Skip to content

Sword of Coming 490

บทที่ 490 รีบเดินทางไปยังเมืองจิงกวาน

ทางเข้าหุบเขาผีร้ายคือซุ้มป้ายประตูขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง ซุ้มด้านหน้าสุดคือซุ้มหกเสาห้าห้องสิบเอ็ดยอดซึ่งนับว่าเป็นขนาดที่โอ่อ่าจนน่าตกใจ ใช้แก้วไสสีเขียวและสีเหลืองที่มีชื่อเสียงและล้ำค่าฝังเลื่อมติดกับผนัง บนตัวมังกรทุกตัวที่เลื้อยพันอยู่บนเสาล้วนแกะสลักเป็นภาพปราบมารของบรรพบุรุษสำนักพีหมาแต่ละยุคสมัย ส่วนกรอบป้ายนั้นก็ค่อนข้างจะ ‘ยิ่งใหญ่ตระการตา’

ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมักจะมีสายตาที่ดีเยี่ยมเสมอ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้หลังจากที่เฉินผิงอันมองไปยังซุ้มป้ายกลับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของทางเส้นนี้เลย ราวกับว่ายังมีเวทบังตาอำพรางอยู่

แต่เมื่อเทียบกับประตูที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ความลี้ลับมหัศจรรย์ของซุ้มป้ายแห่งนี้จึงไม่อาจทำให้เฉินผิงอันตื่นตะลึงได้

เฉินผิงอันหาที่นั่งใกล้ๆ กับซุ้มประตูเพื่ออ่านหนังสือมาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เพราะว่าอ่านอย่างละเอียด ไม่ยอมให้พลาดรายละเอียดเล็กน้อยใดๆ ไป ถึงได้ใช้เวลาอ่านไปเกือบครึ่งวัน แล้วก็คิดว่าวันนี้จะพักค้างแรมในโรงเตี๊ยมของตลาดที่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก พรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจใหม่ว่าจะไปชื่นชมทัศนียภาพริมอาณาเขตของหุบเขาผีร้ายหรือเดินผ่านซุ้มป้ายนั้นเข้า ไปหาประสบการณ์กลางหุบเขากันแน่ เขาไม่ได้รีบร้อน

เฉินผิงอันเก็บหนังสือ เดินไปทางตลาดที่คึกคักแห่งนั้น สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่สำนักพีหมาให้ผู้ฝึกตนสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งของชายหาดโครงกระดูกเช่าแล้วจัดการเอาเอง กิจการส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกันนี้ นั่นคือผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือดูแลด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเมื่อนับรวมกันแล้วผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาก็มีไม่ถึงสองร้อยคน อีกทั้งกิจการบ้านเรือนยังใหญ่โต หากจะให้ลงมือทำเองไปเสียทุกเรื่องย่อมถ่วงรั้งการฝึกตนบนมหามรรคา ได้ไม่คุ้มเสีย

เพียงแต่ว่าก่อกำเนิดแซ่ซูที่เฝ้าพิทักษ์เรือข้ามทวีป กับโอสถทองแซ่หยางที่ตรวจตรานครปี้ฮว่ากลับเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงหน้าตาและเรื่องภายในของสำนักพีหมา

ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้เริ่มมีเค้าโครงของเรือนใหญ่บนภูเขาบ้างแล้ว จูเหลี่ยนและสือโหรวก็เหมือนแยกกันดูแลเรื่องภายในและภายนอกเรือน คนหนึ่งทำกิจธุระอยู่นภูเขา อีกคนหนึ่งดูแลกิจการอยู่ในตรอกฉีหลง

จนกระทั่งออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างแท้จริง บางครั้งระหว่างที่ฝึกหมัดอยู่บนเรือข้ามทวีปลำนั้น เฉินผิงอันก็จะย้อนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ถึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ คนสองคนที่มีลักษณะเหมือนผู้ดูแลนี้ คนหนึ่งเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ส่วนอีกคนก็เป็นผีสาวโครงกระดูกที่สวมคราบร่างเซียน ใครเล่าจะจินตนาการได้ถึง?

ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากภูเขาลั่วพั่วก็ได้บอกกล่าวแก่จูเหลี่ยนเรียบร้อยแล้วว่าตนจะไม่ใช้กระบี่บินส่งข่าวกลับมาที่ภูเขาหนิวเจี่ยวง่ายๆ ส่วนกระบี่บินสองเล่มที่ซ่อนอยู่ในเนินกระบี่ขนาดเล็กนั้นก็ไม่อาจข้ามทวีปได้ ดังนั้นการเดินทางไกลมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้คือการมาอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ไร้พันธนาการใดๆ อย่างแท้จริง

เพราะถึงอย่างไรภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ก็มั่นคงปลอดภัยอย่างมาก

คนที่ต้องกริ่งเกรง ควรจะเป็นคนอื่นมากกว่า

เฉินผิงอันเดินอยู่บนถนน ยกมือประคองงอบแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง ร้านผ้าห่อบุญร้านนี้ของตนก็น่าจะหาเงินมาเพิ่มบ้างได้แล้ว

