างถนนทางหลวงของหลายๆ สถานที่จึงมีแต่ศพผอมแห้งที่หนาวตาย มีทั้งคนหนุ่ม สตรี เด็กและคนชรา

หม่าตู่อี๋มีจิตใจเมตตา เจิงเย่ซื่อบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะคนหรือผีล้วนไม่เหมือนผู้ฝึกตนที่แท้จริงของทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นเมื่อเฉินผิงอันเดินทางผ่านเมืองแห่งหนึ่งแล้วบอกว่าจะควักเงินหาคนในท้องที่มาช่วยตั้งโรงทานและร้านยา เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว พวกเขาค่อยเดินทางกันต่อ นี่จึงทำให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดีใจกันเป็นอย่างมาก

เฉินผิงอันจึงควักแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียออกมาแขวนไว้ตรงเอวฝั่งตรงข้ามกับดาบและกระบี่ แล้วไปเยือนที่ว่าการในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง หม่าตู่อี๋สวมหมวกคลุมหน้าปิดบังรูปโฉม อีกทั้งยังสวมชุดผ้าฝ้ายหนาใหญ่ที่เหลือเกินมา แม้แต่หุ่น อรชรอ้อนแอ้นของสาวงามหนังจิ้งจอกก็ถูกบดบังไปด้วย

ก่อนหน้านี้พวกเขาเดินทางผ่านเมืองและอำเภอกันมาไม่น้อย ยิ่งขยับเข้าใกล้พื้นที่ใจกลางแคว้นสือหาว ยิ่งขยับขึ้นไปทางเหนือ คนตายก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยังได้เห็นทหารม้าเพิ่มขึ้น บ้างก็เป็นทหารม้าอิสระผู้กล้าหาญที่แพ้สงครามจึงหนีมาทางใต้ของแคว้นสือหาว บ้างก็เป็นทหารบู๊ที่สวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยม มองไปแล้วเข้าท่าเข้าที เจิงเย่จึงรู้สึกว่าทหารแคว้นสือหาวที่เดินทางไปสนามรบทางเหนือเหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะได้ไปสู้รบกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี

แต่เฉินผิงอันกลับรู้ดีว่า หากเกิดสงครามกันขึ้นมา ทหารบู๊ที่สวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยมซึ่งเพิ่งเอาออกมาจากคลังยุทโธปกรณ์ของแต่ละสถานที่ อีกทั้งในมือยังถืออาวุธที่ฝุ่นเกาะมานานหลายปีแต่ก็ยังดูใหม่เหล่านี้จะต้องตายเร็วมาก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะโชคดีมีโอกาสเปลี่ยนจากทหารใหม่ที่ ‘ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะตายอย่างไร’ ค่อยๆ เดินทีละก้าวกลายไปเป็นทหารเก่าที่ ‘รู้ว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร’

ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันได้เห็นภาพสงคราม อันโหดร้ายที่ตัดสินโชคชะตาของสี่แคว้นกับตาตัวเองมาหลายครั้ง

ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ เฉินผิงอันก็เคยเห็นทหารลาดตระเวนชายแดนทางใต้ของต้าหลีมากับตาตัวเองเช่นกัน เห็นเพียงต้นตอก็อนุมานทิศทางการดำเนินไปได้ เขาจึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดกองทัพชายแดนต้าหลีถึงมีฉายาว่า ‘หนุ่มฉกรรจ์บนเนิน’ นั่นเป็นเพราะพวกเขาล้วนยืนอยู่บนเนินที่เกิดจากการกองทับถมกันของกระดูก กลายเป็นทหารเก่าร้อยศึกที่รอดชีวิตมาได้ในท้ายที่สุด บางทีในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ของต้าหลี ทหารชายแดนอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ คนหนึ่งอาจเคยทำสงคราม เคยเห็น คนตายมามากกว่าแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจแท้จริงอายุสี่สิบห้าสิบปีที่อยู่ในแคว้นสือหาวนี่เสียอีก

อันที่จริงเฉินผิงอันคิดไปไกลยิ่งกว่านั้น ในฐานะที่แคว้นสือหาวเป็นหนึ่งใน แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋ง ไม่พูดถึงพวกคนอย่างหวงเฮ้อ หันจิ้งหลิง พูดถึงแค่แคว้นใต้อาณัติส่วนใหญ่เหล่านี้ พวกเขาก็เหมือนองค์ชายหันจิ้งซิ่นที่กล้าลงมือสังหารทหารลาดตระเวนของต้าหลีที่มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพมาสองคนด้วยตัวเอง กองทัพชายแดนเหนือของแม่ทัพเว่ยวัตถุหยินก็ยิ่งถูกสังหารจนสิ้น กระนั้นฮ่องเต้ แคว้นสือหาวก็ยังต้องพยายามระดมเอากำลังทหารมาจากชายแดนแถบต่างๆ เพื่อขัดขวางการกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี ตอนนั้นเมืองหลวงถูกโอบล้อม แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังวางท่าว่าจะปกป้องเมืองให้ได้ถึงที่สุด

 

เหตุใดแคว้นสือหาวถึงยินดีทำเช่นนี้? ยอมสละชีวิตของคนมากมายขนาดนั้นไปเป็นหินปูทางโดยไม่เสียดาย แต่ก็ต้องพยายามขัดขวางกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่มีผู้นำคือซูเกาซานให้จงได้?

นักประพันธ์เขียนไว้ในตำราว่า ฤดูหนาวเหมาะกับหิมะตก ประหนึ่งเสียง ตีหยกแก้วใส

เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล บนเส้นทางคือหิมะ บนภูเขาก็คือหิมะ ราวกับภาระหนักอึ้งที่สวรรค์กดลงมาบนบ่าของมนุษย์

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที เพียงแค่คิดถึงเสียงเกราะเหล็กดังกังวานในอาราม หลิงกวานคืนนั้น เขาก็พอจะโล่งใจได้บ้าง

ตลอดทางที่ขึ้นเหนือกันมานี้ หม่าตู่อี๋ยังดีหน่อย นางเคยเป็นเซียนซือทำเนียบ วงศ์ตระกูล แล้วก็เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่แท้จริงของทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อน ความทุกข์ความเศร้าย่อมเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกอกตกใจมากเกินไป แต่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เป็นดั่งนรกบนดินวันแล้ววันเล่า แม้แต่เจิงเย่ที่ตอนแรกยังหลั่งน้ำตาเงียบๆ ก็ยังเริ่มชาชินแล้ว

ระหว่างนี้เจิงเย่เคยให้วัตถุหยินเพศชายสิงร่างอยู่หลายครั้ง บางตนก็ทำตามความปรารถนาก่อนตายได้สำเร็จ บางตนก็ยังรู้สึกเสียดาย เพราะเมื่อไปเยือนมาตุภูมิ บ้านเกิด วัตถุยังคงเดิมแต่คนเปลี่ยนไปนานแล้ว

ส่วนวัตถุหยินเพศหญิงที่พักพิงอยู่ในสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกนั้น แต่ละตนก็พากันไปจากโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นซูซินไจ แล้วก็มีสตรีวัตถุหยิน ตนใหม่ที่พากันมาพักอาศัยในกระดาษยันต์ เดินท่องอยู่ในโลกมนุษย์ กระดาษยันต์ แต่ละแผ่นก็เหมือนโรงเตี๊ยมและท่าเรือแต่ละแห่งที่ผู้คนสัญจรไปมา บ้างก็เป็นการพบกันใหม่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ บ้างก็เป็นการจากลาไปอยู่กันคนละภพ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลือกของพวกนาง ถ้อยคำที่ใช้มีทั้งความจริงและการปิดบังอำพราง

วันนี้เฉินผิงอันพาหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ไปเยือนที่ว่าการของเจ้าเมือง ทุกอย่าง ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น

เจ้าเมืองของที่นี่คือผู้เฒ่าร่างอ้วนฉุจนแทบมองไม่เห็นดวงตา ยามอยู่ในวงการขุนนาง เวลาเห็นใครเป็นต้องยิ้ม และพอยิ้มก็ยิ่งมองไม่เห็นดวงตาเข้าไปใหญ่

หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ชีวิตของผู้เฒ่าไม่สงบสุขเลยแม้แต่น้อย กองทัพทหารม้าทำสงครามกันวุ่นวาย นอกจากจะทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญเซียนซือของจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองมากที่สุดมาเป็นผู้คุ้มกันด้านล่างภูเขาแล้ว ด้วยความที่เหตุการณ์ฉุกเฉินจึงหาทางแก้ไขส่งเดช เขาจึงยังซื้อตัวผู้ฝึกตนอีกสองคนที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาไว้ด้วย พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเข้าตาเขาสักเท่าไหร่ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เป็นห้าขอบเขตล่างเหมือนกัน ด้วยความโมโหก็เกือบจะกลับบนภูเขาไปทันที เจ้าเมืองพยายามพูดจาดีๆ เพื่อโน้มน้าว อีกทั้งยังเพิ่มเงินเดือนให้เขาอีกสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ นี่ถึงได้ รั้งตัวเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่ค่อยอยากอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนอิสระสองคนนั้นเอาไว้ได้ เจ้าเมืองทั้งต้องเจ็บเนื้อและเจ็บใจ ยังดีที่พอเฉินผิงอันมาเยือนก็ทำให้เขารู้สึกว่า เงินสามเหรียญเกล็ดหิมะที่เกินมานั้น นำไปใช้อย่างคุ้มค่า เพราะเซียนซือทำเนียบ วงศ์ตระกูลคนนั้นไม่เสียแรงที่เป็นเทพเซียนแท้จริงซึ่งผู้ฝึกตนอิสระเทียบไม่ได้ แค่ได้จับแผ่นหยกก็มองออกว่าเป็นสมบัติที่ ‘เป็นหน้าเป็นตา’ สมกับคำว่ามีสายตาเฉียบแหลมของผู้เชี่ยวชาญ สรุปก็คือมองออกว่านั่นคือแผ่นหยกผู้ถวายงานระดับต้นของเกาะชิงเสียที่ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เขาจึงตัวสั่นเทิ้ม ขาดอีกแค่นิดเดียวก็คือลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้เซียนซือหนุ่มจากทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นั้น

เรื่องราวในลำดับถัดมาก็จัดการได้ง่ายแล้ว ผู้ถวายงานที่บอกว่าตัวเองแซ่เฉินคนนั้นบอกว่าต้องการตั้งโรงทานแจกโจ๊กและร้านยาในเมืองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน เขาจะเป็นคนควักเงินเอง แต่รบกวนให้ทางที่ว่าการช่วยจัดหากำลังคนมาให้ เงินไม่ต้องช่วยออกแล้ว ตอนนั้นในที่สุดหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็มองเห็นว่าดวงตาคู่นั้นของ ผู้เฒ่าเจ้าเมืองเบิกกว้าง

ถือว่าตาของเขาไม่เล็กเลยจริงๆ น่าจะเพราะรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่อยู่ข้างกายเจ้าเมืองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ คนดีมีเมตตาที่มาจากทะเลสาบซูเจี่ยน นั่นก็ไม่ต่างจากปีศาจใหญ่ที่ก่อตั้งจวนแล้วเรียกตัวเองว่าเทพเซียนหรอกหรือ?

กลับเป็นผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่มองดูเหมือนนอบน้อมขลาดกลัวที่หันมามองหน้ากันเอง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

จากนั้นก็เกิดเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ผู้ถวายงาน หนุ่มแซ่เฉินบอกให้เจ้าเมืองเชิญตัวเสมียนที่เชี่ยวชาญเรื่องภาษีครัวเรือนและ วิชาคำนวณด้านการค้ามากลุ่มหนึ่ง พอทุกคนมาถึงก็นั่งลงแล้วเริ่มปรึกษารายละเอียดกันว่าตอนนี้ราคาข้าวสาร ราคายาในตลาดเป็นอย่างไร คลังเสบียงในที่ว่าการมีจำนวนเสบียงเก็บไว้เท่าไหร่ จำนวนคร่าวๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ที่ตกระกำลำบากและชาวบ้านที่อพยพหนีภัยมา สถานที่ที่จะตั้งโรงทานและร้านยา ทางที่ว่าการของเมืองสามารถส่งคนที่ว่างง่านให้ไปช่วยโดยไม่ส่งผลกระทบต่องานหลวงได้มากน้อยแค่ไหน เป็นต้น แต่ละขั้นตอนรายละเอียดค่อยๆ ไล่เลียงกันไป ทำเอาพวกขุนนางในที่ว่าการที่มีประสบการณ์โชกโชนรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ปรึกษากันเรียบร้อย ทางฝั่งของจวนเจ้าเมืองก็เริ่มลงมือทำงานกันตั้งแต่ตอนนั้น พวกเสมียนก็พากันแยกย้ายไป

เฉินผิงอันสามคนพักอยู่ในเรือนหลังของที่ว่าการ ผลกลับกลายเป็นว่ากลางดึก คืนนั้นผู้ฝึกตนอิสระสองคนแอบมาหา โดยไม่เกรงกลัว ‘ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย’ แซ่เฉินผู้นั้นแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับความนอบน้อมเชื่อฟังเมื่อตอนกลางวันแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นคนละคน ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งถูนิ้วมือเข้าด้วยกัน ยิ้มถามว่าเฉินผิงอันไม่ควรจะจ่ายเงินปิดปากสักหน่อยหรือ ส่วนเรื่องที่ว่า ‘ผู้ถวายงานเฉิน’ คิดจะทำอะไรในเมืองแห่งนี้ ต้องการเงิน คน หรือสมบัติอาคม พวกเขาสองคนไม่คิดจะสนใจ

ตอนนั้นเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ยังอยู่พูดคุยกันในห้องของเฉินผิงอันอย่างที่หาได้ยาก

เพราะต่อให้เป็นเจิงเย่ที่ทึ่มทื่อก็ยังเริ่มไม่เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านเฉินได้ค่อยๆ ทำเรื่องที่ตัวเองต้องการทำสำเร็จไปทีละก้าวแล้ว แม้จะมีอุปสรรคและความไม่เพียบพร้อมไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ แล้วก็มีหลายครั้งที่ต้องกลับมามือเปล่า หรือแม้แต่ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ก่อนตายที่ไม่อาจสำเร็จได้ดังใจหวัง แต่ถึงอย่างไรก็มีภูตผีและวัตถุหยินที่ปรากฎตัวในแคว้นสือหาวไม่น้อยที่ไปจากโลกใบนี้ได้อย่างไร้ความเสียดายเช่นแม่นางซู

ตามหลักแล้วสภาพจิตใจของท่านเฉินควรจะผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะถูก

แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนี้

ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขที่ไม่รบกวนการใช้ความคิดของเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋และเจิงเย่จึงนั่งอยู่เป็นเพื่อนเขา ส่วนใหญ่เป็นนางและเจิงเย่ที่พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ท่านเฉินก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร แค่ไม่ค่อยชอบพูดคุยเท่านั้น แต่บางครั้งเวลาได้ยินพวกเขาสองคนเถียงกันเรื่องหยุมหยิม หรือไม่ก็พูดกันไปส่งเดชเพื่อฆ่าเวลา ท่านเฉินก็จะคลี่ยิ้ม หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่มักจะต้องรู้สึกแปลกใจบ่อยๆ เวลาเป็นเรื่องตลกที่พวกเขารู้สึกว่า น่าขำ ท่านเฉินกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ แต่พอพูดเรื่องที่ไม่น่าขำแม้แต่น้อย ท่านเฉินกลับหัวเราะเสียได้?

เวลานี้หนึ่งผีหนึ่งคนที่เท้าเหยียบอยู่บนกระถางไฟใบเล็กใต้โต๊ะกำลังมองผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่ทำตัวอวดฉลาดแล้วก็รู้สึกว่าน่าขำมากเป็นพิเศษ

หม่าตู่อี๋ใช้สายตาเจ้าเล่ห์และอยากรู้อยากเห็นรอมองดูว่าท่านเฉินจะจัดการอย่างไร

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าค่าปิดปากเป็นเงินกี่เหรียญเกล็ดหิมะถึงจะค่อนข้างยุติธรรม?”

ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่คิดคำพูดคร่าวๆ ไว้นานแล้วเอ่ยว่า “น้องชายสามารถเลียนแบบแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียได้แผ่นหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถหลอก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งได้ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้เงินก้อนใหญ่ คืนนี้ลำพังเพียงแค่เรื่องตั้งโรงทานและร้านยาก็ทุ่มเงินขาวไปอีกไม่น้อย ดังนั้นเงินค่าปิดปากนี้ ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีสัก…สี่สิบห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะกระมัง? ไม่ทราบว่าน้องชายคิดเช่นไร? ยินดีสละเงินเล็กน้อยแค่นี้เพื่อแลกมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่มั่นคงกว่าหรือไม่?”

เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมากดลงบนบ่าของผู้ฝึกตนอิสระสองคน “ในเมื่อ ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจับได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องฆ่าคนปิดปาก เหตุใดต้อง ควักเงินจ่ายค่าปิดปากด้วย หากพวกเจ้าได้เงินไปแล้วกลับไปสุมหัวกัน กลายเป็นว่าได้คืบแล้วจะยิ่งเอาศอก ไปๆ มาๆ ไม่เพียงแต่เป็นปัญหา ไม่แน่อาจจะยังทำให้เสียงานใหญ่ของข้าด้วย ไม่สู้ทำอะไรให้รวดเร็วฉับไวไปเลยดีกว่า ไม่ทราบว่าพวกเจ้าสองคนคิดเช่นไร?”

ในใจผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองคนเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมไม่หยุด พอถูกกดบ่าไว้อย่างนี้ ช่องโพรงลมปราณของพวกเขาก็ถึงกับสั่นสะเทือน ปราณวิญญาณชะงักค้าง

ไม่รอให้คนทั้งสองเปิดปากขอร้อง เฉินผิงอันก็ตีหน้าเคร่งกล่าวว่า “ข้าวางแผนไว้ใหญ่นักล่ะ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่หากคิดจะมีชีวิตออกไปจากเมืองแห่งนี้ก็ต้องจ่ายเงินซื้อชีวิตมาก่อนก้อนหนึ่ง แม้พวกเจ้าจะบอกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แต่ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีเงิน…เงินเกล็ดหิมะสัก สี่สิบห้าสิบเหรียญกระมัง?”

เดิมทีผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองก็ไม่ได้ร่ำรวย หลังจากรวบรวมเงินเกล็ดหิมะได้สามสิบสองเหรียญด้วยท่าทางเหมือนบิดาเสียก็พูดว่าไม่มีแล้วจริงๆ

 

เฉินผิงอันรับเงินเทพเซียนมาแล้วโบกมือ “กลับไปแล้วก็เพลาๆ ลงเสียบ้าง คอยรอฟังข่าวจากข้า ขอแค่รู้อะไรควรไม่ควร ถึงเวลานั้นเมื่องานสำเร็จจะแบ่งเศษน้ำแกงให้พวกเจ้าส่วนหนึ่ง แต่หากกล้ามีใจคิดร้าย วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีค่าอย่างแท้จริงบนร่างของพวกเจ้าจะถูกดึงออกมาจากช่องโพรงลมปราณโดยตรง ถึงเวลานั้นพวกเจ้าเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบแล้วจะเสียใจที่มาเยือนจวนเจ้าเมืองครั้งนี้”

ผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่ไม่ได้ถูกเพื่อนร่วมอาชีพ ‘ปล้นสะดมจนสิ้นเนื้อประดาตัว’ นอกจากจะรู้สึกโชคดีที่รอดชีวิตมาได้แล้ว ยังปิติยินดีเป็นที่สุด หรือว่าจะได้รับโชคดีหลังจากหายนะ? ผู้ฝึกตนอิสระสองคนกลับไปปรึกษากันแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ยาก แต่กระนั้นก็ไม่กล้าแอบหนีไป แล้วก็เสียดายเงินจากหยาดเหงื่อแรงกายที่สะสมมาอย่างยากลำบากสามสิบกว่าเหรียญนั่นด้วย ชั่วขณะนั้นก็ได้แต่ใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียพลางทอดถอนใจเฮือกๆ

หม่าตู่อี๋และเจิงเย่หัวเราะร่าอย่างถูกใจ

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ “ตอนที่พวกเราออกไปจากเมืองค่อยคืนเงินเกล็ดหิมะให้พวกเขา”

จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปมองเจิงเย่ “วันหน้าไปถึงมณฑลที่ขึ้นเหนือไปมากกว่านี้ อาจยังต้องตั้งโรงทานตั้งร้านยากันอีก แต่จะทำแค่สถานที่ละอย่างเท่านั้น ต้องดูที่โอกาสและสถานที่ เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูดถึง ข้าย่อมมีแผนการของตัวเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก แต่หากยังต้องตั้งโรงทานตั้งร้านยาอีก เจิงเย่ ข้าจะให้เจ้าเป็นคนทำ เจ้ามีหน้าที่ไปมาหาสู่กับคนตลอดทั้งที่ว่าการ ในขั้นตอนนี้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะทำผิดหรือจะต้องสิ้นเปลืองเงินโดยที่ไม่จำเป็น นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ไม่มีค่าพอให้เก็บไปใส่ใจ นอกจากนี้แม้ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกอย่างจริงจัง แต่ก็จะคอยชี้แนะเจ้าอยู่ข้างๆ”

เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรงก่อน จากนั้นก็ทำท่าจะพูดแล้วหยุดชะงักไป

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ทุกเรื่องล้วนยากลำบากตอนเริ่มต้นด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ควรจะมีการเริ่มต้น”

เจิงเย่จึงไม่พูดอะไรมากอีก เขาทั้งกระวนกระวายและทั้งลิงโลดใจ

ดูเหมือนว่านี่จะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจยิ่งกว่าการฝึกตนเสียอีก

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “รอเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายแล้ว จำไว้ว่าไม่ต้องเกรงใจที่จะเปิดปาก แค่พูดกับข้าตรงๆ ก็พอ ถึงอย่างไรการฝึกตนของเจ้าในวันนี้ก็ต้องมีการฝึกกำลังเป็นหลัก”

เจิงเย่พยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ท่านเฉินโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้ถ่วงการฝึกตนเด็ดขาด”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กหนุ่มมีแต่จะยิ่งมุมานะและยิ่งตั้งใจมากกว่าเดิม

หลังจากนั้นก็เลือกสถานที่ตั้งโรงทานและร้านยาในเมืองได้แล้ว ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างรวดเร็วและมีระบบระเบียบ ทั้งเป็นเพราะที่ว่าการคุ้นเคยกับงานประเภทนี้ดี และแน่นอนว่าที่มากกว่านั้นเป็นเพราะท่านใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นผู้ควบคุมตรวจสอบด้วยตัวเอง ส่วนสถานะของคนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายนั้น เจ้าเมืองผู้เฒ่า พูดอย่างคลุมเครือ ไม่ว่ากับใครก็ไม่ได้บอกอย่างแน่ชัด นี่จึงทำให้ผู้คนค่อนข้างเคารพยำเกรง

สามวันต่อมา เฉินผิงอันบอกให้หม่าตู่อี๋นำเงินเกล็ดหิมะสามสิบสองเหรียญนั้นไปแอบวางไว้ในห้องของผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองเงียบๆ

จากนั้นม้าสามตัวก็เยาะย่างมาที่โรงทานแจกโจ๊กแห่งหนึ่งที่ใกล้กับประตูเมือง พวกเขาหยุดม้าอยู่ไกลๆ หลังจากพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้ว เฉินผิงอันก็รบกวนให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เดินทางมาส่งช่วยเฝ้าม้าให้สักครู่

พวกเขาพากันเดินไปที่เพิงร้านโจ๊ก หม่าตู่อี๋ไม่ยินดีไปเป็น ‘ขอทาน’ เจิงเย่ไม่รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องไปดื่มโจ๊กที่เหมือนน้ำชืดๆ หนึ่งถ้วย จึงมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่ไปเข้าแถวรออย่างอดทน เพื่อไปขอโจ๊กถ้วยหนึ่งที่พอจะถือว่า ‘เข้มข้น’ และหมั่นโถวสองลูก แล้วไปนั่งอยู่ข้างทางห่างจากกลุ่มคนที่เข้าแถว ก้มหน้าดื่มโจ๊กกินหมั่นโถว ในหูก็ได้ยินเสียงตะโกนของเสมียนดังมาเป็นระยะ เสมียนเหล่านั้นจะตะโกนบอกกฎกับประชาชนในพื้นที่ที่อดอยากและชาวบ้านที่ลี้ภัยมาถึงที่นี่ว่า ห้ามละโมบ เอาไปเยอะ จะแบ่งโจ๊กให้ทีละคนเท่านั้น เวลากินโจ๊กและหมั่นโถวก็ยิ่งไม่ควร ตะกละกินเร็ว เพราะจะทำให้เสียเรื่องได้

