บทที่ 475 ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน
ผีสาวเหวยเว่ยทะยานลมเดินทางไกล ย่อพื้นที่ให้เล็กลง แน่นอนว่าต้องมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่เร็วกว่าขบวนรถ
เหวยเว่ยจากไปและย้อนกลับมา กลับมาเป็นแขกที่หมู่บ้านอีกครั้ง ซ่งอวี่เซายังคงไม่ปรากฏตัว ยังคงเป็นซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนที่ออกมาต้อนรับ
ปีนั้นซ่งอวี่เซาปล่อยเหวยเว่ยไปที่วัดร้าง ไม่ได้หมายความว่าอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยท่านนี้จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี ต่อให้เป็นหลิ่วเชี่ยนหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยที่มาอยู่ในฐานะหลานสะใภ้ตัวเอง ปีนั้นซ่งอวี่เซาจะไม่มีปมในใจเลยได้อย่างไร? เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขายึดหลักกฎเกณฑ์เก่าๆ ของคนเก่าแก่ในยุทธภพ เมื่ออายุมากแล้วก็มองบ้านเมืองและใต้หล้าย้อนกลับไปทางเดิม กลับไปในบ้านของตัวเอง จากนั้นก็ทบทวนตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการซื้อขายฝักกระบี่ครั้งนั้น ซ่งอวี่เซาถึงได้ยอมรับ ‘คน’ อย่างหลิ่วเชี่ยนโดยสมบูรณ์ ปล่อยให้หลิ่วเชี่ยนดูแลปกครองเรือน ถึงขั้นยังยินดีเหนื่อยยาก ยอมเป็นฝ่ายไปคบค้าสมาคมกับหานหยวนซ่านด้วยตัวเองเพื่อปูทางให้นางได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำในอนาคต ไม่อย่างนั้นซ่งอวี่เซาก็คงได้รับความโปรดปรานจากสำนักศึกษาไปแล้ว เรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตที่เดิมทีเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนจึงกลายเป็นจันทราในสายน้ำบุปผาในคันฉ่อง
อันที่จริงการที่ได้กลับมาพบกับเฉินผิงอันอีกครั้งคราวนี้ ซ่งอวี่เซามีความสุขมาก ไม่เพียงแต่ได้เห็นเฉินผิงอันกลายเป็นเซียนกระบี่บนภูเขากับตาตัวเอง ยังเป็นเพราะเส้นทางในยุทธภพของเฉินผิงอันคล้ายกับของเขาซ่งอวี่เซาด้วย
บนทางเส้นนั้นมีคนเดินบางตา บางครั้งที่พบเจอกันท่ามกลางลมฝนก็เดินเคียงบ่ากันไป และควรมีเหล้าให้ดื่ม
หากจะบอกว่าการพบกันครั้งแรก ซ่งอวี่เซาแค่มองเด็กหนุ่มเฉินผิงอันที่ยังสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกลไปสี่ทิศเป็นเพียงเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งที่มีค่าแก่การคาดหวังรอคอย ถ้าเช่นนั้นการกลับมาพบกันครั้งที่สอง ยามที่ได้ดื่มชา ร่ำสุรา กินหม้อไฟกับเฉินผิงอันชุดเขียวที่สวมงอบสะพายกระบี่คนนั้น กลับเหมือนคนสองคนบนเส้นทางเดียวกันที่จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน จึงรักทะนุถนอมและเห็นค่ากันมากกว่า แต่นี่เป็นความรู้สึกของตัวเองซ่งอวี่เซาเองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเมื่อเฉินผิงอันเผชิญหน้ากับซ่งอวี่เซา เขาก็ยังคงเป็นเหมือนในอดีต ไม่ว่าจะถ้อยคำ การกระทำหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นดั่งผู้น้อยที่เคารพนับถือผู้ใหญ่ ซ่งอวี่เซาเองก็ไม่คิดจะฝืนเปลี่ยนแปลงมัน คนในยุทธภพ มีใครบ้างที่ไม่ชอบให้คนอื่นนับหน้าถือตา?
หลังจากได้ยินว่าซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนออกไปรับรองเหวยเว่ยอีกครั้ง ซ่งอวี่เซาก็ไปนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำตกเพียงลำพัง
ซ่งอวี่เซาที่ไม่ได้พกกระบี่และไม่ได้ฝึกกระบี่มานานหลายปีแล้ว วันนี้กลับนำเจ้าเพื่อนยากมาวางพาดไว้บนหัวเข่า กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน’ ปีนั้นเขาไปงมเจอมันท่ามกลางกลไกของก้อนหินที่ตั้งอยู่ในบ่อน้ำลึกตรงหน้าโดยบังเอิญ ฝักกระบี่ไม้ไผ่เขียวชิ้นนั้นก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าปีนั้นซ่งอวี่เซาเกิดกังขาเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าทั้งกระบี่และฝักกระบี่ล้วนถูกคนที่ทิ้งมันไว้จับมาประกอบกันเอง ไม่ได้เป็น ‘คู่กัน’ มาตั้งแต่แรก
แน่นอนว่าตั้งตระหง่านคือศาสตราวุธเทพที่ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาซ่งอวี่เซาชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ไปเยือนภูเขามีชื่อเสียงแห่งต่างๆ สะพายกระบี่ท่องยุทธภพ เจอกับภูตภูเขาและผีวิญญาณมาไม่น้อย หากสามารถกำจัดปีศาจปราบมาร ตั้งตระหง่านก็ได้สร้างคุณความชอบอย่างยิ่งใหญ่ ส่วนฝักไม้ไผ่ที่ทำมาจากวัสดุวิเศษชิ้นนั้น ซ่งอวี่เซาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ สืบค้นตามตำราโบราณและหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลขุนนางไปทั่ว ถึงจะหาข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์เจอแผ่นหนึ่ง นั่นถึงทำให้เขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของเทพแห่งการต่อสู้ของทวีปอื่น ไม่รู้ว่าเป็นเซียนท่านใดที่เดินทางข้ามทวีปมาท่องเที่ยวแล้วทำหล่นไว้ในแจกันสมบัติทวีป ในตำราโบราณที่ไม่สมบูรณ์แบบแผ่นนั้นมีบันทึกที่บอกไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’ เป็นคำกล่าวที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ
เพียงแต่ที่มาของฝักไม้ไผ่ชิ้นนั้น ซ่งอวี่เซาสอบถามตระกูลเซียนบนภูเขาจนถ้วนทั่วก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด มีเซียนซือให้การคาดเดาคร่าวๆ ว่า บางทีอาจจะเป็นของวิเศษจากภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ แต่เนื่องจากบนฝักกระบี่ไม้ไผ่ไม่มีตัวอักษรใดๆ สลักไว้ จึงไม่มีเบาะแสใดๆ ให้ตามหา บวกกับที่นอกจากฝักไม้ไผ่จะสามารถกลายเป็นห้องเก็บกระบี่ของ ‘ตั้งตระหง่าน’ โดยที่ด้านในยังแข็งแกร่งทนทานไม่เคยถูกเกลากลึงให้เกิดความเสียหายแล้ว ก็ไม่มีความมหัศจรรย์อื่นใดอีก ก่อนหน้านี้ซ่งอวี่เซาจึงแค่มองฝักกระบี่เป็นตัวเลือกที่เจ้าของกระบี่ตั้งตระหง่านถอยมาเลือกในอันดับรอง นึกไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นการทำให้ฝักไม้ไผ่ได้รับความอยุติธรรม?
