Skip to content

Sword of Coming 479

บทที่ 479 เสียงนกกระทากลางภูเขา

ในอดีตกลุ่มภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกไร้เงาผู้คน มีเพียงคนตัดฟืนที่จะมาเผาถ่านและช่างปั้นที่มาขุดดินเท่านั้นที่เข้าออกที่แห่งนี้ ตอนนี้จวนตระกูลเซียนแต่ละแห่งกลับยึดครองภูเขา และยิ่งมีท่าเรือตระกูลเซียนอย่างภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่ เฉินผิงอันจึงเห็นเด็กในพื้นที่ของเมืองเล็กพากันถือถ้วยข้าวมานั่งยองอยู่บนกำแพง แหงนหน้ารอดูเรือข้ามฟากบินผ่านไปไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว ทุกครั้งที่พบเห็นเรือข้ามฟากโดยบังเอิญ พวกเขาจะต้องหวีดร้องเสียงดัง ลิงโลดอย่างถึงที่สุด

บนเส้นทางภูเขาที่ย้อนกลับภูเขาลั่วพั่วในครั้งนี้ เฉินผิงอันกับเผยเฉียนได้เจอกับขบวนรถของเซียนซือกลุ่มหนึ่งที่จะไปเยือนยอดเขาอีไต้

การที่มาสร้างถ้ำสถิตลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ มีข้อหนึ่งที่ไม่ดี นั่นก็คือหร่วนฉงตั้งกฎไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนคนใดทะยานลมเดินทางไกลอย่างกำเริบเสิบสาน แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป หลังจากที่หร่วนฉงก่อตั้งสำนักกระบี่หลงเฉวียน ไม่ได้เป็นเพียงแค่อริยะที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่อีกต่อไป แต่เริ่มแตกกิ่งก้านสาขา ต้องมีการไปมาหาสู่กับเจ้าสำนักของสำนักต่างๆ จึงเริ่มมีการคลายกฎเล็กน้อย เขาให้ลูกศิษย์ที่เป็นเซียนดินโอสถทองอย่างต่งกู่รับผิดชอบเลือกเส้นทางในการทะยานลมสองสามเส้น จากนั้นก็ต้องมาขอป้ายห้อยเอวที่เป็น ‘ป้ายผ่านด่าน’ ลักษณะเป็นกระบี่เหล็กขนาดจิ๋วจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน จึงจะสามารถเข้าออกจากพื้นที่มงคลหลีจูได้อย่างเสรีกว่าเดิมเล็กน้อย เพียงแต่ว่ากองกำลังตระกูลเซียนหลายสิบกลุ่มที่ยังอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนจนถึงทุกวันนี้ คนที่ได้ครอบครองกระบี่เหล็กเล่มเล็กนั้นก็ยังมีน้อยนิดเพียงหยิบมือเดียว ไม่ใช่ว่าสำนักกระบี่หลงเฉวียนตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร แต่คนที่หลอมกระบี่ไม่ใช่หร่วนฉง แล้วก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของเขา แต่เป็นหร่วนซิ่วบุตรีโทนของเขา ความเร็วในการหลอมกระบี่ออกจากเตาของแม่นางหร่วนซิ่วผู้นั้นช้ามาก อืดอาดอย่างถึงที่สุด ปีหนึ่งถึงจะหลอมออกมาได้หนึ่งเล่ม เพียงแต่ว่าใครเล่าจะกล้าไปเร่งรัดนาง? ต่อให้หน้าหนาพอ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีความกล้ามากพอ ตอนนี้บนภูเขามีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่มา บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนหน่วยจานกานของต้าหลีที่หลางจงกองบวงสรวงแห่งกรมพิธีการต้าหลีเป็นผู้นำกลุ่มได้เดินทางลงใต้ไป ‘ใช้เหตุผล’ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน แม่นางซิ่วซิ่วก็แทบจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวสยบทุกอย่างให้ราบคาบ

