บทที่ 471 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?
ฟ้าเริ่มสว่าง ทางฝั่งประตูเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี จอมยุทธกลุ่มหนึ่งในยุทธภพที่เดินทางมาถึงที่นี่นั่งอยู่บนหลังม้ารอคอยให้ประตูเปิด หนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธจักรของแคว้นซูสุ่ย ฝ่ามือของเขากำลังลูบคลึงหยกมันแพะที่มีไว้ถือเล่นช้าๆ ด้วยอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าห่างไปไกลมีจอมยุทธพเนจรหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง สีหน้าอิดโรยคนหนึ่งกำลังเดินมา ทว่าสายตาของเขากลับไม่ขุ่นมัวแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าจึงคิดในใจว่าคนหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นคนฝึกยุทธคนหนึ่ง แต่ดูจากความตื้นลึกของฝีเท้า วิชาคงไม่ค่อยสูงส่งสักเท่าไหร่ สายตาของผู้เฒ่าจึงย้ายไปมองตามเด็กสาวหรือไม่ก็สตรีที่โตเต็มวัยคนอื่นแทน น่าเสียดายก็แต่สตรีบ้านป่าส่วนใหญ่มักมีผิวพรรณแห้งกระด้าง หน้าตาธรรมดา เขาจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หวังว่าหลังจากเข้าเมืองไปแล้ว สตรีของเมืองแยนจืออย่าได้เป็นเช่นนี้เลย
คนหนุ่มชุดเขียวมองไปทางนอกประตูที่มีกลุ่มคนมายืนออรวมตัวกัน จึงเลือกเดินไปทางร้านริมทางที่ขายอาหารเช้า ที่นั่นไม่มีเก้าอี้ให้นั่งทานอาหารแล้ว แต่เขาก็ยังสั่งปาท่องโก๋หนึ่งชิ้นและโจ๊กขาวหนึ่งถ้วย เมื่อรับอาหารมาแล้ว เจ้าของร้านนึกอยากจะเตือนสักคำว่าอย่าลืมเอาชามและตะเกียบมาคืน แต่พอชำเลืองตาไปเห็นกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น คำพูดก็กลับลงไปในท้องอีกครั้ง คนในยุทธภพ ควรต้องเกรงใจกันสักหน่อย จอมยุทธพเนจรหนุ่มจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ไปนั่งยองอยู่ข้างทาง กินปาท่องโก๋กับโจ๊ก ถือว่าจัดการอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายเสร็จไปหนึ่งมื้อ เพียงแต่เขากินช้ามาก รอจนคนหนุ่มสะพายกระบี่นำตะเกียบและชามไปคืนให้เจ้าของร้าน ทางประตูเมืองก็เปิดให้คนเข้าออกได้แล้ว เขาจึงยืนรออยู่ตรงข้างทาง
ผู้เฒ่าเก็บหยกงามที่ไม่ผ่านการแกะสลักในมือชิ้นนั้นลงไป อดหันไปชำเลืองตามองเด็กรุ่นหลังในยุทธภพคนนั้นอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะยิ้มอย่างนึกขำ ตอนที่ตนอายุเท่านี้ก็ไม่ได้มีชีวิตที่อับจนเช่นนี้แล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจสายตาสำรวจตรวจตราของผู้เฒ่า เขาเดินตามกระแสคนไปส่งมอบเอกสารผ่านด่านเข้าเมือง ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากขี่กระบี่กลับไปที่เรือนหลังนั้น แต่เป็นเพราะเขาหมดแรงแล้วจริงๆ เดินทางไปกลับเมืองแยนจือกับภูเขาเหมิงหลงมารอบหนึ่ง หากยังฝืนต่อไปก็คงไม่ใช่การตรากตรำฝึกท่าศพนั่งอะไรอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นศพศพหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแทน แม้ว่าท่านั่งนี้ ขอแค่นั่งได้ไหวก็จะช่วยบำรุงจิตวิญญาณ ทว่าหากจิตวิญญาณได้รับผลประโยชน์ แต่เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาบาดเจ็บ ส่งผลกระทบต่อพลังต้นกำเนิด น้ำเต็มปรี่ภาชนะจึงปริแตก จะกลายเป็นว่าส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
แต่วันหน้าหากใช้ท่าศพนั่งขี่กระบี่เดินทางไกลก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว
ทว่าอยู่ในแจกันสมบัติทวีปสามารถทำเช่นนี้ หากไปถึงอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆอาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ที่นั่น หากไม่ชอบขี้หน้าใครขึ้นมา แค่อ้างเหตุผลที่มองดูเหมือนเหลวไหลไร้สาระ ก็สามารถทำให้สองฝ่ายลงมือต่อยตีกันจนน้ำสมองกระจุยกระจายได้แล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้ตรงไปที่เรือนพักของอวี๋เวิงเซียนเซิงในทันที แต่ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองมาก่อนรอบหนึ่ง แต่พอสอบถามถึงได้รู้ว่าเจ้าพ่อศาลเทพอภิบาลเมืองได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เจ้าพ่อเสิ่นร่างทองอีกต่อไป เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ไม่ถือว่าราชสำนักแคว้นไฉ่อีข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน เมืองแยนจือเป็นสถานที่สำคัญ หลังจากร่างทองของเสิ่นเวินสูญสลายไปจึงจำเป็นต้องให้เทพอภิบาลเมืองคนใหม่มาสืบทอดตำแหน่งเทพรับผิดชอบตรวจตราดูแลภูเขาแม่น้ำของเมืองต่อ
เฉินผิงอันจึงไม่ได้เข้าไป แต่เดินตามเส้นทางที่เคยผ่านในปีนั้นไปยังศาลเทพเจ้าแห่งผืนดินที่ยังคงเงียบสงัดแห่งนั้น เนื่องจากศาลเล็กเกินไปจึงไม่มีคนเฝ้าศาล ต่อให้มาจุดธูปขอพรที่นี่ก็ยังต้องนำธูปมาเอง ปีนั้นตนก็ได้บอกลาเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแยนจือเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่
เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนหยิบธูปสามดอกมาจากในวัตถุจื่อจื่อ กลิ่นธูปหอมสดชื่น เป็นของบนภูเขาอย่างแท้จริง อย่าว่าแต่จุดธูปไล่ยุงเลย ต่อให้กำจัดเสนียดจัญไรอัปมงคลในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังทำได้
ปีนั้นตอนอยู่ที่ศาลเทพวารีของแคว้นชิงหลวน ครึ่งทางก่อนจะไปถึงสวนสิงโต คนเชิญธูปผู้นั้นตามกลุ่มของตนมาเพื่อนำกระบอกธูปที่ทำจากไม้ไผ่กระบอกหนึ่งซึ่งคนเฝ้าศาลเป็นผู้มอบให้มามอบต่อให้กับตน ภายหลังลองมานับดู ด้านในบรรจุธูปน้ำหายากไว้ถึงยี่สิบสี่ก้าน ลงเขามาครั้งนี้ ธูปน้ำส่วนใหญ่เขาล้วนทิ้งไว้บนภูเขาลั่วพั่ว แต่นำกระบอกธูปมาด้วย ด้านในบรรจุธูปไว้แค่สามดอก เผื่อไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น คิดไม่ถึงว่าจะได้ออกเอามาใช้ตอนนี้ เรื่องของการจุดธูปกราบไหว้นั้น ระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำจะมีข้อห้ามบางอย่าง แต่สถานที่อย่างศาลเทพอภิบาลเมือง ศาลบุ๋นหรือศาลบู๊ จะใช้ธูปภูเขาหรือธูปน้ำล้วนไม่มีปัญหา
เฉินผิงอันใช้มือหมุนหัวธูปเบาๆ ไฟก็ติดขึ้นเอง
เฉินผิงอันยืนนิ่ง ยกธูปขึ้นเหนือศีรษะ เอ่ยถ้อยคำบางอย่างอยู่ในใจ
สุดท้ายนำธูปสามดอกปักลงในกระถางทองแดง หลับตานิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงได้หมุนตัวจากไป
กลับไปถึงนอกเรือนในตรอกเล็กแห่งนั้น เฉินผิงอันก็เคาะประตูอีกครั้ง
คราวนี้คนที่เปิดประตูไม่ใช่จ้าวซู่เซี่ย แต่เป็นจ้าวหลวน พอเห็นเฉินผิงอัน ในดวงตาที่หม่นหมองของแม่นางน้อยคล้ายว่ากำลังเอ่ยเอื้อนถ้อยคำ
อู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงและจ้าวซู่เซี่ยยืนอยู่ตรงผนังบังตาในเรือน
เฉินผิงอันอยู่กับเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมานานเกินไป เดิมทีจึงคิดว่าแค่ลูบหัวอีกฝ่ายก็จะรับมือกับเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้ แต่จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถึงอย่างไรหลวนหลวนก็มีอายุและรูปร่างเป็นเด็กสาวแล้ว จึงได้แต่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ผู้ฝึกตนของภูเขาเหมิงหลงถือว่ายังมีเหตุผลกันอยู่บ้าง หลวนหลวน วันหน้าเจ้าก็ฝึกตนอย่างสบายใจอยู่ข้างกายอาจารย์ได้แล้ว”
จ้าวซู่เซี่ยแอบกำหมัดแสดงถึงความยินดีในใจ
จริงดังคาด ท่านเฉินที่สอนวิชาหมัดให้กับตน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!
