บทที่ 466 ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน
บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ สองหมัดวางไว้บนหัวเข่า หอบหายใจดังฮักๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและยังหยดลงบนพื้นเสียงดังติ๋งๆ
โชคดีที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด เดิมทีมันก็เป็นเหมือนยันต์กำจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่านี่จะส่งผลกระทบต่อ ‘ความบริสุทธิ์สง่างาม’ ของเรือนไม้ไผ่
แต่ได้ยินมาว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมักจะหิ้วถังน้ำใบน้อยมาเช็ดถูพื้นที่ชั้นสองของเรือนเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้นานวันเข้านางจึงกลายมาเป็น ‘คนนอก’ เพียงคนเดียวที่สามารถเข้ามาในเรือนชั้นสองได้
การป้อนหมัดสิ้นสุดลง ส่วนการสอนหมัดและการประมือแลกเปลี่ยนความรู้นั้น ความจริงเป็นเช่นไร มองดูสภาพอเนจอนาถน่าสังเวชของเฉินผิงอันแล้ว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่สีหน้าท่าทางผ่อนคลายเป็นผู้ที่รู้ชัดเจนดีที่สุด
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกประหลาดใจนิดๆ นี่ไม่เหมือนกับการที่ผู้เฒ่าต่อยกระดูกยืดเส้นเอ็นในอดีตที่เฉินผิงอันได้แต่ทนรับอย่างเดียวเท่านั้น การป้อนหมัดครั้งนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่มากกว่าคือการฝึกฝนเคล็ดวิชาและทักษะ นอกเหนือจากนั้นก็คือช่วยให้เขาสร้างความมั่นคงให้แก่ปณิธานหมัดที่ ‘เบื้องหน้าไร้ผู้คน’ บางครั้งที่ผู้เฒ่าอารมณ์ดีก็จะท่องสัจธรรมแห่งหมัดที่มีท่วงทำนองน่าสนใจออกมาสองสามประโยค ส่วนเฉินผิงอันทีบางครั้งก็ถูกเขาต่อยจนล้มคว่ำจะได้ยินหรือไม่ หรือแบ่งสมาธิมาฟังแล้ว จะมีปัญญาจดจำไว้ในใจได้หรือไม่ ผู้เฒ่ากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันในตอนนี้อดไม่ไหวถามว่า “ทำไมถึงไม่จำเป็นต้องหล่อหลอมเนื้อหนังมังสาและสามจิตหกวิญญาณแล้ว?”
ชุยเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “สอนเด็กให้ถือตะเกียบคีบกับข้าว นั่นก็เป็นช่วงที่เจ้าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ตอนนี้ยังต้องให้สอนอีกรอบ? เป็นเจ้าที่โง่เขลาเบาปัญญา หรือเป็นข้าที่ตาบอด เลือกคนโง่มาสั่งสอน?”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตามหลักแล้วคนที่ฝึกวรยุทธล้วนจำเป็นต้องใช้สองคำว่า ‘หล่อหลอม’ ในทุกๆ ขอบเขต ไม่ค่อยเหมือนกับคำว่าอาจารย์นำพาเข้าสำนัก การฝึกฝนอยู่ที่ตัวคนของผู้ฝึกลมปราณที่ได้วิชาลับตระกูลเซียนไปเท่าใดนัก
ดูเหมือนชุยเฉิงจะไม่ยินดีพูดหัวข้อนี้ต่อ เขาถามว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเจ้ามักจะให้จูเหลี่ยนใช้ขอบเขตร่างทองจับคู่เข่นฆ่าต่อสู้กับเจ้าบ่อยๆ ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รับมือได้ยากลำบากอย่างยิ่ง”
ชุยเฉิงส่ายหน้า “แรงไฟต่างกันเกินไป จูเหลี่ยนไม่กล้าฆ่าเจ้า แล้วเจ้าก็รู้ดีว่าจูเหลี่ยนไม่มีทางฆ่าเจ้า ก็เหมือนคู่รักชายหญิงหยอกล้อกันที่เจ้าเกาข้า ข้าลูบเจ้ากลับเท่านั้น จะเป็นประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธที่แท้จริงได้อย่างไร”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ชุยเฉิงเอ่ย “นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เรียกจูเหลี่ยนมาที่ชั้นสอง ข้าจะจับตาดูการป้อนหมัดของพวกเจ้าเอง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกังขา “ก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ชุยเฉิงแค่นเสียงเย็นชา “เหมือนกัน? หากจูเหลี่ยนกล้าไม่เกิดใจสังหารเจ้า ไม่กล้าฆ่าเจ้า ข้าก็จะต่อยให้เขาตายด้วยหมัดเดียว เจ้าคิดว่าจะเหมือนกันได้หรือ? จำไว้ว่า บอกกับจูเหลี่ยนให้ชัดเจนว่าอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ถึงเวลานั้นข้าไม่อยากจะพูดซ้ำประโยคเดิมอีกรอบกับศพศพหนึ่ง”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ผู้อาวุโสเห็นจูเหลี่ยนอยู่ในสายตาด้วยหรือ?”
ชุยเฉิงกระตุกมุมปาก “ยามใดที่สามารถต่อยให้ความเฉลียวฉลาดและกลิ่นอายสูงศักดิ์บนร่างของเจ้าหมอนี่หมดไปได้ ต่อยจนไม่เหลือไว้สักหยด เขาถึงจะพอเข้าตาข้าได้บ้าง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าประลองฝีมือกับจูเหลี่ยนที่จงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตร่างทอง ก็ไม่เคยทำให้เขาบาดเจ็บได้เลยสักครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนมีพลังเหลือเฟือ แค่ฟังคำประจบสอพลอยามเขาป้อนหมัดเสร็จก็รู้ได้แล้ว”
ชุยเฉิงหัวเราะหึหึ “เจ้าทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ใจ
คนที่ไม่กลัวความยากลำบากใต้หล้านี้มีถมเถไป ทว่าเรื่องดีๆ อย่างการทนความยากลำบากแล้วจะต้องได้รับการตอบแทน กลับมีไม่มาก
ถึงแม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าเหตุใดจูเหลี่ยนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วมาสามปี แต่กลับไม่เคยเรียนวิชาหมัดกับผู้เฒ่า แต่ขอแค่ผู้เฒ่าเป็นคนเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ สำหรับจูเหลี่ยนที่คอขวดทั้งสองไม่ว่าจะกระบวนท่าหมัดหรือขอบเขตวิถีวรยุทธก็ล้วนยากจะฝ่าไปได้แล้ว นี่ก็คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เฉินผิงอันก็ต้องปรึกษากับคนต้นเรื่องทุกครั้ง ไม่เคยยืนกรานดึงดันให้อีกฝ่ายต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ สุยโย่วเปียนจะไปสำนักกุยหยกหรือไม่ สือโหรวยินดีรับคราบร่างเซียนหรือไม่ ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องที่จะให้จูเหลี่ยนขึ้นชั้นสองมาฝึกวรยุทธ หากจูเหลี่ยนไม่เต็มใจโดยไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด เฉินผิงอันก็จะต้องโน้มน้าวให้อีกฝ่ายมาฝึกฝนให้จนได้
ชุยเฉิงพลันเอ่ยว่า “เห็นความดีของคนข้างกาย แน่นอนว่าย่อมไม่เลว แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า การฝึกยุทธเดินขึ้นสู่จุดสูงสุด ออกหมัดไร้ศัตรู ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่…เดียวดายอย่างมาก สองอย่างนี้เจ้าล้วนต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าเคยดูคนเล่นหมากล้อมแล้วบรรลุเวทกระบี่ที่เหมือนการวางแผนรบบนกระดาษมาก่อน นั่นก็คือการขีดเส้นแบ่งและกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจน ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็อาศัยสิ่งนี้เดินผ่านด่านยากๆ มามากมาย…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดความในใจจบ ผู้เฒ่าก็จุ๊ปากเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นมือกระบี่ซึ่งสะพายกระบี่เซียนไว้ด้านหลัง ความสามารถในการเรียนหมัดธรรมดา แต่กลับฝึกกระบี่ได้อย่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำขนาดนี้…ดูท่าคงเป็นข้าที่ถ่วงรั้งการเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ของเจ้า แบบนี้จะทำอย่างไรดีเล่า?”
เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดี จึงเตรียมจะเอามือตบพื้นให้ตัวเองถอยกรูดออกไปด้านหลังในท่านั่ง จะได้หลบการออกหมัดระบายโทสะที่ไร้เหตุผลของผู้เฒ่าได้พ้น ส่วนเรื่องจะลุกขึ้นยืนแล้วค่อยหลบนั้น ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย
แล้วก็จริงดังคาด
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง
ผู้เฒ่ากระทืบเท้าทีเดียว เรือนไม้ไผ่ก็โยกไหวสั่นคลอนตามไป เฉินผิงอันที่ร่างเพิ่งจะถอยหลังไปได้ไม่กี่ส่วนกลับเด้งขึ้นกลางอากาศทั้งตัว เรือนกายสูงใหญ่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที หากเป็นแค่กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบก็แล้วไปเถิด ถูกต่อยหมัดเดียวให้สลบ ความเจ็บปวดก็แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่คิดจะปล่อยผ่านเฉินผิงอันไปทั้งอย่างนี้ เขาจึงใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดีที่สุด แล้วก็ชอบนำมาใช้รับมือกับศัตรูมากที่สุดปล่อยหมัดใส่เขาสิบสี่หมัดเต็มๆ ร่างของเฉินผิงอันเหมือนปุยดอกหลิวที่ลอยล่องกลางอากาศ ปลิวไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่ร่วงลงพื้นสักที
และขณะที่ร่างของเฉินผิงอันผู้น่าสงสารร่วงลงสู่พื้นก็คือช่วงเวลาที่เขาหมดสติไปนั่นเอง
รสชาติที่ถูกกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยสิบกว่าหมัดติดต่อกัน โดยเฉพาะหมัดนี้ยังปล่อยมาจากชุยเฉิงผู้เป็นบรรพบุรุษของท่าหมัดนี้อีกต่างหาก นั่นก็ทำให้คนแทบเป็นแทบตายได้จริงๆ
ต่อให้เฉินผิงอันจะสลบแบบสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ร่างของเขากลับยังกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น
ผู้เฒ่ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง ราวกับว่าค่อนข้างจะพึงพอใจ นี่หมายความว่าปณิธานหมัดของเจ้าเด็กนี่ ‘มีชีวิต’ อย่างแท้จริงแล้ว
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่แท้จริง ยามที่นอนหลับฝันหวาน ต่อให้เจอกับสุดยอดนักฆ่า ขอแค่สัมผัสได้ถึงปราณสังหารเพียงเสี้ยวเดียวก็ยังสามารถชักนำปณิธานหมัด ลุกขึ้นมาออกหมัดต่อยให้อีกฝ่ายตายได้ในเสี้ยววินาที ก็คือหลักการเดียวกันนี้
แต่กระนั้นผู้เฒ่าก็ยังไม่ปล่อยเฉินผิงอันไป เขาใช้ปลายเท้าเตะไปยังปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมังกรเพลิงในร่างกายของเฉินผิงอัน เท้าของเขาเตะจนมันขาดท่อนได้อย่างแม่นยำ
ประหนึ่งม้าเหล็กตัวหนึ่งที่พุ่งทะลวงเจาะขบวนรบ ทำให้ขบวนทหารราบของศัตรูบนสนามรบถูกทะลวงเป็นรูโหว่
ข้อต่อแต่ละจุดในร่างของเฉินผิงอันพากันระเบิดส่งเสียงเหมือนประทัด ประหนึ่งเสียงอาวุธเหล็กกระทบกันบนสนามรบ เนื่องจากพายุลมกรดของผู้เฒ่าหยุดแต่พอสมควร เมื่อ ‘ทหารม้า’ เจาะขบวนรบผ่านไปแล้วก็ไม่ได้หยุดชะงัก เป็นเหตุใดปราณแท้จริงบริสุทธิ์ของเฉินผิงอันมารวมตัวกันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ศึกที่นครมังกรเฒ่า ตอนนั้นเรือกลืนกระบี่อันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตู้เม่าทะลุหน้าท้องของเฉินผิงอันไป การที่มันทิ้งโรคร้ายนับไม่ถ้วนไว้ให้เฉินผิงอันที่รอดชีวิตมาได้ ก็เพราะมันยากจะขจัดให้หมดสิ้น ด้วยไม่รู้จักถอยร่นแตกสลาย จึงคอยกลืนกินจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทว่าการเตะครั้งนี้ของผู้เฒ่ากลับไม่มีผลร้ายนี้ ดังนั้นคำเล่าลือในยุทธภพที่บอกว่า ‘หมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางมีพลังอำนาจดุจกระแสน้ำขึ้นท่วมทำลายเมือง แต่ก็กะคำนวณได้พอดิบพอดีเหมือนกระบี่บินลอดช่องเข็มเงิน’ ย่อมไม่ใช่ถ้อยคำที่เกินจริงอย่างแน่นอน
มีเส้นใยเชื่อมโยงกับปราณแท้จริงบริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ แต่กลับไม่ทำร้ายคำว่า ‘บริสุทธิ์เต็มตัว’ นี่ก็คือหนึ่งในความสามารถเฉพาะของสามขอบเขตหลอมจิตอันได้แก่ร่างทอง เดินทางไกลและยอดเขา
ส่วนผู้ฝึกยุทธที่ต่ำกว่าขอบเขตร่างทองลงไป หากปราณแท้จริงขาดสะบั้นก็จะขาดทั้งหมด เมื่อผลัดเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่ย่อมเผยช่องโหว่ แล้วจะสามารถเข่นฆ่าสังหารกับผู้ฝึกตนใหญ่อย่างยาวนานได้อย่างไร?
