Skip to content

Sword of Coming 505

บทที่ 505 เจี้ยนเซียนอยู่ในมือของเซียนกระบี่

ตอนที่คนชุดเขียวคว้าจับร่างทองของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี เจ้าแห่งทะเลสาบ ชางอวิ๋นก็มีสีหน้าเดือดดาลคล้ายจะลงมืออย่างอำมหิตได้ทุกเมื่อ ถึงขั้นอาจบุกขึ้นฝั่งมาเปิดฉากเข่นฆ่าอย่างไม่สนใจสิ่งใด

แต่เมื่อคนผู้นั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ร่างทองของเทพลำคลองท่านหนึ่งแหลกสลาย อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบกลับมีจิตใจที่นิ่งสนิทดุจผิวน้ำ เผชิญหน้ากับคนต่างถิ่นที่ ราวกับแม่ทัพควบม้านำเดี่ยวทะลวงขบวนรบผู้นั้น อินโหวยกมือขึ้น สองนิ้วประกบกัน แสงศักดิ์สิทธิ์สองกลุ่มที่หนึ่งเป็นสีทองจางๆ อีกหนึ่งเป็นสีเขียวมรกตรวมตัวคล้าย งูน้อยสองตัวที่ขดอยู่ปลายนิ้วแล้วเลื้อยรัดพันกันและกัน อินโหวสะบัดนิ้วเบาๆ ผิวน้ำทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางก็เริ่มมีไอน้ำลอยอบอวลขึ้นมา ควันเขียวกลิ้งหลุนๆ พริบตาเดียวก็ปกคลุมผิวน้ำไปทั่วในรัศมีร้อยลี้

ทางฝั่งของท่าเรือ อย่าว่าแต่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีเลย ต่อให้เยี่ยนชิงโคจรลมปราณเพ่งสมาธิมองไป สิ่งที่สายตามองเห็นก็มีเพียงไอหมอกขาวโพลนเท่านั้น ไม่เหลือเงาร่างของเจ้าแห่งทะเลสาบและขุนนางบุ๋นบู๊มากมายของทะเลสาบชางอวิ๋นอีกแล้ว ส่วนบรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งตนก็คล้ายว่าจะเรียกใช้สมบัติหนักของสำนักชิ้นนั้น แสงอัญมณีเรืองรองเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ปกป้องผู้ฝึกตน สำนักเดียวกันกับนางทั้งหมดไว้ภายใน จากนั้นก็เริ่มถอยร่นไปช้าๆ น่าจะต้องการ ยกสนามรบทั้งหมดนี้ให้กับอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบฝ่ายเดียว

ริมขอบของไอน้ำมีงูเหลือมสีทองจางๆ ตัวหนึ่งกับงูใหญ่สีเขียวมรกตตัวหนึ่ง เลื้อยวนไม่หยุดนิ่ง ทั้งสองตัวบินวนคาบหางกันและกัน ประหนึ่งเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่โปรยพิรุณ เพิ่มไอน้ำบนทะเลสาบให้หนาแน่นขึ้น

เยี่ยนชิงแค่พอจะรู้ว่านี่คือหนึ่งในวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเทพวารีที่บรรลุมหามรรคาคนหนึ่ง ไม่เรียบง่ายเพียงเป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นกรงขังที่ลักษณะคล้ายคลึงกับค่ายกลยันต์อย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถูกขังไว้ภายใน มันก็สามารถเผาผลาญปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณและปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของพวกเขาได้ คือวิชาที่ค่อยๆ ลดทอนพละกำลังไปช้าๆ ซึ่งใช้ได้ทั้งโจมตีและทั้งป้องกัน

ตู้อวี๋ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ชำเลืองตามองท่าเรือเบื้องหน้าที่สภาพเละเทะ แวบหนึ่ง พื้นดินแถบนั้นพังยุบไม่เหลือชิ้นดี มีเพียงพื้นดินตรงจุดที่วางหีบไม้ไผ่กับ ไม้เท้าเดินป่าเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม

ผู้อาวุโสช่างมีฝีมือเลิศล้ำประดุจเซียนจริงๆ

นี่หมายความว่าอะไร? หมายความว่าเท้าที่กระทืบลงไปครานั้นของผู้อาวุโสยังไม่ได้ออกแรงทั้งหมด

เยี่ยนชิงโบกชายแขนเสื้อสลายฝุ่นผงที่ตลบคลุ้งอยู่ตรงท่าเรือออกไป

เพียงแต่ว่าสายตาของนางจ้องมองความเคลื่อนไหวตรงพื้นผิวน้ำทะเลสาบชางอวิ๋น อยู่ตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่ไอน้ำที่ขาวโพลนกินรัศมีเป็นร้อยจั้งพลันเหมือนแหตกปลาที่ถูกคนขยุ้มแล้วกระชากกลับมา กลายเป็นมีขนาดแค่สิบกว่าจั้ง ทว่าไอน้ำกลับเปลี่ยนมาเป็นเข้มข้นจนเหมือนกลายมาเป็นน้ำ งูเหลือมสีทองและงูยักษ์สีเขียวมรกตพากันพุ่งเข้าไปในค่ายกลทันใด

เยี่ยนชิงถอนหายใจอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็เป็นศึกบนทะเลสาบชางอวิ๋น อินโหว เจ้าแห่งทะเลสาบจึงได้เปรียบทั้งด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคี อีกทั้งยังมีเทพลำคลองคนสนิทคนหนึ่งสละชีวิตขัดขวางการบุกรุดหน้าของคนผู้นั้น เมื่อสูญเสียโอกาสช่วงชิงความได้เปรียบ คิดดูแล้วสภาพการณ์ของคนผู้นั้นก็มีแต่จะย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบสามารถหยัดยืนอยู่ในแคว้นอิ๋นผิงมาได้นานเป็นพันปีโดยที่ไม่ล้มลง ใช้สถานะของเทพวารีสามารถนั่งทัดเทียมได้กับเจ้าแห่งขุนเขาทั้งห้าของหนึ่งแคว้น ก็ไม่แปลกที่บรรพจารย์ของสำนักจะเลือกวังมังกรเป็นสถานที่พักแรมแห่งสุดท้ายในการเดินทางมาเยือนเมืองสุยเจี้ย

เยี่ยนชิงชำเลืองตามองตู้อวี๋ เห็นว่าสีหน้าของเขายังราบเรียบเป็นปกติ

ตู้อวี๋เองก็สัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนชิงจึงหันหน้ามายิ้มกล่าว “บ่อน้ำเล็กๆ ไม่อาจกักตัวพี่น้องเฉินของข้าคนนั้นที่แค่จามง่ายๆ หนึ่งทีก็สามารถพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรได้หรอก”

เยี่ยนชิงหลุดหัวเราะพรืดอย่างขำขัน

ถ้อยคำประจบสอพลอที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ หลังสงครามใหญ่ปิดฉากลง แล้ว ดูสิว่าเจ้าจะยังพูดออกมาจากปากได้อีกหรือไม่

ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งได้ถอยห่างออกไปจากสนามรบในระยะร้อยจั้งกว่าแล้ว บรรพจารย์ฟ่านเหวยหรานยังคงไม่ได้เก็บวิชาอภินิหารจากสมบัติพิทักษ์ขุนเขาชิ้นนั้นลงไป เห็นเพียงว่ามงกุฎสีทองบนศีรษะของนางส่องประกายแสงสีทองไหลวน สาดแสงเจิดจ้าไปสี่ทิศ ข้างกายของนางมีขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ เหมือนในภาพวาดคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ใบหน้าของนางพร่าเลือน ทั่วร่าง อาบไปด้วยแสงสีทอง เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ชายแขนเสื้อของสาวใช้ร่างทองที่ เรือนกายพร่าเลือนคล้ายภาพมายานี้พลิ้วสะบัด ในมือนางกางฉัตรตระกูลเซียนอันหนึ่งคอยปกป้องผู้ฝึกตนจากดินแดนเซียนเป่าต้งทุกคน ส่วนผิวน้ำทะเลสาบ ใต้ฝ่าเท้าของฟ่านเหวยหรานก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ประหนึ่งท่าเรือที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวให้คนได้มีที่ยืนอยู่บนทะเลสาบ

เยี่ยนชิงผ่อนลมหายใจโล่งอก

ดูท่าแล้วบรรพจารย์คงไม่คิดจะมีส่วนร่วมกับการเข่นฆ่าในคืนนี้

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่เทพลำคลองอีกสองคนที่เหลืออยู่ได้พาคนอื่นๆ ถอยห่างไปไกลแล้ว ดูจากทิศทางก็น่าจะย้อนกลับไปยังจวน เจ้าแห่ง คูน้ำเสาซีผู้นั้นไม่เพียงแต่เหมือนได้รับอภัยโทษ ยังคล้ายกับว่าจะได้รับโชคหลังหายนะ บนใบหน้าไม่อาจปกปิดสีหน้าของความลิงโลดเอาไว้ได้ นางโคจรวิชาอภินิหารกลายร่างเป็นไอน้ำกลุ่มหนึ่งที่บินพุ่งไปยังทิศทางของคูน้ำเสาซีอันเป็นบ้านของตัวเองอย่างว่องไว

เยี่ยนชิงรู้ดีว่า ทะเลสาบชางอวิ๋นคิดจะระดมกองกำลังยิ่งใหญ่เพื่อสังหารคนผู้นั้นให้สิ้นซาก

อินโหวยังคงมีท่าทางผ่อนคลายอยู่ดังเดิม เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ส่งให้เยี่ยนชิง

เยี่ยนชิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ภาพปรากฎการณ์ผิดปกติพลันเกิดขึ้นบนทะเลสาบ

กรงขังค่ายกลที่ปกคลุมผิวทะเลสาบพลันปรากฎแสงสีทองเส้นหนึ่ง จากนั้น ค่ายกลน้ำก็ระเบิด ประหนึ่งน้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำแล้วผสานรวมเข้าไปในทะเลสาบ

ชายชุดเขียวยืนมือหนึ่งไพล่หลัง เขาเองก็ประกบสองนิ้วเช่นกัน เวลานี้กำลัง หันหน้าเข้าหาอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ หันหลังให้กับท่าเรือ

ยันต์วิเศษตระกูลเซียนกระดาษสีทองที่คนผู้นั้นคีบไว้ระหว่างสองนิ้วเพิ่งจะ เผาไหม้ไปได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

เยี่ยนชิงฉงนสนเท่ห์ไม่เข้าใจ

แค่ใช้ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นเดียวเท่านั้นหรือ?

บนโลกมียันต์ทำลายสิ่งกีดขวางที่ทรงอานุภาพเช่นนี้อยู่ด้วยหรือไร?

ไม่เพียงแต่ใช้มันฝ่าค่ายกลของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ เมื่อมองไปจากทิศทางของท่าเรือที่เยี่ยนชิงยืนอยู่นี้ ยังมองเห็นว่ามือที่ไพล่หลังของคนผู้นั้นกำเป็นหมัดเบาๆ และบนหมัดยังมีหางของงูน้อยสองตัวที่เป็นสีทองอ่อนและสีเขียวมรกตโผล่ออกมา

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกลับไม่มีท่าทีตกตะลึงใดๆ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กที่ทะเลสาบชางอวิ๋นใช้รับรองแขก เซียนซือต่างถิ่นท่านนี้คิดว่ารสชาติเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน เทพลำคลองทั้งสองท่านและเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีน่าจะย้อนกลับไปยังอาณาเขตของตัวเองแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมในการโจมตีโดยเริ่มตั้งแต่ต้นกำเนิดของลำคลองและคูน้ำสามสาย ไล่มายังตอนล่างของสายน้ำ เพื่อช่วยเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้วางค่ายกลสังหารที่แท้จริง

หากไม่เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวภายนอก อันที่จริงเฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากจะต้องอยู่รับลมชมจันทร์ในค่ายกลแห่งนี้ เพราะถึงอย่างไรหลังจากจับ งูโชคชะตาน้ำทั้งสองตัวของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมาหลอมเล็กได้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่แก่นโชคชะตาน้ำสี่ตำลึงที่เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีเอาออกมามอบให้จะเปรียบเทียบได้ ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว อย่างน้อยแต่ละตัวก็น่าจะหนักถึงหนึ่งจิน (ประมาณครึ่งกิโล) ไม่เสียทีที่เป็นผู้ปกครองทะเลสาบคนหนึ่ง รากฐานเหนือกว่าที่แม่ย่าลำคลองของ คูน้ำเล็กๆ คนหนึ่งจะทัดเทียมได้

เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลอมเล็กงูโชคชะตาน้ำสองตัวนั้นให้ เสร็จสมบูรณ์ไปชั่วคราว กลุ่มแสงสองสีที่อยู่ในมือด้านหลังพลันหายวับไปใน ชั่วพริบตา ถูกเขากักตัวไว้นอกประตูจวนน้ำ

หากอีกฝ่ายมีแผนการรับมือภายหลังที่รออยู่ ทำร้ายให้จิตวิญญาณของตนต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเล็กๆ ได้จริง ก็ถือว่าเป็นความสามารถของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ เฉินผิงอันยินดีรับความเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ นี้

ในช่องโพรงลมปราณอันเป็นฟ้าดินขนาดเล็กในร่างคน งูธาตุน้ำสองตัวนอนขดอยู่นอกประตูใหญ่จวนน้ำด้วยอาการตัวสั่นสะท้าน

มังกรเพลิงตัวหนึ่งพุ่งมาถึงอย่างบ้าคลั่ง มันชูหัวขึ้นสูง หลุบตาลงต่ำมองเจ้าพวกพันธ์ผสมที่เทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้สองตัวนั้น มันใช้กรงเล็บข้างหนึ่งกรีดพื้นเบาๆ หากไม่เป็นเพราะบนร่างของพวกมันยังมีกลิ่นอายของการหล่อหลอมที่คุ้นเคยติดอยู่ แค่มันตวัดกรงเล็บลงไป อีกฝ่ายก็ต้องหายวับไม่เหลือร่องรอยแล้ว

ประตูใหญ่ของจวนน้ำพลันเปิดอ้า แล้วก็ปิดลงในทันควัน

ที่แท้เด็กจิ๋วชุดเขียวสองคนก็ออกมาแบกงูเหลือมทอง งูเขียวมรกตสองตัวนั้นไปแล้วเผ่นกลับเข้าจวนทันที

มังกรเพลิงที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการจำแลงตัวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธค่อยๆ หมุนเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารกลับ แล้วจากไปอย่างเชื่องช้า

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบแบฝ่ามือข้างหนึ่งออก บนฝ่ามือคือเศษชิ้นส่วนร่างทองหนึ่งชิ้น ก็คือทั้งหมดที่เหลืออยู่หลังจากเทพลำคลองแห่งลำคลองมู่หานตายดับ

ส่วนที่เหลือยังมีชิ้นที่ใหญ่กว่านี้ แต่พอหนึ่งหมัดนั้นผ่านไป เศษชิ้นส่วนร่างทองสองชิ้นก็แตกออกจากกัน ชิ้นที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือถูกคนชุดเขียวดักเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว หากไม่เป็นเพราะอินโหวลงมือแย่งชิงมาได้อย่างรวดเร็ว แก่นของร่างทองชิ้นนี้ เกรงว่าก็คงต้องกลายเป็นของในกระเป๋าของอีกฝ่ายเป็นแน่

อินโหวส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ แม้ว่าเทพลำคลองมู่หานผู้นี้จะมีพลัง การต่อสู้ต่ำที่สุดในบรรดาเทพลำคลองทั้งสอง แต่กลับเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ภักดีมากที่สุด แล้วก็ติดตามตนมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ มีทั้งความอาวุโสเหมือนกับเจ้าแห่ง คูน้ำเสาซี แล้วก็มีทั้งความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเหมือนเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี แต่อยู่ดีๆ ต้องมาตายทั้งอย่างนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก

ตายไปแล้วยังเหลือเศษร่างทองไว้ให้ตนแค่ชิ้นเดียวอีก นี่ก็ยิ่งน่าเสียดาย หากรวมกับชิ้นที่ใหญ่กว่าหน่อยนั้น บางทีอาจจะเพิ่มตบะได้อีกร้อยปี

เศษชิ้นส่วนร่างทองที่อยู่กลางฝ่ามือของอินโหวจมหายไปในฝ่ามือ เขาคิดว่า หลังศึกใหญ่ผ่านไปจะค่อยๆ หล่อหลอมมัน นี่ก็จะนับว่าเป็นเรื่องยินดีที่ไม่คาดคิดอย่างหนึ่ง

แม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งตายไปจะนับเป็นอะไรได้ หลังจากนี้ก็ค่อยไปขอบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรแขนซ้ายแขนขวาของเทพ ลำคลองผู้นั้นก็กระเหี้ยนกระหือรือ อยากครอบครองตำแหน่งเทพลำคลองมาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกสมบัติของหายากทั้งหลายที่เพิ่มเข้ามาในหอเรือนของบุตรสาวตนจะเอามาจากที่ไหนเล่า?

