บทที่ 491 แสดงอำนาจที่เมืองฟูนี่
ฟ้าเริ่มสาง เฉินผิงอันก็ออกจากโรงเตี๊ยม บอกกล่าวแก่ลูกจ้างร้านที่นอนฟุบงีบหลับอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินว่าจะคืนห้อง
ลูกจ้างหนุ่มก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ เพียงพยักหน้ารับ ถือว่ารับรู้แล้ว
แม้ว่าจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบคนนี้จะคืนห้องก่อนกำหนดสองวัน แต่เงินส่วนนี้ไม่ได้ร่วงเข้ามาในกระเป๋าของตนเสียหน่อย ลูกจ้างหนุ่มจึงกระตือรือร้นไม่ขึ้น เพียงแค่บอกให้สตรีที่ทำงานจุกจิกของโรงเตี๊ยมไปทำความสะอาดห้อง แล้วอีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน
ลูกจ้างหนุ่มหันหน้ามองไปยังถนนที่เงียบสงัดนอกโรงเตี๊ยม ไม่มีเงาร่างของจอมยุทธหนุ่มอยู่แล้ว
พอเขานึกถึงข่าวลือเล็กๆ ที่แพร่มาจากทางนครปี้ฮว่าก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ไม่ดี โชควาสนาภาพเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งสามภาพล้วนถูกคนนอกมาแย่งชิงไปหมดแล้ว เสียแรงที่เวลาตนอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มักจะไปที่นั่น ในใจคิดว่าเทพหญิงทั้งสามท่านก็ไม่ได้มีความเป็นเซียนสักเท่าไหร่ พวกนางต้องเห็นแก่รูปลักษณ์ ชาติกำเนิดของบุรุษก็เลยพุ่งเข้าหาอย่างแน่นอน พอลูกจ้างหนุ่มคิดอย่างนี้ก็ยิ่งโมโห หนูขุดรูของหนูอยู่อาศัย ช่างชวนให้คนโมโหจนตายได้จริงๆ
เฉินผิงอันออกจากตลาดไปยังซุ้มป้ายทางเข้าของหุบเขาผีร้าย จ่ายเงินให้กับผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาที่เฝ้าประตูไปห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ได้ป้ายหยกผ่านทางที่สลักเป็นตราเก้าคด (คือลายตัวอักษรที่พับทบซ้อนกันไปมา นิยมใช้ในตราประทับหลวงของราชวงศ์ซ่ง) มาชิ้นหนึ่ง หากมีชีวิตรอดออกมาจากหุบเขาผีร้ายได้ สามารถถือป้ายนี้มารับเงินเกล็ดหิมะคืนได้สองเหรียญ
ค่าผ่านทางนี้ไม่ถือว่าแพง ก็แค่น้ำชาอินเฉินของลำคลองเหยาเย่สิบกว่าถ้วยเท่านั้น
อีกทั้งเงินเทพเซียนก้อนนี้ยังสามารถติดค้างสำนักพีหมาไว้ก่อนได้ ดังนั้นคนเดนตายที่ไร้หนทางให้เดินต่อหลายคนของหลายแคว้นที่อยู่ทางทิศเหนือของชายหาดโครงกระดูก เมื่อเข้ามาในชายหาดโครงกระดูกแล้วก็จะทำอยู่สามอย่าง จ่ายเงินไม่กี่อีแปะซื้อธูปสามดอกกราบไหว้ที่ลำคลองเหยาเย่ ขอพรจากเทพลำคลองท่านนั้น จากนั้นก็ไปเสี่ยงดวงเอาที่ภาพเทพหญิงของนครปี้ฮว่า แล้วค่อยซื้อ ‘รวมเล่มวางใจ’ เล่มหนึ่งมาจากตลาดด้วยความจำใจ เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูมาแล้วก็สามารถมอบชีวิตให้สวรรค์จัดการได้แล้ว
มอบเงินเรียบร้อย และได้รับแผ่นป้ายที่สลักคำว่า ‘อานุภาพสวรรค์เกริกก้อง สยบหมื่นภูตผี’ มา พวกวิญญาณหยินที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่ใกล้กับนครทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้าย ส่วนใหญ่จะไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องพวกคนที่พกป้ายหยกก่อน เพราะถึงอย่างไรกั๋วฉือเซียนซือเจ้าสำนักพีหมาก็มาปักหลักอยู่ที่หุบเขาผีร้ายตลอดทั้งปี และมักจะนำพาผู้ฝึกตนของสองเมืองออกล่าวัตถุหยิน แต่เจ้านครน้อยใหญ่ก็ไม่คิดจะพันธนาการผีร้ายผีเร่ร่อนใต้บังคับบัญชาของตัวเองด้วยเหตุนี้ ในอดีตมีพวกเจ้านครทางทิศใต้หลายคนที่คิดจะลองดี ชอบฉวยโอกาสลอบสังหารพวกคนที่พกป้ายหยก ผลกลับถูกจู๋เฉวียนกั๋วฉือเซียนซือที่ไม่เสียดายค่าตอบแทนนำพาผู้ฝึกตนเซียนดินผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์บุกเข้าไปถึงถิ่นของศัตรูอยู่หลายครั้ง นางยอมให้รากฐานมหามรรคาของตนได้รับความเสียหาย แต่ก็ต้องตัดหัวผู้บงการทั้งหลายต่อหน้าฝูงชนให้จงได้ การที่กั๋วฉือเซียนซือได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบช้าขนาดนี้ก็เกี่ยวข้องกับการที่นางเสี่ยงอันตรายคอยสังหารศัตรูอยู่มาก เป็นเหตุให้นางหยุดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมานานจนเกินไป
ครั้งหนึ่งที่สถานการณ์อันตรายที่สุดมีเพียงกั๋วฉือเซียนซือคนเดียวเท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัสกลับมา ตรงเอวห้อยศีรษะของวิญญาณหยินที่เป็นเจ้านครไว้สามหัว หลังจากนั้นมานางก็ถูกอดีตเจ้าสำนักจับขังอยู่ในคุกหลังภูเขา ออกคำสั่งว่าหากนางไม่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนก็ห้ามลงจากภูเขาเด็ดขาด รอจนกระทั่งนางสามารถออกจากภูเขาได้ เรื่องแรกที่นางทำก็คือย้อนกลับไปที่หุบเขาผีร้าย หากไม่เป็นเพราะก่อนที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาจะจากโลกนี้ไปได้ออกคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดว่า ไม่อนุญาตให้เจ้าสำนักทุกรุ่นใช้อาวุธกึ่งเซียนที่สำนักเบื้องบนในแผ่นดินกลางประทานมาให้ระดมพลทหารหยินแสนกว่านายที่เลี้ยงไว้ไปโจมตีหุบเขาผีร้ายโดยพลการ เกรงว่าด้วยนิสัยของกั๋วฉือเซียนซือ ป่านนี้ก็คงยอมให้สำนักสูญเสียพลังต้นกำเนิดครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องยกทัพบุกไปสังหารถึงเมืองจิงกวานกระดูกขาวให้จงได้แล้ว