ซ่งอวี่เซาก้มหน้าลงมอง กระบี่โบราณตั้งตระหง่านยังคงฉายประกายคมกริบ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง คมกระบี่ส่องประกายระยิบระยับ เส้นแสงไหลเวียนวน ไอหมอกที่แผ่อบอวลอยู่รอบศาลาริมน้ำแห่งนี้กลับไม่อาจบดบังรัศมีเรืองรองของตัวกระบี่ได้เลย
ซ่งอวี่เซาแบฝ่ามือมาตบตัวกระบี่เบาๆ แล้วเงยหน้ามองไปยังน้ำตกที่สายน้ำทิ้งตัวดิ่งลงมาเบื้องล่างประดุจเส้นผมยาวสีขาวโพลนของเซียนที่ห้อยลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเพื่อนยาก พวกเราน่ะ ต่างก็แก่กันแล้ว”
ในห้องโถงใหญ่ เหวยเว่ยเล่าเหตุการณ์ของสนามรบแห่งนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ รวมไปถึงถ้อยคำที่เฉินผิงอันบอกให้นางช่วยนำมาบอกต่อ ซ่งเฟิ่งซานมีสีหน้าเคร่งเครียด
หลิ่วเชี่ยนมีนิสัยสุขุมไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ใดๆ ออกมา นี่เป็นผลจากการครอบครองตัวตนสองอย่างในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเฉินผิงอัน รู้ถึงน้ำหนักที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำ นางก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “ท่านปู่มองคนไม่ผิดจริงๆ”
ซ่งเฟิ่งซานพูดเบาๆ “เหตุผลที่ว่านี้ พูดได้ยาก”
หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสายลับเดนตายที่ต้าหลีนำมาแทรกซอนไว้ในแคว้นซูสุ่ย อันที่จริงวิสัยทัศน์ของนางจึงสูงกว่าปรมาจารย์วิถีวรยุทธและเซียนซือบนภูเขาทั่วไปอยู่มาก
ดังนั้นนางจึงรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวผู้นั้นได้ดียิ่งกว่าซ่งเฟิ่งซานและซ่งอวี่เซา
ยุทธภพในสถานที่อย่างแคว้นซูสุ่ย แคว้นซงซีนี้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็คือเทพแห่งการต่อสู้ในตำนานแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงขอบเขตร่างทองเพิ่งจะเป็นขอบเขตแรกของสามขอบเขตในการหลอมจิตเท่านั้น หลังจากนั้นยังมีขอบเขตเดินทางไกลและขอบเขตยอดเขาอยู่อีกสองขอบเขตซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า ส่วนขอบเขตสิบที่อยู่ถัดไปนั้นก็ยิ่งเป็นบุคคลน่าหวาดกลัวที่แม้แต่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาก็ยังรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่ นางพอจะรู้ได้คร่าวๆ เนื่องจากนางเคยใช้ช่องทางงานหลวงของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีช่วยสืบข่าวให้กับหมู่บ้านมาหนหนึ่ง และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตแปด อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเดินทางไกลที่ไม่ใช่ในความหมายทั่วไปอีกด้วย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเดินทางไกลบนโลก คล้ายคลึงกับนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นซึ่งอยู่ในขอบเขตที่เก้า คือบุคคลที่อาจได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็นฉีไต้จ้าว เหตุผลนั้นง่ายมาก ศาลาคลื่นมรกตเคยส่งยอดฝีมือมาที่นี่เพื่อสอบถามหลิ่วเชี่ยนและเทพภูเขาในพื้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียด เพราะเรื่องนี้ดังไปเข้าหูของซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งต้าหลี! หากไม่เป็นเพราะคนต่างถิ่นที่บังคับซื้อบังคับขายฝักกระบี่ผู้นั้นรีบจากไป ไม่แน่ว่าซ่งจ่างจิ้งอาจมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง แต่หากเป็นเช่นนี้จริง เรื่องราวก็คงง่ายขึ้นมาก เพราะถึงอย่างไรเทพเจ้าแห่งกองทัพต้าหลีผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางขอบเขตสิบ ขอแค่ยินดีลงมือ หลิ่วเชี่ยนก็เชื่อว่าต่อให้อีกฝ่ายมีที่พึ่งใหญ่แค่ไหน ต้าหลีและซ่งจ่างจิ้งก็ไม่มีทางเกรงกลัวอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่ว่าหมัดของใครแข็งแกร่งกว่าแล้ว แต่เป็นเพราะทิศทางการดำเนินไปของใต้หล้าที่จะเป็นตัวตัดสิน
ตอนนี้ราชวงศ์ต้าหลีได้ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทวีปแล้ว การยึดครองโชคชะตาของหนึ่งทวีปไปเพียงลำพังในอนาคตก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น นี่ต่างหากที่เป็นความมั่นใจและที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของสกุลซ่งต้าหลี
ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นหากคิดจะกระโดดขึ้นไปเป็นราชวงศ์ห้าอันดับแรกของใต้หล้าไพศาลก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เหวยเว่ยเป็นคนประเภทที่กลัวเพียงว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่มากพอ นางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แกว่งเท้าสองข้างที่สวมรองเท้าปักลายบุปผา “ฉู่ฮูหยินจะมาเยือนด้วยตัวเองเชียวนะ ถึงเวลานั้นจะออกไปเล่นงานนางโดยตรง หรือเห็นผู้ที่มาเยือนเป็นแขกจึงต้อนรับด้วยใบหน้าแย้มยิ้มล่ะ? นอกจากฉู่ฮูหยินที่เป็นสตรีใจอสรพิษแล้ว ยังมีหวังซานหูแห่งหมู่บ้านเหิงเตา หานหยวนเสวี๋ยน้องสาวของหานหยวนซ่าน สตรีสามคนมารวมตัวกัน ช่างครึกครื้นดีแท้”
หลิ่วเชี่ยนยิ้มบางๆ “เรื่องเล็กข้าเป็นคนตัดสินใจ ส่วนเรื่องใหญ่แน่นอนว่าต้องเป็นเฟิ่งซานที่ตัดสินใจ”
ซ่งเฟิ่งซานกล่าวอย่างระอาใจ “ยังต้องฟังท่านปู่ ข้าเกิดมาก็ไม่ถนัดจัดการกับเรื่องทั่วไปพวกนี้”
เหวยเว่ยมองหลิ่วเชี่ยนแล้วหัวเราะคิกคัก “ว่ากันว่าปีนั้นหวังซานหูเคยแอบชอบสามีของเจ้าด้วย?”
ซ่งเฟิ่งซานไม่สะทกสะท้าน คำพูดประเภทนี้ อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเด็ดขาด ไม่เชี่ยวชาญเรื่องกิจธุระทั่วไปก็เพียงแค่เพราะเขาไม่ยินดีจะแบ่งสมาธิมาทำ ด้วยหวังว่าจะเดินไปบนเส้นทางแห่งกระบี่ได้ไกลยิ่งกว่า แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าซ่งเฟิงซานไม่เข้าใจเรื่องทางโลกหรือจิตใจคนจริงๆ
หลิ่วเชี่ยนยิ้มกล่าว “บุรุษดีๆ คนหนึ่งจะมีสตรีหลายคนมารักมาชื่นชอบเขา เป็นเรื่องแปลกตรงไหน”
อยู่ดีๆ เหวยเว่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้น ช่างทำให้คนต้องมองเขาเสียใหม่จริงๆ ยังคงเป็นท่านปู่พวกเจ้าที่สายตาเฉียบขาด ปีนั้นข้ามองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่ว่าเขากับท่านปู่ของพวกเจ้าล้วนน่าเบื่อทั้งคู่ ทั้งๆ ที่วิชากระบี่สูงส่งถึงเพียงนั้น ยามที่ต้องลงมือกลับอืดอาดชักช้า ไม่คล่องแคล่วฉับไวแม้แต่น้อย จะฆ่าใครสักคนก็ยังต้องคิดไปคิดมา ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายมีเหตุผลแท้ๆ แต่เวลาลงมือกลับออมฝีมือเอาไว้ ดูเจ้าซูหลางผู้นั้นสิ พอฝ่าทะลุขอบเขต ไม่พูดไม่จาก็ตรงมาที่นอกหมู่บ้านของพวกเจ้า ป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่าจะประลองกระบี่ ต่อให้เป็นคนนอกอย่างข้า อีกทั้งยังเป็นสหายของพวกเจ้า ส่วนลึกในใจก็ยังรู้สึกว่าเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้นสง่างามจริงๆ ท่องอยู่ในยุทธภพก็ควรเป็นเช่นนี้”
ซ่งเฟิ่งซานหัวเราะหยัน “แล้วผลลัพธ์ล่ะเป็นอย่างไร?”
