Skip to content

Sword of Coming 507

บทที่ 507 ทุกท่านเชิญเอากระบี่ไปได้เลย

ตู้อวี๋รู้สึกเพียงว่าหนังหัวชาดิก พยายามจะฝืนดึงความห้าวเหิมแห่งยุทธภพที่เหลืออยู่ไม่มากของตัวเองขึ้นมา เพียงแต่ว่าการดึงเอาความกล้าขึ้นมาก็เหมือนพละกำลังของคนที่เดินขึ้นเขา ยิ่งไปถึง ‘ยอดเขา’ อย่างริมฝีปาก พละกำลัง ความห้าวเหิมนั้นก็แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว เขาจึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านเป็นแบบนี้ ข้าค่อนข้างจะ…กลัวท่าน”

เฉินผิงอันถือพัดไม้ไผ่หยกที่ชุยตงซานมอบให้ไว้ในมือ ใช้สองนิ้วบิดหมุนเบาๆ พัดไม้ไผ่ก็คลี่ออกและหุบเข้าเล็กน้อยพร้อมกับเสียงพึ่บพั่บดังแจ่มชัด เขายิ้มกล่าวว่า “เจ้าตู้อวี๋มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ยังจะต้องกลัวอะไร? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าควรคิดว่าจะเอา คุณความชอบมาแลกเป็นรางวัลอย่างไรหรอกหรือ เหตุใดถึงยังกังวลว่าจะถูกข้า คิดบัญชีย้อนหลังเล่า? เรื่องราวเละเทะที่เจ้าทำไว้ในยุทธภพเหล่านั้น ข้าไม่คิดจะ ถือสาเจ้าตั้งแต่ตอนที่อยู่ในศาลสุ่ยเซียนของคูน้ำเสาซีแล้ว”

บนร่างของเฉินผิงอันคือชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ไม่ได้สวมมานานหลายปี ชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่เป็นสีเขียวถูกทำลายจนสิ้นสภาพไปแล้ว ต่อให้ทุ่มเงิน เทพเซียนมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซ่อมแซมมันให้กลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ เขาจึงเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เอาเก็บรวมไว้กับรองเท้าสานที่เก่าขาด และกาเหล้าที่ดื่มเหล้า จนหมดแล้ว ศึกก่อนหน้านี้อันตรายแค่ไหน ง่ายดายมาก ถึงขั้นทำให้เขาไม่ทันได้ สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้แต่จะใช้ เสี้ยวความคิดก็ยังไม่อาจทำได้ ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อไปต้านทานทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ นี่น่าจะเท่ากับแช่ตัวอยู่ในบ่อสายฟ้าขนาดเล็กบนภูเขาจีเซียวหลายวันหลายคืนกระมัง?

ตู้อวี๋กัดฟัน พูดหน้าม่อย “ผู้อาวุโส ท่านออกไปครั้งนี้คงไม่ได้สังหารคนทั้งเมืองสุยเจี้ยที่ไม่รู้จักคุณคนให้สิ้นซากหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองตู้อวี๋ “เป็นเจ้าที่โง่ หรือข้าที่บ้ากันแน่? แล้วข้าจะต้องต้านทานทัณฑ์สวรรค์ไปเพื่ออะไร”

ตู้อวี๋ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผู้อาวุโสอย่าได้ขุ่นเคืองพวกชาวบ้านที่ไม่รู้ประสีประสาเลย มันไม่คุ้มกันหรอก”

เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่ามรสุมลูกแรกยังไม่ทันสงบ คลื่นลูกใหม่ก็จะโถมตัวขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ตนที่ต้องตายอนาถ อาจจะยังเดือดร้อนไปถึงพ่อแม่และ ตำหนักขวานผีอีกด้วย หากจะบอกว่าการจากลากันที่ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีก่อนหน้านี้ อย่างมากสุดหญิงแก่อย่างฟ่านเหวยหรานก็แค่คิดจะระบายโทสะ ใส่ตน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็คงบอกได้ยากแล้วจริงๆ ไม่แน่ว่าแม้แต่เย่หานแห่ง นครหวงเยว่ก็ยังอาจจะหมายหัวตนด้วย

เรื่องราวบางอย่างที่ในอดีตไม่ค่อยคิดมาก ตอนนี้ไปเดินวนอยู่หน้าประตูผี ไปกระโดดโลดเต้นอยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลืองมาหลายครั้ง จึงต้องคิดแล้วคิดอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดหลายวันที่อยู่ในจวนผี ช่วยผู้อาวุโสปัดกวาดเช็ดถู เรือนร้างที่ว่างเปล่า ทำงานใช้แรงงานของคนชั้นล่างที่ชั่วชีวิตนี้นับตั้งแต่ออกมา จากท้องแม่ยังไม่เคยทำมาก่อน เขาก็รู้สึกเหมือนราวกับอยู่คนละโลก

เฉินผิงอันเอาพัดพับเหน็บไว้ตรงเอว เส้นสายตามองข้ามผ่านหัวกำแพงออกไป เอ่ยว่า “ทำดีได้ชั่ว ล้วนเป็นเรื่องของตัวเอง มีอะไรให้ต้องผิดหวังกัน”

ตู้อวี๋พยักหน้ารับอย่างแรง “วิญญูชนทำดีไม่หวังสิ่งตอบแทน ผู้อาวุโสช่างมีมาดของวิญญูชน!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าเจ้าพูดประจบแบบนี้ให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ตบะของเจ้าตู้อวี๋ต่ำเตี้ยเกินไป คนพูดเปลืองแรง คนฟังก็รู้สึกเอียน ข้าทนกับเจ้ามานานแล้วนะ”

ตู้อวี๋ยิ้มแหยอย่างพิพักพิพ่วน

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ปลายเท้าเหยียบลงบน เจี้ยนเซียนที่อยู่บนพื้น ออกแรงดีดเบาๆ เจี้ยนเซียนก็ถูกเขากุมไว้ในมือ “เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

ตู้อวี๋ย่อมไม่กล้าคลางแคลงในการตัดสินใจของผู้อาวุโส เพียงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสจะกลับมาที่เรือนเมื่อไหร่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะไปที่จวนเจ้าเมืองซึ่งอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว แล้วค่อยไปที่ทะเลสาบชางอวิ๋นหรือไม่ก็ที่ภูเขาเฮยโย่วสักรอบหนึ่ง น่าจะใช้เวลาไม่มากเท่าไร”

ตู้อวี๋ผ่อนหายใจโล่งอก

เฉินผิงอันเดินออกไปจากเรือนผี

ตู้อวี๋ยกสองมือขึ้นพนม ค้อมเอวขอพรกับกาเหล้าสีชาดใบนั้น “รบกวนนายท่านกาเหล้าช่วยปกป้องคุ้มครองข้าน้อยด้วยเถิด”

เมื่อประตูใหญ่ของเรือนผีถูกเปิดออก เจ๋อเซียนชุดขาวปรากฏตัวอย่างแท้จริง

พวกชาวบ้านของเมืองสุยเจี้ยที่เดิมทีตะเบ็งเสียงด่ากันอย่างเมามัน ไม่ว่า ชายหญิงคนแก่หรือเด็ก คนร้อยกว่าคนที่นับว่าจำนวนไม่น้อยแตกฮือกันทันที ในกลุ่มคนส่วนใหญ่คือบ่าวรับใช้ในเรือนของเศรษฐีที่เจ้าประมุขของจวนคิดว่าตัวเองต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่คาดคิด ทำให้ทรัพย์สินจำนวนมากต้องเสียหาย จึงส่งตัวพวกเขาให้มาทวงเงินที่นี่ รวมไปถึงอันธพาลแต่ละจุดของเมืองสุยเจี้ยที่มา ร่วมวงเรื่องครึกครื้นที่นี่ และยังมีจอมยุทธเด็กหนุ่มไม่น้อยที่อยากเห็นว่าคนแบบไหนถึงจะเรียกว่าเซียนกระบี่