ชายหาดโครงกระดูกคือสถานที่ที่ไม่ใช้หลักพิธีการของลัทธิขงจื๊อ ตลาดเล็กไม่มีชื่อถูกคนในพื้นที่เรียกว่าด่านไน่เหอ (หมดปัญญา/ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร/จนใจ) หลังจากเรียกจนติดปาก ไปๆ มาๆ ทุกคนก็ให้การยอมรับชื่อนี้

ต่อให้ดวงอาทิตย์จะลอยสูงเหนือหัว ตรอกซอกซอยของตลาดแห่งนี้ก็ยังคงมีบรรยากาศอึมครึม เยียบเย็นอย่างเห็นได้ชัด ตามคำบอกของตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’ ฉบับที่สำนักพีหมาจัดพิมพ์เล่มนี้ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะปราณหยินในหุบเขาผีร้ายแผ่ออกมาภายนอก ดังนั้นคนที่มีร่างกายอ่อนแอจึงไม่อาจอยู่ใกล้ ทว่าปราณหยินที่ฟังดูแล้วน่ากลัวอย่างมากพวกนี้กลับมีบันทึกไว้บนกระดาษอย่างชัดเจนว่าได้ถูกค่ายกลภูเขาแม่น้ำของสำนักพีหมาหล่อหลอมจนค่อนข้างจะบริสุทธิ์และสมดุลแล้ว เหมาะให้ผู้ฝึกตนดูดซับไปโดยตรงในระดับหนึ่ง ดังนั้นขอแค่ผู้ฝึกลมปราณทะยานลมลอยตัวกลางอากาศมองไปก็จะพบว่าไม่เพียงแต่บริเวณโดยรอบตลาดแห่งนี้เท่านั้น เส้นชายแดนรอบหุบเขาผีร้ายก็มีผู้ฝึกลมปราณจำนวนมากมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ กระท่อมที่เรียบง่ายแต่ไม่สามัญแต่ละหลังกระจายตัวกันเหมือนดวงดาว ถี่ห่างอย่างเหมาะสม กระท่อมเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาที่เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ยเชิญให้คนมาสร้างไว้บน ‘ตาน้ำพุ’ ที่มีปราณหยินเข้มข้นเหล่านั้น อีกทั้งกระท่อมทุกหลังยังวางเบาะที่ศาลซานหลางทำขึ้นด้วยวิธีการลับ ผู้ฝึกตนสามารถยืมใช้กระท่อมหลังหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ พวกที่มีเงินมากหน่อยก็สามารถกว้านซื้อเอาไว้ได้เลย ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ เล่มนั้นก็มีราคาระบุไว้อย่างละเอียด

นี่คงจะเป็นวิธีการหาเงินของสำนักพีหมา

วันหน้าภูเขาลั่วพั่วต้องเรียนรู้จากพวกเขาให้ดีๆ ซะแล้ว

หลังจากเข้ามาในตลาด เฉินผิงอันก็เดินเล่นไปตลอดทาง พบว่าร้านค้าแทบทุกร้านคล้วนขายกระดูกขาวชนิดหนึ่งที่ใสแวววาวเหมือนหยก นี่คืออัญมณีหลังกำเนิดชนิดหนึ่งที่ ‘รวมเล่มวางใจ’ อธิบายไว้อย่างละเอียดในบทดำเนินการค้า ค่อนข้างจะล้ำค่า แรกเริ่มเดิมทีเหล่าภูตผีจำนวนมากที่ถือกำเนิดในซากปรักสนามรบโบราณของหุบเขาผีร้ายกรูกันมารวมกัน ครึ่งหนึ่งในนั้นถูกผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลขับไล่มาถึงที่นี่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกมันสร้างหายนะให้แก่ทั้งชายหาดโครงกระดูก

ภายหลังวัตถุหยินเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ขอบเขตเลื่อนสูงเหมือนกับผู้ฝึกลมปราณ ภายใต้โชควาสนาในรูปแบบต่างๆ ก็ได้กลายมาเป็นวิญญาณวีรบุรุษเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ แต่ส่วนที่มากกว่านั้นกลับกลายไปเป็นผีร้ายพยาบาทที่กระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานก็ได้มีวิญญาณหยินแข็งแกร่งที่ ‘กินผีเป็นอาหาร’ ปรากฏขึ้น ทั้งสองฝ่ายรบราเข่นฆ่ากันเอง ฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็จิตวิญญาณแหลกสลาย กลายไปเป็นปราณหยินของหุบเขาผีร้าย สูญเสียโอกาสในการไปจุติเกิดใหม่ ส่วนกระดูกขาวโพลนระดับขั้นสูงต่ำไม่เท่ากันก็กระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศ โดยทั่วไปแล้วจะถูกผู้ชนะเก็บสะสมไว้เป็นผลงานแห่งชัยชนะ

ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเข้ามาหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้าย โครงกระดูกที่ขาวกระจ่างราวหยกพิสุทธิ์เหล่านี้จึงกลายมาเป็นของรางวัลที่ราคาไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง

พ่อค้าบนภูเขาส่วนใหญ่ล้วนมาที่นี่เพื่อซื้อกระดูกขาวที่ถูกหุบเขาผีร้ายใช้ปราณหยินที่เข้มข้นมาหล่อหลอมให้บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด เพราะถือเป็นวัสดุที่ดีเยี่ยมในการนำไปทำเป็นอาวุธหรือสมบัติแห่งโลกมืด