แม้ว่าอู๋ซั่วเหวินจะมีแต่ข้อสงสัยเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะถามอะไรต่อหน้าเด็กทั้งสอง จึงเพียงแค่ผงกศีรษะคลี่ยิ้มให้เฉินผิงอัน จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องโถงของเรือนด้านหลังพร้อมกัน
คราวนี้จ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนยังคงดื่มชาเพื่อใช้บำรุงจิตวิญญาณอย่างช้าๆ
แต่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายหยิบเหล้าอีกาครวญสองไหออกมา มอบให้ตัวเองและอวี๋เวิงเซียนเซิงคนละกา
อู๋ซั่วเหวินกล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้หลวนหลวนและซู่เซี่ยอายุน้อยเกินไป ดื่มเหล้าไม่ได้”
อู๋ซั่วเหวินดื่มแค่หนึ่งอึกก็ตัดใจดื่มไม่ลงอีก เขายิ้มกล่าวว่า “เก็บไว้ ข้าจะเก็บไว้ก่อน วันหน้ารอให้เด็กทั้งสองโตขึ้นอีกหน่อย ดื่มเหล้ากลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเมื่อไหร่ ข้าค่อยเอาออกมาอีกครั้ง”
เฉินผิงอันรีบเอาเหล้าอีกาครวญออกมาอีกกา ลุกขึ้นยืนแล้ววางลงตรงหน้าอู๋ซั่วเหวิน กล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านอู๋มีความสามารถในการหลอกดื่มเหล้าไม่น้อยเลยจริงๆ เชิญดื่มได้ตามสบาย ข้ายังมีสุราเหลืออีก”
อู๋ซั่วเหวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขาดื่มเหล้าของเฉินผิงอันได้คล่องคอยิ่งนัก “คุณชายเฉิน อย่าใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชนสิ”
เฉินผิงอันยิ้มพลางชูกาเหล้าขึ้น อู๋ซั่วเหวินเองก็ทำเช่นเดียวกัน ถือเป็นการชนจอกกันแล้ว จากนั้นต่างคนก็ต่างดื่มสุราของตัวเอง
เฉินผิงอันไม่คิดจะเล่าเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางไปเยือนภูเขาเหมิงหลงอย่างละเอียด แต่มองไปยังอวี๋เวิงเซียนเซิงที่กำลังอารมณ์ดีแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านอู๋ เรื่องของภูเขาเหมิงหลงถือว่ายุติลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว หากยังไม่วางใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไปท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำของแคว้นต่างๆ ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ซู่เซี่ยและหลวนหลวนควรได้เปิดโลกทัศน์แล้ว ไปมองฟ้าดินข้างนอกให้มากหน่อย ต่อให้เป็นแค่การสั่งสมประสบการณ์ในยุทธภพก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี”
อู๋ซั่วเหวินพยักหน้ารับ “ได้เลย”
เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็กๆ บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับอู๋ซั่วเหวิน สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในยุทธภพและในราชสำนักของแคว้นไฉ่อีกับแคว้นซูสุ่ย บางครั้งก็หันไปมองเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอยากดื่มเหล้า รวมไปถึงเด็กสาวที่คอยแอบลอบมองตนอยู่เป็นระยะ จิตใจของเฉินผิงอันกลับคืนมาสงบสุขดังเดิม ราวกับว่าเดินจากสองปลายฝั่งของไม้บรรทัดเล่มหนึ่ง กลับมาอยู่ตรงตำแหน่งกลางดังเดิม
อันที่จริงครั้งแรกที่มานั่งอยู่ในห้อง สำหรับเรื่องการดื่มชานั้น ดูเหมือนจ้าวซู่เซี่ยจะคุ้นเคยอย่างมาก ไม่มีท่าทางระมัดระวังหรือไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าดื่มมาจนชินแล้ว
นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่ทำให้เฉินผิงอันเลื่อมใสอู๋ซั่วเหวินจากใจจริง
จ้าวหลวนมีพรสวรรค์ในการฝึกตน นี่ถือเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหวที่มองไม่เห็นระหว่างนางกับจ้าวซู่เซี่ยแล้ว อีกทั้งพรสวรรค์ในการฝึกตนของจ้าวหลวนยังดีเยี่ยมอย่างมาก นี่หมายความว่าหากอิงตามหลักการทั่วไป จ้าวหลวนที่ปีนั้นยังต้องให้จ้าวซู่เซี่ยสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องคุ้มครองนาง ใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถทำให้จ้าวซู่เซี่ยที่ได้แต่ฝึกหมัดอย่างโง่งมมองไม่เห็นแผ่นหลังของนางบนเส้นทางของการฝึกตนอีกต่อไป แน่นอนว่าอู๋ซั่วเหวินก็รู้ชัดเจนในข้อนี้ดี แต่น้ำชาตระกูลเซียนที่ต้องสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนประเภทนี้ เขาให้จ้าวหลวนดื่ม แล้วก็ยังให้จ้าวซู่เซี่ยได้ดื่มเช่นกัน ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ ใกล้ชิดหรือห่างเหิน
นี่ใช่การอบรมปลูกฝังสองพี่น้องให้เป็นดั่งลูกศิษย์ในสำนักของตัวเองเสียที่ไหน นี่ชัดเจนว่าเป็นการเลี้ยงดูบุตรชายหญิงของตัวเองแล้ว พูดประโยคไม่น่าฟังสักหน่อย พ่อแม่ในหลายๆ ครอบครัว เวลาปฏิบัติต่อบุตรชายบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ยังไม่อาจไร้ความลำเอียงได้ถึงเพียงนี้
เฉินผิงอันรู้สึกว่าชายชราลัทธิขงจื๊อที่ตบะไม่สูงผู้นี้มีบุคลิกของวิญญูชนผู้เปี่ยมเมตตาอย่างแท้จริง
แล้วก็เพราะเหตุนี้ เขาถึงไม่กล้ามอบเหล้าอีกาครวญให้มากนัก
เรื่องบางอย่างที่เดิมทีคิดมาดีแล้วว่าจะทำ ตอนนี้ก็ต้องมาใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก
ยกตัวอย่างเช่นควรจะมอบเงินเทพเซียนไว้สำหรับการฝึกตนของจ้าวหลวนในวันหน้าหรือไม่? จะมอบอย่างไร? มอบให้เท่าไหร่? ท่านอู๋จะรับไว้หรือไม่? ต้องทำแบบไหนเขาถึงจะรับไว้? ต่อให้รับไว้แล้ว จะทำอย่างไรไม่ให้ท่านอู๋เกิดปมในใจ?
ความวกวนอ้อมค้อมเหล่านี้ เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าเหมือนอย่างที่หม่าตู่อี๋กล่าวไว้จริงๆ เขาเป็นคนทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไว เพียงแต่ว่านิสัยนี้จะให้เปลี่ยนทันทีก็คงไม่ได้
เฉินผิงอันพลันเอ่ยอย่างขออภัยว่า “ท่านอู๋ มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกพวกท่าน วันนี้ข้าอาจจะสอนกระบวนท่าหมัดให้กับซู่เซี่ยอีกสองสองสามกระบวนท่า อย่างช้าที่สุดคืนนี้ก่อนถึงช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลก็คงต้องออกเดินทางไปแคว้นซูสุ่ยต่อแล้ว เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างรีบเร่ง ดังนั้นต่อให้พวกท่านอู๋วางแผนว่าจะไปเที่ยวแคว้นซูสุ่ย พวกเราก็ยังไม่อาจเดินทางไปร่วมกันได้”
อู๋ซั่วเหวินอืมรับหนึ่งที “บนเส้นทางของการฝึกตน จะปล่อยให้เรื่องทางโลกถ่วงรั้งไว้นานเกินไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่คำกล่าวในเชิงลบ แต่แท้จริงแล้วคือสัจธรรม”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นพลางพูดกับจ้าวซู่เซี่ยว่า “ไป ไปที่ลานกัน ข้าจะสอนคาถาหลอมลมปราณบทหนึ่งให้เจ้า สอนท่ายืนนิ่งและท่าหมัดอีกหนึ่งท่า คงมีแค่สามอย่างนี้ อย่าได้รังเกียจว่าน้อยเกินไปเลย”
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อต้องห้าม เพราะไม่ว่าจะเป็นคาถาวิชาหมัด หรือคาถาของการฝึกตน ต่อให้เป็นคนร่วมสำนักก็ไม่สามารถร่วมรับฟังอย่างส่งเดชได้ อู๋ซั่วเหวินจึงคิดจะพาจ้าวหลวนจากไป แต่แม่นางน้อยที่แต่ไหนแต่ไรมาว่าง่ายรู้ความมาโดยตลอดกลับไม่ยอมไปกับเขาเสียนี่
อาจารย์ผู้เฒ่ามึนงงไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันเองก็สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ในห้อง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ฟังอยู่ข้างๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าขอพูดมากสักคำ อย่าเอาไปแพร่งพรายข้างนอกเด็ดขาด แค่พวกเราสี่คนรับรู้กันก็พอ”
อู๋ซั่วเหวินถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วจากไปเพียงลำพัง
จ้าวหลวนยกสองมือเท้าคาง นั่งอยู่ตรงประตูที่ไร้ธรณี เอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ท่านแค่บอกคาถาแก่พี่ชายของข้าก็พอแล้ว ข้าจะไม่แอบฟัง แค่จะดูพวกท่านฝึกวิชาหมัดกันเท่านั้น”
เฉินผิงอันเป็นกังวลจริงๆ ว่าคาถาปราณกระบี่สิบแปดหยุดจะขัดแย้งกับวิชาลับในการฝึกตนตอนนี้ของจ้าวหลวน ดังนั้นจึงใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธถ่ายทอดคาถาแก่จ้าวซู่เซี่ย พูดซ้ำอยู่สามรอบ จนกระทั่งจ้าวซู่เซี่ยพยักหน้าบอกว่าตนเองจำได้แล้ว เฉินผิงอันถึงได้เริ่มสอนท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูให้กับเด็กหนุ่ม รวมไปถึงท่าหมัดใหม่ที่เกิดจากการผสานรวมท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของจ้งชิว ท่าวานรของจูเหลี่ยน บวกกับท่าเดินนิ่งหกก้าว ล้วนเป็นพื้นฐานในการเรียนวรยุทธ ไม่ว่าจะตั้งใจฝึกฝนแค่ไหนก็ไม่เกินไป เชื่อว่ามีท่านอู๋คอยจับตามองอยู่ด้านข้าง จ้าวซู่เซี่ยคงไม่ถึงขั้นฝึกวรยุทธจนร่างกายบาดเจ็บ
เฉินผิงอันไม่เพียงแต่แสดงท่ายืนนิ่งและท่าหมัดด้วยตัวเอง ยังอธิบายให้จ้าวซู่เซี่ยฟังอย่างละเอียดด้วยความอดทน ถอดบทเรียนไปทีละขั้น อธิบายชัดเจนทุกประโยค จากนั้นก็ค่อยสรุปรวม พูดถึงจุดประสงค์ของทั้งวิชาหมัดและกระบวนท่าหมัดโดยรวมอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงขยายไปถึงความลี้ลับมหัศจรรย์แต่ละแบบ พูดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่อง หากมีจุดใดที่จ้าวซู่เซี่ยไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นการประมือด้วยวิชาหมัด เขาก็จะอธิบายขั้นตอนนั้นให้ฟังซ้ำอีกรอบ
แน่นอนว่าจ้าวซู่เซี่ยไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าอย่างไรก็ดีว่าเจิงเย่อยู่ไม่น้อย
เจ้าทึ่มเจิงเย่ผู้นั้น ถึงขนาดทำให้คนที่ความอดทนดีเลิศอย่างเฉินผิงอันอดยกมือเกาหัวไม่ไหว นึกอยากจะใช้วิธีป้อนหมัดของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่กับเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจหรือ? หมัดเดียวสติปัญญาเปิดโล่ง! ยังไม่พอ? ถ้าอย่างนั้นก็สองหมัด!
