Skip to content

Sword of Coming 467

บทที่ 467 เก็บชะตาบู๊กินไข่มุก

บนเนินลาดเอียงแถบหนึ่งของตรอกฉีหลงที่คับแคบยังมีบันไดยาวๆ เส้นหนึ่ง ร้านฉ่าวโถวตั้งอยู่ด้านใต้บันไดแห่งนี้ ร้านนี้กับร้านยาสุ้ย ในอดีตต่างก็เป็นกิจการบรรพบุรุษของตระกูลสือชุนเจีย เด็กหญิงมัดผมแกละในอดีตผู้นั้น ภายหลังแม่หนูน้อยไม่ได้ติดตามพวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุยด้วย แล้วก็ไม่ได้อยู่ต่อในเมืองเล็กเหมือนต่งสุ่ยจิ่ง แต่ติดตามคนในตระกูลย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี จึงขายร้านทั้งสอง ภายหลังได้ความช่วยเหลือจากหร่วนฉงจึงส่งต่อมาที่เฉินผิงอัน ทุกครั้งที่เฉินผิงอันกลับบ้านเกิด เขายังมีโอกาสได้เจอต่งสุ่ยจิ่ง แต่กับสือชุนเจีย หลังจากแยกจากกันปีนั้นก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย

ช่วงแรกเริ่มสุดร้านฉ่าวโถวอยู่ในมือของตระกูลสือ ขายของจุกจิกเบ็ดเตล็ด ในร้านมีของเก่าหลายชิ้นวางไว้ ถือเป็นร้านในท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังตอนที่ย้ายบ้าน ตระกูลสือได้เลือกเอาของเก่าที่ค่อนข้างถูกชะตาไปด้วยบางส่วน อีกครึ่งหนึ่งเหลือไว้ในร้าน ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นว่า ต่อให้ตระกูลสือย้ายไปอยู่เมืองหลวงก็ยังถือว่าเป็นตระกูลใหญ่อยู่ดี แรกเริ่มหลังจากที่เฉินผิงอันได้ร้านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรู้มูลค่าของวัตถุเหล่านั้น ครั้งแรกที่ได้กลับมายังถ้ำสวรรค์หลีจู เขายังรู้สึกละอายใจ จิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข เฝ้าแต่คิดว่าไม่อย่างนั้นก็ปิดร้านไปเลยดีกว่า วันใดตระกูลสือย้อนกลับมาเยี่ยมญาติที่เมืองเล็กจะได้ขายร้านและสิ่งของด้านในที่เก็บไว้ไม่ไปแตะต้องคืนให้กับตระกูลสือในราคาเดิม เพียงแต่ตอนนั้นหร่วนซิ่วไม่ตกลง นางบอกว่าการค้าขายก็คือการค้าขาย น้ำใจก็คือน้ำใจ แม้ว่าเฉินผิงอันจะยอมตอบรับ แต่ในใจก็ยังเหมือนมีหลุมที่ข้ามไปไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้เขาทำการค้ากับคนอื่นมาจนชินแล้ว จึงไม่คิดอย่างนั้นอีก แต่หากตระกูลสือถึงขั้นยอมลดเกียรติส่งคนให้มาทวงร้านคืน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าได้ เขาจะไม่มีทางปฏิเสธ เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันอีกแล้ว แน่นอนว่าความสัมพันธ์ควันธูปของเขาเฉินผิงอันจะมีค่าสักกี่มากน้อยกันเชียว?

ในร้านมีลูกจ้างเพียงคนเดียวที่ดูแลกิจการ เป็นสตรีอายุมากแล้ว นิสัยซื่อสัตย์จริงใจ ว่ากันว่าตอนที่หร่วนซิ่วเป็นเถ้าแก่อยู่ในร้าน นางก็มักจะมาคุยกับหร่วนซิ่วเป็นประจำ

เฉินผิงอันย่อมรู้จักสตรีผู้นี้ นางมีชาติกำเนิดมาจากตรอกซิ่งฮวา หากนับกันตามศักดิ์ของเมืองเล็กที่ขยายยืดยาวออกไปแล้ว ต่อให้อายุของพวกเขาจะห่างกันเกือบสี่สิบปี ก็ยังจำเป็นต้องเรียกอีกฝ่ายว่าป้าเฉิน เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็นญาติที่แท้จริง

แม้ว่าสตรีจะอายุมากแล้ว แต่ทำนาทำไร่มาทั้งชีวิต ร่างกายจึงยังแข็งแรง ต่อให้ตอนนี้บุตรชายหญิงจะพากันย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ส่วนนางเองก็เคยไปพักอยู่ด้วยหลายครั้ง แต่เพราะทนกับความเงียบเหงาของเรือนใหญ่โตแห่งนั้นไม่ไหวจริงๆ แม้แต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เอาไว้โต้เถียงกันก็ยังไม่มี จึงยืนกรานจะกลับมาอยู่เมืองเล็ก บุตรชายบุตรสาวก็กตัญญู ห้ามปรามไม่อยู่ เพียงแต่ได้ยินว่าลูกสะใภ้แอบนินทานาง ด้วยรังเกียจที่แม่สามีทำตัวน่าอายอยู่ที่นี่ ตอนนี้ในบ้านซื้อสาวใช้มาไว้ตั้งหลายคน ไหนเลยจะต้องให้แม่สามีที่อายุปูนนี้ออกมาหาเงินแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่ของร้านนั้นยังเป็นแค่เด็กรุ่นหลังคนหนึ่งที่ปีนั้นยากจนที่สุดในตรอกหนีผิงด้วย

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนมาถึงที่ร้าน พอเข้าประตูมาก็เอ่ยเรียกท่านป้าเฉินทันที สอบถามนางว่าสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง หลายปีมานี้ยังทำนาทำไร่อยู่หรือไม่ ผลเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร

จากนั้นเฉินผิงอันก็คุยกับหญิงชราอยู่พักใหญ่ ทั้งคู่ต่างก็ใช้ภาษาถิ่นของเมืองเล็ก หญิงชราคุยเก่ง พอได้พูดถึงเรื่องในอดีต และได้เห็นเฉินผิงอันที่วันนี้ได้ดิบได้ดีแล้ว หญิงชราก็น้ำตารื้นอย่างอดไม่ไหว บอกว่าหากแม่ของเฉินผิงอันได้มาเห็นเขาในวันนี้ก็คงจะดี ชั่วชีวิตนางต้องเจอแต่ความยากลำบาก ไม่มีวาสนาจะได้สุขสบายกับเขา ปีสุดท้ายของชีวิตแม้จะลงจากเตียงก็ยังทำไม่ได้ แค่อากาศหนาวหน่อยก็ยังไม่อาจผ่านพ้นมันไป สวรรค์ช่างไม่มีตาเลยจริงๆ พอพูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ หญิงชราก็เริ่มตำหนิพ่อของเฉินผิงอัน บอกว่าเป็นคนดีจะมีประโยชน์อะไร เวรกรรมแท้ๆ อยู่ดีๆ คนคนหนึ่งนึกจะตายก็ตายไป เดือดร้อนให้ลูกเมียต้องลำบากกันนานหลายปีขนาดนั้น เพียงแต่พูดถึงท้ายที่สุด หญิงชราก็ตบมือเฉินผิงอันเบาๆ บอกว่าอย่าไปตำหนิพ่อเจ้าเลย ถือซะว่าชาติก่อนพวกเจ้าสองแม่ลูกติดค้างเขา ชีวิตนี้ใช้หนี้เก่าคืนให้หมดสิ้นก็ดีแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าชาติหน้าอาจได้กลับมาอยู่กันเป็นครอบครัว ได้มีความสุขร่วมกันอีกครั้งก็เป็นได้

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวเป็นเพื่อนท่านป้าเฉินผู้นี้ ปล่อยให้หญิงชรากุมมือไว้ ฟังนางพร่ำพูด ไม่กล้าโต้เถียงสักคำ

เผยเฉียนยกม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่งมานั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล นางแทะเมล็ดแตงเบาๆ มองอาจารย์ที่ให้ความรู้สึกแปลกไปจากเดิมเงียบๆ

เผยเฉียนเรียนรู้ภาษาถิ่นของท้องที่ต่างๆ ได้เร็วมาก นางจึงคุ้นเคยกับภาษาถิ่นของเขตการปกครองหลงเฉวียนดี ดังนั้นจึงฟังเรื่องที่คนทั้งสองคุยกันเข้าใจ

ดูเหมือนเวลาที่อาจารย์คุยกับหญิงชราจะทั้งเสียใจและทั้งมีความสุข

อีกอย่างเผยเฉียนก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง อาจารย์เป็นคนที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่ว่าเจอกับใครก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคย…นอบน้อมขนาดนี้มาก่อน? ราวกับว่าไม่ว่าหญิงชราที่พูดเก่งผู้นี้จะเอ่ยอะไรก็ล้วนถูกต้องไปหมด อาจารย์ล้วนฟังเข้าหู แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนเก็บไปใส่ใจ อีกทั้งสภาพจิตใจของอาจารย์ในตอนนี้ก็สงบสุขอย่างยิ่ง

อันที่จริงก่อนที่อาจารย์จะลงจากภูเขามาที่ร้าน เผยเฉียนก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เพียงแต่ว่าอาจารย์ต้องฝึกหมัดอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางจึงไม่ควรไปรบกวน

ดังนั้นนางจึงยอมอยู่ที่ร้านยาสุ้ย ยืนเหม่ออยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้วยอารมณ์อัดอั้นไม่พอใจ นางไม่มีกะจิตกะใจจะเตร็ดเตร่ไปทั่วทิศเหมือนในอดีตจริงๆ พอคิดถึงว่าห่านตัวใหญ่หลายตัวที่อยู่ในเมืองเล็กพวกนั้นน่าจะไปรังแกคนเดินผ่านทางอีกแล้ว เผยเฉียนก็ยิ่งมีโทสะ

เพราะว่าหลายวันก่อนหน้านี้นางได้ยินคำนินทามากมายมาจากหมู่ชาวบ้านในเมืองเล็ก

อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อนเผยเฉียนก็เคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ประติดประต่อนัก ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าตนเป็นคนในยุทธภพแล้วก็ควรจะใจกว้างสักหน่อย จึงไม่ได้จัดการกับพวกเขาในทันที เพียงแต่แอบจดลงบัญชีเล่มเล็กๆ ของตนเอาไว้ ด้านในบันทึกว่าได้ยินคำพูดของหญิงชรา ของลูกเต่าหลานตะพาบ ของลูกกระต่ายตัวใดวันไหนที่ใดบ้าง แล้วแอบซ่อนสมุดไว้ด้านล่างสุดของหีบไม้ไผ่ใบเล็ก

แต่หลังจากอาจารย์กลับมาภูเขาลั่วพั่ว ช่วงนี้ก็ยิ่งมีคำพูดร้ายๆ เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ มีพวกชายฉกรรจ์ว่างงานที่กินอิ่มแล้วแต่ดันไม่อิ่มจนท้องแตกตาย แล้วก็ยังมีคนรู้จักในอดีตที่อายุอานามไล่เลี่ยกับอาจารย์ รวมไปถึงสตรีปากยื่นปากยาวไปรวมตัวกันตามหัวมุมถนนแล้วพากันนินทาอาจารย์ของนาง

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ในอดีตที่เกิดขึ้นในตรอกหนีผิง รวมไปถึงข่าวลือบางส่วนตอนที่เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร

พวกเขาชอบเอาเรื่องน่าสงสารตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็กมาพูดคุยกันเป็นเรื่องสนุก แต่นี่ยังไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ ยังมีคำพูดที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้ พวกเขาเอาเรื่องของหลิวเสี้ยนหยางเพื่อนของอาจารย์ ซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านและสาวใช้ รวมไปถึงหญิงหม้ายมารดาของกู้ช่าน หรือแม้แต่พี่หญิงหร่วนซิ่วก็ยังถูกเอามาแต่งเรื่องกันส่งเดช ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าปีนั้นอาจารย์อาศัยความขยันขันแข็งที่มีต่อหร่วนซิ่ว ถึงได้ดิบได้ดีมีวันนี้ได้ แล้วยังบอกว่าเขามีสัมพันธ์กับมารดาของกู้ช่าน ถึงได้คอยช่วยเหลือหญิงหม้ายผู้นั้นบ่อยๆ มักจะไปขอยืมเงินจากซ่งจี๋ซินแล้วไม่ยอมใช้คืน พูดกันไปมากมายหลากหลาย

เผยเฉียนล้วนจดจำไว้ขึ้นใจ ทุกครั้งที่กลับไปร้านยาสุ้ย นางจะหันหลังให้สือโหรวแล้วหยิบสมุดบัญชีที่อยู่ด้านล่างหีบหนังสือออกมา ตอนที่ตวัดพู่กันเขียน นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย ดังนั้นน้ำหมึกจึงเข้มมากเป็นพิเศษ หากไม่เป็นเพราะตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็คงลงมือไปนานแล้ว จะสนไปไยว่าเจ้าเป็นเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ หรือเป็นหญิงแก่ที่อายุหลายสิบปี

ภายหลังมีวันหนึ่งที่สือโหรวจับสังเกตได้จึงช่วยอธิบายให้เผยเฉียนฟัง บอกว่าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี ราชสำนักหรือยุทธภพก็ช่าง มีสักกี่คนที่ชอบเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดี มีนั้นต้องมีแน่ แต่กลับน้อยมาก เวลาอยู่ต่อหน้าก็พูดประจบยกยอเจ้า พูดถึงเจ้าแต่เรื่องดีๆ พอหันหน้ากลับไปกลับนินทาว่าร้ายเจ้าลับหลัง นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก

ผลกลับถูกเผยเฉียนโต้กลับไปหนึ่งประโยค หากจะนินทาข้า ข้าไม่ว่า แต่ว่าร้ายอาจารย์ข้า ไม่ได้!

สือโหรวรู้สึกว่ารับมือได้ยากอยู่บ้าง นางกลัวจริงๆ ว่าวันใดเผยเฉียนจะทนไม่ไหว แล้วลงมือไม่รู้จักหนักเบาจนทำร้ายคนให้บาดเจ็บ

ดังนั้นครั้งนี้พอเฉินผิงอันมาที่ร้าน อันที่จริงนางอยากจะเล่าเรื่องนี้มาก แต่เผยเฉียนเอาแต่ทำตัวติดกับอาจารย์ สือโหรวจึงยังไม่มีโอกาสได้เปิดปากพูด

เพียงแต่วันนี้พอเผยเฉียนได้เห็นอาจารย์ ได้ยินหญิงชราพร่ำพูดด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างน่ารำคาญแล้ว

แม้ว่านางจะยังโกรธ แล้วก็ยังรู้สึกอยุติธรรม แต่จู่ๆ ความรู้สึกพวกนั้นกลับไม่มากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผยเฉียนยังคิดขึ้นมาได้อีกว่า มีปีหนึ่งที่ไปเซ่นไหว้หลุมศพพ่อแม่ของอาจารย์แทนเขา ตอนที่กลับเมืองเล็ก ระหว่างทางนางได้เจอกับหญิงชราที่ขึ้นเขามา พอเผยเฉียนหันหน้ากลับไป ดูเหมือนว่าหญิงชราจะยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพพ่อแม่ของอาจารย์ กำลังค้อมตัวหยิบจานที่ใส่ขนมข้าวเหนียวกับเต้าหู้รมควันวางตรงหน้าหลุมศพ

เผยเฉียนแทะเมล็ดแตง ยิ้มกว้าง

ไม่พูดเรื่องน่าหงุดหงิดใจพวกนี้ให้อาจารย์ฟังแล้วดีกว่า

อีกอย่างวันหน้าก็ต้องยิ้มให้หญิงชราที่ขนาดอาจารย์ยังเรียกว่าท่านป้าเฉินผู้นี้ให้มากขึ้นสักหน่อย

ออกมาจากร้านฉ่าวโถว เฉินผิงอันไม่ได้ส่งเผยเฉียนกลับไปที่ร้านยาสุ้ยทันที แต่พานางเดินเล่นไปทั่ว เดินขึ้นไปบนบันไดของตรอกฉีหลง ตรงไปเรื่อยๆ จากนั้นก็อ้อมผ่านถนนใหญ่ตรอกเล็ก ไปยังบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง เปิดประตูออก เฉินผิงอันก็หยิบไม้กวาดมาเริ่มทำความสะอาด เผยเฉียนเองก็คุ้นเคยกับที่นี่ดี ปีนั้นหลังจากแยกกันที่เมืองหงจู๋ อาจารย์ได้มอบกุญแจให้พวงหนึ่ง ลูกหนึ่งในนั้นก็มีของบ้านหลังนี้ ทุกๆ สามวันห้าวันนางกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจะต้องมาช่วยกันทำความสะอาดรอบหนึ่ง จากกันคราวนั้น อาจารย์ยังกำชับนางเป็นพิเศษว่าห้ามเคลื่อนย้ายข้าวของในบ้านโดยพลการเด็ดขาด ตอนนั้นนางยังรู้สึกเสียใจนิดๆ ถามเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่าอาจารย์เคยพูดแบบนี้กับนางหรือไม่ เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูทำท่าทางลังเล เผยเฉียนก็รู้คำตอบทันทีว่าอาจารย์ไม่เคยพูด นางจึงนั่งอยู่บนธรณีประตู กลัดกลุ้มอยู่เป็นนาน ปล่อยให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูง่วนทำงานอยู่เพียงลำพัง ส่วนเผยเฉียนนั้นบอกว่าวันนี้นางเปิดปฏิทินเหลืองดู นางไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว

แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน อาจารย์กวาดพื้น นางไม่ต้องเปิดปฏิทินเหลืองดูฤกษ์ยามก็รู้ว่าวันนี้นางมีพละกำลังเปี่ยมล้น จึงวิ่งไปที่ห้องครัว หิ้วถังน้ำกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน ตักน้ำจากอ่างที่ยังพอมีน้ำเหลือมาหนึ่งกระบวย ช่วยเช็ดถูโต๊ะ ชั้นวางและหน้าต่างในห้อง เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางเล่าเรื่องในอดีตให้เผยเฉียนฟัง เล่าว่าในอดีตเขาขึ้นเขาลงห้วยกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างไรบ้าง พวกเขาวางกับดักจับสัตว์ป่ากันอย่างไร ทำหนังกะติ๊ก ทำคันธนู จับปลา ดักนก จับงูกันอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องสนุกที่น่าสนใจทั้งสิ้น

ส่วนเผยเฉียนที่หากเฉินผิงอันเงียบไป นางอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็จะท่องบทความประเภทขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่น วิธีการปกครองเรือนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษออกมาเสียงดัง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้ว่านางไปเรียนมาจากไหน อีกทั้งยังท่องจำได้ด้วย

“เสียงไก่ขันดัง ปัดกวาดทำความสะอาดเรือน ในและนอกสะอาดเอี่ยม ปิดประตูลงกลอน ตรวจสอบตัวเอง วิญญูชนทบทวนตัวเองวันละสามครั้ง…หนึ่งโจ๊กหนึ่งข้าว ล้วนได้มาไม่ง่าย…ภาชนะเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน แม้จะทำจากดินเผาก็ยังดีกว่าทำจากทองจากหยก ยามที่ทำคุณต่อคนอื่น อย่าเอาแต่จดจำไม่ยอมวาง ยามที่ได้รับบุญคุณจากคนอื่น กลับต้องจดจำให้ขึ้นใจ ทำตามหน้าที่ของตน คล้อยตามสวรรค์ลิขิต”

เฉินผิงอันฟังเสียงท่องของนางแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่มองเผยเฉียนที่ทำงานพลางโคลงศีรษะท่องไปด้วยแล้วคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า

หลังจากทำงานกันเสร็จ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็มานั่งพักอยู่บนธรณีประตูด้วยกัน

เผยเฉียนเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านสนิทกับหลิวเสี้ยนหยางขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ปีนั้นอาจารย์ก็คือลูกสมุนของหลิวเสี้ยนหยาง ภายหลังมีเจ้าเด็กขี้มูกยืดเพิ่มมา เขาก็กลายมาเป็นขวดน้ำมัน (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) ตามก้นอาจารย์ ปีนั้นพวกเราสามคนสนิทกันที่สุด”

เผยเฉียนหันหน้ามามองอาจารย์ที่ผอมลงเยอะมาก นางลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยังถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ข้าพูดว่าถ้าหากนะ ถ้าหากมีคนพูดถึงอาจารย์ไม่ดี ท่านจะโกรธไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดจาไม่ดีต่อหน้าข้า ข้าย่อมไม่โกรธ พูดจาไม่ดีลับหลังข้า…ข้าก็ไม่โกรธเหมือนกัน”

เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “อาจารย์ ไหนบอกว่าขนาดพระโพธิสัตว์ยังมีไฟโทสะได้สามส่วนอย่างไรล่ะ ทำไมอาจารย์ถึงไม่โกรธ?”

เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กของเผยเฉียนเบาๆ “เพราะว่าโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อย่างไรล่ะ”

เผยเฉียนยื่นเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งให้อาจารย์ เฉินผิงอันรับมาแล้ว สองอาจารย์และศิษย์ก็นั่งแทะเมล็ดแตงด้วยกัน เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้น “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้คนอื่นพูดจาว่าร้ายได้ตามใจชอบงั้นหรือ? อาจารย์ แบบนี้ไม่ถูกนะ”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ปากแทะเมล็ดแตง สายตามองไปเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อยากฟังหลักการเหตุผลที่ใหญ่หน่อย หรือว่าเล็กหน่อยล่ะ?”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “อยากฟังทั้งหมดเลย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงหลักการเหตุผลที่ใหญ่ก่อน ทั้งพูดให้เจ้าฟัง แล้วก็พูดให้ตัวอาจารย์ฟังเองด้วย ดังนั้นหากเจ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร จะว่าอย่างไรดีล่ะ ทุกๆ วันพวกเราพูดอะไร ทำอะไร มีเพียงแค่ไม่กี่ประโยค แค่เรื่องไม่กี่เรื่องจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เลย คำพูดและเหตุการณ์พวกนี้ เหมือนเส้นหลายเส้นที่มารวมอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนลำธารที่อยู่ด้านในของภูเขาใหญ่แถบตะวันตกที่สุดท้ายกลายมาเป็นลำคลองหลงซวี กลายไปเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู แม่น้ำสายนี้ก็เหมือนต้นทุนในการตั้งตัวซึ่งเป็นรากฐานที่สุดของพวกเราทุกคน คือเส้นสายหลักที่ซ่อนอยู่ในใจของพวกเรา จะเป็นตัวตัดสินความสุขความทุกข์ การพบพรากจากลาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเรา แม่น้ำยาวเส้นนี้ทั้งสามารถรองรับกุ้ง หอย ปู ปลา พืชหญ้า ก้อนหินไว้ได้มากมาย แต่มีบางครั้งก็อาจจะแห้งขอด แต่บางครั้งก็อาจเกิดน้ำท่วม ไม่อาจบอกได้ชัดเจน เพราะหลายๆ ครั้งตัวพวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลายไปเป็นเช่นนั้น ดังนั้นในบทความที่เจ้าท่องเมื่อครู่นี้มีประโยคที่ว่า วิญญูชนทบทวนตัวเองวันละสามครั้ง อันที่จริงก็คือคำกล่าวอย่างหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ เรียกว่าการควบคุมตัวเองให้อยู่ในกฎระเบียบ ภายหลังตอนที่อาจารย์อ่านผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ ยังเคยได้เห็นผู้รอบรู้ของใบถงทวีปที่ถูกขนานนามว่าบุคคลผู้สมบูรณ์แบบพันปี เขาได้สร้างกรอบป้ายแผ่นหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะ แล้วเขียนสองคำว่า ‘ระงับความโกรธ’ ลงไป ข้าคิดว่าหากทำสิ่งเหล่านี้ได้ สภาพจิตใจก็จะไม่มีน้ำท่วมทะลักฟ้า เจอสะพานปะทะสะพาน เจอทำนบพังทำนบ ท่วมทับถนนที่อยู่สองข้างฝั่ง”