สุดท้ายเฉินผิงอันเดินเข้าไปในร้านที่ใหญ่ที่สุดร้านหนึ่งของตลาด ในร้านมีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะมาก พวกเขากำลังมองประเมินสมบัติพิทักษ์ร้านที่ถูกผนึกเก็บไว้ในชั้นวางกระจกใส นั่นคือโครงกระดูกวิญญาณหยินของเจ้านครบางแห่งที่นครล่มสลายไปแล้วของหุบเขาผีร้าย สูงหนึ่งจั้ง เมื่ออยู่ในชั้นแก้วก็ได้ถูกทางร้านจงใจจัดให้อยู่ในท่านั่ง มือสองข้างกำเป็นหมัดวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปไกล ต่อให้เป็นวัตถุไร้ชีวิตไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงมีมาดองอาจของผู้เผด็จการหลงเหลืออยู่

ทั่วโครงกระดูกขาวร่างนี้รัดพันเต็มไปด้วยเส้นสีเงินธรรมชาติที่ถักทอกัน ส่องประกายแสงวิบวับไม่หยุดนิ่ง

ว่ากันว่าเจ้าของโครงกระดูกร่างนี้ ‘ตอนยังมีชีวิตอยู่’ คือวิญญาณวีรบุรุษที่ขอบเขตเท่าเทียมกับเซียนดินก่อกำเนิด นิสัยพยศยากจะกำราบ เป็นผู้นำภูตผีแปดพันตน ตั้งตนเป็นราชาออกกรีฑาทัพไปสี่ทิศ ปกครองหุบเขาผีร้ายร่วมกับขอบเขตหยกดิบคนนั้น จึงมีความขัดแย้งเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ กลับไม่ได้มีบันทึกเกี่ยวกับการดับสูญของวิญญาณวีรบุรุษตนนี้ แต่ตามคำบอกของลูกจ้างหนุ่มของร้านค้าที่ฝอยจนน้ำลายแตกฟอง เป็นเพราะในอดีตเถ้าแก่ของตนได้รู้จักกับเซียนกระบี่จากทางเหนือท่านหนึ่งที่อำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำ จงใจปรากฎตัวด้วยสถานะของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต ทว่าเถ้าแก่กลับถูกชะตากับเขาอย่างมาก จึงปฏิบัติต่อเขาด้วยความมีมารยาท ผลก็คือหลังจากที่เซียนกระบี่ท่านนี้เข้าไปเยือนในหุบเขาผีร้ายก็ได้นำกระดูกขาวมูลค่าควรเมืองนี้ออกมา แล้วมอบให้แก่ทางร้านโดยตรง บอกว่าถือซะว่าเป็นค่าเหล้าที่ติดค้างไว้ก่อนหน้านี้ แล้วก็ไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริง เพียงจากไปทั้งอย่างนั้น

หากอยู่ที่อื่นแล้วได้ยินเรื่องเหลวไหลที่น่าขบขันประเภทำนองนี้ เฉินผิงอันต้องไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แต่เมื่ออยู่ในอุตรกุรุทวีป เขากลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

โครงกระดูกขาววิญญาณวีรบุรุษที่ราวกับเป็น ‘กิ่งทองใบหยก’ (ในภาษาจีนสำนวนนี้จะหมายถึงร่างกายที่สูงส่งล้ำค่าของชนชั้นสูงหรือเชื้อพระวงศ์) ของเซียนดินท่านหนึ่งร่างนี้คือสมบัติอาคมชั้นสูงสมชื่ออย่างแท้จริง ลูกจ้างร้านบอกว่าในสถานการณ์ทั่วไปจะไม่ขาย แต่หากมีความจริงใจมากพอก็สามารถปรึกษากันได้ แต่ลูกจ้างร้านก็พูดอย่างชัดเจนแล้วว่า หากในกระเป๋าไม่มีเงินฝนธัญพืชสี่สิบห้าสิบเหรียญก็ไม่ต้องพูดถึงเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องเปลืองน้ำลายกันทั้งสองฝ่าย ทว่าต่อให้จะมีราคาสูงเทียมฟ้าเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยังสังเกตเห็นว่ามีคนหลายคนในร้านที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือ

เฉินผิงอันไม่คิดจะร่วมวงความครึกครื้นนี้ด้วย

ออกมาจากร้าน เดินตามหาโรงเตี๊ยมจนเจอ ห้องพักไม่หรูหรานัก แต่สะอาดสะอ้านเงียบสงบ คล้ายคลึงกับร้านน้ำชาที่ท่าเรือของลำคลองเหยาเย่ที่ต่างก็ไม่เห็นค่าในเงินขาวหรือทองคำ ราคาเริ่มต้นหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สามารถเข้าพักได้สามวัน ไม่รวมอาหารและสุรา หากเป็นราชวงศ์ในโลกมนุษย์ล่างภูเขา ต่อให้เป็นเมืองหลวงต้าหลีที่มีเศรษฐีอยู่อาศัยมากมายดุจก้อนเมฆ หากเป็นห้องพักในโรงเตี๊ยมที่ขนาดห้องเท่าเปลือกหอยแล้วยังกล้าเก็บเงินวันละสามร้อยตำลึงเงินล่ะก็ เกรงว่าคงจมน้ำลายคนตายไปนานแล้ว

เฉินผิงอันปลดงอบและเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังลง แล้วอ่าน ‘รวมเล่มวางใจ’ ที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้คนไม่วางใจเล่มนั้นต่ออีกครั้ง

ชายหาดโครงกระดูกคือหนึ่งในโบราณสถานอันเป็นซากสนามรบโบราณขนาดใหญ่สิบแห่งของอุตรกุรุทวีป หุบเขาผีร้ายก็ยิ่งพิเศษ เพราะเป็นจุดน้ำวนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คือฟ้าดินขนาดเล็กที่เหมือนโลกแห่งวิญญาณ อาณาเขตไม่เป็นรองชายหาดโครงกระดูกใน ‘โลกคนเป็น’ แม้แต่น้อย หนึ่งในนั้นมีวิญญาณวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเทียบเคียงได้กับตบะขอบเขตหยกดิบในทุกวันนี้ ลุกผงาดโดดเด่นเหนือใคร เรียกหนึ่งคำร้อยคนขาน รวบรวมขุนพลหยินทหารหยินไว้ได้หลายหมื่นตน แล้วสร้างนครจิงกวานกระดูกขาวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไว้แห่งหนึ่ง เหมือนเมืองหลวงของราชวงศ์ อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังมีนครน้อยใหญ่อีกหลายสิบแห่ง ครึ่งหนึ่งล้วนพึ่งพานครจิงกวาน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นกิจการที่พวกภูตผีซึ่งมีตบะลึกล้ำสร้างขึ้น เป็นการคุมเชิงอยู่กับนครจิงกวานไกลๆ ด้วยไม่ยินดีเป็นข้ารับใช้พักพิงอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น ช่วงเวลาพันปีที่ผ่านมาจึงมีทั้งการร่วมมือกันต้านรับศัตรูและร่วมมือกันจู่โจมศัตรู ภูตผีในหุบเขาผีร้ายมีน้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

วัตถุหยินของหุบเขาผีร้ายในประวัติศาสตร์เคยพยายามจะบุกฝ่าเส้นอาณาเขตมาสองครั้ง หมายจะออกจากด่านใหญ่บุกเข้าไปในชายหาดโครงกระดูก ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเลียบลำคลองเหยาเย่ขึ้นไปทางเหนือ ฮุบกลืนแคว้นสองแห่งที่อยู่ระหว่างทางในรวดเดียว จากนั้นก็ลักพาตัวคนเป็นกลับไปที่หุบเขาผีร้าย ใช้วิชาลับอำมหิตมาแช่ร่างสร้างวัตถุหยินภูตผีขึ้นมาใหม่ เพิ่มกองกำลังให้แข็งแกร่ง โชคดีที่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาขัดขวางเอาไว้ได้ แต่กระนั้นก็ทำให้สำนักพีหมาสูญเสียพลังต้นกำเนิดอย่างใหญ่หลวง พลังอำนาจก็ดิ่งจากยอดเขาตกลงสู่หุบเหว

นับตั้งแต่ที่สำนักพีหมาหยัดยืนอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้อย่างมั่นคงไปจนถึงบุกเบิกที่ดินก่อตั้งพรรค เรียกได้ว่าทุกเรื่องไม่เคยราบรื่น

แต่รากฐานของอุตรกุรุทวีปก็ลึกล้ำมากพอ ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ชายหาดโครงกระดูกแห่งหนึ่ง ลำพังเพียงแค่สำนักพีหมาก็มีบรรพบุรุษขอบเขตหยกดิบถึงสามท่าน หุบเขาผีร้ายก็มีหนึ่งท่าน

หันกลับมามองแจกันสมบัติทวีป หากไม่เป็นเพราะมียอดฝีมือหยิบมือหนึ่งแทรกซอนเข้าไปอย่างลับๆ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในแจกันสมบัติทวีป ผู้ที่กลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่ยืนอยู่บนยอดเขาก็มีน้อยจนนับนิ้วได้

แต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชุยตงซานได้เอ่ยเตือนมาล่วงหน้าก่อนแล้ว บอกว่าอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปไม่ถึงสามส่วนของอุตรกุรุทวีป ขอบเขตหยกดิบของแจกันสมบัติทวีปมีจำนวนน้อยนิด ก็ถือเป็นบุคคลที่เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลน พลังอำนาจไม่อาจเทียบกับทวีปอื่นได้ แต่ขอแค่ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนก็ยิ่งไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไรเลย ยกตัวอย่างเช่นหลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงลูกรักแห่งสวรรค์อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่ต่างก็ถือว่าเป็นบุคคลประเภทที่แบ่งเอาโชคชะตาส่วนหนึ่งของทวีปไป หากจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันของอุตรกุรุทวีปหรือใบถงทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีชีวิตสุขสบายทั้งหลาย โอกาสที่หลิวเหล่าเฉิงและเว่ยจิ้นจะชนะกลับมีสูงมาก

รีบเดินทางไปยังเมืองจิงกวาน

หากผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเลือกจะเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาก็เท่ากับว่ายินยอมลงนามในสัญญาเป็นตายกับสำนักพีหมา จะร่ำรวยหรือจะตายกะทันหัน ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถและโชค ทรัพย์สินที่ช่วงชิงมาได้ สำนักพีหมาไม่อิจฉาไม่ปรารถนา ไม่เก็บเงินแม้แต่แดงเดียว ตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย นับจากนั้นมิอาจหลุดพ้นไปจากความเป็นความตายได้อีกก็โทษคนอื่นไม่ได้เช่นกัน