—
ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?
จ้าวหลวนเอามือเท้าคางมองสองคนที่อยู่ในลานบ้าน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ตนก็ดี พี่ชายอย่างจ้าวซู่เซี่ยก็ช่าง หรือแม้แต่อาจารย์ก็เหมือนกัน แท้จริงแล้วล้วนต้องพบเจอเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจมากมาย
ยกตัวอย่างเช่นตนจะหวาดกลัวสายตาของคนนอกทั้งหลาย เพราะอันที่จริงนางเป็นคนที่ขี้ขลาดอย่างมาก ส่วนพี่ชายหากเห็นคนฝึกตนวัยเดียวกันก็มักจะอิจฉาแล้วก็ผิดหวัง อันที่จริงเขาปิดบังไว้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนอาจารย์ก็มักจะนั่งเหม่อเพียงลำพัง กลัดกลุ้มเรื่องการกินอยู่ เป็นทุกข์เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคนในตระกูลจนหัวคิ้วขมวดมุ่นไม่ยอมคลาย
จ้าวหลวนรู้สึกว่าตนไม่ใช่แม่นางน้อยที่ไม่รู้ประสาอะไรอีกแล้ว
ทางฝั่งของลานบ้าน ท่านเฉินที่เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าในอดีตยังคงม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ถ่ายทอดวิชาหมัดให้แก่พี่ชาย ตอนที่เขาเดินท่าหมัดหรือออกกระบวนท่าหมัด แท้จริงแล้วสำหรับในใจของนางล้วนไม่แย่ไปกว่าการที่เขาขี่กระบี่เดินทางไกลก่อนหน้านี้เลย
แต่หลังจากที่ได้กลับมาพบกับท่านเฉินอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขายังเห็นนางเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง นางดีใจมาก แต่ก็เริ่มไม่ดีใจนิดๆ
ตอนบ่ายจ้าวซู่เซี่ยเป็นคนทำอาหาร เฉินผิงอันก็คอยช่วยอยู่ด้านข้าง
อาจารย์สั่งสอนท่านเฉินไปหนึ่งคำว่าวิญญูชนต้องอยู่ให้ห่างจากห้องครัว แต่เวลากินข้าว เขากลับกินไปไม่น้อย แล้วก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อยเช่นกัน ดื่มจนใบหน้าแดงก่ำ
ตอนบ่าย ท่านเฉินยังคงฝึกวิชาหมัด แสดงท่าหมัดให้พี่ชายดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
เมื่อเข้าใกล้ช่วงสนธยา
เฉินผิงอันมองสีทองฟ้าแล้วยิ้มกับจ้าวซู่เซี่ย “เอาล่ะ ถึงแค่นี้พอ จำไว้ว่า เดินนิ่งหกก้าวก็ไม่ควรทิ้งให้เสียเปล่า พยายามปล่อยหมัดให้ถึงห้าแสนหมัดให้ได้ ตามวิธีการที่ข้าบอกเจ้า ก่อนจะออกหมัดให้ตั้งท่าหมัดก่อน หากรู้สึกว่าความหมายยังไม่ถึงขั้น มีความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าออกหมัดก้าวเดินเด็ดขาด และเวลาที่ฝึกเดินจนเหนื่อยแล้ว ช่วงเวลาที่พักผ่อนก็ใช้คาถาที่ข้าสอนเจ้ามาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนโง่ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีฝึกหมัดที่โง่เง่าเช่นนี้แหละ สักวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง จู่ๆ เจ้าจะรู้สึกเข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน ต่อให้วันเวลาที่ว่านี้จะมาถึงช้า ก็ไม่ต้องร้อนใจไป”
เฉินผิงอันคลี่ชายแขนเสื้อลง ลูบให้เรียบเบาๆ จากนั้นก็ตบไหล่จ้าวซู่เซี่ย เอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าคงพูดแค่นี้แหละ”
จ้าวซู่เซี่ยเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก
จ้าวหลวนลุกขึ้นยืนแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าจะไปคุยธุระกับท่านอู๋สักเล็กน้อย จากนั้นก็จะไปแล้ว”
ไปหาอู๋ซั่วเหวินที่กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง เฉินผิงอันก็ถอนหายใจ คิดว่าจะพูดทุกอย่างไปตามความจริง พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ถ้อยคำที่ตระเตรียมมาเป็นอย่างดีล้วนไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย “ท่านอู๋ หลวนหลวนคือลูกศิษย์ของท่าน ตามหลักแล้วข้าไม่ควรจะเจ้ากี้เจ้าการ แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการฝึกตนของจ้าวหลวน การที่ผู้ฝึกลมปราณได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในเร็ววันถือเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นข้าจึงเตรียมเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง…”
อู๋ซั่วเหวินเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจพูดต่อว่า “และยังมียันต์อีกสองสามแผ่น ถือเป็นของขวัญจากลา แน่นอนว่ายังมี ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่คัดลอกมาเองอีกหนึ่งฉบับ รวมไปถึงกระบี่อาคมที่ซื้อมาจากร้านตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง มีชื่อว่าฉวีหวง แน่นอนว่าเป็นของเลียนแบบ ระดับขั้นไม่ถือว่าสูง ข้าจะมอบให้ซู่เซี่ยทั้งหมด ไว้ให้เป็นเครื่องป้องกันกาย เพียงแต่เรื่องการฝึกกระบี่ของซู่เซี่ย ข้าหวังว่าท่านอู๋จะช่วยดูให้ข้าหน่อย หากรู้สึกว่ายามใดเขาพอจะฝึกวิชาหมัดจนประสบความสำเร็จนิดๆ แล้ว ค่อยมอบ ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ และเลียนแบบฉวีหวงให้แก่จ้าวซู่เซี่ย บอกตามตรง หากท่านอู๋ยอมตกลง ข้าก็อยากจะรับซู่เซี่ยไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ วันหน้าหากมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งซู่เซี่ยยังยินดี และท่านอู๋เองก็ไม่คัดค้าน ข้ากับซู่เซี่ยค่อยกลายมาเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอย่างเป็นทางการ”
อู๋ซั่วเหวินผายมือบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันนั่งลง รอจนเฉินผิงอันนั่งลงแล้ว เขาถึงได้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม กังวลว่าข้าจะกลัวเสียหน้า? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูแคลนน้ำหนักของซู่เซี่ยและหลวนหลวนในใจข้าเกินไปหน่อยกระมัง?”
อู๋ซั่วเหวินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ซู่เซี่ยยังดีหน่อย ไม่จำเป็นต้องให้ข้าทำอะไรมากมาย และในความเป็นจริงแล้วข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเจ้ายินดีรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ รอไปอีกสักหลายๆ ปี ค่อยตัดสินใจว่าจะรับเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการหรือไม่ แน่นอนว่านี่คือความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าของเขาซู่เซี่ย ข้าไม่มีความเห็นต่างใดๆ แต่บอกตามตรง การนำพาแม่หนูหลวนหลวนฝึกตน ก็ยากลำบากสำหรับข้ามากจริงๆ เงินอีแปะเดียวก็ทำให้วีรบุรุษล้มคว่ำได้ ก็คือหลักการนี้นี่เอง หาใช่ว่าต้องการจะขอความดีความชอบจากเจ้า หรือร้องทุกข์ให้เจ้าฟังไม่ หลายปีที่ผ่านมานี้ เพื่อไม่ให้ถ่วงรั้งการฝึกตนของหลวนหลวน ลำพังเพียงแค่ไปยืมเงินจากเพื่อนบนภูเขาก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว”
อาจารย์ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ “พูดเรื่องน่าอับอายในครอบครัวเหล่านี้กับเจ้า ก็จะทำให้เจ้ามอบเงินเทพเซียนให้กับพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ได้อย่างสบายใจแล้วใช่ไหม? ให้มากหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าแก่ปูนนี้แล้ว ไม่มีปัญญาจะไปรบราฆ่าฟันกับใครอีกแล้ว แต่หากจะแบกเงินเทพเซียนไว้บนตัว กลับไม่ใช่เรื่องยาก”
เฉินผิงอันหยิบ ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง กระบี่ฉวีหวง และยันต์กระดาษสีทองสามแผ่นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ จากนั้นก็ควักเงินเทพเซียนกำหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะหนังสือเบาๆ
แรกเริ่มอู๋ซั่วเหวินยังลูบหนวดยิ้ม แต่พอเห็นเงินเทพเซียนเหล่านั้นอย่างชัดเจน เขากลับเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าเปิดโรงรับเงินบนภูเขาหรือไร? เงินร้อนน้อยก็แล้วไปเถิด เหตุใดยังต้องมีเงินฝนธัญพืชอีกตั้งสามเหรียญ?!”