แต่วิธีการป้อนหมัดประเภทนี้ก็ไม่ได้เหมาะสมจะนำมาใช้กับผู้ฝึกยุทธที่เป็นเด็กรุ่นหลังทุกคน
ก็เหมือนคนทั่วไปที่ถือถ้วยรอรับข้าว แต่ถ้วยข้าวกลับร้อนเหมือนถ่านติดไฟ ไม่เพียงแต่จะทำให้ถ้วยหล่นแตก ยังจะร้อนลวกให้มือบาดเจ็บอีกด้วย
เฉินยวนจีที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ช่าง สตรีช่างปั้นที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางก็ดี พวกนางต่างก็ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางทนรับการทรมานเช่นนี้ได้
เพียงแต่ว่าพวกนางต่างก็มีโชควาสนาในการเรียนวรยุทธของใครของมันก็เท่านั้น บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ มองดูเหมือนเป็นทางเล็กไส้แกะ แต่ต่างคนต่างก็มีทางสะพานไม้ให้เดินแตกต่างกันไป
สตรีฝึกวรยุทธมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ชุยเฉิงเคยเดินทางท่องเที่ยวผ่านทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็เคยเห็นปรมาจารย์หญิงที่มีพรสวรรค์น่าตกตะลึงกับตาตัวเองมาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นคนที่มีอักษรคำว่าเฉี่ยว คนที่มีอักษรคำว่าโหรว พวกนางต่างก็เดินไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขา ต่อให้เป็นชุยเฉิงที่ปีนั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้วก็ยังต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม อีกทั้งเมื่อเทียบกับบุรุษแล้ว พวกนางมักจะมีอายุขัยที่ยืนยาวมากกว่า แล้วก็เดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธได้ยาวไกลกว่า
ในชีวิตของชุยเฉิงมีเรื่องที่เสียดายอยู่หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งในนั้นก็คือไม่เคยประมือกับเทพแห่งการต่อสู้ของทวีปแผ่นดินกลางที่เป็นสตรีผู้นั้น
จึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เจ้าเด็กซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ตนผิดหวัง
หาใช่ผู้เฒ่าดูแคลนวีรสตรีไม่ แต่เป็นเพราะหากยอดเขาของวิถีวรยุทธในสี่ใต้หล้าถูกสตรีคนหนึ่งครอบครองไปจนหมด ปล่อยให้นางหลุบตาลงต่ำมองเหล่าชายชาตรี ผู้เฒ่าก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจพิกล
ส่วนเรื่องที่ตอนนี้เฉินผิงอันยังด้อยกว่าคนวัยเดียวกันที่มีนามว่าเฉาสือผู้นั้น ผู้เฒ่ากลับไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย
จุดที่โดดเด่นที่สุดของเฉินผิงอันอยู่ที่คำว่าทรหดและสำนึกรู้ มีความอดทนทรหด และมีสำนึกรู้ตื่นตัวสูง เฉาสือผู้นั้นคือผู้มีพรสวรรค์ด้านโชคชะตาบู๊ที่พันปียากจะพานพบแล้วอย่างไร ให้เขาไปถึงขอบเขตเก้าขอบเขตสิบก่อนแล้วอย่างไร? ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องรอคอยศัตรูเก่าเพื่อช่วงชิงการข้ามผ่านปราการอันตรายอย่างขอบเขตสิบเอ็ดไปอยู่ดี แน่นอนว่าหากเฉินผิงอันเดินช้าเกินไป ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะไม่แน่ว่าเฉาสืออาจจะต้องหันไปช่วงชิงกับอาจารย์ของเขาแทน หากตอนนี้นางเป็นขอบเขตสิบเอ็ดอย่างที่เล่าลือกันแล้ว ถ้าเช่นนั้นเฉาสือก็จะต้องขึ้นไปช่วงชิงกับตาแก่ที่ว่ากันว่าชอบไปนั่งตกปลาอยู่บนทะเลเมฆผู้นั้น
เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม
ผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงอีกลูกหนึ่งจริงๆ จะไม่มีทางทนมองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนแล้วคนเล่าพากันสร้างสะพานยาวขึ้นมาบนทางสายขาดเส้นนั้นคาตาตัวเองได้เด็ดขาด
ปีนั้นเจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินมาพบตนที่เรือนไม้ไผ่ ดึงเขาชุยเฉิงให้เข้าไปในฟ้าดินที่ลู่เฉินเป็นผู้พิทักษ์ เพียงแค่เพื่ออยากเล่นสนุกเท่านั้นหรือ?
ชุยเฉิงถอนหายใจ ทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นนิ้วไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้เฉินผิงอันเบาๆ
ในเรื่องของการทนรับความยากลำบาก เจ้าเด็กนี่เก่งกว่าหลานชายของตนในปีนั้นมากนัก
ลูกหลานตระกูลร่ำรวย ขอแค่นิสัยดีสักหน่อย ทำความดีช่วยเหลือปวงประชา ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ ล้วนถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน นิสัยแย่หน่อย ชอบเล่นสนุกกับชีวิตคน ก็รู้สึกว่าการเกิดมาเสวยสุขก็คือเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
มีชาติกำเนิดยากจน มีความรับผิดชอบ สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล ไร้ความสามารถ ความชั่วร้ายเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ล้วนต้องกล้ำกลืนความยากลำบากลงไปให้ได้
ผู้เฒ่านั่งอยู่ข้างเฉินผิงอัน โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ประตูไม้ไผ่เปิดอ้า ลมเย็นบนภูเขาพัดโชยเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
ลมหายใจของเฉินผิงอันเริ่มสงบและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
การฝึกฝนบำรุงตนของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เน้นย้ำในข้อที่ว่าหลับลึกราวกับตาย
ตลอดหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน นี่ก็คือสิ่งเฉินผิงอันขาดมากที่สุด
และในความเป็นจริงแล้ว ในสายตาของผู้เฒ่า การเดินทางไกลหลายครั้งของเฉินผิงอันล้วนขาดการนอนหลับที่ดีทุกครั้ง มีเพียงเวลาที่ฝึกท่ากระบี่ยืนนิ่งเจี้ยนหลูเท่านั้นที่พอจะดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะตึงเครียดเหมือนเส้นเอ็นที่ถูกขึงจนตึง หากไม่ถูกคนในยุทธภพฆ่าตาย เส้นทางการเรียนวรยุทธก็จะต้องเกิดปัญหามีแต่อุปสรรค แต่ผู้เฒ่าก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ ก็เหมือนกับที่เขาไม่เคยบอกเรื่องที่มอบโชคชะตาบู๊ที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกขอบเขตให้อีกฝ่าย อุปสรรคบางอย่าง ต้องให้คนหนุ่มสาวข้ามผ่านไปด้วยตัวเอง ถึงจะเข้าใจหลักการเหตุผลได้อย่างลึกซึ้ง ไม่อย่างนั้นต่อให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์มานั่งพูดจนน้ำลายแตกฟอง พร่ำสอนด้วยความปรารถนาดีอยู่ตรงหน้า ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผล
ชุยเฉิงทอดสายตามองไปไกล พึมพำกับตัวเองว่า “แต่จะว่าไปแล้ว ตระกูลขุนนางชั้นสูงก็ล้วนปีนป่ายมาจากตระกูลยากจนกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าตระกูลที่กุมอำนาจต่างก็กลัวประโยคที่ว่า ‘วิญญูชนผู้มีความสามารถ ประทานคุณให้แก่คนรุ่นหลังได้แค่ห้ารุ่น’ มากที่สุด ส่วนตระกูลคนยากจนกลับกังวลกับประโยคที่ว่า ‘มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ หนูขุดรูอยู่อาศัย’ หากในอนาคตภูเขาลั่วพั่วมีสำนักของตัวเองขึ้นมาจริงๆ จุดที่ต้องเป็นกังวลจะไม่ค่อยเหมือนกับจวนตระกูลเซียนชนชั้นสูงแห่งอื่น ไม่ได้แก่งแย่งกันว่าใครผิดใครถูก แต่อยู่ที่ว่าใครถูกมากกว่ากัน ปัญหาเช่นนั้น จะว่าเล็กก็เล็กมาก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่เทียมฟ้า ต้องดูว่าถึงเวลานั้นเจ้าเฉินผิงอันจะโน้มน้าวผู้คนได้หรือไม่ การขัดเกลาทางสภาพจิตใจเช่นนั้น จะเป็นคนละแบบกับยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความผิดมหันต์ของญาติสนิทในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างสิ้นเชิง”
ชุยเฉิงหันหน้ามามองคนหนุ่มที่กำลังหลับแล้วยิ้มเอ่ยว่า “กลัวตายเป็นเรื่องดี อายุยังน้อยแค่นี้ อย่าได้ตายเด็ดขาดเชียว ภูเขาแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่งดงาม ลำพังแค่ใต้หล้าไพศาลก็มีตั้งเก้าทวีปแล้ว ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะเคยได้เห็นมากี่มากน้อยเอง?”
ดูเหมือนจู่ๆ ผู้เฒ่าก็อารมณ์ดีขึ้นมา เขาจึงหัวเราะออกเสียง “ใช้ขอบเขตห้าปะทะกับขอบเขตห้า แน่นอนว่ายังต้องเป็นข้าที่ชนะ แต่คงต้องต่อยเจ้าหลายหมัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ชนะก็ถือว่าแพ้แล้ว แล้วจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย เดินทางไกลหลายรอบแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังอ่อนอยู่ดี”
หลังเสียงหัวเราะผ่านไป ผู้เฒ่าก็เอ่ยเสียงหนักว่า “ควรต้องฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอแค่เจ้าไม่ถูกเฉาสือผู้นั้นทิ้งห่างไปไกลถึงสองขอบเขต แต่กัดฟันตามหลังไปติดๆ สักวันหนึ่งในอนาคต อย่าว่าแต่จะทวงศักดิ์ศรีกลับมาได้เลย แม้แต่ชนะสามครั้งติด ขอแค่เจ้าตามไปทันแล้วจากนั้นก็นำหน้าเขาไปได้ ถึงเวลานั้นจะชนะเขาสามสิบครั้งติดก็ยังไม่มีปัญหา!”
แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของผู้เฒ่าก็เปลี่ยนมาเป็นกลัดกลุ้ม แม้ว่าการประสบความสำเร็จในอนาคตของเจ้าเด็กนี่จะควรค่าแก่การรอคอย แต่พอคิดว่านั่นคือช่วงระยะเวลาที่ต้องยาวนานมากช่วงหนึ่ง ผู้เฒ่าก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก เขาหันหน้ามามองเจ้าคนที่นอนกรนครอกๆ แล้วโทสะก็ไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน จึงโบกชายแขนเสื้อสะบัดใส่ ผรุสวาทอย่างเดือดดาล “นอนๆๆ เจ้าเป็นหมูหรือไง? ไสหัวลุกขึ้นมาฝึกหมัด!”
เฉินผิงอันถูกลมพายุระลอกนั้นพัดให้กลิ้งขลุกๆ ไปกระแทกกับกำแพง สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ชุยเฉิงกลับลุกขึ้นยืนแล้ว สีหน้าของเขามืดทะมึน ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยกเท้ากระทืบลงหนักๆ
เฉินผิงอันพลิกตัวเบี่ยงข้างกลิ้งหนี ถึงได้หลบพ้นเท้านั้นมาได้อย่างหวุดหวิด
ชุยเฉิงเปิดปากกล่าว “เมื่อใดที่สามารถรับมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองได้อย่างสบายๆ ไม่ได้แพ้อย่างน่าอนาถนักท่ามกลางศึกตัดสินเป็นตาย เจ้าถึงจะลงไปจากภูเขาได้ หลังจากนั้นจะไปพบเพื่อนที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป หรือจะไปร่อนเร่พเนจรที่อุตรกุรุทวีปก็ตามใจเจ้า แต่หากทำไม่ได้ ก็จงอยู่เสวยสุขบนเรือนไม้ไผ่นี่แต่โดยดีเถอะ ไม่อย่างนั้นก็ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีให้คนอื่นซะ แล้วลองเป็นกุมารแจกทรัพย์ที่แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ก็ยังยกให้คนอื่นด้วย ดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะตายไม่ได้!”
