Skip to content

Sword of Coming 474

บทที่ 474 ใส่ในไหล้างกระบี่

เฉินผิงอันเพียงแค่มองประเมินไม่กี่ครั้งก็หลีกทางให้

ท่องอยู่ในยุทธภพมานานแล้ว เรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเกี่ยวกับการฝึกตนบนภูเขา ความสารพัดหลากหลายของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ พบเห็นมาบ่อยแล้ว สายตาจึงพอมีแววอยู่บ้าง เรื่องที่ประหลาดจึงไม่ประหลาดอีกต่อไป

ขบวนรถนี้มีทั้งสถานะของตระกูลขุนนางแคว้นซูสุ่ย แล้วก็มีทั้งองค์รักษ์ติดอาวุธเบาคอยคุ้มกัน ตรงหลังของพวกเขาสะพายธนู ตรงเอวห้อยดาบ ส่วนปลายของถุงใส่ลูกธนูมองดูคล้ายหิมะสีขาวที่รวมกันอยู่เป็นก้อน แล้วก็มีเด็กรุ่นหลังในยุทธภพที่ท่วงท่าสุขุมหนักแน่น ห้อยดาบไปในทางตรงกันข้าม

วิธีการพกดาบที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านเหิงเตาทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในนั้นคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ด้านหลังสะพายธนูเขาวัวคันมโหฬาร ซึ่งเฉินผิงอันรู้จักเขาดี คนผู้นี้มีนามว่าหม่าลู่ ปีนั้นตอนที่อยู่ในศาลาริมน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่ ข้ารับใช้ของหวังซานหูผู้นี้เกิดข้อพิพาทกับตน จึงถูกหวังอี้หรานตวาดตำหนิเสียงดัง ในเรื่องของคำสั่งสอนประจำตระกูลหมู่บ้านเหิงเตานั้นไม่นับว่าเลว หวังอี้หรานมีหน้ามีตาอย่างทุกวันนี้ได้ หาใช่พึ่งพาหานหยวนซ่านอย่างเดียวไม่

ในเมื่อเฉินผิงอันรู้เรื่องการค้าระหว่างหมู่บ้านวารีกระบี่กับหานหยวนซ่านแล้ว บวกกับที่การประลองกระบี่ของซูหลางเจออุปสรรค อันที่จริงสถานการณ์ใหญ่ของหมู่บ้านก็ถือว่ามั่นคงดีแล้ว ต่อให้จำอีกฝ่ายได้ เฉินผิงอันก็ยังคงไม่ทำอะไรมาก ไม่เพียงแต่หลีกทางให้ ยังเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในผืนป่าที่ห่างไปไกลช้าๆ มองดูคล้ายจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งที่พอเห็นคนของทางการแล้วก็ยอมอ่อนข้อให้หนึ่งส่วน

หม่าลู่ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ชำเลืองตามองคนที่ผ่านทางมาผู้นั้น สำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดไปคำรบหนึ่งก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีก

ในรถม้าคันหนึ่งมีสตรีนั่งอยู่ด้วยกันสามคน สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งคือภรรยาเอกของฉู่หาว บุตรสาวสายตรงของผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ยคนก่อน ชั่วชีวิตนี้นางมองหมู่บ้านวารีกระบี่และตระกูลซ่งเป็นศัตรูคู่แค้น ปีนั้นฉู่หาวนำทัพใหญ่ของราชสำนักไปล้อมปราบสกุลซ่ง ก็เป็นฉู่ฮูหยินผู้นี้ที่มีคุณความชอบคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง

และยังมีสตรีอีกสองคนที่อายุน้อยกว่า แต่พวกนางต่างก็แต่งกายและทำทรงผมของสตรีที่ออกเรือนแล้ว คนหนึ่งแซ่หาน มีใบหน้าเหมือนเด็ก ยังแฝงความอ่อนเยาว์ไว้หลายส่วน คือน้องสาวของหานหยวนซ่าน นามว่าหานหยวนเสวี๋ย ในฐานะลูกหลานสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉง หานหยวนเสวี๋ยจึงแต่งงานกับบัณฑิตผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้แก้ไขงานด้านเอกสารอยู่นานสามปี ระดับตำแหน่งไม่สูง แค่ระดับหกชั้นโท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ของสำนักฮั่นหลิน อีกทั้งยังเขียนถ้อยคำสดุดีในงานพิธีการทางศาสนาได้อย่างไพเราะ ฮ่องเต้ที่เลื่อมใสในลัทธิเต๋าจึงโปรดปรานเขามากเป็นพิเศษ แล้วยังมีที่พึ่งใหญ่อย่างสกุลหานแห่งภูเขาฉงซานนี่อีก เส้นทางอนาคตจึงถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วว่าต้องถูกปูด้วยผ้าแพร

สตรีสาวแต่งงานแล้วอีกคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยมาดของความองอาจห้าวหาญ นางคือบุตรีโทนของหวังอี้หราน หวังซานหู เมื่อเทียบกับหานหยวนเสวี๋ยที่เป็นสตรีจากตระกูลขุนนางแล้ว บุรุษที่หวังซานหูแต่งงานด้วยนั้นคือบุรุษที่อายุสิบแปดปีก็สอบติดเป็นทั่นฮวา ว่ากันว่าหากไม่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่ชอบเด็กอัจฉริยะถึงได้ผลักอันดับของเขาไปอีกสองอันดับแล้วล่ะก็ เขาย่อมได้เป็นจ้วงหยวนโดยตรง ตอนนี้ก็เป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยแล้ว ในวงการขุนนางที่ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยต่างก็ผลักไสเด็กอัจฉริยะนี้ การที่ได้เป็นขุนนางใหญ่ของเขตการปกครองด้วยวัยเพียงสามสิบปีก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว และตอนนี้อาณาเขตที่สามีของหวังซานหูให้การดูแลก็คือเขตการปกครองชิงซงที่อยู่ติดกับหมู่บ้านวารีกระบี่พอดี อยู่มณฑลเดียวกัน แต่คนละเมืองก็เท่านั้น

การที่ครั้งนี้สตรีทั้งสามคนได้มาพบเจอกัน ฉู่ฮูหยินนั้นเดินทางจากเมืองหลวงมาเพื่อร่วมความครึกครื้นโดยเฉพาะ นางอยากเห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากซูหลางมาประลองกระบี่ด้วยแล้ว ชื่อเสียงของหมู่บ้านวารีกระบี่ในยุทธภพก็จะร่วงดิ่งลงเหวทันที ส่วนหวังซานหูนั้นเดิมทีก็ติดตามสามีมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ฝ่ายของสามีหานหยวนเสวี๋ยที่เป็นจ้วงหยวนกำลังจะได้รับชดเชยเข้าในตำแหน่งที่ขาดแคลน ซึ่งถือว่าเป็นกรณีพิเศษ บางทีอาจจะไม่ได้อยู่ในที่ว่าการหกกรมของต้าหลี แต่ไปเป็นนายอำเภอของอำเภอหลักในมณฑล ในฐานะขุนนางผู้เป็นดั่งพ่อแม่ของชาวบ้านซึ่งมีที่ว่าการอยู่ในมณฑลเดียวกับที่ว่าการเขตการปกครองนั้น ไม่ว่าจะรู้จักวางตัวเข้าสังคมหรือไม่ ก็ล้วนถือว่าเป็นงานย่ำแย่ที่ต้องเหนื่อยทั้งกายและเหนื่อยทั้งใจ