เฉินผิงอันมองขบวนแถวที่ยาวราวกับมังกร ในบรรดานั้นยังมีชายฉกรรจ์ในพื้นที่ที่สวมเสื้อผ้าซึ่งพอจะรัดกุมจำนวนไม่น้อย บางคนยังจูงมือลูกของตัวเองที่ในมือยังถือถังหูลู่มาด้วย

ห่างจากเฉินผิงอันไปไม่ไกลก็มีผู้ชายในพื้นที่จำนวนหนึ่งล้อมวงกันอยู่ ใบหน้าไม่ได้แห้งตอบอะไร พวกเขากินพลางบ่นไปด้วยว่ายังสู้อาหารหมูไม่ได้ด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันเพียงแค่เคี้ยวอาหารอย่างละเอียด จิตใจนิ่งสงบดุจบ่อน้ำโบราณ เพราะเขารู้ว่าเรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ยากที่คนเราจะเห็นค่าสิ่งของที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ต่อให้เป็นโจ๊กหรือหมั่นโถวเหมือนกัน แต่หากต้องจ่ายเงินซื้อมา บางทีรสชาติอาจจะดีกว่าแค่เล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางบ่นด่าอย่างไม่พอใจ

คืนถ้วยโจ๊กแล้ว เฉินผิงอันก็เดินไปหาหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”

ม้าสามตัวออกจากเมือง

หม่าตู่อี๋เป็นคนละเอียดรอบคอบ หลายวันมานี้ก็ได้คอยเดินเตร็ดเตร่แถวเพิงโจ๊กและร้านยากับเจิงเย่บ่อยๆ จึงพบเบาะแสบางอย่าง หลังออกจากเมืองมาแล้ว ในที่สุดก็อดไม่ไหวบ่นว่า

“ท่านเฉิน เงินที่พวกเราทุ่มไป อย่างน้อยที่สุดสามส่วนล้วนถูกพวกขุนนางเจ้าเล่ห์ของที่ว่าการเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไปหมดแล้ว ขนาดข้ายังเห็นอย่างชัดเจน แล้ว ท่านเฉินจะมองไม่ออกได้อย่างไร ทำไมถึงไม่ด่าเจ้าเมืองผู้เฒ่านั่นสักคำ?”

เฉินผิงอันเอ่ยแค่ว่า “แบบนี้เองหรือ”

หม่าตู่อี๋โมโหแทบระเบิด

เจิงเย่ก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นตะลึง

เด็กหนุ่มไม่รู้จริงๆ เขาหรือจะมองความวกวนอ้อมค้อมในวงการขุนนางเหล่านี้ออก

หม่าตู่อี๋เห็นว่านักบัญชีผู้นั้นไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่อก็ยิ่งโมโห “ท่านเฉิน! หากท่านยังเป็นแบบนี้ คราวหน้าข้าจะไม่ช่วยแล้ว! จะให้เจ้าเด็กโง่เจิงเย่นี่ทำไปคนเดียว ดูสิว่าเขาจะช่วยท่านให้เสียเรื่องหรือไม่!”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยอธิบายที่ไม่ถือว่าเป็นคำอธิบายให้แก่หม่าตู่อี๋ เขาเอ่ย เนิบช้าว่า “ในเมื่อกำลังทำเรื่องดี แล้วก็พอจะทำสำเร็จได้คร่าวๆ แล้ว ก็แค่ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยให้มากเกินไป ละโมบในเงินสามส่วน เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมใจมาก่อนแล้ว อันที่จริงเส้นขีดจำกัดของข้ายังอยู่ต่ำกว่านี้เสียอีก นั่นคือขุนนางที่รับธุระทำเรื่องนี้อาจจะเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองสี่ส่วน ซึ่งข้ายังพอจะรับได้ สามส่วนก็ดี สี่ส่วนก็ช่าง ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำเรื่องดี ก็แล้วกัน”

หม่าตู่อี๋คิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ อยากจะโมโห แต่ก็โมโหไม่ออก จึงไม่พูดอะไรต่ออีก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากรู้สึกว่าในใจไม่สบายใจ ขอแค่เจ้ายินดีช่วยเจิงเย่ เส้นขีดจำกัดของข้าจะเปลี่ยนจากสี่ส่วนมาเป็นสองส่วน ดีไหม?”

 

หม่าตู่อี๋ถึงได้รู้สึกพึงพอใจ เริ่มขยับม้าเข้าใกล้เจิงเย่แล้วช่วยสอนประสบการณ์และเคล็ดวิชาที่ตัวเองได้เรียนรู้มาให้กับเด็กหนุ่มผู้ทึ่มทื่ออย่างอดทน

เฉินผิงอันพลันชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง หยิบกล่องไม้ใบเล็กทรงยาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นี่เป็นของชิ้นเล็กที่สลักตัวอักษรโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่มอบให้ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ในการเป็นพันธมิตรของพวกเขาสามคน ค่อนข้างจะหาได้ยาก เพราะมันคือเนินกระบี่ขนาดเล็กระดับขั้นไม่ธรรมดา ยาวแค่หนึ่งนิ้ว เรียกได้ว่าขนาดเล็กจิ๋วกะทัดรัด สะดวกพกพา สามารถใช้บรรจุกระบี่บิน ส่งข่าว เพียงแต่ว่าไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนห้องกระบี่ขนาดใหญ่ กฎเกณฑ์ค่อนข้างตายตัว อีกทั้งครั้งหนึ่งยังรับกระบี่บินส่งข่าวได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น การเผาผลาญปราณวิญญาณที่ใช้หล่อเลี้ยงกระบี่บินก็สูงกว่าห้องกระบี่อยู่มาก ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ขอแค่เฉินผิงอันยินดีก็สามารถเอาไปขายต่อด้วยราคาหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชได้สบายๆ ดังนั้นเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางปฏิเสธความหวังดีนี้ของถานหยวนอี้

เมื่อเปิดกล่องไม้ใบเล็กที่สั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ตลอดเวลาออก เฉินผิงอันก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งที่มาจากเกาะชิงเสีย ในจดหมายลับคือหนึ่งประโยคที่หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วฝากมาบอกต่อเกาะชิงเสียหลังจากรู้ว่าเฉินผิงอันอยู่ที่แคว้นสือหาวแล้ว นั่นคือประโยคที่ว่า ‘กลับมาแล้วมาพูดคุยเรื่องราคาอย่างละเอียดที่เกาะกงหลิ่วของข้า’

เฉินผิงอันกำเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเอาไว้แน่น ปราณวิญญาณประหนึ่งน้ำหยดลงสู่รางกระบี่รางหนึ่งในกล่องไม้ จากนั้นเขาก็กดกลไกขนาดเล็กที่อยู่ในกล่องไม้ กระบี่บินจากเกาะชิงเสียที่พุ่งออกจากรางกระบี่กล่องไม้ก็พุ่งวูบเข้าไปข้างใน ย้อนกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน

เจิงเย่มองตาไม่กะพริบ

 

ปีนั้นตอนอยู่ในห้องกระบี่เล็กๆ เรียบง่ายบนเกาะเหมาเยว่ เขาทำหน้าที่เป็นคนทำงานจุกจิกทั่วไป ทว่านี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเนินกระบี่ขนาดเล็กที่เคยได้ แต่ยินชื่อ แต่ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนกับตาตัวเอง ช่างมหัศจรรย์จนเกินบรรยายจริงๆ

หม่าตู่อี๋เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันเก็บกล่องไม้ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เป่าลมใส่ฝ่ามือเพื่อหาความอบอุ่น นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ที่ดีมากข่าวหนึ่ง