เหวยเว่ยผีสาวที่ร่างเล็กบอบบางเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เอ่ยว่า “ซูหลางก็แค่ขาดโชคไปเล็กน้อยเท่านั้น ข้ากล้าพูดเลยว่า ต่อให้เจ้าหมอนี่ต้องมาเจออุปสรรคจากหมู่บ้านแล้วต้องหน้าหมองกลับไปทุกครั้ง แต่ภายในเวลาไม่กี่สิบปีในอนาคต เซียนกระบี่แห่งแคว้นซงซีผู้นี้ต้องได้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพหลายสิบแคว้นของพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าซ่งเฟิ่งซานน่ะอนาถแน่ ได้แต่ต้องกินฝุ่นอยู่หลังก้นคนอื่นเขา ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่หรือชื่อเสียงก็ล้วนสู้ซูหลางที่ทำอะไรเผด็จการ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวผู้นั้นไม่ได้”
ซ่งเฟิ่งซานเพียงยิ้มรับ ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสูงต่ำของผลสำเร็จในท้ายที่สุดของมือกระบี่ยังต้องอาศัยกระบี่ในมือมาพูด ก็เหมือนเมื่อก่อนตอนที่หมู่บ้านวารีกระบี่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด คนบนโลกต่างก็พูดกันว่าความสูงส่งของเวทกระบี่ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยเหนือกว่าเทพกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นไฉ่อีที่แก่หง่อมใกล้ตายเต็มที การที่ฝ่ายหลังถอนตัวออกจากยุทธภพเก็บกระบี่ปิดผนึกเอาไว้ก็เพราะหวาดกลัวการท้าทายจากซ่งอวี่เซา กลัวว่าวันใดวันหนึ่งซ่งอวี่เซาจะมาขอประลองกระบี่ ตัวเองไม่กล้ารับคำท้าจึงเป็นฝ่ายยอมถอยให้ แต่ในความเป็นจริงเล่า ต่อให้เทพกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นไฉ่อีจะเจอกับเหตุไม่คาดฝัน พ่ายแพ้ตายดับ ปิดฉากชีวิตลงด้วยวิธีการที่น่าอับอายอย่างถึงที่สุด ทว่าเขากลับยังคงเป็นมือกระบี่ที่ท่านปู่ของตนเลื่อมใสที่สุดในชีวิตนี้ เพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน
หลิ่วเชี่ยนกลับเริ่มขุ่นเคือง
เหวยเว่ยจึงรีบยกสองมือขึ้นพนม แสร้งทำท่าน่าสงสาร เอ่ยวิงวอนว่า “ก็ได้ๆๆ ข้าผมยาวความรู้สั้น พูดจาไม่ใช้สมอง พี่หญิงหลิ่วเชี่ยนเจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าถือโทษโกรธข้าเลย”
ซ่งเฟิ่งซานไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับผีสาวผู้นี้อีก จึงขอตัวแล้วไปที่น้ำตก เพื่อนำความที่เฉินผิงอันฝากมาไปบอกแก่ท่านปู่
ผีสาวเหวยเว่ยยึดครองภูเขาเป็นราชา บางทีอาจไม่ถึงขั้นก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว แต่ซ่งเฟิ่งซานก็ชื่นชอบนางไม่ลงจริงๆ เพียงแต่ว่านางสนิทกับภรรยาของตน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรอยู่อีกชั้นหนึ่ง เขาถึงได้ยอมนั่งลงดื่มชากับนาง อย่างเรื่องบัญชีความเสเพลระหว่างเหวยเว่ยกับหานหยวนซ่านก็เป็นเรื่องที่ในใจซ่งเฟิ่งซานรังเกียจอย่างถึงที่สุด เขาเคยพูดเกลี้ยกล่อมหลิ่วเชี่ยนเป็นการส่วนตัวว่า พันธมิตรก็ส่วนพันธมิตร การไปมาหาสู่กันเพื่อผลประโยชน์เป็นเรื่องของการค้าเท่านั้น แต่มิตรภาพส่วนตัวระหว่างหลิ่วเชี่ยนกับเหวยเว่ยก็ขอให้แค่พอเหมาะพอควรเท่านั้น นี่คือ ‘การใช้เหตุผล’ ด้วยสถานะของ ‘ประมุขตระกูล’ เพียงไม่กี่เรื่องที่ซ่งเฟิ่งซานนำมาใช้กับภรรยาของตน แล้วก็เพราะเป็นเรื่องเล็กยิบย่อย น้อยครั้งที่ซ่งเฟิ่งซานจะยกหลักการเหตุผลมาใช้ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าเหตุผลข้อนี้สำคัญมากเป็นพิเศษ
โชคดีที่หลิ่วเชี่ยนยอมรับฟัง แล้วก็ยอมทำตามแต่โดยดี
ดังนั้นคำกล่าวของหลิ่วเชี่ยนที่บอกว่าเรื่องใหญ่ให้สามีเป็นคนตัดสินจึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูดที่เลื่อนลอยเท่านั้น
และนี่ก็คือความฉลาดของหลิ่วเชี่ยน แน่นอนว่าก็เป็นความถนัดในการอบรมสั่งสอนของตระกูลซ่งด้วย ไม่อย่างนั้นหลิ่วเชี่ยนก็คงได้แต่สวมหัวโขนของฮูหยินน้อยแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ที่ว่างเปล่าไปชั่วชีวิต ไม่ได้รับการยอมรับที่แท้จริงจากซ่งอวี่เซา ถึงเวลานั้นคนที่จะลำบากใจที่สุดกลับจะกลายเป็นซ่งเฟิ่งซาน หากซ่งเฟิ่งซานปล่อยตามใจนางทุกเรื่องจริงๆ ถึงเวลาแล้วคนที่ลำบากก็คือเขา จะโทษว่าท่านปู่อย่างซ่งอวี่เซาไม่มีไมตรีจิตไม่ได้ แล้วก็โทษหลิ่วเชี่ยนไม่ได้ คำกล่าวที่ว่าต่อให้เป็นขุนนางน้ำดีก็ยากจะตัดสินเรื่องในบ้านได้นั้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ไม่ใช่ว่าการใช้เหตุผลเป็นเรื่องยาก แต่ยากตรงที่ว่าใครจะใช้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ในหนึ่งครอบครัว คนที่ตำแหน่งไม่สูง คำพูดก็ย่อมไม่มีน้ำหนัก นี่จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างแท้จริง
—
ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน
ในขณะที่ซ่งเฟิ่งซานเดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำ ขบวนรถยิ่งใหญ่ก็ผ่านเมืองเล็กมาถึงนอกหมู่บ้าน
หลิ่วเชี่ยนลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ให้คนไปแจ้งคู่ปู่หลานอย่างซ่งอวี่เซากับซ่งเฟิ่งซาน
หนึ่งเพราะฝ่ายตรงข้ามที่มาเยือนล้วนเป็นสตรี ฉู่ฮูหยิน หวังซานหูและหวานหยวนเสวี๋ยต่างก็เป็นสตรีทั้งหมด หากทางหมู่บ้านวารีกระบี่ให้ซ่งอวี่เซาออกไปต้อนรับด้วยตัวเองจะดูเป็นการทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป หลิ่วเชี่ยนเองก็ไม่อาจเปิดปากได้ อันที่จริงหากซ่งเฟิ่งซานจับมือออกไปต้อนรับพร้อมกับนางจะกำลังดี เพียงแต่หลิ่วเชี่ยนไม่อยากรบกวนสองปู่หลาน สองเพราะเหตุใดซูหลางเพิ่งจะจากไป อีกฝ่ายก็มาเยือนทันที จุดประสงค์ของพวกนางชัดเจนดีแล้ว หมู่บ้านวารีกระบี่ตกอยู่ในสภาพการณ์ที่มองดูเหมือนตะวันกำลังจะตกดิน เดิมทีก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างให้คนอื่นเห็นก็เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องตั้งใจต้อนรับขับสู้ใครเป็นพิเศษ ต่อให้แม่ทัพใหญ่ ‘ฉู่หาว’ มาเยือนด้วยตัวเอง แล้วจะอย่างไร? นางหลิ่วเชี่ยน ในฐานะหัวหน้าสายลับศาลาคลื่นมรกตต้าหลีในแคว้นซูสุ่ย ยังมีน้ำหนักไม่พออีกหรือ? ยังมีมารยาทไม่พอหรือไร?