แม้ทุกคนต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นี้นิสัยดีมาก มีเงินมาก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ในเมืองสุยเจี้ยอีกนาน เขาหลบอยู่ในเรือนผีไม่กล้าโผล่หน้ามาเป็นเวลานานขนาดนี้

ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในข้อนี้แล้ว แต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเมื่ออีกฝ่ายออกจาก เรือนผีมาแล้วจะจับตัวใครบางคนบนถนนมาไว้แล้วไม่ยอมปล่อยตัวหรือไม่? จะดี จะชั่วเขาก็เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้บ้าง

พอดีกับที่มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังเข็นรถบรรจุอาจมไว้เต็มคันวิ่งตะบึงมาถึง พวกเขาหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างห้าวเหิม เดิมทีกำลังภาคภูมิใจกับวีรกรรมอัน อาจหาญของตน ดื่มดำอยู่กับการยกนิ้วโป้งร้องตะโกนให้กำลังใจเสียงดังจากผู้คน ที่อยู่ใกล้เคียง ยามที่เข็นรถอาจมมาจึงยิ่งออกแรงมากเป็นพิเศษ อยู่ห่างจากเรือนผี ที่วังเวงจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ไม่ถึงยี่สิบสามสิบก้าวแล้ว ผลคือเซียนชุดขาวที่ในมือถือกระบี่ยาวคนนั้นเปิดประตูออกมาพอดี แล้วก็จ้องเขม็งมาที่พวกเขา

ชายหนุ่มสามคนที่มักจะเที่ยวเล่นอย่างเสเพลอยู่ในเมืองสุยเจี้ยเป็นประจำ พลันอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ขาสองข้างแข็งทื่อกระดุกกระดิกไม่ได้

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีคนผู้หนึ่งเดินเนิบนาบออกมาจากมุมตรอก จากนั้นก็เดิน ทวนกระแสผู้คนไปข้างหน้า นางคือสตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดไว้ทุกข์ หน้าตานับว่างดงาม ในอ้อมอกอุ้มเด็กทารกที่ยังอยู่ในห่อผ้าไว้คนหนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่อากาศยังเหน็บหนาวจับขั้วกระดูก ไม่รู้ว่าเด็กนอนหลับหรือหนาวจนตัวแข็งถึงได้ ไม่ส่งเสียงร้อง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าอาลัย ฝีเท้ายิ่งเดินก็ยิ่งไว กระทั่งเดินผ่านรถเข็นขนอาจมและชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นมาก็คุกเข่าดังตุ้บลงกับพื้น แหงนหน้าขึ้นพูดกับคนหนุ่มชุดขาวด้วยเสียงสะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “นายท่านเทพเซียน บุรุษของข้าถูกบ้านที่พังลงมาทับตายแล้ว ข้าเป็นเพียงสตรี คนหนึ่ง วันหน้าจะหาเลี้ยงชีพอย่างไร? ขอนายท่านเทพเซียนโปรดมีเมตตา ช่วยพวกเราสองแม่ลูกด้วยเถิด!”

สตรีร้องไห้อย่างร้าวรานปานจะขาดใจ สะอึกสะอื้นเหมือนจะเป็นลมหมดสติ ไปได้ทุกเมื่อ

ชาวบ้านที่ไปหลบมุมอยู่ไกลๆ เริ่มชี้นิ้วมาทางนี้ บางคนก็หันไปกระซิบกับคนข้างกายเบาๆ บอกว่าดูเหมือนว่าจะเป็นสตรีของตรอกหยาเอ๋อร์ นางเพิ่งแต่งงานไปเมื่อปีก่อนจริงๆ

ช่างเป็นคนที่น่าสงสารนัก

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง “อากาศหนาวขนาดนี้ ลูกก็ยังเล็กขนาดนี้ เจ้าที่เป็นแม่คนตัดใจพาเขาออกมาข้างนอกได้อย่างไร? หรือว่าไม่ควรฝากเขาไว้กับเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วค่อยวิ่งมาร้องทุกข์กับข้าเพียงลำพัง? อืม ก็ถูกนะ ถึงอย่างไรก็ต้อง มีชีวิตอยู่ต่อไป ยังจะสนใจเรื่องนี้ไปอีกทำไม”

สตรีแต่งงานแล้วอึ้งไป ราวกับต่อให้ตายก็คิดไม่ออกว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้จะเอ่ยเช่นนี้ จึงเหม่อลอยไปชั่วขณะ

จากนั้นก็เห็นเพียงว่าคนหนุ่มผู้นั้นยิ้มบางๆ “ข้าเห็นว่าท่าอุ้มลูกของเจ้าดูไม่ค่อยคล่องมือนัก ลูกคนแรกหรือ?”

สตรีพลันแผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดเนิบช้าว่า “อีกเดี๋ยวหากข้าไม่สนใจเจ้า เดินสวนกับเจ้าไป เจ้าก็จะชูเด็กในมือขึ้นสูงแล้วบอกกับข้าว่า ข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าก็จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ถึงอย่างไรก็เอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แทนที่จะทำให้เด็กน่าสงสารคนนี้ต้องลำบากกับเจ้าไปชั่วชีวิต ก็ไม่สู้ทุ่มเขาให้ตายอยู่บนถนนไปเสียเลย ชาติหน้าเขาจะได้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ดี ชีวิตนี้พ่อแม่ทำผิดต่อเขา มาเจอกับเทพเซียนที่ใจดำราวกับหินคนหนึ่ง จากนั้นเจ้าก็จะเอาหัวโหม่งตาย หวังให้สามคนในครอบครัว ไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในปรโลกใช่หรือไม่? หรือจะบอกว่า สิ่งที่ข้าพูดมานี้มากกว่าที่คนอื่นสอนเจ้ามาเสียอีก?”

สตรีได้แต่คร่ำครวญแทบขาดใจ ร่ำไห้ไม่หยุด ทำให้คนที่ได้ยินน้ำตาไหล คนที่ได้เห็นเจ็บปวดหัวใจตามไปด้วย

เฉินผิงอันชำเลืองตามองบุรุษชาวบ้านที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งเป็นตัวชี้บอกสถานะของสตรีแต่งงานแล้ว แล้วคลี่ยิ้มบางๆ ฝ่ายหลังหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนจะเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ร่างหายวับเข้าไปในตรอกเล็ก

คนที่รีบร้อนหนีไป สตรีแต่งงานแล้วที่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้น นักฆ่าในยุทธภพที่ แอบซ่อนตัวอยู่ในถังอาจมเพื่อรอฉวยโอกาสลงมือ

น่าจะเป็นแผนการเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้แต่พวกผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังก็ยังไม่รู้สึกว่าจะได้ผล แต่ก็ทำไปเพื่อต้องการให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนหงุดหงิดใจเท่านั้นกระมัง?

เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นน่าจะยังไม่มีความกล้านี้ ส่วนฟ่านเหวยหรานแห่งดินแดนเซียนเป่าต้งก็ไม่มีจิตใจที่วกวนอ้อมค้อมเช่นนี้ หรือจะเป็นเย่หาน เจ้านครหวงเยว่ที่ยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน? หรือไม่ก็เป็นเด็กหนุ่มชื่อว่าเหอลู่ที่ ยืมมือของขุนนางบางคนในเมืองสุยเจี้ย? ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณ สตรีที่เป็น ชาวบ้านธรรมดาและผู้ฝึกยุทธสามคนนี้ตายไป ก็ยังไม่แน่เสมอไปที่จะรู้ว่าตัวเอง ถูกผลักให้มาตาย การที่พวกเขาพาตัวมาตายที่นี่ แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็ต้อง มีเหตุผลและแผนการเป็นของตัวเอง

จะทำอย่างไรดี?

เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองสะอิดสะเอียนเข้าแล้วจริงๆ

สตรีแต่งงานแล้วพลันรู้สึกตาลาย

ทว่ากลับไม่เห็นเงาร่างของเซียนหนุ่มชุดขาวผู้นั้นแล้ว

สตรีกัดฟัน ลุกขึ้นยืน แล้วนางก็ชูเด็กในห่อผ้าอ้อมขึ้นสูงหมายจะโยนลงพื้นจริงๆ แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น นางกลับหันหน้าไปทางถนนแล้วแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “เซียนกระบี่ผู้นี้ใจดำอำมหิต ทำให้บุรุษของข้าต้องตาย แต่กลับไม่มีมโนธรรมในใจแม้แต่น้อย! วันนี้ต่อให้พวกเราสองแม่ลูกต้องตายไปพร้อมกัน ครอบครัวสามคน ต้องกลายเป็นผี ก็จะไม่มีทางปล่อยเขาไป!”

สตรีแต่งงานแล้วทุ่มเด็กลงพื้นอย่างแรง หวังว่าเด็กจะตายในคราวเดียว เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้นคงกลายเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นนางจึงใส่แรงเต็มที่

ความร่ำรวยมีเกียรติของตนในชาตินี้ล้วนอยู่ที่การกระทำครั้งนี้แล้ว

ถึงอย่างไรเด็กนี่ก็ไม่ใช่ลูกของนาง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าชายฉกรรจ์แปลกหน้าผู้นั้นไปหามาจากไหน ส่วนบุรุษที่อยู่ดีๆ ก็ตายไปได้ไม่นานผู้นั้น ก็เป็นบุรุษที่นางตาบอด ถึงได้ยอมแต่งงานด้วยจริงๆ ก็แค่คนขี้เกียจที่ควบคุมเป้ากางเกงตัวเองไม่อยู่ เป็นผีพนันบ้าตัณหา ทรัพย์สมบัติน้อยนิดที่มีล้วนถูกเขาผลาญไปจนหมดสิ้น ทำเอานางที่นับตั้งแต่แต่งงานกับเขามาไม่เคยได้มีชีวิตที่ดีสักวัน ตายไปได้เสียก็ดี หลังจากทุ่มเด็กให้ตายแล้ว ตนก็แค่ต้องเอาหัวพุ่งชนกำแพง แค่หัวแตกเลือดไหลมองดูน่าตกใจก็เท่านั้น จากนั้นก็แค่แกล้งเป็นลมไปเสีย ไม่ต้องตายจริงๆ สักหน่อย เงินทองถุงใหญ่ตรงหน้าที่แค่เอื้อมคว้าก็ได้มาอยู่ในมือ บวกกับเงินอีกถุงหนึ่งหลังจากทำงานสำเร็จ วันหน้าได้เป็นเศรษฐีนีที่สวมเครื่องประดับเงินทองเต็มตัว แค่หาผู้ชายสักคนมาแต่งงานด้วย ยังจะยากอีกหรือ?

หลังจากทุ่มเด็กออกไป สตรีก็รู้สึกว่าเหนื่อยล้าเล็กน้อย นางจึงทรุดตัวลงนั่งพับอยู่บนพื้น

แต่แล้วนางก็ต้องเบิกตากว้าง

เห็นเพียงว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เทพเซียนชุดขาวมานั่งยองอยู่ตรงหน้าตัวเอง อีกทั้งมือหนึ่งยังรับเด็กที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมคนนั้นเอาไว้ได้

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน อุ้มเด็กเอาไว้ ใช้มือเลิกมุมหนึ่งของผ้าฝ้ายที่ห่อหุ้มเด็กออกด้วยท่าทางนุ่มนวล แตะที่มือเล็กของทารกน้อยเบาๆ ยังดี เด็กแค่หนาวจนตัวแข็งเท่านั้น คาดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเล่นงานเด็กที่ต้องตายอย่างแน่นอน คนหนึ่ง แล้วก็จริงดังคาด ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็มีมันสมองเพียงเท่านี้ เป็นคนดีนั้นไม่ง่าย แต่คิดจะเป็นคนเลวที่จิตใจชั่วช้าต่ำทรามอย่างแท้จริงมันยากนักหรือ?

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก เพียงแต่ว่าตอนที่เขามองไปยังเด็กที่อยู่ในอ้อมอก สีหน้าแววตากลับอ่อนโยนลงอย่างเป็นธรรมชาติ เขากระชับผ้าฝ้ายห่อหุ้มตัวเด็ก ให้แน่นหนาขึ้นอีกนิดด้วยท่าทางคุ้นเคย อีกทั้งยังแบ่งไอความร้อนไปจากฝ่ามือ ของตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับห่อผ้าอย่างพอเหมาะพอดี ช่วยให้เด็กน้อยสามารถต้านทานอากาศที่หนาวเหน็บของฤดูใบไม้ผลินี้เอาไว้ได้

ใต้หล้านี้ไม่ควรมีเด็กคนใดที่เกิดมาก็ต้องมีชะตาชีวิตที่ยากลำบาก

เฉินผิงอันดีดปลายเท้า ร่างทะยานถอยกลับไปด้านหลังเหมือนสายรุ้งสีขาว เส้นหนึ่งที่พาดเอียงย้อนกลับเข้าไปในจวนผี

คงเป็นเพราะตู้อวี๋รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบสุข เก้าอี้ที่วางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าไปนั่ง จึงย้ายม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้ด้านข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ นั่งอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ อย่างว่าง่าย แน่นอนว่าไม่ลืมสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างตัวนั้นด้วย

ตู้อวี๋เห็นว่าในอ้อมอกของผู้อาวุโสที่จากไปแล้วย้อนกลับมามี…เด็กในห่อผ้าอ้อมเพิ่มมาด้วย? นี่ผู้อาวุโสคิดจะทำอะไร? ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยพูดว่าเดินทาง ตอนกลางคืน โชคดีเลยเก็บเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างและโอสถปีศาจที่ผ่านการ หล่อหลอมแล้วของตนมาได้จากข้างทาง เขาตู้อวี๋ยังพอจะฝืนมโนธรรมในใจพูดว่า เชื่อได้ แต่นี่เพิ่งจะออกไปก็เก็บเด็กคนหนึ่งกลับมา ทำให้เขาตู้อวี๋อึ้งตะลึงไปจริงๆ

เฉินผิงอันส่งมอบเด็กให้ตู้อวี๋อย่างระมัดระวัง ตู้อวี๋ที่เหมือนถูกฟ้าผ่ายื่นมือไปรับอย่างเหม่อลอย

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานออก!”

ตู้อวี๋สะดุ้งตกใจ รีบปลดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานออก แล้วเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อพร้อมกับโอสถปีศาจที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้วซึ่งเขากำแน่นอยู่ในฝ่ามือตลอดเวลา

แล้วจึงรับเด็กในห่อผ้าอ้อมมาด้วยท่าทางแข็งทื่อ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด เห็นสีหน้ารังเกียจของผู้อาวุโสแล้ว ตู้อวี๋ก็อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ผู้อาวุโส ข้าอายุ ยังน้อย ประสบการณ์ในยุทธภพยังตื้นเขิน ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างเชี่ยวชาญทุกเรื่องอย่างท่านผู้อาวุโสจริงๆ

เฉินผิงอันเอ่ยกำชับ “ข้าจะกลับมาให้เร็วหน่อย เด็กยังบอบบางนัก เจอลมเย็นแบบนี้ เจ้าต้องสังเกตดูลมหายใจของเด็กเอาไว้ให้ดี ตอนที่เจ้าปล่อยปราณวิญญาณมาเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายเด็กจะต้องกะน้ำหนักให้ดี หากมีปัญหา ตอนที่ออกไปจากเรือนผีก็เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปด้วย พาเขาไปหาหมอในร้านยาที่มีประสบการณ์”