ก็เหมือนที่เขาบอกกับเจิงเย่ เรื่องราวมากมายบนโลกนั้นยากก็ตรงการเริ่มต้น จะก้าวก้าวแรกออกไปได้หรือไม่ จะยืนได้มั่นคงหรือไม่ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันกับหลิวจื้อเม่าที่เดิมทีควรเป็นศัตรูกัน ถานหยวนอี้สายลับต้าหลีบนเกาะลี่ซู่ที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กัน สามฝ่ายกลับกลายมาเป็นพันธมิตรกัน

จากนั้นเขาก็พาตัวไปเสี่ยงอันตรายที่เกาะกงหลิ่ว คบค้าสมาคมกับหลิวเหล่าเฉิง

รวมไปถึงอาศัยโอกาสในการเดินทางมาเยือนแต่ละสถานที่ของแคว้นสือหาวเพื่อ ‘ชดเชยความผิด’ นี้มาทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ของแคว้นสือหาวให้มากขึ้น

แน่นอนว่าต้องมีสิ่งที่เขาต้องการ

ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอยู่ในห้องใกล้กับประตูภูเขาของเกาะชิงเสียได้สนทนากับมารดาของกู้ช่าน เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าสตรีแต่งงานแล้วจะฟังเข้าหู คำพูดหลายอย่างที่มองดูเหมือนเฉินผิงอันพูดอย่างผ่อนคลาย เป็นไปได้เกินครึ่งว่านางจะไม่คิดให้ลึกซึ้ง ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วนิสัยของนางไม่ได้ซับซ้อน เพื่อนางและกู้ช่านที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่จู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี นางจึงหวังให้เฉินผิงอันช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกเขาสองแม่ลูก หวังว่านักบัญชีคนนี้จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน อย่าเนรคุณต่อชื่อว่า ‘ผิงอัน’ นี้

ในบทสนทนานั้นมีบางประโยคที่เกี่ยวพันกับ ‘ทะเลสาบซูเจี่ยนในอนาคตอาจจะไม่เหมือนเดิม’

สตรีแต่งงานแล้วอาจไม่ได้คิดอย่างลึกซึ้ง

ทว่าเฉินผิงอันกลับลงมือมาตั้งแต่แรก

เฉินผิงอันต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อรับมือกับคำหยอกล้อกึ่งจริงกึ่งเท็จสองประโยคของหลิวเหล่าเฉิงตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากอย่างคำว่า ‘ใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่า’ และ ‘ช่างมีใจทะเยอทะยานยิ่งนัก’

เพราะหลิวเหล่าเฉิงจับเบาะแสได้ และเดาออกว่าเฉินผิงอันคิดจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนตั้งแต่ต้นตอของมันอย่างแท้จริง

ใช้ของสิ่งอื่นมายกระดับอิทธิพลของตัวเองให้สูง พยายามอย่างสุดความสามารถ

เฉินผิงอันกำลังลงมือทำเรื่องเรื่องหนึ่งโดยยังไม่ไปพูดถึงความดีเลวของคนก่อน เขามองทุกคนเป็นหมากบนกระดาน พยายามวาดภาพบนกระดานที่เป็นของตัวเองให้ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม เปลี่ยนจากเม็ดหมากเป็นภาพบนกระดาน แล้วค่อยขยับไปเป็นสถานการณ์หมาก

เขาหวังว่าท่ามกลางกฎเกณฑ์ใหญ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนในอนาคต อย่างน้อยตนจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์ได้

ดังนั้นตอนนั้นหลิวเหล่าเฉิงถึงได้ถามเฉินผิงอันว่าเรียนหมากล้อมมาจากอาจารย์ฉีแห่งถ้ำสวรรค์หลีจูหรือไม่

ก็คือเหตุผลข้อนี้

อันที่จริงบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายแฝงไว้ด้วยการงัดข้อและชักคะเย่อกันอยู่ตลอดเวลา

กระแสคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน การปัดแข้งปัดขาใช้กลอุบาย การมองหาช่องโหว่ของอีกฝ่ายบนกระดานหมาก การวางหมากอย่างไร้เหตุผล การวางหมากแบบเทพเซียน ล้วนมีข้อพิถีพิถันของใครของมัน

เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแห่งเกาะกงหลิ่วอย่างหลิวเหล่าเฉิงก็ดี หรือแม้แต่เผชิญหน้ากับก่อกำเนิดอย่างหลิวจื้อเม่าก็ช่าง อันที่จริงเฉินผิงอันล้วนใช้หมัดในการพูด หากข้ามขอบเขต พลัดเข้าไปในการช่วงชิงบนมหามรรคา ขัดขวางเส้นทางของใครคนใดคนหนึ่ง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการรนหาที่ตาย ในเมื่อขอบเขตแตกต่างกันมากขนาดนี้ อย่าว่าแต่หลักการเหตุผลที่พูดด้วยปากไม่อาจใช้ได้ผลเลย ต่อให้ใช้หมัดอธิบายเหตุผลก็ยิ่งเป็นการรนหาที่ตาย อีกทั้งเฉินผิงอันยังมีเป้าหมายที่ต้องการ ควรจะทำอย่างไร? ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ทุ่มเทกับการ ‘ฝึกฝนจิตใจ’ อนุมานน้ำหนักของหมากแต่ละตัวที่ซุกซ่อนอยู่อย่างระมัดระวัง เข้าใจความต้องการ ขีดจำกัด นิสัยและกฎเกณฑ์ของพวกเขาแต่ละคน

หากเป็นไปได้ องค์ชายหันจิ้งหลิงที่หลบภัยมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน หวงเฮ้อบุตรชายแม่ทัพใหญ่ชายแดน หรือแม้แต่ซูเกาซานแม่ทัพบู๊ต้าหลีที่หอบเอาสถานการณ์ใหญ่ไว้บนร่าง เฉินผิงอันล้วนต้องทดลองทำการค้ากับพวกเขา

ความยากนั้นอยู่ที่ เมื่อเทียบกับการชดเชยแก้ไขความผิดเพื่อหวังความสบายใจ การทำตามความปรารถนาของภูตผีวัตถุหยินแต่ละตนให้เป็นจริงแล้ว การวางสถานการณ์หมากอีกกระดานหนึ่งอย่างลับๆ ของเฉินผิงอันนี้ยากยิ่งกว่ายาก นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันทดลองใช้สถานะของนักเล่นหมาล้อมไปสร้างกระดานหมากหนึ่งกระดาน ประเด็นสำคัญคือเขาจะเดินผิดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว หากไม่ทันระวังก็อาจต้องแพ้ทั้งกระดาน นี่เท่ากับว่าตอนนี้เฉินผิงอันวางหมากจนเกิดช้อนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว (ช้อนในภาษาจีนของวงการหมากล้อมผันมาจากคำว่ากระชอน ซึ่งหมายถึงการเดินหมากที่เกิดข้อผิดพลาด ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ผลประโยชน์ และตนเองต้องเสียหายอย่างที่ไม่จำเป็น)

 

ส่วนอย่างแรกที่ให้กู้ช่านซึ่งไม่ยินดีสำนึกผิดหยุดกระทำความผิด แล้วตนเป็นผู้รับหน้าที่ชดเชยแก้ไข นอกจากเฉินผิงอันจะต้องเผาผลาญแรงกายแรงใจและสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว อันที่จริงเขาจะไม่มีทางแพ้ไปมากกว่านี้ กลับกันคือไม่ได้เสี่ยงอันตรายเหมือนเดินไปบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ขนาดนั้น

การที่ก่อนหน้านี้แม้แต่เจิงเย่ก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์ขึ้นลงในใจของเฉินผิงอันซึ่งเชี่ยวชาญการเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกอย่างถึงที่สุดนั้น

นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางไปส่งพวกซูซินไจแล้ว ความผิดหวังอีกอย่างหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า อีกทั้งยังไม่อาจอธิบายได้ก็ได้ผุดขึ้นแล้วเข้ามาล้อมวนในหัวใจของเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่จางหายไป

ความรู้สึกเช่นนั้นไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืดสลัวบนเกาะชิงเสีย ตอนนั้นยังไม่ได้เชิญวิญญาณหยินทั้งหมดออกมา แค่มองตำหนักพญายมราชคุกล่างที่วางอยู่บนโต๊ะครั้งเดียว ตอนที่เฉินผิงอันหลับตาพักผ่อนชั่วครู่หรือไม่ก็ก่อนที่จะหลับใหลไปบนเตียง จะเหมือนมีเสียงสัมภเวสีจำนวนนับไม่ถ้วนมาร้องโหยหวนอยู่นอกประตูหัวใจ บ้างก็เคาะประตูอย่างแรง บ้างก็แผดเสียงร้องตะโกนเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม บ้างก็ด่าสาปแช่ง

หลังจากการอำลาครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกผิดหวังนั้นของเฉินผิงอันเกิดขึ้น ก็เพราะจู่ๆ เขาค้นพบเรื่องหนึ่ง ชื่อของคนที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมบนสมุดบัญชีแต่ละเล่ม พวกคนที่ทำให้เขารู้สึกผิดและละอายใจได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นซูซินไจที่คิดถึงภูเขาหวงหลีและอาจารย์ผู้มีพระคุณอยู่ตลอดเวลา กลับเลือกวางทิฐิความยึดมั่น เลือกจะไปจากโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง หันกลับมามองพวกวัตถุหยินที่ความรู้สึกผิดในใจของเฉินผิงอันไม่มากเท่ากับที่มีต่อซูซินไจ พวกเขากลับมีข้อเรียกร้องมากกว่า มีความปรารถนาที่เป็นดั่งสิงโตอ้าปากกว้าง มีความละโมบซึ่งเป็นความรู้สึกทั่วไปของทั้งคนและผี และยังมีวัตถุหยินอีกมากที่หลังจากตายไปยังคงมีความเคียดแค้นลึกล้ำซึ่งยังพักอาศัยอยู่ในตำหนักพญายมราช เรือนแก้วจำลองชั่วคราว

อันที่จริงก่อนหน้านี้เมื่อเฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้ว ความละอายใจก็มีไม่มากเท่าไหร่นัก แต่พวกซูซินไจกลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจขึ้นมาอีก ถึงขั้นเมื่อเทียบกับตอนแรกแล้วความรู้สึกผิดนี้ยังมากยิ่งกว่า หนักหนายิ่งกว่า

ความรู้สึกเช่นนั้นก็ล้อมวนเวียนอยู่นอกประตูหัวใจเช่นกัน เหมือนว่าพวกมันที่อยู่นอกประตู พวกมันที่ตัดสินใจไปจากโลกมนุษย์อย่างไร้ซึ่งความไม่พอใจ ไร้ซึ่งคำตำหนิสาปแช่งได้มาเคาะประตูเบาๆ เบามากจนเหมือนกับกังวลว่าจะรบกวนคนที่อยู่ข้างใน จากนั้นพวกมันก็พูดประโยคอำลาที่เหมือนกันประโยคหนึ่งว่า ‘ท่านเฉิน ข้าไป แล้วนะ’

เฉินผิงอันเอาศพไปฝังไว้ตรงจุดที่ห่างจากถนนไปค่อนข้างไกล ก่อนจะทำเช่นนั้น เขาก็ได้พยายามประกอบร่างของคนที่น่าสงสารเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบมากที่สุดเสียก่อน

เฉินผิงอันทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ และแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไร้ผู้คนก็หยิบหอแก้วจำลองชิ้นนั้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เชิญวัตถุหยินตนหนึ่งที่ตอนยังมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แต่พอตายไปถูกอวี๋กุยจับทำเป็นทหารผีออกมา

จากนั้นทหารผีที่ยังเหลือสติปัญญาตนนี้ก็ใช้เวลาครึ่งวันกว่าๆ จึงจะพาม้าทั้งสามตัวไปเยือนเทือกเขาสูงชันที่ร้างผู้คนแห่งหนึ่งได้ เมื่อมาอยู่ในบริเวณแถบชายแดนของพื้นที่นี้ เฉินผิงอันได้เก็บหม่าตู่อี้เข้าไปไว้ในยันต์ แล้วให้ทหารผีเข้าสิงร่างเจิงเย่

แล้วพวกเขาก็เริ่มขึ้นเขา สุดท้ายหาถ้ำกลางภูเขาแห่งหนึ่งที่สลักสองคำว่า ‘จั๋วฉิน’ ไว้บนหน้าผาเจอ

เดิมทีสภาพของภูเขาลูกนี้ก็เรียกได้ว่าภูเขาเขียวน้ำใส ที่ตั้งของถ้ำก็ราวกับภาพวาดที่ถูกแต้มนัยน์ตามังกร (เปรียบเปรยถึงผลงานทางวรรณกรรม ภาพวาด ฯลฯ ที่หากถูกแต่งเสริมอย่างถูกจุดก็จะยิ่งงดงามสมบูรณ์แบบ) อย่างไรอย่างนั้น

 

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนที่เป็นคนบุกเบิกถ้ำแห่งนี้ในช่วงแรกสุดกลับไม่อยู่แล้ว ภายหลังจึงถูกพวกภูตผีบนภูเขายึดครองไป

เฉินผิงอันและ ‘เจิงเย่’ ก้าวเข้าไปภายใน

หลังเดินมาได้ร้อยก้าวกว่า การมองเห็นก็พลันสว่างไสวเปิดกว้าง นี่คือถ้ำขนาดมโหฬารแห่งหนึ่งที่สว่างไสวไปด้วยแสงเทียน มีภูตภูเขาสิบกว่าตนที่ยังไม่อาจจำแลงร่างเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงปีศาจใหญ่แห่งภูเขาลึกที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอีกหนึ่งตน ซึ่งหากยืนขึ้น ความสูงก็น่าจะถึงสองจั้งกว่า เป็นเหตุให้เรือนกายใหญ่โตดุจภูเขาลูกย่อม เห็นเพียงว่าเขาสวมเสื้อเกราะสีทองทับชุดคลุมสีเหลือง กวานบนศีรษะค่อนข้างเอียง มีสาวงามที่สวมชุดเปิดเผยเนื้อหนังสองคนเอนตัวพิงบัลลังก์ตัวนั้น กำลังบีบนวดน่องขาให้ปีศาจใหญ่ ด้านข้างบัลลังก์ยังมีเก้าอี้กวานเม่า (เก้าอี้ทรงหมวกขุนนาง มีที่มาจากรูปทรงหมวกขุนนางในสมัยราชวงศ์ซ่งที่เป็นหมวกทรงครอบศีรษะและมีแขนยื่นยาวออกไปทั้งสองข้าง) ไม้จื่อถานอีกตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คือบุรุษชุดเขียวที่คลี่ยิ้มแฝงเลศนัย

คนก็ดี ปีศาจก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะกำลังรอคอยเจ้าโง่สองคนที่พาตัวมาติดร่างแห

ส่วนศีรษะของปีศาจใหญ่ชุดเหลืองสวมเกาะยังคงเป็นหัวเสือดาวซึ่งเป็นร่างที่แท้จริง มันนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แกว่งจอกเหล้าใบใหญ่ในมือไปมา พอมีสุราสีแดงสดหล่นกระเซ็นลงบนพื้น มันก็จะยกเท้าขึ้นเหยียบเบาๆ บนศีรษะของสตรีหน้าตางามพิลาสนางหนึ่ง ฝ่ายหลังจะรีบนอนหมอบลงกับพื้น แลบลิ้นเลียสุราเหล่านั้นให้แห้ง พอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหล

บุรุษชุดเขียวหันตัวมายกนิ้วโป้งให้ แล้วเอ่ยชื่นชมว่า “ต้าหวัง (คำเรียกที่หมายถึงท่านอ๋องใหญ่ ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่) ช่างมีมาดของ ‘จอมทัพถือจอกเหล้ามองหิมะ โปรยปราย’ จริงๆ !”

ปีศาจใหญ่แสยะปากหัวเราะ “มองหิมะกับมารดาเจ้าสิ จะไปเอาหิมะโปรยปรายมาจากไหน? อย่าว่าแต่ในถ้ำแห่งนี้ของข้าเลย หิมะข้างนอกก็หยุดตกไปนานแล้วด้วย”

บุรุษหัวเราะพลางชี้ไปยังหน้าอกที่อวบอิ่มของสตรีงดงามผู้หนึ่ง “แค่ต้าหวังก้มหน้าลงก็มองเห็นแล้ว”

ปีศาจใหญ่หัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจ

ในถ้ำพลันมีเสียงไชโยโห่ร้องขานรับดังสนั่น

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คุยกันจบแล้ว?”