นี่ก็คือกฎข้อหนึ่งที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีจวนตระกูลเซียนแห่งใดที่สงสารลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจในสำนักที่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร หลังจบเรื่องก็ไม่ยอมเลิกรา เรียกรวมเหล่าสหายให้มาถกเหตุผลกับสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูก ทั้งเป็นการซักไซ้เอาความผิด แล้วก็มีความคิดว่าอยากจะให้สำนักพีหมาช่วยชดใช้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาไม่เคยอธิบายอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อมีคนมาเยือนก็วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ตรงหน้าประตูภูเขา ยกน้ำชาอินเฉินถ้วยหนึ่งมารับรองแขก จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากต่อสู้ หากไม่ใช่อีกฝ่ายที่บุกไปถึงศาลบรรพจารย์ของตนเอง ก็ต้องเล่นงานให้อีกฝ่ายมอบสมบัติอาคมและเงินเทพเซียนทั้งหมดที่มีติดตัวมา จากนั้นก็โยนไปไว้ที่ลำคลองเหยาเย่ ปล่อยให้อีกฝ่ายว่ายน้ำกลับบ้านเกิดทางเหนือของตัวเองไป

ดังนั้นลำคลองเหยาเย่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลำคลองเกี๊ยว

เพราะว่าต้องโยนเกี๊ยวลงหม้อกันหลายรอบแล้ว (เกี๊ยวเปรียบเปรยถึงคนที่ถูกโยนลงในลำคลอง ส่วนลำคลองก็เปรียบเป็นน้ำหม้อหนึ่ง)

แต่สำนักพีหมาก็ไม่ต้องการให้คนต่างถิ่นที่มาฝึกตนที่นี่ต้องมาตายอยู่ในนี้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ระบุเส้นทางขึ้นเหนือสามเส้นไว้อย่างชัดเจน แนะนำให้ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธชั่งน้ำหนักขอบเขตของตัวเองให้ดี แรกเริ่มให้ตามหาพวกวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายก่อน จากนั้นอย่างมากสุดก็ลองไปทักทายนครต่างๆ ที่กองกำลังไม่แข็งแกร่งนัก สุดท้ายหากเป็นคนมีฝีมือและมีความกล้า รู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจก็ค่อยไปเสี่ยงดวงที่นครหลายแห่งซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขา

ขอบเขตสูงต่ำ วิชาที่ถนัด สมบัติประจำกาย ความสามารถที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุของราชาผีวิญญาณวีรบุรุษเซียนดินทั้งหมดในหุบเขาผีร้าย ล้วนมีระบุไว้ในหนังสืออย่างชัดเจน

อีกทั้งผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังสร้างเมืองขนาดเล็กสองแห่งไว้ในหุบเขาผีร้ายอีกด้วย กั๋วฉือเซียนซือผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นผู้พิทักษ์สถานที่หนึ่งในนั้นด้วยตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วผู้คนจะไม่ได้พบหน้านาง ทว่าในเมืองก็มีผู้ฝึกตนฝ่ายในของสำนักพีหมาอยู่สองกลุ่มที่รับผิดชอบคอยล่าจับทหารผีวิญญาณหยินโดยเฉพาะ คนนอกสามารถติดตามหรือไม่ก็เชื้อเชิญให้พวกเขาไปเที่ยวหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายด้วยกันได้ ผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด สำนักพีหมาจะไม่รับมาแม้แต่แดงเดียว แต่ในหนังสือก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่มีทางทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตามของใคร เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก เพียงแต่ว่าหากมีลูกหลานทายาทของตระกูลเซียนสูงศักดิ์ที่รังเกียจว่าเงินของตัวเองมีเยอะจนหนักมือเกินไปก็เลยอยากมาลองเที่ยวเล่นที่หุบเขาผีร้าย ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องฟังคำสั่งของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาตลอดการเดินทาง สำนักพีหมาถึงจะสามารถรับรองได้ว่าพวกเขาจะได้เห็นทัศนียภาพของหุบเขาผีร้าย อีกทั้งยังสามารถออกไปจากพื้นที่อันตรายนี้อย่างปลอดภัยครบสามสิบสองประการ ขอแค่คนที่คิดจะมาท่องเที่ยวชมทัศนียภาพเคารพกฎ ไม่ว่าระหว่างการเดินทางเกิดความเสียหายหรือเรื่องไม่คาดคิดใดๆ ขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะไม่เพียงแต่ชดใช้ด้วยเงิน ยังจะชดใช้ด้วยชีวิตด้วย

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันปิดตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’ หนาหนักเล่มนั้นลง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เอนตัวพิงกรอบหน้าต่างพลางดื่มเหล้า

หนังสือเล่มนี้พออ่านมาถึงช่วงท้ายสุด นอกจากจะจดจำเรื่องต้องห้ามยิบย่อยทั้งหลายได้แล้ว ยังได้เห็นความองอาจของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจากในตำราอีกด้วย

หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล

ตอนนั้นถ้ำสวรรค์หลีจูมีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเตะคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองภาพที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจลืมเลือน

มีเซียนผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนขี่กระบี่ข้ามทวีปเดินทางไกล มุ่งหน้าไปต้านทานเผ่าปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

เพื่อผลประโยชน์และชื่อเสียงหรือ?