ครั้งนี้หานหยวนเสวี๋ยเดินทางลงใต้มาเยี่ยมเยียนหวังซานหู แน่นอนว่าหวังให้สามีของหวังซานหู ซึ่งในอนาคตก็คือหัวหน้างานของบุรุษตนจะช่วยดูแลกันบ้าง ไม่อย่างนั้นหากผู้ว่าการมณฑลไม่เห็นดีเห็นงาม เจ้าเมืองก็หาเรื่องเล่นงาน ตำแหน่งนายอำเภอของอำเภอหลักที่เป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นผู้นี้ย่อมเป็นดั่งดาบสองคม อันที่จริงในวงการขุนนางมีอยู่จุดหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการละเล่นของเด็กเล็ก ใครที่สวมรองเท้าคู่ใหม่ก็จะต้องถูกคนโน้นคนนี้เหยียบกันคนละทีสองที พอรองเท้าถูกเหยียบจนสกปรกแล้ว ทุกคนก็จะได้เป็นเหมือนกัน ต่างก็ต้องวางตัวสำรวม ไม่แสดงความสามารถ ไม่ฉายประกายออกมา

ฉู่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย ท่าทางน่าสงสาร ต่อให้นางจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เพราะบำรุงตัวเองมาเป็นอย่างดี เสน่ห์แห่งสตรีจึงยังคงอยู่ ไม่เป็นรองให้แก่หญิงสาวอย่างพวกหวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยเลยสักนิด

ก็ไม่แปลกที่ฉู่ฮูหยินจะอดเจ็บใจไม่ได้ เดิมทีคืองิ้วที่น่าสนุกเรื่องหนึ่ง แล้วก็ตีฆ้องตีกลองเปิดม่านการแสดงแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าเศษสวะซูหลางเซียนกระบี่ไม้ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซีผู้นั้นลงมือหาเรื่องคนอื่นถึงสองครั้ง แต่กลับไม่อาจช่วงชิงความได้เปรียบใดๆ มาจากหมู่บ้านวารีกระบี่ได้เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทำให้เจ้าตะพาบเฒ่าที่ครึ่งร่างลงไปอยู่ในดินแล้วอย่างซ่งอวี่เซาผู้นั้นได้ชื่อเสียงดีงามไปไม่น้อย

นางกลัดกลุ้มเป็นกำลัง อดยกมือขึ้นนวดคลึงตรงหัวใจไม่ได้ ชะตาชีวิตของตนช่างรันทดนัก ชีวิตนี้ต้องมาเจอกับบุรุษแล้งน้ำใจถึงสองคน ล้วนไม่มีใครดีสักคน! คนหนึ่งเอาแต่เห็นแก่ส่วนรวม ได้ตัวนางไปแล้ว ยังได้สินสอดก้อนใหญ่ที่เทียบเท่าได้กับเกือบครึ่งหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ยมาอีก ซ้ำร้ายยังดันมาเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว ให้ตายก็ไม่ยอมแตกหักกับซ่งอวี่เซา บอกให้นางรอแล้วรออีก กว่าจะรอจนฉู่หาวรู้สึกว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็มาตายไปเสียนี่

หานหยวนซ่านที่เป็นดั่งนกพิราบยึดครองรังนกกางเขนก็ยิ่งหน้าไม่อายยิ่งกว่าเจ้าสวะฉู่หาวผู้นั้นเสียอีก ปีนั้นหลังจากได้ทั้งกายและใจของนางไปแล้ว เขากลับบอกกับนางตามตรงว่า ชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะแก้แค้นอีกเลย ไม่แน่ว่าวันหน้าสองครอบครัวอาจต้องไปมาหาสู่กันเป็นปกติก็ได้

ยังดีที่ซูหลางมาประลองกระบี่ครั้งนี้ หานหยวนซ่านไม่ได้ปฏิเสธที่นางขอออกจากเมืองหลวงมาชมงิ้ว แต่เขาให้นางรับปากว่าห้ามฉวยโอกาสปล้นสะดมยามไฟไหม้ ห้ามตัดสินใจทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด ได้แต่นั่งดูไฟชายฝั่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากเขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางกายและความผูกพันฉันท์สามีภรรยาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้

ฟังเข้าสิ นี่ใช่คำพูดที่คนควรพูดออกมาไหม?

หลายปีมานี้หานหยวนซ่านอาศัยตัวตนของฉู่หาวยึดครองทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคี ตอนนี้ยังเป็นบุรุษที่มีอำนาจมากที่สุดนอกเหนือจากฮ่องเต้แคว้นซูสุ่ยด้วย แต่เขากลับยังแล้งน้ำใจกับนางถึงเพียงนี้

แต่ว่ายามที่อยู่เพียงลำพัง บางครั้งที่ครุ่นคิดกับตัวเอง หากหานหยวนซ่านไม่ได้ใจจืดใจดำเช่นนี้ เขาก็คงไม่สามารถเดินมาสู่ตำแหน่งสูงได้อย่างทุกวันนี้ และฉู่ฮูหยินอย่างนางก็คงไม่สามารถถูกเหล่าสตรีตระกูลขุนนางที่มีตำแหน่งเป็นฮูหยินตราตั้งในเมืองหลวงพวกนั้นห้อมล้อมเอาใจประดุจดาวล้อมเดือน

หลักการแค่นี้นางยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง

หานหยวนเสวี๋ยเห็นว่าฉู่ฮูหยินอารมณ์ไม่ดีจึงเลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ หวังสูดอากาศผ่อนคลาย

นับตั้งแต่ที่ปีนั้นพี่ชายหายตัวไป อันที่จริงสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงก็เดือดร้อนติดร่างแหเจอกับหายนะใหญ่ ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายไปด้วย บิดาออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ ทางตระกูลปิดประตูทบทวนตัวเองถึงสองปี เพียงแต่ว่าภายหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางถึงได้รู้สึกว่าบุรุษในตระกูลเริ่มมีชีวิตชีวาโลดแล่นในราชสำนักและบนสนามรบได้อีกครั้ง ถึงขั้นเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก นางรู้แค่ว่าฉู่หาวแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกุมอำนาจสำคัญผู้นั้นคล้ายจะสนิทสนมกับสกุลหานอย่างมาก และนางเองก็เคยพบเจอเขาอยู่สองสามครั้ง แล้วก็มักจะรู้สึกว่าสายตาที่แม่ทัพใหญ่ผู้นั้นมองตนประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สายตาที่บุรุษใช้มองสตรีที่ตัวเองถูกใจ กลับเหมือนสายตาที่ผู้อาวุโสมีต่อเด็กรุ่นหลังมากกว่า ส่วนฉู่ฮูหยินที่มีหน้ามีตาที่สุดในเมืองหลวงผู้นี้ก็ยิ่งชอบพานางออกไปท่องเที่ยวชานเมืองในช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน สนิทสนมกับนางเป็นอย่างยิ่ง

ครั้งนี้หลังจากได้ยินข่าวว่าการประลองกระบี่ของซูหลางล้มเหลว อันที่จริงความคิดแรกของฉู่ฮูหยินก็คือกลับเมืองหลวงทันที แต่นางและจวนเจ้าเมืองต่างก็ได้จดหมายลับจากทางเมืองหลวงมาคนละฉบับ ดังนั้นถึงได้มีการออกนอกเมืองในครั้งนี้

จดหมายทางบ้านที่ฉู่ฮูหยินได้รับฉบับนั้น หานหยวนซ่านใช้ถ้อยคำเฉียบขาด บอกกับนางว่าให้นางเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็น ‘ผู้นำฮูหยินตราตั้ง’ ท่ามกลางกลุ่มสตรีทั้งหลายในเมืองหลวงอีก ในเมื่อตอนนั้นนางมาจากยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นก็จงไสหัวกลับยุทธภพไปซะ