ตอนนั้นสำนักตระกูลเซียนที่ควักเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเลือกสถานที่ตั้งเป็นยอดเขาอีไต้มีศาลบรรพจารย์ของสำนักตั้งอยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียงอันเป็นที่ตั้งของภูเขาเมฆาเรือง ถือว่าอยู่ลำดับล่างของกองกำลังลำดับสองบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นสถานการณ์ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ใคร่จะดี ใช่ว่าสำนักแห่งนี้ไม่อยากย้ายออก แต่เป็นเพราะตัดใจทิ้งเงินเทพเซียนที่ใช้บุกเบิกจวนก้อนนั้นไม่ลงจริงๆ ไม่อยากให้มันละลายหายไปกับสายน้ำทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งของศาลบรรพจารย์ที่เป็นเซียนดินโอสถทองซึ่งเหลือเพียงหนึ่งเดียวบนภูเขา ตอนนี้ก็ได้มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนยอดเขาอีไต้ ข้างกายมีเพียงแค่ศิษย์ลูกศิษย์หลานสิบกว่าคน รวมไปถึงบ่าวรับใช้บางส่วน ผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ไม่ปรองดองกับเจ้าขุนเขา ทางสำนักทำเช่นนี้ เดิมทีก็เพราะคิดอยากจะส่งบรรพจารย์ที่นิสัยดึงดันถือทิฐิท่านนี้ให้ออกไปจากสำนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาคอยไปวางมาดอยู่ในศาลบรรพจารย์ เป่าหนวดถลึงตา ทำเอาเหล่าเด็กรุ่นหลังของสำนักไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เฉินผิงอันเดินอย่างไม่รีบร้อน ทว่าฝีเท้าของขบวนรถม้ากลับไม่ช้า เขาจึงพาเผยเฉียนหลีกทางให้ คิดไม่ถึงว่าขบวนรถจะหยุดตามไปด้วย

ขบวนรถมีรถม้าสองคัน มีคนยี่สิบกว่าคน ผู้ที่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาอีไต้มีแค่สามคนเท่านั้น ที่เหลือล้วนเป็นนักการและข้ารับใช้ของบนยอดเขา

มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งและผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามสองคนแยกกันเดินลงมาจากรถม้า สตรีคนหนึ่งในนั้นกอดลูกจิ้งจอกขาวที่ขดตัวอย่างเกียจคร้านไว้ในอ้อมอก

ผู้ฝึกตนหนุ่มคือหนึ่งในผู้สืบทอดของบรรพจารย์แห่งยอดเขาอีไต้ เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เป็นฝ่ายทักทายก่อนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าคือซ่งหยวนแห่งยอดเขาอีไต้ ก่อนหน้านี้อาจารย์พาข้าไปเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ข้ายืนค่อนไปทางด้านหลัง บางทีเจ้าขุนเขาเฉินอาจจำไม่ได้”

คำพูดประโยคนี้กล่าวได้อย่างลื่นไหลน่าฟัง ไม่ชวนให้คนดูแคลนแม้แต่น้อย

อันที่จริงเฉินผิงอันจำซ่งหยวนได้ เดิมทีเขาก็ความจำดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่คนประเภทที่จมูกเชิดขึ้นฟ้า ขนาดชุ่ยอิ๋งแห่งหอชิงฝูของปีนั้นยังจำได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนดินโอสถทองที่ได้อยู่บนยอดเขาข้างเคียงเลย ในความเป็นจริงแล้ววันนั้นที่เซียนดินยอดเขาอีไต้มาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ซ่งหยวนไม่เพียงแต่ไม่ได้ยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง กลับกันคือศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงของเขาต่างหากที่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนซ่งหยวนนั้นยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย จึงได้รับความรักและเอ็นดูมากสุด ขนาดฮ่องเต้ยังรักบุตรชายคนเล็ก ก็คือหลักการเดียวกันนี้

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มถามว่า “เซียนซือเสี่ยวซ่งเพิ่งกลับมาจากด้านนอกหรือ?”

ซ่งหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บนยอดเขาอี้ไต้ก็มีอาจารย์อาที่แซ่ซ่งเหมือนกัน ดังนั้นการที่เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วท่านนี้เรียกเขาว่าเซียนซือเสี่ยวซ่ง (เสี่ยวแปลว่าน้อย เล็ก เซี่ยวซ่งก็คือซ่งน้อย/ซ่งเล็ก) ตั้งแต่คำแรกที่เปิดปาก ก็ถือว่ามีความพิถีพิถันและชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง

ซ่งหยวนพยักหน้ารับ “ข้ากับศิษย์น้องหลิวเพิ่งกลับมาจากการร่วมงานพิธีที่ภูเขาเมฆาเรือง ตอนนั้นก็มีสหายคนหนึ่งที่เข้าร่วมงานพิธีเหมือนกัน ได้ยินมาว่าพื้นที่มงคลหลีจูของพวกเราคือสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดีซึ่งปลูกฝังให้เกิดอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากของทวีป จึงอยากจะมาเที่ยวชมเขตการปกครองหลงเฉวียนของพวกเรา ก็เลยกลับมาพร้อมข้าและศิษย์น้องหลิวด้วย”

ซ่งหยวนก้าวถอยหลังเล็กๆ สองก้าวอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ครั้นจึงผายมือไปทางผู้ฝึกตนหญิงสองคนนั้น “จะแนะนำให้เจ้าขุนเขาเฉินได้รู้จัก ผู้นี้คือศิษย์น้องหลิว คือหลานสาวที่อาจารย์ของข้ารักและเอ็นดูมากที่สุด เจ้าขุนเขาเฉินเรียกนางว่ารุ่นอวิ๋นก็แล้วกัน ส่วนผู้นี้คือเทพธิดาโจวจากอารามชิงเหมยแห่งทะเลสาบหนันถัง เป็นสหายสนิทของศิษย์น้องหลิวของข้า พวกเราเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนของสกุลเฉิน คิดว่าจะไปเที่ยวชมสำนักศึกษาหลินลู่บนยอดเขาพีอวิ๋น แล้วค่อยกลับไปที่ยอดเขาอีไต้”

เฉินผิงอันเรียกพวกนางว่าแม่นางหลิว เทพธิดาโจว จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ถ่วงเวลาการเดินทางของเซียนซือเสี่ยวซ่งแล้ว”

ซ่งหยวนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้จงใจชวนคุยต่อ พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ผู้ฝึกตนบนยอดเขา ขอแค่เลื่อนขั้นไปถึงตระกูลเซียนห้าขอบเขตกลางที่ถือว่าอยู่กึ่งกลางภูเขา ส่วนใหญ่ก็ล้วนมีจิตใจที่เย็นชาไร้ความปรารถนา ไม่ยินดีจะสัมผัสกับเรื่องราวทางโลกมากนัก ในเมื่อเฉินผิงอันไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว ซ่งหยวนจึงไม่เปิดปากพูด ต่อให้ซ่งหยวนจะรู้ว่าเทพธิดาโจวจากอารามชิงเหมยที่อยู่ข้างกายจะส่งสายตาให้เขา ซ่งหยวนก็แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น

ตลอดที่เดินทางขึ้นเหนือมานี้ เทพธิดาโจวที่อาศัยการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังผู้นี้ดึงดันอย่างมาก ไม่ยินดีพลาดเครือข่ายผู้คนและการค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำใดๆ เลย แทบทุกครั้งที่ไปถึงตระกูลเซียนหรือจุดที่มีทัศนียภาพงดงาม เทพธิดาโจวก็จะต้องใช้วิชาลับ ‘ตัดเก็บ’ ของอารามชิงเหมยเก็บภาพต่างๆ เอาไว้ จากนั้นก็ ‘ฝัง’ เรือนกายที่น่าหลงใหลของตัวเองเข้าไปท่ามกลางภาพเหล่านั้น ยามที่ถึงช่วงเทศกาลสำคัญก็จะได้ส่งไปให้กับผู้ชมที่คุ้นเคยกันซึ่งมีทรัพย์สินมหาศาลและยินยอมทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อนาง ซ่งหยวนไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เป็นเพื่อนนางมาตลอดทาง อันที่จริงเขาอึดอัดใจไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเทพธิดาโจวสนิทกับศิษย์น้องหลิวของเขา อีกทั้งศิษย์น้องหลิวยังคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหน้ายอดเขาอีไต้ของตนก็จะสามารถคลายข้อห้ามของการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบ้างเหมือนกัน นางจะได้เลียนแบบพี่หญิงโจวที่ได้รับความนิยมไปทั่วผู้นี้บ้าง ซ่งหยวนจึงไม่พูดอะไรมากอีก อาจารย์รักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้อย่างมาก มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมตกลง บอกว่าสตรีนางหนึ่งแต่งกายประทินโฉมอย่างเฉิดฉัน แล้วไปเปิดเผยหน้าตารูปร่างให้พวกอันธพาลเสเพลที่คิดไม่ซื่อกลุ่มใหญ่เกี้ยวพาราสีไปวันๆ มันสมควรแล้วหรือ ยอดเขาอีไต้ไม่ได้ขาดแคลนเงินเทพเซียนเล็กๆ น้อยๆ นี่สักหน่อย จึงยืนกรานว่าจะไม่อนุญาตเด็ดขาด