ตู้อวี๋พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

เฉินผิงอันคิดแล้วก็บิดหมุนข้อมือ ในฝ่ามือมีแกนลูกท้อที่เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวเพิ่มขึ้นมา “หลังจากขว้างมันออกไป อานุภาพจะเท่าเทียมกับการโจมตีอย่าง เต็มกำลังของผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้คาถาเปิดประตูอะไร ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณก็สามารถใช้ได้ ต่อให้มีร่างกายอ่อนแออย่างผู้ฝึกตน ห้าขอบเขตล่างก็หนีไม่พ้นแค่ต้องพ่นเลือดสองสามคำ เผาผลาญปราณวิญญาณที่ เก็บสะสมไว้เท่านั้น จะไม่มีโรคร้ายใหญ่อะไรทิ้งไว้ภายหลัง แล้วนับประสาอะไรกับ ที่เจ้าเป็นขอบเขตถ้ำสถิตขั้นสูงสุด อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร เวลาเจอ เรื่องอะไรก็จงใช้มันอย่างสบายใจ”

ตู้อวี๋ยังอุ้มเด็กเอาไว้ จึงได้แต่เบี่ยงตัวค้อมเอวลง ยื่นมือออกมาเล็กน้อย รับสมบัติล้ำค่าของตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นเอาไว้

ในใจตู้อวี๋รู้สึกมั่นใจมากขึ้น

หาได้ยากที่ผู้อาวุโสจะพูดร่ายยาวขนาดนี้

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ผู้อาวุโสในตอนนี้ถึงได้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่เขาอีกครั้ง

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ไม่ถือเจี้ยนเซียนไว้ในมืออีกต่อไป แต่สะพายมันไว้ด้านหลังอีกครั้ง “พวกเจ้าคงเล่นสนุกกันจนติดใจแล้วสินะ?”

ตู้อวี๋ทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด ความรู้สึกคุ้นเคยหายไปอีกแล้ว

เขาบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า คิดเสียว่าเป็นความปรารถนาดีของผู้อาวุโสที่อยากช่วยขัดเกลาจิตใจให้เขาตู้อวี๋ก็แล้วกัน

ร่างของผู้อาวุโสหายไปแล้ว

ไม่มีปราณวิญญาณแผ่กระเพื่อม แล้วก็ไม่มีลมเย็นพัดมาแม้แต่น้อย

ราวกับว่าฟ้าและดินผสานรวมเข้าด้วยกัน

ตู้อวี๋อุ้มเด็กเอาไว้แล้วโยกเบาๆ ไม่กล้าขยับแรงเกินไปนัก กลัวว่าแรงโยกจะทำให้เด็กตื่น มารดามันเถอะ ชั่วชีวิตของข้าผู้อาวุโสที่ผ่านมายังไม่เคยอ่อนโยนกับ จอมยุทธหญิงในยุทธภพขนาดนี้มาก่อนเลย ตู้อวี๋ก้มหน้าลงมอง แล้วพูดอย่าง ปลงอนิจจังว่า “เด็กน้อย เจ้ามีโชคที่ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าอีกนะ”

ในตรอกเล็กแคบที่เงียบสงัดไร้ผู้คน

ชายฉกรรจ์เอาหลังพิงกำแพง กลืนน้ำลายลงคอ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ไล่ตามมา?

เพื่อเงินร้อนน้อยเหรียญนั้น ก็ช่างร้อนลวกมือเสียจริง

แม้มองดูแล้วไม่เหมือนว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาพบกับตนผู้นั้น จะสามารถเอาเงินร้อนน้อยออกมาได้ แต่เงินเทพเซียนไม่ใช่ของปลอม ไม่รับเอามา ก็ตาย หากไม่รับมาแล้วทำงานที่ได้รับมอบหมายแต่โดยดี แล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก หาเสมียนของที่ว่าการคนหนึ่งของเมืองสุยเจี้ยแล้วใช้วิธีการคล้ายๆ กัน นั่นคือ มอบเงินให้เขาถุงหนึ่ง หากเขาไม่รับไปก็ตาย เสมียนคนนั้นก็ไม่ใช่คนโง่ จึงช่วยเขาหาคู่ชายหญิงใจสุนัขของตรอกหยาเอ๋อร์คู่นั้นมา ถึงได้มีเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในวันนี้

ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้หยิบเอาเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นออกมาแล้วคลี่ยิ้ม พูดพึมพำกับตัวเองว่า เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลไม่เห็นเงินเป็นเงินกันจริงๆ การค้าขายเช่นนี้ หวังว่าจะได้ทำอีกสักครั้ง

ข้างหูมีเสียงคนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ดังมา “เจ้าเองก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่เห็นชีวิตคนเป็นชีวิต”

ชายฉกรรจ์หันหน้าไปอย่างแข็งทื่อ แล้วก็เห็นว่าเจ๋อเซียนชุดขาวในมือโบกพัด ผู้นั้นยืนอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว ทว่าตนกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

ชายฉกรรจ์พูดเสียงสั่น “เซียนกระบี่ใหญ่ ไม่เลยๆ ข้าถูกสถานการณ์บีบบังคับจึงจำต้องทำเช่นนี้ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาเมิ่งเหลียงที่สอนข้าคนนั้น ก็แค่รังเกียจว่าเรื่องนี้จะทำให้มือของเขาสกปรก อันที่จริงเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างข้าแล้ว เขายังไม่สนใจชีวิตของมนุษย์ธรรมดามากกว่าเสียอีก”

ชายฉกรรจ์เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ ท่านไม่รู้อะไร สตรีจากตรอกหยาเอ๋อร์ผู้นั้นเกิดมาก็มีจิตใจอำมหิตดุจอสรพิษ บุรุษของนางก็ยิ่ง เป็นคนต่ำช้าที่สมควรตาย คนในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดประเภทนี้ไม่มีพรสวรรค์ ในการฝึกตน

ได้แต่เกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมก็ถือว่าดีแล้ว ไม่อย่างนั้นหากพวกเขาได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตน ยามที่ทำเรื่องชั่วร้ายขึ้นมา นั่นต่างหากที่เรียกว่าชั่วช้าสามานย์ อย่างแท้จริง”

เซียนกระบี่ชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ถามใจ ดูแค่ที่เรื่องราว ไม่อย่างนั้นใต้หล้านี้จะมีคนที่รอดชีวิตได้อีกกี่มากน้อย? เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “ใช่ๆๆ ใต้เท้าเซียนกระบี่พูดถูกทั้งหมดเลย”

จากนั้นก็ได้ยินเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ก็ยังต้านรับไว้ได้โดยที่ ไม่ตายผู้นั้นเอ่ยถามตนด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลตัวเล็กๆ ของยอดเขาเมิ่งเหลียงคนหนึ่ง ฆ่าชาวบ้านไปแค่ไม่กี่คนยังรู้สึกว่ามือสกปรกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าที่เป็นเซียนกระบี่ ฆ่าเจ้าแล้ว จะไม่รู้สึกว่ามือสกปรกหรือ? หากไม่เป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าถึงไม่ฆ่าสตรีที่มาขอเงินทองอยู่บนถนน อันธพาลในหมู่ชาวบ้านที่เข็นรถขนอาจมมาหาความบันเทิง และนักฆ่า ที่หลบซ่อนตัวกินขี้อยู่ในถังอาจม?”

มือทั้งสองข้างของชายฉกรรจ์ถือประคองเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นเอาไว้ เขาโค้งตัวลงต่ำ ชูมือขึ้นสูง ยิ้มประจบเอ่ยว่า “ในเมื่อใต้เท้าเซียนกระบี่รู้สึกว่าสกปรกมือก็โปรดแสดงความเมตตา ปล่อยข้าน้อยไปเถิด อย่าให้ศาสตราวุธเทพของเซียนกระบี่ ต้องแปดเปื้อนเลย บุคคลที่เหมือนนอนเหน่าเหม็นอย่างข้า ไหนเลยจะคู่ควรให้ เซียนกระบี่ออกกระบี่”

“วิชาคาถาตระกูลเซียนบนภูเขามีนับพันนับหมื่นชนิด ยังจำเป็นต้องออกกระบี่ด้วยหรือ?”

พอได้ยินประโยคนี้ ชายฉกรรจ์ก็เหงื่อแตกท่วมร่าง ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

“เวลานี้รู้สึกว่าข้าเหมือนคนชั่วที่มีสันดานเดียวกับพวกเจ้า ถึงได้เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว?”