เผยเฉียนถาม “แล้วถ้าหลักการเหตุผลแบบเล็กล่ะ?”

เก็บชะตาบู๊กินไข่มุก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลักการเหตุผลแบบเล็กน่ะหรือ นั่นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ตอนที่ยากจน ถูกคนนินทาว่าร้าย ก็ทำได้แค่อดทนอย่างเดียวเท่านั้น ถูกคนแทงข้างหลัง ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเหมือนกัน ขอแค่อย่าถูกแทงจนกระดูกสันหลังหักก็พอ แต่หากร่ำรวยขึ้นมาแล้ว มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี คนอื่นอิจฉาตาร้อน จะไม่ยอมให้พวกเขาพูดจาค่อนแคะสักคำสองคำเลยหรือ? ต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมัน ครอบครัวที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ถูกคนนินทาแค่ไม่กี่คำ โชควาสนาจากร่มเงาบรรพบุรุษก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย ส่วนครอบครัวที่ยากจน ไม่แน่ว่าอาจทำให้ผลบุญที่ครอบครัวตัวเองสะสมมาหดหายไป ดั่งเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เจ้าคิดแบบนี้ก็จะไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่?”

เผยเฉียนยกสองมือกอดอก หัวคิ้วขมวดแน่น พยายามขบคิดถึงหลักการเหตุผลเล็กๆ ข้อนี้ สุดท้ายพยักหน้ารับ “ไม่ได้โกรธขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังโกรธอยู่ดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความโกรธคืออารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ แต่โกรธแล้ว เจ้าไม่ได้อาศัยความสามารถของตัวเองไปลงไม้ลงมือกับใคร ไม่ได้ใช้ความผิดใหญ่ไปจัดการกับความผิดเล็กน้อยของคนอื่น แบบนี้ดีมากเลย”

เผยเฉียนพูดอย่างลิงโลด “อาจารย์ ข้าได้ยินคำพูดไม่น่าฟังมาตั้งมากมาย แต่ไม่ได้ลงมือทำร้ายคนอื่น! ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ต้องชมเชยเจ้าสักครั้ง”

เผยเฉียนหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ให้เหรียญทองแดงหลายๆ เหรียญเป็นรางวัลก็ได้นะ”

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “แบบนั้นไม่ได้หรอก ลงมือทำอะไรสักอย่างควรต้องคิดถึงผลกำไรขาดทุน แต่การทำตัวเป็นคนไม่ควรทำเช่นนี้ ในเมื่อติดตามอาจารย์อย่างข้า ก็ต้องทนรับความลำบากนี้ให้ได้”

เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “นี่จะถือเป็นความลำบากอะไรได้?”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นว่าเผยเฉียนวางเปลือกเมล็ดแตงที่แทะเสร็จแล้วไว้บนฝ่ามือตลอดเวลา เหมือนกับตนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และนี่ยังเป็นการกระทำที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ

เฉินผิงอันเทเปลือกเมล็ดแตงในมือตัวเองลงในมือของเผยเฉียน แล้วกล่าวว่า “สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องได้พบเจอคนบางคนที่ขอแค่เจ้าโยนเปลือกเมล็ดแตงทิ้งลงบนพื้นในตรอกเล็ก ก็จะต้องชี้นิ้วตำหนิเจ้า คนเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือคนที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวย ไม่เคยล้มลุกคลุกคลานอยู่ท่ามกลางดินโคลนมาก่อน คนอีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่เมื่อเจ้าได้ออกไปจากตรอกฉีหลงแล้ว แต่พวกเขากลับถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องได้แต่อยู่ในตรอกฉีหลงไปตลอดชีวิต วันหน้าเมื่อเจ้าอยู่ในยุทธภพจะต้องระวังคนประเภทหลังให้มากกว่า เพราะคนประเภทแรกนั้นแค่มีจิตใจเย่อหยิ่ง แต่คนประเภทหลังกลับมีจิตใจชั่วช้า”

เผยเฉียนเบิกตากว้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “แค่โยนเปลือกเมล็ดแตงทิ้งก็ยังต้องถูกคนด่า? ขี้ไก่ขี้หมาเต็มพื้น ทำไมไม่ไปด่าเล่า? นี่มันวิถีทางโลกแบบใดกัน!”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดถึง ‘เหตุและผล’ อีกสองชนิดที่สุดโต่งยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่นจุดด่างพร้อยในคุณธรรมที่อยู่บนตัวของบทความอริยะ หรือการกระทำความดีในบางครั้งของคนที่ชั่วช้าสามานย์

พูดเรื่องพวกนี้กับเผยเฉียน ยังเร็วเกินไป แล้วก็ใหญ่เกินไป ไม่มีทางทำให้เผยเฉียนมีเหตุผลมากขึ้น มีแต่จะยิ่งกลายเป็นภาระของเผยเฉียนมากขึ้น