เทพธิดาโจวผู้นั้นก็ไม่ยอมให้เฉินผิงอันเดินหนี นางลูบเส้นผมตรงจอนหู ดวงตาคลอประกายน้ำ ส่งเสียงขึ้นมาว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าได้ยินศิษย์พี่ซ่งพูดถึงท่านอยู่หลายครั้ง ศิษย์พี่ซ่งเลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง ยังบอกด้วยว่าเจ้าขุนเขาเฉินคือเจ้าของที่ดินรายใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลหลีจูในทุกวันนี้ ไม่ทราบว่าหากข้ากับรุ่นอวิ๋นไปเยี่ยมชมภูเขาลั่วพั่วจะเป็นการบุ่มบ่ามเกินไปหรือไม่?”

ซ่งหยวนพลันรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน

อันที่จริงเขาพูดกับเทพธิดาโจวผู้นี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้วว่า สถานที่อย่างพื้นที่มงคลหลีจูนี้ไม่เหมือนกับสถานที่สำคัญในการฝึกตนของตระกูลเซียนแห่งอื่นๆ สถานการณ์ของที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน เส้นสายรากฐานตัดสลับกันยุ่งเหยิง มีเทพในกลุ่มคนอยู่เยอะมาก จะพูดจาหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง คิดดูแล้วเทพธิดาโจวคงไม่ได้ฟังเข้าหูเลยแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอาจยิ่งทำให้นางฮึกเหิม กระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือเต็มทีก็เป็นได้ เพียงแต่เทพธิดาโจวเอ๋ยเทพธิดาโจว เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิดไว้จริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ให้กับซ่งหยวน ใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เซียนซือซ่งน้อยผู้นี้ว่าไม่ต้องคิดมาก จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับเทพธิดาแห่งอารามชิงเหมยผู้นั้นว่า “ไม่บังเอิญเลย อีกเดี๋ยวข้าจะต้องไปจากภูเขาแล้ว อาจจะทำให้เทพธิดาโจวต้องผิดหวัง คราวหน้าหากข้าย้อนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง จะต้องเชื้อเชิญเทพธิดาโจวและแม่นางหลิวให้ไปนั่งที่นั่นเป็นแน่”

หลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้กำลังจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกซ่งหยวนกระตุกชายแขนเสื้อเบาๆ

เทพธิดาโจวกัดริมฝีปาก “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ ฉงหลินจะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “ยังไม่อาจบอกได้จริงๆ”

เทพธิดาแห่งอารามชิงเหมยผู้มีเรือนกายสะโอดสะองจึงเบี่ยงตัวยอบคำนับ พอยืดตัวขึ้นตรงแล้วก็เอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รู้จักกับเจ้าขุนเขาเฉิน ขอต้อนรับให้ท่านไปเป็นแขกที่อารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง ฉงหลินจะต้องพาเจ้าขุนเขาเฉินเที่ยวชมทัศนียภาพของดอกเหมยด้วยตัวเอง คำกล่าวที่ว่า ‘ยามวสันต์ดอกเหมยบานสะพรั่งเต็มสวน’ ของอารามชิงเหมยเรามีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน จะต้องไม่ทำให้เจ้าขุนเขาเฉินผิงอันหวังอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ได้เลย หากมีโอกาสเดินทางผ่านจะต้องไปรบกวนอารามชิงเหมยแน่”

โจวฉงหลินชำเลืองตามองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ถือไม้เท้าเดินป่าแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางน้อย เจ้าสบายดีไหม”

เผยเฉียนชี้ไปยังใบหน้าบวมแดงของตัวเอง พูดด้วยท่าทางเซ่อซ่า “ข้าไม่ค่อยสบายดีสักเท่าไหร่”

โจวฉงหลินยังคิดจะพยายามตีสนิทกับแม่นางน้อยที่ไม่น่าเอ็นดูอย่างยิ่งผู้นี้อีกรอบหนึ่ง แต่เฉินผิงอันกลับจูงมือเผยเฉียนบอกลาจากไปแล้ว