ชุยเฉิงถาม “อาศัยอะไร? อาศัยที่ชีวิตของเจ้าเฉินผิงอันมีค่ามากกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “อาศัยที่ผู้อาวุโสซึ่งสอนหมัดข้า แซ่ชุยนามเฉิง!”
ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ประโยคนี้ไม่ใช่คำประจบสอพลออะไรจริงๆ เห็นแก่ความจริงที่กล่าวได้อย่างยิ่งใหญ่งดงามประโยคนี้…หากไม่ประทานรางวัลด้วยหนึ่งหมัด ก็คงผิดต่อเจ้าเฉินผิงอันยิ่งนัก!”
เรือนกายและพลังอำนาจของผู้เฒ่าเหมือนขุนเขาที่กดลงมาเหนือศีรษะ เฉินผิงอันหน้ามืด ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้สลบคาที่ไปทันที
ผู้เฒ่ากระทืบเท้า เฉินผิงอันที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นร่างกระเด้งลอยขึ้นมา เพิ่งจะสะดุ้งตื่นกลางอากาศ ฝ่าเท้าอีกข้างของผู้เฒ่าก็พุ่งมาถึง
แล้วก็สลบเหมือดไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เฉินผิงอันโอดครวญไม่หยุด เหนื่อยล้าต่อการรับมือยิ่งนัก
ส่วนผู้เฒ่ากลับสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ออกแรงผ้าแนบรัด โจมตีใส่วัตถุส่งเสียงดัง (คือลักษณะพิเศษของหมัดหลังมือห้าธาตุ (อู่สิงทงเป้ยเฉวี้ยน) เป็นการการจู่โจมโดยมีจังหวะเป็นส่วนประกอบสำคัญ หมัดทงเป้ยหรือทงเป้ยเฉวี้ยนเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นการปล่อยหมัดรัวๆ ติดต่อกัน เนื่องจากมือสองข้างเคลื่อนไหวอยู่ในเส้นแนวเดียวกัน เสื้อผ้าจึงมักจะเสียดสีกันจนเกิดเสียง และเมื่อโจมตีเสร็จมือทั้งสองข้างจะแนบลงโดนต้นขาอย่างเป็นธรรมชาติ จึงทำให้เกิดเสียงโจมตีที่พิเศษขึ้นมา)
แน่นอนว่าไม่ใช่กระบวนท่าทั่วไปในยุทธภพที่แสวงหาในคำกล่าวว่า ‘ฝึกหมัดไม่ส่งเสียง พายเรือไม่มีไม้พาย’ บนตำราหมัดของตัวเอง นี่เป็นเพราะพายุหมัดในชายแขนเสื้อของชุยเฉิงรุนแรงเกินไป การออกหมัดทุกครั้งก็รวดเร็วเกินไป
สุดท้ายผู้เฒ่าเหวี่ยงเท้าฟาดเข้าที่ลำคอของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันหมุนคว้างหลายตลบ พอร่วงลงพื้นแล้วก็เซถอยไปหลายก้าว แต่เนื่องจากพละกำลังไม่ได้มากเท่าก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ถึงขั้นล้มแล้วลุกไม่ขึ้น
เขาจึงตั้งท่าเดินนิ่งหกก้าวกลับหลัง โดยมีปณิธานหมัดท่าวานรช่วยเสริม ค้อมร่างถอยหลังไปหลายก้าว เฉินผิงอันไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย สายตาจ้องผู้เฒ่าเขม็ง
ถูกซ้อมจนสภาพอเนจอนาถเช่นนี้แล้ว อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นท่าหมัดหรือปณิธานหมัดของเขาก็ล้วนสั่นส่ายทั้งสิ้น
แต่บนร่างของเฉินผิงอันกลับมี ‘ความหมาย’ ที่พร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนอย่างหนึ่งที่ตระหง่านนิ่งไม่กระดุกกระดิก ประหนึ่งภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌาน
ชุยฉานยิ้มกล่าว “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ หากยังต่อยตีต่อไป กระดูกของเจ้าคงจะแยกร่างแล้วจริงๆ”
เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ
ชุยเฉิงพยักหน้า “ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดนอีกหมัด เดินลงจากเรือนไปเองเถอะ ตามกฎเดิม ไปแช่ตัวในถังยา จำไว้ว่าไม่เหมือนเหมือนก่อน ห้ามปล่อยให้น้ำเย็น เมื่อใดที่เจ้าสามารถใช้ปราณที่แท้จริงต้มยาจนเดือดได้แล้วถึงจะไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จงอยู่ในถังน้ำแต่โดยดี ถือซะว่าเป็นการฝึกไว้น้ำก็แล้วกัน เว่ยป้อเตรียมตัวยามาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลงจากเรือนแล้วก็บอกให้นังหนูชุดชมพูไปต้มน้ำมาให้”
เฉินผิงอันถึงได้ฝืนประคับประคองลมปราณเฮือกนั้นเดินออกห้อง โซซัดโซเซลงจากเรือน ตอนที่เดินลงบันไดก็จำต้องยื่นมือไปจับราวบันได มีความรู้สึกคล้ายตอนยังเป็นเด็กหนุ่มที่ขึ้นเขาไปเผาถ่าน ขึ้นเขาไม่เหนื่อย แต่ลงเขากลับยากลำบาก
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มต้มน้ำรออยู่ที่ด้านล่างแล้ว
ฉวยโอกาสที่มีเวลาว่าง เฉินผิงอันไม่ได้กลับเข้าไปในห้องชั้นหนึ่งทันที แต่ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
รอจนเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูตะโกนเรียก เขาถึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันก็เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวสะอาดสะอ้าน ซึ่งก็คือหนึ่งในชุดที่อู๋ยวนแห่งจวนจื่อหยางมอบให้
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มเก็บกวาดซากที่หลงเหลืออยู่อย่างคุ้นเคยคล่องแคล่ว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ เด็กน้อยคลี่ยิ้มหวาน ราวกับว่าการที่นางทำงานยิบย่อยจุกจิกพวกนี้ทำให้นางรู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งกว่าการฝึกตนแล้วฝ่าทะลุขอบเขตเสียอีก
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยืดสองขาออกไป
ที่แท้เมื่อไม่ต้องถูกซ้อม ชีวิตของเขาก็ดุจดั่งเทพเซียนแล้ว
ห่างไปไกลจูเหลี่ยนพาเด็กสาวเฉินยวนจีเดินมาถึงช้าๆ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง
จูเหลี่ยนหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งด้านข้าง เฉินยวนจียืนเก็บไม้เก็บมืออยู่ด้านหลังเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นายน้อย เรื่องการฝึกตนของเฉินยวนจี มีระเบียบข้อบังคับอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แค่เจ้านำพานางเริ่มการฝึกฝนก็พอแล้ว จะต้องให้อยู่ในนามของอาจารย์และลูกศิษย์หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเจ้า”
จูเหลี่ยนรีบส่ายหน้า “แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน บ่าวเฒ่าต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นก็ยังพอทำเนา สอนวิชาหมัดให้คนอื่นกลับห่างชั้นจากนายน้อยมากนัก เรื่องของการเป็นอาจารย์ นายน้อยอายุยังน้อย แต่กลับมีมาดของปรมาจารย์ใหญ่แล้ว…”
เฉินยวนจีโอดครวญอยู่ในใจ
น่าเสียดายที่ชายชาตรีวีรบุรุษดุจเทพเซียนผู้เฒ่าจูท่านนี้ต้องตกต่ำกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้
เฉินผิงอันถามเบาๆ “เจิ้งต้าเฟิงมีความเห็นอะไรหรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้าอย่างเสียดาย “พี่ใหญ่เจิ้งผู้นั้น ตอนนี้ในใจคิดแต่ว่าควรจะสร้างกระท่อมอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาอย่างไร ทั้งต้องดูสวยงาม ไม่อาจทำให้ภูเขาลั่วพั่วเสียหน้า แล้วยังต้องไม่เปลืองเงิน ให้นายน้อยต้องสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ด้วย พี่ใหญ่เจิ้งไม่มีเวลาแบ่งสมาธิมาสนใจเรื่องนี้ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันเริ่มรู้สึกปวดหัว
ชุยเฉิงเดินออกจากมาชั้นสอง “ให้ฝึกท่าเดินของหมัดเขย่าขุนเขานั่นก่อนสองแสนรอบ แล้วค่อยมาคุยกันถึงเรื่องฝึกวรยุทธ”
เฉินผิงอันเกิดลังเลเล็กน้อย
แต่จูเหลี่ยนกลับรู้สึกว่าใช้ได้ เขาจึงหันไปยิ้มกล่าวกับเฉินยวนจี “เจ้าช่างมีวาสนาใหญ่เทียมฟ้าซะจริง ท่าหมัดนี้คือสุดยอดวิชาที่หาได้ยากยิ่งของโลก ประหนึ่งคนฉลาดล้ำที่แสร้งทำตัวเป็นคงโง่ ซุกซ่อนปณิธานหมัดอย่างไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ แม่หนูเฉิน นับจากวันนี้ไปเจ้าต้องมีจิตใจแน่วแน่ ตั้งใจเดินฝึกไปทีละรอบ”
จูเหลี่ยนหันหน้ากลับมายิ้มแต้มองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกล่าว “ท่าเดินนิ่งหกก้าว ใช่ว่าเจ้าจะสอนไม่ได้เสียหน่อย”
จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างละอายใจ “ท่าเดินนิ่งของบ่าวเฒ่า ต่อให้เดินถูกต้องแค่ไหนก็ไม่สง่างามมีเสน่ห์มากพอ ย่อมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเดินท่าเป็ดให้คนดูไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจส่งผลให้เฉินยวนจีดูแคลนท่าหมัดล้ำโลกท่านี้ หากนายน้อยเป็นคนเดิน ย่อมดุจเมฆคล้อยน้ำไหล กำซาบชื่นมื่น ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์…”
เฉินผิงอันทนฟังคำประจบเอาใจของเจ้าหมอนี่ไม่ไหวจริงๆ จึงยกเอาประโยคที่ชุยเฉิงเอ่ยมาพูดคร่าวๆ เพียงแค่ละเว้นคำกล่าวประเภทที่ว่าขอบเขตร่างทองไป จูเหลี่ยนย่นหน้าอย่างขมขื่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม
จูเหลี่ยนพาเฉินยวนจีกลับไปยังที่พัก
ตลอดทางที่เดินกันมา เฉินยวนจีค้นพบว่าดูเหมือนอารมณ์ของเทพเซียนผู้เฒ่าจะหนักอึ้งอย่างยิ่ง
ตอนนั้นที่อยู่ในจวนเฉิน เทพเซียนผู้เฒ่าพูดจาอย่างจริงใจตรงไปตรงมา บอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่กำลังจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง และยังบอกอีกว่าในอนาคตนางมีหวังจะประสบความสำเร็จเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด
หรือว่าผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ชอบซ่อนตัวอยู่ในเรือนไม้ไผ่คือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตร่างทอง? ไม่อย่างนั้นการที่เขาเอาแต่พร่ำพูดว่าจะต่อยเทพเซียนผู้เฒ่าให้ตายก็หน้าไม่อายเกินไปแล้ว
จูเหลี่ยนสอนท่าเดินนิ่งหกก้าวให้แก่เฉินยวนจีด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ ทำซ้ำอยู่สามรอบ เฉินยวนจีก็พอจะฝึกฝนจนคล้ายคลึงในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว
จูเหลี่ยนเอ่ยเพียงว่านางต้องขยันฝึกเดินนิ่ง รีบฝึกให้ครบสองแสนรอบ จำเป็นต้องเร็วและมั่นคง
นอกจากนี้คือวันหน้าจะคอยฝึกให้เฉินยวนจีดูอีกวันละสามครั้งทุกวัน ให้เฉินยวนจีสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง หลีกเลี่ยงไม่ได้นางเดินทางผิด
เฉินยวนตีเปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวหาญ รับปากจูเหลี่ยนเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แอบอู้เด็ดขาด