เจ๋อเซียนคนนั้นใช้มือหุบพัดพับในมือแล้วเอามันมาเคาะศีรษะเบาๆ ท่าทาง เกียจคร้าน เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ต่อหน้าคนชั่วไม่เอ่ยวาจา ลับหลังคนดี จ้วงแทงแผ่นหลัง น้ำเต้าตันคือพวกเจ้า หน้าบานเป็นกระด้งก็คือพวกเจ้า แปลกนักและมหัศจรรย์นัก”

ใช่ว่าชายฉกรรจ์จะไม่อยากหนี แต่เป็นเพราะมือเท้าของเขาไม่ฟังคำสั่งต่างหาก

คนผู้นั้นเอ่ย “มา ข้าจะอนุญาตให้เจ้าตะโกนประโยคหนึ่งว่า ‘เซียนกระบี่ฆ่าคนแล้ว’ หากเจ้าตะโกนจนคนทั้งเมืองได้ยินกันหมด ข้าสามารถเว้นชีวิตเจ้าได้”

ชายฉกรรจ์ส่ายหน้าอย่างแรง แข็งใจพูดเสียงสะอื้นว่า “ไม่กล้า ข้าน้อยไม่กล้าหมิ่นเกียรติใต้เท้าเซียนกระบี่เด็ดขาด!”

คนผู้นั้นร้องอ้อหนึ่งที เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อนาถแล้ว ไม่รอให้ ผู้ฝึกตนอิสระเอ่ยคำใด เขาใช้พัดพับเคาะศีรษะของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นเบาๆ จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง กักสามจิตเจ็ดวิญญาณของอีกฝ่ายไว้บนฝ่ามือ ใช้พายุลมกรดค่อยๆ เผาผลาญขัดเกลาให้สลายหายไปช้าๆ

หากคนดีทุกคนได้แต่ใช้ประโยคว่าคนชั่วต้องถูกกรรมตามสนองมาปลอบโยนความทุกข์ทนยากลำบากของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นวิถีทางโลกก็ไม่ถือว่าดีจริงๆ

ส่วนเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นก็หล่นร่วงลงข้างศพของคนผู้นั้น สุดท้ายกลิ้งไปตก อยู่ในซอกหิน

คนชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกจากตรอกเล็กมาช้าๆ

ครู่หนึ่งต่อมาแสงกระบี่สีทองหนึ่งเส้นก็ทะยานขึ้นจากพื้นดิน มีเซียนชุดขาว ผู้หนึ่งขี่กระบี่ออกไปจากนครสุยเจี้ย ตรงดิ่งไปยังทะเลสาบชางอวิ๋น

จากเรือนผีในเมืองมีแสงกระบี่สีเขียวเข้มเส้นหนึ่งพุ่งตามหลังไปติดๆ

ในจวนราชครูซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเมิ่งเหลียง

ผู้ฝึกตนใหญ่สองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกันโดยมีทะเลสาบเล็กๆ สีเขียวมรกตแห่งหนึ่งกั้นขวาง

คนหนึ่งคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อชุดเขียวผมขาวที่เหมือนจะไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี บนเข่าของฝ่ายแรกมีลิงน้อยที่ลมหายใจรวยรินตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ ตรงเอวของฝ่ายหลังเหมือนมีงูน้อยสีเขียวที่กำลัง นอนหลับตัวหนึ่งขดล้อมอยู่ ตรงหน้าผากของงูน้อยมีเขางอกออกมา หัวและหาง ของงูเขียวเชื่อมติดกัน มองดูเหมือนเข็มขัดสีเขียวเส้นหนึ่ง

ห่างออกไปทางด้านหลังของผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อคือสตรีทรงเสน่ห์ที่สีหน้าซีดขาวคนหนึ่ง รูปโฉมของนางธรรมดา แต่สายตากลับงามเย้ายวน เวลานี้ต่อให้นางยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายของตนเอง มีทะเลสาบเล็กๆ กั้นขวางคนหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ แต่นาง ก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวน เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงและบารมีของ ‘คนหนุ่ม’ ผู้นั้น ก็น่าตกใจมากเกินไป เขามีนามว่าเซี่ยเจิน เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ได้ยึดครองภูเขาซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างขวางมากลูกหนึ่ง ไม่เคยรับใครเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เพียงแค่เลี้ยงเด็กและสาวใช้ที่พรสวรรค์พอใช้ได้เอาไว้ส่วนหนึ่ง ภายหลังเขายกพื้นที่ ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งนั้นส่งต่อไปให้คนอื่น เพียงแค่ใช้ วิชาอภินิหารย้ายจวนเซียนหลังหนึ่งออกไป แล้วจากนั้นก็หายไปจากอาณาเขตของตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป ไม่มีใครได้รับข่าวคราวจากเขาอีก

แล้วก็เป็นเซียนใหญ่ท่านนี้ที่ทำข้อตกลงอย่างลับๆ กับนายท่านของตน

เพียงแต่ปีศาจจิ้งจอกรู้แค่ว่าปีนั้นนายท่านจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลจึงจะวาด บ่อสายฟ้าที่ตัดขาดการไหลเวียนของปราณวิญญาณแห่งหนึ่งไว้รอบชายแดน ของหลายสิบแคว้น ใช้เวทคาถาค้ำฟ้าที่เผาผลาญพลังต้นกำเนิดแท้จริงแห่งชะตาชีวิตจำนวนมากนี้ ก็เพื่อสยบสมบัติประหลาดมีบุญบารมีซึ่งไม่หยุดอยู่กับที่ชิ้นนั้น สุดท้ายเก็บมันมาเป็นของในกระเป๋า

ส่วนเซี่ยเจินผู้นี้ก็กลายเป็นพันธมิตรกับนายท่าน ใช้สองสำนักใหญ่ใน บริเวณใกล้เคียงที่ทางภูเขามอบให้ก่อนหน้ามาเป็นของแลกเปลี่ยน พื้นที่กันดาร หลายสิบแคว้นที่ปราณวิญญาณเบาบางมาโดยตลอดได้กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้าม ของเขา ก็เหมือนกับทะเลสาบขนาดเล็ก…ที่อยู่ตรงหน้าเซี่ยเจินในตอนนี้

ทั้งสองฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ต่างคนต่างวางแผนในระยะยาวของตัวเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไรปีศาจจิ้งจอกก็คิดไม่ถึงว่า นายท่านที่เดิมทีควรปิดด่านฝึกตนอยู่นอกอาณาเขตของหลายสิบแคว้น อยู่ดีๆ จะเปลี่ยนสถานะกลายไปเป็นใต้เท้าราชครูที่เกิดและเติบโตในแคว้นเมิ่งเหลียงแห่งนี้มาตั้งนานแล้ว!