เหวยเว่ยหลบเลี่ยงด้วยการไปเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ในหมู่บ้าน
สุดท้ายมานั่งอยู่ในศาลาภูเขาแม่น้ำที่ใกล้กับน้ำตก ด้วยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ คิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ เด็กหนุ่มขาเปื้อนโคลนที่ปีนั้นหน้าตาไม่โดดเด่น เหตุใดจู่ๆ ถึงร่ำรวยได้ดิบได้ดีขึ้นมาได้นะ? ประเด็นสำคัญก็คือเหตุใดถึงเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตไม่สูงมาเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาในตำนานเสียได้? กินยาผิดขนานหรือไร? หากมียาวิเศษเช่นนี้อยู่จริง ถ้าเป็นไปได้ก็ให้นางเหวยเว่ยสักกำใหญ่ๆ เถอะ ต่อให้กินจนท้องแตกตายนางก็ไม่เสียใจภายหลัง
ทางฝั่งของศาลาริมน้ำตก ซ่งอวี่เซาได้นำกระบี่โบราณตั้งตระหง่านกลับไปวางไว้ในแท่นหินของบ่อน้ำลึกดังเดิมแล้ว หลังจากปิดกลไกที่เจ้าของคนเก่าเคยสร้างเอาไว้ เขาก็ยืนอยู่บน ‘เสาหินกลางกระแสน้ำ’ เล็กๆ เสานั้น เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป น้ำตกสาดเทลงมาสู่เบื้องล่าง ปล่อยให้สะเก็ดน้ำไอน้ำสาดมาโดนเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อซ่งเฟิ่งซานมาถึงศาลาริมน้ำ ผู้เฒ่าชุดดำถึงจะคืนสติ เขาพลิ้วกายกลับเข้ามาในศาลา ยิ้มถามว่า “มีธุระอะไรหรือ?”
ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยถ้อยคำที่เหวยเว่ยนำมาบอกซ้ำอีกรอบ
สีหน้าของซ่งอวี่เซาปลาบปลื้ม
ซ่งเฟิ่งซานกล่าวอย่างสงสัย “ดูเหมือนว่าท่านปู่จะไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว?”
ซ่งอวี่เซาคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะภาคภูมิใจในตัวเอง “เจ้าเด็กน้อยนั่นขยับก้นที ข้าก็รู้แล้วว่าเขาจะขี้อะไรออกมา มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน หากเขาไม่พูดแบบนี้ ไม่ทำแบบนี้ นั่นต่างหากถึงจะทำให้ข้าแปลกใจ”
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของซ่งเฟิ่งซานกับซ่งอวี่เซาปรองดองกลมเกลียวกันดีแล้ว ไม่มีพันธนาการใดๆ มาถ่วงรั้งไว้ เขาจึงอดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า “ท่านปู่ รับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งเป็นสหาย ดูท่านทำท่าภูมิใจเข้าเถิด”
ซ่งอวี่เซายิ้มบางๆ “ไม่ยอมงั้นรึ? เจ้าก็ลองไปหาใครสักคนสองคนบนภูเขาแล้วเก็บกลับมาให้ปู่ดูบ้างสิ? หากความสามารถและนิสัยใจคอได้สักครึ่งหนึ่งของเฉินผิงอัน จะถือว่าปู่แพ้ ตกลงไหมล่ะ?”
ซ่งเฟิ่งซานพูดบ่นนิดๆ “ท่านปู่ สรุปว่าใครกันแน่ที่เป็นหลานแท้ๆ ของท่าน?”
ซ่งอวี่เซายิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าคนที่ไม่ค่อยได้ความต่างหากถึงจะเป็นหลานชายแท้ๆ”
ซ่งเฟิ่งซานอึ้งตะลึงพูดไม่ออก
ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน ตบไหล่ซ่งเฟิ่งซาน “ต่อให้จะความสามารถน้อยนิดแค่ไหนก็ยังเป็นหลานแท้ๆ อีกอย่างนิสัยใจคอก็ไม่ได้แย่กว่าเจ้าเด็กน้อยนั่นสักเท่าไหร่”
ซ่งอวี่เซาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “นอกจากนี้ ตอนนี้เจ้าก็หาภรรยาที่ดีมาได้แล้ว เฉินผิงอันกลับเพิ่งจะเริ่มมีคนรัก ก็ไม่ถือว่าเจ้าแพ้เขาซะทีเดียว หากเจ้าเร่งมืออีกนิด ให้ปู่ได้อุ้มเหลน ถึงเวลานั้นต่อให้เฉินผิงอันจะแต่งงานแล้วก็ยังแพ้ให้เจ้าอยู่ดี”
ซ่งเฟิ่งซานยังคงพูดไม่ออกอยู่เหมือนเดิม
ได้ฟังคำพูดดีๆ ที่เหมือนจะชื่นชมกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังอารมณ์ดีไม่ขึ้นจริงๆ
แต่ลึกๆ ในใจของซ่งเฟิ่งซานกลับถอนหายใจโล่งอก ท่านปู่ได้พบกับเฉินผิงอันจึงอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเฉินผิงอันก็ยิ่งได้คลายปมในใจ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่พูดหยอกล้อตนเช่นนี้
ซ่งอวี่เซาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาลูบคลำปลายคางเอ่ยว่า “หากเป็นเหลนผู้หญิงก็ดีมากเหมือนกัน ผู้ฝึกตนแสวงหาความเป็นอมตะ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะยังมีโอกาสได้เป็นพ่อตาของเฉินผิงอันก็ได้”
ในที่สุดซ่งเฟิ่งซานก็ทนไม่ไหว “ท่านปู่! นี่ท่านจะเกินไปแล้วนะ!”
ซ่งอวี่เซาหุบยิ้ม สีหน้าสงบนิ่งแต่เปี่ยมสุข เขาไม่มีภาระทางใจใดๆ อีกต่อไป จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เอาล่ะ ตลอดหลายปีมานี้ทำให้เจ้ากับหลิ่วเชี่ยนต้องเป็นห่วงแล้ว เป็นเพราะความดื้อดึงของปู่ ไม่รู้จักปล่อยวางเอง แล้วก็เป็นปู่ที่ดูแคลนเฉินผิงอันเกินไป มักจะรู้สึกว่าเมื่อหลักการเหตุผลที่ตัวเองนับถือเลื่อมใสมาทั้งชีวิตถูกคนต่างถิ่นที่ยังไม่ได้ออกหมัดคนหนึ่งข่มทับจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ก็ไม่เหลือหลักการเหตุผลอีกต่อไปจริงๆ อันที่จริงกลับไม่ได้เป็นอย่างนี้ เหตุผลก็ยังคงเป็นเหตุผลนั้น เพียงแต่ข้าซ่งอวี่เซามีความสามารถน้อย วิชากระบี่ไม่สูง แต่ไม่เป็นไร ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน เหตุผลของข้าซ่งอวี่เซาใช้ไม่ได้ผล ก็ให้เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง”
ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยเบาๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้จะถ่วงรั้งการฝึกตนของเฉินผิงอันหรือไม่? การฝึกตนบนภูเขามีข้อห้ามใหญ่คือไม่ควรให้เกิดปัญหาแทรกซอน และไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับโลกโลกีย์”
ซ่งอวี่เซาปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ดวงตาเขาไม่เคยส่องประกายเจิดจ้าเช่นนี้มาก่อน “ดี ดีมาก เจ้าซ่งเฟิ่งซานสามารถคิดได้เช่นนี้ก็ไม่แพ้ให้กับเฉินผิงอันแล้ว! นี่ต่างหากถึงจะเป็นแรงฮึดเฮือกนั้นของหมู่บ้านวารีกระบี่เรา!”