เวลานี้นอกจากเฉินผิงอันที่เดินทางเพียงลำพังแล้วยังมีคนอีกสามกลุ่มมารออยู่ตรงนั้น มีทั้งคนที่มีสหายเข้าไปในหุบเขาผีร้ายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็มีทั้งคนที่มีองค์รักษ์ข้ารับใช้ติดตามมา กำลังรอคอยให้ถึงยามเหม่าพร้อมกัน
เข้าหุบเขาผีร้ายไปหาประสบการณ์ ขอแค่ไม่คิดจะเดิมพันด้วยชีวิตก็ล้วนพิถีพิถันในเรื่องฤกษ์งามยามดีทั้งสิ้น
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหรือของสำนักบางแห่งต่างก็กำชับเด็กรุ่นหลังที่อายุไม่มากซึ่งอยู่ข้างกายตัวเองว่า เมื่อเข้าไปในหุบเขาผีร้ายแล้วต้องระวังตัวให้มาก คำเตือนส่วนใหญ่ อันที่จริงแล้วก็ล้วนถูกเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’
เฉินผิงอันรัดแผ่นหยกไว้ตรงเอว ยืนห่างออกมาไกลหน่อย ถูมือเป่าลมใส่หาความอบอุ่นอยู่เพียงลำพัง
เมื่อถึงยามเหม่า ผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักพีหมาที่ยืนอยู่ตรงกลางซุ้มป้ายแก้วใสสองสีป้ายแรกก็หลีกทางให้ จากนั้นก็เอ่ยประโยคอวยพรอย่างเป็นมงคลว่า “ขออวยพรให้ทุกท่านราบรื่นสมปรารถนา เดินทางปลอดภัย”
เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ
ตนช่างมีชื่อที่ดีจริงๆ
เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านหลังสุด ซุ้มป้ายแต่ละซุ้มมีลักษณะรูปร่างไม่เหมือนกัน เนื้อหาในกรอบป้ายก็ไม่เหมือนกัน ทำให้คนได้เปิดหูเปิดตา
เข้ามาในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีนามว่าหญ้าเขียวซึ่งอู๋ยวนเจียวเพศเมียแห่งจวนจื่อหยางมอบให้ หยิบเอาสร้อยข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียมอบให้ออกมาจากวัตถุฟางชุ่น พร้อมกับยันต์กระดาษเหลืองหนึ่งปึกที่เขียนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนวาน นำมาซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อทางฝั่งซ้ายมือ ยันต์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางระดับพื้นฐานของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ แน่นอนว่าก็ยังมียันต์ย่อพื้นที่สามแผ่น แผ่นหนึ่งในนั้นวาดขึ้นด้วยกระดาษสีทองที่ล้ำค่าหายาก เมื่อคืนวานเฉินผิงอันเผาผลาญจิงชี่เสินไปไม่น้อย สามารถนำมาใช้หนีเอาชีวิตรอด แล้วก็สามารถนำมาใช้ต่อสู้ได้เช่นกัน ยันต์ฟางชุ่นสีทองแผ่นนี้จับคู่กับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ผลลัพธ์จะยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด
ทางสายนี้ทุกคนต้องใช้เวลาเดินกันถึงหนึ่งก้านธูปเต็ม ระหว่างทางเดินผ่านสิบป้ายสิบสองซุ้ม สองฝั่งซ้ายขวาข้างทางตั้งรูปปั้นแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะสูงสองจั้งกว่าเอาไว้หลายตน สร้างแยกขึ้นเป็นสองขบวนทัพที่คุมเชิงกันอยู่บนซากปรักสมรภูมิรบโบราณของชายหาดโครงกระดูก สงครามครั้งที่ราชวงศ์ใหญ่สองแห่งกับแคว้นใต้อาณัติสิบหกแคว้นตีกันอย่างอลหม่าน สองกองทัพคุมเชิงกัน เข่นฆ่าสังหารจนเกิดศึกแห่งโศกนาฎกรรมที่กินระยะเวลายาวนานถึงสิบปีเต็ม ถึงท้ายที่สุดทุกคนล้วนฆ่ากันจนตาแดงก่ำ ไม่สนใจเรื่องโชคชะตาแห่งแคว้นอะไรอีกทั้งนั้น ว่ากันว่าตอนนั้นผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่เดินทางไกลจากทิศเหนือมาชมศึกมีมากถึงหมื่นกว่าคน
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าเงาร่างของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่เฝ้าอยู่หน้าประตูพร่าเลือนมองเห็นได้ไม่ชัดแล้ว ทุกคนทยอยกันหยุดเดิน ทันใดนั้นการมองเห็นพลันเปิดกว้าง ฟ้าสูงแผ่นดินไพศาล เพียงแต่ว่าเมฆทะมึนอึมครึมบดบังแสงสว่าง และทันใดนั้นปราณหยินเข้มข้นของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ก็ไหลกรูเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณใหญ่แห่งต่างๆ ทำให้คนหายใจไม่สะดวก รู้สึกกดดันหนักอึ้งขึ้นอีกเป็นเท่าตัว บทการเดินทางที่ระบุไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ มีอธิบายวิธีการรับมือไว้อย่างละเอียด ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามกลุ่มที่อยู่เบื้องหน้าต่างก็ทำตามเป็นขั้นเป็นตอน แต่ละคนพยายามต้านทานการโจมตีของปราณหยิน