จูเหลี่ยนเดินสองมือไพล่หลังออกมาจากเรือน
อันที่จริงการทดสอบแรกของเฉินยวนจีได้เปิดฉากขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้ว
เพียงแต่ว่าเด็กสาวไม่รู้ตัวก็เท่านั้น
หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าเฉินยวนตีจะฝึกเดินนิ่งสองแสนรอบได้สำเร็จเมื่อไหร่ และช่วงเวลาระหว่างที่เดินนิ่งนี้ ใช้เวลานานเท่าไหร่ที่เปลี่ยนจากคล้ายภายนอกไปคล้ายทางจิตวิญญาณ หลังจากคล้ายทางจิตวิญญาณแล้ว ปณิธานหมัดมีอีกกี่สวน หรือเพื่อความว่องไว นางจะทำให้ท่าหมัดหละหลวมหรือไม่ โดยไม่ทันรู้ตัวก็เลือกเดินทางลัด เป็นคนฉลาดที่ต้องพลาดท่าเพราะความฉลาด ทำให้เส้นทางการฝึกวรยุทธของตัวเองกลายไปเป็นทางหัวขาดเสียแต่เนิ่นๆ
การฝึกวรยุทธ สำนึกรู้ ความอดทน สภาพจิตใจ เฉินยวนจีล้วนต้องมีครบถ้วนไม่ขาดไปแม้แต่อย่างเดียว
และความสำเร็จในอนาคตของเฉินยวนจี จะเป็นขอบเขตร่างทองที่เดิมทีก็เป็นของในกระเป๋านางอยู่แล้ว หรือพอจะมีหวังได้เป็นขอบเขตเดินทางไกล หรือแม้กระทั่งขอบเขตยอดเขาที่เดิมทีความเป็นไปได้น้อยนิด อันที่จริงก็ล้วนอยู่ท่ามกลางการฝึกเดินนิ่งสองแสนรอบนี้
นี่ก็น่าจะเป็นดั่งคำว่าสามขวบเห็นไปจนถึงตอนแก่
ทุกอย่างนี้มาจากแค่ประโยคเดียวของผู้เฒ่าเปลือยเท้าเท่านั้น
อันที่จริงจูเหลี่ยนไม่ค่อยเต็มใจอยากเข้าร่วมการป้อนหมัดระหว่างเฉินผิงอันกับผู้เฒ่าแซ่ชุยเท่าใดนัก
เพราะนี่จะทำให้การเลือกหนังสือมาเก็บรักษาไว้ของเขาล่าช้าไปอีก
……
ห้าวันต่อมา จูเหลี่ยนถูกซ้อมจนร่อแร่เกือบตายอยู่หลายครั้ง ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
แต่ไม่เหมือนกับเฉินผิงอันที่อาศัยการกัดฟันยืนหยัดอดทน จูเหลี่ยนที่แรกเริ่มไม่ค่อยใส่ใจ ถึงท้ายที่สุดกลับเหมือนติดใจการถูกซ้อมไปเสียแล้ว ไม่เสียแรงที่เขาคือคนบ้าวรยุทธที่คิดจะสังหารคนเก้าคนเพียงลำพังแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว การฝึกหมัดของเขาหลังจากนั้นกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ของชุยเฉิงไปอีก จูเหลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธเดินทางไกลคนหนึ่ง แต่กลับพยายามคิดหาวิธีมาท้าทายปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางขอบเขตสิบขั้นสูงสุดอย่างชุยเฉิง ผลกลับเป็นเหมือนที่ชุยเฉิงพูดไว้ จูเหลี่ยนไม่อาจฆ่าเฉินผิงอันได้จริงๆ แต่เขาสามารถบีบให้จูเหลี่ยนลงมือลงมือ ถึงอย่างไรมีเขาคอยดูอยู่ข้างๆ ก็ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอะไรได้ แต่เมื่อจูเหลี่ยนวางท่ากวนโอ้ยว่าข้าอยากตาย หากเจ้าไม่ฆ่าข้า เจ้าก็ไม่ใช่ยอดฝีมือให้เห็น เขาชุยเฉิงจะสามารถสังหารจูเหลี่ยนได้จริงๆ หรือ? ก็ไม่ใช่ว่าได้แค่ซ้อมให้จูเหลี่ยนร่อแร่ใกล้ตายครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นหรือไร?
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันสะใจที่สุดนับตั้งแต่ฝึกหมัดมา
แน่นอนว่ายามที่จูเหลี่ยนประมือกับเขา อีกฝ่ายก็ใจดำอำมหิตจริงๆ
แต่ทุกครั้งที่เฉินผิงอันนอนหายใจรวยรินอยู่ในมุมห้อง มองเห็นจูเหลี่ยนโดนผู้เฒ่าซ้อมจนกระเซอะกระเซิง เขาก็รู้สึกทันทีว่าอันที่จริงถือว่าตนโชคดีแล้ว
แต่ยามที่จูเหลี่ยนซ้อมฝึกหมัดอย่างเข้าถึงอารมณ์เต็มที่ สภาพแห่งการหลงลืมตนเองซึ่งใกล้เคียงกับคำว่า ‘ธาตุมารเข้าแทรก’ แต่จิตใจกลับยังใสสะอาดไร้มลทินเช่นนั้นของจูเหลี่ยน ก็ทำให้เฉินผิงอันได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
คิดดูแล้วทุกครั้งที่ถึงช่วงท้ายของการฝึก ชุยเฉิงจงใจไม่ทำให้เขาสลบเหมือดไปก็เพราะต้องการให้ตนคอยชมศึก
หากไม่เป็นเพราะความต่างด้านอายุ รวมไปถึงการที่จูเหลี่ยนยืนกรานจะให้พวกเขาเป็นนายบ่าวกัน คนทั้งสองก็คงเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกันจริงๆ แล้ว
กลางดึกของวันนี้ คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองไปทางเรือนไม้ไผ่ ท่าทางหมายมั่นปั้นมือ กว่าจะยับยั้งตัวเองไม่ให้หันไปสถบด่าใส่ทางนั้น เพื่อจะได้กินหมัดให้อิ่มอีกหนึ่งมื้อได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไร้คำพูดได้
อย่างมากสุดอย่างตนก็แค่พอจะเรียกได้ว่าทนรับความยากลำบากได้ดี แต่จูเหลี่ยนนี่กลับต้องเรียกว่าเห็นความยากลำบากเป็นการเสวยสุขจริงๆ
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสใช้ขอบเขตร่างทองมาสู้กับขอบเขตเดินทางไกลอย่างข้า แต่ก็ยังทำให้ข้าร้องเรียกหาบิดามารดาได้ ปีนั้นนายน้อยก็ใช้ขอบเขตห้าต้านทานการลงมือด้วยขอบเขตร่างทองของข้า ผู้อาวุโสกับนายน้อยสมกับเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าดึงข้าไปมีส่วนด้วย”
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านผู้อาวุโสลำบากทำด้วยใจจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เพราะหวังว่าข้าจะรู้ถึงท่าทีที่ควรปฏิบัติต่อการฝึกวรยุทธ บนโลกยังมีบุคคลอย่างเจ้าจูเหลี่ยนอยู่ ลำพังเพียงแค่ความเด็ดเดี่ยวน้อยนิดแค่นี้ของข้า ไม่นับว่าเป็นอะไรได้เลยจริงๆ”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าละเอียดใจ “ทุกครั้งที่ออกหมัดต่อยลงบนร่างของนายน้อย ความเจ็บปวดกลับปรากฎอยู่ที่ใจของบ่าวเฒ่า”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “พอเถอะน่า”
จูเหลี่ยนถอนหายใจ “เรื่องของการเดินนิ่งของเฉินยวนจี ยังคงช้าไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้จงใจพูดแต่เรื่องดีๆ เกี่ยวกับเฉินยวนจี แต่ก็ยังเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “จะเอาแต่คาดหวังให้คนอื่นเป็นเหมือนเจ้าไปหมดไม่ได้ ต่อให้เป็นข้า ปีนั้นที่ไม่เกรงต่อความยากลำบากก็เพื่อต่อชีวิตให้ตัวเอง”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “นายน้อยอย่าพูดอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อการที่นายน้อยต่อยหมัดหนึ่งล้านครั้งหลังจากที่มีชีวิตรอดอยู่มาได้”
เฉินผิงอันถาม “มีวิธีไหนที่ทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเฉินยวนจี แล้วก็ทั้งเป็นวิธีที่คล้อยไปตามธรรมชาติซึ่งช่วยยกระดับปณิธานหมัดของนางให้สูงขึ้นได้หรือไม่?”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ก็พอจะมีอยู่วิธีหนึ่ง แต่ว่านายน้อยอาจต้องเสียสละค่อนข้างมาก”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”
จูเหลี่ยนกดเสียงลงพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วน “นายน้อยสามารถแสร้งทำตัวเป็นเจ้าของภูเขาไร้คุณธรรมที่เกิดปรารถนาในสาวงาม แต่ขอบเขตวิถีวรยุทธจะสูงมากไม่ได้ ในค่ำคืนมืดมิดลมพัดแรงคืนหนึ่ง หลังจากที่นางดิ้นรนต่อสู้ ขณะที่นายน้อยกำลังจะได้สมใจปรารถนานั้นเอง บ่าวเฒ่าก็พลันปรากฎตัวอย่างบังเอิญ ช่วยโขกหัวขอร้องแทนนาง นายน้อยกลัวเสียหน้าจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่ก้าวเท้าของออกจากธรณีประตูนั้นเอง ได้หันกลับมามองที่เตียงแวบหนึ่ง สายตายังคงมีแววไม่ยอมแพ้ จากนั้นบ่าวเฒ่าก็เอ่ยปลอบใจนางไปคำรบหนึ่ง สอนให้เฉินยวนจีรู้สึกว่ามีเพียงนางตั้งใจฝึกหมัดเท่านั้นถึงจะสามารถเอาชนะนายน้อยได้ในเร็ววัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานจากการถูกล่วงละเมิด…”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าระงับความตกใจอยู่หลายที
สุดท้ายถามว่า “แล้วทำไมเจ้ากับข้าไม่เปลี่ยนบทบาทกัน?”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างระอาใจ “เฉินยวนจีไม่ใช่คนโง่จริงๆ เสียหน่อย นางไม่มีทางเชื่อหรอก อีกทั้งขอแค่แม่นางน้อยเชื่อจริงๆ เกรงว่าต่อให้ต้องสู้ตายก็คงต้องแอบหนีลงจากภูเขาไปให้ได้”
เฉินผิงอันถามอีก “ข้าแปลกใจนัก ทำไมเฉินยวนจีถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนดี แล้วคิดว่าข้าเป็นคนเลวได้นะ?”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากบุรุษไม่เลว สตรีก็ไม่รัก?”
เฉินผิงอันลังเลว่าจะเชิญเจี้ยนเซียนออกจากฝักมาฟันจูเหลี่ยนให้ขาดครึ่งท่อนดีหรือไม่
จูเหลี่ยนไม่ล้อเล่นอีก เขายิ้มแป้นขอเหล้าจากเฉินผิงอันหนึ่งกา บอกว่าในฐานะบ่าวเฒ่าผู้ซื่อสัตย์ภักดี อดทนข่มกลั้นกับแมลงขี้เหล้าที่ร้องประท้วงอยู่ในท้องมานานแล้ว ตอนที่เอาเหล้าไปฝัง เขาก็ไม่กล้าแอบเก็บเหล้าดีๆ ไว้กับตัวเลยสักไห ตอนนี้เสียใจจนไส้เขียวแล้ว เฉินผิงอันบอกให้เขาไสหัวไป
จูเหลี่ยนรู้ว่าหมดหวังจริงๆ ก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นายน้อย ท่านยังหนุ่มขนาดนี้ แต่กลับหัวโบราณกับเรื่องชายหญิงขนาดนี้ จะคร่ำครึน่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือไม่? มีบุรุษดีๆ ที่ไหนบ้างที่ไม่มีสตรีผู้รู้ใจสักสองสามคน?”
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไปไกล เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ หากมีสตรีมาชอบข้าจริงๆ ข้าก็จะไม่ห้ามปราม แต่ชั่วชีวิตนี้ข้าจะชอบแค่คนคนเดียวได้หรือไม่ ข้าสามารถทำได้ แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย”
จูเหลี่ยนเกาหัว ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันรออยู่นาน สุดท้ายก็หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกเขา “หาคำประจบไม่เจอเลยหรือ?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า พึมพำว่า “บนโลกมีเพียงคนลุ่มหลงในรักเท่านั้นที่คนอื่นไม่ควรหัวเราะเยาะเย้ย”
เฉินผิงอันเอ่ยออกมาจากความรู้สึก “ไม่ใช่คนลุ่มหลงในรัก ย่อมเอ่ยประโยคแบบนี้ออกมาไม่ได้”
จูเหลี่ยนตบโต๊ะดังป้าบ “นายน้อยถึงจะเป็นยอดฝีมือที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำจริงๆ ด้วย การพูดเยินยอระดับนี้ ไร้ร่องรอยให้จับต้องได้ บ่าวเฒ่าห่างชั้นไกลนัก!”