เทพลำคลองมู่หานผู้นี้ เวลาร้อยปีที่ผ่านมาได้ซุกซ่อนสาวใช้หน้าตางดงามพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเอาไว้สองคน หากวังมังกรคิดจะเอาความขึ้นมาจริงๆ ตายไปก็ ไม่น่าเสียดาย แต่เจ้าแห่งทะเลสาบอย่างเขาเป็นคนใจกว้าง ก็แค่ไม่อยากให้ เหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชารู้สึกหมดกำลังใจก็เท่านั้น

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนจากดินแดนเซียนเป่าต้งที่อยู่ห่างออกไปซึ่งวางท่าว่าจะนั่งภูดูเสือกัดกัน อันที่จริงเขารู้สึกจนใจเล็กน้อย ความคิดที่จะหอบเอากำไรก้อนใหญ่กลับไปคงไม่มีหวังแล้ว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านี้ เหตุใด ถึงไม่มีจิตใจผดุงคุณธรรมของจอมยุทธที่พอเห็นความไม่เป็นธรรมก็ชักดาบ เข้าช่วยเหลือบ้างเลยนะ? ต่างก็พูดกันว่ากินของคนอื่นต้องปากหวาน เมื่อครู่ เพิ่งจะผลัดกันชนจอกสุราอยู่ในงานเลี้ยงของวังมังกรกันไป ตอนนี้กลับชักสีหน้า ทำเป็นไม่รู้จักกันเสียแล้ว? แค่โยนสมบัติอาคมสองสามชิ้นมาหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของตนก็คงไม่ถือว่าทำให้พวกเจ้าลำบากใจเท่าไรหรอกกระมัง?

สำหรับผู้ฝึกตนตระกูลเซียนกลุ่มนี้ เฉินผิงอันไม่ได้อยากจะผูกปมแค้นด้วย สักเท่าไรนัก

แต่กับทะเลสาบชางอวิ๋นนั้นไม่เหมือนกัน

การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำเป็นฝ่ายกระทำความชั่วร้าย ก่อกรรมทำชั่วอยู่ในพื้นที่หนึ่ง กับการที่ผู้ฝึกตนไม่ทำความดี มองโลกมนุษย์ด้วยสายตาเฉยเมยเย็นชา คือสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นเห็นว่าคนผู้นั้นไม่มีความเคลื่อนไหวก็ถามว่า “คิดจะปรองดองกันแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันตอบกลับ “รออาหารหลักขึ้นโต๊ะ”

อินโหวแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ดีๆๆ ตรงไปตรงมาดี!”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง

เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นมาพันปี อาณาเขตการปกครองใหญ่พอๆ กับแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ของอุตรกุรุทวีป คิดดูแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็คงหัวเราะเยาะคนบนโลกมาโดยตลอดกระมัง? กลายเป็นภูต บรรลุมรรคา ได้รับบรรดาศักดิ์ มีวิธีฝึกตนจนกลายมาเป็นเทพวารีได้สำเร็จ ชีวิตนี้คงไม่เคย หลั่งน้ำตามาก่อนสินะ?

บนพื้นผิวทะเลสาบไม่มีริ้วน้ำกระเพื่อมแม้แต่น้อย

ทว่าเบื้องหน้าของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นกลับมีเงาร่างสีเขียวเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

อินโหวที่สวมชุดคลุมมังกรสีม่วงเข้มหรูหราลังเลไปเล็กน้อย แต่ก็เลือกที่จะ ไม่หลบเลี่ยง เขาคิดจะลองชั่งน้ำหนักหมัดของ ‘เซียนกระบี่’ ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ดู

ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปบังเบื้องหน้าตัวเอง

ชุดคลุมมังกร ‘ช่าจื่อ’ (ดอกไม้งามสะพรั่ง) ตัวนั้นคือชุดคลุมอาคมที่ เจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้ทุ่มเงินเทพเซียนก้อนใหญ่แล้วนำมาหล่อหลอมอย่างตั้งใจ คือสมบัติอาคมของแท้แน่นอน หากเอาไปวางไว้ในนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้ง ก็ยังถือว่าเป็นสมบัติหนักลำดับต้นๆ ของตระกูลเซียน คำว่ารากฐานทรัพย์สมบัติของภูเขาตระกูลเซียนนั้น ก็ต้องดูที่ว่าในสำนักของพวกเขามีสมบัติอาคมอยู่กี่ชิ้นกันแน่ ส่วนเจ้าแห่งทะเลสาบอย่างเขาและองค์เทพแห่งขุนเขาทั้งหลาย ก็ต้องดูที่ว่า จะสามารถจัดหาตำแหน่งเทพที่ถูกต้องตามกฎระเบียบให้กับคนสนิทของตัวเองได้ สักกี่คน

ช่างเป็นพละกำลังที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งนัก

เจียวหลงตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่บนชุดคลุมอาคมถึงขั้นแหลกสลายคาที่

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นอาศัยโอกาสนี้ถอยกรูดห่างออกไปหลายสิบจั้ง

หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่มีขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง? ตัวตนของ ผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นแค่เวทอำพรางตาที่จงใจนำออกมาใช้ตอนอยู่ในศาลสุ่ยเซียนเท่านั้น?

แต่กระนั้นอินโหวก็ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี เขายกมือขึ้นอีกครั้งแล้วรับหมัดอีก หนึ่งหมัดที่ปล่อยมา คราวนี้เจียวหลงชะตาน้ำสองตัวบนร่างระเบิดแตก แต่ชุดคลุมอาคมหมายความว่าอย่างไร? เจียวหลงที่ฟูมฟักจากปราณวิญญาณอยู่บนช่าจื่อตัวนี้สามารถสลายตัวและกลับมารวมตัวกันใหม่ได้ดังใจปรารถนา ต่อให้เจียวหลงบน ชุดคลุมมังกรจะสลายไปตัวสองตัว แต่ภายใต้สถานการณ์ที่รากฐานมรรคาของ องค์เทพไม่ถูกทำลาย ก็จะสามารถกลับมารวมตัวได้ใหม่ในชั่วพริบตา หากมีพละกำลังเท่ากับแค่สองหมัดนี้ อินโหวก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถต้านรับหมัดร้อยกว่าทีของคนผู้นี้ได้ ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าเป็นชุดคลุมอาคมของข้าที่มหัศจรรย์ไร้คำบรรยาย หรือจะเป็นปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของเจ้าเฮือกนั้นกันแน่ที่ทอดยาวได้มากกว่า

หมัดที่สามมาถึง

เจียวหลงสองตัวที่ว่ายอยู่บนชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมระเบิดแตกไปพร้อมกัน

สีหน้าของอินโหวเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด

กำลังคิดว่าควรจะร่ายวิชาอภินิหารหลบหนีไปหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรการปั่นหัวคนผู้นี้เล่นก็เป็นแค่การถ่วงเวลาไว้เท่านั้น ตอนนี้พลังอำนาจของสองลำคลองหนึ่งคูน้ำได้รวมตัวกันเสร็จสิ้นแล้ว อีกเดี๋ยวองค์เทพร่างทองทั้งสามก็จะปล่อยน้ำให้ไหลทะลักเข้ามาในทะเลสาบชางอวิ๋น ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าเจ้าแห่งทะเลสาบที่สถานะสูงศักดิ์ไม่แพ้ให้กับจักรพรรดิในโลกอย่างเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ หากไม่เป็นเพราะอยากจะวางมาดของเจ้าแห่งทะเลสาบต่อหน้าทพธิดาเยี่ยนชิงผู้นั้นดูสักหน่อย คนผู้นี้คิดจะขยับเข้ามาใกล้ร่างของตนบนผิวน้ำทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์

หลังจากถูกต่อยอีกหนึ่งหมัด เท้าข้างหนึ่งของอินโหวที่ลอยตัวเหนือผิวน้ำทะเลสาบมาหลายฉื่ออยู่ตลอดเวลา ก็เหยียบจมลงไปในน้ำทะเลสาบอย่างเงียบเชียบ เขายิ้มบางๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

หนึ่งหมัดมาถึงอีกครั้ง

เทวรูปเจ้าแห่งทะเลสาบที่คล้ายกับแกะสลักขึ้นจากน้ำแข็งระเบิดแตกดังปัง

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยืนอยู่ในน้ำที่ห่างจากผิวทะเลสาบไปหลายสิบจั้ง เอาสองมือไพล่หลัง เขาสะบัดข้อมือยืดเส้นยืดสาย เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งจริงๆ ด้วย มิน่าเล่าถึงกล้าทำตามอำเภอใจ สังหารเจ้าแห่งคูน้ำและเทพลำคลองของตนอย่างส่งเดชเช่นนี้

หัวใจด้านหลังของอินโหวเหมือนถูกค้อนทุบลงหนักๆ พายุหมัดซัดโน้มเอียงขึ้น สู่ด้านบน ทำให้เจ้าแห่งทะเลสาบท่านนี้ลอยหวือแหวกผิวน้ำบินขึ้นไปกลางอากาศ

โชคดีที่มีแค่เจียวหลงหกตัวบนชุดคลุมอาคมช่าจื่อเท่านั้นที่แหลกสลายไป

หากมังกรเก้าตัวแตกกระจายไปพร้อมกัน ชุดคลุมอาคมก็จะสูญเสียประสิทธิภาพไปชั่วคราว

นี่ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่จำแลงมาจากเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร

หมัดหนึ่งพุ่งแสกหน้าเข้ามา

กลางอากาศเกิดเสียงดังกังวานเหมือนระฆังใบใหญ่ถูกตี

อิวโหวเพิ่งจะออกมาจากทะเลสาบชางอวิ๋นก็ต้องร่วงจมลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง

แม้ว่าเรือนกายของอินโหวจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับรู้สึกว่าสองหมัดนี้คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวงในชีวิตนี้จริงๆ

ต่อมาเบื้องใต้ทะเลสาบ

ก็เหมือนมีเสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิดังทึบอื้ออึงอยู่ใต้น้ำเป็นระลอกรัวยาว

น้ำทะเลสาบกระเพื่อมสะเทือนโถมตัวสูง

เพียงแต่ว่าเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถมตัวเข้าใกล้สาวใช้ร่างทองที่ในมือกางฉัตรผู้นั้น ก็เหมือนกับถูกกำแพงสูงของนครใหญ่สกัดกั้นเอาไว้จึงแหลกสลาย ลูกคลื่นที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ พากันถูกแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองนั้นกั้นขวางเอาไว้จึงทำให้มองดูเหมือน ไข่มุกสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนที่เด้งกระดอนอยู่บนนั้น

ฟ่านเหวยหรานยิ้มกล่าว “ขึ้นไปชมศึกบนฝั่ง”

แผ่นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าที่รองรับทุกคนเอาไว้ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วพุ่งตรงไปยังท่าเรือด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ

ยามอยู่ในดินแดนเซียนเป่าต้ง หญิงชราก็เป็นบุคคลที่พูดจาคำไหนคำนั้น ไม่ยอมให้ใครคัดค้านอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีผู้ฝึกตนคนใดมีความเห็นต่าง

มีเพียงบรรพจารย์รองที่นิสัยประหลาด หรือก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้แก่เทพธิดาเยี่ยนชิงเท่านั้นที่ถึงจะกล้าโต้เถียงฟ่านเหวยหราน

หลังจากที่ชั้นน้ำแข็งขยับลอยเข้าใกล้ท่าเรือ พอไม่มีปราณวิญญาณจาก ฟ่านเหวยหรานช่วยบังคับก็พลันสลายกลายเป็นน้ำที่หลอมละลายลงสู่ทะเลสาบ

เหล่าผู้ฝึกตนจึงพากันพลิ้วกายลงพื้นตามบรรพจารย์อย่างฟ่านเหวยหราน มาอยู่บนท่าเรือที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าซากปรัก

หลังจากที่เซียนซือกลุ่มนี้ขยับเข้ามาใกล้ท่าเรือ ตู้อวี๋ก็กัดฟันดีดปลายเท้า ทะยานตัวไปหยุดอยู่ข้างหีบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่า เอามือกดด้ามดาบตรงเอวไว้แน่น

ฟ่านเหวยหรานเพียงแค่ชำเลืองตามองลูกศิษย์สำนักการทหารของตำหนัก ขวานผีผู้นี้แวบหนึ่งเท่านั้น แล้วก็พาทุกคนเดินสวนไหล่ผ่านเขามา

สตรีร่างทองที่เดินกางฉัตรวิเศษตามอยู่ข้างกายคล้ายจะมีจิตใจเชื่อมโยงกับนางจึงชำเลืองตามองตู้อวี๋เช่นกัน

ตู้อวี๋กัดฟันจนฟันกระทบกันดังกรอดๆ เรือนกายที่เครียดเกร็งยืนแน่นิ่ง ไม่กระดุกกระดิกอยู่ข้างไม้เท้าเดินป่า