ตามรายงานของสายลับแคว้นอิ๋นผิงในอดีต แน่นอนว่านางต้องเคยได้ยิน เรื่องสถานการณ์ในแคว้นเมิ่งเหลียงมาบ้าง นายท่านน่าจะใช้สถานะของ ‘เด็กหนุ่มอัจฉริยะ’ ที่มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวยากจนของเมืองเล็กๆ แคว้นเมิ่งเหลียง มาสอบติดเป็นจ้วงหยวน มีรายชื่ออยู่บนกระดานทองคำก่อน จากนั้นเมื่อได้เข้าสู่วงการขุนนางอย่างราบรื่นแล้วก็เหมือนมีสวรรค์คอยช่วยเหลือ ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์บทความบทกวี อีกทั้งยังมีความสามารถในการปกครองอีกด้วย สุดท้ายจึงได้กลายเป็นอัครเสนาบดีของหนึ่งแคว้นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นเมิ่งเหลียง อายุแค่สี่สิบปีก็ได้เป็นขุนนางใหญ่ระดับขั้นสูงสุด จากนั้นอยู่ดีๆ ก็ลาออกจากการเป็นขุนนางเก็บตัวอย่างสันโดษ เล่าลือกันว่าได้รับการสืบทอด มรรคกถามาจากเซียน จึงหันหลังให้วงการขุนนาง ปีนั้นตลอดทั้งสำนักก็ไม่รู้ว่า สร้างร่มสดุดีเพื่อเขาด้วยความจริงใจไปตั้งกี่คัน

หลังจากลาออกจากวงการขุนนางไปอยู่ในป่าเขาก็ตั้งใจฝึกตน เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปีก็สามารถฝึกวิชาเซียนได้สำเร็จ ตอนนั้นปีศาจจิ้งจอกยังเห็นเป็นเรื่องตลก คิดว่าเป็นงิ้วฉากหนึ่งที่เอาไว้หลอกผีหลอกเจ้าเท่านั้น ภาพปรากฎการณ์ความเป็นมงคลปรากฎขึ้นในเมืองหลวงและท้องถิ่นของแคว้นเมิ่งเหลียงอย่างไม่ขาดสาย ฮ่องเต้ องค์ใหม่ของแคว้นเมิ่งเหลียงที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานไปเยือนภูเขาเซียน ด้วยตัวเอง เพื่อรับอัครเสนาบดีของราชวงศ์ก่อนกลับเข้ามาในเมืองหลวง

แล้วแต่งตั้งให้เป็นราชครูของแคว้น ตอนที่เขาเป็นขุนนาง บ้านเมืองร่ำรวยชาวบ้านสงบสุข พอกลายเป็นเซียนลมและฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล แคว้นเมิ่งเหลียงกลายเป็นดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่ต่อให้คนทำของหล่นก็ไม่มีใครหยิบฉวยไปเพราะฝีมือของคนผู้นี้ ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักมีฝีมือ ขุนนางในท้องถิ่นก็อยู่ร่วมกับ ชาวประชาอย่างปรองดอง ภายใต้ความช่วยเหลือของคนผู้นี้ ฮ่องเต้ก่อนและหลัง สององค์ล้วนขยันหมั่นเพียรในการปกครองบ้านเมือง แต่กลับไม่เคยเป็นฝ่ายท้าทายแคว้นชายแดนเพื่อเปิดศึกทำสงคราม

ระหว่างที่ถูกผู้ฝึกตนทั้งหลายในเมืองสุยเจี้ยไล่ฆ่า ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้หางขาด ไปสองหาง รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย แต่พอนายท่านปรากฏตัวก็แค่พานาง กับเพื่อนร่วมงานมาที่จวนเจ้าเมืองของเมืองหลวงแคว้นเมิ่งเหลียงแห่งนี้ด้วยกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการตกรางวัลให้พวกนาง นี่ทำให้ปีศาจจิ้งจอกรู้สึกเสียดายยิ่งนัก สูญเสียสถานะของฮองเฮาแคว้นอิ๋นผิงที่สูงศักดิ์นั้นไป ต้องกลับคืนมาเป็นสาวใช้ ตัวเล็กๆ ข้างกายนายท่านอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชินสักเท่าไร

เซี่ยเจินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยินดีกับสหายที่สมใจปรารถนา การก่อพรรคตั้งสำนัก ก็สามารถนับนิ้วรอวันได้แล้ว”

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อเอ่ยตอบเรียบๆ “ข้าย่อมสลายพันธนาการที่เหลืออยู่ของบ่อสายฟ้าสีทองนั้นทิ้งไป ปราณวิญญาณที่อยู่ข้างนอกก็จะค่อยๆ ไหลเข้ามา ภายในระยะเวลาร้อยปีก็จะกลายเป็นช่วงเวลาอันดีที่มีตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากพากันเผยกาย ส่วนพวกเหอลู่เยี่ยนชิงนั้น ตอนนี้อายุยังน้อย อีกทั้งยังเป็นดั่งศาลา ใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน มีหวังว่าจะเป็นโอสถทอง หากในสำนักของสหายมี เซียนดินโอสถทองปรากฏตัวพร้อมกันเจ็ดแปดคน ก็จะเป็นรากฐานที่แน่นหนาในการก่อพรรคตั้งสำนักเหมือนกัน ข้าเองก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย”

เซี่ยเจินพูดปลงอนิจจังด้วยสีหน้าจริงใจ “เทียบกับวิธีและแผนการของสหายแล้ว ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ถึงกับได้สมบัติที่มีบุญบารมีชิ้นนี้มาครอง อีกทั้งยังเป็นเม็ดกระบี่ก่อนกำเนิดชิ้นหนึ่ง บอกตามตรง ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้ถึง หกส่วนที่สหายจะต้องเสียเงินเปล่าแล้ว”

เซี่ยเจินชำเลืองตามองลิงน้อยที่ตรงช่วงท้องมีแสงสว่างเรืองรองออกมาด้วยความรู้สึกเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ตาเฒ่าที่เดิมทีเกือบจะระดับถดถอยไปอยู่ที่โอสถทองผู้นี้กลับสามารถปิดบังชื่อแซ่ ไม่เพียงแต่หนีรอดจากจิตสังหารของกองกำลังฝ่ายต่างๆ ไปได้ ต่อมาเขาก็ยิ่งใจกล้ามาซ่อนตัวอยู่ใต้เปลือกตาของตนเช่นนี้ สุดท้ายยังใช้ สถานะของผู้ที่สร้างความผาสุกให้แก่แว่นแคว้นจนได้รับสมบัติที่มีบุญบารมีชิ้นหนึ่งอย่างสมเหตุผลตามหลักฟ้าดิน แผนการเช่นนี้คู่ควรกับสถานะก่อกำเนิดจริงๆ

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “สหายสามารถสละพื้นที่วิเศษลมน้ำดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง แลกมาด้วยอาณาเขตของหลายสิบแคว้นที่ไม่ว่าใครก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา ถือเป็นการลงทุน ก้อนใหญ่ อีกทั้งยังมีความกล้าหาญอย่างมาก ขอแค่จัดการได้อย่างเหมาะสม ภายในร้อยปีต้องคืนทุน จากนั้นก็ได้กำไรยาวไปอีกพันปีแน่นอน”

คนผู้หนึ่งหวังสมบัติ คนผู้หนึ่งหวังความสามารถ

สองก่อกำเนิดใหญ่ร่วมมือกัน จึงสามารถสร้างสถานการณ์ใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาได้

ผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ทุกคนล้วนปิติยินดี

เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ขอแค่คนใดคนหนึ่งซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่สามารถเลื่อนขอบเขตสู่ห้าขอบเขตบนได้ก่อน สถานการณ์ต่อจากนี้ก็บอก ได้ยากแล้ว หากจะก่อพรรคตั้งสำนักขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครก็ต้องรังเกียจ หากเขตอิทธิพลของตัวเองเล็กเกินไป

หลังจากที่ผู้เฒ่าถอนบ่อสายฟ้านั้นออกไป ปราณวิญญาณจะกรอกเทเข้าสู่ หลายสิบแคว้น เซี่ยเจินจะทนมองดูปราณวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหล่านั้นไหล สะพัดไปทั่ว ไปอยู่บนร่างของพวกมดตัวน้อยที่วันๆ เหมือนฝูงไก่ฝูงหมาที่ตีกันกัดกันมาหลายปีไปอย่างสิ้นเปลืองได้อย่างไร?