ซ่งอวี่เซาหยุดชะงักไปครู่ก็พูดเสียงแผ่วต่ำว่า “คำพูดบางอย่าง ข้าที่เป็นผู้อาวุโสไม่อาจพูดออกมาได้ คำพูดดีๆ เหล่านั้นก็ให้เจ้าไปพูดกับหลิ่วเชี่ยนแล้วกัน หมู่บ้านวารีกระบี่ติดค้างหลิ่วเชี่ยนมากมายนัก เจ้าเป็นบุรุษของนาง ตั้งใจฝึกกระบี่เป็นเรื่องที่ดี แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะมองข้ามความทุ่มเทของคนข้างกายได้ สตรีแต่งงานออกเรือน ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ต้องเหนื่อยยากทั้งกายและใจ ต้องเจอกับความยากลำบาก นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลใดๆ เลย”
ซ่งเฟิ่งซานกำลังจะขยับปากพูด
ซ่งอวี่เซากลับถลึงตาใส่เขา “เหตุผลของปู่จะแย่ได้หรือ? เจ้าแค่ฟังไปก็พอ ดูคนอื่นเขาอย่างเฉินผิงอันสิ แทบอยากจะจดบันทึกคำพูดของปู่อยู่แล้ว หัดเรียนรู้จากเขาซะบ้าง!”
ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “ข้าไม่กล้าเถียงท่านปู่ บัญชีนี้จดไว้ในนามของเฉินผิงอันก็แล้วกัน คราวหน้าหากเขามาอีก ด้วยความสามารถในการดื่มเหล้าน้อยนิดแค่นั้นของเขา ข้าซ่งเฟิ่งซานสามารถดื่มให้เฉินผิงอันล้มคว่ำเป็นอย่างต่ำก็สองคน”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าไม่ขัดขวาง”
ซ่งอวี่เซาพลันเอ่ยว่า “เดี๋ยวเจ้าเตรียมตัวไปพบหานหยวนซ่านสักหน่อย ข้าคงไม่ไปให้ความสนใจเขาแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกัน”
ซ่งเฟิ่งซานถาม “เขาซ่อนตัวอยู่ในขบวนรถจริงๆ หรือ?”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ “หากไม่เชื่อ พวกเรามาเดิมพันกันดูก็ได้”
ซ่งเฟิ่งซานส่ายหน้า “การเดิมพันที่ต้องแพ้แน่นอน จะเดิมพันไปไย ข้าจะไปหาหลิ่วเชี่ยนล่ะ”
ซ่งอวี่เซาเดินมาส่งซ่งเฟิ่งซานที่ศาลาภูเขาแม่น้ำ ผีสาวเหวยเว่ยยังคงนั่งแกว่งขาสองข้างอยู่ข้างในนั้น
ซ่งเฟิ่งซานก้าวเร็วๆ จากไป
ซ่งอวี่เซาเดินเข้าไปในศาลา
เหวยเว่ยหันหน้ามามอง พูดอย่างน่าสงสารว่า “อริยะกระบี่ผู้เฒ่าอย่าได้ควักปฏิทินเหลืองออกมาจากชายแขนเสื้ออีกเลยนะ”
ซ่งอวี่เซาคลี่ยิ้ม “ไม่ได้ท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี ปฏิทินเหลืองก็เหลืองเก่าแก่จริงๆ แล้ว”
เหวยเว่ยถอนหายใจ “ตอนที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่าท่องไปในยุทธภพ ตัวก่อหายนะอย่างพวกเราต่างก็คาดหวังให้ผู้อาวุโสตายไปเสียโดยเร็ว พวกเราจะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าวันใดผู้อาวุโสจะเปิดปฏิทินเหลือง แล้วเอ่ยประโยคว่าวันนี้เหมาะให้ออกกระบี่ ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูแล้ว หากไม่มีผู้อาวุโส อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว ก็เหมือนกับเจ้าภูตภูเขาตนนั้น หากท่านผู้อาวุโสยังอยู่ ไหนเลยจะกล้ากระทำการกำเริบเสิบสาน ก่อกรรมทำร้ายผู้คนไปทั่วเช่นนี้ แถมยังเกือบจะลักพาตัวข้าไปเป็นฮูหยินรังโจรได้สำเร็จอีกด้วย”
ซ่งอวี่เซาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เขาเอ่ยประโยคที่ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย “คนชั่วผีชั่วที่เลวยันกระดูกอย่างพวกเจ้าก็มีแต่ให้พวกเดียวกันเองมาขู่เข็ญทำร้ายเท่านั้นแหละ ถึงจะพอมีความจำกันบ้าง”
เหวยเว่ยขบขันคำพูดนี้จนหัวเราะคิก ประหนึ่งบุปผาเบ่งบานกิ่งไม้ส่ายไหว
ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามอง “กลิ่นคาวคลุ้งตลบ ทำลายน้ำและลมอันดีในหมู่บ้านข้า อยากโดนซ้อมหรือไง?”
เหวยเว่ยรีบขยับตัวนั่งดีๆ ถามเสียงเบา “ผู้อาวุโส ข้าขอคำชี้แนะกับท่านผู้อาวุโสสักเรื่องได้ไหม?”
ซ่งอวี่เซาหัวเราะเย้ยหยัน “ผู้อาวุโส? เจ้าอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว? ไม่ได้จำไว้ในใจตัวเองบ้างเลยหรือ?”
มาเจอกับตาแก่ที่คร่ำครึเช่นนี้ เหวยเว่ยก็รู้สึกโมโหจนเข็ดฟัน เพียงแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ในแคว้นซูสุ่ยแปลกประหลาด อีกทั้งที่หมู่บ้านวารีกระบี่เองก็มีแต่เรื่องพิลึกพิลั่น หลิ่วเชี่ยนยังเป็นสตรีใจจืดใจดำ ไม่คิดทำเพื่อนางเหวยเว่ยเลยแม้แต่น้อย เอาแต่คิดถึงหมู่บ้านโทรมๆ ที่กำลังจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นศาลเทพภูเขาแห่งนี้อยู่ได้ ส่วนซ่งเฟิ่งซาน เหวยเว่ยก็ยิ่งไม่กล้าไปก้อร่อก้อติกด้วย หากไม่ทันระวังถูกหลิ่วเชี่ยนจดจำความแค้นขึ้นมา ต้องเป็นการค้าที่ขาดทุนอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงได้แต่มาทำตัวว่าง่ายอยู่กับซ่งอวี่เซา
เหวยเว่ยแข็งใจถามไปว่า “หานหยวนซ่านจะสามารถห่มหนังของฉู่หาว ยึดครองอำนาจในราชสำนักแคว้นซูสุ่ยไปได้ตลอดเลยจริงๆ หรือ?”