หญิงชราที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำผู้นี้เป็นมือวางอันดับสองของบรรดาผู้ฝึกตน บนภูเขาหลายสิบแคว้นเชียวนะ

อีกทั้งเมื่อเทียบกับเจ้านครหวงเยว่ที่เป็นมือวางอันดับหนึ่งแล้ว ศักยภาพที่แท้จริงก็แตกต่างกันไม่มากเท่าไร

นอกจากนี้ฟ่านเหวยหรานก็ยังมีชื่อเสียงด้านนิสัยที่เกรี้ยวกราดดุร้าย ในอดีต ตอนที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าสำนักดินแดนเซียนเป่าต้ง ขอแค่เป็นกลุ่มคนที่นางพาลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ก็ไม่มีครั้งไหนที่ผู้ฝึกตนจะไม่ตายไปหลายคน ส่วนผู้ฝึกยุทธในยุทธภพที่โชคไม่ดีไปเจอเข้ากับนางก็ยิ่งมีจำนวนคนตายมากยิ่งกว่า และ ฟ่านเหวยหรานก็ยังชอบสังหารศัตรูอย่างโหดเหี้ยม เคยมีปรมาจารย์ในยุทธภพขอบเขตหกคนหนึ่งไปมีเรื่องกับลูกศิษย์ที่มาฝึกประสบการณ์ของดินแดนเซียนเป่าต้ง ก็ถูกฟ่านเหวยหรานตามไปเอาเรื่องถึงที่ หลังจากที่ใช้สมบัติอาคมเล่นงานอีกฝ่าย จนล้มกองอยู่กับพื้น หญิงชราก็ยืนอยู่ข้างกายคนผู้นั้นแล้วยกเท้ากระทืบเขาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ตั้งแต่หัวจรดเท้า กระทืบจนเขากลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่ง

ฟ่านเหวยหรานยกนิ้วขึ้นแตะไปยังมงกุฎสีทองบนศีรษะเบาๆ แสงสีทองก็ หมุนย้อนกลับเข้าไปในมงกุฎทอง สาวใช้ร่างทองรวมไปถึงฉัตรวิเศษพากันสลายหายไป

เยี่ยนชิงโค้งตัวคำนับ “เยี่ยนชิงคารวะบรรพจารย์”

ฟ่านเหวยหรานมีสีหน้าเมตตาอ่อนโยน ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเยี่ยนชิงเบาๆ แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “เด็กน้อยอย่างเจ้าประมาทเกินไปแล้ว กล้าเดินทางมาพร้อมกับคนต่างถิ่นที่อันตรายขนาดนี้ได้อย่างไร”

เยี่ยนชิงที่อับอายไร้คำพูด เพียงยืนกุมมือประสานกัน

ฟ่านเหวยหรานหันไปมองทางทะเลสาบชางอวิ๋น ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจบอกกับเยี่ยนชิง “งิ้วสนุกๆ ขึ้นแสดงแล้ว สามารถเล่นงานให้ภาพมายาร่างคนของอินโหวย่อยยับ จนจำต้องเผยร่างจริงออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นปรมาจารย์ขอบเขตร่างทองคนหนึ่งอย่างแน่นอน หาได้ยากยิ่งนัก ยุทธภพล่างภูเขาหลายสิบแคว้นนี้ ไม่เคยมีผู้ฝึกยุทธร่างทองในตำนานปรากฏตัวมาสองร้อยปีแล้ว แม่หนูเยี่ยน ประมือกับคนผู้นี้ต้องระวังไว้สักหน่อย อย่าได้ปล่อยให้เขาเข้าประชิดตัวเด็ดขาด อย่าได้เลียนแบบอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่ประมาทเลินเล่อ

เพราะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน วางวิชาเซียนและสมบัติอาคมเอาไว้ไม่เอาออกมาใช้ ใช้แค่มือเปลือยหมัดเปล่าประลองพละกำลังกับผู้ฝึกยุทธคนนั้น ไม่ได้เรียกว่าโง่แล้วจะเรียกว่าอะไร?”

เยี่ยนชิงพยักหน้ารับ

ฟ่านเหวยหรานเอ่ยอีกว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้น เกิดมาก็มีเรือนกายที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราจะทัดเทียมได้ ก็สัตว์เดรัจฉานนี่นะ หนังย่อมหนาเป็นธรรมดา”

บนทะเลสาบพลันมีงูเหลือมยักษ์ยาวร้อยจั้งตัวหนึ่งโผล่พรวดออกมา งูตัวนี้มี กรงเล็บสี่ข้างแล้ว เวลานี้มันกำลังชูคอขึ้นสูง อ้าปากกว้าง พ่นเสาลำแสงสีเขียวมรกตไปทางผิวทะเลสาบ

เงาร่างสีเขียวยกฝ่ามือขึ้นต้านรับเสาลำแสงที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามนั้นเอาไว้อย่างแข็งกร้าว

เกิดเป็นภาพที่ประกายแสงสีระเบิดพร่างพราวราวกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเหนือมหาสมุทร

เยี่ยนชิงเก็บภาพนี้ไว้ในคลองจักษุของตนเงียบๆ

ฟ่านเหวยหรานหลุดหัวเราะพรืด “ผู้ฝึกยุทธร่างทองเปิดศึกใหญ่กับองค์เทพร่างทอง ไม่เลวๆ ไม่เสียทีที่เดินทางมาครั้งนี้”

เวลาเดียวกันนั้นตรงจุดที่สองลำคลองหนึ่งคูน้ำไหลรวมสู่ทะเลสาบก็ปรากฏ มังกรน้ำยาวหลายสิบจั้งสามตัวขึ้นมาพร้อมกัน มังกรน้ำสีเหลืองสองตัวขนาด เรือนกายค่อนข้างใหญ่ ส่วนมังกรน้ำสีดำเหมือนหมึกกลับมีเรือนกายเล็กจิ๋วที่สุด

มังกรน้ำสามตัวที่เกิดจากการควบคุมของร่างทองเทพวารี มีพียงดวงตาเท่านั้น ที่ปรากฏเป็นสีทองจางๆ หนึ่งชั้น

ไม่เพียงแต่มังกรน้ำสามตัวนี้เท่านั้นที่เลื้อยมาให้ความช่วยเหลือ สายน้ำเล็กใหญ่ตลอดทั้งอาณาเขตการปกครองของทะเลสาบชางอวิ๋นก็เริ่มเกิดการสั่นสะเทือนบิดเบือน ล้วนถูกอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและองค์เทพร่างทองสามท่าน ของหนึ่งคูน้ำสองลำคลองนำมาใช้งาน

บนทะเลสาบชางอวิ๋นคืนนี้เวลานี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าเกิดอุทกภัยน้ำเอ่อล้น คลื่นยักษ์โถมตัวท่วมเทียมฟ้าอย่างแท้จริง

สนามรบที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามขยับออกห่างจากท่าเรือไปอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไปทางใจกลางของทะเลสาบชางอวิ๋น

ผู้ฝึกตนหญิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของฟ่านเหวยหรานพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ เจ้าคนผู้นี้นับว่ารู้กาลเทศะไม่น้อย กลัวว่าสะเก็ดน้ำจะกระจายมาโดนอาจารย์ก็เลยเผ่นหนีไปก่อนแล้ว”

ผู้ฝึกตนชายร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งก็เอ่ยคล้อยตามว่า “ผู้รู้สถานการณ์คือ ผู้มีปัญญา เขาสร้างความแค้นเคืองให้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นเช่นนี้ เป็นหรือตายก็ยากจะคาดการณ์ได้ หากยังผูกปมแค้นกับอาจารย์อีก นั่นก็ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ”

ตู้อวี๋ที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของท่าเรือประหนึ่งเสาไม้อันหนึ่ง

เทียบกับไม้เท้าเดินป่าสีเขียวปลั่งอันนั้นแล้วยังเหมือนไม้เท้าเดินป่าเสียยิ่งกว่า

แค่เทพธิดาเยี่ยนชิงที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมคนเดียวก็สามารถทำให้เขาตู้อวี๋ และตำหนักขวานผีแบกรับผลการกระทำที่ตามมาได้แล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฟ่านเหวยหรานที่เป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาซึ่งมีเวทคาถาไร้เทียมทานผู้นี้เลย

หญิงชรากระทืบลงบนหัวของตำหนักขวานผีหนึ่งที นั่นก็คือขุนเขาที่กดทับลงมาอย่างแท้จริง

ฟ่านเหวยหรานหันหน้ามา เปิดปากเอ่ยยิ้มๆ “แม่หนูเยี่ยน ไม่ต้องเกรงใจ เดินก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวก็ได้”

เยี่ยนชิงที่เคารพกฎลำดับศักดิ์ของสำนักอย่างเคร่งครัดจึงได้เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวมายืนเคียงไหล่อยู่กับบรรพจารย์

สีหน้าของหญิงชราฟ่านเหวยหรานผ่อนคลาย แต่แท้จริงในใจกลับไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนอย่างสีหน้า

เรื่องบางอย่างต่อให้เป็นพวกคนอย่างอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่ตบะ ไม่ถือว่าต่ำ แต่ขอแค่ยังไม่ได้ไปยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น ต่อให้เบิกตากว้างมองดูอยู่ก็ยัง ไม่เห็นอะไรอยู่ดี

หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองม่านราตรี

มีเพียงตนกับเย่หานแห่งนครหวงเยว่เท่านั้นที่พอจะมองเห็นแสงสว่างผิดปกติ ที่โผล่มาเพียงเสี้ยวนั้น

ดังนั้นศิษย์น้องหญิงจึงเป็นกังวลมาโดยตลอดว่าตนจะเกิดความยอกแสลงใจกับเยี่ยนชิงลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของนาง หรืออาจถึงขั้นคิดขัดขวางการเดินขึ้นสู่ที่สูงบนมหามรรคาของเยี่ยนชิงอย่างลับๆ ด้วยเหตุนี้ศิษย์น้องหญิงจึงป้องกันตนไม่ต่างจากป้องกันโจรขโมย

ฟ่านเหวยหรานรู้สึกว่าน่าขำไม่น้อย

เด็กสาวท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งพลันเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่าบรรพจารย์ ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นเอาแต่ฝึกวิชาหมัด จงใจใช้พวกงูยักษ์งูเหลือมมาหล่อหลอมเรือนกายของตัวเองเลยเจ้าค่ะ”

ฟ่านเหวยหรานกวักมือ เด็กสาวก็กระโดดโลดเต้นมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชรา นางแหงนหน้าขึ้น พูดอย่างไร้เดียงสา “จริงๆ นะ ท่านย่าบรรพจารย์ ข้าไม่ได้ โกหกท่าน”

ฟ่านเหวยหรานที่เรือนกายสูงใหญ่ค้อมเอวลงเล็กน้อย ลูบศีรษะของแม่นางน้อย หญิงชราก้มหน้ามองดวงตาคู่งามที่มีประกายแสงจางๆ ไหลเวียนวนอยู่ภายในแล้ว ยิ้มบางเอ่ยว่า “แม่หนูชุ่ยของข้ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา นับว่าไม่เลวแล้ว วันหน้า เมื่อเติบใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจได้ดิบได้ดีเหมือนกับอาจารย์อาหญิงเยี่ยน ลงจากเขามา ฝึกประสบการณ์ ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็กลายเป็นเซียนหญิงที่เป็นที่จับตามองของผู้คน”

เยี่ยนชิงหันมายิ้มบางๆ ให้เด็กสาว

เด็กสาวมองเยี่ยนชิงแวบหนึ่ง แล้วก็บิดสองนิ้วพันเข้าด้วยกัน ก้มหน้าลง พูดอย่างลำบากใจว่า “ข้าไม่ได้สวยอย่างอาจารย์อาหญิงเยี่ยนสักหน่อย”

ฟ่านเหวยหรานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

เด็กสาวยิ่งเขินอายกว่าเก่า

เยี่ยนชิงบิดหูของเด็กสาวเบาๆ

นี่เป็นการกระทำที่ใกล้ชิดสนิทสนมซึ่งนับว่าหาได้ยากที่เยี่ยนชิงจะแสดงออกมา

หลังจากเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป ฟ่านเหวยหรานก็ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังทะเลสาบ ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม พูดเสียงทุ้มหนัก “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรต้องประลองฝีมือกันให้ดีๆ สักครั้งแล้ว”

ลางที่บอกว่าสำนักหนึ่งจะตกอับ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากการที่ไม่มีผู้สืบทอดวิชาเสมอ

ข้อนี้ นครหวงเยว่ก็ไม่ขาด เพราะถึงอย่างไรก็มีเหอลู่ผู้นั้นคอยช่วยประคับประคองสถานการณ์ แต่ดินแดนเซียนเป่าต้งของตนกลับดียิ่งกว่า

นอกจากเยี่ยนชิงแล้วยังมีแม่หนูชุ่ยคนนี้ บวกกับลูกศิษย์ใหญ่ที่ปิดด่านมาแล้วสิบปี คนนั้นของตน พวกเขาต่างจะต้องกลายมาเป็นเสาค้ำยันของดินแดนเซียนเป่าต้ง ในอนาคต

จิตใจของเยี่ยนชิงสะท้านสะเทือนอย่างหนัก

เหตุใดทั้งๆ ที่คนผู้นั้นก็อำพรางฝีมือเอาไว้แล้ว แต่บรรพจารย์ฟ่านที่เดิมทีตัดสินใจว่าจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ถึงกลับกลายเป็นว่าเกิดจิตสังหารขึ้นมา?

บนทะเลสาบชางอวิ๋น เกาะแห่งหนึ่งถูกร่างจริงงูเหลือมยักษ์ของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นใช้หางใหญ่ครูดไถจนกลายเป็นร่องขนาดมโหฬาร

เงาร่างชุดเขียวนั้นเพียงแค่ออกหมัดให้ศัตรูถอยร่นไปครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น

มีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเอง แต่หากจู่โจมจะต้องเปลืองแรง

มองดูเหมือนว่าไม่มีพละกำลังใดๆ เหลือให้เอาคืนแล้ว หลังจากหนึ่งหมัดต่อยให้ร่างทองของเทพลำคลองมู่หานแหลกสลาย แล้วบีบให้ร่างจริงของเจ้าแห่งทะเลสาบเผยตัว พละกำลังที่ปล่อยออกมารวดเดียวก็น่าจะเหือดหายไปหมดแล้ว

นี่ทำให้มังกรน้ำสามตัวของสองลำคลองหนึ่งคูน้ำที่เดิมทียังหลบๆ ซ่อนๆ ยิ่งต่อสู้อย่างฮึกเหิม แต่ละตัวแสดงนิสัยดุร้ายออกมาอย่างเต็มที่

ห่างออกไปไกลบนทะเลสาบชางอวิ๋นมีเสียงตะโกนของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นดังขึ้นมา “บรรพจารย์ฟ่าน ขอแค่ท่านยินดีช่วยข้าสังหารคนผู้นี้ ข้าจะมอบชุดคลุมอาคมช่าจื่อตัวนั้นให้แก่ดินแดนเซียนเป่าต้ง!”