ผู้ฝึกลมปราณเด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นที่สวมชุดคลุมยาวสีทองยังคงดูแคลนปราณหยินที่บุกเข้ามาด้วยอำนาจดุดันของหุบเขาผีร้ายแห่งนี้เกินไป เขาจึงรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ใบหน้าพลันแดงก่ำ สตรีห้อยดาบไว้ด้านหลังที่อยู่ข้างกายเขารีบยื่นขวดกระเบื้องสีเขียวใบหนึ่งส่งมาให้ เด็กหนุ่มดื่มน้ำค้างหวานที่ศาลซานหลางตระกูลบนภูเขาของตนหมักขึ้นเองขวดนั้นเข้าไปแล้ว สีหน้าถึงเปลี่ยนมาเป็นอิ่มเอิบเปล่งปลั่ง เด็กหนุ่มรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง หันไปยิ้มขออภัยให้กับสตรีที่ลักษณะคล้ายผู้ติดตามคนนั้น สตรีคลี่ยิ้มส่งกลับมา แล้วก็เริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน สายตาของนางประสานเข้ากับผู้เฒ่าชุดสีดำที่ยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มตลอดเวลา ผู้เฒ่าบอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องเป็นห่วง
หุบเขาผีร้ายเป็นทั้งสถานที่ที่ดีในการหาประสบการณ์ แล้วก็เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่ศัตรูคู่แค้นจะส่งนักฆ่ามาลอบสังหาร
สตรีกับผู้เฒ่าต่างก็เป็นผู้ติดตามทั้งคู่
สตรีที่อายุประมาณสามสิบปีคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหก นับว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด
แม้ว่าภาพบรรยากาศในยุทธภพของอุตรกุรุทวีปจะยิ่งใหญ่อย่างมาก แต่สตรีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่ได้รับคำเรียกขานอย่างน่าฟังว่าปรมาจารย์น้อยเดิมทีก็มีไม่มาก ยิ่งอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหกแล้วก็ยิ่งหายากดุจขนหงส์เขากิเลน
ส่วนใหญ่มักจะเป็นตระกูลเซียนที่มีคำว่าจงในชื่อและตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่ถึงจะมีคุณสมบัติอบรมปลูกฝังข้ารับใช้ในบ้านให้โดดเด่นและยังจงรักภักดีเช่นนี้ได้
ส่วนผู้เฒ่าชุดดำนั้นก็ยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง ทำให้คนถึงขั้นแยกไม่ออกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือเป็นผู้ฝึกลมปราณกันแน่
ผู้ฝึกลมปราณอีกกลุ่มหนึ่ง บุรุษเรือนกายกำยำล่ำสันคนหนึ่งถือเม็ดเสื้อเกราะไว้ในกำมือ บนร่างยังสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารที่เป็นสีขาวหิมะ ส่องประกายแสงระยิบระยับ ปราณหยินที่อยู่รอบกายไม่อาจขยับเข้าใกล้เขาได้เลย
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งปลดหีบไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลังลงมา ทำให้เกิดเสียงเครื่องกระเบื้องกระทบกันเบาๆ สุดท้ายผู้เฒ่าหยิบแจกันทรงหยดน้ำที่มีส่วนโค้งเว้าเหมือนเรือนกายสะโอดสะองของสตรีออกมา เห็นได้ชัดว่าคือของวิเศษที่ระดับขั้นไม่ต่ำ หลังจากถูกผู้ฝึกตนเฒ่าประคองไว้กลางฝ่ามือก็เห็นเพียงว่าปราณหยินบริสุทธิ์เป็นเส้นๆ จากสี่ด้านแปดทิศเริ่มพากันพุ่งมารวมตัวอยู่ในขวด เพียงแต่ว่าปราณหยินของฟ้าดินมาเร็วก็จากไปเร็ว ครู่หนึ่งต่อมาตรงบริเวณรอบปากแจกันก็มีหยดน้ำขนาดเท่าเมล็ดข้าวฟ่างลอยตัวหมุนเบาๆ แต่ไม่ได้ร่วงลงไปในแจกัน
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อ ฝ่ามือก็มีธงใบกล้วยขนาดเล็กสีเขียวปลั่งน่ารักน่ามองใบหนึ่งปรากฎขึ้นมา เขาใช้สองนิ้วคีบด้ามธงไม้ที่สลักเป็นรูปดอกหลี สะบัดหนึ่งครั้งมันก็กลายเป็นธงผืนใหญ่ขนาดยาวเท่าแขน ตรงด้ามไม้ห้อยพู่ยาวสีทองเอาไว้ แล้วผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็ผูกธงใบกล้วยนี้ไว้ตรงข้อมือของตัวเอง บุรุษท่องคาถา ปราณหยินก็พลันเหมือนธารน้ำที่ชำระล้างผิวภายนอกของธงใบกล้วย ประหนึ่งคนที่วักน้ำล้างหน้า นี่คือวิธีการหล่อหลอมที่เรียบง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือหนีไม่พ้นการหยิบเอาของวิเศษออกมาเท่านั้น เพียงแต่ว่าในหนึ่งทวีปมีสถานที่วิเศษอยู่หลายแห่ง ปราณหยินจะยังสามารถเข้มข้นอีกทั้งยังบริสุทธิ์ได้อีกหรือ? ต่อให้ได้จริงก็ต้องถูกสำนักใหญ่ยึดครองไปหมด แล้วทำการพันธนาการไว้อย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้คนนอกมาแตะต้อง ไหนเลยจะเหมือนสำนักพีหมาที่ปล่อยให้คนนอกมาดูดซับเอาไปตามสบาย
ผู้ฝึกตนสองคนที่จับคู่กันเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายหันมายิ้มให้กัน ความบริสุทธิ์ของปราณหยินในหุบเขาผีร้ายไม่เหมือนกับที่อื่นจริงๆ เหมาะกับผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญวิถีผีอย่างพวกเขาที่สุด
เรียกได้ว่าเข้ามาในภูเขาเงินภูเขาทองอย่างแท้จริง
ต่อจากนี้ก็ต้องดูว่าจะขนเอาไปได้มากน้อยเท่าไหร่แล้ว
ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่ได้ครอบครองเม็ดเสื้อเกราะเม็ดหนึ่งนั้น คือองค์รักษ์ที่พวกเขาร่วมกันทุ่มเงินเชื้อเชิญมาให้คุ้มกันโดยเฉพาะ ปราณหยินก่อนกำเนิดที่หุบเขาผีร้ายบ่มเพาะออกมา เมื่อเทียบกับพวกปราณหยินที่อยู่ในแถบจุดเชื่อมต่อของชายหาดโครงกระดูกกับหุบเขาผีร้ายที่ถูกค่ายกลของสำนักพีหมาคัดสรรแล้ว ก็ไม่เพียงแต่สมบูรณ์มากกว่า ปราณความเยียบเย็นมีเข้มข้นกว่า ยิ่งขยับเข้าใกล้ช่วงกลางของหุบเขาก็ยิ่งมีมูลค่า ความอันตรายก็ยิ่งมากตามไปด้วย ไม่แน่ว่าระหว่างที่เดินทางไปอาจต้องเปิดฉากสังหารกับผีร้ายวัตถุหยิน ถ้าสำเร็จก็จะได้โครงกระดูกขาวมาหลายร่าง ได้เงินมาก้อนใหญ่ ไม่สำเร็จ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องหวัง จุดจบอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด เมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนย่อมรู้ถึงความน่าเวทนาของการที่ต้องตกไปเป็นวัตถุหยินในหุบเขาผีร้ายมากกว่า
เฉินผิงอันชำเลืองตามองแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่มองต่ออีก
เข้าหุบเขามาดูดซับปราณหยินคือการละเมิดข้อห้ามใหญ่ สำนักพีหมาเอ่ยเตือนไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ อย่างชัดเจน การกระทำเช่นนี้ง่ายที่จะทำให้วิญญาณในพื้นที่ของหุบเขาผีร้ายมองเป็นศัตรู เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครชอบให้บ้านของตัวเองมีขโมย
เพียงแต่ว่าแต่ละคนต่างก็มีความคิดมีวาสนาต่างกัน หากความสามารถมากพอ ความกล้าหาญมากพอ สำนักพีหมาก็ไม่คิดจะขัดขวาง
สองคนสุดท้ายมองดูคล้ายคู่บำเพ็ญเพียรหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ต่างคนต่างสะพายหีบไม้ใบใหญ่มาก คล้ายว่าจะมาเก็บของดีในหุบเขาผีร้าย ในหุบเขาผีร้ายนอกจากปราณหยินและโครงกระดูกขาวสองอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุด อันที่จริงยังมีพืชพรรณประหลาดและสัตว์วิเศษที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้อีกเป็นจำนวนมาก ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ กล่าวถึงไว้เยอะ เพียงแต่ว่าเวลานับพันปีตั้งแต่ที่สำนักพีหมาก่อตั้งมา คนที่มาเสี่ยงโชคที่นี่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเองก็มีคนที่คอยตามหาสมบัติวิเศษชนิดต่างๆ เป็นประจำอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้ช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่จะโชคดีเทียมฟ้าตามหาวัตถุวิเศษที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้สำเร็จ
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วขยี้เบาๆ อยู่กลางฝ่ามือ
เย็นและชื้นมากจริงดังคาด คล้ายกับดินพันปีของสุสาน
เฉินผิงอันโยนดินทิ้ง หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในบริเวณใกล้เคียง ใช้สองนิ้วบีบเบาๆ แล้วก็ขมวดคิ้ว ก้อนหินอ่อนนุ่มมากจนคล้ายกับดินโคลน
ไม่เสียแรงที่เป็นหุบเขาผีร้าย ช่างเป็นดินและน้ำที่ประหลาดนัก
สำนักพีหมาสร้างเมืองสองแห่งไว้ในหุบเขาผีร้าย เมืองหนึ่งมีชื่อว่าหลันเซ่อ ส่วนอีกเมืองหนึ่งมีชื่อว่าชิงหลู สถานที่แรกตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด ขนาดเท่ากับตลอดของด่านไน่เหอ อย่างหลังตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกสุดใกล้กับส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย ถือเป็นสถานที่ฝึกตนครึ่งหนึ่งของจู๋เฉวียนสตรีผู้เป็นเจ้าสำนัก กั๋วฉือเซียนซือผู้นี้มาปักหลักอยู่ที่นี่เป็นประจำ ในระยะเวลาสามร้อยปี เจ้านครของเมืองจิงกวานเคยมา ‘เยี่ยนเยือน’ ที่เมืองชิงหลูอยู่สองครั้ง ล้วนเดินทางมาคนเดียวทุกครั้ง เพื่อประมือกับเซียนดินของสำนักพีหมาซึ่งมีจู๋เฉวียนเป็นผู้นำ ตีกันแต่ละครั้งก็พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงถูกกั๋วฉือเซียนซือที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือดาบอาคมเล่มหนึ่งปาดเอาไปนับไม่ถ้วน
และเส้นทางขึ้นเหนือสองเส้นของหุบเขาผีร้ายก็เกิดขึ้นด้วยสาเหตุนี้
เดินทางไปเมืองหลันเซ่อนั้นปลอดภัยที่สุด ระยะทางก็อยู่ใกล้ แทบจะดิ่งเป็นเส้นตรงอย่างเดียว แต่ว่าถึงแม้ระยะทางแปดสิบลี้จะสั้น แต่บริเวณโดยรอบเมืองหลันเซ่อก็มีอยู่หลายสถานที่ที่จำต้องไป มีทั้งสถานที่ทิวทัศน์งดงามไว้ให้ผู้คนมาท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเช่นตำหนักใต้ดินโบราณแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานาน ยอดเขาหัวขาวที่เป็นภูเขาหินสลับสล้างอันตราย สีสันขาวใสดุจหิมะ และยังมีนครอีกแห่งหนึ่งที่เลือกพึ่งพาสำนักพีหมา เจ้านครคือวิญญาณหยินราชครูที่ตอนมีชีวิตอยู่เชี่ยวชาญการเขียนยันต์ของลัทธิเต๋า มักจะออกมาแลกเปลี่ยนสิ่งของกับผู้ฝึกตนที่มาจากภายนอกเป็นประจำ
—
แสดงอำนาจที่เมืองฟูนี่