ฉู่ฮูหยินทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เจ็บปวดเจียนขาดใจ แล้วจะไม่ให้นางกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ได้อย่างไร

ยังดีที่เด็กรุ่นหลังอย่างหวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยสองคนนี้ให้ความเคารพนับถือนางตลอดมา ในใจนางจึงพอจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

เฉินผิงอันพลันหยุดเท้า เพียงไม่นานในผืนป่าก็มีคนในยุทธภพกลุ่มใหญ่กรูกันออกมา ต่างคนต่างถืออาวุธ เรือนกายแข็งแรงปราดเปรียว

ทางฝั่งของขบวนรถก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของผืนป่าแถบนี้ ทหารม้าฝีมือดีของแคว้นซูสุ่ยที่สวมเกราะเบาทำขึ้นเป็นพิเศษรีบกระจายตัวกันออกไป ปลดธนูที่สะพายไว้ด้านหลังลงมา

ลูกหลานหมู่บ้านเหิงเตาก็ยิ่งไม่หวาดเกรง พวกเขาโอบล้อมรถม้าคันนั้นเอาไว้ ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรู

เฉินผิงอันไม่รู้ความเป็นมาของ ‘นักฆ่า’ กลุ่มนี้ เขามองประเมินทั้งสองฝ่ายคร่าวๆ ก็ไม่อาจพูดได้ว่าใช้ไข่กระทบหินอะไร แต่ย่อมพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย

อาจเป็นเพราะแม่ทัพใหญ่แคว้นซูสุ่ยอย่าง ‘ฉู่หาว’ ที่ถูกรับกลับเข้าวงศ์วานผู้นี้ได้วางแผนร้ายคิดจะยึดครองตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก ชื่อเสียงของเขาไม่ดีจริงๆ จึงถูกจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมในยุทธภพมองเป็นโจรร้ายที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง แต่ละคนจึงคิดจะสังหารเขาให้จงได้ เพียงแต่การสังหารฉู่หาวนั้นยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ สังหารคนข้างกายฉู่หาวกลับพอจะมีโอกาสมากกว่า ‘ฉู่หาว’ สามารถสร้างภาพบรรยากาศเช่นนี้ขึ้นในราชสำนักได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่แคว้นซูสุ่ยกลายเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ในสายตาของราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ฉู่หาวจึงกลายเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ช่วยเหลือขุนนางบุ๋นของต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในแคว้นซูสุ่ยให้ข่มและผลักไสขุนนางบุ๋นที่นิสัยเถรตรงของแคว้นซูสุ่ยหลายคน ท่ามกลางขั้นตอนนี้ แน่นอนว่าฉู่หาวย่อมไม่ถือสาที่จะเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของส่วนตัวอย่างพอเหมาะพอดี นี่จึงยิ่งเป็นการยืนยันสถานะโจรขายชาติของ ‘ฉู่หาว’ มากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าเขาได้สร้างศัตรูไว้มากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะในวงการปัญญาชนหรือยุทธภพ การกวาดล้างคนเลวข้างองค์จักรพรรดิย่อมกลายมาเป็นความนิยมที่สมเหตุสมผล

ฉู่ฮูหยินยกมือขึ้นปิดปากที่อ้าปากหาว เห็นได้ชัดว่าเคยชินกับพวกแมงเม่าที่กระโจนเข้ากองไฟเหล่านี้แล้ว

หานหยวนเสวี๋ยพูดบ่น “คนในยุทธภพพวกนี้ก็ไม่รู้จักเบื่อกันบ้างเลย ดีแต่มาระบายความโกรธแค้นใส่สตรีอย่างพวกเรา นี่จะนับว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรีได้อย่างไรกัน”

หลายปีที่ผ่านมานี้ลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงต้องพบเจอการลอบโจมตีมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว แม้แต่สามีของพี่หญิงซานหูก็ยังถูกคนในยุทธภพลอบฆ่าครั้งหนึ่งเนื่องจากสนิทกับฉู่หาวและคนเถื่อนต้าหลี หากไม่เป็นเพราะมีเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีให้การปกป้องคุ้มครอง พี่หญิงซานหูก็อาจกลายมาเป็นหญิงหม้ายไปแล้ว ดังนั้นพอหานหยวนเสวี๋ยนึกถึงว่าสามีของตนก็ต้องออกจากเมืองหลวง และอาจจะเจอกับศัตรูคู่แค้นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพวกนี้เหมือนกัน นางก็ให้เป็นกังวลอย่างยิ่ง

สายตาของหวังซานหูทอประกายระยิบระยับ นางคันไม้คันมือเต็มที เพียงแต่ว่าเมื่อยื่นมือไปตรงเอวตามจิตใต้สำนึกแล้วลูบเจอเพียงความว่างเปล่า นางก็รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง หลังจากแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่น บิดาก็ไม่อนุญาตให้นางฝึกวรยุทธและพกดาบอีกแล้ว

คราวก่อนนางเดินทางไปขอฝนจากศาลเทพวารีในเขตการปกครองพร้อมกับสามี ตอนที่เดินทางกลับจวนก็เจอกับการลอบฆ่าครั้งหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นนางไม่ได้พกดาบ และสุดท้ายนักฆ่าคนนั้นไม่อาจเข้ามาประชิดตัวได้ หลังจากนั้นมาหวังอี้หรานก็ยังไม่อนุญาตให้นางพกดาบ เพียงแต่ดึงตัวยอดฝีมือในหมู่บ้านอีกหลายคนเพื่อให้มาคอยคุ้มกันบุตรสาวและบุตรเขยที่เขตการปกครองชิงซง

เหล่าผู้กล้าของแคว้นซูสุ่ยที่สาบานว่าจะสังหารโจรชั่วขายชาติมีประมาณสามสิบกว่าคน น่าจะมาจากสำนักบนภูเขาที่แตกต่างกัน ต่างคนต่างมากันเป็นกลุ่ม

สภาพการณ์ของเฉินผิงอันค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน เขาได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแสร้งทำเป็นดื่มเหล้า หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าเมื่อศึกใหญ่เกิดขึ้นแล้วตนจะตกเป็นเป้าของทั้งสองฝ่าย

ส่วนเรื่องที่จะขัดขวางไม่ให้คนเหล่านี้สละตนเพื่อผดุงความชอบธรรมนั้น เฉินผิงอันไม่คิดจะทำ

น่าจะเป็นเพราะเฉินผิงอันไม่กระดุกกระดิก รู้จักกาลเทศะอย่างยิ่ง เหล่าผู้กล้าในยุทธภพทั้งหลายจึงไม่ได้ถือสาเขา พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางที่บุกพุ่งไปด้านหน้าโดยอ้อมผ่านเฉินผิงอันออกไปคล้ายตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา

แล้วจู่ๆ ก็มีมือดาบวัยกลางคนคนหนึ่งที่วิ่งผ่านเฉินผิงอันไปแล้วตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “หมู่บ้านวารีกระบี่ขอสังหารกลุ่มโจรกบฏฉู่ ณ ที่แห่งนี้!”