ปีศาจใหญ่ที่พลังอำนาจท่วมท้นน่าเกรงขามตนนั้นหรี่ตาลง “รีบร้อนอยากลงกระทะน้ำมันขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยังต้องเดินทางต่ออีก จึงค่อนข้างรีบ”

บุรุษชุดเขียวยิ้มกล่าว “โลกวุ่นวายขนาดนี้ ก็เลยอยากรีบตายรีบไปเกิดใหม่งั้นรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอีกครั้ง “มีเหตุผล”

ครึ่งชั่วยามต่อมา

เฉินผิงอันและเจิงเย่ตัวจริงก็ออกมาจากถ้ำแห่งนี้

แม่ทัพผีที่เลือกจะอยู่ต่อในจวน ‘จั๋วฉิน’ เดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตู

ส่วนในถ้ำที่อยู่ด้านหลังเขานั้น

 

 

‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตชมมหาสมุทรที่สวมชุดเหลืองเสื้อเกราะสีทองตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ส่วนบุรุษชุดเขียวที่เป็นกุนซือของปีศาจใหญ่ผู้นั้น เขาไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไร เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เขาจึงตายก่อนปีศาจใหญ่ อีกทั้งจิตวิญญาณยังถูกแม่ทัพผีกลืนกินเสียจนสิ้น

ส่วนสตรีสองคนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันนั้น เมื่อไม่มีเวทลับพันธนาการ คนหนึ่งก็เลือกจะพักพิงพึ่งพาแม่ทัพผีที่เป็นเจ้านายคนใหม่ ส่วนอีกคนหนึ่งเอาหัวพุ่งชนผนังถ้ำตายไปแล้ว แต่ตามข้อตกลงที่มีกับนางก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณของนางจึงถูกเฉินผิงอันรับไปไว้ในที่พักเดิมของแม่ทัพผีในเรือนแก้วจำลอง

ภูตภูเขาตนอื่นๆ บ้างก็ถูกฆ่า แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ตาย คาดว่าแม้แต่พวกมันก็คงไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรอดชีวิตมาได้

เพราะอันที่จริงแล้วเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปนับจากที่เฉินผิงอันซึ่งเป็นนักบัญชีสมชื่อของเกาะชิงเสียลงมือไปจนถึงออกหมัดเสร็จสิ้น เขาก็ล้วนกำลังคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลา

เฉินผิงอันพูดกับแม่ทัพผีตนนั้นว่า “ก่อนที่ข้าจะไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนจะแวะมาดูใหม่ หลังจากนั้นก็จะเป็นเจิงเย่ที่มา”

แม่ทัพผีพยักหน้ารับ “ข้าจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นี่ ไม่มีทางไปรบกวนคนธรรมดา ตอนนี้แคว้นสือหาววุ่นวายขนาดนี้ ผีร้ายวิญญาณพยาบาทที่ค่อนข้างหาตัวได้ยากในเวลาปกติย่อมมีไม่น้อย”

เฉินผิงอันถาม “สิบปีร้อยปีให้หลังล่ะ?”

แม่ทัพผีตกตะลึง

เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “พยายามช่วงชิงสถานะเทพภูเขามาให้ได้ ต่อให้ตอนแรกจะเป็นแค่ศาลเถื่อนที่ทางราชสำนักไม่ให้การยอมรับก็ตาม”

แม่ทัพผีกุมหมัดคารวะอย่างนับถือ “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านเฉิน ข้าจะจดจำไว้ขึ้นใจ!”

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงพาเจิงเย่ลงภูเขาจากไปไกล

เดินมาได้ครึ่งทาง เฉินผิงอันก็หยิบยันต์ออกมา หม่าตู่อี๋จึงได้มาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

แล้วนางก็เริ่มชวนเจิงเย่คุยอย่างคนคุ้นเคยกันทันที

เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างระอาใจ

หลังจากนั้นก็ยังคงควบม้าเดินทางไม่หยุด มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนอยู่ทางใต้ของแคว้นสือหาวที่สามารถเลือกถนนทางหลวงสายใหญ่ได้แล้ว ตอนนี้เฉินผิงอันสามคนกลับพยายามเลือกถนนสายเล็กเป็นหลัก

ยามพลบค่ำของวันหนึ่ง ม้าทั้งสามตัวก็พากันมาถึงเมืองแห่งหนึ่งก่อนที่ ประตูเมืองจะปิดลงได้อย่างหวุดหวิด หลังจากทหารที่เฝ้าประตูตรวจเอกสารผ่านทางของพวกเขาอย่างเข้มงวดแล้ว พวกเขาก็รีบร้อนพากันเข้าเมือง

ตอนนี้เมืองสำคัญทางทิศเหนือที่ ‘เต็มไปด้วยบาดแผล’ แห่งนี้ได้เป็นของในกระเป๋าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแล้ว แต่ต้าหลีไม่ได้ทิ้งทหารม้าไว้เฝ้าเมืองมากนัก มีแค่ร้อยกว่านายเท่านั้น อย่าว่าแต่พิทักษ์เมืองเลย แค่เฝ้าประตูเมืองแห่งหนึ่งยังไม่พอด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้วก็มีขุนนางบุ๋นติดตามกองทัพที่มีตำแหน่งขุนนางเป็นเลขาธิการฝ่ายบุ๋นอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง รวมไปถึงเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตาม หลังจากเข้าเมืองมา ต้องเดินหากันเกือบครึ่งเมืองกว่าจะเจอกับโรงเตี๊ยมเล็กๆ ให้ พักแรม

สาเหตุนั้นเรียบง่ายมาก เพราะหลังจากที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง คนบาดเจ็บล้มตายมีจำนวนมาก หลังจากนั้นยังเกิดคลื่นมรสุมที่นักฆ่าลอบสังหารขุนนางบุ๋นต้าหลี

และอีกอย่างวันมะรืนก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านใช้ชีวิตกันอย่างอดอยาก เดิมทีกิจการก็ซบเซาอยู่แล้ว พอบวกเข้ากับเป็นช่วงปีใหม่ พวกเฉินผิงอันสามารถหาโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจอได้ก็ถือว่าโชคไม่เลวแล้ว

วันต่อมาเจิงเย่ถูกบุรุษวัตถุหยินตนหนึ่งสิงร่าง เขาพาเฉินผิงอันไปเยือนสำนักแห่งหนึ่งในยุทธภพที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองแห่งนี้ ตลอดทั้งยุทธภพของแคว้นสือหาว สำนักนี้ ถือว่าเป็นแค่กลุ่มอิทธิพลระดับสามเท่านั้น แต่สำหรับชาวบ้านที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งนี้กลับยังคงเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ วัตถุหยินตนนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในชาวบ้านของที่นี่ พี่สาวที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับเขาถูกเจ้าสำนักที่เป็นดั่งงูเจ้าถิ่นของมณฑลหมายตา แม้แต่ว่าที่สามีของนาง อาจารย์สอนหนังสือยากจนที่ไม่มีตำแหน่งติดตัวคนหนึ่งก็ยังต้องจมน้ำตายอยู่ในลำคลองกับนาง เสื้อผ้าของสตรีขาดวิ่นไม่เป็นระเบียบ เพียงแต่ว่าศพลอยแช่อยู่ในน้ำ ใครยังจะกล้ามองมากอีก? สภาพการตายของบุรุษอนาถยิ่งกว่า ดูเหมือนว่าก่อนจะ ‘ตกน้ำ’ ยังถูกตัดเท้า ทิ้งด้วย

เด็กหนุ่มคนหนึ่งใช้เงินสะสมทั้งหมดในบ้านจัดงานศพให้พี่สาวและบุรุษที่เขามองเป็นพี่เขยมานานแล้วเรียบร้อยก็แอบออกจากเมืองไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เดินทางผ่านสถานที่หลายแห่งจนไปถึงอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน กลายไปเป็นนักการในจวนเทพเซียน ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แม้แต่ฝึกวรยุทธก็ยังไม่ได้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตายเหมือนกับพี่สาวและพี่เขยในปีนั้น