เฉินผิงอันทำหน้าอึ้งตะลึง “นี่ยังรังเกียจว่าน้อยไปอีกหรือ? ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็กแล้วจริงๆ นะ”
อู๋ซั่วเหวินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะ ‘เล่นแง่’ เช่นนี้ ผู้เฒ่าเลือกเงินฝนธัญพืชสามเหรียญออกมา พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เอากลับไป นี่ไม่จำเป็นจริงๆ ในอนาคตเมื่อหลวนหลวนเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต เจ้าจะมอบให้นางมากกว่านี้ ข้าก็ไม่ขัดขวาง แต่ตอนนี้ไม่ได้”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ยืนกราน
เฉินผิงอันเก็บเงินฝนธัญพืชสามเหรียญที่เดิมทีคิดไว้ว่าจะนำมาเป็นสมบัติก้นกรุในการลงภูเขาครั้งนี้กลับไป กุมหมัดแล้วเอ่ยลา “ท่านอู๋ไม่ต้องไปส่งแล้ว”
อู๋ซั่วเหวินลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ไปส่งถึงหน้าประตู มารยาทเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องมีอยู่บ้าง”
ออกจากห้อง มาที่ลานบ้าน จ้าวหลวนถืองอบของเฉินผิงอันรอไว้อยู่แล้ว
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกล่าว “ข้ากับหลวนหลวนจะไปส่งท่านเฉินถึงที่หน้าประตูเมือง”
เฉินผิงอันรับงอบมา แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าจะรีบออกเดินทางให้เร็วสักหน่อย”
จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว
จ้าวหลวนกล่าวอย่างขลาดๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปส่งถึงหน้าประตู”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อู๋ซั่วเหวินเดินกลับเข้าไปในห้อง มองสิ่งของและเงินเทพเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม รู้สึกถึงเพียงความเหลือเชื่อ แต่พออาจารย์ผู้เฒ่าเห็นยันต์สีทองสามแผ่นนั้นก็พลันโล่งใจ
ยังคงเป็นคนเดิมของในปีนั้น เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นคนหนุ่มก็เท่านั้น
อู๋ซั่วเหวินลูบหนวดยิ้ม “พึ่งใบบุญของหลวนหลวน ในที่สุดชีวิตนี้ก็ได้เห็นเงินฝนธัญพืชมากกว่าหนึ่งเหรียญแล้ว”
ด้านนอกเรือน
เฉินผิงอันสวมงอบ เตรียมจะขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านวารีกระบี่ของแคว้นซูสุ่ย ที่นั่น เขายังติดค้างหม้อไฟใครคนหนึ่งไว้หนึ่งมื้อ
จ้าวซู่เซี่ยยังดีหน่อย เพราะเขาไม่ได้แสดงความเสียใจออกมาสำหรับการจากลาในครั้งนี้
เขาคอยพูดคุยกับเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา
แต่แม่นางน้อยกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ
จ้าวซู่เซี่ยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ บอกว่าจะกลับไปก่อน ให้หลวนหลวนบอกลากับท่านเฉินเองก็แล้วกัน
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ความฉลาดของเจ้าเด็กนี่เอามาใช้ผิดที่หรือเปล่า?
จ้าวหลวนก้มหน้าลง
ราวกับว่าหากไม่เปิดปากพูด ก็ไม่ต้องจากลากัน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ เรียกนางคำหนึ่งว่าหลวนหลวน
จ้าวหลวนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย
เฉินผิงอันไม่ได้โง่
สายตาที่แม่นางน้อยมองตน ไม่เหมือนคนอื่น
บางครั้งคำว่าชอบนั้น ต่อให้ปากไม่พูด แต่ก็เขียนไว้ในดวงตา
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “หลวนหลวน ข้าจะพูดความในใจบางอย่างกับเจ้า ถือซะว่าเป็นสัญญาเล็กๆ ระหว่างพวกเรา ตกลงไหม?”
จ้าวหลวนรู้สึกตื่นตระหนก แต่ก็อดคาดหวังนิดๆ ไม่ได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าชอบข้า ถูกไหม?”
จ้าวหลวนหน้าแดงแปร๊ดทันใด
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้าเองก็ชอบเจ้า แต่ว่า ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ เพราะว่าในใจข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าในตอนนี้ยังสามารถชอบข้าได้ ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดเสมอไป เชิญชอบเฉินผิงอัน ท่านเฉินในใจเจ้าผู้นั้นได้ตามสบาย แต่ข้าหวังว่าในอนาคต เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นแล้ว อาจจะผ่านไปอีกสักสามปี ห้าปี หรือนานยิ่งกว่านั้น สิบปี บางทีวันใดวันหนึ่งเจ้าอาจจะได้เจอกับเด็กหนุ่มหรือคนหนุ่มที่เจ้ารู้สึกว่าเขาดีมากๆ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องกลัว หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้ว และเจ้าค้นพบว่าอันที่จริงตัวเองชอบเขาจริงๆ ก็อย่าได้ปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด ตกลงไหม?”
จ้าวหลวนกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ไม่พูดก็จะถือว่าเจ้าตกลงแล้วกัน”
เฉินผิงอันประคองงอบ “ไปล่ะ”
เจี้ยนเซียนออกจากฝัก ขี่กระบี่ทะยานไป
จ้าวหลวนเงยหน้าขึ้น
ศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากตรงประตูใหญ่อย่างเงียบเชียบ
เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าด้านหลังตัวเองมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์โชกโชนกว่าเขาเยอะ ชายชราลัทธิขงจื๊อหมุนตัวกลับไปเงียบๆ
จ้าวหลวนหันหน้ากลับไปก็เห็นแผ่นหลังของอาจารย์และศีรษะของจ้าวซู่เซี่ยเข้าพอดี
จ้าวหลวนก้มหน้าลง ยกมือสองข้างปิดหน้า วิ่งกลับเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว
จ้าวซู่เซี่ยวิ่งตามจ้าวหลวนพลางพูดจาหนักแน่นน่าเชื่อถือ “หลวนหลวน ข้าไม่ได้ยินเลยสักคำ! หากไม่จริงข้าจะยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับเจ้าเลย”
ด้านหน้ามีเสียงหนึ่งดังลอยมา “อาจารย์ต่างหากที่ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย ในฐานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ อะไรที่ไม่สมควรมองต้องไม่มอง ไม่สมควรฟังต้องไม่ฟัง แต่ซู่เซี่ยนั่นกลับไม่แน่เสมอไปหรอก อาจารย์เห็นกับตาว่าเขาโก่งก้นเงี่ยหูฟังอยู่ตั้งนาน”
จ้าวซู่เซี่ยหยุดฝีเท้าดังเอี๊ยด แล้วหันหัวกลับวิ่งไปทางประตูใหญ่โดยไม่ลังเล ทุกครั้งที่หลวนหลวนถูกเขาพูดแซวจนอับอายแล้วพานโกรธขึ้นมา นางลงมือทีก็ไม่รู้จักหนักรู้จักเบา แถมเขายังเอาคืนนางไม่ได้อีกด้วย
บนทะเลเมฆ เฉินผิงอันปาดเหงื่อ รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนเทียวไปเทียวกลับภูเขาเหมิงหลงสองรอบเสียอีก
จูเหลี่ยนสมควรโดนซ้อมจริงๆ สวมงอบไว้แล้วจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร
เพียงแต่ว่าหลังจากบ่นจบแล้ว
เฉินผิงอันที่ใช้ท่านั่งนิ่งนั่งอยู่บนเจี้ยนเซียนก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
ถึงอย่างไรเขาก็ยังเห็นหลวนหลวนเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง การที่นางชอบใครสักคนก็เหมือนเด็กที่น้ำลายสอ อยากกินถังหูลู่สักไม้ หรืออยากกินขนมสักชิ้น ความชอบนั้นทำไมจะไม่ใช่ความชอบจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นความรู้สึกฉันท์ชู้สาวอย่างแท้จริง ความรู้สึกที่มากกว่านั้นน่าจะเป็นความรู้สึกเชื่อใจ อยากพึ่งพา ผสมปนเปไปกับความสุขความทุกข์ภายใต้โชควาสนาที่นำพาให้มาเจอกันในปีนั้นเสียมากกว่า
และความชอบเช่นนี้ก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วจะมีอะไรที่ไม่ดีเล่า
ต่อให้ในอนาคตจะไม่ได้ถูกชอบอีกต่อไป แม่นางน้อยมีบุรุษที่ตัวเองรักจากใจจริง อันที่จริงแล้วนั่นก็เป็นความงดงามอีกแบบหนึ่ง
เฉินผิงอันพูดเสียงดัง “ไป! ไปให้สูงยิ่งกว่านี้!”
ทว่าเจี้ยนเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ากลับดิ่งฮวบลงเบื้องล่าง
……
บนถนนเส้นเล็กกลางภูเขาที่เป็นชายแดนเชื่อมต่อระหว่างแคว้นไฉ่อีกับแคว้นซูสุ่ย
บุรุษชุดเขียวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ด้านหลังสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าที่ตัดมาจากข้างทางแล้วทำขึ้นหยาบๆ เขาเดินบนทางภูเขามาร้อยกว่าลี้แล้ว สุดท้ายยามค่ำคืนของวันหนึ่งก็เดินเข้าไปในวัดร้างเก่าโทรมที่เต็มไปด้วยหยากไย่ เทวรูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ของลัทธิพุทธยังคงล้มเค้เก้อยู่บนพื้นเหมือนในปีนั้น ยังคงมีลมพัดลอดห้องโถงใหญ่เข้ามาในวัดเก่าแก่เป็นระยะ บรรยากาศอึมครึมวังเวง
คนหนุ่มก่อกองไฟขึ้นมาหนึ่งกอง หลังจากนั้นก็หลับตางีบหลับ ราวกับกังวลว่าภูตผีปีศาจที่กล่าวถึงในตำราจะปรากฎกาย อยากหลับแต่ก็ไม่กล้าหลับไปจริงๆ
ผ่านยามจื่อไปก็มีเสียงหัวเราะต่อกระซิกดังแว่วจากไกลมาใกล้
บุรุษชุดเขียวที่เหมือนบัณฑิตสะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษาก้มหน้าลง มุมปากยกยิ้ม เพียงแต่ว่าตอนที่เงยหน้ามองไปข้างนอก เขากลับทำสีหน้ามึนงงและอึ้งตะลึง
—
ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?