ซ่งอวี่เซาจุ๊ปากพูด “เจ้าเป็นชู้รักของเขาไม่ใช่หรือไง? ไม่ไปถามเขา ดันมาถามข้า มิน่าเล่าเจ้าเหวยเว่ยถึงเทียบกับภูตหมูตัวหนึ่งไม่ได้เลย”
เหวยเว่ยยิ้มเจื่อน “หานหยวนซ่านเป็นคนอย่างไร ใช่ว่าผู้อาวุโสจะไม่รู้สักหน่อย เขาชอบเปลี่ยนใจแตกหักกับคนอื่นเป็นที่สุด ทำการค้ากับเขา ต่อให้เดิมทีเป็นการค้าที่ทำกันอยู่ดีๆ ยังไม่รู้ว่าวันใดจะถูกเขาเอาไปขายจนหมดตัวหรือไม่ หลายปีก่อนเคยติดกับเขาน้อยนักหรือ? ข้าล่ะกลัวจริงๆ ต่อให้ครั้งนี้ออกจากภูเขา วางแผนจะเป็นเทพภูเขาเล็กๆ บนภูเขาของตัวเอง ข้าก็ยังไม่กล้าพูดกับหานหยวนซ่าน ได้แต่ทำตามกฎแต่โดยดี อะไรที่ควรจ่ายเงินก็จ่ายเงิน ควรมอบสตรีก็มอบสตรี นี่ก็เพราะกังวลว่ากว่าจะอาศัยบารมีของนักปราชญ์สำนักศึกษาในครั้งนั้น หลังจบเรื่องจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับหานหยวนซ่านได้อย่างหมดจด หากไม่ทันระวังพาตัวไปส่งถึงที่ ทำให้หานหยวนซ่านนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผีสาวอย่างข้าอยู่อีกคน หลังจากที่กวาดเอาทรัพย์สมบัติของข้าไปหมดแล้ว ไม่แน่ว่าพอเทพภูเขาคนใหม่ของที่แห่งนี้ได้เลื่อนขั้นแล้วก็อาจจะเอาข้าไปเชือดเพื่อสร้างบารมี ถึงอย่างไรการสังหารหนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยอย่างข้า ใครบ้างจะไม่สาแก่ใจ ไม่ปรบมือร้องสนับสนุน?”
ซ่งอวี่เซากล่าว “เจ้าก็ไม่โง่นี่นะ”
เหวยเว่ยโอดครวญ “ปีนั้นเดิมทีก็เป็นเพราะว่าข้าโง่ถึงได้ต้องตาย ตอนนี้ก็ไม่ควรโง่จนแม้แต่ผีก็ยังเป็นไม่ได้หรอกกระมัง?”
ซ่งอวี่เซาคล้ายจะคิดคำพูดไว้ก่อนนานแล้ว เขาเอ่ยว่า “เกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าวางแผนจะเป็นเทพภูเขานั้น ข้าสามารถบอกให้เฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนช่วยเจ้าได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน นอกจากเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งที่เจ้าสมควรต้องจ่ายแล้ว เจ้ายังต้องช่วยพวกเราดูแลที่นี่ พวกเราไม่เชื่อใจเทพภูเขาในท้องที่ หากทำลายรากฐานภูเขาแม่น้ำของพื้นที่ฮวงจุ้ยแห่งนี้ขึ้นมา ต่อให้พวกเราย้ายบ้านไปแล้วก็ยังต้องเดือดร้อนไปด้วยไม่มากก็น้อย”
เหวยเว่ยถามหยั่งเชิง “ต่อให้ข้าไม่เปิดปากขอร้อง หมู่บ้านของพวกเจ้าก็จะเป็นฝ่ายช่วยเหลือข้าอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
ซ่งอวี่เซาหัวเราะหยัน “ถ้าอย่างนั้นก็ถือซะว่าเมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้พูดอะไร ส่วนเจ้าก็รอไปอีกหน่อย?”
—
ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน
เหวยเว่ยสีหน้ากระอักกระอ่วน ยกมือตบลงบนใบหน้าตัวเองเบาๆ “ฟังข้าพูดเข้าสิ ผู้อาวุโสท่านคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ คำพูดที่เอ่ยออกมา หนึ่งฟองน้ำลายหนักแน่นดุจตะปูหนึ่งตัว! ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันจะเคารพผู้อาวุโสขนาดนี้ได้หรือ? ผู้อาวุโสท่านไม่รู้อะไร ตอนอยู่ที่วัดร้างบนภูเขาลูกนั้น เจ้าคนผู้นั้นส่งกระบี่ออกมาทีเดียวก็สามารถทำให้ร่างทองของเทพภูเขาสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นแตกกระจุยได้แล้ว จะดีจะชั่วนั่นก็เป็นถึงองค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักเชียวนะ กลับต้องมามีจุดจบน่าสงสารที่ตายไม่เหลือศพแบบนี้ หลังจบเรื่องยังไม่ได้ถูกภูเขาแม่น้ำแว้งกลับมาโจมตีแม้แต่น้อย เซียนกระบี่หนุ่มที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ก็ยังเคารพเลื่อมใสท่านผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ พูดไปพูดมาก็ยังเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสร้ายกาจ”
ซ่งอวี่เซาลูบหนวดยิ้ม “แม้ว่าจะเป็นคำพูดเสแสร้งที่เอ่ยไปตามสถานการณ์ แต่ก็พูดได้ถูกจังหวะเหมาะกับสถานการณ์จริงๆ”
เหวยเว่ยยิ้มหวาน
คิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่เซาจะเอ่ยอีกว่า “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็จะเหลือแต่ความน่าสะอิดสะเอียนแล้ว”
เหวยเว่ยหุบยิ้มอย่างขุ่นเคือง
เงียบกันไปครู่หนึ่ง เหวยเว่ยก็ถามว่า “ผู้อาวุโสไม่ไปดูการโจมตีที่ทั้งเปิดเผยและลับอำพรางทางฝั่งนั้นบ้างหรือ?”
ซ่งอวี่เซาตอบกลับด้วยประโยคประหลาด “ดื่มชาไม่มีรสชาติ”
เหวยเว่ยจึงยิ้มพูดคล้อยตามไป “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนผู้อาวุโสดีไหม?”
ผลกลับกลายเป็นว่าซ่งอวี่เซาตอบมาเพียงหนึ่งคำ “ไสหัวไป”
ต่อให้เหวยเว่ยจะอับอายจนพานเป็นความโกรธก็ไม่มีประโยชน์
ทางฝั่งของห้องโถงใหญ่
อันที่จริงไม่มีการใช้คารมคมคายพูดจากระทบกระเทียบใดๆ
เพราะฉู่ฮูหยินผู้เป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ก็ดี หวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยก็ช่าง ล้วนไม่มีโอกาสได้พูด
พอเข้ามาในหมู่บ้าน สารถีวัยชราที่หลังค่อม ดวงตาขุ่นมัวคนหนึ่งก็เอามือลูบหน้า เรือนกายยืดตรง กลายร่างเป็นฉู่หาวในทันที
นี่ทำให้ผู้คนประหลาดใจกันอย่างยิ่ง
ไม่ต้องพูดว่าฉู่ฮูหยินจะใช่คนร่วมเตียงฝันต่างหรือไม่ ในฐานะคนข้างหมอนของหานหยวนซ่าน นางกลับจำ ‘ฉู่หาว’ ไม่ได้ แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
เห็นได้ชัดว่าเมื่อหานหยวนซ่านเผชิญหน้ากับหลิ่วเชี่ยน เขามีท่าทีเคร่งเครียดจริงจังยิ่งกว่ายามเผชิญหน้ากับซ่งเฟิ่งซานที่มีจิตลุ่มหลงอยู่กับกระบี่มากนัก
ฉู่ฮูหยินคือคนที่เจ็บแค้นหงุดหงิดที่สุด ตอนนั้นหานหยวนซ่านเอาเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรในตำนานคนหนึ่งมาไว้ข้างกายตน นางยังนึกว่าบุรุษใจดำอย่างหานหยวนซ่านมีความรักลึกซึ้งต่อนาง คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วยังคงเป็นเพราะเพื่อความปลอดภัยของตัวหานหยวนซ่านเอง เป็นนางที่หลงตัวเองเกินไป
ทุกครั้งที่หานหยวนเสวี๋ยซึ่งมีใบหน้าเหมือนเด็กได้พบกับแม่ทัพใหญ่ ‘ฉู่หาว’ จะต้องรู้สึกอึดอัดอย่างน่าประหลาดใจเสมอ
ส่วนหวังซานหูนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความคิดของนางเรียบง่ายที่สุด คิดแค่ว่าจะมาพบซ่งเฟิ่งซานที่นี่สักครั้ง อยากจะให้บุรุษรูปงามแห่งยุทธภพ ผู้โดดเด่นด้านวิชากระบี่ที่ตนเคยเลื่อมใสบูชาผู้นี้รู้ว่าทุกวันนี้ตนมีชีวิตที่ดีมาก ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดียิ่งกว่าคนสกุลใดๆ ในยุทธภพ เป็นเจ้าเมืองของพื้นที่หนึ่ง และในอนาคตก็จะได้เป็นขุนนางคนสำคัญที่อยู่ศูนย์กลางของแคว้นซูสุ่ย ส่วนเจ้าซ่งเฟิ่งซานกำลังจะถูกขับไล่ออกจากบ้านบรรพบุรุษ ต้องไประหกระเหเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพ จะเอาตัวมาเปรียบเทียบได้อย่างไร?