ฟ่านเหวยหรานเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

เยี่ยนชิงทอดสายตามองไป ต่อให้โคจรคาถาขับเคลื่อนปราณวิญญาณใน ช่องโพรงลมปราณ ทำให้ดวงตาคู่นั้นมีประกายแสงสีม่วงเปล่งออกมา จนเกิดภาพบรรยากาศของวิชา ‘ตะวันจันทราส่องกระถาง ดวงตาบังเกิดควันม่วงผุดลอย’ แล้วก็ตาม แต่กระนั้นเยี่ยนชิงก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ถึงอย่างไรสนามรบแห่งนั้น ก็อยู่ห่างจากท่าเรือมากเกินไป นางได้แค่มองเห็นเงาร่างของงูเหลือมที่กระโจนไปมาอย่างดุร้ายเท่านั้น

แม้ว่าแม่หนูชุ่ยจะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่สามารถมองความจริงได้อย่าง พร่าเลือนซึ่งลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด แต่นางเยี่ยนชิงก็ยังไม่ค่อยกล้าเชื่อสักเท่าไหร่ ว่าผู้ฝึกยุทธร่างทองในตำนานของยุทธภพคนหนึ่งจะสามารถเผชิญหน้ากั บการล้อมโจมตีอย่างเต็มกำลังขององค์เทพหลายท่านบนถิ่นของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น แล้วจะยังรับมือได้อย่างสบายๆ หากทั้งสองฝ่ายขึ้นมาเปิดฉาก เข่นฆ่ากันบนชายฝั่ง องค์เทพแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไม่มีความได้เปรียบด้านชัยภูมิ เยี่ยนชิงถึงจะพอเชื่อได้บ้าง

แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง หากลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นแห้งขอดร่วงดิ่งลง ขอแค่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณ นั่นก็แทบจะต้องเจอกับจุดจบอนาถที่ต้องตายอย่างมิต้องสงสัยแล้ว

นี่ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันมานานเท่าไรแล้ว?

หรือจะบอกว่าร่างกายของผู้ฝึกยุทธร่างทองไม่เพียงแต่มีลมปราณที่แท้จริง ทอดยาวดุจสายน้ำ พอถึงขอบเขตร่างทองมิพ่ายของลัทธิพุทธอย่างแท้จริงแล้ว ยังจะสามารถต้านทานการร่วมมือกันโจมตีของเจ้าแห่งทะเลสาบกับมังกรน้ำอีก สามตัวได้อีก?

ห่างออกไปไกลมีเสียงของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่ดังกึกก้องเหมือนฟ้าคำรามลอยมาที่ท่าเรืออีกครั้ง “ฟ่านเหวยหราน! ข้าจะเพิ่มตำแหน่งเทพลำคลอง มู่หานให้ดินแดนเซียนเป่าต้งของเจ้าอีกหนึ่งตำแหน่ง!”

ฟ่านเหวยหรานตะโกนกลับไป “หากข้าไม่ได้แก่จนตาลาย ดูเหมือนว่าเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีก็ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

บนทะเลสาบชางอวิ๋น นอกจากคลื่นยักษ์โถมเทียมฟ้าที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินแล้ว อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไม่ได้เอ่ยคำใดตอบกลับมาอีก

แม้เยี่ยนชิงจะไม่สนใจเรื่องทางโลก แต่อาณาเขตการปกครองของทะเลสาบ ชางอวิ๋นแห่งนี้ ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา นับรวมแล้วก็มีแค่สามลำคลองสองคูน้ำเท่านั้น การที่มอบตำแหน่งเทพลำคลองตำแหน่งหนึ่งมาให้ก็ถือว่ามีความจริงใจมากพอแล้ว หากยังให้มอบตำแหน่งเทพคูน้ำจ่าวซีให้อีก บวกกับที่เดิมทีศาลเทพแห่งคูน้ำเสาซี ก็ถูกทิ้งร้างอยู่แล้ว หากอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นยอมตกปากรับคำจริงๆ ก็ไม่ต่างจากการเอาตะปูสองตัวตอกไว้ในดวงตาและในเนื้อของตัวเอง ตำแหน่ง องค์เทพหนึ่งลำคลองหนึ่งคูน้ำที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องของแคว้นอิ๋นผิง อีกทั้งยังมีดินแดนเซียนเป่าต้งเป็นที่พึ่งคอยหนุนหลังให้ อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องสูญเสียโอกาสในการสังหารอีกฝ่ายตามใจชอบไปอย่างสิ้นเชิง ข้างเตียงตัวเองจะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนได้อย่างไร หลักการเล็กน้อยเพียงเท่านี้ อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นย่อมเข้าใจดี แล้วนับประสาอะไรกับที่ นี่ยังเกี่ยวพันกับรากฐาน มหามรรคา เป็นการแบ่งโชคชะตาภูเขาแม่น้ำจำนวนมากของทะเลสาบชางอวิ๋น ออกไป หากเปลี่ยนมาเป็นเยี่ยนชิงก็ไม่มีทางตกลงอย่างบุ่มบ่ามแน่นอน

เยี่ยนชิงใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “บรรพจารย์ ท่านจะเอาตำแหน่งเทพวารีของทะเลสาบชางอวิ๋นมาทีเดียวสองตำแหน่งจริงๆ หรือ?”

ฟ่านเหวยหรานยิ้มบางๆ ตอบกลับ “หากไม่โก่งราคาแบบนี้ ต่อให้อินโหวยอมมอบตำแหน่งเทพลำคลองมู่หานมาให้แต่โดยดี ก็มีแต่จะแค้นเคืองอยู่ในใจ ด้วยอุบายและวิธีการของอินโหว จะต้องกดข่มจนเทพลำคลองคนใหม่กลายเป็นเพียงเศษสวะ ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน ดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเราไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น วันๆ มัวมานั่งฟังเทพลำคลองของครอบครัวตัวเองที่ไปอยู่ในอาณาเขตของแคว้นอื่นร้องทุกข์ ถึงเวลานั้นจะยังสนใจหรือไม่สนใจดีเล่า?”

เยี่ยนชิงพยักหน้ารับ “บรรพจารย์มองการณ์ไกล”

ฟ่านเหวยหรานเอื้อมมือมาคว้ามือนุ่มบอบบางข้างหนึ่งที่ขาวเนียนราวกับรากบัวของเยี่ยนชิงเอาไว้ มือหนึ่งของหญิงชรากุมมือนาง อีกมือหนึ่งตบหลังมือนางเบาๆ แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “แม่หนูเยี่ยน เรื่องราวทางโลกเหล่านี้ รับฟังแล้ว รับรู้แล้ว ก็แล้วไปเถิด เจ้าแค่ตั้งใจฝึกตนให้ดี ฝึกฝนอบรมจิตวิญญาณและศักยภาพแฝงของตนเพื่อพิสูจน์มรรคาก็พอ”

เยี่ยนชิงอืมรับหนึ่งที

ฟ่านเหวยหรานปล่อยมือนางออกแล้วกล่าวอย่างมาดมั่น “ไม่แน่ว่าผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับอาจดีกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้”

แล้วก็จริงดังคาด

ไม่ถึงครึ่งก้านธูป อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบก็ร้องตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “บรรพจารย์ฟ่าน ตำแหน่งเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี จะยกให้เจ้าด้วยพร้อมกันทีเดียว! หากยังไม่ตอบรับ ได้คืบแล้วจะเอาศอก วันหน้าทะเลสาบชางอวิ๋นกับผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งพวกเจ้าจะไม่เหลือสัมพันธ์ไมตรีใดๆ ให้พูดถึงอีก!”

เสียงของเขาในครั้งนี้ไม่มีความหนักแน่นสุขุมอย่างก่อนหน้า แต่เป็นเสียงที่ผ่านการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เห็นได้ชัดว่าเริ่มเป็นเดือดเป็นแค้นแล้ว

ฟ่านเหวยหรานยิ้มบางๆ หันไปเอ่ยเสียงเบากับเยี่ยนชิง “เป็นอย่างไร?”

เยี่ยนชิงสีหน้าซับซ้อน เอ่ยตอบเสียงเบาปานกัน “บรรพจารย์โปรดระวังตัวด้วย”

“แม่หนูเยี่ยน เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์หลายสิบแคว้นผู้นั้น สุดท้ายแล้วตายอย่างไร เดี๋ยวพอกลับไปถึงสำนัก ก็ลองถามอาจารย์ของเจ้าดู นั่นเป็นศึกสร้างชื่อของศิษย์น้องหญิงของข้ากับ เจ้านครหวงเยว่เชียวนะ”

ฟ่านเหวยหรานหัวเราะเสียงดังพลางกลายร่างเป็นสายรุ้งพุ่งทะยานออกไป

เยี่ยนชิงขมวดคิ้ว

ตู้อวี๋ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ในใจก็ภาวนาขอพรพระไปด้วย

แต่เมื่อสายรุ้งเส้นยาวพาดผ่านอากาศสูงเหนือศีรษะมุ่งไปทางทะเลสาบชางอวิ๋น ตู้อวี๋ก็รู้สึกได้ว่าการขอพรพระคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไรแล้ว แต่หากในมือมีธูปอยู่ สามดอก ตู้อวี๋ก็คงจะปักลงดินไปจริงๆ

บนเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่แทบจะถูกปาดราบเป็นหน้ากลอง

ร่างจริงอันใหญ่โตมโหฬารของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเลื้อยล้อมวนไปรอบเกาะอย่างเชื่องช้า

มังกรน้ำสองตัวที่เกิดจากการควบคุมของร่างทองเทพลำคลองต่อสู้จนเลือดขึ้นตา พากันพุ่งกระโจนเข้าเข่นฆ่าเงาร่างสีเขียวนั้นอย่างบ้าคลั่ง

ส่วนงูน้ำสีหมึกที่เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีเป็นผู้ควบคุมนั้นก็กำลังลอยตัวอยู่บน ผิวทะเลสาบนอกเกาะ เนื้อหนังมังสาของเจ้าแห่งคูน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในวังมังกรกำลัง นั่งโงนเงนบนเบาะใบหนึ่ง เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีผู้นี้สีหน้าซีดขาวราวกับหิมะ รู้สึกเพียงว่ากระดูกทั่วร่างเหมือนถูกทุบจนเละ

เทพลำคลองสองคนที่อยู่ใกล้กันต่างก็ยืนอยู่บนเบาะรองนั่ง หลับตาเพ่งสมาธิ แสงสีทองไหลวนไปทั่วร่าง อีกทั้งยังมีปราณวิญญาณชะตาน้ำของวังมังกรไหลกรูเข้ามายังร่างทองของพวกเขาไม่ขาดสาย

เพียงแต่ว่าเรือนกายอยู่ที่นี่ก็เพื่อสะดวกให้ดึงเอาชะตาน้ำที่เข้มข้นมาจากวังมังกร แต่ร่างทองที่แท้จริงของเทพวารีสองลำคลองหนึ่งคูน้ำนี้กลับผสานรวมอยู่กับมังกรน้ำทั้งสามตัวไปแล้ว

มังกรน้ำตัวหนึ่งใช้หัวที่ใหญ่โตพุ่งชนชายชุดเขียว

แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือยันศีรษะเอาไว้ เพียงเท่านั้นก็ไม่อาจขยับเคลื่อนหน้าได้อีก

คนผู้นั้นยิ้มบางเอ่ยว่า “เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นทีของข้าบ้างดีไหม?”

เฉินผิงอันคีบเอายันต์แสงสว่างอวี้ชิงที่สร้างขึ้นด้วยวิชาลับของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนออกมาแผ่นหนึ่ง เขาท่องคาถาของยันต์นี้สำเร็จตั้งนานแล้ว ครั้นจึงขว้างมันออกไปกลางอากาศสูง

แสงสว่างพลันระเบิดเจิดจ้า

ประหนึ่งพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องสว่างในโลกมืด

เนื่องจากไม่ได้จงใจเน้นในเรื่องของอาณาเขตที่กว้างขวาง การกดกำราบพันธนาการที่มีต่อเกาะแห่งนี้จึงยิ่งแข็งแกร่งมิอาจทำลายมากยิ่งขึ้น

มังกรน้ำที่เป็นร่างจำแลงของเทพลำคลองท่านนี้คิดจะสะบัดหัวถอยหนี

ทว่าเมื่อคนชุดเขียวก้าวออกมาหนึ่งก้าว ก็บิดฝ่ามือข้างที่ตั้งตรงต้านรับการโจมตีของศีรษะมังกรน้ำเบาๆ เปลี่ยนมือเป็นสันมีดฟันผ่าไปเบื้องหน้า

ตลอดทางที่สันมือสับลงไป นับแต่ศีรษะจรดหน้าท้องของมังกรน้ำที่ร่างทองของเทพลำคลองเป็นผู้บัญชาการณ์ก็ถูกผ่าแหวกออก

เมื่อคนผู้นั้นหยุดยืนนิ่ง ในมือก็มีเศษชิ้นส่วนร่างทองขนาดค่อนข้างใหญ่เพิ่มขึ้นมา

เนื้อหนังมังสาของเทพลำคลองที่จำแลงร่างเป็นคนอยู่ในวังมังกรพลันแห้งเหี่ยวแล้วแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

มังกรน้ำอีกตัวหนึ่งเลื่อนลอยไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็เผ่นหนีไปอย่างเสียสติ เพียงแต่ว่าเมื่อมันชนเข้ากับกำแพงตราผนึกที่เป็นแสงจ้าบาดตานั้น ศีรษะก็แตกปริแล้วเกิดรอยร้าวลามไปทั่ว มันข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมาน หมายจะขุดดินหนีไป ขอแค่มุดผ่านรากภูเขาของเกาะแห่งนี้ไปได้แล้วเข้าใกล้น้ำ มันก็มีโอกาสที่จะหนีรอดแล้ว

เพียงแต่ว่านาทีถัดมามันก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรทุบหนักๆ เข้าที่หัว ตามมาด้วยร่างที่ถลาลื่นไปด้านหน้า ทำให้พื้นผิวของเกาะเกิดร่องลึกที่ถูกไถครูดเส้นหนึ่ง

ภายใต้หมัดของบุรุษชุดเขียวสะพายกระบี่ที่พุ่งตัวมาอยู่เหนือศีรษะของมังกรน้ำ

ตลอดทั้งเกาะเล็กพลันสั่นสะเทือน ฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนคลุ้งตลบ น้ำทะเลสาบที่เดิมทีซัดกระทบฝั่งอย่างรุนแรงก็ยิ่งเกิดลูกคลื่นที่ซัดย้อนกลับไปทางเดิม

กลายเป็นเศษชิ้นส่วนร่างทองของเทพลำคลองอีกหนึ่งชิ้นที่ถูกคนผู้นั้นกุมไว้ในฝ่ามือ

หันไปมองอีกที

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบกลับหายตัวไปแล้ว

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เดิมทีก็เป็นแค่วิธีการเล็กๆ ที่ใช้ไล่จู่โจมไปทีละจุดเท่านั้น หากเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้นบุกเข้ามาในอาณาเขตของค่ายกล ในชายแขนเสื้อของเขายังมียันต์ที่มีมูลค่ามากกว่าอีกแผ่นหนึ่งรออยู่ และตนก็จะได้ยกอาหารจานหลัก คืนกลับไปให้ทะเลสาบชางอวิ๋นได้พอดี

หางตาของเฉินผิงอันชำเลืองไปมองเจียวน้ำสีหมึกตัวเล็กที่แกล้งตายลอยอยู่บนผิวทะเลสาบ จากนั้นก็สะบัดหางพุ่งตัวเข้าไปในน้ำจนเกิดสะเก็ดน้ำลูกใหญ่ แตกกระจาย

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง กระบี่บินสืออู่ก็พุ่งพรวดออกไป

จุดที่เฉินผิงอันมองไปก็คือทิศทางที่อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบหนีไป

เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝักมาด้วยตัวเองสามชุ่น

เฉินผิงอันหรี่ตาลง มองไปยังทะเลเมฆที่เริ่มรวมตัวกันหนาหนักมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอ่ยเสียงหนัก “กลับไป!”