ดูเหมือนหลิวรุ่นอวิ๋นอยากจะทวงความยุติธรรมแทนพี่หญิงโจว เพียงแต่ว่าซ่งหยวนไม่เพียงแต่ไม่คลายมือ กลับกันยังกำข้อมือของนางไว้แน่น หลิวรุ่นอวิ๋นที่เริ่มเจ็บรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง ถึงได้อดกลั้นไว้ไม่พูดอะไรออกมา

แม้ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของท่านปู่จะทำให้นางไร้ทุกข์ไร้กังวล นิสัยซื่อตรงร่าเริง น้อยนักที่จะมีกลอุบาย แต่ถึงอย่างไรหลิวรุ่นอวิ๋นก็เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริง ต่อให้จนถึงทุกวันนี้ยังไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่นางกลับไม่ได้โง่เขลาจริงๆ เสียหน่อย

เสียงนกกระทากลางภูเขา

ขบวนรถเคลื่อนผ่านไปช้าๆ หลังจากขับออกไปได้ไกลมากแล้ว สารถีที่ได้รับคำสั่งมาตั้งแต่แรกถึงได้กล้าเพิ่มความเร็วฝีเท้าม้า

ม่านรถถูกเลิกขึ้น โจวฉงหลินมองหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่เดินอยู่ข้างทาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ทำให้นางรู้สึกจนใจเล็กน้อย นางอุตส่าห์เชี่ยวชาญวิชาล่อลวงมอมเมาใจบุรุษสารพัดรูปแบบ แต่กลับต้องมาเจอกับคนตาบอดที่ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียนี่

ซ่งหยวนนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าด้านหน้าเพียงลำพัง เขาในเวลานี้ได้แต่ทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่หยุด

เทพธิดาโจวผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไรเลยจริงๆ อีกเดี๋ยวหากพานางไปถึงบนยอดเขาอีไต้จะต้องบอกกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวสักคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้รุ่นอวิ๋นถูกนางนำพาให้เสียคน

บนทางเดิน เผยเฉียนที่หลังจากร้องฮื่อฮ่าร่ายกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบ ก็ยิ้มตาหยีถามว่า “อาจารย์ ท่านลองเดาดูสิว่าในสามคนนั้น ข้าถูกชะตากับใครมากที่สุด?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้?”

เผยเฉียนส่ายหน้า “จะให้โอกาสอาจารย์ได้เดาอีกสองครั้ง”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เหมือนกับอาจารย์ คือซ่งหยวน?”

คาดไม่ถึงว่าเผยเฉียนยังคงส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋งอยู่เหมือนเดิม “เดาอีก เดาอีก!”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นโจวฉงหลิน?”

สำหรับโจวฉงหลินที่เชี่ยวชาญด้านการเอาตัวรอดแล้ว เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นมีอคติ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าชื่นชอบ

หลักๆ แล้วเป็นเพราะวิธีการพยายามสานความสัมพันธ์ของนางไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ง่ายที่จะนำพาปัญหามาให้แก่ซ่งหยวน หากอีกฝ่ายเกิดรังเกียจขึ้นมา โจวฉงหลินสามารถกลับไปยังอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง ไปเป็นเทพธิดาของนางต่อไปได้ แต่ในฐานะสหายครึ่งตัวของนาง ซ่งหยวน รวมไปถึงยอดเขาอีไต้ที่ซ่งหยวนอยู่ต่างก็หนีไม่พ้น ข้อนี้ต่างหากถึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันไม่ยอมไว้หน้าโจวฉงหลินแม้แต่น้อย

เผยเฉียนยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมากวักเบาๆ สองที บอกเป็นนัยว่านางมีคำพูดที่อยากจะเอ่ยกับอาจารย์เบาๆ

เฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วค้อมตัวลง เผยเฉียนใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปากแล้วพูดกับเขาเบาๆ ว่า “เทพธิดาโจวผู้นั้น แม้จะมองดูเหมือนงามเพริศพริ้ง แต่แน่นอนว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบพี่หญิงนักพรตและเหยาจิ้นจือได้มากนัก ทว่าข้าจะบอกอาจารย์ให้นะ ข้าเห็นว่าในใจของนางมีคนจิ๋วเสื้อผ้าขาดวิ่นที่น่าสงสารอาศัยอยู่มากมาย สภาพไม่ต่างจากข้าในปีนั้นสักเท่าไหร่ ผอมกะหร่อง ใกล้จะหิวตายอยู่แล้ว ส่วนนางเองก็เสียใจอย่างมาก ได้แต่มองชามข้าวใบใหญ่ว่างเปล่าที่อยู่ตรงข้าม ไม่กล้ามองพวกเขา”