อีกอย่างเฉินผิงอันก็ไม่ต้องการให้เผยเฉียนกลายมาเป็นตนคนที่สอง

ดังนั้นเวลาที่พูดให้เผยเฉียนฟัง เฉินผิงอันจึงพยายามทำให้หลักการเหตุผลบางอย่างที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้เป็นเหมือนโจ๊กถ้วยเล็กถ้วยหนึ่ง หรือไม่ก็หมั่นโถวลูกหนึ่งที่ไม่ว่าจะกินอย่างไรก็ไม่ส่งผลร้าย ต่อให้กินมากเกินไป จนเผยเฉียนเองยังรู้สึกอิ่ม กินไม่ไหวอีก ก็ยังสามารถวางไว้ก่อน เหลือค้างไว้ก่อน เมื่ออยู่กับเผยเฉียน เฉินผิงอันหวังว่าตนจะไม่ได้ส่งยาขมถ้วยหนึ่ง เหล้าร้อนแรงถ้วยหนึ่ง หรืออาหารที่เผ็ดเกินไปให้กับนาง

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพราะกลัวว่าวันหน้าเจ้าอาจจะต้องหลบไปโมโหคนเดียวอีก ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า บนโลกย่อมมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ อีกทั้งคนที่เจ้าไม่ชอบเหล่านี้ ในเรื่องบางอย่างพวกเขาทำไม่ถูกใจเจ้า แต่เรื่องอื่นๆ อาจจะทำได้ดีกว่าเจ้าก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจโลกใบนี้ให้มากขึ้นเสียก่อน”

เผยเฉียนเกาหัว “อาจารย์ ปวดกบาลแหะ”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “แค่รู้ความหมายคร่าวๆ ของมันก็พอ วันหน้าไปท่องอยู่ในยุทธภพก็จงดูให้มาก คิดให้มาก เวลาที่ควรลงมือก็อย่าได้สับสน ไม่ใช่ว่าถูกผิดทุกอย่างล้วนสามารถปล่อยผ่านไปอย่างคลุมเครือได้”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “อาจารย์ วันหน้าหากข้าไปท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ไม่เดินทางไปไกล ท่านก็จะไม่ซื้อลาตัวน้อยให้ข้าอีกแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่”

เผยเฉียนถึงได้วางใจลงได้

แบบนั้นก็ดี จะได้กลับมาทันกินข้าวที่ภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจ้าคิดว่าครั้งแรกที่ออกไปท่องยุทธภพ จะออกไปไกลแค่ไหน?”

เผยเฉียนทำท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ กลอกตาล่อกแล่ก เพียงแต่คิดหาวิธีดีๆ ไม่ออก อีกทั้งไม่อยากโกหกอาจารย์ นางจึงรู้สึกรับมือไม่ถูกอยู่บ้าง

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “จะดีจะชั่วก็ควรไปให้ถึงเมืองหงจู๋กระมัง?”

เผยเฉียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยังดี อาจารย์ไม่ได้เรียกร้องให้นางไปยังสถานที่ไกลๆ อย่างแคว้นหวงถิง หรือเมืองหลวงต้าหลีอะไรพวกนั้น จึงพูดรับรองว่า “ไม่มีปัญหา! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพกอาหารแห้งและเมล็ดแตงไปให้พอ!”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป

เผยเฉียนรีบข่มกลั้นความเจ็บปวด ไม่ลืมเอามือกุมเข้าด้วยกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้เปลือกเมล็ดแตงพวกนั้นหล่นลงบนพื้น

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ลงกลอนประตูแล้วพาเผยเฉียนออกไปจากตรอกด้วยกัน

เขาเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาจากข้างทาง

ยามที่รอบกายไร้ผู้คน เฉินผิงอันก็ยิ้มแล้วบอกเผยเฉียนว่าให้นางเป็น ‘เทพธิดาโปรยดอกไม้’

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก มือสองข้างยังคงกุมกันเก็บเปลือกเมล็ดแตงเอาไว้ “อาจารย์ ข้าเริ่มแล้วนะ!”

เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างถือกิ่งไม้ พยักหน้ารับ

เผยเฉียนตวาดเบาๆ แล้วโยนเปลือกเมล็ดแตงในมือขึ้นสูง

ร่างของเฉินผิงอันไม่ขยับ กิ่งไม้ในมือก็ไม่ขยับ เพียงแต่ชายแขนเสื้อและชายผ้าของชุดสีเขียวกลับโบกสะบัดเองโดยไร้ลม

เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่ก็เหลือเพียงเงาสีเขียวเลือนรางที่ทิ้งค้างเอาไว้

เปลือกเมล็ดแตงแต่ละชิ้นที่ถูก ‘ปลายกระบี่’ จิ้มก็พากันระเบิดแตก

เมื่อเฉินผิงอันกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง ในรัศมีหนึ่งจั้งที่ปรากฎอยู่ในสายตาของเผยเฉียนก็ราวกับว่าได้แขวนภาพการออกกระบี่ที่สูงเท่าตัวของอาจารย์ภาพแล้วภาพเล่าเอาไว้

เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ “อาจารย์ วิชากระบี่ล้ำโลกที่สะท้านฟ้าดินเทพผีร่ำไห้นี้ของท่าน เหนือกว่าวิชากระบี่มารคลั่งของข้าไปอีกระดับหนึ่งเลย! ร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่ง!”

เฉินผิงอันทิ้งกิ่งไม้ ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็คือวิชากระบี่มารคลั่งของเจ้านี่นา”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ใต้หล้านี้ยังมีวิชากระบี่มารคลั่งที่ตีไม่โดนตัวเองด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะไม่ไหว คิดดูแล้วเขาก็นึกสนุกขึ้นมา จึงยิ้มกล่าวว่า “ดูให้ดีล่ะ ยังมีอีกกระบวนท่าหนึ่ง”

เผยเฉียนรีบสูดลมหายใจเข้าลึกทันที คว่ำฝ่ามือสองข้างลงแล้วค่อยๆ กดลงสู่เบื้องล่าง ตั้งเป็นท่าลมปราณจมสู่จุดตันเถียน “เชิญอาจารย์ออกกระบวนท่า!”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองกิ่งไม้บนพื้นแวบหนึ่ง สองนิ้วประกบกัน จากนั้นร่างก็พลันบิดหมุนไปเบื้องหน้า ชายแขนเสื้อโบกสะบัด กิ่งไม้ที่อยู่บนพื้นประหนึ่งกระบี่บินที่ถูกลมปราณบังคับ จึงวาดวงโค้งพุ่งขึ้นมา พอเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งแล้วชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่งพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไปได้!”