เจี้ยนเซียนสอดเข้ากลับฝักกระบี่ดังเคร้ง

ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจเท่าไร

ร่างของเฉินผิงอันเซไปด้านหลังเล็กน้อย แต่เขายังไม่มีเวลามาทะเลาะกับกระบี่เล่มนี้

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า เรียกยันต์แสงสว่างอวี้ชิงแผ่นนั้นมาไว้ในมือ ยันต์ของตระกูลเซียนส่วนใหญ่มักจะมีข้อหนึ่งที่ไม่ดี นั่นคือเปิดประตูไม่ง่าย ปิดประตูก็ยิ่งยาก หากแก่นของยันต์ถูกเปิดออกก็ได้แต่มองดูแสงศักดิ์สิทธิ์ของยันต์สลายหายไปท่ามกลางฟ้าดินคาตาตัวเอง ผู้ฝึกตนได้แต่ชะลอความเร็วในการปริแตกของแก่นยันต์และการไหลหายไปของปราณวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งการเผาไหม้ ของยันต์ชั้นเยี่ยมได้อย่างสิ้นเชิง ทว่ายันต์แผ่นนี้ หลังจากปิดประตูแล้ว ต่อให้ จะกลายเป็นเรือนหลังหนึ่งที่มีรูโหว่รอยรั่วอยู่รอบทิศ แต่ขอแค่ไม่เรียกมันออกมา ใช้อีก คิดจะประคับประคองตัวไปอีกสักสิบวันก็ยังไม่ยาก

เขาย่อมต้องมีวิธีให้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นยอมขึ้นฝั่งไปด้วยตัวเองแต่ โดยดี คิดจะทำการค้ากับตนก็ต้องยอมเสียเวลาสักเล็กน้อย แต่ความเป็นไปได้ ที่มากกว่านั้นก็คืออีกฝ่ายจะยอมขึ้นฝั่งไปด้วยตัวเอง คนชั่วที่มีชีวิตอยู่มานานและ ปีนป่ายได้สูง ส่วนใหญ่มักไม่ใช่คนโง่ นี่ก็คือเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนจนใจอย่างยิ่ง

ส่วนกระบี่บินสืออู่ก็แค่สะกดรอยตามเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีผู้นั้นไป ไม่ต้องลงมือสังหารศัตรู

หลังจากรู้ทิศทางที่ตั้งของวังมังกรใต้ทะเลสาบคร่าวๆ แล้ว เงินทุนในการทำการค้าก็จะเพิ่มมากขึ้น

เฉินผิงอันหันไปมองยังกลางอากาศ ถามว่า “ท่านยายมาทำอะไรที่นี่? กลัวว่าข้าจะว่ายน้ำไม่เป็นแล้วจะกลับไปที่ท่าเรือไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ไฟโทสะอัดแน่นอยู่เต็มอกของบรรพจารย์ฟ่านเหวยหราน ไอ้เจ้าอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้นเผ่นหนีไป แล้วโยนภาระให้ตนแบกรับ! หากไม่เป็นเพราะสัมผัสได้ว่าตนกำลังจะมาถึง คนหนุ่มที่ฝีมือลึกล้ำเกินจะหยั่งผู้นี้คงไม่มีทางยอมรามือ ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ฆ่าอินโหวง่ายๆ

ดีนักนะ ก่อนหน้านี้ยังกล้าป่าวประกาศว่าจะไม่มีไมตรีกับผู้ฝึกตนดินแดนเซียนเป่าต้ง อีกร้อยปีให้หลังข้าจะดูสิว่าน้ำในทะเลสาบชางอวิ๋นของพวกเจ้าลึก หรือเวทคาถา ของลูกศิษย์ดินแดนเซียนเป่าต้งพวกข้าที่สูงกว่ากันแน่ พอดีกับที่ศิษย์น้องหญิงคนนั้นของตนถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีหวังจะฝ่าทะลุขอบเขต ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางพาคนมาคุมเชิงกับภูตเดรัจฉานของทะเลสาบชางอวิ๋นพวกเจ้าสักร้อยปีก็แล้วกัน!

มองคนหนุ่มที่ปากพูดจาปราศรัยอย่างมีมารยาท แต่มือที่อยู่ในชายแขนเสื้อกลับคีบยันต์ที่เกรงว่าพลานุภาพมีแต่จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเพราะเปล่งแสงสีทองเล็ดรอดออกมาให้เห็น

ฟ่านเหวยหรานทะยานลมมาหยุดลอยตัวอยู่ตรงจุดตัดระหว่างเกาะเล็กกับทะเลสาบชางอวิ๋น ชำเลืองตามองกาเหล้าสีชาดที่คนผู้นั้นผูกไว้ตรงเอวแล้วยิ้มบางเอ่ยว่า “เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย อีกทั้งยังอายุน้อยแค่นี้ ช่างทำให้คน ตกตะลึงได้จริงๆ”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “พี่น้องตู้อวี๋ผู้นั้นของข้า ตลอดทางมานี้ได้เล่าเรื่องสกปรกเป็นกระบุงโกยของทะเลสาบชางอวิ๋นให้ข้าฟัง

แต่ตอนที่พูดถึงดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเจ้ากลับมีน้ำเสียงแสดงความเลื่อมใสจากใจจริง ดังนั้นเรื่องในคืนนี้ ข้าจะไม่ถือสาท่านยายแล้ว ไม่อย่างนั้นมายืนชมงิ้วๆ ดีเช่นนี้คงต้องมีเก็บเงินกันบ้างแล้ว”

ฟ่านเหวยหรานหัวเราะหยันอยู่ในใจ

แต่อยู่ดีๆ ก็สังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นจ้องตนเขม็ง ได้ยินเพียงเขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ดังนั้นเชิญไสหัวไปเถอะ”

สีหน้าของฟ่านเหวยหรานมืดทะมึน ชายแขนเสื้อสองข้างพองสะบัดส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บ

แต่แล้วจู่ๆ ฟ่านเหวยหรานก็คลี่ยิ้ม “วันเวลายังอีกยาวไกล ขอให้เซียนกระบี่น้อยจากต่างถิ่นผู้นี้เดินทางท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำได้อย่างราบรื่น หากยินดีก็สามารถไปเป็นแขกที่ดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเราได้”

จากนั้นคนผู้นั้นก็ถามคำถามที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง “ศาลบรรพจารย์ของเจ้าแข็งแกร่งมากหรือ?”

จะดีจะชั่วฟ่านเหวยหรานก็ฟังออกว่านี่ไม่ใช่ประโยคที่ดี แต่ในเมื่อนางตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วก็ไม่เหลือความลังเลคิดไม่ตกใดๆ อีก เพียงยิ้มบางๆ ตอบว่า “วันหน้าเซียนซือน้อยมาเยือนก็จะได้รู้เอง”

หญิงชราบังคับลมทะยานกลับไปที่ท่าเรือ

เฉินผิงอันแหงนหน้ามองทะเลเมฆดำทะมึนที่ยังไม่สลายหายไป

นอกจากการพุ่งชนร่างจริงของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ถือว่าพอถูไถไปได้แล้ว การปะทะกับมังกรน้ำอีกสามตัวไม่นับว่าเป็นประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกายได้เลย

เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าให้เรียบร้อย แล้วก็ยืนอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงได้ดีดปลายเท้ากระโดดข้ามออกไปจากอาณาเขตของเกาะ เหยียบลงบนผิวน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋น ร่างกลายเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่กระโดดแตะผิวน้ำไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังท่าเรือ

ตอนที่เฉินผิงอันกระโดดขึ้นมาบนท่าเรือ หญิงชราและผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งก็พากันจากไปหมดแล้ว

ตู้อวี๋ยังคงสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างหวาน มือหนึ่งกดดาบ ยืนทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้กับหีบไม้ไผ่ งอบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่าอยู่ที่เดิม

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีคุณธรรมขนาดนี้เชียวหรือ?”

ตู้อวี๋ยกมือเช็ดหน้าตัวเองแรงๆ ลมพัดน้ำกระเซ็นคราวนี้ทำเอาหน้าของเขาเริ่มจะแข็งทื่อเสียแล้ว เช็ดอยู่ครู่หนึ่ง หน้าตาเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเบิกบาน ถูสองมือเข้าด้วยกัน คลี่ยิ้มเจิดจ้าสดใส

ไม่ใช่ว่าไม่อยากเอ่ยถ้อยคำประจบเอาใจ เพียงแค่ตู้อวี๋คิดจนสมองแทบแตกก็ยังคิดหาคำพูดไพเราะที่เหมาะสมกับบรรยากาศไม่ได้ รู้สึกว่าถ้อยคำดีๆ ที่ร่างไว้คร่าวๆ ในใจล้วนไม่คู่ควรกับมาดอันองอาจเลิศล้ำของผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

เฉินผิงอันลูบชายแขนเสื้อที่ถูกม้วนขึ้นให้ราบเรียบ หยิบงอบมาสวมดังเดิม สะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย ดึงไม้เท้าออกมาจากพื้นดิน

ตู้อวี๋กำลังจะขยับขาก้าวเดิน แต่มารดามันเถอะ ข้าของเขากลับเหน็บกินเสียนี่

เทพทวารบาลน้อยจากตำหนักขวานผีอย่างตน น่าจะถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างรอบคอบระมัดระวัง ต่อให้ไม่มีคุณความชอบก็น่าจะมีคุณความเหนื่อยยากกระมัง?

ผู้อาวุโส สายตาของท่านเฉียบแหลมดุจเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขา ก็น่าจะเก็บเอาไปใส่ใจบ้างนะ

เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านหน้า ตู้อวี๋เก็บเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชิ้นนั้นลง มันจึงเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่ถูกเก็บไปไว้ในชายแขนเสื้อ เดินตาม ผู้อาวุโสไปด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาราวสายลม พลางถามเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโส ในเมื่อ พวกเราเล่นงานให้เหล่าเทพวารีทั้งหลายของทะเลสาบชางอวิ๋นถอยร่นไปได้สำเร็จ อีกทั้งพวกผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งกลุ่มนั้นยังเผ่นหนีไปด้วย หลังจากนี้ จะเอาอย่างไรต่อ? พวกเราไปทุบศาลของเทพลำคลองสองท่าน หรือไปแย่งชิงสมบัติ ที่เมืองสุยเจี้ยดีล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “พวกเรา?”

ส่วนคำกล่าวที่ว่า ‘เล่นงานให้ถอยร่น’ นั้นจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องแม่นยำหรือไม่ เฉินผิงอันคร้านจะสนใจ

ตู้อวี๋หัวเราะร่า ไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย

เพียงแต่ว่าต้องกะกำลังไฟให้ดี หลังจากนั้นตู้อวี๋จึงไม่พูดมากอีก

เพียงแต่ว่าเดินกันไปได้ครู่หนึ่ง ตู้อวี๋ก็อดไม่ไหวถามว่า “ผู้อาวุโส พวกเราจะไปที๋ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะไปพักค้างแรมอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน รอให้เจ้าแห่งทะเลสาบขึ้นฝั่งมาคุยเรื่องการค้ากับข้า”

ตู้อวี๋อ้อรับหนึ่งที แล้วก็ไม่กล้าถามอะไรมากอีก

ย้อนกลับทางเดิมไปยังศาลเทพวารี พวกสาวใช้และบ่าวชายของจวน ไม่ว่าจะเป็นผีหรือคนมีชีวิตก็ล้วนแตกฮือเหมือนต้นไม้ล้มวานรแยกย้าย

เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ด้านหน้าเรือนในที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำเขียวไหลยาว’ แล้วก็เก็บกรอบป้ายนี้เอาไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แม้ว่าร่างทองของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีจะ มอดม้วยไปแล้ว แต่กรอบป้ายที่ไม่ธรรมดาแผ่นนี้กลับยังสามารถฟูมฟัก ปราณวิญญาณชะตาน้ำได้อยู่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคือวัตถุที่มีค่ามากที่สุดของจวนแห่งนี้แล้ว

เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่และงอบสานลง นั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านล่างสุด บอกให้ตู้อวี๋ก่อไฟขึ้นในลานกว้าง

แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

หลังจากผ่านศึกใหญ่มาจำเป็นต้องพักผ่อนบำรุงกำลัง นี่เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทิ้งโรคร้ายไว้ภายหลัง และจะเป็นภัยแฝงในระยะยาวอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้เฉินผิงอันก็ต้องใช้วิธีมองภายในไปมองดูว่างูเหลือมทอง งูเขียวมรกตสองตัวนั้นได้ผ่านการหลอมเล็กอย่างสมบูรณ์แบบแล้วหรือไม่ แล้วจะมีประโยชน์ต่อจวนน้ำอย่างแท้จริงหรือไม่

ตู้อวี๋นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ แอบชำเลืองมองท่านั่งของผู้อาวุโสแวบหนึ่ง อย่างไม่คิดอะไร การฝึกวิชาอภินิหารของตระกูลเซียน ใช่ว่าจะมีแค่ท่าทางอย่างเดียวก็ฝึกได้แล้ว

อีกอย่าง คาดว่าด้วยสถานะของผู้อาวุโสตรงหน้าผู้นี้ นี่ต้องเป็นวิชาที่สูงส่งมากอย่างหนึ่งแน่นอน ต่อให้เขาถ่ายทอดคาถาชุดนี้แก่ตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ตนก็ไม่มีทางเรียนเป็นอยู่ดี

แสงสีเขียวเส้นหนึ่งแหวกอากาศยามราตรีมาถึง แล้วมุดลอดเข้าไปในกาเหล้าที่อยู่ตรงเอวของผู้อาวุโส

ตู้อวี๋บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ความประหลาดมหัศจรรย์มีมากมายหลายพันรูปแบบ ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ตู้อวี๋เพิ่มกิ่งไม้แห้งใส่ในกองไฟอยู่หลายครั้ง

จากนั้นตู้อวี๋ก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสลืมตาขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่เลว บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มน้อยๆ

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมอง

ทะเลเมฆหนาหนักที่แทบจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาบริเวณของทะเลสาบ ชางอวิ๋นได้สลายหายไปหมดแล้ว

ดวงจันทร์กลมโตลอยกลางนภา

เฉินผิงอันถามตู้อวี๋ “ตู้อวี๋ เจ้าว่าขนบธรรมเนียมที่สะสมมานานเป็นพันปีของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่?”