อาณาบริเวณของวัดร้างค่อนข้างใหญ่ เป็นเหตุให้กองไฟห่างจากประตูใหญ่มาพอสมควร
มีสตรีเรือนกายสะโอดสะองสวมชุดกระโปรงสีสันสดใสสามนาง คนหนึ่งคือดรุณีน้อยอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีที่ดวงตาเป็นรูปผลซิ่ง ใบหน้าทรงกลม อีกคนหนึ่งคือสตรีร่างสูงเพรียวยาวที่รวบผมมัดเป็นมวย อายุประมาณยี่สิบปี และยังมีสตรีโตเต็มวัยอีกคนหนึ่งที่เรือนกายอวบอิ่มมวยผมหลวมๆ คล้าย ‘พวงดอกไม้’ พวกนางเล่นสนุกหยอกล้อกัน ทำให้ทัศนียภาพบางจุดบนร่างของสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามคนหนึ่งในนั้นสั่นกระเพื่อมรุนแรงเป็นพิเศษ เวลานี้กำลังพากันหัวเราะคิกคัก ‘พลิ้วกายเข้ามา’ ในวัดโบราณประหนึ่งผีเสื้อโบยบิน จากนั้นก็เห็นคนหนุ่มที่กำลังเบิกตากว้าง พวกนางพลันเกิดขลาดกลัว หยุดเท้าลงอย่างเขินอาย ยืนรวมตัวเกาะกลุ่มกัน ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ผลักดันกันให้ขยับเข้าไปใกล้กองไฟและบัณฑิต
สตรีโตเต็มวัยเหมือนใจจะกล้าหน่อย นางนั่งยองลง ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น สายตาจับจ้องมองคนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา
สตรีร่างสูงโปร่งยืนอยู่ด้านข้าง มองมาด้วยสายตาเย็นชา คล้ายจะกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าคนหนุ่มผู้นี้จะใช่อันธพาลเสเพลที่อันตรายหรือไม่
เด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งขี้อายที่สุด นางยืนหันข้าง สิบนิ้วของสองมือสอดประสานกัน ก้มหน้าลงต่ำจ้องมองปลายรองเท้าปักลายบุปผาที่โผล่พ้นมาจากชายกระโปรง
สตรีโตเต็มวัยพลันอึ้งตะลึง
เพราะว่าจู่ๆ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็หัวเราะ คล้ายจะขึงหน้าทำสีหน้า ‘จริงจังแบบเสแสร้ง’ ต่อไปไม่ไหว
สตรีเรือนร่างอวบอิ่มที่นั่งอยู่ผู้นั้น นางถึงขั้นดึงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอกขาวโพลนตั้งตระหง่านโดยตรง แล้วโบกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงหวานเลี่ยนว่า “คุณชายร้อนหรือไม่? อยู่ดีๆ ข้าน้อยก็รู้สึกเสื้อผ้าที่สวมใส่หนาเกินไปเสียแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นมือไปใกล้กองไฟอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มกล่าวว่า “หากรู้สึกร้อน แล้วจะยังต้องผิงไฟอีกหรือ?”
สตรีอึ้งงันพูดไม่ออก แต่จากนั้นนางก็ชม้อยชม้ายชายตา หัวเราะคิกคักดุจกิ่งบุปผาสั่นไหว “คุณชายช่างเข้าใจพูดตลกเสียจริง คิดดูแล้วคงจะเป็นบุรุษที่ชวนรักชวนฝันมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ขำให้นานอีกหน่อย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ สตรีงดงามโตเต็มวัยที่เย้ายวนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ก็หัวเราะขำได้แค่ครู่เดียว เพราะเพียงไม่นานนางก็ขำไม่ออกอีก เพียงแต่ไม่ยินดีจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ จึงเลียมุมปาก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คุณชายหน้าตาหล่อเหลาจริงๆ มองแล้วสบายตา พูดจาก็ไพเราะน่าฟัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่?”
เฉินผิงอันยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม “ท่านป้าก็ช่างเข้าใจพูดตลกเสียจริง”
สีหน้าของสตรีแข็งค้างโดยพลัน
เฉินผิงอันที่จงใจกลับมาเยือนสถานที่เก่าด้วยใบหน้านี้มองประเมินคนทั้งสามอีกรอบ สุดท้ายมองไปยังเด็กสาวที่ขี้ขลาดที่สุดคนนั้นแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พอเถอะ ข้ารู้รากฐานของพวกเจ้าดี ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”
ในบรรดาสตรีทั้งสามคน สตรีร่างอวบอิ่มมึนงงและขุ่นเคือง ใช้ผ้าเช็ดหน้าปกปิดทัศนียภาพตรงหน้าอก สตรีร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วมุ่น ส่วนเด็กสาวคนนั้นทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงทำท่าเขินอายของตัวเองต่อไป
เฉินผิงอันโยนกิ่งไม้หนึ่งกิ่งใส่เข้าไปในกองเพลิง ยังคงยิ้มมองเด็กสาวที่สวมรองเท้าปักลายบุปผาผู้นั้น ไม่รู้จริงๆ ว่านางความจำไม่ดี หรือรักความสะอาดมากจริงๆ เพราะไม่ว่าจะรองเท้าก็ดี หรือกระโปรงก็ช่าง ล้วนยังคงไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนทั้งที่เดินมาบนทางภูเขาแท้ๆ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “จำไม่ได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยทวนความจำให้เจ้าเองก็แล้วกัน เมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน มีคนต่างถิ่นสี่คนมานั่งอยู่ตรงจุดที่ข้านั่งตอนนี้ คนหนึ่งคือจอมยุทธเคราดก คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม คนหนึ่งคือบัณฑิตผู้สุภาพ คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มยากจน…อืม ภายหลังพวกเราก็พบกันอีกครั้งที่หมู่บ้านวารีกระบี่”
เด็กสาวที่ดวงตาเป็นรูปผลซิ่งไม่ยืนหันข้างอีกต่อไป นางหันมาเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน ปิดปากหัวเราะ “จะจำไม่ได้ได้อย่างไร ครั้งนั้นต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของพวกเจ้าและตะพาบเฒ่าซ่ง ทุกวันนี้พอข้าน้อยนึกถึงเรื่องอนาถในครั้งนั้นขึ้นมา หัวใจดวงเล็กๆ ก็ยังเจ็บปวดรวดร้าวไม่หาย บุรุษหน้าไม่อายอย่างพวกเจ้า แต่ละคนช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย สาวใช้สองคนที่น่าสงสารของข้า นึกจะฆ่าก็ฆ่าทิ้งเสียอย่างนั้น หากข้ามองไม่ผิด คุณชายคงจะเป็นเด็กหนุ่มที่ปีนั้นลงมือบดขยี้บุปผางามอย่างอำมหิตที่สุดผู้นั้นกระมัง? โอ้โห ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อเหลาจริงๆ ไม่ทราบว่าเดินทางมาเยือนครั้งนี้ มีจุดประสงค์อันใด?”
นางเอาสองมือไพล่หลัง เดินอ้อมกองไฟไปครึ่งวง คอยรักษาระยะห่างกับเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา “ทำไม คงไม่ใช่ว่าคุณชายไม่ได้ไร้เดียงสาไม่รู้ความเหมือนตอนเป็นเด็กหนุ่ม แต่เริ่มได้รู้จักรสชาติของสตรีมาบ้างแล้ว ชิมสตรีในโลกมนุษย์มาจนเอียน ก็เลยอยากหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ คิดจะมาลองดูความสามารถบนเตียงของผีงามอย่างพวกเราหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันโบกมือ “มิกล้า ข้ารู้ดีว่าฮูหยินชอบกินหัวใจผัดเผ็ด ให้ดีที่สุดคือต้องเป็นหัวใจของผู้ฝึกตน เพราะไม่มีกลิ่นคาวแบบคนธรรมดาสามัญ”
เฉินผิงอันมองไปทางประตูวัดร้างแวบหนึ่ง “ดูท่าหลังจากถูกผู้อาวุโสซ่งตวัดกระบี่สังหารภูตผีใต้อาณัติของเจ้าไปไม่น้อยในรวดเดียว เจ้าตอนนี้จึงไม่มีบารมีอำนาจเหมือนในอดีตอีกแล้ว”
เด็กสาวที่มีดวงตารูปผลซิ่งเบ้ปาก ยื่นรองเท้าปักลายบุปผาข้างหนึ่งออกมาเขี่ยกองไฟเบาๆ “ว่ามาเถอะ เจ้าล่อให้พวกเราปรากฏตัวครั้งนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันถาม “หลังจากศึกที่หมู่บ้านวารีกระบี่ผ่านพ้นไป สี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ไอ้ที่ตายก็ตาย ไอ้ที่หนีไปได้ก็หนีไป แล้วก็ยังมี…ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้มานานแล้ว แต่ทางฝั่งของแคว้นไฉ่อีนั่น ข้าได้ยินมาว่าเพียงไม่นานต่อมาก็มีสี่พิฆาตซูสุ่ยปรากฎขึ้นอีก หนึ่งในนั้นยังเป็นกลุ่มอิทธิพลเก่าบนภูเขาที่ได้เลื่อนตำแหน่งด้วย?”