แค่เพื่อลับกระบี่เท่านั้น

มิน่าเล่านางถึงได้พูดว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งความทุกข์ยาก แต่กลับมีวีรบุรุษผู้กล้ามากมายมานับแต่โบราณ

มีเพียงดินแดนแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีเซียนกระบี่ผุดออกมาได้มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล

เจ้ายอมมอบเหล้าให้ข้าไม่กี่กา ข้าก็ยินดีจะคืนให้เจ้าด้วยโครงกระดูกขาวของวิญญาณวีรบุรุษที่มีค่าหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช

ใช้เหตุผลไหม? ไม่ใช้

ไม่มีเหตุผลหรือ? มีมากนักล่ะ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจี้ยนเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “วางใจเถอะ อยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าขายหน้าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันขยับสายตาเบนออกไปเล็กน้อย มองไปยังงอบที่ถักทอจากไม้ไผ่ใบนั้นแล้วยิ้มบางๆ “เพราะข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่นวดคลึงปลายคางก็พึมพำว่า “หรือว่าควรจะตัด ‘ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย’ ทิ้งไปดี จะได้ดูน่าเกรงขามหน่อย?”

……

นครปี้ฮว่าต้องเจอกับเรื่องประหลาดที่ร้อยปีก็ไม่เคยพานพบ

ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเริ่มปิดผนึกผนังสามแถบที่ยังมีโชควาสนาหลงเหลืออยู่ ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนใดเข้าใกล้ ต่อให้เป็นลูกจ้างหรือเถ้าแก่ของร้านก็ล้วนต้องออกไปชั่วคราว จำเป็นต้องรอประกาศจากทางสำนักพีหมา

แน่นอนว่าเสียงบ่นต้องดังระงม เสียงด่าพ่อด่าแม่ดังขึ้นๆ ลงๆ เป็นทอดๆ

คนผู้หนึ่งโชคไม่ดี ตอนที่กระทืบเท้าผรุสวาทกลับมีผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ฝ่ายหลังไม่พูดไม่จาก็สะบัดชายแขนเสื้อใส่จนเขาล้มคว่ำลงบนพื้น ตาเหลือกแล้วหมดสติไปทันที

สหายของคนน่าสงสารผู้นั้นก็ไม่พูดไม่จาอะไรเหมือนกัน แบกอีกฝ่ายขึ้นได้ก็วิ่งหนี ทั้งไม่ขอโทษเซียนซือของสำนักพีหมา แล้วก็ไม่ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ เอาไว้

อุตรกุรุทวีปก็เป็นเช่นนี้ ข้ากล้าพอจะชี้หน้าคนอื่นด่าฟ้าด่าดินก็เป็นเรื่องของข้า แต่หากถูกคนอื่นซ้อมจนหมอบกระแต นั่นก็เป็นเพราะความสามารถของข้าไม่มากพอ ข้ายอมรับ วันใดที่หมัดแข็งกว่าอีกฝ่ายแล้วค่อยทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมา

ผู้ฝึกตนโอสถทองแซ่หยางผู้นั้นรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ผังหลันซีศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งจนใจ

ที่แท้เบื้องใต้ภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่งก็มีคนหนุ่มสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นมาคุกเข่าโขกหัวอยู่ตรงนั้นไม่หยุด เลือดสดหลั่งเป็นสาย วิงวอนขอร้องให้เทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่บนภาพวาดมอบโชควาสนาส่วนหนึ่งให้เขา เขามีแค้นที่จำต้องชำระ ขอแค่เทพหญิงยินดีประทานโชควาสนาบนมหามรรคาให้เขา เขาก็ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้นางไปชั่วชีวิต ต่อให้แก้แค้นสำเร็จแล้ว ร่างของเขาต้องแหลกสลายเป็นผุยผงก็ยินดี

ก่อนที่คนหนุ่มจะโขกหัวได้ควักป้ายหยกโบราณแผ่นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนมาวางลงบนพื้นเบาๆ

ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนโบกมือบอกเป็นนัยแก่ผู้ฝึกตนฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักว่าไม่ต้องขับไล่คนผู้นี้

ผังหลันซีอยากจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับถูกผู้ฝึกตนวัยกลางคนกดไหล่เอาไว้

ความสนใจส่วนใหญ่ของผู้ฝึกตนวัยกลางคนยังคงอยู่ที่สตรีเรือนกายบอบบางราวกิ่งหลิวผู้นั้น

หลังจากที่นางปรากฏตัว ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำที่สำนักพีหมาวางไว้ตรงภาพวาดฝาผนังนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าพันธนาการธรรมชาติของพื้นที่ลับตำหนักเซียนกลับเริ่มเกิดริ้วกระเพื่อม

กลับกลายเป็นทางฝ่ายภาพของเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่พวกเขาไม่ลนลานถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก คนต่างถิ่นคนหนึ่งได้รับการยอมรับจากเทพหญิง สำนักพีหมาก็แค่ต้องฟังตามคำสั่ง ไม่ได้ขัดขวางการจากไปของพวกนาง

เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ส่งผลหลีตอบแทนผลท้อ เป็นฝ่ายเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจ้านายผู้นั้น มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาพวกเขา

ดังนั้นภาพวาดของเทพหญิงกว้าเยี่ยนจึงกลายเป็นเพียงลายเส้นขาวดำก่อน

จากนั้นกวางเจ็ดสีก็กระโดดออกมาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ แล้วร่างของมันก็หายวับไปในเสี้ยววินาที ภาพนี้จึงกลายเป็นภาพลายเส้นเค้าโครงภาพที่สองของวันตามหลังภาพแรกไปติดๆ

ผู้ฝึกตนแซ่หยางตื่นตะลึงไม่หยุด เพราะถึงอย่างไรโชควาสนาของภาพเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ภาพนี้ก็เป็นเพียงภาพเดียวที่สำนักพีหมาคิดว่าต้องครอบครองให้จงได้ คนทั่วทั้งบนและล่างสำนักล้วนหวังอย่างถึงที่สุดว่าผังหลันซีศิษย์น้องที่ยืนอยู่ข้างกายของเขาจะได้รับวาสนาบนมหามรรคานี้มาอย่างราบรื่น ดังนั้นเขาจึงเกือบจะอดใจไม่ไหว หมายจะลงมือขัดขวางไม่ให้กวางเจ็ดสีตัวนั้นจากไป เพียงแต่ว่าไม่นานเจ้าสำนักกั๋วฉือเซียนซือก็เดินออกมาจากผนังภาพวาด บอกให้เขาถอยออกไป แค่ไปเฝ้าภาพของเทพหญิงภาพสุดท้ายก็พอ จากนั้นกั๋วฉือเซียนซือก็กลับไปยังฐานทัพที่หุบเขาผีร้าย บอกว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน จำเป็นต้องให้นางไปรับรองด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องที่เทพหญิงกว้าเยี่ยนและเจ้านายคนใหม่ของนางขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนก็คงต้องมอบให้อาจารย์อาที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ช่วยจัดการให้แล้ว

อันที่จริงผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง คนที่สามารถให้เจ้าสำนักของตนออกหน้ามารับรองได้ หรือจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ท่านหนึ่ง?

ในที่สุดเทพหญิงสิงอวี่ก็เผยกาย นางมีใบหน้าซีดขาว หลังเดินออกมาจากภาพวาดก็มองสตรีที่สีหน้าเย็นชาคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วจึงมองแผ่นหยกโบราณบนพื้นที่ด้านตรงและด้านหลังสลักคำว่า ‘เมฆคล้อย’ ‘น้ำไหล’ เทพหญิงที่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านการอนุมานผู้นี้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก

นี่คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้าที่เทพหญิงเจ็ดคนที่เหลือบนภาพวาดฝาผนังไม่เคยพบเจอ

สตรีที่มองดูเหมือนอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้น หากไม่สังเกตสายตาของนาง และนางไม่ได้มายืนอยู่ใต้ภาพวาดพอดี แม้แต่เขาที่เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองก็คงไม่คิดจะให้ความสนใจเท่าไหร่

ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เทพหญิงท่านหนึ่งกลับต้องเจอกับสภาวะน่าสงสารทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้

เทพหญิงสิงอวี่คือเทพที่สำนักพีหมาสื่อสารพูดคุยด้วยบ่อยที่สุด เล่าลือกันว่านางคือคนที่เฉลียวฉลาดและมีแผนการมากที่สุดในบรรดาเทพหญิงของพื้นที่ลับตำหนักเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญวิชาหมากล้อม บรรพจารย์เคยพูดหยอกล้อว่า หากมีคนโชคดีได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิงสิงอวี่ เรื่องของการรบราฆ่าฟันนางอาจจะไม่ได้ร้ายกาจมากนัก แต่อันที่จริงจวนตระกูลเซียนนั้นต้องการความช่วยเหลือจากเทพหญิงท่านนี้มากที่สุด

สตรีผู้นั้นชำเลืองตามองบุรุษที่โขกหัวไม่หยุดจนกระดูกขาวเกือบจะโผล่ออกมาจากหน้าผากผู้นั้นแวบหนึ่ง แล้วถึงมองมาทางเทพหญิงสิงอวี่ “เจ้าไปช่วยให้เขาผ่านด่านยากลำบากให้ได้เสียก่อน อีกหกสิบปีให้หลังค่อยมาขอขมาข้า”

จิตวิญญาณของเทพหญิงสิงอวี่แกว่งไกวไม่หยุด เป็นเหตุให้นครปี้ฮว่าอบอวลไปด้วยไอหมอกไอน้ำ เทพหญิงรู้สึกเพียงว่าหลังจากได้พบกับสตรีที่เห็นได้ชัดว่าขอบเขตไม่สูงมากผู้นี้ แต่นางกลับเหมือนเสมียนผู้น้อยในวงการขุนนางล่างภูเขาที่ได้เจอกับขุนนางใหญ่แห่งกรมขุนนางอย่างไรอย่างนั้น

เทพหญิงสิงอวี่พูดเสียงสั่นว่า “หลังจบเรื่องจะไปหานายท่านอย่างไร?”