น่าเสียดายก็แต่เมื่อซ่งเฟิ่งซานได้พบนางก็ยังคงมีท่าทางสุภาพเปี่ยมไปด้วยมารยาท เพียงแค่นี้เท่านั้น
นี่ทำให้หวังซานหูรู้สึกพ่ายแพ้เล็กน้อย
สำหรับเรื่องพวกนี้ หลิ่วเชี่ยนรู้ดีอยู่ในใจ นางไม่เคยคิดมาก เพียงแต่รู้สึกว่าหวังซานหูไม่เคยเข้าใจสามีของตนเลยก็เท่านั้น ต่อให้ไม่มีนางหลิ่วเชียน เฟิ่งซานก็ไม่มีทางชอบหวังซานหูผู้นี้ นางเอาแต่ใจเกินไป ใช่ว่าสตรีจะทระนงตนไม่ได้ แต่หากคิดจะต้องช่วงชิงความเป็นหนึ่ง คิดจะเอาชนะอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม่นตัวน้อยๆ บางทีบนโลกอาจมีบุรุษที่ชื่นชอบสตรีเช่นนี้ แต่เฟิ่งซานไม่ใช่คนหนึ่งในนั้น
ในห้องโถงไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
แม้แต่เทพเซียนผู้เฒ่าสองคนก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวมา เพียงแต่ปิดประตูฝึกตนอยู่ในจวนของใครของมัน ผู้ฝึกตน ต่อให้ลงจากเขามาเหยียบย่ำอยู่ในโลกมนุษย์ก็ยิ่งต้องสงบจิตใจ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่การขัดเกลาจิตใจแล้ว แต่จะเป็นการลดทอนตบะ ปล่อยร้างจิตแห่งการฝึกตน
หลิ่วเชี่ยนพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานที่ต่อให้มีสตรีสามคนอยู่ด้วยก็ยังยกมาพูดคุยได้กับหานหยวนซ่านแล้ว ก็เป็นฝ่ายพาคนทั้งสามจากไป ทิ้งไว้เพียงซ่งเฟิ่งซานและขุนนางอันดับหนึ่งแห่งแคว้นซูสุ่ยเท่านั้น
สตรีทั้งสี่คนเดินเล่นอยู่ด้วยกันในหมู่บ้าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หานหยวนเสวี๋ยได้มาเยือน แต่นางก็ยังคงรู้สึกแปลกใหม่อยู่ดี นางเป็นคนมีนิสัยซื่อๆ พูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง ขณะที่กำลังเดินเล่นก็ทอดถอนใจอย่างเสียดาย บอกว่าสถานที่แห่งนี้ หากต้องย้ายออกไปคงน่าเสียดายยิ่งนัก หลิ่วเชี่ยนจูงมือสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงที่ต่อให้จะแต่งงานออกเรือนแล้วก็ยังคงไร้เดียงสาผู้นี้ พูดคุยพลางหัวเราะสนุกสนานไปกับนาง ฉู่ฮูหยินที่ต้องมาอยู่ในถิ่นของหมู่บ้านวารีกระบี่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เพียงแต่ว่าบุรุษของตนไม่ช่วยออกหน้าให้ อีกทั้งตอนนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ยังได้รับโชคดีหลังจากเจอโชคร้าย เนื่องจากการสอดเท้าเข้าแทรกของคนนอกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่สกัดกั้นการประลองกระบี่ของซูหลางเอาไว้ได้ ยังทำให้ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยรู้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่มีสหายบนภูเขาเช่นนี้อยู่หนึ่งคน วันหน้าหากนางคิดจะหาเรื่องหมู่บ้านวารีกระบี่และซ่งอวี่เซาก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
หวังซานหูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่
แม้ว่าจะแต่งงานกับบัณฑิตผู้สุภาพสง่างามซึ่งมีอนาคตยาวไกลแล้ว และชีวิตทุกวันนี้ก็ไม่เลว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ปรองดอง แต่สำหรับสตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพมาจนเคยชินตั้งแต่เด็กคนหนึ่งแล้ว ก็อดรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ ในใจไม่ได้ ทุกครั้งที่เป็นยามค่ำคืนผู้คนเข้านอนกันหมด หรือยามที่อยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็ยามที่ได้ยินคนสนิทจากบ้านเดิมพูดถึงบุญคุณความแค้นครั้งใหม่ในยุทธภพขึ้นมา ในใจของหวังซานหูก็จะต้องเกิดเป็นริ้วกระเพื่อม
เมื่อหานหยวนเสวี๋ยพูดถึงการลอบฆ่าระหว่างทาง รวมไปถึงมือกระบี่ชุดเขียวที่โผล่มาอย่างกะทันหันผู้นั้น
ฉู่ฮูหยินและหวังซานหูแทบจะเงี่ยหูผึ่งขึ้นมาพร้อมกัน
หลิ่วเชี่ยนยิ้มพูดอย่างไม่ปิดบัง “คนผู้นั้นก็คือสหายของท่านปู่พวกเรา”
แล้วหลิ่วเชี่ยนก็แสร้งทำเป็นอมพะนำ พูดออกมาเพียงครึ่งประโยค “อันที่จริงทั้งซานหูและหยวนเสวี๋ยต่างก็รู้จักเขา”
หานหยวนเสวี๋ยเบิกดวงตาคลอประกายน้ำกว้าง ชี้มาที่ตัวเอง “ข้ารู้จักเทพเซียนแบบนี้ด้วย? ทำไมแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เล่า?”
ในใจหวังซานหูรู้สึกกังขา แต่ก็ไม่เปิดปากถามอะไร ราวกับว่าหากนางถาม จะทำให้นางต่ำต้อยกว่าหลิ่วเชี่ยนอย่างไรอย่างนั้น
กลับเป็นฉู่ฮูหยินที่ความคิดแล่นเร็ว จึงยิ้มถามว่า “คงไม่ใช่เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ปีนั้นสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งหรอกกระมัง?”
หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ “เขานั่นแหละ”
หวังซานหูขมวดคิ้ว สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
หานหยวนเสวี๋ยอึ้งตะลึง แล้วก็พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องที่จี้ใจคน “ก็คือเด็กหนุ่มยากจนที่ปีนั้นเคยประลองวิชากระบี่กับพี่หญิงซานหูน่ะหรือ?”