ส่วนการเดินทางไปเมืองหลันเซ่อนั้น เนื่องจากต้องอ้อมผ่านภูเขาแม่น้ำจำนวนมาก เป็นเหตุให้ระยะทางยาวไกลถึงแปดร้อยกว่าลี้ เรื่องที่คิดจะขี่กระบี่ บังคับลมบินทะยาน หรือบังคับสมบัติอาคมบินไปนั้น ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมา ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งก็ยังคงเป็นการรนหาที่ตายอยู่ดี ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนผี หาไม่แล้วเมื่อมาเยือนหุบเขาผีร้ายที่มีปราณหยินอึมครึม ปราณเยียบเย็นไหลทะลักดุจกระแสน้ำขึ้นแห่งนี้ก็ไม่มีความหมายของการฝึกฝนประสบการณ์อยู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังจะเป็นการลดทอนตบะให้เสียหาย แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ไม่ยินดีข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก น้อยครั้งนักที่จะออกจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่ถ่วงเวลาในการฝึกตน ยังไร้ประโยชน์อีกด้วย
ก็เหมือนการที่ก่อกำเนิดแซ่ซูของสำนักพีหมาที่มาดูแลเรือข้ามทวีปหนึ่งลำ นั่นเป็นการกระทำด้วยความจนใจเนื่องจากไม่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นอีกแล้ว ก็โทษไม่ได้ที่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้จะรู้สึกอัดอั้นตันใจ
ดังนั้นขอบเขตก่อกำเนิดและขอบเขตบินทะยานต่างก็ถูกเรียกขานอย่างขบขันว่าเต่าพันปีและตะพาบหมื่นปี
เฉินผิงอันเลือกจะตรงไปที่เมืองชิงหลู อีกทั้งยังไม่เลือกเดินไปบน ‘ทางหลวง’ ที่สำนักพีหมาบุกเบิกอย่างยากลำบากเส้นนั้นด้วย
เด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาใหญ่ กับกลุ่มคนสามคนที่เป็นผู้ฝึกตนผีจับกลุ่มกับผู้ฝึกตนอิสระสำนักการทหารเลือกจะไปที่เมืองหลันเซ่อ ส่วนหลังจากนั้นจะเสี่ยงอันตรายไปเยือนเมืองชิงหลูอีกครั้งหรือไม่ก็เดาได้ยากแล้ว
ที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจก็คือคู่รักคู่นั้น มองดูเหมือนตบะไม่สูง แต่กลับเลือกเส้นทางอันตรายอย่างเมืองชิงหลูนี้
คู่รักที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระพูดคุยกันเสียงเบา พวกเขาจับมือกันเดินทางขึ้นเหนือ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แม้จะดูเพ้อฝันไปบ้าง แต่สีหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว
สมกับคำว่าหาเงินโดยเอาหัวผูกไว้ตรงสายรัดเอวจริงๆ (เปรียบเปรยว่าทำอะไรบางอย่างโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของตัวเอง)
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากพวกเขามาค่อนข้างไกล ตนเดินอยู่ด้านหน้า ถึงอย่างไรก็ดีกว่าติดตามอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเกิดการคาดเดาส่งเดช
อีกฝ่ายเองก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเหมือนจงใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา อีกทั้งยังมักจะหยุดเดินอยู่บ่อยๆ บ้างก็หยิบดิน บ้างก็ดึงต้นหญ้า ถึงขั้นยังขุดดินหาก้อนหิน พินิจพิเคราะห์เลือกไปทีละก้อน
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างกันมากขึ้นทุกที
พอคู่รักผู้ฝึกตนอิสระคู่นั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็มองไม่เห็นเงาร่างของจอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว
ท้องฟ้าในหุบเขาผีร้ายเป็นสีเทาขมุกขมัว เหมือนสภาพบรรยากาศเวลาฝนตก จึงเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เฉินผิงอันยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว
ทางสายเล็กคับแคบที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลูเส้นนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพยายามหลีกเลี่ยงนครน้อยใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายให้มากที่สุด แต่เดิมทีการที่คนเป็นในโลกมนุษย์มาเดินอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณอาฆาตแค้นของคนตายก็เหมือนแสงไฟท่ามกลางม่านราตรีที่โดดเด่นสะดุดตามากอยู่แล้ว และผีร้ายหลายตนที่สูญเสียสติปัญญาไปอย่างสิ้นเชิงก็มีการรรับกลิ่นที่เฉียบไวต่อปราณหยาง หากไม่ทันระวัง เคลื่อนไหวรุนแรงเกินไปก็อาจจะชักนำให้ผีร้ายกรูเข้ามาหากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า สำหรับวิญญาณหยินแข็งแกร่งที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งแล้ว ผีร้ายที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาพวกนี้ก็เหมือนซี่โครงไก่ รับสมัครมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พวกมันก็ทั้งไม่ยอมรับพันธนาการ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่แน่ว่าอาจเข่นฆ่ากันเอง ทำให้กองกำลังของตัวเองเสียหาย ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกมันร่อนเร่ไปเรื่อยแบบนี้ และบางครั้งก็จับเอาพวกมันมาเป็นคู่ซ้อมมือ
ในผืนป่าข้างทางแห่งหนึ่งที่มีกลุ่มอีกาเกาะกิ่งไม้กันอยู่อย่างสงบ เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้าไปมองก็เห็นว่าในจุดลึกของผืนป่ามีเงาวูบวาบ ชุดสีขาวล่องลอยไปมา เดี๋ยวก็ปรากฏตัว เดี๋ยวก็วูบหายไป