เฉินผิงอันรู้สึกหมั่นเขี้ยว พูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้งว่า “จูเหลี่ยนเจ้ารอก่อนเถอะ รอวันใดที่ข้าเป็นขอบเขตเดียวกับเจ้าแล้ว พวกเรามาคอยดูกัน”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ ง่ายจะตายไป”
มองสีหน้าประมาณว่าหากบ่าวเฒ่าพูดปดแม้ครึ่งคำก็ขอให้ฟ้าผ่าของจูเหลี่ยนแล้ว เฉินผิงอันก็สะอึกอึ้งจนพูดไม่ออก
เงียบกันไปครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันก็ถามว่า “มองออกว่าเผยเฉียนเข้ากับเจ้าเด็กน้อยทั้งสองได้ดีมาก เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ข้าล้วนไม่อยู่บ้าน มีปัญหาอะไรที่ข้ามองไม่ออกแล้วปล่อยให้หลุดพลาดไป ส่วนเจ้าก็รู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูดหรือไม่? หากมีจริงๆ จูเหลี่ยนเจ้าสามารถพูดได้”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้ม “อยู่กับนายน้อย ไม่มีอะไรที่ข้าพูดไม่ได้”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ รู้สึกจนใจน้อยๆ ยื่นนิ้วมาชี้หน้าจูเหลี่ยนแสดงท่าทีให้รู้ว่าตนไร้คำจะกล่าวแล้ว
—
ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน
“ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีคนน้อย ปัญหาจึงไม่มาก กิจธุระบางอย่างนอกเหนือจากเรื่องภายในบ้าน หากเป็นเรื่องที่ใหญ่หน่อย นายน้อยก็ทำเองแล้ว เรื่องที่เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นตอบแทนพระคุณเพื่อนบ้านที่ในอดีตเคยช่วยเหลือจุนเจือนายน้อย ปีนั้นแม่นางหร่วนก็ช่วยจัดการให้แล้ว บวกกับร้านทั้งสอง หลังจากที่บ่าวเฒ่ารับช่วงมาทำต่อ ก็แค่ทำไปตามลำดับขั้นตอนที่เคยมีมา ไม่ได้ซับซ้อนอะไร หลายครอบครัวพากันย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ได้ดิบได้ดีแล้ว คนบางส่วนก็พูดจาดีๆ ปฏิเสธของขวัญที่บ่าวเฒ่านำไปมอบให้ แต่ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยือนช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ยังคงมีมารยาทและเกรงใจกัน ส่วนบางคนที่ต่อให้จะมีเงินแล้ว กลับยิ่งไม่รู้จักพอ หากไม่เกินกว่าเหตุ บ่าวเฒ่าก็จะปล่อยเลยตามเลย ตามใจพวกเขาไป ถึงอย่างไรวันหน้าภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ติดค้างอะไรพวกเขาอีกแล้ว บางคนที่ทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้างก็แค่ไม่ให้ความสนใจก็เท่านั้น ส่วนพวกตระกูลที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังยากจน บ่าวเฒ่าก็ไม่ได้ให้เงินทองอะไรพวกเขาไปมากนัก แต่จะไปให้เห็นหน้าเห็นตากันบ่อยๆ ไปนั่งอยู่ในบ้านของพวกเขา บางครั้งก็เปิดปากถามว่ามีเรื่องอะไรอยากให้ช่วยเหลือหรือไม่ อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็แสร้งโง่”
จูเหลี่ยนพูดจ้อไม่หยุด
หากเข้าใจชีวิตของจูเหลี่ยนในพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะรู้ว่าในเรื่องของการจัดการเรื่องราวทางโลก หากเป็นเรื่องใหญ่ก็ใหญ่ถึงราชสำนักและสนามรบ เรื่องเล็กก็เล็กเท่าเรื่องหยุมหยิมในครัวเรือน จูเหลี่ยนล้วนจัดการได้อย่างคล่องมือ เปลี่ยนงานหนักให้เป็นงานเบาได้อย่างสบายๆ
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีมองคนหนุ่มชุดเขียวที่คุ้นเคยกับการคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดเกี่ยวกับทุกผู้ทุกคนตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “นอกจากนี้ก็มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าไม่สะดวกจะไปพูดแทนนายน้อย ทำแทนนายน้อย รอให้นายน้อยมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ทุกอย่างก็เป็นดั่งควันและเมฆหมอกที่สลายจางหายไปแล้ว นี่คือคำพูดจากใจจริง ดังนั้นนายน้อย ข้ามีคำพูดจากใจจริงจะพูดอีกประโยคหนึ่ง ไม่ว่าจะจากบ้านไปไกลแค่ไหน ท่องเที่ยวอย่างเหน็ดเหนื่อยเจออุปสรรคมากเท่าไหร่ก็ต้องกลับมา ภูเขาลั่วพั่วไม่กลัวที่จะต้องรอคอย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว ในอนาคตนายน้อยเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงภูเขาลั่วพั่วมากเกินไป มีผู้อาวุโสชุย มีบ่าวเฒ่า ตอนนี้ยังมีพี่ใหญ่เจิ้งเพิ่มมาอีกคน นายน้อยก็ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ สุดท้ายถามอย่างใคร่รู้ “เหตุใดทุกวันนี้สือโหรวถึงไม่ได้มีท่าทางระแวดระวังและห่างเหินต่อเจ้าเหมือนเมื่อก่อน?”
จูเหลี่ยนยิ้มประจบ “อาจเป็นเพราะสือโหรวเห็นบ่าวเฒ่านานวันเข้าเลยรู้สึกว่าอันที่จริงหน้าตาของบ่าวเฒ่าหาใช่ทนมองไม่ได้ขนาดนั้น? ถึงอย่างไรในอดีตตอนที่บ่าวเฒ่าอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ถูกกล่าวขานว่าเป็นคุณชายหล่อเหลารูปงามดุจดั่งเจ๋อเซียนเชียวนะ”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองจูเหลี่ยน ส่ายหน้ากล่าวว่า “เอาเป็นว่าข้ามองไม่ออกก็แล้วกัน”
จูเหลี่ยนสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะตาหยีจนไหล่กระเพื่อม ราวกับกำลังหวนนึกถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ในอดีต “นายน้อยท่านรู้หรือไม่ ปีนั้นไม่รู้ว่ามีสตรีในพื้นที่มงคลดอกบัวมากน้อยแค่ไหนที่ต่อให้เพียงแค่เห็นภาพเหมือนของบ่าวเฒ่าแวบเดียวก็ยอมไม่แต่งงานแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าในอดีตหน้าตาสู้ชุยตงซานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มได้ไหม?”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บอกตามตรง หาใช่บ่าวเฒ่าหลงตัวเองไม่ แต่รูปลักษณ์และเสน่ห์ของบ่าวเฒ่าในปีนั้นล้วนเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ถ้าอย่างนั้นก็กวนโอ้ยน่าเตะจริงๆ”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เพราะฉะนั้นบ่าวเฒ่าถึงต้องวิ่งโร่ไปเรียนวรยุทธอย่างไรเล่า ไม่อย่างนั้นก็ต้องกังวลว่าวันใดจะรักษาก้นเอาไว้ไม่ได้”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมายในคำพูดของจูเหลี่ยน เขาไม่ได้หันหน้าไปมองอีกฝ่าย เพียงกล่าวว่า “แน่จริงก็ไปพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสสิ”
จูเหลี่ยนแอบหัวเราะสนุกสนานอยู่กับตัวเอง โบกมือกล่าวว่า “นั่นต่างหากที่รนหาที่ตายอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู้ว่าหลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยนสามคน ทุกวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว”
สีหน้าของจูเหลี่ยนแฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยัน แต่น้ำเสียงกลับเฉยเมย “ต่างคนต่างวิ่งไปบนเส้นทางอนาคตของตัวเอง เก่งกาจไม่แพ้กันเลยน่ะสิ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แอบฟ้องลับหลัง?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “นายน้อยอ่านใจคนได้ทะลุปรุโปร่งประดุจองค์เทพ”
เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “จูเหลี่ยน หากวันใดเจ้าอยากออกไปท่องเที่ยวข้างนอก แค่บอกข้าสักคำก็พอ นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยไปตามมารยาท เพราะเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องมีมารยาทต่อกันจริงๆ”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ความปรารถนาดีของนายน้อย บ่าวเฒ่ารับไว้แล้ว แต่บ่าวเฒ่าไม่อยากเดินทางไกลจริงๆ ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็เดินทางมามากพอแล้ว เพื่อครอบครัวเพื่อบ้านเมือง เพื่อความกตัญญูเพื่อความจงรักภักดี เหนื่อยมากแล้ว อีกอย่างการเดินทางในยุทธภพครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วงชิงระหว่างสิบคนในใต้หล้าของแคว้นหนันเยวี่ยนปีนั้น ก็คือการเดินทางเพื่อตัวข้าเอง ไม่ว่าอย่างไรชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายและเสียใจแล้ว ผู้ที่รู้ตัวเองย่อมลำบากน้อยลง ผู้ที่รู้จักพอย่อมมีความสุข…นายน้อย ประโยคนี้พูดได้ไม่เลวกระมัง สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ได้หรือไม่?”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังฟังอย่างตั้งใจ ผลกลับถูกประโยคสุดท้ายของจูเหลี่ยนทำลายบรรยากาศ เฉินผิงอันที่หน้าดำทะมึนลุกขึ้นยืน เดินเข้าห้องที่อยู่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
จูเหลี่ยนเองก็ลุกขึ้นยืน มองส่งเฉินผิงอันจากไป หลังจากอีกฝ่ายปิดประตูลงแล้ว เขาถึงได้นั่งลงไปตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
ผู้เฒ่าหลังค่อมทอดสายตามองทัศนียภาพยามค่ำคืนอยู่เพียงลำพัง
เสียงต้นสนในภูเขาพลิ้วโบกตามสายลม จิ้งหรีดเรไรส่งเสียงร้องระงมในพุ่มหญ้าใต้จันทรา
สมกับเป็นปลายทางแห่งโลกมนุษย์อย่างแท้จริง
ยังจะต้องการอะไรอีกเล่า?