หลิ่วเชี่ยนระอาใจ สตรีเซ่อซ่าผู้นี้นับว่าโชคดีที่มีบุญวาสนา ไม่อย่างนั้นเมื่อออกไปพ้นจากอกครอบครัวแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
หลิ่วเชี่ยนไม่สะดวกจะซ้ำเติมความรู้สึกของหวังซานหู จึงเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ คราวนี้คนผู้นั้นมาเยือนหมู่บ้าน หลังจากเล่นงานให้ซูหลางถอยร่นไปได้แล้ว ตอนที่ดื่มเหล้ากับท่านปู่ของพวกเราก็พูดว่าวิธีการพกดาบของหมู่บ้านเหิงเตาทำให้เขาจดจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน พอท่านปู่ของเราพูดถึงวิชาดาบของเจ้าประมุขหวังว่าคู่ควรกับคำว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ เขาเองก็เห็นด้วย”
แม้ว่าหวังซานหูจะรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาท แต่ในใจก็ยังรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรหวังอี้หรานบิดาของนางก็เป็นบุคคลที่สามารถค้ำฟ้ายันดินในใจของนางเสมอมา
แต่หานหยวนเสวี๋ยกลับสาดเกลือกำใหญ่ลงบนบาดแผลของนางอีกครั้งด้วยการถามคำถามที่เลอะเลือน “พี่หญิงซานหู ตอนนั้นท่านบอกว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าประมุขหวังไม่ใช่หรือ? แต่คนผู้นั้นเอาชนะเซียนกระบี่ไผ่เขียวได้เชียวนะ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่เจ้าประมุขหวังจะชนะก็คงมีไม่มาก”
หวังซานหูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้เอ่ยตอบโต้แม้แต่คำเดียว
ในใจนอกจากจะโมโหหานหยวนเสวี๋ยที่ปากไม่มีหูรูดและเจ็บแค้นศัตรูในอดีตผู้นั้นแล้ว
นางยังรู้สึกหวาดผวาและหวั่นกลัวอยู่ไม่คลายอีกด้วย
เด็กหนุ่มที่ปีนั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายความบ้านนอกบ้านนาและความยากจน บัดนี้ได้กลายมาเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาที่มีชีวิตอิสระเสรีมีความสุขที่สุดแล้ว
แบบนี้จะได้อย่างไร?
ต่อให้นางจะไม่อยากเชื่อ ไม่กล้าเชื่อมากแค่ไหน ก็รู้ดีว่านี่คือความจริงและเรื่องจริง
หมู่บ้านเหิงเตาที่บิดาสร้างขึ้นอย่างยากลำบากจะได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำที่มุทะลุวู่วามของตนในปีนั้นหรือไม่? นางได้ยินมาว่านิสัยของผู้ฝึกตนบนภูเขามักมีแค้นก็ต้องแก้แค้น ร้อยปีก็ยังไม่สาย ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อย่างในยุทธภพที่แค่หาคนไกล่เกลี่ยซึ่งมีชื่อเสียงมากพอมาสักคนหนึ่ง จากนั้นสองฝ่ายก็นั่งลงชูจอกเหล้า ดื่มอย่างสำราญเพื่อลืมความแค้นในอดีตได้แล้ว
หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “ซานหู วางใจเถอะ คนผู้นั้นคือสหายของท่านปู่ข้า อีกทั้งเขาก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตนอย่างที่เล่าลือกัน กลับเหมือนคนในยุทธภพมากกว่า”
หวังซานหูเค้นรอยยิ้มออกมา พยักหน้าให้หลิ่วเชี่ยนถือเป็นการแสดงคำขอบคุณ เพียงแต่ว่าสีหน้าของหวังซานหูยิ่งไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ
……
ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาตี้หลงซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับแคว้นซูสุ่ยและแคว้นซงซี
มีมือดาบชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งจูงม้าเดินมา
ตลอดทางที่เดินมานี้มีอยู่สองเรื่องที่แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักของแคว้นซูสุ่ยอย่างอึกทึกครึกโครม และนักเล่านิทานที่เชี่ยวชาญด้านการหาเลี้ยงชีพก็ได้นำไปเผยแพร่เป็นวงกว้างแล้ว
เซียนกระบี่ไผ่เขียวแคว้นซงซี ซูหลางที่ไปถามกระบี่กับซ่งอวี่เซา กลับเจอเข้ากับเซียนชั้นสูงที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาคนหนึ่งที่เมืองเล็กนอกหมู่บ้านภูเขาโดยบังเอิญ การเข่นฆ่าที่น่าพรั่นผวาเกิดขึ้นติดต่อกันสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมือกันครั้งที่สองที่เล่าลือกันว่า วันนั้นในหมู่บ้านวารีกระบี่มีปราณกระบี่พุ่งทะลุชั้นเมฆ กลบฟ้าคลุมดิน ลมและเมฆพัดตลบแปรเปลี่ยน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งศึกในรอบร้อยปีของยุทธภพ ต่อให้เทพกระบี่ผู้เฒ่าของแคว้นไฉ่อีปรากฏตัวบนโลกอีกครั้งแล้วร่วมรบแทนซูหลาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาที่มองชมศึกอยู่ด้านข้างเฉยๆ เลย ไม่มีใครสงสัยอีกแล้วว่าในอีกหกสิบปีข้างหน้า ซูหลางต้องกลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธของยุทธภพในหลายสิบแคว้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่กลุ่มผู้กล้าในยุทธภพที่มีจอมยุทธหญิงเซียวเป็นผู้นำได้เปิดศึกนองเลือดกับโจรกบฏพรรคฉู่ มีคนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ความบ้าดีเดือดถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงความอาจหาญของเหล่าผู้กล้าในแคว้นซูสุ่ย กลิ่นอายความเป็นเซียนอาจเปรียบเทียบกับซูหลางไม่ได้ แต่หากพูดถึงความองอาจกล้าหาญแล้วกลับไม่เป็นรองแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ เขาเพียงแต่ไปเยือนหอชิงฝูมารอบหนึ่ง ปีนั้นหลังจากเดินเที่ยวร้านเทพเซียนแห่งนี้กับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเสร็จแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไป
ผูกม้าไว้นอกหอชิงฝูที่เป็นอาคารสูงห้าชั้น กลอนคู่สองฝั่งยังคงมีเนื้อหาเหมือนอย่างในปีนั้น ‘ไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ราคาร้านข้ายุติธรรม ใจเขาใจเรา ลูกค้าโปรดกลับมาใหม่’
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในร้าน เพียงไม่นานก็มีดรุณีน้อยนางหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ ถ้อยคำที่นางใช้ยังคงไม่ต่างไปจากที่เคยได้ยินในปีนั้น ชมหรือซื้อขายอาวุธหนักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง วัตถุวิเศษอยู่ที่ชั้นสอง สมบัติอาคมอยู่ที่ชั้นสาม
เฉินผิงอันสอบถามถึงผู้เฒ่าคนหนึ่งว่ายังทำหน้าที่ดูของอยู่ที่ชั้นสองหรือไม่ สตรีพยักหน้ารับบอกว่าใช่ เฉินผิงอันจึงปฏิเสธไม่ให้นางติดตามไปด้วยอย่างละมุนละม่อม แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปเอง
หลังจากเคาะประตูที่เปิดอ้าไว้แล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นเห็นว่าข้างกายลูกค้าไม่มีสตรีของหอชิงฝูตามมาด้วยก็ทำสีหน้าสงสัยเล็กน้อย
เฉินผิงอันมองโต๊ะตัวใหญ่ที่ยังคงประดับตกแต่งเหมือนในอดีต มีกระถางธูปใบเล็กประณีตงดงามที่ควันธูปลอยเป็นเกลียว และยังมีกระถางต้นป่ายโบราณที่เป็นสีเขียวขจี กิ่งก้านคดงอทอดตัวยาวเหยียดออกไปในแนวขวาง บนกิ่งมีคนจิ๋วชุดเขียวนั่งเรียงกันเป็นแถว พอเห็นว่ามีแขกมาเยือนก็พากันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ เอ่ยถ้อยคำมงคลอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีต้อนรับท่านลูกค้าที่มาเยือนห้องของพวกเรา ขอให้ท่านร่ำรวยเงินทอง!”
เฉินผิงอันปลดงอบลง หัวเราะเสียงดังไม่หยุด
เขาอารมณ์ดียิ่งนัก