เฉินผิงอันจึงถือโอกาสออกจากทางสายเล็ก เดินเข้าไปในป่ารก อีกากระพือปีกบินหนี กิ่งไม้สั่นไหว มองดูคล้ายภูตผีที่แสยะเขี้ยวกางเล็บอยู่ตรงนั้น
เพียงแต่เมื่อเฉินผิงอันเดินเข้ามาในป่า นอกจากเกราะผุพัง หรือไม่ก็อาวุธขึ้นสนิมที่โผล่ปลายส่วนหนึ่งมาจากในพื้นดินแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก
เฉินผิงอันดีดปลายเท้าทะยานขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงกิ่งหนึ่งของต้นไม้แห้งเหี่ยว พอกวาดตามองไปรอบด้านก็ยังคงมองไม่ออกถึงเบาะแสของความผิดปกติ เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันย้ายสายตาไปมองมุมหนึ่งกะทันหัน แล้วเพ่งตามองไป ในที่สุดก็มองเห็นว่าด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่งมีใบหน้าซีดขาวโผล่มาครึ่งซีก ริมฝีปากแดงฉาน ลักษณะคือสตรีผู้หนึ่ง ท่ามกลางผืนป่าที่ไร้กลิ่นอายของความมีชีวิตแห่งนี้ นางจ้องตาอยู่กับเฉินผิงอันเพียงลำพัง ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาอย่างแข็งทื่อ คล้ายกำลังมองประเมินเฉินผิงอันอยู่
เฉินผิงอันจับประคองงอบ คิดว่าจะไม่สนใจวัตถุหยินภูตผีตนนั้น กำลังจะกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงกลับสังเกตเห็นว่าอยู่ดีๆ กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดหักออกดังเปาะอย่างไม่มีลางบอกเหตุ เฉินผิงอันขยับเท้าเบี่ยงหลบไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าตรงจุดที่กิ่งไม้หักออกจากกันมีเลือดสดไหลซึมออกมาช้าๆ แล้วหยดลงบนพื้นดินใต้ต้นไม้ จากนั้นเกราะเหล็กทั้งหลายที่ขึ้นสนิมมานานซึ่งถูกฝังลึกอยู่ใต้ดินก็เหมือนถูกคนหยิบมาสวมลงบนร่าง อาวุธก็ถูก ‘ดึงออกมา’ จากใต้ดิน สุดท้าย ‘นักรบสวมเกราะ’ สิบกว่าตนก็พากันลุกขึ้นยืนโงนเงน โอบล้อมต้นไม้แห้งเหี่ยวสูงใหญ่ที่เฉินผิงอันยืนอยู่ต้นนี้เอาไว้
เฉินผิงอันกระโดดผลุงลงมา มายืนอยู่บนไหล่ของทหารชุดเกราะคนหนึ่งพอดี คิดไม่ถึงว่าเกราะเหล็กนั้นจะพลันกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายหล่นฮวบลงบนพื้นดิน เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้นโบกหนึ่งครั้ง พายุลมกรดส่วนหนึ่งปัดผ่านไป ทหารชุดเกราะทั้งหมดก็พากันแหลกสลายเป็นผุยผงเหมือนกับตนแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง สตรีชุดขาวที่ยังคงโผล่ใบหน้ามาแค่ครึ่งหน้าหลบอยู่หลังต้นไม้ผู้นั้นปิดปากหัวเราะชอบใจ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ภูเขาแม่น้ำบริเวณใกล้เคียงนี้ ตรงไหนมีผีร้ายเข้าออกบ้าง?”
สตรีค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวเองอย่างแข็งทื่อ
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าหมายถึงผีร้ายประเภทที่ไม่ตายด้วยหมัดเดียว”
สตรีชุดขาวอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเหี้ยมอำมหิต ภายใต้ผิวพรรณที่ขาวซีดเหมือนมีไส้เดือนหลายตัวเลื้อยยั้วเยี้ย นางทำมือต่างมีด ฟันให้ต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นหนาเท่าปากบ่อน้ำต้นนั้นหักโค่นได้อย่างง่ายดายเหมือนใช้มีดหั่นก้อนเต้าหู้ จากนั้นก็ยกฝ่ามือตบหนักๆ หนึ่งครั้ง ผลักต้นไม้ให้กระแทกเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า พายุลมกรดเหมือนผนังที่สกัดกั้นอยู่ตรงหน้าเขา พอต้นไม้ที่หักโค่นกระแทกมาโดนก็ระเบิดแหลกลาญ เศษฝุ่นผงลอยคลุ้งมืดฟ้ามัวดินในเสี้ยววินาที
ความเย็นแผ่มาจากใต้ฝ่าเท้าเป็นระลอก ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างรัดพันเท้าทั้งสองของเฉินผิงอัน จากนั้นในดินก็มีศีรษะของสตรีผู้หนึ่งโผล่ออกมา
มิน่าเล่าถึงปรากฏตัวให้คนเห็นเพียงครึ่งหน้า ที่แท้ถึงแม้ครึ่งใบหน้านั้นของนางจะซีดขาว แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีความงดงามของสตรี ทว่าอีกครึ่งหน้าที่เหลือกลับมีเพียงกระดูกขาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังบางๆ มองปราดๆ จึงเหมือนสตรีอัปลักษณ์ที่มีใบหน้าเพียงแค่ครึ่งเดียว
ใบหน้าครึ่งนั้นของนางน้ำตาคลอเจียนหยดอย่างน่าเวทนา พูดเสียงสั่นว่า “หากท่านแม่ทัพเกลียดแค้นที่ข้าทรยศก็ฆ่าข้าเถิด อย่าได้ใช้มีดกรีดเถือใบหน้าของข้า ข้าทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว”
เฉินผิงอันปล่อยให้นางใช้ชายแขนเสื้อทั้งสองรัดพันเท้าของตัวเองเอาไว้ เขาก้มหน้าลงเอ่ยว่า “เจ้าก็คือหนึ่งในสี่ขุนพลผีคนสนิทของเจ้านครฟูนี่ที่อยู่ใกล้ๆ นี้กระมัง? เหตุใดต้องเข้ามาใกล้ถนนขนาดนี้? ข้ามีแผ่นหยกของสำนักพีหมาติดตัว เจ้าไม่ควรมาหาของกินแถวนี้ ไม่กลัวว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะมาเอาเรื่องเจ้าหรอกหรือ?”