นางทรุดตัวลงนั่งยอง ถอนหายใจ “ตายไปแล้วสองคน ไร้ชะตาจะได้เสพสุข ล้วนถูกผู้ฝึกตนของต้าหลีที่เรียกตัวเองว่าเลขาธิการฝ่ายบู๊อะไรนั่นสังหารทิ้ง ยังเหลืออีกคน แรกเริ่มสุดก็ไปทำงานเบ็ดเตล็ด ถูกคนจับมาเล่นสนุกหาความบันเทิง เลยตกใจขวัญหนีจนเกือบจะต้องย้ายถิ่นฐาน ข้าต้องพูดกล่อมเขาว่าอย่าย้ายไปไหนเลย คนย้ายถิ่นมีชีวิตรอด แต่ผีที่มีชีวิตรอดจะยังเป็นผีได้อีกหรือ โชคดีที่เขายอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของข้า เขาร่ำรวยได้ดิบได้ดีแล้ว แต่ข้ากลับต้องเสียใจจนไส้เขียว เมื่อหลายปีก่อนเกิดสงครามวุ่นวาย อยู่ดีๆ ไอ้หมอนั่นก็รุ่งเรืองขึ้นมา จึงรวบรวมพวกผีร้ายมาเป็นพรรคพวก สร้างกองกำลังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังไม่เคยไปหาเรื่องซวยใส่ตัวกับพวกคนเถื่อนต้าหลี ชีวิตแต่ละวันช่างมีความสุข แล้วยังได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักที่ทำให้ข้าอิจฉาตาร้อนนัก ไม่เพียงแต่ไม่พูดถึงฉายาสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยอะไรอีก แม้แต่ข้าก็ยังเกือบถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้นลักพาตัวไปเป็นฮูหยินรังโจร วิถีทางโลกใบนี้นี่นะ คนมีชีวิตอยู่ยาก ผีก็เป็นกันยาก สรุปแล้วควรต้องเป็นอะไรกันแน่”
แม้ว่าเฉินผิงอันจะจับตามองนางตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วหางตาก็คอยมองประเมินผีอีกสองตนอยู่เช่นกัน
นางที่อยู่ในรูปโฉมของเด็กสาว อยู่ในแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่าเป็นผีที่ตบะไม่ตื้นเขิน แต่สำหรับเฉินผิงอันในตอนนี้แล้ว นี่ไม่สำคัญเลย
สำคัญคือปีนั้นซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยปฏิบัติต่อนางด้วยการหยิบปฏิทินเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งออกมา แล้วเอ่ยประโยคว่า ‘เหมาะให้รักษาศีลทำความดี เหมาะให้แสวงหาโชคลาภ’ จากนั้นผีสาวก็ควักเงินร้อนน้อยออกมาเหรียญหนึ่ง แล้วผู้อาวุโสซ่งก็ยอมปล่อยนางไปจริงๆ
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังนึกว่าเป็นเพราะปฏิทินเหลืองเล่มนั้นจริงๆ คืนนั้นผีสาวที่ชื่อเสียงความดุร้ายเลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ถึงได้โชคดีรอดพ้นหายนะไปได้ ภายหลังตอนที่กินหม้อไฟในร้านอาหารของเมืองเล็กร่วมกับผู้อาวุโสซ่ง พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ในบรรดาสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ย ผีสาวตนนี้ถือเป็นผีที่มีชาติกำเนิดและการกระทำที่ซับซ้อนมากที่สุด ถือเป็นภูตผีประเภทที่ว่าหากฆ่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากไม่ฆ่าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องร้ายทั้งหมด
เฉินผิงอันถอนหายใจ “พูดมาเถอะ หลายปีมานี้เจ้าทำร้ายให้บุรุษในโลกคนเป็นตายไปแล้วกี่มากน้อย”
นางตวัดค้อนใส่ “ทำร้ายให้ตายอะไรกัน พูดจาหยาบคายจริงๆ เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ พวกเขาได้ความสุขระหว่างชายหญิง ส่วนพี่น้องของพวกเราก็ได้พลังหยาง ไม่ต้องกลายไปเป็นผีร้ายที่ไม่อาจได้ผุดได้เกิดอีกตลอดไป ทุกคนต่างก็ปิติยินดี แน่นอนว่าหากเจอกับผู้ฝึกตนที่ไม่สนใจสิ่งใด อีกทั้งทางการก็ควบคุมไม่ได้อย่างพวกเจ้าเข้าจริงๆ ข้าก็ไม่ถือสาหากบนโต๊ะอาหารจะวางหัวใจผัดเผ็ดไว้สักหลายๆ จาน”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด คล้ายกำลังนึกถึงเรื่องเก่าบางอย่างอยู่
นางเอาสองมือไพล่หลัง จุ๊ปากเอ่ยว่า “จำเจ้าไม่ได้จริงๆ หากเจ้าไม่พูด ตีให้ตายข้าก็นึกไม่ออก ตอนนั้นเจ้าเป็นเด็กหนุ่มตัวดำเมี่ยมคนหนึ่ง ต่างก็พูดกันว่าสตรีเมื่อเติบใหญ่เปลี่ยนแปลงไปได้หลากหลาย บุรุษอย่างพวกเจ้าก็เหมือนกันหรือ?”
เฉินผิงอันพูดเหมือนหยอกล้อ “ในเมื่อตีให้ตายก็นึกไม่ออก ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถพิจารณาได้ว่าจะไม่ตีเจ้าให้ตาย”
นางชำเลืองตามองชุดสีเขียวบนร่างของคนผู้นี้ ความโมโหก็พลันผุดพุ่งขึ้นมา
จึงหันขวับไปถลึงตาใส่สตรีร่างสูงโปร่งผู้นั้น “อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ายังคบหากับบัณฑิตยากจนผู้นั้นอยู่ คงคิดสินะว่าสักวันหนึ่งเขาจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากมหรรณพแห่งความทุกข์นี้ไปได้? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ในมือเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นตั้งแต่คืนนี้เลย เขาเป็นถึงท่านเทพภูเขาผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ เทพภูเขารับอนุภรรยา ต่อให้ไม่มีหน้ามีตาเท่ารับภรรยาเอก ก็ไม่แย่กว่ากันสักเท่าไหร่หรอก!”
ตอนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ ดวงตาสองข้างของเด็กสาวที่เป็นรูปผลซิ่งพลันมืดดำ ปราณดุร้ายแผ่ล้อมไปรอบกาย รองเท้าปักลายบุปผาที่โผล่ออกมานิดๆ คู่นั้นก็ยิ่งมีแสงสีแดงสดไหลวน ประหนึ่งมีเลือดสดไหลรินออกมาจากรองเท้า
ผีสาวร่างสูงโปร่งมีสีหน้าหวาดกลัว คุกเข่าลงดังตุ้บ หมอบตัวอยู่บนพื้น ร่างทั้งร่างสั่นเทา
สตรีอวบอิ่มที่อยู่ด้านข้างทำหน้าเย้ยหยัน ทว่าในความเย้ยหยันนั้นกลับมีความอิจฉาแฝงอยู่หลายส่วน
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปทางประตูวัดแล้วหันมาโบกมือให้ผีสาวทั้งสามตน “พวกเจ้าไปซะเถอะ”
ครู่หนึ่งต่อมา
ผีสาวที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งก็ขมวดคิ้วแน่น พูดเสียงหนักกับ ‘สาวใช้’ สองคนข้างกายที่เหลืออยู่อีกไม่มาก “พวกเจ้าไปกันก่อน! ออกไปทางประตูหลัง กลับไปที่จวนโดยตรง…”
และเวลานี้เอง ลมดำขุ่นมัวขุมหนึ่งที่ปะปนไปด้วยแสงสีทองก็พัดหมุนเข้ามาในวัด ก่อนจะเผยร่างกลายเป็นบุรุษกำยำที่เปิดเปลือยท่อนบน มีเขี้ยวสองข้างโผล่ออกมาจากริมฝีปาก หลังปรากฏตัวแล้วเขาก็ก้าวเดินยาวๆ มาข้างหน้าพลางหัวเราะร่าเสียงดัง “ไป? ข้าว่าใครก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น! ข้ารอวันนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว ข้าจะรวบพวกเจ้าไปให้หมดเลยเชียว สตรีซุกซนอย่างเจ้าช่างจับตัวได้ยากนัก ข้าผู้อาวุโสส่งคนออกมาเป็นเหยื่อล่ออยู่หลายครั้ง เจ้าดันไม่ติดกับ วันนี้เหตุใดถึงทนไม่ไหว กล้าวิ่งออกมาจากรังเสียเล่า? นึกจริงๆ หรือว่าเอาสตรีขายาวๆ สาวใช้เจ้าไปเป็นเมียน้อยแล้วจะเติมเต็มท้องของข้าผู้อาวุโสให้อิ่มได้? รู้หรือไม่ ข้าผู้อาวุโสชอบรสชาติอย่างเจ้ามากที่สุดเลยล่ะ?”
เมื่อชายฉกรรจ์ร่างกำยำสูงหนึ่งจั้งผู้นี้ปรากฏตัว ในวัดโบราณก็อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวแสบจมูก
รอบบริเวณวัดร้างก็ยิ่งมีแต่เสียงเซ็งแซ่จอแจ
เห็นได้ชัดว่าภูตที่เป็นเทพภูเขาตนนี้รอจังหวะในการลงมือ เตรียมตัวพร้อมก่อนจะมา
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเอือมระอา “ท่านผู้นี้คือเทพภูเขากระมัง ไม่ต้องรีบร้อนจัดการข้า ถึงอย่างไรข้าก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว พวกเจ้าสามารถพูดคุยเรื่องเก่าๆ ในวันวานกันก่อนได้ ใครที่ควรหมั้นก็หมั้น ควรรับเป็นเมียน้อยก็รับไป”
ภูตภูเขาร่างบึกบึนที่มุมปากมักจะมีน้ำลายไหลย้อย หนึ่งในอดีตสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ย ซึ่งทุกวันนี้ทุ่มเงินเทพเซียนไปก้อนใหญ่ ในที่สุดก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเทพภูเขาไม่ได้สนใจคนหนุ่มที่มองดูแล้วคงจะเป็นวรยุทธแค่งูๆ ปลาๆ หรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนน้อยที่ฝีมือไม่เข้าขั้นผู้นี้จริงๆ เขาหันหน้าไปมองเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งที่ร่างเล็กเตี้ย แต่กลับบอบบางอรชร จากนั้นก็กวักมือหนึ่งครั้ง ร่างของสตรีอวบอิ่มโตเต็มวัยผู้นั้นก็ลอยหวือไปหาเขาทันที นางถูกเขากอดเอาไว้ สตรีแอบอิงอยู่ท่ามกลาง ‘ป่าเขา’ ตรงหน้าอกของเทพภูเขาท่านนี้ หัวเราะคิกคักเสียงหวาน ไม่กล้ามองไปยังเด็กสาวที่เป็นเจ้านายของตัวเอง แต่จ้องเขม็งไปที่ผีสาวร่างสูงโปร่งซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงันผู้นั้นอย่างมาดร้าย “นังแพศยาที่อยู่ท่ามกลางความสุขแล้วยังไม่รู้ตัว ถูกรับเป็นอนุแล้วเจ้ายังอาศัยอะไรมากล้าปฏิเสธเรื่องดีๆ เช่นนี้?!”
ภูตภูเขาหัวเราะเสียงดังสนั่นกึกก้อง “หลังผ่านคืนนี้ไปก็ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว อยู่บนเตียงหรืออยู่ล่างเตียงล้วนเป็นพี่น้องกัน อย่าให้คำพูดแค่ไม่กี่คำมาทำร้ายจิตใจกันเลย เจ้ากับนาง ต่างคนก็ต่างมีดี นายท่านอย่างข้าล้วนรักและถนอมทั้งคู่”
—
ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?
เขาเช็ดปาก จากนั้นก็เอาไปเช็ดลงบนหน้าอกของสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างไม่ใส่ใจ “วันหน้าข้าผู้เป็นนายท่านจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าสามคนเฉกเช่นสตรีอ่อนแอล่างภูเขาเหล่านั้นเด็ดขาด อีกอย่างพวกนางก็ทนรับความรุนแรงอะไรไม่ไหวจริงๆ น่ารังเกียจนักที่พอตายไปแล้วยังไม่กลายเป็นผี ไม่โชคดีเหมือนพวกเจ้า ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็จะได้มีพี่น้องเพิ่มมาอีกหลายคน ที่ศาลเทพภูเขาของนายท่านอย่างข้าจะครึกครื้นเพียงใดกัน?”