พวกเศษสวะกลุ่มใหญ่ที่ฟ่านเหวยหราน เย่หานเป็นผู้นำยังไม่มีปัญญาแย่งชิงสมบัติประหลาดชิ้นนั้นมาจากมือของปีศาจจิ้งจอกและผู้เฒ่าได้ด้วยซ้ำ อันที่จริง เซี่ยเจินไม่ได้มีไฟโทสะสักเท่าไร เพราะปราณวิญญาณเหล่านั้นต่างหากถึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาของตนอย่างแท้จริง อย่างอื่นก็อย่าได้ละโมบเลย ตอนนั้นก่อกำเนิดของทั้งสองฝ่ายลงนามเป็นพันธมิตรกัน นี่ไม่ใช่การละเล่นของเด็ก นอกจากนี้แล้วใต้หล้าจะมีเรื่องดีๆ ที่คนคนเดียวได้ยึดครองผลประโยชน์ทั้งหมดไปได้อย่างไร ในเมื่อสถานการณ์ดีแล้ว อีกทั้งยังมั่นคงแล้ว เจ้าก็หลอมสมบัติที่มีบุญบารมีของเจ้าชิ้นนั้น เสี่ยงอันตรายเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ของเจ้าไป ส่วนข้าที่เขมือบกลืนปราณวิญญาณเหมือนปลาวาฬสูบน้ำก็มีหวังที่จะฝ่าทะลุคอขวดแต่ละชั้น เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ความฉลาดและอุบายเล็กๆ น้อยๆ จำเป็นต้องมี แต่ไม่สามารถอาศัยความฉลาดเล็กน้อยนี้มาประทังชีพไปตลอดชีวิต เป็นเซียนดินก็ควรจะต้องมีวิสัยทัศน์และสภาพจิตใจของเซียนดิน

เซี่ยเจินพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หลังจากทัณฑ์สวรรค์ผ่านไป ข้าไปเยือนเมืองสุยเจี้ยมารอบหนึ่ง แล้วก็ค้นพบเรื่องที่ทำให้ข้าประหลาดใจอย่างมากเรื่องหนึ่ง”

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “เชิญสหายพูดมาได้เลย”

เซี่ยเจินใช้มือสองข้างเท้าไว้บน ‘เข็มขัด’ สีเขียวเส้นนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากข้ามองไม่ผิด กระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนนั้นสะพายไว้ด้านหลังก็คือ อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง! เรื่องการต่อสู้เข่นฆ่า ข้ายังพอมีความสามารถอยู่บ้างเล็กน้อย แต่น่าเสียดายที่เรื่องของการหล่อหลอมนั้น ฝีมือของข้ากลับธรรมดาอย่างยิ่ง บังเอิญกับที่สหายเชี่ยวชาญวิชาการหล่อหลอมพอดี ไม่สู้เจ้าและข้ามาทำสัญญา เป็นพันธมิตรกันดูอีกสักครั้ง?”

ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าส่องประกายแสงเรืองรอง ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็หายวับไป

หากเป็นสมบัติอาคม เขาคงไม่รู้สึกสนใจ ตอนนี้การหล่อหลอมเม็ดกระบี่ ก่อนกำเนิดที่มีบุญบารมีซ่อนแฝงชิ้นนี้จึงจะเป็นต้นทุนในการหยัดยืนบนห้าขอบเขตบนของตนในอนาคต ล่าช้าไปแค่หนึ่งวัน เขายังเจ็บปวดใจด้วยความเสียดายด้วยซ้ำ

แต่หากเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง?

ทว่าเพียงไม่นานผู้เฒ่าก็ดึงความคิดทั้งหลายกลับคืน

วัตถุที่หายากขนาดนี้ เซี่ยเจินผู้นี้เป็นพ่อหรือลูกชายของตนหรืออย่างไร ถึงได้จะนำข่าวมาบอกตนด้วยความหวังดี?

ดังนั้นก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีสถานะเป็นใต้เท้าราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงชั่วคราวผู้นี้จึงโบกมือพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เชิญสหายเอาไปได้ตามสบาย และนี่ก็เป็น โชควาสนาที่สหายสมควรได้รับ ส่วนข้านั้น คงไม่ต้องการแล้ว ก่อนที่จะหลอมวัตถุ ชิ้นนี้ได้สำเร็จ มีข้อต้องห้ามมากมายที่ข้าไม่อาจทำได้ เรื่องยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้าเหล่านี้ คาดว่าสหายเองก็น่าจะรู้ชัดเจนดี ด้วยขอบเขตของสหาย การสังหาร ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งต้องไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน ข้าขออวยพรให้สหายทำสำเร็จ ได้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งมาอยู่ในมือไว้ ณ ที่นี้เลย!”

เซี่ยเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ผู้เฒ่าระมัดระวังตัวขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ หากงับเหยื่อง่ายๆ คงไม่มีทางรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้

บุคคลที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบอย่างพวกเขา เดินทางยามค่ำคืนบ่อยเข้าก็ยังต้องรู้จักกลัวผีสักหน่อย

ถ้อยคำที่เซี่ยเจินจดจำได้ขึ้นใจมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มประโยคนี้ ต่อให้เวลาผ่านมาหลายปีจนนับไม่ถ้วนแล้วเซี่ยเจินก็ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน อาจารย์ ที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าซึ่งตายด้วยน้ำมือของตนในปีนั้น ได้ทิ้งทรัพย์สมบัติก้อนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตไว้ให้แก่เขาเซี่ยเจิน และตอนนั้นตนก็เป็นแค่ขอบเขตสองเท่านั้น เหตุใดถึงสามารถเสี่ยงอันตรายสังหารอาจารย์แย่งชิงทรัพย์สินมาได้? นี่ก็เพราะว่าอาจารย์และศิษย์สองคนไม่ทันระวังเดินไปชนตอเข้า (เปรียบเปรยว่า เจอกับคนที่แข็งแกร่งกว่า)

ดังนั้นช่วงเวลาที่ยาวนานหลังจากนั้น ทุกครั้งที่เซี่ยเจินพบว่าตนเองเปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม ก็จะต้องพลิกค้นเอาถ้อยคำเก่าเก็บประโยคนี้ออกมาท่องในใจเงียบๆ อยู่หลายครั้ง

เซี่ยเจินลุกขึ้นยืนพลางยิ้มกล่าว “สหายไม่จำเป็นต้องไปส่ง”

มือหนึ่งของผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อจับลิงน้อยตัวนั้นเอาไว้ ยังคงลุกขึ้นยืนเพื่อส่งอีกฝ่าย “สหายเองก็วางใจเถอะ ช่วงนี้ข้าจะออกไปจากแคว้นเมิ่งเหลียง”

ร่างของเซี่ยเจินกลายเป็นรุ้งยาวที่จากไปไกล เพียงชั่วพริบตาก็เล็กจ้อยเหมือนเมล็ดงา แหวกทะเลเมฆแถบหนึ่งที่ย้อยลงต่ำมา แล้วจึงทะยานร่างจากไปไกล อย่างเสรี

ราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงท่านนี้แกว่งลิงน้อยที่อยู่ในมือ แหงนหน้ายิ้มกล่าว “ถึงขนาดอดใจไว้ไม่ยอมลงมือ นับว่าลำบากเจ้าเซี่ยเจินผู้นี้แล้ว”

ปีศาจจิ้งจอกและผู้เฒ่าร่างผอมบางที่อยู่ห่างไปไกลยืนรวบมือประสานกัน อย่างนอบน้อม

ปีศาจจิ้งจอกเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง จะปล่อยไปไม่สนใจจริงๆ หรือ? แม้จะบอกว่าหากเป็นเซี่ยเจินที่ได้ไปครองคงมีความหมายไม่มาก แต่ถ้าเป็นนายท่าน…”

ผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บลิงตัวนั้นไปขังไว้ในฟ้าดินขนาดเล็ก

เขาหันหน้ามาเอ่ยว่า “ข้าอยู่ในสถานที่คับแคบอย่างแคว้นเมิ่งเหลียงนี้ การข่าวติดขัด ไม่ได้ว่องไวเหมือนเซี่ยเจิน หากเจ้าอยากได้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นก็ไม่สู้ เจ้าไปช่วยเอามาแทนข้าไหมล่ะ?”