กิ่งไม้กิ่งนั้นก็เหมือนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ปักตรึกลงบนผนังที่ห่างไปไกล

เผยเฉียนกุมท้องหัวเราะก๊าก

นี่อาจารย์แอบเลียนแบบนางไม่ใช่หรือ

มีอาจารย์ที่ไหนขโมยเรียนวิชาประจำตัวของลูกศิษย์ตัวเองบ้างเล่า

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง พาเผยเฉียนที่กระโดดโลดเต้นกลับไปยังตรอกฉีหลง เผยเฉียนพลันวิ่งกลับไปดึงกิ่งไม้กิ่งนั้นออกมาจากผนัง บอกว่านี่คือศาสตราวุธร้ายกาจ นางต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี

พอส่งเผยเฉียนไว้ที่ร้านยาสุ้ยแล้ว เฉินผิงอันก็ไปบอกลาหญิงชราและสือโหรว ก่อนจะเตรียมกลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว

เผยเฉียนบอกว่าจะไปส่ง จึงเดินออกจากตรอกฉีหลงมาด้วยกัน

เฉินผิงอันเดินมาถึงปากตรอกแล้วก็บอกให้เผยเฉียนกลับไป

เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดกลับไปทันที พอไปถึงหน้าประตูร้าน เห็นว่าอาจารย์ยังยืนอยู่ที่เดิมก็โบกมืออย่างแรง พอเห็นอาจารย์ผงกศีรษะให้แล้ว นางถึงได้เดินอาดๆ กลับเข้าไปในร้าน ชูกิ่งไม้ที่อยู่ในมือขึ้นสูง ยิ้มพูดกับสือโหรวที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินว่า “พี่หญิงสือโหรว มองออกหรือไม่ว่านี่คือสมบัติอะไร?”

สือโหรวมองเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่รู้ว่านางต้องการอะไรกันแน่ จึงส่ายหน้า “โปรดอภัยที่ข้าสายตาไม่ดี มองไม่ออก”

เผยเฉียนทำสีหน้าเวทนา ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “พี่หญิงสือโหรว แค่นี้ก็มองไม่ออก นี่ก็คือกิ่งไม้อย่างไรล่ะ”

สือโหรวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นางแน่ใจเลยว่า หากตนบอกว่าเป็นกิ่งไม้ เผยเฉียนก็จะต้องบอกว่ามันเป็นอย่างอื่น

สุดปลายทางของตรอกเล็ก

หลังจากร่างของเผยเฉียนหายไป เฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่ว่าจู่ๆ เขาก็หันกลับไปมอง

ปีนั้นบนถนนสายเล็กอีกเส้นหนึ่งก็เคยมีหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเดินเคียงไหล่กัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฐานะอาจารย์และศิษย์ระหว่างเขากับเผยเฉียนแล้ว คราวนั้น พวกเขาไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงฝนที่ตกลงมา

เฉินผิงอันยืนมองตรอกเล็กอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ากำลังมอง ‘คนสองคน’ ของปีนั้นที่กำลังเดินมาหาตนช้าๆ

‘เฉินผิงอัน จิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ไร้เดียงสา มองวิถีทางโลกที่ซับซ้อนเป็นเพียงเรื่องเรียบง่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ารู้อะไรมามากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิถีทางโลก นิสัยใจคอของคน กฎเกณฑ์ หลักการเหตุผล สุดท้ายเจ้ายังยินดียืนหยัดที่จะเป็นคนดี ต่อให้ต้องผ่านประสบการณ์ต่างๆ มากับตัวเอง แล้วจู่ๆ พลันรู้สึกว่าดูเหมือนคนดีจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน แต่เจ้าก็ยังคงบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ยินดียอมรับผลลัพธ์นี้ ต่อให้คนชั่วมีชีวิตที่ดีแค่ไหน นั่นก็คือคนชั่ว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง’

‘ฟังเข้าใจหรือไม่?’

‘อาจารย์ฉี ฟังเข้าใจ!’

‘ทำได้หรือไม่?’

‘ตอนนี้ยังไม่กล้าพูดว่าทำได้’

‘ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไปเถิด’

เวลานี้

คนหนุ่มที่เปลี่ยนมาสวมชุดเขียวพลันเอ่ยขึ้นว่า “นอกเหนือจากหลักการเหตุผล ก็ถือว่าเดินช้ามากแล้ว จะช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

เฉินผิงอันหลับตาลง

ศาลบู๊เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีที่เลือกสถานที่ก่อตั้งอยู่ที่สุสานเทพเซียน

เทวรูปพลันสั่นสะเทือน

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พระโพธิสัตว์ องค์เทพสวรรค์จำนวนมากต่างก็เริ่มโยกคลอน

บนประตูใหญ่ของเรือนแต่ละหลังในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ขอแค่มีภาพเทพทวารบาลฝ่ายบู๊ติดอยู่ก็ล้วนส่องแสงสีทองระยิบระยับ

เทวรูปขนาดใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ในศาลบู๊ของเมืองเล็กคล้ายกำลังเผชิญกับการสยบกำราบที่บีบคั้นสุดขีด จึงพยายามสุดชีวิตไม่ให้ร่างทองของตนออกจากเทวรูปไปกราบกรานใครบางคน

นี่ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบพิธีการ!

ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงเดิม!