ในใจเฉินผิงอันสั่นสะเทือน พลันเงยหน้ามองไป ขบวนรถจากไปไกลมากแล้ว เฉินผิงอันพึมพำประโยคหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เทพธิดาผู้นั้นเอื้อนเอ่ย “แบบนี้เองหรือ”

เฉินผิงอันเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า

เผยเฉียนโบกไม้เท้าเดินป่า เงยหน้าถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “อาจารย์ อารมณ์ไม่ดีหรือ? เป็นเพราะข้าพูดผิดไปใช่ไหม?”

เผยเฉียนครุ่นคิด เพียงไม่นานก็คิดหาวิธีชดเชยได้ นางอ้าปากกว้าง จากนั้นก็โคลงศีรษะ ทำท่าเหมือนคนสวาปามอาหาร “เรียบร้อย อาจารย์ ข้ากลืนคำพูดกลับลงท้องไปแล้ว อาจารย์รีบอารมณ์ดีเร็วเข้าสิ!”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง กดศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ แล้วโยกศีรษะของนางจนตัวนางโยกซ้ายโยกขวาตามไปด้วย “รอให้อาจารย์ไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าก็ไปหาพี่หญิงโจวคนนั้นที่ยอดเขาอีไต้ บอกว่าขอเชิญให้นางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่หากพี่หญิงโจวต้องการให้เจ้าช่วยพานางไปเยี่ยมเยือนสำนักกระบี่หลงเฉวียนอะไรทำนองนั้น ก็อย่าได้รับปาก บอกไปว่าเจ้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่อาจช่วยได้ แต่หากเป็นภูเขาของบ้านตัวเอง พวกเจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ตามใจ แต่หากมีเรื่องบางอย่างที่ไม่กล้าตัดสินใจจริงๆ ก็ให้ไปถามจูเหลี่ยน”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “วางใจเถอะ อาจารย์ ตอนนี้ข้ารับรองต้อนรับผู้คนได้อย่างรอบคอบรัดกุมจนน้ำสักหยดก็ไม่รั่วไหล กิจการที่ร้านยาสุ้ย เดือนนี้ยังได้เงินมากว่าเวลาปกติตั้งสิบกว่าตำลึงเชียวนะ! เงินสิบสี่ตำลึงสามเฉียน! หากอยู่ที่แคว้นหนันเยวี่ยนจะสามารถซื้อหมั่นโถวที่ขาวราวหิมะได้กี่กระบุง? ใช่ไหม? อาจารย์ จะเล่าให้ท่านฟังอีกเรื่องหนึ่ง หาเงินมาได้มากขนาดนั้น ข้าก็กลัวว่าพี่หญิงสือโหรวเห็นเงินแล้วจะเกิดความละโมบใช่ไหมล่ะ ก็เลยจงใจปรึกษากับนาง บอกว่าเงินก้อนนี้ข้ากับนางแอบซ่อนไว้ดีกว่า ถึงอย่างไรฟ้าก็ไม่รู้ดินไม่เห็น ถือซะว่าเป็นเงินส่วนตัวของสตรี คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงสือโหรวจะบอกว่านางขอคิดให้ดีก่อน ผลคือนางใช้เวลาคิดหลายวันมากๆ ข้าร้อนใจแทบตายอยู่แล้ว จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่อาจารย์จะกลับมาบ้าน นางถึงได้บอกว่าอย่าดีกว่า เฮ้อ โชคดีที่สือโหรวผู้นี้ไม่ได้ตกลง ไม่อย่างนั้นคงต้องกินวิชากระบี่มารคลั่งของข้าไปหนึ่งชุดแล้ว แต่เห็นแก่ที่นางยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง ข้าก็เลยควักกระเป๋าเงินตัวเอง ซื้อกระจกทองแดงบานหนึ่งมอบให้นาง ก็เพราะหวังว่าพี่หญิงสือโหรวจะไม่ลืมกำพืดตัวเอง ส่องกระจกบ่อยๆ ทุกวัน ฮ่าๆ อาจารย์ท่านคิดดูนะ เวลาส่องกระจก พี่หญิงสือโหรวก็จะเห็นเป็นหน้าของตาเฒ่าสกปรกที่ไม่ใช่สือโหรวแล้ว…”