สุดท้ายเขาเก็บผ้าเช็ดหน้าที่มอบให้กับผีสาวซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีโตเต็มวัยผู้นั้นมา แล้วก็เพราะอาศัยสิ่งนี้ เขาถึงสามารถ ‘ตามเบาะแส’ มาดักสตรีเจ้าเล่ห์ที่เขาน้ำลายสออยากครอบครองมานานผู้นั้นได้ ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่ที่จวนของนาง ต่อให้โจมตีได้อย่างไม่ง่ายนัก แต่ก็คงได้ไม่คุ้มเสีย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้อะไรมาเลยด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่าตอนนี้เขามีจิตใจทะเยอทะยานอย่างยิ่ง คาดหวังว่าตัวเองจะได้เป็นองค์เทพห้าขุนเขาของแคว้นซูสุ่ย ต่อให้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของสกุลซ่งต้าหลี ตำแหน่งขององค์เทพห้าขุนเขาในวันหน้าไม่อาจเทียบเท่าอดีตได้ แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า อยู่ในถิ่นของตัวเองอย่างแคว้นซูสุ่ยนี้ อย่าว่าแต่สตรีบ้านป่าหรือผีสาวหน้าตางดงามเลย ต่อให้เป็นแม่ย่าลำคลองที่ในอดีตไม่เคยกล้าคิดถึง แล้วจะแตกต่างจากเทพวารีที่ระดับขั้นสูงกว่าตรงไหน? คิดจะครอบครองก็แค่กระดิกนิ้วเรียกมาเท่านั้น
เฉินผิงอันเติมฟืนเข้าไปในกองไฟเพิ่มอีกเล็กน้อย ต่อให้เขาจะทำอย่างเบามือแค่ไหนก็ยังมีเสียงแว่วมาให้ได้ยินอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าเทพภูเขาท่านนั้นไม่ได้ดูมุทะลุวู่วามอย่างที่แสดงออกภายนอก เขาจึงหันมาจับจ้องบัณฑิตแปลกหน้าที่ท่องเที่ยวเดินทางไกลมาถึงที่นี่ทันควัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอโทษที พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ”
เทพภูเขาที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นใหม่ของแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นภูตภูเขาระงับความรู้สึกประหลาดและสงสัยในใจไว้ก่อน ครั้นจึงหันไปยิ้มพูดกับเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งผู้นั้น “เหวยเว่ย เจ้ายอมติดตามข้าแต่โดยดีเถอะ ตกลงไหม? ใช่ข้าว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีเสียหน่อย ตำแหน่งฐานะก็มีให้ รับรองว่าจะทำให้เหมือนเทพภูเขาสู่ขอภรรยา ยกเกี้ยวแปดคนหามมาแบกเจ้ากลับภูเขา ถึงขั้นที่ว่าขอแค่เจ้าเปิดปาก ต่อให้ต้องบอกให้เทพอภิบาลเมืองของอำเภอเป็นคนเปิดทาง ให้เทพเจ้าที่มาหามเกี้ยวให้ ข้าก็สามารถทำให้เจ้าได้!”
ผีสาวที่มีนามว่าเหวยเว่ยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นสูงแล้วแกว่งรองเท้าปักลายบุปผา “เห็นหรือไม่ว่ามันสะอาดแค่ไหน เจ้าลองฉี่แล้วส่องมองตัวเองใหม่ดีไหม?”
ภูตภูเขาจึงผลักสตรีงดงามในอ้อมอกออก เอามือล้วงเข้าไปในกางเกง หัวเราะหึหึกล่าวว่า “ข้าชอบนิสัยอย่างเจ้าเสียจริง ช่วยไม่ได้ คงได้แต่ใช้วิชาอภินิหารของเทพภูเขามาลักพาตัวเจ้าสาวไปทำเรื่องเป็นการเป็นงาน แล้วในอนาคตค่อยจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการให้ก็แล้วกัน อย่าได้โทษข้าเลย เจ้ารนหาที่เองแท้ๆ ด้วยนิสัยสมควรถูกฟาดเช่นนี้ของเจ้า ชื่นชอบก็ส่วนชื่นชอบ ถึงเวลาอยู่บนเตียงเข้าจริงๆ หากไม่ขัดเกลาเจ้าให้ดีสักหน่อย วันหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?!”
เหวยเว่ยตบอกกล่าวว่า “โอ้ย ข้ากลัวจะแย่อยู่แล้ว”
ความคิดในหัวของผีสาวร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกายนางตีกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว “ข้ายินดีเป็นอนุภรรยาของเจ้า เจ้าปล่อยเจ้านายของข้าไปได้ไหม?”
เหวยเว่ยสีหน้าไม่สบอารมณ์ สะบัดชายแขนเสื้อตบให้ผีสาวตนนี้ปลิวกระเด็นไปกระแทกกำแพง ดูจากแรงและท่าทางที่นางใช้ อีกฝ่ายย่อมลอยทะลุกำแพงออกไปเป็นแน่
ภูตภูเขาร่างกำยำกระตุกมุมปาก กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง แม่น้ำและภูเขาพลันพลิกหมุนอย่างว่องไว
ผีสาวร่างสูงโปร่งเหมือนกระแทกลงบนกำแพงเหล็ก จากนั้นก็ร่วงลงพื้นอย่างแรง ชุดสีสันสดใสงดงามที่เกิดจากการใช้เวทอำพรางตัวบนร่างล่องลอยกลายเป็นผุยผง เศษผงส่วนหนึ่งปลิวสลายหายไป นางขดตัวอยู่ในมุม ใช้มือบดบังเรือนกายงดงามส่วนหนึ่งที่เปิดโล่งเอาไว้
ภูตภูเขาหัวเราะเสียงเย็น “เหวยเว่ย วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ยังไม่ยอมรับชะตากรรมอีกหรือ? คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้อาวุโสคือคนโง่ที่ยอมให้เจ้าปั่นหัวเยาะเย้ยเหมือนในปีนั้น?! เจ้ารู้หรือไม่ ในอดีตทุกครั้งที่เจ้าเอ่ยเยาะเย้ยข้า ในใจข้าก็เหมือนถูกสตรีอย่างเจ้าฟาดแส้โบยใส่หนึ่งครั้ง! หลังจากนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า อะไรที่เรียกว่าตีก็เพราะรัก!”
เขายื่นมือออกมากวักหนึ่งครั้ง ในมือก็มีแส้ยาวมีชีวิตชีวาเหมือนเกิดจากการรวมตัวกันของปรอทเงินเข้มข้นเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น และในแส้นั้นยังมีเส้นแสงสีทองที่เล็กบางราวกับเส้นผมอยู่เส้นหนึ่ง ทว่านี่กลับเป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะเทพภูเขาที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องของเขา
เหวยเว่ยไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงชี้ไปยังบัณฑิตชุดเขียวที่อยู่ด้านหลัง “สัตว์เดรัจฉานสกปรกที่ขนยังร่วงไม่หมดอย่างเจ้าเห็นแล้วหรือยัง นั่นคือคนรักที่ข้าเตรียมจะรับเข้ามุ้ง วันนี้ผีอย่างข้าได้ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารักกับบัณฑิตในวัดร้างก็ไม่ขาดทุนแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่อนุญาตให้เจ้าลากข้าลงน้ำก่อนตายนะ เป็นผีแต่ไร้คุณธรรมแบบนี้ มิน่าเล่าคืนนี้ถึงต้องเจอหายนะนี้”
เหวยเว่ยหัวเราะหยันไม่หยุด ไม่สนใจเจ้าคนน่าสงสารด้านหลังที่ต้องตายอย่างมิต้องสงสัยผู้นั้น
อยู่บนภูเขาลูกนี้ เทพภูเขามีความหมายว่าอย่างไร ไม่ต้องอธิบายก็รู้ได้
ฝ่ามือที่ตบออกไปก่อนหน้านั้นถือว่าเมตตาสาวใช้ที่ขายาวแต่ไร้สมองผู้นั้นมากแล้ว เพื่อสาวใช้คนหนึ่ง จะให้ข้าเหวยเว่ยพูดจาโง่ๆ ทำนองว่ายินดีติดตามเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นี้ ขอเพียงให้เขาปล่อยสาวใช้คนหนึ่งไปน่ะหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด นางเหวยเว่ยไม่ใช่พระโพธิสัตว์จิตใจดีงามสักหน่อย ส่วนคนหนุ่มด้านหลังที่มาหาที่ตายถึงที่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็พาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่มีทางสนใจเขา สมควรแล้วที่เขาต้องมาตายอยู่ด้วยกันที่นี่คืนนี้ ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารักกับผายลมน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสมีหน้ามีตามาหลายร้อยปี อยู่ดีๆ จะมอดม้วยไปได้อย่างไร ต่อให้เจ้าสัตว์เดรัจฉานไม่ฆ่าเขา นางก็อยากจะตบเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวอยู่แล้ว ตอนที่เขาถูกเจ้าภูตภูเขานั่นถลกหนังดึงเส้นเอ็นโยนลงกระทะน้ำมันเดือดจะได้ไม่ต้องมาขอบคุณที่นางช่วยให้เขาตายเร็วหน่อย
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ท่านเทพภูเขาท่านนี้ เจ้าได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพภูเขาได้ เพราะใช้เส้นสายของขุนนางบุ๋นในกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบางคนที่อยู่เฝ้าพิทักษ์เมือง หรือว่าเป็นขุนนางแคว้นซูสุ่ยที่รับเงินไปแล้วช่วยติดสินบนให้เจ้า?”
ภูตภูเขาหัวเราะเสียงแปร่งหูชวนขนลุก “รอให้เจ้าตายไปแล้ว หากสามารถกลายมาเป็นผีชางได้ ข้าค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน”
เหวยเว่ยหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “เขาน่ะหรือจะกล้าไปหาคนเถื่อนต้าหลี? คาดว่าทุกวันนี้แค่ได้ยินสองคำว่าต้าหลี ขาที่สามก็อ่อนปวกเปียกแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ภูตภูเขาตวาดกร้าว “เหวยเว่ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ ไม่ถึงสิบวัน ข้าผู้อาวุโสจะต้องทำให้เจ้าเลิกนิสัยชอบถูคันฉ่อง (คำเปรียบเปรยสมัยโบราณหมายถึงผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกัน ภาษาปัจจุบันก็คือเลสเบี้ยน) ให้จงได้!”