ทว่าในศาลบู๊กลับมีโชคชะตาบู๊ที่เข้มข้นขุมหนึ่งไหลทะลักพรั่งพรูลงมาราวกับน้ำตก ไอหมอกแผ่อบอวลไปทั่ว

ส่วนเทวรูปในศาลบุ๋นบนภูเขาเครื่องกระเบื้องก็เกิดเหตุการณ์ผิดปกติติดต่อกัน

หากจะบอกว่าอริยะของศาลบู๊เขตการปกครองหลงเฉวียนสะท้านพรั่นพรึงและไม่ยินยอม อริยะศาลบุ๋นที่เกิดจิตสัมผัสเชื่อมโยงก็ยิ่งหวาดผวาและไม่เข้าใจ

ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่วพั่ว มีคนออกมาจากยอดเขา และมีคนออกจากห้องมาที่ราวระเบียงแทบจะเวลาเดียวกัน

เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเปลือยเท้าในชั่วพริบตา

เว่ยป้อถามเสียงเบาอย่างกังขาว่า “นี่คือ?”

ชุยเฉิงพูดหน้าเคร่ง “การฝ่าทะลุขอบเขตห้าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดงา ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เว่ยป้อระอาใจ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอย่างเจ้าชุยเฉิงก็ช่วยกดรอยยิ้มตรงมุมปากลงไปให้ได้สิ

ชุยเฉิงพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พูดพึมพำกับตัวเอง “ไอ้หนู อย่าได้ก่อเรื่องใหญ่เด็ดขาดเชียว ผู้ฝึกยุทธก็ดี ผู้ฝึกกระบี่ก็ช่าง ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีความคิดอยู่บ้างกระมัง?”

เว่ยป้อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ชุยเฉิงขมวดคิ้วพูด “มัวอึ้งอะไรอยู่ รีบช่วยปิดบังลมปราณเข้าสิ!”

เว่ยป้อจึงรีบโบกชายแขนเสื้อ โคจรลมปราณแห่งแม่น้ำและขุนเขา

ชุยเฉิงพลันหัวเราะร่าเสียงดังอย่างเบิกบานใจ ยกฝ่ามือตบป้าบลงบนราวระเบียง

เว่ยป้อเองก็ได้ยิน ‘ถ้อยคำ’ ที่ดังขึ้นจากสุดตรอกฉีหลงแล้วเหมือนกัน เขาอึ้งงันไร้คำพูดไปพักใหญ่ นี่ไม่เหมือนเฉินผิงอันในความทรงจำคนนั้นเท่าไหร่เลยนะ

สุดตรอกเล็ก

เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังของเฉินผิงอันออกจากฝักมาแล้ว ปลายกระบี่ทิ่มยันอยู่กับพื้นดิน ตั้งตรงอยู่ข้างกายของเฉินผิงอันพอดี

หลังจากที่เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ฝ่ามือเขายันไว้บนด้ามกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคชะตาบู๊ส่วนนี้ ต้องการหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของข้า แต่หากไม่มา แน่นอนว่าย่อมไม่ได้!”

จิตเคลื่อนไหวเบาๆ

เจี้ยนเซียนกลับเข้าไปในฝัก

เพิ่งจะขาดคำของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ในฝ่ามือถือประคองไข่มุกพราวแสงที่หมุนติ้วไม่หยุดลูกนั้นเอาไว้ เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเผยเฉียน ค้อมตัวคลี่ยิ้มให้กับนาง “รับไป”

เผยเฉียนยื่นสองมือออกมา

ดวงตาคู่นั้นของนางราวกับดวงตะวันจันทราที่ประชันแสงกันอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล

เฉินผิงอันวางไข่มุกที่เกิดจากการรวมตัวกันของโชคชะตาบู๊ลูกนั้นไว้บนมือของเผยเฉียน แล้วไข่มุกก็ส่องแสงวาบ ก่อนจะหายไป

ฟ้าดินกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

เผยเฉียนพลันส่งเสียงเรอดังเอิ้ก พูดอย่างมึนงง “อาจารย์ นี่คืออะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หนึ่งในหลักการเหตุผลของอาจารย์”

เผยเฉียนเช็ดปาก ตบท้องตัวเอง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์ อร่อยมากเลย ยังมีอีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันโน้มตัวลงอีกครั้ง ดึงหูเผยเฉียน ยิ้มถามว่า “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

เผยเฉียนหัวเราะหึหึ “มีอีกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันกำลังจะพูด แต่ร่างเหมือนถูกคนกระชาก เรือนกายของเขาหายวับไป มาปราฎอีกครั้งที่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ก็เห็นว่าผู้เฒ่ากับเว่ยป้อยืนอยู่ตรงนั้น

เว่ยป้อกุมหมัดยิ้มแป้น “ขอแสดงความยินดีด้วย”

ชุยเฉิงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ก็งั้นๆ แหละ”

เฉินผิงอันพอจะสงบใจลงได้แล้ว ดูท่าคงสามารถออกเดินทางไปยังแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ยได้แล้วจริงๆ

ไปตอนนี้ก็สามารถกินเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวของหญิงชราได้พอดี แล้วก็ค่อยไปเลี้ยงหม้อไฟผู้อาวุโสซ่งสักมื้อ

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันยังไม่ทันได้เบิกบานใจนานเท่าไหร่ ผู้เฒ่ากลับหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “เข้ามา จะให้ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหกอย่างเจ้าได้ชมทัศนียภาพของขอบเขตสิบสักหน่อย เมื่อชมแล้วก็ตั้งใจพักรักษาตัวให้ดี วันใดลงจากเตียงไปเดินได้เป็นปกติ ค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”

เว่ยป้อไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผ่นหนีไปทันที

ทิ้งเฉินผิงอันที่เศร้ารันทดไว้เพียงลำพัง

อันที่จริงเผยเฉียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆ อาจารย์ก็มาแล้วก็จากไปอีกครั้ง นางเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน มองผีสาวที่ยังกุมหัวนั่งยองอยู่บนพื้น เผยเฉียนก็กระโดดขึ้นไปยืนบนม้านั่งตัวเล็ก รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยจึงหยิบยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบเข้าที่หน้าผากตัวเอง แล้วจึงหันไปพูดกับสือโหรวว่า “ผีขี้ขลาด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!