สตรีผู้นั้นเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยอดเขาสิงโต”

ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว

ยอดเขาสิงโตมีก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งมากซึ่งไม่อาจดูแคลนได้อยู่คนหนึ่งจริง แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนชายที่อายุไม่น้อยแล้ว

ทว่าต่อให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดท่านนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเอง ไหนเลยจะทำให้เทพหญิงสิงอวี่หวาดเกรงได้ถึงเพียงนี้?

สตรีผู้นั้นหันมายิ้มบางๆ แนะนำตัวเองให้ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนฟัง “หลี่หลิ่วแห่งยอดเขาสิงโต”

ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนยังคงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ก็เอ่ยคล้อยตามไปว่า “หยางหลินแห่งสำนักพีหมา”

หญิงสาวที่มีนามว่าหลี่หลิ่วไปจากนครปี้ฮว่าทั้งอย่างนี้

ราวกับว่าแม้แต่มองเทพหญิงสิงอวี่สักครั้งยังคร้านจะทำ

ผังหลันซีเด็กหนุ่มที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้างยกมือเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ศิษย์พี่หยาง ผู้อาวุโสหลี่หลิ่วผู้นี้น่ากลัวจังเลย”

ฝึกตนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “คำพูดประเภทนี้แค่พูดกับศิษย์พี่ก็พอ หากอาจารย์ของเจ้าได้ยินเข้าต้องตำหนิว่าจิตแห่งการฝึกตนของเจ้ายังไม่มั่นคงพออีกเป็นแน่”

เด็กหนุ่มมีนิสัยไร้เดียงสา รู้สึกเพียงว่าศิษย์พี่หยางเป็นคนสุขุมหนักแน่นจริงๆ ในอนาคตจะต้องเป็นหนึ่งในเสาคานสำคัญของสำนักพีหมาอย่างแน่นอน แต่กลับมองความซับซ้อนในดวงตาของศิษย์พี่โอสถทองผู้นี้ไม่ออก

เพราะผังหลันซีไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้สูญเสียโชควาสนาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ไปแล้ว

……

ในหุบเขาผีร้าย

คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้เดินเข้าไปในซุ้มประตู

แต่เป็นคนหนึ่งในนั้นที่ใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตเปิดประตูบานใหญ่ จากนั้นก็ปล่อยให้เรือหลิวเสียลำหนึ่งพุ่งเข้าไปข้างใน

บนหัวเรือคือเจ้าสำนักหญิงที่สวมชุดคลุมเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายคือเทพหญิงของกวางเจ็ดสี รวมไปถึงเจียงซ่างเจินที่เปลี่ยนใจอยากจะมาท่องเที่ยวหุบเขาผีร้ายด้วยกัน

แม้ว่าเรือหลิวเสียที่เทียนจวินเซี่ยสือเป็นผู้มอบให้กับมือจะเป็นสุดยอดสมบัติตระกูลเซียน ทว่าเมื่อทะยานอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่มีไอหมอกเข้มข้นหนาชั้นเป็นอุปสรรค ความเร็วก็ยังช้ากว่าเดิมอยู่มาก

เรือหลิวเสียเหมือนดาวตกดวงหนึ่งที่พุ่งผ่านนภากาศของหุบเขาผีร้าย เจิดจ้าสะดุดตาอย่างถึงที่สุด เรือวิเศษและไอพิษมัวหม่นเสียดสีกันจนแสงแก้วหลากสีระเบิดพร่างออกมา ขณะเดียวกันก็มีเสียงแหวกอากาศเหมือนเสียงฟ้าร้องคำรณ วัตถุหยินภูตผีจำนวนมากที่อยู่บนพื้นดินแตกฮือหนีกระเจิง นครจำนวนมากที่ตั้งอยู่ระหว่างทางก็ยิ่งเปิดการป้องกันอย่างรวดเร็ว

เจียงซ่างเจินยื่นมือออกมากุมขมับ ทอดสายตามองไปไกล ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ อีกไม่นานก็จะถึงนครจิงกวานกระดูกขาวแล้ว เรือหลิวเสียลำนี้สมกับเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ขายหรือไม่?”

นักพรตหญิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เทพหญิงฉีลู่ก็ทำเหมือนกับเจ้านายของนาง ไม่ยินดีจะสนใจเจ้าคนปากเปราะผู้นี้

เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาถาม “เจ้าสำนักเฮ้อ หากเจ้ายืนกรานจะฆ่าเขาให้ได้ ขอบเขตของพวกเจ้าสองฝ่ายต่างกันมากขนาดนี้ ข้าคงต้องขัดขวางดูสักครั้ง แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้น หากนครจิงกวานคิดจะรังแก่ท่านทั้งสองก็ต้องถามใบหลิวของข้าผู้แซ่เจียงเสียก่อนว่าจะยอมตกลงหรือไม่”

นักพรตหญิงยังคงไม่เอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ

ชายหญิงบนโลกใบนี้ ติดเงินยังพูดง่าย แต่ติดค้างความรู้สึกกลับชดใช้คืนได้ยาก

เฉินผิงอันไปมีเรื่องกับนางได้อย่างไรกันนะ?

อายุไม่มาก แต่ความสามารถช่างสูงเสียจริง

หากเฉินผิงอันอยู่ด้วย เจียงซ่างเจินคงจะยกนิ้วโป้ง เอ่ยชมหนึ่งคำว่าเจ้าคือแบบอย่างที่ดีของข้าไปแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!