ผีสาวร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงมุมกำแพงและผีสาวหน้าตางดงามต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เหวยเว่ยกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเริ่มใคร่ครวญว่าจะทำให้จุดจบจากการใช้ไข่กระทบหินกลายมาเป็นพินาศกันไปทั้งสองฝ่ายได้อย่างไร
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ เอามือปัดฝุ่นบนชุด
พอสมควรแล้ว
โชคไม่เลว ยังมีหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยมารนหาที่ตายถึงที่ด้วย
แต่ดูจากเส้นสีทองที่อยู่ในแส้ยาวเปี่ยมพลังอำนาจก่อนหน้านั้น น่าจะเป็นเพราะร่างทองยังไม่มั่นคง ควันธูปไม่โชติช่วงมากพอ
เฉินผิงอันค้อมตัวไปเปิดหีบหนังสือ
ภูตภูเขาขมวดคิ้ว
เหวยเว่ยเองก็อดไม่ได้ต้องถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว แล้วถึงได้หันหน้ากลับไปมอง ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่ปีนั้นก็สะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นเขาเข้ามาในวัดร้างเช่นเดียวกับตอนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นพยายามจะเอากระบี่ยาวที่เดิมทีวางไว้ในหีบหนังสือมาสะพายไว้ด้านหลัง
พอเห็นสายตาสำรวจตรวจตราของเหวยเว่ย เฉินผิงอันก็ยิ้มตอบว่า “อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือ? ขึ้นเขาลงห้วย หากไม่มีสมบัติติดกายเลย จะเป็นไปได้อย่างไร”
เหวยเว่ยขำคำพูดวางโตไร้ยางอายของเจ้าหมอนี่ยิ่งนัก นางที่ยิ้มจนตาหยีพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “เคยเห็นๆ เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนมาหลายสิบชิ้นเกือบร้อยชิ้นเลยล่ะ”
ภูตภูเขาพลันวางใจลงได้ หากเป็นผู้ฝึกตนที่มีฝีมือจริงๆ ไหนเลยจะต้องแสร้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้า วางมาดใหญ่โตข่มขวัญให้คนกลัวด้วยเล่า
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “สถานที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของลัทธิพุทธแห่งนี้ ไม่เหลือทั้งภิกษุและพระคัมภีร์แล้ว ทว่าบางทีธรรมะอาจยังคงอยู่ ดังนั้นปีศาจจิ้งจอกที่ปีนั้นมีจิตใจดีงามถึงได้รับโชควาสนาที่ไม่เล็ก ได้ติดตาม ‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ออกเดินทางไปทั่วทิศ แล้วพวกเจ้าเล่า?”
มองรอยยิ้มเสียดสีของคนหนุ่มที่สะพายกระบี่
อยู่ดีๆ เหวยเว่ยก็ใจหายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือหนึ่งที หีบไม้ไผ่หายวับไป ถูกเขาเก็บไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น
บิดข้อมืออีกครั้ง ในมือก็มีงอบใบหนึ่งโผล่มา เขาสวมมันลงบนศีรษะ ประคองจับให้เข้าที่
ไม่รู้ว่าเหตุใด ภูตภูเขาที่ถูกรับเข้าสู่ทำเนียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของแคว้นหนึ่งแล้วกลับรู้สึกว่าสองเข่าปวดปร่าขึ้นมา วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเหมือนถูกวิชาเซียนสูงสุดข่มกำราบจนมิอาจโคจรได้เลย
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับปีนั้นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว
หลังจากฝึกวิชาหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเริ่มเก็บเจตจำนงแห่งจิตวิญญาณไว้ภายในได้แล้ว
แม้จะยังไม่สามารถปล่อยและเก็บได้ดังใจปรารถนา แต่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หลั่งไหลออกมาภายนอกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาเยือนวัดโบราณครั้งนี้ เฉินผิงอันหรือจะยังได้พบเจอกับเหวยเว่ยและสาวใช้ที่เป็นวัตถุหยินทั้งสอง ป่านนี้พวกมันคงตกใจเผ่นหนีไปนานแล้ว
นาทีถัดมา
ดวงตารูปผลซิ่งที่งดงามของผีสาวเหวยเว่ยพลันเบิกกว้าง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นไปยืนอยู่ตรงจุดที่ห่างจากเทพภูเขาร่างกำยำหนึ่งกระบี่
ระยะห่างหนึ่งกระบี่พอดี
เพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนผู้นั้นชักกระบี่ออกจากฝัก ปลายกระบี่ตวัดขึ้นด้านบน แทงเข้าที่ใต้กรามของภูตภูเขาตนนั้น แล้วตวัดอีกฝ่ายยกลอยขึ้นจากพื้นดิน
ร่างทองของเทพภูเขาเริ่มเกิดรอยร้าวปริแตกลามไปจำนวนนับไม่ถ้วน
เฉินผิงอันแหงนหน้าขึ้นน้อยๆ “ปีนั้นสังหารปีศาจปลาไหลในลำคลองที่สร้างพิบัติภัยให้แก่คนในพื้นที่ไปตัวหนึ่ง ถึงได้มีเวรกรรมตามติดตัว ถ้าเช่นนั้นหากฆ่าองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำไปองค์หนึ่ง เวรกรรมนั้นก็คงมีแต่จะมากขึ้น ไม่มีน้อยลง”
เหวยเว่ยตระหนกลนทำอะไรไม่ถูก
รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงของมือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นที่ดังขึ้นเนิบช้า
“ไม่เป็นไร ผลกรรมครั้งนี้ ข้ารับไว้แล้ว”
……
ผีสาวเหวยเว่ยถึงขั้นไม่รู้เลยว่าคนผู้นั้นจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผ่านไปนานมากกว่าสติจะกลับคืนเข้าร่างของนาง สมองพอจะแล่นได้แล้ว แต่กลับต้องเหม่อลอยอีกครั้ง ด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ฆ่าตน
แน่นอนว่าถึงท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังไม่รู้ว่ากระบี่เล่มนั้นใช่อาวุธกึ่งเซียนจริงๆ หรือไม่
ในวัดร้าง กลับเป็นผีสาวร่างอวบอิ่มที่เริ่มคุกเข่าโขกหัวร้องอ้อนวอน
ส่วนผีสาวร่างสูงโปร่งก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเหวยเว่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถามเสียงสั่นว่า “นายหญิงตกอยู่ในภวังค์ไม่คืนสติเสียที เซียนซือท่านนั้นเรียกท่าน ท่านก็ไม่ขานรับ เขาจึงให้บ่าวนำความมาบอกแก่นายหญิงว่า วันหน้าพวกเราห้ามมาที่วัดร้างแห่งนี้อีก หากสามารถสะสมบุญในปรโลกได้มากหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร บอกว่าไม่แน่พระโพธิสัตว์ที่อยู่ในวัดแห่งนี้อาจจะกำลังมองดูอยู่ก็เป็นได้”
เหวยเว่ยเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสภาพการณ์ตัวเอง นางลองฝืนโคจรคาถาก็เหมือนคนที่ฝืนชักเท้าสองข้างออกมาจากปลักโคลนได้สำเร็จ สติของนางจึงกลับมาแจ่มชัดดังเดิม นางหอบหายใจเฮือกใหญ่ เป็นผีสาว แต่กลับเหงื่อแตกท่วมร่าง ต้องรู้ว่าทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าปักลายบุปผาของนางล้วนไม่ได้เกิดจากเวทอำพรางตาชั้นต่ำเหมือนสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย
เหวยเว่ยชำเลืองตามองพื้นว่างเปล่าที่เดิมทีควรมีร่างของภูตภูเขานอนอยู่ กลับเห็นว่าบนพื้นนั้นสะอาดสะอ้าน ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว จึงขมวดคิ้วถาม “คนผู้นั้นล่ะ?”
ผีสาวร่างสูงโปร่งส่ายหน้า “พูดจบก็จากไปทันที”
เหวยเว่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจะเตะให้นังสาวใช้แพศยาที่กำลังโขกหัวผู้นั้นสลายกลายเป็นผุยผง เพียงแต่จู่ๆ ก็ดึงรองเท้าปักลายบุปผากลับมา พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “จะเว้นชีวิตเจ้าสักครั้ง! กลับจวนไปรับโทษ!”
นางโบกมือเป็นวงกว้าง “ไป รีบไปซะ!”
เพียงแต่ว่าก่อนจะออกมาจากวัดร้างเก่าโทรม นางที่เดินมาถึงธรณีประตูกลับหมุนตัวกลับ ยกสองมือขึ้นพนม ผีอำมหิตชั่วร้ายที่ไม่เคยเชื่อในพุทธศาสนาตนนี้กลับก้มหน้าลงพึมพำว่า “พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครอง พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครอง…”
สุดท้ายเหวยเว่ยชำเลืองตามองกองไฟที่ยังส่องสว่างด้วยไฟยังไม่มอดดับกองนั้น
แล้วพวกนางก็จากไป กลับไปที่จวนของตัวเอง
หลังจากผีสาวสามตนอย่างเหวยเว่ยจากไป
ผ่านไปนานเท่าไหร่ เงาร่างชุดเขียวก็กลับมาที่วัดโบราณอีกครั้ง ปลดงอบลง ยังคงนั่งลงตรงข้ามกับกองไฟ บางครั้งก็เพิ่มกิ่งไม้เข้าไป เหมือนคนกำลังนั่งเฝ้าคืน
ระหว่างนั้นเขาลุกขึ้นยืนหนึ่งครั้ง จากนั้นมายืนอยู่ในมุมหนึ่งของวัด หลับตาหลง ใช้ท่าจับกระบี่หลอกๆ โบกตวัดกระบี่ไปด้านหน้าเบาๆ หนึ่งที
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
เขาเดินออกจากประตูใหญ่ของวัด มาหยุดอยู่ที่หน้าผา แล้วฝึกเดินนิ่งช้าๆ
หลังออกหมัดเสร็จก็ยืนนิ่ง หันหน้ากลับไปคลี่ยิ้ม
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา แล้วทอดสายตามองไปไกล
ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ทัศนียภาพงดงามดุจภาพวาด
เชื่อว่าฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจะต้องมีดอกท้อผลิบานแดงสะพรั่ง ดอกหลีขาวโพลน ดอกน้ำมันเหลืองอร่ามสดใสอีกครั้ง