ผีสาวชุดขาวไม่คิดจะฟัง ยื่นนิ้วสองข้างมาฉีกผิวหนังครึ่งหน้าที่ไม่มีเนื้อออก กระดูกขาวโพลนด้านในยังคงเต็มไปด้วยรอยกรีดเถือของวัตถุแหลมคม มากพอจะแสดงให้เห็นได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกกรีดผิวหนังที่ทรมานเกินกว่าปกติซึ่งนางได้รับก่อนตาย นางร้องไห้ไร้เสียง ใช้นิ้วชี้ไปยังกระดูกขาวที่โผล่อยู่ครึ่งหน้านั้น “ท่านแม่ทัพ เจ็บ เจ็บ”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองสบตากับนาง “พอเถอะ วิชามัวเมาจิตใจของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผล ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างนครฟูนี่กับสำนักพีหมาไม่เลวเลย แต่พวกเจ้ามีศัตรูคู่อาฆาตอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้นำคือวิญญาณหยินเซียนดินที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว กองกำลังใต้บังคับบัญชามีอยู่น้อยนิด แค่ผีร้ายสิบกว่าตนเท่านั้น แต่มักจะออกมาสร้างเรื่องก่อราวเป็นประจำ เหมือนทหารลาดตระเวนชายแดนที่ไปมาไม่แน่นอน วิญญาณหยินโอสถทองตนนั้นชอบกินคนเป็นๆ มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ฝึกลมปราณที่หากตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันก็จะอยู่ไม่สู้ตาย เหมือนหมูเหมือนหมาที่คนเลี้ยงเอาไว้ วันนี้ถูกตัดขาหนึ่งข้าง พรุ่งนี้ถูกเฉือนเนื้อหนึ่งก้อน ไม่ถึงแก่ชีวิต พวกมันเองก็รู้จักกาลเทศะ ไม่กล้าล่วงเกินภูตผีของเมืองใหญ่ ชอบเลือกรังแกคนอ่อนแอมากที่สุด กับผีนครฟูนี่อย่างพวกเจ้าก็มักจะมาแอบจับตัววัตถุหยินที่เป็นสตรีหนึ่งถึงสองตนทุกๆ สามวันห้าวัน สภาพการณ์อเนจอนาถยิ่งกว่าเสียอีก”
ผีสาวชุดขาวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงพึมพำต่อว่า “เจ็บจริงๆ เจ็บจริงๆ …ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่ทัพลงมีดเบาๆ หน่อย”
และเวลานี้เอง รอบกายของเฉินผิงอันก็เต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวอบอวล เหมือนถูกรังไหมที่มองไม่เห็นรังหนึ่งห่อหุ้ม
เฉินผิงอันขยับไหล่เล็กน้อย พายุลมกรดก็ซัดกระเทือน ไอหมอกขาวแหลกเป็นจุล
ผีหญิงรู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว กำลังจะมุดลงดินหนีไป กลับถูกเฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดต่อยลงกลางหน้าผากอย่างรวดเร็ว หมัดของเขาทำให้ปราณหยินที่ไหลวนอยู่ทั่วร่างของนางหยุดชะงัก จากนั้นก็เฉินผิงอันก็ยื่นมือมากุมลำคอนางแล้วกระชากลากออกมาจากดิน เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ร่างของนางก็กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ผีสาวชุดขาวขดตัวเหมือนงูสีขาวหิมะที่ถูกคนตีจนกระดูกแตก ได้แต่นอนพังพาบอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันถอนหายใจ “หากยังอืดอาดอยู่อย่างนี้ต่อไป ข้าคงต้องลงมือรุนแรงจริงๆ แล้ว”
ผีสาวชุดขาวหัวเราะคิกๆ ร่างลอยพลิ้วขึ้น แล้วพลันเปลี่ยนไปเป็นวัตถุหยินสูงสามจั้งตนหนึ่ง ชุดสีขาวบนร่างก็ขยายใหญ่ตามไปด้วย
ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ เคยใช้ไม่กี่ประโยคที่กระชับได้ใจความมาอธิบายถึงวัตถุหยินของเมืองฟูนี่แห่งนี้
ผีสาวเรียกตัวเองว่าปั้นเมี่ยนจวง (ประทินโฉมครึ่งหน้า) ตอนมีชีวิตอยู่คืออนุภรรยาของแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการคนหนึ่ง หลังจากตายไปก็กลายเป็นวิญญาณอาฆาต เนื่องจากได้ครอบครองชุดคลุมอาคมไม่ทราบที่มาตัวหนึ่งจึงเชี่ยวชาญการจำแลงกายให้เป็นสาวงาม ใช้หมอกอำพรางตาบดบังจิตใจของผู้ฝึกตน จากนั้นก็จะถูกนางสังหาร เลาะกระดูกดูดไขในร่างกาย ดูดกลืนปราณวิญญาณเหมือนดื่มเหล้า ยากที่จะสังหารอย่างถึงที่สุด เคยถูกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวในหุบเขาผีร้ายใช้กระบี่แทงไปหนึ่งทีก็ยังคงมีชีวิตรอดมาได้
เสื้อผ้าของผีชุดขาวที่เรือนกายใหญ่โตลอยพลิ้วเหมือนริ้วคลื่นน้ำที่แผ่กระเพื่อม นางยื่นฝ่ามือที่ใหญ่โตเท่าใบลานออกมาปาดใบหน้าจากบนลงล่าง
นางสบตากับเฉินผิงอัน ใบหน้านั้นเหลือเพียงดวงตาข้างหนึ่งที่เปล่งประกายแสงแก้วเจ็ดสี
แล้วทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไป
เฉินผิงอันหรี่ตาลง “เจ้ารนหาที่ตายเองนะ”
ผีสาวเริ่มโอบล้อมรอบกายเฉินผิงอัน เสื้อผ้าปลิวไสว ริมฝีปากไม่ได้ขยับ แต่กลับมีเสียงแว่วหวานดั่งเสียงสกุณาดังขึ้นรอบกายเฉินผิงอันไม่หยุด เป็นเสียงที่หวานเลี่ยน มัวเมาจิตใจคนอย่างยิ่ง “เจ้าตัดใจฆ่าข้าได้ลงหรือ? เจ้าฆ่าข้าได้หรือ? ไม่สู้คลอเคลียแนบชิดกับข้าสักครั้ง? ก็แค่สูญเสียพลังหยางปราณวิญญาณบางส่วนเท่านั้น แล้วก็จะได้สมใจปรารถนากับสตรีที่ตัวเองหมายปอง ข้าได้กำไร เจ้าเองก็ไม่ขาดทุน เหตุใดถึงไม่ยินดีเล่า?”
หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือใบถงทวีป หรือแม้แต่ครั้งนั้นที่พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันก็จะต้องเก็บซ่อนความสามารถก้นกรุและที่พึ่งของตัวเองไว้อย่างระมัดระวัง อีกฝ่ายมีความสามารถเท่าไหร่ก็ค่อยแสดงฝีมือและความสามารถเท่านั้นออกไป เรียกได้ว่ารอบคอบระแวดระวัง วางแผนให้กับตัวเองทุกก้าวย่าง หากเจอกับวัตถุหยินชุดขาวตนนี้อยู่ในสถานที่อื่น เขาจะต้องใช้หมัดประเมินความสามารถของอีกฝ่ายก่อนแน่นอน จากนั้นค่อยใช้ยันต์ แล้วค่อยเป็นกระบี่บินสืออู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ สุดท้ายถึงจะเป็นคราวของเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังซึ่งต้องออกจากฝัก
แต่วันนี้ตอนนี้ เฉินผิงอันกลับชักกระบี่ออกจากฝักโดยตรง มือถือเจี้ยนเซียนฟันฉับเข้าที่หัวของวัตถุหยินตนนี้อย่างง่ายๆ เมื่อหัวหลุดออกจากร่าง ศีรษะที่กลับคืนสู่ใบหน้าเดิมนั้นก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร่วงดิ่งลงพื้น ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนสนั่นหวั่นไหวก็ระเบิดมาจากซีกหน้าหนึ่งครึ่งบนศีรษะนั้น ใบหน้านั้นกำลังจะเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่เสียบปักตรึงอยู่ที่เดิมเสียก่อน เขายื่นมือมาคว้าจับ กำชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะไว้ในฝ่ามือ มันก็เปลี่ยนมาเป็นผ้าผืนหนึ่งขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้า เบาดุจขนห่าน ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เมื่ออยู่ในมือก็ให้สัมผัสที่เย็นน้อยๆ แต่กลับไร้กลิ่นอายของความอึมครึมดุร้าย คือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เป็นรองชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวบนร่างของตนตัวนี้ก็เป็นได้
ผีสาวตนนี้ไม่ได้มีพลังการต่อสู้อะไร ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันบอก จะต่อยหนึ่งหมัดให้นางร่อแร่ใกล้ตายก็ไม่ยากเลยสักนิด แต่หนึ่งเพราะแท้จริงแล้วร่างจริงของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะสังหารอย่างไรก็ไม่อาจทำร้ายไปถึงรากฐานของนางได้ นี่จึงเป็นจุดที่ทำให้นางรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ที่นี่คือสถานที่ที่มีปราณหยินเข้มข้น ผีสาวที่ไม่มีร่างจริงอาจจะยังสามารถอาศัยวิชาลับบางอย่างช่วยให้นางเป็นตายอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันได้นับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งปราณวิญญาณที่ฟูมฟักอยู่ใน ‘เนื้อหนังมังสา’ ซึ่งคล้ายคลึงกับการปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลนี้ถูกเผาผลาญจนหมด ส่งผลกระทบไปถึงร่างจริง นางถึงจะยอมหยุด
กระบี่บินชูอีกับสืออู่ก็เหมือนกัน ถึงอย่างไรพวกมันก็ยังไม่อาจเป็นเหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเทพเซียนพสุธาอย่างที่กล่าวถึงในตำนานซึ่งสามารถลอดทะลวงข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา มองข้ามสิ่งกีดขวางแห่งภูเขาและแม่น้ำร้อยลี้พันลี้ แค่ไล่ตามเบาะแสน้อยนิดไปก็จะสามารถสังหารศัตรูอย่างไม่ทิ้งร่องรอยได้
มีเพียงเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังนี้เท่านั้นที่แตกต่าง
ผีสาวของนครฟูนี่ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา แล้วอยู่ดีๆ ก็จากไป ไม่เพียงแต่เนื้อหนังมังสานี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณแหลกสลายอย่างสิ้นเชิงในเสี้ยววินาที ร่างจริงแห่งชะตาชีวิตของนางก็ต้องได้รับบาดเจ็บส่วนใดส่วนหนึ่งด้วย เจี้ยนเซียนบินกลับเข้าฝักด้วยตัวเองอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บชุดคลุมอาคมเล็กจิ๋วชิ้นนั้นใส่เข้าไปในชายแขนเสื้อก็มองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่ง มองดูเหมือนฝีเท้าเนิบช้า แต่แท้จริงแล้วกลับย่อพื้นที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว นางหยุดยืนนิ่งห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปหลายสิบก้าว หญิงชราสีหน้ามืดทะมึน “ก็แค่การหยั่งเชิงที่ไม่เจ็บไม่คันเท่านั้น เจ้าจำเป็นต้องลงมืออย่างอำมหิตขนาดนี้เชียวหรือ? คิดว่านครฟูนี่ของพวกเราเป็นมะพลับนิ่มจริงๆ หรือไร? เจ้านครกำลังเดินทางมาแล้ว เจ้าก็รอความตายได้เลย”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองก็เห็นว่ากลางอากาศมีรถลากคันมหึมาทะยานลมมาถึง รอบด้านมีขบวนผู้คนเอิกเกริก นางกำนัลหญิงที่รายล้อมมากมายดุจก้อนเมฆ บางคนถือฉัตรบังแสงแดด บางคนถือแผ่นหยกเปิดทาง และยังมีพัดขนนกเล่มใหญ่ยักษ์ที่ใช้ป้องกันฝุ่นป้องกันลม ประดุจดาวห้อมล้อมดวงเดือน ทำให้ขบวนรถนี้เหมือนขบวนของฮ่องเต้ที่เสด็จออกประพาส
ดูท่าแล้วเจ้านครฟูนี่จะเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองจริงๆ
ในหุบเขาผีร้าย วิญญาณวีรบุรุษที่แยกตัวตั้งตนเป็นราชาก็ดี วิญญาณหยินแข็งแกร่งที่ยึดครองภูเขาแม่น้ำหนึ่งแห่งก็ช่าง ล้วนไร้ขื่อไร้แปยิ่งกว่าเจ้าเกาะน้อยใหญ่บนทะเลสาบซูเจี่ยนเสียอีก พวกผีหญิงของนครฟูนี่แห่งนี้ก็แค่มีกำลังไม่มากพอ เรื่องชั่วร้ายที่สามารถทำได้จึงไม่ยิ่งใหญ่สักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับนครแห่งอื่นๆ ชื่อเสียงของพวกนางถึงได้ดีกว่าเล็กน้อย
เฉินผิงอันขยับงอบ ถอนสายตากลับมามองหญิงชราที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างผู้นั้น “ข้าก็ไม่ได้ข่มขู่อะไรมากมายเสียหน่อย”