ครู่หนึ่งต่อมา
ผู้ฝึกยุทธเดินทางไกลที่จิตใจนิ่งสงบราวกับผืนน้ำก็กวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อไม่เห็นเงาผู้ใดก็แอบหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ เอานิ้วแตะน้ำลาย เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือ อ่านหนังสือต้องห้ามท่ามกลางแสงจันทร์คืนฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นความบันเทิงยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งในชีวิตคนเหมือนกันนี่นะ
……
วันที่สองเฉินผิงอันไม่ได้ขึ้นไปถูกป้อนหมัดที่ชั้นสอง
เพราะรองเจ้ากรมพิธีการราชสำนักต้าหลีเดินทางมาถึงภูเขาพีอวิ๋น ต้องการจะลงนามทำสัญญาซื้อขายภูเขาแทนสกุลซ่งราชวงศ์ต้าหลีอย่างเป็นทางการ
เว่ยป้อมาเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง จากนั้นก็พาเฉินผิงอันไปที่สำนักศึกษาหลินลู่ ที่นั่นมีรองเจ้ากรมผู้เฒ่าและขุนนางที่เกี่ยวข้องรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ขุนนางชั้นสูงของต้าหลีท่านนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน ปีนั้นหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงแล้วแนบติดกับพื้นดิน เขาก็เคยเจอกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าผู้นี้อยู่หลายครั้ง
แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้มาเยือนสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่มีขนาดสูงสุดของต้าหลี
เนื่องจากถูกเว่ยป้อกระชากไปยังจุดที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งของสำนักศึกษาโดยตรง จึงย่นระยะทางที่ต้องเดินอ้อมระเบียงผ่านอาคารไปได้มาก
หร่วนฉงไม่ได้อยู่ที่นี่ อริยะสำนักการทหารที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ได้แอบออกไปอย่างลับๆ แล้ว เป็นต่งกู่เซียนดินโอสถทองของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นตัวแทนของเขามาเข้าร่วมการลงนาม เขาถือตราประทับส่วนตัวของอาจารย์ตัวเองมาด้วย นี่คือของแทนตัวของอริยะท่านหนึ่ง ไม่ใช่วัตถุธรรมดาทั่วไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่าหร่วนฉงเชื่อใจในตัวลูกศิษย์ที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตคนนี้มาก
บนโต๊ะตัวหนึ่ง นอกจากหนังสือสัญญาพันธมิตรที่สำคัญที่สุดหนึ่งแผ่นแล้ว ยังวางโฉนดที่ดินภูเขาแต่ละลูกไว้อีกหลายแผ่น
ภูเขาหนิวเจี่ยวที่เดิมทีเป็นของร้านผ้าห่อบุญ ภูเขาจูซาของสกุลสวี่นครลมเย็น ภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุด กินอาณาบริเวณกว้างขวางมากที่สุด ภูเขาหลังอ๋าว ภูเขาเว่ยเสีย แท่นบูชากระบี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของกลุ่มภูเขา รวมแล้วภูเขาน้อยใหญ่ทั้งหมดหกลูกล้วนจะอยู่ในนามของเฉินผิงอันทั้งหมด
คนที่ต้องลงนามและประทับตราลงในสัญญา นอกจากเฉินผิงอันแล้วยังมีรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ถือทั้งตราลัญจกรหยกของราชสำนักต้าหลีและตราขุนนางกรมพิธีการไว้ในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ก็มีตราประทับของหร่วนฉงที่ถืออยู่ในมือต่งกู่ และยังมีเว่ยป้อที่ปลดต่างหูสีทองชิ้นนั้นลงมา หลังจากต่างหูถูกปลดลงมาก็ไม่รู้ว่าเว่ยป้อร่ายใช้วิชาอภินิหารประเภทใด ต่างหูจึงกลายมาเป็นตราประทับทรงกลมของจริง
และยังมีรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอีกสองคนที่แค่มาร่วมความครึกครื้นเท่านั้น
ท่านหนึ่งคือผู้รอบรู้ของต้าหลีที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในวงการปัญญาชน ว่ากันว่ากรอบป้ายของศาลบุ๋นบู๊และกลอนคู่มากมายในเขตการปกครองหลงเฉวียนล้วนมาจากลายมือของบัณฑิตท่านนี้
อีกท่านก็คือคนสนิทคุ้นเคยกันดี
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อแคว้นหวงถิงที่ปีนั้นรับรองกลุ่มของเฉินผิงอัน ตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นเจียวเฒ่าที่มีอายุอยู่มาหลายปีจนนับไม่ถ้วน ยิ่งเป็นบิดาของอู๋ยวนบรรพบุรุษผู้บุกเบิกจวนจื่อหยาง
อู๋ยวนเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน นายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา ขุนนางหนุ่มทั้งสามท่าน วันนี้ก็มากันครบ
ส่วนข้างกายต่งกู่นั้นยังมีคนหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ คนคิ้วยาวแห่งตระกูลเซี่ย เซี่ยหลิงที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเถาเย่
ตามหลักแล้วต่อให้เซี่ยหลิงจะเป็นลูกศิษย์ของหร่วนฉงก็ไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
เพียงแต่บรรพบุรุษของคนเขามีชื่อเสียงมากเกินไป เพราะนั่นคือเทียนจวินเซี่ยสือ
ดังนั้นหลังจากที่เซี่ยหลิงปรากฏตัว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายังถึงขั้นเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายปราศรัยกับคนหนุ่มที่เกิดมาพร้อมภาพปรากฎการณ์พิเศษผู้นี้ด้วยตัวเอง
เซี่ยหลิงวางตัวอย่างเหมาะสม ทั้งไม่เย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็ไม่ขลาดเขิน หลังจากพูดคุยกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเสร็จ คนหนุ่มก็ยืนเงียบๆ ต่อไป เพียงแต่ว่าเมื่อคนสำคัญของงานอย่างเฉินผิงอันปรากฏตัว เซี่ยหลิงก็ได้ชำเลืองตามองเจ้าคนที่มีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงผู้นี้อยู่หลายครั้ง
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง
บนภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ทั้งคู่ต่างก็มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง
คนหนึ่งคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่สามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองได้ อีกคนหนึ่งคือเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่รวบเอาภูเขาตระกูลเซียนไว้ในกระเป๋าเหมือนคนธรรมดาที่ซื้อที่นาหลายหมู่
แต่มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่า หม่าขู่เสวียนไม่ถูกกับเฉินผิงอันสักเท่าไหร่ เล่าลือกันว่าในอดีตพวกเขาเคยประมือกันที่สุสานเทพเซียนมาก่อน
เซี่ยหลิงประหลาดใจอย่างยิ่งว่าเฉินผิงอันมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรกันแน่
ต้องรู้ว่าหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่นั้น คือบุคคลที่เขาพยายามจะไล่ตามให้ทันเงียบๆ มาโดยตลอด
ส่วนเขาเซี่ยหลิงก็ไม่เพียงแต่มีบรรพบุรุษที่มีมรรคกถาค้ำฟ้า ยังเคยได้รับความโปรดปรานจากเจ้าลัทธิลู่เฉิน อีกฝ่ายมอบเจดีย์จิ๋วที่ใกล้เคียงกับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้กับเขาด้วยตัวเอง
ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม สายตาของเซี่ยหลิงจึงมองจ้องไปยังยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปตลอดเวลา มีเพียงบางครั้งที่ถึงจะก้มหน้าลงมองเรื่องราวในโลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขา
อันที่จริงยังมีหลิวเสี้ยนหยางอีกคนที่ปีนั้นได้รับโชคดีหลังจากหายนะ พอรอดตายมาได้ก็ถูกพาไปศึกษาเล่าเรียนกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป แน่นอนว่าคงต้องได้รับโชควาสนาและมีอนาคตที่ไม่เลวแน่นอน แต่ถึงอย่างไรระยะทางก็ยาวไกลเกินไป ข่าวสารส่งมาได้ไม่งาย และคิดดูแล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ก็คงยากที่จะเจริญรุ่งเรืองได้ดิบได้ดีขึ้นมา การฝึกตนของสามลัทธิร้อยสำนัก ยิ่งมีชาติกำเนิดมาจากสายดั้งเดิมก็ยิ่งยากจะฝ่าทะลุขอบเขตด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าสามารถเดินไปบนมหามรรคาได้สูงกว่าไกลกว่า แต่ช่วงเวลาเริ่มแรกก็มักจะสู้ลูกศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของสำนักนอกรีตที่หนึ่งวันเดินไปบนเส้นทางการฝึกตนได้หนึ่งพันลี้ไม่ได้
ส่วนเจ้าเด็กที่ชื่อว่ากู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นั้น ว่ากันว่ามีสภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ยังต้องสูญเสียทายาทมังกรที่แท้จริงตัวนั้นไป คาดว่ามหามรรคาของเขาคงพังภินท์ลงแล้ว
ปีนั้นโชควาสนาห้าอย่างของถ้ำสวรรค์หลีจู กู้ช่านก็คือแมลงน่าสงสารที่ต้องสูญเสียวาสนาไปก่อนใครในบรรดาคนทั้งห้า
เรื่องราวภายนอก
เซี่ยหลิงไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เรื่องบางอย่างต่อให้ศิษย์พี่ต่งกู่และศิษย์พี่หญิงสวี่เสี่ยวเฉียวเล่าให้ฟัง เขาก็เห็นเป็นเพียงลมที่พัดผ่านหูไปเท่านั้น
วันนี้เฉินผิงอันสวมชุดสีเขียว ปักปิ่นหยกสีขาว ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอว สะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง
สีหน้าอิดโรยเหนื่อยล้าในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปกลับเป็นการลดทอนภาพลักษณ์ของ ‘เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไร้ประสบการณ์ไม่น่าเชื่อถือ’ โดยที่มองไม่เห็นไปได้หลายส่วน
ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ไม่เรียกว่าดุจนกกระเรียนในฝูงไก่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถูกใครช่วงชิงความโดดเด่น ต่อให้เฉินผิงอันไม่ได้จงใจไปแสวงหาสิ่งใดก็ตาม เขาเพียงแค่พูดคุยอย่างอ่อนโยน สีหน้าเป็นธรรมชาติ ทักทายปราศรัยกับคนเหล่านั้นไปทีละคน ยกตัวอย่างเช่นพูดคุยเรื่องในวันวานกับเจียวเฒ่า พูดถึงเรื่องการแกะสลักหน้าผาหินของแคว้นหวงถิง พูดถึงอาหารในจวนกลางป่าของเจียวเฒ่า หรือพูดกับผู้รอบรู้ของสำนักศึกษาท่านนั้นว่าเขาเคยอ่านผลงานที่มีชื่อเสียงของอีกฝ่าย บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยือนที่สำนักศึกษาเพื่อขอความรู้ให้จงได้
รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ้มมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา
ขุนนางชั้นสูงระดับสามขั้นโทที่ตำแหน่งอยู่ในใจกลางราชสำนักท่านนี้ เป็นทั้งขุนนางผู้สูงศักดิ์และกุมอำนาจที่แท้จริง แน่นอนว่าผู้เฒ่าเองก็พอจะจำเฉินผิงอันได้ ครั้งแรกที่เจอกันคือในร้านหลอมกระบี่ของอริยะหร่วน เด็กหนุ่มผู้ยากจนกลับได้ยืนอยู่ข้างกายหร่วนซิ่ว ทั้งสองฝ่ายยังเป็นเพื่อนกัน โดยที่คนทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างแม้แต่น้อย
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ฝึกฝนอยู่ในวงการขุนนางจนมีดวงตาทิพย์มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แน่นอนว่าต้องจดจำเด็กหนุ่มอย่างเฉินผิงอันได้
วันนี้เว่ยป้อคอยยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันตลอดเวลา ต่อให้เป็นต่งกู่แห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนประเภทนิสัยนิ่งขรึมพูดน้อยก็ยังเป็นฝ่ายชวนเฉินผิงอันคุยอยู่หลายคำ
เรื่องของการลงนามในสัญญานั้น เดิมทีก็ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไร แต่คงเป็นเพราะยังมีคนของราชสำนักที่ชื่อว่า ‘ปี่เถี่ย’ คอยจดบันทึกอยู่ด้านข้าง แล้วยังมีเว่ยป้อกับหร่วนฉงเข้าร่วมด้วย รองเจ้ากรมพิธีการจึงเพิ่มขั้นตอนที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรเข้าไปอีกสองสามขั้นตอน ทำให้ดูเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่จริงจังเล็กน้อย แน่นอนว่าต้องสอดคล้องกับระเบียบพิธีการของต้าหลีด้วย
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พบกับอุปสรรคใดๆ ทุกคนพูดคุยกันอย่างชื่นมื่น แม้จะไม่มีสุรางานเลี้ยงฉลอง เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่ อีกทั้งในฐานะรองเจ้ากรมพิธีการของต้าหลี เขาก็มีกิจธุระรัดตัว อีกทั้งปีนี้เขายังรับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการหลักในด้านการประเมินขุนนางท้องถิ่นของต้าหลี ดังนั้นจึงต้องไปที่ภูเขาหนิวเจี่ยว โดยสารเรือข้ามฟากกลับเมืองหลวงทันที จึงเป็นคนแรกที่ขอตัวจากไปก่อน
สุดท้ายก็เหลือเฉินผิงอันกับเว่ยป้อที่ยืนอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งซึ่งมีไว้ชมทัศนียภาพของสำนักศึกษาหลินลู่
เฉินผิงอันไม่ได้สอบถามเรื่องเกี่ยวกับเกาเซวียน เพราะไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นตัวประกันที่ต้าสุยส่งมาอยู่ต้าหลี
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “กำลังมองอะไรอยู่น่ะ?”