ตู้อวี๋ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เว้นเสียแต่ว่าจะเปลี่ยนใหม่หมดตั้งแต่บนจรดล่าง เปลี่ยนตั้งแต่เจ้าแห่งทะเลสาบ มาจนถึงเทพวารีสามลำคลองสองคูน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่เป็นคนแรกซึ่งต้องเปลี่ยนใหม่ นั่นต่างหากถึงจะ มีโอกาส เพียงแต่ว่าหากคิดจะสร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็คงต้องให้ผู้ฝึกตนบน ยอดเขาอย่างผู้อาวุโสออกหน้าลงมือเองเท่านั้น แล้วก็ยังต้องเสียเวลาคอยจับตามองการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็หลายสิบปี ไม่อย่างนั้นหากจะให้ข้าบอก เปลี่ยนคนใหม่ก็ไม่สู้ไม่เปลี่ยนจะดีกว่า เพราะอันที่จริงอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ ชางอวิ๋นยังพอจะถือว่าเป็นผู้ปกครองที่ไม่ค่อยสูบน้ำแห้งเพื่อจับปลา (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่มองการณ์ไกล) เท่าใดนัก อุทกภัยและภัยแล้ง ที่เขาจงใจสร้างขึ้นก็แค่เพื่อเพิ่มสาวใช้หน้าตางดงามพรสวรรค์ดีเยี่ยมให้กับวังมังกรเท่านั้น ทุกครั้งชาวบ้านตายกันไปหลายร้อยคน แต่หากไปเจอเข้ากับเทพภูเขา เทพวารีที่สมองไม่เฉียบไว

แม้แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็ยังปล่อยและเก็บไม่ได้ดังใจปรารถนา ปล่อยคาถาออกมาทีเดียวคนก็ตายกันไปหลายพัน หรือหากไปเจอกับพวกที่นิสัยเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์สักหน่อย ถึงขั้นเอาภูเขาสายน้ำมาต่อสู้กัน หรือไม่ก็ผูกปมแค้นกับเพื่อนร่วมงาน นั่นแหละที่จะทำให้ชาวบ้านในอาณาเขตอยู่ไม่สุข คนอดอยากหิวโหยเดินขบวนพันลี้อย่างแท้จริง ข้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ เคยเห็นเทพภูเขาสายน้ำ เทพอภิบาลเมืองของแต่ละสถานที่ และเทพแห่งผืนดินมากมายที่สนใจแต่เรื่องใหญ่ปล่อยปละเรื่องเล็ก พวกเขาไม่สนพวกชาวบ้านทั้งหลายหรอก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ก่อสำนักตั้งพรรค ขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวง เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พอจะมีความหวัง คนพวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่พวกเขาอยากจะซื้อใจอย่างแท้จริง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองตู้อวี๋

ตู้อวี๋พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ผู้อาวุโส ข้าพูดไปตามความจริง ไม่ใช่ข้าที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นสักหน่อย พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักคำ เรื่องสกปรกเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าตู้อวี๋ทำไว้ในยุทธภพล้วนเทียบกับความคิดชั่วร้ายที่เค้นออกมาจากซอกเล็บของ พวกเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีนี่ไม่ได้เลย ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสไม่ชอบนิสัยอำมหิตไร้ปราณีของคนตระกูลเซียนอย่างพวกเรา แต่ข้าตู้อวี๋ที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็ได้แค่เอาความจริงในใจออกมาพูด ไม่กล้าปิดบังแม้แต่ครึ่งคำ”

เฉินผิงอันหัวเราะ

ตู้อวี๋ไม่คิดได้คืบแล้วจะเอาศอก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าตาของเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาท่านนี้จริงๆ แล้วจากนั้นก็จะได้เป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ที่แอบอ้างบารมีของอีกฝ่ายได้

อย่างมากอีกฝ่ายก็แค่ไม่สะบัดชายแขนเสื้อฆ่าตนให้ตายเท่านั้น

สายตาน้อยนิดแค่นี้ ตู้อวี๋ยังพอจะมีอยู่บ้าง

นี่กระมังถึงจะเป็นคนบนยอดเขาที่แท้จริง คือความไร้น้ำใจบนมหามรรคาอย่างแท้จริง

อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่ตู้อวี๋แหงนหน้ามองดวงจันทร์ เขารู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใด ท่องเที่ยวอยู่ในหลายภพมาตั้งหลายครั้งและหลายปีขนาดนี้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่

แต่ตอนนี้พอผู้อาวุโสลืมตาขึ้น เขาก็ต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง รับมือกับคำถามที่มองดูเหมือนง่ายๆ ของผู้อาวุโสอย่างระมัดระวัง

ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาสภาพจิตใจอย่างหนึ่งแล้วกัน ในอดีตท่านพ่อท่านแม่มักจะชอบพูดว่าการฝึกฝนจิตใจของผู้ฝึกตนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น คำสั่งสอนจากสำนักก็ดี คำบ่นที่ผู้ถ่ายทอดมรรคามีต่อลูกศิษย์ก็ช่าง ล้วนเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้น เงินเทพเซียน สมบัติติดกาย และวิชาตระกูลเซียนที่เป็นรากฐานของมหามรรคา สามอย่างนี้ต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เพียงแต่ว่าเรื่องของการฝึกฝนจิตใจนั้นก็ยังต้องทำอยู่บ้าง

ตู้อวี๋ปลุกความกล้าเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ผลศึกบนทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือนอย่างที่เจ้าบอก แค่ทำให้พวกเขาถอยร่นไปเท่านั้น ก็เป็นการหาเงินอย่างปรองดองนี่นะ”

ตู้อวี๋รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด

แต่ตนก็ไม่เหลือความกล้าให้ซักไซ้เอาความอีกแล้ว

ความกล้าหาญที่เหลือในอีกครึ่งชีวิตของข้าผู้อาวุโสใกล้จะถูกนำมาใช้จนหมดสิ้นในคืนนี้แล้ว

แล้วยังต้องให้ข้าตู้อวี๋ทำตัวกล้าหาญขนาดไหนอีกถึงจะเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษ ชายชาตรี?

จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มมีสมาธิอยู่กับการฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู

ส่วนตู้อวี๋ก็เริ่มใช้คาถาลับเฉพาะของตำหนักขวานผีมาเข้าฌานทำสมาธิอย่างช้าๆ

ยามฟ้าสาง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวพลางพูดกับตู้อวี๋ที่รีบลุกขึ้นยืนตามว่า “เจ้าลองไปหาดูว่าในศาลของเทพวารีเจ้าคูน้ำแห่งนี้มีวัตถุที่มีค่าอะไรหรือไม่”

ตู้อวี๋พยักหน้ารับ แล้วก็เตรียมจะไปหาวัตถุอาคมหรือไม่ก็เงินร้อนน้อยมาให้ผู้อาวุโส

แต่ผู้อาวุโสกลับพูดขึ้นกะทันหันว่า “คำว่ามีค่าของข้า ก็คือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”

ตู้อวี๋อึ้งตะลึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไปจึงถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสจะพูดว่า หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยกระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ด้วยความสามารถในการได้ยินเช่นนี้ของเจ้า สามารถท่องอยู่ในยุทธภพมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”

ตู้อวี๋พลันกระจ่างแจ้ง แล้วจึงเริ่มทำการกวาดค้น มีผู้อาวุโสอยู่ข้างกายตน อย่าว่าแต่ศาลแม่ย่าลำคลองที่ไร้เจ้าของเลย ต่อให้เป็นวังมังกรใต้ทะเลสาบแห่งนั้น เขาก็สามารถขุดดินลงไปค้นสามฉื่อได้

เฉินผิงอันหลับตาเดินนิ่งต่อไป

จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงวัน ตู้อวี๋ถึงได้แบกห่อผ้าสองใบใหญ่กลับมาพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ

เฉินผิงอันเอ่ย “ถุงที่มีค่าเป็นของข้า อีกใบหนึ่งเป็นของเจ้า”

ตู้อวี๋หน้าม่อย “ผู้อาวุโส ข้าทำอะไรไม่ถูกหรือ?”

เฉินผิงอันยังคงเดินนิ่งไม่หยุด พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “การฝึกตนก็มีกฎของการฝึกตน ท่องอยู่ในยุทธภพก็มีกฎของการท่องยุทธภพ ทำการค้าก็มีกฎของการทำการค้า เข้าใจหรือไม่?”

อันที่จริงตู้อวี๋ไม่เข้าใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ ไม่ว่าจะอย่างไร รับเอาถุงอีกใบหนึ่งไปอย่างอกสั่นขวัญผวาก็แล้วกัน

แต่ตู้อวี๋คิดดูแล้วก็เปิดถุงสองใบออก นำของมีค่าสองสามชิ้นที่อยู่ในถุงของตนใส่เข้าไปในถุงของผู้อาวุโส

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวาง

เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด ทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง ที่สูงที่สุด ทอดสายตามองไปทางเมืองสุยเจี้ย

จากนั้นเฉินผิงอันก็ฝึกท่าเดินนิ่งไปบนหลังคาเรือนแต่ละหลัง

ตู้อวี๋ให้รู้สึกอัดอั้นนัก เหตุใดไม่ว่ามองอย่างไรนั่นก็เหมือนท่าหมัดของคนใน ยุทธภพ ไม่คล้ายวิชาคาถาของตระกูลเซียนอะไรเลยเล่า?

แต่จากนั้นตู้อวี๋ก็พลันรู้สึกเลื่อมใส

การกระทำของผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ย้อนกลับคืน สู่ธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว

ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ ตู้อวี๋ก็ก่อกองไฟขึ้นมาอีกครั้ง เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไปท่องยุทธภพของเจ้าต่อเถอะ อยู่ในศาลมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทุกคนที่จับตามองอยู่ก็พอจะมั่นใจได้แล้ว”

ตู้อวี๋รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

อุบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ของตนมิอาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสไปได้จริงๆ ด้วย

หากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันทันทีตั้งแต่ที่ท่าเรือ ตู้อวี๋ก็กลัวว่าตนจะไม่อาจมี ชีวิตรอดเดินออกไปจากเมืองสุยเจี้ยได้

ตู้อวี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าควรจะหยุดเมื่อพอสมควร จึงแบกถุงผ้าป่าน ใบนั้นเตรียมเดินมุ่งหน้าไปทางเมืองสุยเจี้ย

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ต่ออีกเดี๋ยว”

ตู้อวี๋ทำตามคำสั่ง วางถุงผ้าป่านลงแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น ถามเสียงเบา “ผู้อาวุโส อันที่จริงข้ายังมียันต์ลับที่สืบทอดมาจากศาลบรรพจารย์ของสำนักอีกวิชาหนึ่ง ไม่เป็นรองยันต์รอยหิมะกับยันต์แบกศิลาสักเท่าไร”

เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “ก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย เจ้าทำเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนั้นก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ในเมื่อ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต จะเอากฎของสำนักมาทำเหมือนการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้ กับตัวเอง คงไม่ค่อยดีเท่าไร บนเส้นทางการฝึกตน ก่อนจะเป็นเซียนต้องรู้จักเป็นคนให้ได้เสียก่อน”

ตู้อวี๋อึ้งตะลึงอยู่กับที่

แล้วถึงได้ชำเลืองตามองถุงผ้าป่านที่วางอยู่บนพื้น

ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งจะพอจับเบาะแสบางอย่างได้เล็กน้อย

มือทั้งสองข้างของตู้อวี๋กำเป็นหมัด เงียบงันไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตู้อวี๋จะลุกยืนตามจิตใต้สำนึก แต่เฉินผิงอันกลับยื่นมือมา กดลงบนความว่างเปล่าเสียก่อน

ตู้อวี๋หันหน้าไปมอง ครู่หนึ่งต่อมาเงาร่างที่คุ้นเคยก็โผล่เข้ามาในการมองเห็น

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างงดงามนัก

ไม่เสียทีที่เป็นเทพธิดาเยี่ยนชิง

แต่เฉินผิงอันกลับขมวดคิ้ว

ตู้อวี๋รู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย ผู้อาวุโส ขอร้องท่านอย่าบดขยี้บุปผา อย่างอำมหิตอีกเลย เทพธิดาที่โฉมสะคราญเช่นนี้หากตายไป ผู้อาวุโสท่านไม่ อาลัยอาวรณ์ แต่ผู้น้อยอย่างข้ากลับกลุ้มใจนัก

เยี่ยนชิงถาม “ในเมื่อฆ่าเทพลำคลองสามท่านและเทพคูน้ำหนึ่งท่านไปพร้อมกันรวดเดียวแล้ว เหตุใดถึงยังจงใจปล่อยให้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบหนีไปได้เล่า?”

ตู้อวี๋ได้ยินคำถามก็รู้สึกนั่งได้ไม่มั่นคง รีบยื่นมือไปประคองพื้นทันที

เฉินผิงอันถาม “ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาพบข้าอีกครั้ง?”