เฉินผิงอันรู้สึกเอือมระอาเล็กน้อย

นี่เห็นได้ชัดว่าจะบีบให้หมู่บ้านวารีกระบี่และอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยเดินไปสู่ทางตาย จำต้องออกมาปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง แล้วเข่นฆ่ากับหมู่บ้านเหิงเตาให้ตายกันไปข้าง เพื่อที่จะบอกให้ฉู่หาวรู้ว่าเขาไม่อาจรวบรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งได้แล้ว

เป็นทั้งแผนการลับ แล้วก็เป็นทั้งแผนการที่เปิดเผย

ขอแค่วันนี้ทั้งสองฝ่ายมีคนตาย หมู่บ้านวารีกระบี่ก็จะกลายเป็นคนที่ดินเหลืองเปื้อนติดเต็มกางเกง ต่อให้ไม่ใช่ขี้ก็ถูกคนมองเป็นขี้ ยิ่งคนตายมากเท่าไหร่ หมู่บ้านวารีกระบี่ก็จะยิ่งถูกหามขึ้นไปบนกองเพลิงกองใหญ่อย่างยุทธภพมากเท่านั้น พวกเขาจะต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ถึงเวลานั้นทั้งยุทธภพและวงการปัญญาชนของแคว้นซูสุ่ยจะต้องเหมือนถูกฉีดยากระตุ้น พากันตีฆ้องร้องป่าวสู้สุดชีวิตกับหมู่บ้านวารีกระบี่และผู้อาวุโสซ่ง

เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย ร่างของเขาเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ชั่วพริบตาก็ถอยกรูดออกไป แล้วเสี้ยววินาทีเฉินผิงอันก็มาหยุดอยู่ข้างกายของมือดาบแห่งยุทธภพคนนั้น เขายกฝ่ามือขึ้นกดลงบนหน้าของคนผู้นั้น เพียงผลักเบาๆ ร่างของอีกฝ่ายก็ปลิวหวือออกไปสิบกว่าจั้ง พอกระแทกพื้นก็หมดสติไปทันที ลุกไม่ขึ้นอีก

จากนั้นเฉินผิงอันก็ถอยกรูดไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายพลิ้วกายอยู่ระหว่างสองฝ่ายพอดี ทั้งสกัดขวางทหารม้าฝีมือดีของขบวนรถที่อยู่ด้านหลัง แล้วก็ทั้งขัดขวางไม่ให้เหล่าผู้กล้าในยุทธภพเหล่านั้นกระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ

ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกอากาศออกไป สาดยิงไปยังคนในยุทธภพที่เป็นผู้นำหลายคน

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อครั้งเดียว ลูกธนูสามดอกก็ร่วงดิ่งลงเบื้องล่างแล้วปักลงพื้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทันที

หลังจากที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งหยุดเท้าแล้วก็ใช้ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังคนหนุ่มชุดเขียวสวมงอบผู้นั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคือสุนัขรับใช้พรรคฉู่อย่างนั้นหรือ?! เหตุใดต้องขัดขวางไม่ให้หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราสังหารโจรร้ายผดุงคุณธรรม!”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “กลับไปเถอะ คราวหน้าหากคิดจะฆ่าคนก็อย่าเอาชื่อของหมู่บ้านวารีกระบี่มาแอบอ้างอีก”

ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลันตะโกนขึ้นเสียงดัง “ฉู่เยว่อี้ ในฐานะลูกบุญธรรมของพ่อบ้านเฒ่าฉู่ ยิ่งเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดีสังหารศัตรูพร้อมกับพวกเรา? ช่างเถิด เจ้าฉู่เยว่อี้มีปณิธานอยู่บนจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่ พวกเราสามารถอภัยให้ได้ แต่พวกเราไม่กลัวตาย ดังนั้นวันนี้จึงไม่ขอให้เจ้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรา ขอแค่เจ้าหลีกทางให้พวกเราก็พอ!”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผู้อาวุโสช่างมีแผนการแยบยลยิ่งนัก แล้วก็จริงดังคาด พอกลุ่มทหารม้าด้านหลังได้ยินว่าเขาคือ ‘ฉู่เยว่อี้’ แห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ ห่าลูกธนูรอบที่สองก็พร้อมใจกันสาดยิงเข้ามาหาเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายฉกรรจ์ร่างกำยำนามหม่าลู่ผู้นั้นที่ควบม้าออกมา ไม่พูดจาให้เสียเวลาแม้สักครึ่งคำก็ปลดคันธนูเขาวัวที่สะดุดตาอย่างยิ่งคันนั้นลง เขาที่นั่งอยู่บนม้าสูงง้างธนูสุดแรงเหนี่ยว ลูกธนูเหล็กกล้าที่ทำขึ้นเป็นพิเศษหอบเอาพลานุภาพแห่งสายลมและสายฟ้าพุ่งแหวกความว่างเปล่าตรงเข้าหาแผ่นหลังที่ขวางหูขวางตานั่นโดยตรง

เทพภูเขาในพื้นที่ที่เคยโชคดีได้ดื่มเหล้ากับ ‘เซียนกระบี่’ ผู้นั้นเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เขาที่อยู่ในศาลเทพภูเขาเริ่มเสียใจภายหลังแล้วที่ตนโคจรวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตตรวจสอบแม่น้ำภูเขาในเขตการปกครอง

ครั้งนั้นของปีนั้นก็พอๆ กับเวลานี้ ผู้ฝึกยุทธจากแผ่นดินกลางที่มาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่สนใจการลอบสำรวจตรวจสอบของเขาแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าหลังจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตสูงส่งจนเกินจะคาดเดาผู้นั้นได้ฝักกระบี่ไม้ไผ่ชิ้นนั้นไป ขณะที่เขากำลังบังคับลมออกเดินทางไกลก็ได้ปล่อยหมัดหนึ่งลงมาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ต่อยให้ยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับศาลเทพภูเขาปริแตก ทำเอาเทพภูเขาที่ระดับขั้นไม่ต่ำแห่งแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงหาย

ในสายตาของเทพภูเขาที่ตำแหน่งเทพเป็นรองแค่ห้าขุนเขาของแคว้นซูสุ่ยท่านนี้ ญาติและสตรีในครอบครัวของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว บวกกับคนยุทธภพที่ตะโกนก้องว่าจะสังหารคนกลุ่มนั้น ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นพวกที่ไม่รู้จักกลัวตาย พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองกำลังหาเรื่องใครอยู่กันแน่

ตอนนี้ซูหลางคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นซูสุ่ย แคว้นไฉ่อีเป็นหนึ่งในนั้น แต่แล้วอย่างไรเล่า? คิดว่าตัวเองเป็นเซียนกระบี่จริงๆ งั้นหรือ? ไม่รู้เลยหรือว่าเหนือภูเขายังมีภูเขา? จงจำไว้เถิดว่าบนโลกใบนี้ยังมีผู้ฝึกตนที่หลุบตาต่ำมองโลกมนุษย์ด้วยสายตาเย็นชาอยู่!

ดังนั้นผลลัพธ์เป็นอย่างไร ครั้งที่อยู่ซุ้มป้ายหินของเมืองเล็ก เผชิญหน้ากับเซียนกระบี่ไผ่เขียว ก็เป็นแค่เรื่องหมัดเดียวของคนเขาเท่านั้น เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ไม่ได้ออกกระบี่ด้วยซ้ำ ส่วนหลังจากนั้นที่ซูหลางวิ่งไปชดใช้ความผิดที่หมู่บ้านวารีกระบี่ วางตัวสำรวมลดสถานะให้ต่ำลง กว่าจะได้รับความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นก็เพียงแค่เพราะเซียนกระบี่หนุ่มยอมไว้หน้าซูหลางเท่านั้น ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ชื่อเสียงของซูหลางก็คงจบสิ้นแล้ว

เทพภูเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้เด็ดขาด

ใส่น้ำเต้าล้างกระบี่

หานหยวนเสวี๋ยที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กกระตุกชายแขนเสื้อของหวังซานหู เอ่ยถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงซานหู นั่นคือยอดฝีมือหรือ?”