เฉินผิงอันดึงสายตากลับคืนมา คลี่ยิ้มตอบว่า “ไม่มีอะไร”
ยืนอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่ที่ทั้งใหม่เอี่ยมและโอ่อ่า มองไปยังโรงเรียนเก่าที่ตอนนี้ไม่มีครูสอนหนังสือ ยิ่งไม่มีใครมาเรียนหนังสือ อันที่จริงก็ได้แค่มองเห็นเค้าโครงร่างของเมืองเล็กเท่านั้น อย่างอื่นล้วนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เว่ยป้อเอ่ยเตือน “หลังจากนี้ยังต้องมีงานเลี้ยงรับรองบางอย่าง ช่วงนี้กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนที่อยู่ที่นี่ต้องทยอยกันมาเยี่ยมเยียนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้เรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้คน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับข้าแล้ว น่าจะรับมือได้ดี”
เว่ยป้อเอ่ยสัพยอก “ถ่วงเวลาการฝึกหมัด ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกหงุดหงิดบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เลย การมองเรื่องราวทางโลกให้กระจ่างก็ถือเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขอแค่มีประโยชน์ ต่อให้หลบหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่สู้ปรับสภาพจิตใจของตัวเองให้ยอมรับมันได้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า”
เว่ยป้อถาม “ทำไมถึงพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องของต่งสุ่ยจิ่งทางอ้อม? เป็นเพราะไม่เชื่อใจคนผู้นี้?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เขารีบส่ายหน้าทันที แล้วก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเว่ยป้อ “เปล่า ข้ากับต่งสุ่ยจิ่งเป็นเพื่อนกัน เพียงแต่เรื่องของการค้าขายนี้เกี่ยวพันไปถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง ในเมื่อเป็นการค้าขายก็ไม่ควรเอนเอียงเข้าข้างใคร หากข้าเป็นสหายของพวกเขา แต่ระหว่างสหายนั้นกลับไม่ถูกกัน แล้วดันถูกข้าฝืนจับให้มารวมกัน ถึงเวลานั้นเรื่องดีที่เดิมทีทั้งสามฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์อาจทำให้ข้าสูญเสียสหายสองคนไปเพียงเพราะการที่ไม่เข้าใจเรื่องราวบางอย่างอย่างชัดเจน แบบนี้ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
—
ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันคิดว่าจะเขียนจดหมายส่งไปให้กวนอี้หรานที่นครน้ำบ่อ บอกคร่าวๆ ว่าตนมีสหายอยู่คนหนึ่ง เป็นคนบ้านเดียวกัน ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่ง เป็นคนทำการค้า มีคุณธรรม แต่ไม่ขาดไหวพริบ ทว่าในจดหมายเขาก็จะบอกกับกวนอี้หรานอย่างตรงไปตรงมาว่า หากลำบากใจ หรือตอนนี้ยังไม่เหมาะจะออกหน้า ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรหาเงิน ก็อย่าได้ฝืนทำให้ตัวเองลำบากใจเด็ดขาด อีกทั้งก่อนจะออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับจากกวนอี้หราน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจะยังไปหาต่งสุ่ยจิ่งอีกครั้ง อธิบายทุกอย่างให้กระจ่างแจ้ง คำพูดบางอย่างอาจไม่น่าฟัง แต่หากสมควรพูดก็ต้องพูด
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “สำหรับในเรื่องนี้ ข้าเคยเจอความลำบากกับตัวมาก่อนแล้ว”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ เกี่ยวกับเรื่องของหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าและซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันเคยเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ มาก่อน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พูดอย่างปิติยินดีจากใจจริง “มีภูเขามากมายขนาดนี้ก็สามารถทำเรื่องอะไรได้อีกมากมายแล้ว”
เว่ยป้อพูดหยอกล้อ “ยกตัวอย่างเช่นจะให้ใครเป็นราชันใหญ่แห่งภูเขาฮุยเหมิง ส่วนภูเขาจูซาใครจะยึดไว้เป็นที่ฝึกตน?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “แค่คิดก็มีความสุขแล้ว”
เว่ยป้อไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
ภูเขาแต่ละลูกล้วนเป็นสมบัติในนามของเฉินผิงอันแล้ว ควรจะจัดการอย่างไรก็ล้วนเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันต้องคิดเอาเอง
เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ช่วงนี้อาณาเขตแถบเหนือของข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลององค์เทพท่องราตรีเป็นครั้งแรกหลังจากที่ข้าขึ้นครองตำแหน่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสี่ด้านแปดทิศจะต้องพากันออกจากเขตปกครองของตัวเอง มาเยือนภูเขาพีอวิ๋นแห่งนี้ หากเจ้าสนใจ ถึงเวลานั้นข้าสามารถพาเจ้ามาที่ภูเขาพีอวิ๋นได้”
เฉินผิงอันเคยอ่านตำราเทพเซียนของภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นอย่างละเอียดมาก่อน จึงรู้ความเป็นมาของเรื่องนี้
องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของภูเขาทั้งหลายในแต่ละแคว้นมีฐานะสูงศักดิ์ อีกทั้งเทพวารีระบบสืบทอดที่ตำแหน่งเทพและระดับขั้นในทำเนียบวงศ์ตระกูลล้วนอยู่ในระดับสูงสุดก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเหนือกว่าองค์เทพใหญ่ของห้าขุนเขาได้ ตามระเบียบพิธีการของใต้หล้าไพศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในอาณาเขตล้วนจะต้องมาพบองค์เทพแห่งขุนเขาตามเวลาที่กำหนด นับตั้งแต่เทพระดับขั้นต่ำสุดอย่างเทพเจ้าที่ พ่อปู่แม่ย่าลำคลอง ฯลฯ ไปจนถึงหยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูของเขตการปกครองหลงเฉวียน ขยับไปเบื้องล่างก็คือแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำชงตั้น แม่น้ำอวี้เย่ องค์เทพวารีทั้งหลายเหล่านี้ รวมไปถึงเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเฟิงเหลียง บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลบุ๋นบู๋ของท้องถิ่นและศาลเทพอภิบาลเมืองของสถานที่ต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องพากันออกจากอาณาเขตของตัวเองในวันใดวันหนึ่ง พกพานำของขวัญมาเยี่ยมเยียนแสดงความเคารพต่อทวยเทพแห่งขุนเขาอย่างเว่ยป้อ
ถึงเวลานั้นเขตการปกครองและตัวอำเภอก็น่าจะต้องมีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามค่ำคืน
นี่คือกฎหนึ่งที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน ทุกๆ เวลาสามสิบปีหรือหกสิบปี หรือยาวกว่านั้นคือหนึ่งร้อยปี ในฐานะศาลองค์เทพแห่งขุนเขาที่เป็นผู้นำของพื้นที่หนึ่งจะต้องมีการจัดงานเลี้ยงท่องราตรีขึ้นมาหนึ่งครั้ง
อันที่จริงยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่จะมีการจัดงานเช่นนี้เกิดขึ้น นั่นก็คือผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายพันลี้ ไม่แบ่งแยกแว่นแคว้น ล้วนจะต้องพากันไปร่วมพิธีแสดงความเคารพเซียนผู้นั้น
องค์เทพท่องราตรีมีจำนวนมากมายหลายร้อยท่าน ต่างคนต่างร่ายเวทอภินิหาร นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาขนานนามว่าเป็น ‘ภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มุ่งเข้าหาเซียน’
เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีของเว่ยป้ออย่างละมุนละม่อม “วันนั้นข้ามองมาจากบนภูเขาลั่วพั่วก็พอแล้ว”
เว่ยป้อเองก็ไม่ยืนกราน
เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วทันที วันนี้จึงให้จูเหลี่ยน ‘เสวยสุขเพียงลำพัง’ ไปก่อนแล้วกัน
เขาเองก็อยากจะแอบอู้สักหน่อย จะได้ถือโอกาสนี้จัดการกับความคิดซับซ้อนวุ่นวายทั้งหลายไปด้วย
เว่ยป้อเองก็ยืนชมทิวทัศน์อยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหันหน้าไปชำเลืองตามองทางทิศเหนือแวบหนึ่ง เดินทางมุ่งขึ้นเหนือไปตลอด หลังจากข้ามมหาสมุทรไปก็จะเป็นอุตรกุรุทวีปแล้ว
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ตอนนั้นรีบร้อนเดินทาง ไม่ได้ไปเยือนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวที่สุด หรือไม่ก็ฝูเหยาทวีปหรอกหรือ? รู้สึกเสียดายหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “ไม่ทันมีเวลาได้สนใจจริงๆ ก็ไม่ถึงกับเสียดายอะไรหรอก”
เว่ยป้อถือโอกาสขยับเท้าเดินไปนั่งบนราวระเบียง “ได้ยินว่าอริยะของสำนักศึกษาที่ไม่ควรเป็นที่สุดของสองทวีปก็คือ อุตรกุรุทวีปและฝูเหยาทวีป ฝั่งหนึ่งต้องยุ่งอยู่กับการห้ามทัพ อีกฝั่งหนึ่งยุ่งอยู่กับการเช็ดก้นให้คนอื่น ต่างก็ไม่มีวันเวลาที่สงบสุข ไม่เคยได้สงบใจศึกษาหาความรู้เลย”
เว่ยป้อหันหน้ามา “ใช่แล้ว เจ้าไปเยือนที่ใบถงทวีปมาแล้ว รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? นอกจากใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปมากแล้ว ยังมีความรู้สึกอย่างไรอีก?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะอาณาเขตใหญ่เกินไป สถานที่หลายๆ แห่งจึงถูกปิดตาย อีกทั้งปราณวิญญาณของแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกันมาก ง่ายที่จะเกิดภูเขาลูกใหญ่หรือไม่ก็ถ้ำสถิตตระกูลเซียนขนาดใหญ่มโหฬาร อย่างสำนักใบถง สำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี แต่ละแห่งล้วนถือเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ ในแจกันสมบัติทวีปของพวกเราเกรงว่าคงมีแค่สำนักโองการเทพเท่านั้นที่พอจะถ่วงดุลกับภูเขาใหญ่พวกนี้ได้ แต่ใบถงทวีปก็มีแคว้นเล็กๆ ที่ชั่วชีวิตของคนในแคว้นไม่เคยรู้เลยว่าการฝึกตนคืออะไรอยู่เยอะเหมือนกัน ปราณวิญญาณบางเบา คือสถานที่ไร้อาคมสมชื่ออย่างแท้จริง”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เป็นข้อยกเว้นแล้ว แปดทวีปที่เหลือ โชคชะตาของแต่ละทวีป แท้จริงแล้วล้วนเท่าเทียมกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ และไม่นานเขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก
เว่ยป้อที่รู้ใจช่วยอธิบายให้ฟังว่า “อย่าเห็นว่าแจกันสมบัติทวีปเล็ก อีกทั้งยังไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่ปรากฏตัวมากนัก แต่นี่ก็คือการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นอย่างแท้จริง หากสืบสาวราวเรื่องกันไปยังต้นกำเนิด คิดคำนวณจาก ‘บันทึกที่ดินและสำมะโนครัว’ อย่างที่ในราชวงศ์มนุษย์เรียกกัน อันที่จริงก็ถือว่าไม่แย่แล้ว ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีเซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ เฉาซีแห่งตรอกหนีผิงของพวกเจ้า เด็กรุ่นหลังมาหน่อยก็มีหลิวเสี้ยนหยาง จ้าวเหยาที่ต่างก็ออกไปอยู่ข้างนอกกัน ถูกไหม? แล้วก็เพราะว่ารั้งตัวคนไว้ไม่อยู่ ถึงทำให้แจกันสมบัติทวีปดูอนาถายากจนกว่าทวีปอื่นๆ”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ใบถงทวีปเกิดกลียุควุ่นวาย ข้าคาดว่าฝูเหยาทวีปก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ อีกทั้งเผ่าปีศาจยังตั้งรกรากสร้างกิจการอยู่ในใบถงทวีปมานานนับพันปี แม้จะบอกว่าทำให้พลังต้นกำเนิดของใบถงทวีปเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาไท่ผิงกับสำนักฝูจีที่บาดเจ็บล้มตายกันอย่างน่าสังเวชที่สุด แต่จะดีจะชั่วพวกปีศาจก็ถูกพลิกแผ่นดินควานหาตัวออกมาแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ภูเขาห้อยหัวก็รู้แล้วว่าที่ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปต่างก็มีสมบัติล้ำโลกปรากฎตัว ได้ยินมาว่าฝูเหยาทวีปที่เดิมทีล่างภูเขาก็วุ่นวายมากที่สุดในเก้าทวีปใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้บนภูเขาก็ยังวุ่นวายตามไปด้วย ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอริยะและวิญญูชนในสำนักศึกษาของที่นั่นจะยุ่งจนหัวหูไหม้กันแค่ไหน”
ฝูเหยาทวีปก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันรู้มาจากตำราเทพเซียน ใช้คำเดียวมาบรรยายได้จริงๆ นั่นคือคำว่าวุ่นวาย หากมองตลอดทั้งฝูเหยาทวีปเป็นดั่งราชวงศ์แห่งหนึ่ง เมื่อผ่านการควบรวมมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าร้อยกว่าปี จึงกลายมาเป็น ‘กองกำลังที่แยกตัวเป็นอิสระ’ ซึ่งมีราชวงศ์ใหญ่หลายสิบราชวงศ์เป็นผู้นำ
รบกันไปรบกันมา วีรบุรุษผู้กล้า ลมพัดเมฆเคลื่อนคล้อย กลียุคเกิดขุนนางกังฉิน กลียุคเกิดเสาค้ำยันแคว้น มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน อีกทั้งผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวีปยังชอบลงภูเขาไป ‘ประคับประคองมังกร’ (คำว่าประคับประคองก็คือคำว่าฝู คำเดียวกับชื่อของทวีป ประคับประคองมังกรเปรียบเปรยถึงการให้ความช่วยเหลือ การให้การสนับสนุนกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ถูกเปรียบเปรยให้เป็นมังกร เป็นโอรสสวรรค์) มากที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นจึงถูกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเรียกเหน็บแนมว่าเป็นทวีปถังน้ำ เพราะว่า ‘แกว่งส่าย’ (ภาษาจีนคือคำว่าเหยาที่มีอยู่ในชื่อทวีปฝูเหยา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฝูเหยาที่เป็นชื่อทวีปนี้แปลได้ว่าการพุ่งทะยาน พุ่งขึ้นสู่เบื้องบน แต่เมื่อแยกคำออกมา ฝูจะแปลว่าประคับประคอง เหยาจะแปลว่าการแกว่งส่าย) ได้ดีที่สุด
ส่วนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวที่สุดนั้น
สายบุ๋นรุ่งโรจน์ โชคชะตาบู๊โชติช่วง
คือ ‘แคว้นใต้อาณัติ’ ทวีปอื่นในจำนวนน้อยนิดที่ผู้ฝึกตนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเห็นอยู่ในสายตา
อีกทั้งทักษินาตยทวีปยังมีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่บนไหล่แบกดวงตะวันจันทรา
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ แนวโน้มทิศทางของใต้หล้าเหล่านี้ เพียงแค่พูดคุยกันแล้วก็ปล่อยผ่านไปเท่านั้น
เฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องใหญ่ที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหล่านี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว่ยป้อจะเป็นกังวลก็เพราะตัวเองคือว่าที่องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีป ต่อให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องไกลตัว ก็ต้องพะวงกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ากลับก่อนล่ะ แต่ว่าไม่ได้กลับภูเขาลั่วพั่ว จะกลับไปที่ดูเผยเฉียนที่เมืองเล็กสักหน่อย ส่งข้าไว้ที่ภูเขาเจินจูก็พอ”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ก็ส่งเฉินผิงอันไปที่ภูเขาเจินจู
บังคับลมควบคุมตะวันจันทรา ย่อพื้นที่เดินผ่านเทือกเขา สายน้ำก็คือเส้นลายมือ หายใจสะเทือนฟ้าสร้างอสนี
นี่ก็คือทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หลังจากเฉินผิงอันจากไปแล้ว
เว่ยป้อนั่งอยู่บนราวรั้วของศาลาเพียงลำพัง สัตว์ปีกสัตว์บก ทะเลเมฆลมภูเขา สิ่งมีชีวิตสิ่งไร้ชีวิต ราวกับว่าทุกอย่างล้วนว่าง่ายคล้อยตามเขาไปเสียหมด
แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา
เพราะนึกถึงเรื่องเล็กๆ เมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้
เจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยผู้นั้นได้มาหาเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัว หลังจากทักทายกันแล้ว ก็ยิ้มถามด้วยประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดพี่หญิงซิ่วซิ่วถึงไม่ได้มาที่ภูเขาพีอวิ๋น?”