เยี่ยนชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนกระบี่คนหนึ่งที่กังวลว่าทะเลเมฆจะลดระดับลงมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จะเป็นคนที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อจริงๆ หรือ? ข้าเยี่ยนชิงคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าเชื่อหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ข้าจะเตือนเจ้าเป็น ครั้งสุดท้าย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด”

เยี่ยนชิงกลับเดินตรงมาที่กองไฟ

ตู้อวี๋ขยับก้นหลบย้ายมุมตั้งนานแล้ว แบบนี้ก็จะได้มองประเมินการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของผู้อาวุโส แล้วก็ได้ชื่นชมรูปโฉมสาวงามใต้แสงจันทร์ได้พอดี

จากนั้นตู้อวี๋ก็ต้องอ้าปากค้างน้อยๆ

ควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งมายังเทพธิดาชุดขาวที่ส่องแสงประชันกับดวงจันทร์ จากนั้นเยี่ยนชิงก็เหมือนลูกเจี๊ยบที่ถูกคนหิ้วลอยไปกลางอากาศ พุ่งไปยังหลังคาเรือนหลังหนึ่งพร้อมกับควันเขียว

ชุดเขียวที่อยู่บนหลังคานั้นหมุนตัวเป็นวงหนึ่งรอบ สาวงามชุดขาวก็หมุนตามไปด้วยแต่เป็นรอบวงที่ใหญ่ยิ่งกว่า

เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง

เทพธิดาเยี่ยนชิงก็หายวับไป

เฉินผิงอันกระโดดลงจากหลังคากลับมานั่งที่ขั้นบันได

ตู้อวี๋เช็ดปาก กลืนน้ำลาย

เฉินผิงอันโบกมือ “เจ้าไปได้แล้ว”

ตู้อวี๋กำลังจะบอกลาอย่างเคารพนอบน้อม

เห็นเพียงว่าจู่ๆ ผู้อาวุโสก็เผยสีหน้าหงุดหงิด ทะยานร่างขึ้นสูง แล้วตลอดทั้งศาลก็สะเทือนโยกคลอนเหมือนความเคลื่อนไหวที่เคยเกิดขึ้นตอนอยู่ท่าเรือ

ตู้อวี๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สรุปว่าตนควรจะไปหรือไม่ไปดี? หากไปโดยไม่ลา คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่หากไม่ไป แล้วอยู่ดีๆ ผู้อาวุโสเกิดรักหยกถนอมบุปผา จูงมือกลับมากับเทพธิดาเยี่ยนชิงที่อ่อนหวานงดงามผู้นั้น แถมคืนนี้ดวงจันทร์ ยังสวยงาม คนงามก็งามยิ่งกว่า…

ตู้อวี๋ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที

สะพายห่อผ้าแล้วเริ่มเผ่นหนี

ทว่าตู้อวี๋เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลเทพวารี ก็ต้องยืนเหม่อ

เกรงว่าครั้งนี้เพราะรีบร้อนเดินทางซึ่งไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ถึงได้ทำให้ผู้อาวุโสทุ่มกำลังทั้งหมดอย่างแท้จริง?

จากศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำที่อยู่ด้านหลังไปจนถึงทะเลสาบชางอวิ๋น

มองไม่เห็นเงาร่างชุดเขียวนั่นแล้ว แต่กลับมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย

ตู้อวี๋ถอนหายใจหนักๆ

เฉินผิงอันพลิ้วกายลงที่ท่าเรือ หรี่ตาลง

ผู้ฝึกตนหญิงจากดินแดนเซียนเป่าต้งที่ทำให้คนเห็นจนเอียนผู้นั้นถูกตนทุ่มใส่ทะเลสาบชางอวิ๋นไปแล้ว ไม่ถึงขั้นบาดเจ็บ อย่างมากก็แค่หายใจลำบากไปชั่วขณะ และสภาพกระเซอะกระเซิงหน่อยก็เท่านั้น

แต่พอคิดถึงว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ไล่ตามมา แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่สตรีผู้นั้นจมลงทะเลสาบไปก็ไม่เห็นร่องรอยอีก

เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบยันต์แสงสว่างอวี้ชิงแผ่นนั้นออกมา

ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะขว้างยันต์ที่ปลายนิ้วออกไปนั้นเอง

ผิวน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นก็แหวกออก อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่สวมชุดคลุมมังกรสีม่วงหรูหราเดินออกมา ข้างกายยังมีหญิงสาวที่คล้ายว่าเพิ่งจะหลุดพ้นจาก วิชากรงขังมาได้สำเร็จเดินตามมาด้วย นางจ้องมองชายชุดเขียวที่อยู่บนท่าเรือด้วย สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล

อินโหวผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า ยิ้มบางเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเทพธิดาเยี่ยนชิง ด้วยสถานการณ์ฉุกละหุก จึงร่ายเวทคาถาเล็กๆ พยายามลดทอนแรงกระแทกยามที่เทพธิดาตกลงไปในทะเลสาบออก ล่วงเกินแล้ว เชิญเทพธิดาเยี่ยนชิงขึ้นฝั่งได้”

เยี่ยนชิงสีหน้าเย็นชา สะบัดไอน้ำทั้งหมดที่เหลือติดร่างออกแล้วทะยานลม พลิ้วกายลงบนท่าเรือ

หากเจ้าตัวการผู้นั้นไม่รีบมาที่ท่าเรือ เยี่ยนชิงก็ไม่อาจจินตนาการถึงจุดจบของตัวเองได้เลย

เยี่ยนชิงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอแล้วทะยานลมจากไปไกล

เฉินผิงอันมองเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีสีหน้าระแวงภัยแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าน่าจะรู้ดีว่า หากข้าตัดสินใจว่าจะฆ่าเจ้าให้ได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

อินโหวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง ดังนั้นข้าจึงแปลกใจอย่างมากว่าเหตุใด เซียนกระบี่ถึงยอมออมมือให้ข้า”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่ตอบคำถาม

สองเท้าของอินโหวตรึงอยู่ในน้ำตลอดเวลา

ไม่เพียงเท่านี้ กลางอากาศเหนือทะเลสาบชางอวิ๋นและเขตน่านน้ำในการปกครองทั้งหมดก็เริ่มมีเมฆทะมึนมารวมตัวกันอีกครั้ง

เฉินผิงอันถาม “จดหมายลับที่เจ้าเมืองสุยเจี้ยส่งไปยังเมืองหลวงปีนั้น เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบตอบอย่างไม่ลังเล “เนื้อความในจดหมายไม่มีอะไรแปลกใหม่ คาดว่าเซียนกระบี่ก็น่าจะเดาได้แล้ว ก็หนีไม่พ้นหวังว่าเพื่อนสนิทใน เมืองหลวงจะช่วยพลิกคดีให้ต่อหลังจากที่เจ้าเมืองผู้นั้นตายไป อย่างน้อยก็ควรหาโอกาสเปิดเผยเรื่องนี้แก่ปวงประชา แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เซียนกระบี่น่าจะเดาไม่ถึง นั่นก็คือช่วงท้ายของจดหมายฉบับนั้น เจ้าเมืองเขียนบอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า หากชีวิตนี้เพื่อนของเขาไม่สามารถเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนักได้ ก็อย่ารีบร้อนพาตัวมาเสี่ยงอันตรายกับเรื่องนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้พลิกคดีไม่สำเร็จ กลับกันยังจะต้องเดือดร้อนไปด้วย”

เฉินผิงอันหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า เปิดผนึกดินออกแล้วดื่มช้าๆ

อินโหวยิ้มเอ่ยต่อไปว่า “ข้าพอจะมีความสัมพันธ์กับทางเมืองหลวงอยู่บ้าง และความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่างข้ากับเมืองสุยเจี้ย เซียนกระบี่ก็น่าจะรู้ดี ข้าให้ เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีติดตามไปด้วย อันที่จริงก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด ก็แค่อยากให้ นำจดหมายลับฉบับนั้นไปส่งถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังพอจะถือว่ามีเส้นสายอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงมอบหมายเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีว่า ขอแค่คนผู้นั้นยินดีพลิกคดี ก็จะช่วยให้เส้นทางอนาคตของเขาราบรื่นมากขึ้น แต่อันที่จริงหากคิดจะพลิกคดีอย่างจริงจังก็ไม่ต้องหวังแล้ว แต่ข้าอยากจะทำให้ ศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเทพอัคคีของเมืองสุยเจี้ยรู้สึกสะอิดสะเอียนก็เท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ถึงว่า เทพอภิบาลเมืองท่านนั้นจะทำอะไรรวดเร็วฉับไวขนาดนี้ เขาถึงขั้นสังหารขุนนางของราชสำนักคนหนึ่งไปโดยตรง อีกทั้งยังเป็น ใต้เท้าเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปกครองพื้นที่ศักดินาแล้ว แล้วยังไม่มีความอดทนเลยสักนิด จะปล่อยให้คนผู้นั้นออกไปจากเมืองสุยเจี้ยก่อนก็ไม่ได้ อันที่จริงนี่ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว แต่คิดดูแล้วเทพอภิบาลเมืองคนนั้นก็คงเหมือนสุนัขจนตรอกกระมัง ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากอีก ตัดรากถอนโคนให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ภายหลังไม่รู้ว่าข่าวเล็ดรอดไปจากที่ใด พอรู้ว่าเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีอยู่ที่เมืองหลวง เทพอภิบาลเมือง ก็เริ่มลงมือ สั่งให้แม่ทัพคนสนิทนำตัวคนจิ๋วควันธูปที่จำแลงร่างได้สำเร็จครึ่งตัว ไปมอบให้กับคนผู้นั้น

และจิ้นซื่อที่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งก็ตอบรับข้อเสนอของศาล เทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ยทันที เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าจึงบอกให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีกลับมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋น เพราะถึงอย่างไรญาติที่อยู่ห่างไกลก็ไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง หากลอบกระทำการเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่เป็นไร แต่หากฉีกหน้ากันจังๆ ขึ้นมากลับจะ ไม่ค่อยดีแล้ว”

เฉินผิงอันพลันถามคำถามหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยกันอย่างสิ้นเชิง “ด้วยสถานะเจ้าแห่งทะเลสาบของเจ้า หากถูกใจสตรีในหมู่ชาวบ้านที่พรสวรรค์ไม่เลวคนหนึ่ง ไยต้องทำให้เรื่องวุ่นวายเพียงนี้?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบยิ้มบางเอ่ยว่า “หนึ่งเพราะชาวบ้านไม่รู้ประสา กลัวอำนาจไม่กลัวคุณธรรม สอง เพราะวังมังกรของข้าต้องการหญิงรับใช้หน้าตางดงาม สาม สามลำคลองสองคูน้ำต้องการ ลูกน้องของลูกน้องข้าก็ต้องการเหมือนกัน บนอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋น หากวันนี้ขาดสตรีไปหนึ่งคน พรุ่งนี้ขาดสตรีไป อีกหนึ่งคน นานวันเข้า หากความเกรงกลัวอำนาจบารมีมีมากเกินไปก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ดี พวกชาวบ้านยังพูดได้ง่าย เพราะได้แต่ยอมรับชะตากรรม แต่พวกตระกูลปัญญาชน ตระกูลคนร่ำรวยที่มีกำลังพอให้คนในตระกูลเดินทางไปไหนมาไหนได้นั้น จะต้องบอกต่อกันไปปากต่อปาก ทั้งปีต้องอยู่อย่างหวาดระแวงขลาดกลัว วันหน้า จะทำอย่างไร? แน่นอนว่าต้องพากันย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นานวันเข้าโชคชะตาลม และน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นก็จะไหลออกไปสู่ภายนอก แต่หากทะเลสาบชางอวิ๋น ตั้งกฎที่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจเช่นนี้ ก็ปลอบโยนใจคนได้ง่ายยิ่งกว่า บวกกับ ที่วังมังกรก็ถือว่าชดใช้ให้ครอบครัวของคนบนฝั่งอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่ปิดบัง เซียนกระบี่ คนมีเงินมากมายอยากจะให้ลูกสาวหลานสาวของตัวเองถูกวังมังกร หมายตาด้วยซ้ำ”

เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “การค้าขายที่ดีใต้หล้านี้ไม่เคยใช่การร่ำรวยฉับพลันจากเงินทุนหนึ่งก้อนที่ได้กำไรมหาศาล แต่เป็นน้ำเส้นเล็กไหลยาวที่สั่งสมเป็นเดือนเป็นปี เซียนกระบี่เห็นด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดมุมปาก ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เหตุใดพอหลักการเหตุผล ที่ดีขนาดนี้ออกมาจากปากของเจ้าแห่งทะเลสาบ รสชาติถึงได้เปลี่ยนไปเสียเล่า”

อินโหวเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

รอให้อีกฝ่ายเสนอราคามา

ไม่ว่าในใจจะเกลียดแค้นคนตรงหน้านี้มากแค่ไหน แต่ในเมื่อฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ และอีกฝ่ายสามารถเดินกร่างอยู่บนทะเลสาบชางอวิ๋นที่เป็นบ้านของตนได้ วังมังกรของตนก็ได้แต่เป็นคนใบ้ที่กินหวงเหลียนเท่านั้น

หยุดยั้งความเสียหายให้ทันเวลา

ดีกว่าทำผิดซ้ำซากมากนัก

อย่างน้อยที่สุดอย่างแรกก็ยังสามารถทำให้ภูเขาเขียวยังคงอยู่ คนไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนให้เผาไฟ แต่อย่างหลังมักจะเป็นดั่งการกระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนทั้งตัว ดั่งอาคารหลังใหญ่ที่พังครืนลงมาในค่ำคืนเดียว

เฉินผิงอันเก็บกาเหล้าใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ถามว่า “แล้วเรื่องร่างทองของ เทพอภิบาลเมืองสุยเจี้ยที่เน่าเปื่อยทรุดโทรมล่ะ?”

การมาเยือนในคืนนี้ของอินโหวเรียกได้ว่ามีความจริงใจเปิดเผย พอนึกถึงเรื่องนี้ ก็ยากที่จะปกปิดสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้ เขายิ้มกล่าวว่า “บัณฑิตที่เป็นเจ้าเมืองคนนั้น ไม่เพียงแต่แบกรับโชคชะตาบุ๋นของแคว้นอิ๋นผิงและโชควาสนาของเมืองส่วนหนึ่งไว้แต่แรกอย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน อีกทั้งจำนวนส่วนแบ่งที่ได้รับไปยังเหนือกว่าที่ข้าและเมืองสุยเจี้ยประมาณการณ์เอาไว้มาก ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่เป็นเช่นนี้ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งจะสามารถอาศัยกำลังของตัวเองหนีรอดไปจากเมืองสุยเจี้ยได้อย่างไร? นอกจากนี้เขายังมีวาสนาอีกหนึ่งอย่าง

นั่นคือตอนนั้นมีองค์หญิงของแคว้นอิ๋นผิงคนหนึ่งที่หลงรักคนผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็น ตลอดชีวิตนี้ไม่อาจลืมเลือนเขาได้ และเพื่อหนีการแต่งงาน นางก็ยอมไปเป็น นักพรตหญิงของลัทธิเต๋าที่อยู่เฝ้าโคมเขียวในอารามอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะไม่มีพรสวรรค์ของผู้ฝึกลมปราณ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปราน นางจึงมอบชะตาแคว้นเสี้ยวหนึ่งไว้บนร่างของเจ้าเมืองผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว ภายหลังได้ยินข่าวร้ายอยู่ในอารามของเมืองหลวง นางจึงใช้ปิ่นทองแทงคอฆ่าตัวตายไปอย่าง เด็ดเดี่ยว สองอย่างนี้ทับซ้อนกัน และยังมีความผิดครั้งนั้นของเทพอภิบาลเมือง จึงเป็นเหตุให้ร่างทองเกิดรอยปริร้าวอันตรายถึงชีวิตซึ่งไม่อาจใช้ผลบุญในโลกมืดมาซ่อมแซมได้”

เฉินผิงอันถามคำถามสุดท้าย “จุดจบของเมืองสุยเจี้ยจะเป็นอย่างไร?”