หวังซานหูพยักหน้ารับ “ไม่แน่ว่าอาจจะมีคุณสมบัติพอจะประมือกับท่านพ่อข้าได้”

แล้วหวังซานหูก็พูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยคอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทำให้ท่านพ่อข้าออกแรงเต็มกำลังได้ แต่คนรุ่นหลังในยุทธภพที่สามารถทำให้ท่านพ่อข้าออกแรงได้เจ็ดแปดส่วนก็มากพอจะเอาไปคุยโวได้ตลอดชีวิตแล้ว”

หานหยวนเสวี๋ยเอาจริงเอาจังอย่างมาก นางเอ่ยอย่างตกตะลึง “แต่คนผู้นั้นมองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก เขามีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเป็นอย่างที่เขียนไว้ในนิยายของชาวยุทธที่บอกว่า กินพืชพรรณวิเศษที่สามารถเพิ่มกำลังภายในเป็นเวลาหกสิบปี? หรือว่าเขาเคยตกจากหน้าผาแล้วได้รับวิชาลับในการเรียนวรยุทธไปหนึ่งหรือสองเล่ม?”

หวังซานหูพูดไม่ออก

ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงไม่เคยมีเรื่องดีงามเช่นนี้หรอก

ผู้ที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาต่างหากถึงจะมีโชควาสนาไร้เหตุผลที่ชวนให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาถึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ละคนเชิดจมูกขึ้นฟ้า ดูแคลนคนในยุทธภพ

ต่อให้เป็นวีรบุรุษใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยมาดองอาจอย่างบิดานาง ตอนที่พูดถึงเทพเซียนที่อยู่เหนือโลกีย์เหล่านั้น น้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ

ฉู่ฮูหยินฟังถ้อยคำไร้เดียงสาของหานหยวนเสวี๋ยด้วยความเพลิดเพลิน สตรีสกุลหานผู้นี้ไม่มีส่วนใดที่เป็นประโยชน์ ความสามารถเดียวก็คือชะตาชีวิตดี คนโง่มีโชคของคนโง่ ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดี จากนั้นยังได้มีพี่ชายอย่างหานหยวนซ่าน สุดท้ายยังได้แต่งงานกับบุรุษที่ดี คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ช่างทำให้คนโมโหตายได้ดีจริงๆ ดังนั้นสายตาของฉู่ฮูหยินจึงชำเลืองมองไปยังหานหยวนเสวี๋ยที่มองไปยังสนามรบด้านนอกอย่างมีสมาธิ ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้คนโมโหอยู่ในใจจริงๆ สตรีแต่งงานแล้วท่านนี้กำลังใคร่ครวญว่าควรจะหาเรื่องให้นังเด็กนี่ลำบากนิดๆ หน่อยๆ ดีหรือไม่ แน่นอนว่าต้องกะกำลังไฟให้เหมาะสม ต้องทำให้ตัวหานหยวนเสวี๋ยเองเป็นดั่งคนใบ้ที่กินหวงเหลียน ไม่อย่างนั้นหากหานหยวนซ่านรู้เข้าว่านางกล้าทำร้ายน้องสาวของเขา เขาคงถลกหนังของ ‘ฮูหยินเอก’ อย่างนางออกมาหนึ่งชั้นแน่นอน

ฉู่ฮูหยินหาวไม่หยุด ชำเลืองตามองเหล่าผู้กล้าในยุทธภพเหล่านั้นแล้ว มุมปากก็ตวัดขึ้น เอ่ยพึมพำว่า “ช่างเป็นปลาโง่ที่มาติดเบ็ดง่ายจริงๆ แต่ละคนเอาเงินมาส่งให้ทั้งนั้น ท่านสามี ภรรยาดีๆ ที่เก่งกาจเรื่องการครองเรือนอย่างข้า ต่อให้ส่องไฟหาก็ยังหาได้ยากนัก”

คนของทั้งสองฝ่ายต่างก็มองไม่ออกว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นลงมืออย่างไร ลูกธนูสามดอกก็ถูกกุมไว้ในมือของเขาแล้ว

วิชาการยิงธนูของหม่าลู่แห่งหมู่บ้านเหิงเตาขึ้นชื่อว่าเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นซูสุ่ย ได้ยินมาว่าในกลุ่มของคนเถื่อนต้าหลีก็มีแม่ทัพบู๊ในสนามรบคนหนึ่งที่หวังว่าหวังอี้หรานจะตัดใจมอบหม่าลู่ให้เข้าร่วมกองทัพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด หม่าลู่ถึงยังอยู่ในหมู่บ้าน ยอมสละความสูงส่งร่ำรวยที่เพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองทิ้งไป

หัวหน้าทหารม้าคนหนึ่งชูมือขึ้นสูงหยุดยั้งการยิงธนูในรอบถัดไปของทหารบู๊ใต้บังคับบัญชา เพราะไม่มีความหมายใดๆ เมื่อผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตปรมาจารย์ในยุทธภพแล้ว เว้นเสียจากว่ากองกำลังของฝ่ายตนเองมีมากพอ หาไม่แล้วก็มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับตัวเอง ซ้ำเติมตัวเองในทุกๆ ด้าน หัวหน้าทหารม้ามีฝีมือผู้นี้หันหน้าไปมอง ไม่ได้มองหม่าลู่ แต่มองผู้เฒ่าท่าทางนิ่งขรึมไม่สะดุดตาสองคน นั่นคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ทางราชสำนักแคว้นซูสุ่ยจัดตั้งขึ้นตามกฎของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี มีสถานะขุนนางที่มีระดับขั้นแน่นอน คนหนึ่งคือองค์รักษ์ที่ติดตามฉู่ฮูหยินเดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้ ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนของจวนเจ้าเมือง เมื่อเทียบกับหม่าลู่ที่เป็นคนของหมู่บ้านเหิงเตาแล้ว สองท่านนี้ต่างหากจึงจะเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง

ผู้ฝึกตนเฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งในนั้น ตลอดทางที่ขี่ม้ามานี้ก็ราวกับว่ากระดูกทั้งร่างของเขาจะแยกหลุดจากกันได้ตลอดเวลา ทว่าทันใดนั้นพลังอำนาจทั่วร่างของเขากลับระเบิดออกเหมือนประทัดที่ถูกจุด กระบี่ยาวตรงเอวสั่นสะเทือนร้องครวญไม่หยุด

ท่ามกลางกลุ่มของชาวยุทธที่คุมเชิงอยู่ ‘คนละฝั่ง’ กับขบวนรถ สตรีร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงามคนหนึ่งมีแต่ความสิ้นหวังเต็มใบหน้า พูดขึ้นเสียงสั่นว่า “นั่นคือเซียนกระบี่บนภูเขา!”

เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าหน้าตาธรรมดาคนนั้นกระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ เขาปล่อยให้กระบี่ออกจากฝักมาอย่างไม่รีบร้อน เสียงครูดของโลหะดังเสียดสีกันชวนให้คนใจสั่นสะท้าน

ผู้เฒ่าควบม้าเดินมาข้างหน้าช้าๆ สายตาจดจ้องมือกระบี่ชุดเขียวที่สวมงอบคนนั้นเขม็ง “ข้าผู้อาวุโสรู้ว่าเจ้าไม่ใช่ฉู่เยว่อี้แห่งหมู่บ้านวารีกระบี่อะไรนั่น จงรีบถอยออกไปซะ แล้วจะเว้นชีวิตเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เทพเซียนลงมาจากภูเขาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเข้าเมืองตาหลิ่วก็ควรต้องหลิ่วตาตาม มีอะไรก็พูดจากันดีๆ”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้ารีบร้อนอยากไปเกิดใหม่งั้นรึ?”

ยุทธภพในแคว้นซูสุ่ยเล็กๆ จะมีน้ำหนักสักกี่ตำลึงกันเชียว?

หากซูหลางแห่งแคว้นซงซีหรือซ่งอวี่เซาแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่มาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ยินดีจะให้ความเคารพสักสองสามส่วน แต่คนหนุ่มเด็กรุ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แม้จะแข็งแกร่งก็จริง แต่เขาดีดนิ้วทีเดียวก็สิ้นชื่อแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่เขาออกกระบี่ไม่ได้ ขอแค่ไม่ใช่ลูกหลานของหมู่บ้านวารีกระบี่ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มียันต์คุ้มกันกาย ฆ่าไปก็ตายเปล่า แม่ทัพใหญ่ฉู่มาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า เดินทางลงใต้ครั้งนี้ห้ามเกิดข้อพิพาทกับซ่งอวี่เซาและหมู่บ้านวารีกระบี่เด็ดขาด ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพก็ดี ผู้ฝึกตนอิสระที่ไล่เก็บหาของดีไปทั่วก็ช่าง ฆ่าจนคมกระบี่ม้วนตลบก็ล้วนถือว่าเป็นคุณความชอบทางการทหารทั้งสิ้น

เฉินผิงอันหันหน้ามาโบกมือให้ชาวยุทธทั้งหลาย พลางอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ไปเถอะ คิดดูแล้วพวกเจ้าเองก็คงมองออก ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยได้ ข้ายังคงยืนยันคำเดิม วันหน้าหากคิดจะผดุงคุณธรรม สังหารคนพรรคฉู่อะไรนั่น จะทำให้คนบริสุทธิ์เดือดร้อนหรือไม่ คาดว่าพวกเจ้าเองคงไม่ยินดีจะคิดให้มากความ ถ้าอย่างนั้นก็ขอแนะนำพวกเจ้าว่าอย่าเอาชื่อของหมู่บ้านวารีกระบี่มาใช้ คุณธรรมในยุทธภพควรต้องมีกันบ้าง ไม่ใช่คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมแล้วจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้”

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ขี่ม้าเดินหน้ามาตลอดเวลาเคลื่อนตัวผ่านขบวนรถมาแล้ว อยู่ห่างจากมือกระบี่ชุดเขียวไม่ถึงสามสิบก้าว เขาหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าพวกแมลงในยุทธพเหล่านี้คิดจะจากไปก็ต้องเดินไปให้ได้ก่อน ข้าผู้อาวุโสอนุญาตแล้วหรือ? รู้หรือไม่ว่าหัวของคนเหล่านี้แลกเงินมาได้กี่มากน้อย? เจ้าคนที่ถูกเจ้าช่วยตีจนสลบไปผู้นั้น อย่างน้อยก็มีค่าถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สตรีที่สายตาไม่เลว รู้จักเรียกข้าผู้อาวุโสด้วยความเคารพว่าเซียนกระบี่ผู้นั้น เจ้าคงจะรู้จักอยู่บ้างกระมัง ไม่รู้ว่ามีบุรุษในยุทธภพมากน้อยแค่ไหนที่ต่อให้ฝันก็ยังอยากจะเป็นม้าที่อยู่ใต้ก้นของนาง อยากจะถูกนางควบขี่สักครั้ง หญิงหม้ายผู้นี้ สามีของนางคือผู้กล้าคนหนึ่งที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีไปได้ถึงสองคน เป็นเหตุให้หลังจากบุรุษผู้นั้นตายไป หญิงหม้ายอย่างนางจึงมีชื่อเสียงบารมีอยู่ในแคว้นซูสุ่ยของพวกเจ้าอย่างมาก คาดว่าหัวของนางน่าจะมีค่ามากถึงหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเลยทีเดียว”

เฉินผิงอันฟังผู้เฒ่าพูดจ้อแล้วกำหมัดเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นความร้อนรุ่มที่อยากออกหมัดชักกระบี่โดยเร็วขุมนั้นในใจลงไป

ก่อนจะออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว การป้อนหมัดครั้งสุดท้ายของผู้เฒ่าชุยเฉิงบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ นอกจากจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดให้เฉินผิงอันดูแล้ว ยังมีคำพูดประโยคหนึ่งของเขาที่มีน้ำหนักอย่างยิ่ง

‘เฉินผิงอัน เจ้าควรตั้งใจฝึกฝนจิตใจแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นชุยเฉิงคนที่สอง หากไม่เป็นบ้า ก็คงต้อง…อนาถยิ่งกว่านั้น นั่นคือธาตุมารเข้าแทรก ตอนนี้เจ้าชอบใช้เหตุผลมากเท่าไหร่ เฉินผิงอันในวันพรุ่งนี้ก็จะยิ่งไม่ชอบใช้เหตุผลมากเท่านั้น’

เฉินผิงอันเอามือจับประคองงอบ กวาดตามองไปรอบด้าน อากาศคือฤดูใบไม้ร่วง จิตใจก็เยือกเย็น รวมกันก็เป็นคำว่ากลุ้มพอดี (ฤดูใบไม้ร่วงภาษาจีนคือคำว่า 秋 จิตใจเยือกเย็นในประโยคนี้ก็ใช้คำว่า 秋 เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่ากลุ้ม ภาษาจีนคือคำว่า 愁 ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร 秋 และด้านล่างคือตัวอักษร 心 ที่แปลว่าหัวใจ)

ควรจะต้องมีวิธีในการแก้ไขคลี่คลายสักหน่อย

เฉินผิงอันถอนสายตากลับคืนมา มองไปยังผู้ฝึกกระบี่เฒ่าบนภูเขาคนนั้น “ในเมื่อมีกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ออกกระบี่”

ผู้เฒ่าชำเลืองตามองจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จากนั้นก็ทอดสายตาออกไปไกลอีกนิด มองไปยังสตรีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพของหนึ่งแคว้นผู้นั้น “ข้าผู้อาวุโสก็คือเซียนกระบี่งั้นหรือ? ยุทธภพแคว้นซูสุ่ยของพวกเจ้าช่างน่าขำจริงๆ แต่ว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว คิดได้แบบนี้ก็เหมือนว่าจะไม่ผิดเท่าไหร่”

กระบี่ยาวออกจากฝักพร้อมเสียงครูดของโลหะ

พลังอำนาจประดุจสายฟ้าที่ผ่าปลาบลงมา

ส่วนมือทั้งสองของผู้เฒ่านั้นยังคงกุมเชือกบังคับบังเหียนม้าเอาไว้ ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์

หนึ่งกระบี่พุ่งออกไป เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายที่ไม่ว่าจะเป็นฝั่งคนกันเองหรือฝังศัตรูก็ล้วนรู้สึกว่าเยื่อแก้วหูส่งเสียงดังอื้ออึง จิตใจสั่นสะท้าน

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกคนหนึ่งที่มาจากจวนตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยกลับสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี

เห็นเพียงว่ามือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นเขย่งปลายเท้าขึ้นไปเหยียบอยู่บนปลายกระบี่ที่บินออกจากฝักโดยตรง จากนั้นก็ยกเท้าราวกับคนเดินขึ้นบันได เป็นเหตุให้กระบี่ยาวเอียงปักลงดินไปเกือบครึ่งเล่ม ส่วนคนหนุ่มก็ยืนอยู่บนด้ามกระบี่ทั้งอย่างนั้น

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ออกกระบี่กุมหมัดเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยที่ข้าน้อยล่วงเกิน”

ออกกระบี่เร็ว ก้มหัวยอมรับผิดก็เร็วเช่นกัน

ท่ามกลางความลี้ลับครั้งนี้ เกรงว่าคงมีเพียงผู้ฝึกตนของสองฝ่ายและคนที่ชมศึกผู้นั้นที่มองออก

เฉินผิงอันก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว พลิ้วกายกลับลงบนพื้นอีกครั้ง เขาเหยียบกระบี่ยาวให้แนบติดพื้น แล้วปาดเท้าไปข้างหน้าหนึ่งที ปลายกระบี่ยาวหันชี้เข้าหาตัวเขา จากนั้นเขาก็ถอยหลังกรูดออกไป กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่ยาวหยุดชะงักก่อน จากนั้นก็พุ่งขึ้นกลางอากาศเป็นเส้นตรง เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกไปประกบ บิดหมุนหนึ่งรอบ ใช้วิชาบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ผลักกระบี่ยาวเล่มนั้นกลับเข้าฝัก ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่กุมหมัดอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นพูดต่อว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่คืนกระบี่ให้…”

มือข้างที่บังคับกระบี่ของเฉินผิงอันถูกดึงกลับมาแล้ว เขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง เปลี่ยนมาประกบสองนิ้วของมือซ้าย ระหว่างสองนิ้วนั้นมีเส้นแสงเจิดจ้าบาดตายาวประมาณชุ่นกว่าไหลเวียนวน

เฉินผิงยิ้มกล่าว “ต้องมีการตอบแทนอย่างงาม?”

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสีหน้าไร้อารมณ์ ชายแขนเสื้อสองข้างสั่นสะเทือน

สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งได้ ต่อให้เมื่อเทียบกับบรรดาผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์แล้วจะถือว่าเป็นพวกที่ทึ่มทื่อ แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ จิตใจ พรสวรรค์ วิธีการเข่นฆ่าสังหารล้วนโดดเด่นเหนือใครในบรรดาของผู้ฝึกตน เมื่ออยู่ล่างภูเขาผู้คนพิถีพิถันในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนทั้งบุ๋นและบู๊ เมื่ออยู่บนภูเขา ก็ยิ่งพิถีพิถันในด้านการเรียนวิชาร้อยเมธี ฝึกฝนขัดเกลากระบี่ คำกล่าวที่ว่ากระบี่บินกินภูเขาทองทั้งลูกในคำเดียวนั้นก็แทบจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทุกเล่มของผู้ฝึกกระบี่บนโลก

และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้ ความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่ความคมกริบซึ่งหนึ่งกระบี่สามารถทลายหมื่นอาคม ถึงขั้นไม่มีความเร็วในระดับที่กระบี่บินสมควรมี แต่อยู่ที่วิถีโคจรที่แปลกประหลาด ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง รวมไปถึงเวทลับการคัดลอกที่ราวกับว่าใช้กระบี่บินก่อกำเนิดกระบี่บิน

เพียงชั่วพริบตา

บริเวณโดยรอบของมือกระบี่ชุดเขียวที่ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินเล่มหนึ่งเอาไว้ก็มีกระบี่บินลักษณะเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนลอยขึ้นมาสิบสองเล่ม โอบล้อมเขาให้อยู่ในวง ตำแหน่งที่กระบี่แต่ละเล่มหยุดนิ่งมีระดับสูงต่ำต่างกัน ทว่าปลายกระบี่ทุกเล่มล้วนชี้เข้าหาช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแต่ละช่องของมือกระบี่ชุดเขียวโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่รู้ว่าเล่มไหนที่เป็นเล่มจริง หรือว่าทั้งสิบสองเล่มนี้ล้วนเป็นของจริงทั้งหมด? กระบี่บินสิบสองเล่ม ระดับความเฉียบคมของคมกระบี่ก็มีแข็งแกร่งและอ่อนด้อยไม่เท่ากัน นี่ก็คือความไม่พอเพียงหนึ่งเดียวของเวทลับการคัดลอก เพราะมันไม่สามารถทำให้กระบี่บินอีกสิบเอ็ดเล่มที่เหลือเลียนแบบความแข็งแกร่งจากเล่มที่เป็น ‘บรรพบุรุษ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้ฝึกตนที่ชมศึกขมวดคิ้ว วิธีการนี้สหายร่วมงานไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน นี่น่าจะถือเป็นความสามารถก้นกรุของเขาแล้ว

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เชี่ยวชาญวิชาแห่งยันต์และค่ายกล เมื่อเขาลองเอาตัวเข้าไปไว้ในสถานการณ์ ลองเปลี่ยนให้ตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับคนหนุ่มผู้นั้น คาดว่าก็คงยากที่จะหนีพ้นจุดจบที่อย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเกือบตายไปได้

ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองต่อสู้อยู่กับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง แต่กลับยังกล้าประมาทเช่นนี้ ใช้สองนิ้วกักกันกระบี่บิน คนหนุ่มผู้นั้นช่างทระนงตนเกินไปแล้วจริงๆ

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอย่างพวกเขาสองคน คนหนึ่งคือเทพเซียนขอบเขตประตูมังกร อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทร ต่างคนต่างเป็นผู้ถวายการรับใช้แก่ฉู่หาวและเจ้าเมืองเขตการปกครองชิงซง อันที่จริงนี่ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลังที่เป็นแค่เจ้าเมืองของพื้นที่หนึ่ง นี่ก็เหมือนการให้อริยะลัทธิขงจื๊อผู้มีความรู้ความสามารถดั่งเทพบนสวรรค์มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับนักเรียนชั้นประถม แต่ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวมีอำนาจล้นเหลือในราชสำนัก เขาไม่ใช่บุคคลที่เห็นแก่ส่วนรวมไม่คิดฉกชิงผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีฝีมือแทบทุกคนล้วนถูกจัดให้มาอยู่ข้างกายฉู่หาวเองและคนสนิทของเขา การได้รับปฏิบัติเช่นนี้เรียกได้ว่าสูงส่งเหนือกว่าเชื้อพระวงศ์ของแคว้นซูสุ่ยไปแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ายิ้มบางๆ สำเร็จแล้ว!