พี่หญิงซิ่วซิ่ว
เป็นคำเรียกที่ค่อนข้างจะแฝงความนัยอย่างยิ่ง
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับไปหนึ่งประโยค “ข้าสนิทกับแม่นางหร่วน แต่ไม่สนิทกับเจ้า”
เกือบจะทำให้เจ้าหนุ่มที่มีโชควาสนาลึกล้ำอย่างเซี่ยหลิงผู้นั้นอัดอั้นจนบาดเจ็บภายใน
คำพูดใดๆ ล้วนไม่อาจทำให้คนฟังเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน (มาจากประโยคคนใบ้กินหวงเหลียน ขมขื่นก็บอกใครไม่ได้ เพราะหวงเหลียนคือสมุนไพรจีนชนิดหนึ่งที่ขมมาก) ได้เท่าประโยคเรียบง่ายสบายๆ ประโยคนี้อีกแล้ว
เกรงว่าแม้แต่คนตาบอดข้างทางก็ยังมองออกว่า เซี่ยหลิงรักและชื่นชอบศิษย์พี่หญิงใหญ่คนนี้ของตนเป็นอย่างมาก
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนเลย
เพียงแต่ว่าพรสวรรค์ในการฝึกตนของเซี่ยหลิงดี บุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์ในยุทธภพก็ยังไม่มากพอ จึงนึกว่าจะไม่มีใครมองความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของเขาออก
จากนั้นก็มาเจอเข้ากับเฉินผิงอัน แม้ว่าอายุของคนทั้งสองจะห่างกันแค่ไม่กี่ปี แต่หากพูดถึงการจับความคิดจิตใจคน กลับเหมือนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งรังแกตามใจชอบ ประเด็นสำคัญคือเซี่ยหลิงยังหาเรื่องใส่ตัวเอง นับตั้งแต่ที่พบหน้ากันเขาก็คอยลอบประเมินเฉินผิงอันไม่หยุด
หากพบหร่วนฉง แน่นอนว่าเฉินผิงอันได้แต่หลบเลี่ยง แต่เจอกับเจ้าเซี่ยหลิง เขาจะกลัวหรือ?
เว่ยป้อยืดแขนบิดขี้เกียจ หันหน้าไปมองทางตำหนักฉางชุนซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลี
ไม่รู้ว่าปีนี้ดอกกุ้ยฮวาของที่นั่นผลิบานแล้วหรือยัง
จะมีสตรีคนหนึ่งเด็ดกิ่งดอกกุ้ยมาถือไว้ในมือแล้วเดินอยู่บนทางเล็กบนภูเขาอีกหรือไม่
ข้างกายจะมีบุรุษที่นางรักในชาตินี้เดินเคียงข้างหรือเปล่า
หากมี หวังว่าเขาจะเป็นบัณฑิตที่ทั้งเป็นคนดีและมีความสามารถ
เว่ยป้อพยักหน้า
ยังคงเป็นจูเหลี่ยนที่กล่าวได้ดี หากเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะมัดไก่ เอากระสอบผ้าป่านคลุมหัวแล้วซ้อมสักรอบก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก แต่หากเป็นผู้ฝึกตน ย่อมต้องมีปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร หากเขาเว่ยป้อไม่สะดวกจะลงมือ เขาจูเหลี่ยนที่เป็นพี่น้องกันจะทำแทนให้เอง เรื่องแบบี้ มือถือกระสอบผ้าป่าน คลุมผ้าปิดหน้าปิดตา เอาไม้ทุบตีอีกฝ่ายให้น่วม ก็คือสุดยอดเคล็ดวิชาที่จำเป็นต้องฝึกฝนให้ชำนาญยามท่องอยู่ในยุทธภพ ซึ่งก็เป็นวิชาที่เขาจูเหลี่ยนถนัดพอดี
ในชีวิตได้มีสหายที่รู้ใจเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีเหลือเกิน
อยู่ดีๆ เว่ยป้อก็นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยซึ่งเป็นการกระทำทุกอย่างที่เฉินผิงอันทำหลังจากกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว
แล้วเขาก็ถอนหายใจ พึมพำกับตัวเองว่า “ทั้งๆ ที่มีถิ่นฐานกว้างใหญ่ขนาดนี้แล้ว แต่กลับยังรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ก็เพียงพอมากแล้ว?”
แต่จากนั้นเว่ยป้อก็รู้สึกโล่งใจ
สถานที่ที่กายสบาย จะเล็กก็ได้ แต่สถานที่ที่ใจสบาย จำเป็นต้องใหญ่
ค้นหาอิสระใหญ่จากในพื้นที่เล็กเท่าเมล็ดงา
เว่ยป้อวางมือสองข้างค้ำยันไว้บนราวระเบียง คลอเพลงพื้นบ้านประโยคหนึ่งที่เรียนรู้มาจากเผยเฉียนเบาๆ กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ
แล้วจู่ๆ เว่ยป้อก็รู้สึกน้ำลายสอทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความอยากอาหารมาหลายปีแล้ว
ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันจะอยู่จนถึงช่วงเข้าหน้าหนาวหรือไม่ ถึงเวลานั้นในป่าไผ่บนภูเขาจะมีหน่อไม้ฤดูหนาว ขุดออกมาสักสองสามหน่อ เอาไปที่เรือนไม้ไผ่ ได้ยินจูเหลี่ยนบอกว่าอันที่จริงฝีมือการตุ๋นรวมมิตรของเฉินผิงอันก็ถือว่าไม่เลวเลย
ซึ่งเว่ยป้อไม่รู้เลยว่า ปีนั้นเด็กหนุ่มเฉินผิงอันพาพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ มีอยู่ครั้งเดียวที่เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ก็คือครั้งที่เจ้าพวกเด็กๆ ใจดำพวกนั้นรังเกียจฝีมือการทำอาหารของเขา หาว่าแกงปลาที่เขาตุ๋นออกมาสู้อาหารป่าโต๊ะใหญ่ในจวนเจียวเฒ่าไม่ได้ นี่เป็นปมในใจของเฉินผิงอันที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกคลายออก ภายหลังเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง นอนกลางดินกินกลางทราย ขอแค่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างพอจะให้ตั้งใจทำอาหารกินดีๆ ได้สักหนึ่งมื้อ เขาก็จะต้องเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าฝีมือย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา
ทางฝั่งของเมืองเล็ก
เฉินผิงอันเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา กลับเห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินมีหัวหัวหนึ่งวางอยู่ ประเด็นสำคัญคือดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียนยังอยู่นิ่งไม่ขยับ ขนาดกลางวันแสกๆ อย่างนี้มองแล้วยังขนลุก เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารีบเดินเร็วๆ ไปเขกมะเหงกใส่
เผยเฉียนยกสองมือกุมหัว พูดโอดครวญว่า “อาจารย์ ข้าไม่ได้แอบอู้แล้วก็ไม่ได้เอาแต่เล่นด้วยนะ”
เฉินผิงอันยื่นมือไปดึงหูของนาง
เผยเฉียนรีบพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว!”
เฉินผิงอันถึงได้พยักหน้าแล้วดึงมือกลับมา
เผยเฉียนจึงหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ตอนนี้ท่านบอกข้าได้หรือยังว่าข้าทำผิดตรงไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่มี อาจารย์แค่คันมือ”
สือโหรวกลั้นขำ
เผยเฉียนหันหน้าไปถลึงตาใส่นาง “พี่หญิงสือโหรว ท่านทำอะไรนะ?! เหตุใดถึงแอบหัวเราะข้า? ท่านรู้หรือไม่ว่า คนอย่างท่านหากไปอยู่ในยุทธภพก็ต้องเป็นคนแรกที่ถูกทุบตาย”
สือโหรวยิ้มตาหยี “เดิมทีข้าก็ตายไปแล้วนี่นา”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะต่อยหนึ่งหมัดให้ท่านฟื้นคืนชีพกลับมา!”
สือโหรวกระดกปลายคาง บอกเป็นนัยให้เผยเฉียนรู้ว่าอาจารย์ของเจ้ายังอยู่ที่นี่นะ
เผยเฉียนรีบหัวเราะคิกคักให้สือโหรวทันควัน “อยู่ในยุทธภพ ไหนเลยจะเข่นฆ่ากันตามใจชอบได้ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปย่อมส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอาจารย์”
เฉินผิงอันหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยว ก่อนจะเลือกให้เผยเฉียนกับสือโหรวคนละชิ้นโดยเดินมายื่นส่งให้พวกนางที่โต๊ะคิดเงิน
เผยเฉียนกัดไปหนึ่งคำก็คลี่ยิ้มกว้าง “ว้าว วันนี้ขนมอร่อยเป็นพิเศษเลย”
สือโหรวกัดขนมคำเล็กๆ ท่าทางเรียบร้อยเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ เพียงแต่นางทำท่าทางอ่อนช้อยเช่นนี้ด้วยรูปลักษณ์ของตู้เม่า จึงมองดูแล้วไม่สบายตาพอๆ กับที่เผยเฉียนวางหัวไว้บนโต๊ะคิดเงิน
เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง พูดอย่างคนเพิ่งกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่ากิจการของร้านถึงได้ซบเซาเพียงนี้ พวกเจ้าได้รับเงินเดือนหรือไม่? ถ้ารับก็หักกันไปคนละครึ่ง”
เผยเฉียนใช้สายตาบอกเป็นนัยว่า พี่หญิงสือโหรวถึงเวลาที่ท่านต้องแสดงฝีมือแล้ว
รับมือกับอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องที่นางถนัดเลย
สือโหรวคลี่ยิ้มหวาน
เผยเฉียนยกฝ่ามือขึ้น สือโหรวลังเลเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เอามือตีกับมือนางเบาๆ เป็นการแสดงความยินดี
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ข้าจะไปดูอีกร้านหนึ่งสักหน่อย”
เผยเฉียนรีบกระโดดลงจากม้านั่งตัวเล็ก เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา โหวกเหวกว่าจะนำทางอาจารย์ไปเอง
อันที่จริงร้านนั้นก็อยู่ในตรอกฉีหลง ห่างกันไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
สือโหรวมองแผ่นหลังของหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่เดินออกจากร้าน นางพลันหัวเราะออกมา
จนกระทั่งบัดนี้ นางถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่จริงๆ