‘เจิงเย่’ ยืนอยู่นอกประตูใหญ่ของจวนแห่งหนึ่งที่เปลี่ยนป้ายจวนไปแล้ว

ระหว่างที่เดินทางมานี้ วัตถุหยินตนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เวลานี้สีหน้าก็ยิ่งซึมเศร้า

ความอาฆาตแค้นของปีนั้นผ่านมาสามสิบปีแล้ว

 

นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ตอนที่ออกจากโรงเตี๊ยมได้สอบถามทางกับเถ้าแก่ ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด บอกว่าบุรุษของครอบครัวนั้น รวมไปถึงพวกคนเป็นวรยุทธทุกคนในสำนักล้วนเป็นชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้าค้ำดิน แต่คนดีกลับไม่มีชะตาชีวิตที่ดี ล้วนตายกันไปหมดแล้ว สำนักหนึ่งในยุทธภพ บุรุษร้อยกว่าคนเอ่ยคำมั่นสาบานว่าจะปกป้องเมืองแห่งนี้จนตัวตาย และพอตายกันไปหมดแล้ว ในจวนนอกจากเด็กๆ ก็แทบจะไม่มีบุรุษอยู่อีก

ใบหน้าของ ‘เจิงเย่’ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขากุมศีรษะพูดพึมพำไม่หยุดว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้…”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกาย ต่อให้สีหน้าของ ‘เจิงเย่’ จะยิ่งบิดเบี้ยวดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาก็ยิ่งมืดดำ แต่เฉินผิงอันกลับยังคงนิ่งเฉย เพียงแค่ดื่มเหล้าจิบเล็กๆ ไปเงียบๆ

ครู่หนึ่งต่อมา สายตาของ ‘เจิงเย่’ ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความมีสติ เขาเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ สุดท้ายใช้สองมือยันไว้กับพื้น ก้มศีรษะลงหอบหายใจหนักหน่วง แม้แต่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้ว

เฉินผิงอันถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าตอนที่ตัวเองมีสภาพอเนจอนาถมากที่สุดก็ไม่ต่างจากเจ้าสักเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนหมาตัวหนึ่ง หรือแม้แต่หมาก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็ยังเป็นคน”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าข้าผ่านมันมาได้ แม้ว่าจะไม่กินขี้ แต่ก็เดินเหยียบโชคขี้หมามาไม่น้อย เก่งกว่าเจ้าเยอะเลย”

หลังจาก ‘เจิงเย่’ สูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ อยู่หลายครั้งก็นั่งแปะลงบนพื้น ยื่นมือออกมา “ท่านเฉิน ขอข้าดื่มเหล้าสักสองสามอึกได้ไหม? ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อนเลย”

 

เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งไปให้ “เหล้ามีมากพอให้ดื่ม กลัวก็แต่ว่าเจ้าจะคออ่อนเท่านั้น”

‘เจิงเย่’ แหงนหน้าขึ้นกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แล้วก็ต้องกระอักกระไอไม่หยุด สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ยื่นเหล้าส่งคืนให้นักบัญชี

ทว่าคนผู้นั้นกลับสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่ตรงนั้นคล้ายชาวบ้านที่ธรรมดาที่สุดในหมู่บ้านร้านตลาดซึ่งกำลังนั่งอาบแดดตากแสดงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาว

เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ลองดื่มดูอีกหน่อย ไม่แน่ว่าดื่มมากเข้าอาจจะชิน แล้วก็จะรู้ถึงข้อดีของการดื่มเหล้าแล้ว”

‘เจิงเย่’ ดื่มอีกหลายอึกจริงๆ เพียงแต่ว่าหัวคิ้วของเขาขมวดแน่น หลังจากเช็ดปากแล้วก็กล่าวว่า “ยังรู้สึกว่าดื่มยากอยู่ดี”

เฉินผิงอันถึงได้รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าเองอีกอึก แล้วจึงผูกไว้ตรงเอว

‘เจิงเย่’ นั่งลงบนพื้น มองจวนแห่งนั้น ใบหน้าก็มีความเจ็บปวดปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทำท่าจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ก็กลืนคำพูดกลับลงท้องไป ยื่นมือมาปิดหน้า

เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ทำไม อยากให้ข้าช่วยจดชื่อของคนครอบครัวนั้น ในอนาคตหากจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาก็ให้เขียนชื่อพวกเขาลงไปด้วย?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่มีทางตอบรับ ชื่อที่ข้าจะเขียนคือชื่อของเจ้า พี่สาวและพี่เขยของเจ้า ส่วนชื่อของคนเหล่านั้น ข้าจะไม่เขียนแม้แต่ชื่อเดียว เพราะข้าไม่รู้จักพวกเขา แต่ข้ารู้จักพวกเจ้า”

‘เจิงเย่’ พูดสะอึกสะอื้น “ข้าโง่มากเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “โง่มากเลยล่ะ”

‘เจิงเย่’ เช็ดหน้า พูดขึ้นด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “คนไร้ค่าอย่างข้า ไหนเลยจะยังมีหน้าไปจุดธูปไหว้หน้าหลุมศพพี่สาวและพี่เขย ท่านเฉิน หลังจากนี้ท่านช่วยไปจุดธูปและดื่มเหล้าคารวะพวกเขาแทนข้าหน่อยได้หรือไม่? ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ข้าก็บอกตำแหน่งที่ตั้งของหลุมศพแก่ท่านเฉินอย่างละเอียดแล้ว…ข้าคงไม่ไปแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันถามเบาๆ “คิดดีแล้วจริงๆ หรือ? ต้องรู้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสให้เสียใจภายหลังอีกแล้วนะ”

‘เจิงเย่’ พยักหน้ารับ “คิดดีแล้ว”

เฉินผิงอันจึงอืมรับหนึ่งที

‘เจิงเย่’ พลันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเฉิน ตอนที่ท่านไปที่หลุมศพ ช่วยบอกพี่สาวและพี่เขยข้าสักคำได้ไหมว่า ท่านคือเพื่อนของข้า?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”

สุดท้าย ‘เจิงเย่’ บอกว่าเขาจะโขกหัวให้ท่านเฉิน

เฉินผิงอันไม่อนุญาต

แต่ ‘เจิงเย่’ ยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ บอกว่าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ

เฉินผิงอันมองเขาที่มีชื่อเดิมว่า ‘โจวกั้วเหนียน’ (กั้วเหนียนหมายถึงการฉลองเทศกาลปีใหม่หรือเทศกาลตรุษจีนของจีน) อย่างเหม่อลอย ไร้คำพูด

……

วันนี้คือวันสิ้นปี

บนเนินเล็กแห่งหนึ่งห่างจากเมืองไปสิบกว่าลี้

หน้าหลุมศพเล็กๆ หลุมหนึ่ง มีคนกำลังจุดธูปไหว้หลุมศพและดื่มเหล้าคารวะ

นั่นคือคนหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียว เขาเล่าความจริงที่เกิดขึ้นไปรอบหนึ่ง ต่อให้เป็นเรื่องที่ ‘เจิงเย่’ ต้องการให้ตนแสร้งเป็นสหายก็ยังเล่าด้วย

สุดท้ายเฉินผิงอันมองเนินขนาดเล็กแห่งนั้นแล้วพูดเบาๆ ว่า “มีน้องชายแบบนี้ มีน้องภรรยาแบบนี้ และยังมีข้าเฉินผิงอันที่สามารถมีสหายอย่างโจวกั้วเหนียนผู้นี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”

……

ในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในเมือง ม่านราตรีมืดดำหนาหนัก

คืนวันสิ้นปี

คนทั้งสามไม่ได้จ่ายเงินจ้างให้คนทำอาหารฉลองวันสิ้นปีมื้อใหญ่ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงค่อนข้างจะผิดหวังอยู่บ้าง

เฉินผิงอันแค่ขอเตาไฟและถ่านไม้ถุงหนึ่งมาจากเถ้าแก่ หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ที่อารมณ์ดำดิ่งนั่งอยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอันจนถึงยามจื่อ (ประมาณ 23.00-01.00 น.)

แล้วก็ไม่มีการพูดคุยกันล้อมกองไฟ ไม่มีใครเอ่ยอะไรสักคำ

จากนั้นหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง

เฉินผิงอันที่อยู่ต่างที่ต่างถิ่นเฝ้าคืนเพียงลำพังจนถึงเช้าวันใหม่

และหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปอย่างนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!