เผยเฉียนคล้ายนกกระจิบตัวน้อยที่บินล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ส่งเสียงจิ๊บๆ ดังไม่หยุด

เฉินผิงอันกุมขมับ ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว

ไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนในร้านยาสุ้ยนี้ ใครแกล้งใครกันแน่ ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็เอาเปรียบอีกคนไม่ได้

“อาจารย์เหตุใดท่านถึงไม่ไปเชิญโจวฉงหลินเองเล่า? ช่างเถิด ให้ข้าที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ลงมือเองก็แล้วกัน นางเองก็น่าจะรู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว มีหน้ามีตาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย!”

“ข้าแค่ยอมรับในการกระทำอันดีงามที่ไม่มีใครรับรู้ของนาง แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับความไม่รอบคอบในเรื่องการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจของนาง ดังนั้นอาจารย์คงไม่ออกหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ได้มาเยือนภูเขาลั่วพั่วแล้ว หากเข้าใจผิดคิดว่าทุกสถานที่ล้วนเป็นอย่างภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ด้วยพฤติกรรมเช่นนั้นของนาง บางทีตอนอยู่ที่อารามชิงเหมยอาจจะราบรื่น แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วต้องไปชนตอและเจอกับเรื่องยากลำบาก เซียนซือที่สามารถซื้อภูเขาของที่นี่ไว้ฝึกตนได้ หากเกิดข้อพิพาทด้วยขึ้นมา ย่อมไม่สนอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังอะไรทั้งนั้น ถึงท้ายที่สุดแล้วจะไม่กลายเป็นว่าคือพวกเราที่ทำร้ายนางหรอกหรือ?”

“อาจารย์ ท่านพูดวกวนไปมา อีกทั้งข้ายังเป็นคนตั้งใจศึกษาหาความรู้ ชอบคิดทุกเรื่องอย่างจริงจัง ผลกลับกลายเป็นว่าปวดกบาลซะแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิด แค่ฟังอย่างเดียวก็พอ”

“แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ไม่ใช่เรื่องดีนี่นา พ่อครัวเฒ่าจูมักจะชอบพูดว่าข้าเป็นคนหัวทึบ แถมยังชอบพูดว่าข้าทั้งตัวไม่สูง แล้วปัญญาก็ยังไม่เพิ่มพูน อาจารย์ ท่านอย่าได้เชื่อเขาเป็นอันขาดเชียวนะ”

“ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

“อันที่จริงใช่ว่าจะพูดอะไรไม่ได้เสียเลย ขอแค่ไม่มีเจตนาร้ายก็พอ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าคำพูดพล่อยๆ ที่แท้จริง การที่อาจารย์พูดแบบนี้ก็เพราะกลัวว่าเจ้าอายุยังน้อย พอเคยชินจนติดเป็นนิสัยแล้วก็จะแก้ไขไม่ได้อีก”

“แต่หากตัวข้าเองไม่รู้ว่านั่นคือเจตนาร้าย ทว่าแท้จริงแล้วนั่นก็คือเจตนาร้ายจริงๆ จนสุดท้ายทำเรื่องที่ผิด ทำเรื่องที่เลวร้ายลงไป จะทำอย่างไรล่ะ?”

“ก็ยังมีอาจารย์อยู่นี่นา”

……

มาถึงภูเขาลั่วพั่ว เจิ้งต้าเฟิงยังคงง่วนอยู่กับการตรวจตรางานก่อสร้าง ไม่คิดจะสนใจเจ้าของภูเขาอย่างเฉินผิงอันแม้แต่น้อย

บนผนังในเรือนของจูเหลี่ยนแขวนภาพวาดไว้จนเต็มแล้ว ล้วนเป็นภาพของโฉมสะคราญทั้งสิ้น

อีกทั้งยังเป็นภาพของเทพหญิงในเขตการปกครองขุนเขาเหนือทั้งหมด แต่ละภาพมีชีวิตชีวา สดใสเสมือนจริง ลำพังเพียงแค่ทรงผมก็มีมากถึงสิบกว่าชนิด

เฉินผิงอันอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวถามว่า “เฉินยวนจีไม่พูดว่าเจ้าแก่แล้วไม่เจียมสังขารบ้างหรือ?”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “แม่นางน้อยมีแต่จะชมว่าบ่าวเฒ่ามีฝีมือดุจเทพสร้าง”

ตอนนั้นเฉินผิงอันถืองอบไว้ในมือ ไร้คำพูดจะตอบโต้

คนทั้งสามมุ่งหน้าไปที่เรือนไม้ไผ่ด้วยกัน

จูเหลี่ยนถาม “นายน้อยจะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อีกไม่กี่วันเรือข้ามฟากลำนั้นก็จะมาถึงภูเขาหนิวเจี่ยวแล้ว”

จูเหลี่ยนที่หลังงองุ้มลูบคลำปลายคาง เพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”

จูเหลี่ยนเกาหัว “ไม่มีอะไร ก็แค่อยู่ดีๆ นึกถึงว่าท่ามกลางภูเขาลูกใหญ่ของพวกเรา มีเสียงนกกระทาดังลอยมา การจากลาใกล้จะมาถึง ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจเล็กน้อย”

เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ

จูเหลี่ยนบอกว่าจะไปดูการฝึกหมัดของเฉินยวนจีแล้วก็จากไปเลย

เฉินผิงอันที่พอไปถึงเรือนไม้ไผ่ก็ไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปชั้นบน แต่ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา เพียงไม่นานเผยเฉียนก็พาเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่มีชื่อว่าเฉินหรูชูวิ่งตะบึงเข้ามาหาเขาพร้อมกัน

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างคุ้นชิน แล้วเมล็ดแตงก็ถูกวางไว้เต็มกำมืออย่างที่คิดไว้จริงๆ

เฉินหรูชูจำแลงร่างมาจากงูเหลือมไฟชะตาบุ๋น อันที่จริงนางอ่านตำรามามากมาย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดไม่ไหวถามว่า “บทกวีโบราณและบทประพันธ์ของปัญญาชนที่พูดถึงนกกระทา มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง?”

เฉินหรูชูรีบหยุดแทะเมล็ดแตง หลังจากนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อยแล้วก็พูดจ้อถึงบทความบทกวีที่เขียนเกี่ยวกับนกกระทาเสียหลายบท ทำเอาเผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่สัปหงก ต้องรีบแทะเมล็ดแตงสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้ตัวเองทันที

เฉินผิงอันรู้สึกว่ายังไม่อาจใคร่ครวญจนเข้าใจความนัยของคำพูดจูเหลี่ยนได้อย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำกล่าวเกี่ยวการได้ยินเสียงนกกระทาในป่าลึก หรือไม่ก็บรรยายเกี่ยวกับความทุกข์ตรมยามที่ต้องจากลากัน เพียงแต่เฉินผิงอันคร้านจะคิดให้มากความ หลังจากนี้ยังต้องขึ้นไปบนเรือน เขาควรจะเป็นห่วงตัวเองให้มากถึงจะถูก

เด็กน้อยพลันยิ้มเอ่ยว่า “ยังมีประโยคหนึ่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยวริมหน้าผาสูงชัน ทำไม่ได้นะพี่ชาย!” (ประโยคหลังทำไม่ได้นะพี่ชายนี้ ภาษาจีนอ่านว่า ‘สิงปู้เต๋อเย่เกอเกอ’ ซึ่งสามารถใช้เป็นประโยคที่ใช้เลียนเสียงนกกระทาจีนร้องได้เช่นกัน อีกทั้งประโยคนี้ยังเปรียบเปรยถึงการเดินทางที่ยากลำบาก นอกจากนี้นักกวีในสมัยโบราณมักใช้เสียงนกกระทาร้องมาแทนถึงความเศร้าโศกเสียใจที่ต้องจากลา ประโยคนี้จึงแปลได้หลายความหมาย)

ในหัวของเผยเฉียนพลันเกิดแสงสว่างวาบ “อ้อ พ่อครัวเฒ่ากำลังหมายถึงพี่หญิงซิ่วซิ่วน่ะ”

เฉินผิงอันวางเมล็ดแตงที่เหลือเกินครึ่งในมือลง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังชั้นสองเงียบๆ ถูกป้อนหมัดก็ดีเหมือนกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!