แต่นาทีถัดมา รอยยิ้มของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็แข็งค้าง

มือข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังของคนหนุ่มผู้นั้นถูกเขาปล่อยเป็นหมัดต่อยลงบนจุดที่มองดูเหมือนว่างเปล่าไร้ประโยชน์

เลือดซึมออกมาจากมุมปากของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าทันที

กระบี่บินสิบสองเล่ม สิบเล่มในนั้นที่อาศัยแค่การเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เหลือกระบี่แค่สองเล่มสุดท้าย เล่มหนึ่งยังคงถูกพันธนาการอยู่ระหว่างนิ้วของมือซ้ายคนผู้นั้น และกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งก็คือกระบี่ที่ซุกซ่อนจิตสังหารของจริง หาใช่ใช้เวทอำพรางตาไม่ บัดนี้กลับถูกพายหมัดที่ไหลทะลักออกมาจากทั่วร่างของคนผู้นั้นสกัดกั้นเอาไว้ แล้วก็เห็นได้ชัดว่าชุดสีเขียวที่มือกระบี่หนุ่มสวมใส่คือชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นสูงมากตัวหนึ่ง ปราณวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่ตรงจุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปก็ยิ่งทำให้กระบี่บินสั่นสะท้าน ถูกปฏิเสธให้อยู่เพียงภายนอกเท่านั้น

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ระหว่างร่องนิ้วของเขาแล้วพึมพำกับตัวเอง “ควรจะไปที่อุตรกุรุทวีปเพื่อไปพบเห็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงแล้ว ได้ยินนางบอกว่า สถานที่ที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุดแห่งนั้น มีวีรบุรุษผู้กล้าเผยกายมามากมายนับแต่โบราณ”

เฉินผิงอันสะบัดนิ้ว โยนกระบี่บินที่อยู่ระหว่างนิ้วเล่มนั้นไปไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บนโลก นอกจากจะสามารถหล่อเลี้ยงกระบี่แล้ว อันที่จริงก็สามารถชำระล้างกระบี่ได้ด้วย เพียงแต่ว่าคิดจะชำระล้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งให้สำเร็จ หากไม่ใช่ระดับขั้นของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต้องสูงมากพอ กระบี่บินที่ถูกชำระล้างก็ต้องมีระดับขั้นต่ำ พอดีเลย สำหรับกระบี่บินเล่มนั้นแล้ว ‘เจียงหู’ ลูกนี้ นับว่าระดับขั้นสูงมากพอ

เมื่อกระบี่บินเล่มหลักถูกเก็บเข้าไปไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระบี่บินเล่มที่สองที่เป็นบริวารก็หายวับไปด้วยเหมือนภาพวาดโบราณที่ถูกดึงกระดาษเซวียนจื่อออกมาหนึ่งชั้น กลับไปรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สั่นสะท้าน เพราะถึงอย่างไรด้านในนั้นก็ยังมีทั้งชูอีและสืออู่อยู่ด้วย

เฉินผิงอันพูดกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่า “อย่าขอร้อง เพราะข้าไม่ตกลง”

จากนั้นก็หันหน้าไปยิ้มพูดกับกลุ่มคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบหนีไปอีก? หรือจะรอให้ถูกคนตัดหัวไปแลกเป็นเงิน มีใครเขาเป็นกุมารแจกทรัพย์อย่างพวกเจ้ากันบ้าง?”

เหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่เดิมทีมองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิพลันแตกฮือเหมือนนกแตกรัง ถอยกลับเข้าไปในผืนป่าอีกครั้ง

เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของพวกเขา แล้วจู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่า…น่าเบื่อ

คิดดูแล้วต่อให้เล่าให้ผู้อาวุโสซ่งฟัง อริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยที่จิตห้าวหาญจมดิ่งผู้นั้นก็คงไม่มีทางสนใจ อย่างมากก็คงยิ้มเอ่ยด้วยประโยคที่คล้ายกับตอนอยู่บนโต๊ะสุราคราวนั้น ‘ใต้หล้าไม่มีหม้อไฟมื้อใดที่คลี่คลายเรื่องหงุดหงิดใจไม่ได้ หากว่ามี ถ้าอย่างนั้นก็สั่งเหล้ามาอีกกา’

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ดูดายอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นแวบหนึ่ง

ฝ่ายหลังผงกศีรษะรับความนัย ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือช่วยเหลือแม้แต่น้อย

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ เพียงแค่ขอยืมม้าจากพวกเขาหนึ่งตัว แน่นอนว่าเป็นการยืมที่ไม่คืน แล้วขี่ม้าไปจากที่แห่งนี้เพียงลำพัง

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่เสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไป ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่กล้าเปิดปาก ปล่อยให้คนหนุ่มผู้นั้นพาชีวิตครึ่งหนึ่งของตนไปด้วย ราวกับรู้ว่าขอแค่ตนเปิดปาก ครึ่งชีวิตที่เหลือก็จะสูญสิ้นไปด้วย

ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรก็ยิ่งไม่คิดจะเปิดปากขอร้อง

บนภูเขา เหล่าคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยพากันวิ่งตะบึงเผ่นหนี

บ้างก็หันมาซุบซิบกัน บอกว่าคนผู้นั้นฝีมือสูงส่งยากจะคาดเดา หรือว่าจะเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีวิชาคงความอ่อนเยาว์?

แล้วก็มีบางคนที่นินทาในใจไม่หยุด เทพเซียนอะไรกัน ต่อให้ใช่จริงๆ แล้วอย่างไร ก็ยังแย่งชิงเอากระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ ก็แค่พวกนักเลงที่แย่งชิงผลประโยชน์กันเอง คนประเภทนี้ต่อให้มีความสามารถแล้วอย่างไร จะเรียกว่าวีรบุรุษได้หรือ?

แต่ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ในใจเกิดความเคารพเลื่อมใสและวาดฝัน เด็กหนุ่มยังคงไม่ชอบคนผู้นั้น แต่ปรารถนาอยากให้ตนมีมาดได้เหมือนคนผู้นั้น

และยังมีสตรีคนหนึ่งที่ทอดถอนใจเบาๆ

มีหลายคนทะยานขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงเพื่อตรวจสอบว่ามีศัตรูไล่ตามมาฆ่าหรือไม่ บางคนที่สายตาดีหน่อยก็เห็นเพียงว่าคนสวมงอบผู้นั้นควบม้าอยู่บนเส้นทาง สองมือสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ ไม่มีท่าทีลำพองใจแม้แต่น้อย กลับกันยังดูโดดเดี่ยวเดียวดายด้วยซ้ำ บางคนหันหน้าไปถ่มน้ำลาย ไม่รู้ว่าอิจฉาหรือขุ่นเคือง ปากยังสบถด่าถ้อยคำหยาบคาย

ผลกลับเห็นว่ามือกระบี่ชุดเขียวคล้ายจะสัมผัสได้จึงหันหน้ามามอง ทำเอาคนที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ผู้นั้นตกใจจนยืนได้ไม่มั่นคง พลัดตกลงมาบนพื้น

เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาเอ่ยว่า “เหวยเว่ย ช่วยข้านำความไปบอกแก่ผู้อาวุโสซ่งสักคำ บอกว่าฝักกระบี่ที่ถูกนำไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางชิ้นนั้น วันหน้าข้าจะใช้เหตุผลเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้กับหมู่บ้านวารีกระบี่ไปทวงคืนมาเอง”

ควันสีเขียวจางๆ กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันปรากฏเป็นร่างคนที่บังคับลมทะยานไปด้านหน้าติดตามหนึ่งคนหนึ่งม้าไป นางก็คือผีสาวเหวยเว่ยหนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยที่สวมรองเท้าปักลายบุปผา

เฉินผิงอันพลันหัวเราะออกมา “เพิ่มอีกหนึ่งประโยคด้วยว่า อาจจะต้องรอนานมาก ดังนั้นคงได้แต่รบกวนให้ผู้อาวุโสซ่งรอไปก่อน ในอนาคตก่อนที่ข้าจะไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จะต้องมาดื่มเหล้ากับเขาอีกรอบ”

เหวยเว่ยคลี่ยิ้มหวาน

นางหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ติดตามไปอีก

มองส่งม้าตัวนั้นจากไปเหลือไว้เพียงฝุ่นที่ตลบอยู่ด้านหลัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!