อินโหวมองไปทางเมืองสุยเจี้ยแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “อนาถมาก มาเจอกับ เทพอภิบาลเมืองที่หวังให้ชาวบ้านแบ่งรับผลกรรมและทัณฑ์สวรรค์ไปจากเขาเช่นนี้ ก็ถือว่าบรรพบุรุษของแต่ละครอบครัวในเมืองนั้นไม่เคยสั่งสมบุญกุศลเอาไว้ อีกไม่นานเท่าไหร่ทัณฑ์สวรรค์ก็จะฟาดผ่าลงมาสู่พื้นดิน อย่างน้อยที่สุดคนธรรมดาของเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้นก็จะน่าจะต้องตายกันหมดสิ้น ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณที่ไปเยือนเมืองสุยเจี้ยจึงจะจากไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์นั้น ต่อให้ไม่อาจช่วงชิงสมบัติประหลาดมาได้ก็ไม่มีใครกล้าอยู่ต่อแล้ว”

เดิมทีอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบนึกว่าคืนนี้จะมีการต่อรองราคากันสักพักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อายุยังน้อยผู้นั้นจะหมุนตัวจากไปโดยตรง

นี่กลับทำให้อินโหวรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าขึ้นฝั่งไป

ได้แต่ข่มกลั้นความเคียดแค้นและไฟโทสะ รวมถึงความกระวนกระวายส่วนนั้น ลงไป ครั้นจึงร่ายใช้วิชาอภินิหารหลบเลี่ยงน้ำกลับเข้าไปยังวังมังกรใต้ทะเลสาบ

เฉินผิงอันกลับไปที่ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี

แต่กลับพบว่าไม่เพียงแต่ตู้อวี๋ที่ย้อนกลับมา แม้แต่เยี่ยนชิงผู้นั้นก็อยู่ด้วย

เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปนั่งลงข้างกองไฟ ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น

ตู้อวี๋นั่งอยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเทพธิดาเยี่ยนชิงกลับมา พอนึกได้ว่า ถุงผ้าป่านที่ใส่วัตถุดิบวิเศษของผู้อาวุโสยังอยู่ในลานเรือนแห่งนี้ ไม่มีคนเฝ้าให้ ไม่วางใจก็เลยรีบย้อนกลับมา”

หลังจากที่เข้ามาในศาล เยี่ยนชิงก็ยืนอยู่บนขั้นบันได มองผู้ฝึกตนสำนักขวานผี ผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา

ตู้อวี๋ ก่อนหน้านี้ไม่มีความทรงจำอะไร แค่เคยได้ยินชื่อมาครั้งสองครั้ง แล้วก็ยังเป็นเพราะพ่อแม่ของคนผู้นี้คือคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่ง รู้แค่ว่าเขาเป็นคนที่ชอบรังแก คนอ่อนแอหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง ชอบทำตัวร่อนเร่พเนจรอยู่ในยุทธภพ

เยี่ยนชิงเปิดปากกล่าว “ข้าแค่จะถามเหตุผลข้อหนึ่ง ถามเสร็จแล้วก็จะไป”

คนผู้นั้นกลับเอาแต่จ้องนิ่งไปที่กองไฟ เหม่อลอยไร้คำพูด

เยี่ยนชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “เหตุใดต้องลงมือกับเหอลู่? หากเจ้าจะบอกว่าได้ยินเรื่องสกปรกบางอย่างของทะเลสาบชางอวิ๋นมาจากตู้อวี๋ จึงเป็นเหตุให้ลงมืออำมหิตตามใจปรารถนา นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าน่าจะไม่เคยเจอกับเหอลู่มาก่อนถึงจะถูก”

ตู้อวี๋เหลือกตามองบนทำหน้าทะเล้น

โอ้โหแหะ มาเพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้เจ้าเด็กหน้าขาวคนรักคนนั้นเสียด้วย

สมควรแล้วที่ถูกผู้อาวุโสโยนลงทะเลสาบชางอวิ๋นให้ไปดื่มน้ำเสียอิ่ม

อันที่จริงเยี่ยนชิงเตรียมใจมาก่อนแล้วว่าคนผู้นี้จะต้องทำตัวเป็นคนใบ้ไม่ตอบคำถามของนาง

คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยเนิบนาบขึ้นมาว่า “ประโยคแรกที่เหอลู่เปิดปากห้ามปราม หาใช่คิดทำเพื่อข้าไม่ แต่เพื่อเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่เชิญเจ้ามาดื่มน้ำชา”

เยี่ยนชิงไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้เรื่องนี้

คนผู้นั้นเอ่ยต่อว่า “เพราะตอนนั้นเหอลู่รู้สึกว่า ข้าคือผู้ฝึกตนที่มีตบะสูงกว่า เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี”

เยี่ยนชิงอยากฟังให้ละเอียดกว่านี้สักหน่อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะก็คิดว่าจะ นั่งลงบนขั้นบนสุดของบันได

ผลกลับถูกคนผู้นั้นปรายหางตามามอง

มองเห็นสายตาที่ทำให้คนพรั่นผวาของคนผู้นั้น เยี่ยนชิงก็รีบหยุดการกระทำที่คิดไว้ทันที

คนผู้นั้นถอนสายตากลับ หันไปจ้องมองกองไฟต่อ และเงียบงันลงไปอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่ายังพูดไม่จบ แต่กลับไม่คิดจะพูดต่ออีกแล้ว

เยี่ยนชิงอับอายและขุ่นเคืองขึ้นอีกเป็นเท่าทวี ตนไม่มีค่าขนาดนี้เชียวหรือ แค่เจ้าจะพูดกับข้าให้มากขึ้นสักสองสามคำ มันยากเย็นนักหรือไร?

หัวใจของเยี่ยนชิงบีบรัดตัว แล้วก็ไม่เหลือความลังเลอีก รีบทะยานลมจากไปทันที

ตู้อวี๋คิดไม่ตกอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอกลาไปเช่นกัน

เฉินผิงอันพยักหน้าให้

แล้วจ้องมองกองไฟต่อ

เหตุผลไม่ได้อยู่แค่ในมือของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้อยู่แค่ในมือของ ผู้อ่อนแออย่างเดียวเช่นกัน

เหตุผลก็คือเหตุผล ไม่ใช่ว่าจะมีเหตุผลมากขึ้นเพียงเพราะเจ้าแข็งแกร่ง แล้วก็ ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เพียงเพราะเจ้าอ่อนแอ

แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นแค่เหตุผลของเขาเฉินผิงอันเท่านั้น

ไม่ใช่ของตู้อวี๋ แล้วก็ไม่ใช่ของผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อว่าเยี่ยนชิงคนนั้น และยิ่งไม่ใช่ของเหอลู่ผู้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์

ในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย ยังมีซ่งอวี่เซา

ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ยังมีแม่ทัพผีผู้นั้นที่ยินดีชักดาบเข้าห้ำหั่นเพื่อนร่วมงาน

ในหุบเขาผีร้ายที่โครงกระดูกขาวโพลนและภูตผีเดินกันให้เกลื่อน ยังมีมือกระบี่ผูหราง มีเจ้าสำนักจู๋เฉวียน

ในแคว้นอิ๋นผิงและทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ กลับยังไม่เจอใครที่เป็นแบบนั้นเลยสักครึ่งตัว

แล้วก็เพราะคิดถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันถึงได้เงียบงัน

เฉินผิงอันรู้ว่าเหตุผลนี้ง่ายดายมาก เหตุใดมันถึงไม่ใช่เหตุผลเมื่ออยู่กับพวกเขา เพราะมันไม่อาจมอบผลประโยชน์หรือกำไรให้กับพวกเขาได้แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าอยู่บนเส้นทาง ของการฝึกตน รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือการวางตัวในสังคมก็ล้วนไม่ถึงอก ถึงใจ ดังนั้นจึงไม่แน่เสมอไปว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ

กลับกันคือเข้าใจ ทว่ากลับแสร้งไม่เข้าใจ เพราะถึงอย่างไรมหามรรคาก็ทั้งสูงและยาวไกล ทัศนียภาพงดงามเกินไป โลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างมีดินโคลนเยอะเกินไป ส่วนใหญ่มีแต่การเกิดการตาย การพบพรากจากลา ความสุขความทุกข์ที่ไร้ค่าในสายตาของพวกเขา

ก็จริง เพราะเรื่องราวมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน เมื่อรู้เส้นสายของเรื่องราวแล้วสืบเสาะไปจนถึงจุดที่เล็กละเอียดยิบย่อย มักจะไม่ใช่เรื่องดี

ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องถามอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เลยว่า เหตุใดราชสำนักแคว้นอิ๋นผิงถึงไม่สั่งให้ชาวบ้านในเมืองหนีไป เพราะต่อให้ ตัวคนหนีไปได้ ผลกรรมก็ยังคงอยู่ สำหรับฮ่องเต้แคว้นอิ๋นผิงแล้ว ต่อให้จะรู้เหตุ และผลของเหตุการณ์ประหลาดในเมืองสุยเจี้ยอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังเลือกที่จะเงียบงัน แทนที่จะปล่อยให้ชาวบ้านที่หนีตายไปทั่วทิศเหล่านั้นไปทำให้โชคชะตาของลม และน้ำในเมืองอื่นปั่นป่วน เป็นเหตุให้เดือดร้อนไปถึงโชคชะตาของหนึ่งแคว้น ก็ไม่สู้สะบั้นให้ขาดในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้พวกขุนนางและตระกูลเศรษฐีในเมืองสุยเจี้ยจึงยังถูกปิดหูปิดตา ยังคงมีลูกหลานคนรวยนิสัยเสเพลโบยแส้ควบม้าออกไปล่าสัตว์ท่องเที่ยวนอกเมืองอย่างสบายใจ

ยามเช้าตรู่ก็จะมีเสียงล้อเกวียนบดถนนของรถเทียมวัวขายถ่านดังมา

ภายใต้แสงจันทร์ก็น่าจะมีเสียงซักเสื้อผ้า

ผู้ฝึกตนอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ หลบเลี่ยงฝุ่นผงในสังคมโลกีย์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว

เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนั้น คิดเรื่องราวอะไรไปมากมาย ต่อให้ไฟในกองไฟจะมอดดับแล้ว มือของเขาก็ยังค้างอยู่ในท่ายื่นไปอังไฟ

จนกระทั่งฟ้าสว่าง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เก็บถุงผ้าป่านใบนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ สวบงอบสะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้า มุ่งหน้าไปยังเมืองสุยเจี้ย

ยังไม่ไปศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเทพอัคคี

ลองไปดูเรือนผีในเมืองที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีแห่งนั้นก่อน

ดูเสร็จแล้วก็ค่อยทำเรื่องเล็กๆ บางอย่าง

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่ง เงาร่างชุดเขียวของคนผู้หนึ่งปีนกำแพงเข้าไปในเมืองสุยเจี้ย

ในเมืองมีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เฉินผิงอันมาที่เรือนผีเพียงลำพัง คราวก่อนที่เข้าเมืองแวะไปร้านขายธูปก็ได้ถามที่อยู่ของที่แห่งนี้ไว้ก่อนแล้ว

กลางดึกที่ผู้คนเงียบสงัด เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูใหญ่

เขามองไปยังประตูใหญ่ที่ทรุดโทรมเก่าแก่บานนั้น ไม่มีภาพเทพทวารบาลเหลืออยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีกลอนปีใหม่เช่นกัน

บัณฑิตคนนั้น กระทั่งตายไปก็ยังไม่สามารถพลิกคดีแก้แค้นให้บิดามารดาได้

แล้วข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงล่ะ?!

คนหนุ่มที่ไม่ได้สวมรองเท้าสาน และยิ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร มานานแล้วปลดงอบลง

ใกล้กับเรือนผีหลังนี้มีผู้ฝึกลมปราณของแต่ละฝ่ายพากันมาซุ่มตัว หลบซ่อนหรือไม่ก็ตั้งรกรากอยู่นานแล้ว

แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณที่ความรู้สึกช้าที่สุด ตบะต่ำที่สุดก็ยังตกตะลึงขนลุกชัน จิตใจของแต่ละคนตระหนกลนลานอย่างที่ไม่มีลางบอกเหตุ

ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีลิงตัวเล็กนั่งอยู่บนไหล่กำลังยืนอยู่บนหลังคาเรือนแห่งหนึ่ง ที่ห่างไปไกล เขาขมวดคิ้วมุ่น คราวก่อนตอนที่อยู่หน้าประตูเมือง ตนกลับตาถั่ว มองตบะของเจ้าเด็กนี่ไม่ออกแม้แต่น้อย

ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบสัตว์เลี้ยงของตนที่กำลังกระวนกระวาย

ส่วนเจ้าพวกเศษสวะที่รู้สึกหายใจไม่ออก ปราณวิญญาณไหลอย่างไม่ราบรื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุพวกนั้นก็ยิ่งไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาดูว่าเป็นเทพเซียนของฝ่ายใดกันแน่

เมื่อคนหนุ่มที่ปลดงอบและหีบไม้ไผ่ผู้นั้นหายตัววับไปท่ามกลางความว่างเปล่า

ผู้เฒ่าก็เริ่มถอยหลังไปหลายก้าว

บนถนนใหญ่ ด้านนอกประตูใหญ่

ชายแขนเสื้อสองข้างของชุดเขียวโบกสะบัดได้ด้วยตัวเองทั้งที่ไม่มีลม

ร่างหายวับไปไม่เหลือร่องรอย

ควันเขียวเส้นหนึ่งพุ่งแหวกม่านราตรีออกไป

สุดท้ายพลิ้วกายลงด้านนอกศาลเทพอภิบาลเมือง

ทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองมีขุนนางผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ร่างกำยำสวมเกราะ ผู้หนึ่งปรากฏตัว ตวาดเสียงทุ้มหนักว่า “ผู้ที่มาคือใคร!”

เห็นเพียงว่ามือกระบี่หนุ่มผู้นั้นแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น

เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังค่อยๆ ออกจากฝักแล้วหมุนวนช้าๆ สุดท้าย ถูกคนผู้นั้นกุมไว้ในมือเบาๆ วาดกระบี่พาดขวางไว้เบื้องหน้า มือหนึ่งกุมกระบี่ อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วปาดผ่านตัวกระบี่เบาๆ ค่อยๆ ไล่ไปจนถึงปลายกระบี่

ทุกชุ่นที่นิ้วของมือกระบี่ชุดเขียวปาดผ่านไป แสงสีทองเข้มข้นเหมือนน้ำบนตัวกระบี่ก็ยิ่งส่องประกายแสงเจิดจ้า

คนผู้นั้นหรี่ตาลง เพียงแค่จ้องนิ่งไปยังแสงกระบี่พร่างพราวในมือแล้วพึมพำว่า “ผลกรรมก็ดี ทัณฑ์สวรรค์ก็ช่าง ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงล้วนพร้อมรับไว้ทั้งหมด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!