ปีศาจจิ้งจอกไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก อีกทั้งยังไม่กล้าหายใจแรงด้วย

สถานะของตนถูกเย่หานแห่งนครหวงเยว่เปิดโปงแล้ว ไม่ใช่สาวงามผู้สร้างหายนะให้แก่แคว้นอิ๋นผิงอะไรอีก ขอแค่กลับไปที่เมืองสุยเจี้ย ร่องรอยถูกเปิดเผย ก็มีแต่ จะกลายเป็นหนูวิ่งผ่านถนนที่ผู้คนไล่ทุบตี

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อหัวเราะหยัน “ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ยอมแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้เพียงลำพัง คนหนุ่มคนหนึ่งที่กล้าเปิดเผยอาวุธกึ่งเซียน จะเป็นมะพลับนิ่ม (คนอ่อนแอที่ถูกรังแกได้ง่าย) งั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง เซี่ยเจินไม่ไปเอามาเอง แต่กลับมาเปิดเผยความลับสวรรค์ต่อหน้าพวกเราด้วยความปรารถนาดีอย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง หากยอมรับเจ้านายขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้านายที่พวกมันรับใช้ร่างมอดม้วยไปแล้ว หลังจากสูญเสียการควบคุม จะเกิดโศกนาฎกรรมแบบไหน พวกเจ้าน่ะสมกับเป็นกบใต้บ่อจริงๆ ไม่รู้จักหนักเบาหรือผลได้ผลเสียแม้แต่น้อย”

ท่ามกลางทะเลเมฆ เซี่ยเจินไม่กลายร่างเป็นรุ้งยาวทะยานลมอีกต่อไป แต่เอาสองมือไพล่หลังเดินไปอย่างเชื่องช้า

เซี่ยเจินมีสีหน้าจนใจ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในเมื่อมาจากสำนักพีหมา ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าไปมีเรื่องด้วยดีกว่ากระมัง?”

เซี่ยเจินหันกลับไปมองทางเมืองหลวงแคว้นเมิ่งเหลียงแวบหนึ่ง ได้เม็ดกระบี่ ก่อนกำเนิดนั้นไป อีกทั้งกระบี่พกที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนอีกเล่มหนึ่งก็ปรากฏตัวพอดี โชควาสนาที่ถูกกำหนดมาในชะตาชีวิตเช่นนี้ เจ้าจะอดใจได้ไหวจริงๆ หรือ?

ขี้ขลาดแบบนี้จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้อย่างไร? ทำตัวเป็นคนธรรมดาในแคว้น เมิ่งเหลียงมาหลายสิบปีก็ถือว่าขัดเกลาบ่มเพาะจิตใจได้ไม่เลวเลยจริงๆ

เซี่ยเจินยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาพลางเอ่ยชื่อของคนหลายคน สามารถนับได้ ครบหนึ่งฝ่ามือพอดี หากมากกว่านี้จะถ่วงเวลาบนมหามรรคาของตน

ฟ่านเหวยหรานบงการได้ง่าย เย่หานค่อนข้างฉลาด เหอลู่พรสวรรค์ดี เยี่ยนชิง ก็ไม่เลว ส่วนแม่หนูชุ่ยผู้นั้นค่อนข้างจะประหลาดเล็กน้อย

เซี่ยเจินยกฝ่ามืออีกข้างหนึ่งแล้วก็เอ่ยชื่ออีกห้าชื่อ ทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่ อายุยังไม่มาก และขอบเขตก็ยังไม่สูง

เซี่ยเจินสาวเท้าก้าวเดินอยู่บนทะเลเมฆอย่างผ่อนคลาย มองฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วกำหมัดเบาๆ “โอสถทองของคนสิบคน สามารถทัดเทียมกับขอบเขตหยกดิบอย่างข้าได้หรือ? ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าให้หมดเสียดีไหม?”

เพียงแต่ไม่นานเซี่ยเจินก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด ยังไม่รีบ เก็บโอสถทองไว้ห้าคนก็แล้วกัน ใครมีความหวังจะเลื่อนสู่ก่อกำเนิดก็ฆ่าคนนั้น จะได้มีตำแหน่งว่างพอดี”

เซี่ยเจินวางสองมือค้ำสายรัดเอวสีเขียว “ไอ้หมอนี่ร้ายกาจจริงๆ ตอนนั้น ที่ทำสัญญากันยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงต้องยืนกรานให้ข้าสยบโชคชะตาบู๊ของ หลายสิบแคว้นเอาไว้ ไม่อนุญาตให้มีผู้ฝึกตนขอบเขตร่างทองเผยตัวขึ้นอีก ที่แท้ ก็เพื่อลดสงครามและการต่อสู้ของหลายสิบแคว้นให้น้อยลง เขาที่เป็นราชครู เป็นอัครเสนาบดีของแคว้นเมิ่งเหลียงที่เก็บหัวเก็บหางอำพรางตัวตนก็จะสามารถสะสมบุญกุศล ไม่ก่อกรรมเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่นได้อย่างสบายใจ”

เซี่ยเจินยืดแขนบิดขี้เกียจ

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพทัณฑ์สวรรค์คืนนั้นขึ้นมา

อารมณ์ของผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดผู้นี้พลันเคร่งเครียด

หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสิบคนที่มีสถานะคล้ายหลิวจิ่งหลง หยางหนิงซิ่ง? แต่มองดูแล้วไม่เหมือนเลยนี่นา หลังจากลองอนุมานและหยั่งเชิงดู เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับใครสักคน

เซี่ยเจินหยุดเดิน กวาดสายตามองไปรอบด้าน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าเป็นสหายท่านใด? เหตุใดไม่กล้าเผยตัวมาพบหน้ากัน?”

จุดที่เส้นสายตามองไปเห็น อีกฝั่งหนึ่งของทะเลเมฆมีคนผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้ากลับเหมือนลูกคลื่นที่โถมตัวขึ้นสูง จากนั้นก็พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าของเซี่ยเจิน

เซี่ยเจินยืนเฉยไม่ขยับ เอามือตบงูเขียวตรงเอวที่จำแลงร่างเป็นเข็มขัดเบาๆ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยในใจตัวเองว่า “ไม่ต้องสนใจ หากต่อสู้ประชิดตัวกันก็ตรงกับความต้องการของข้าพอดี”

แขกไม่ได้รับเชิญที่เหมือนจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางผู้นั้นมีสีหน้าอิดโรยอย่างถึงที่สุด เมื่อทะเลเมฆที่ตวัดขึ้นสูงเหมือนลูกคลื่นตีกระทบฝั่ง เขาก็พลิ้วกาย ลงพื้นแล้วเดินมาข้างหน้าช้าๆ ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุดคล้ายเป็นการทักทายของ สหายเก่าแก่ที่กลับมาพบกันอีกครั้งหลังแยกจากกันไปนาน “คนอย่างพวกเจ้านี่ ไม่รู้จักทำให้คนเบาใจกันบ้างเลย ทำให้ข้าต้องย้อนกลับมาจากมหาสมุทรอีกรอบ เห็นผู้อาวุโสอย่างข้าเป็นเรือข้ามทวีปหรืออย่างไร? นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ อีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะถูกเฉวียนเอ๋อร์น้อยที่อับอายจนพานเป็นโกรธฟันตายอยู่แล้ว ยังดีๆ โชคดีที่ข้ากับพี่น้องของข้ายังนับว่ามีจิตเชื่อมโยงสื่อถึงกัน ไม่อย่างนั้นก็คงสัมผัส ถึงสถานการณ์ของทางแถบนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังมาช้าไปอยู่ดี มาช้าไปแล้ว

พี่น้องคนนี้ของข้าก็ช่างกระไรเลย ไม่ควรจะตอบแทนสตรีที่มีจิตใจลุ่มหลงต่อเขาแบบนี้ถึงจะถูก เฮ้อ ช่างเถิด หากเขาไม่เป็นอย่างนี้ก็คงไม่ใช่พี่น้องที่ข้านับถือจาก ใจจริงแล้ว อีกอย่างความลุ่มหลงของสตรีผู้นั้นก็…ทำให้คนที่ไร้วาสนาไม่อาจแบกรับไว้ได้ ออกจะเผด็จการเกินไปสักหน่อย จะไปโทษพี่น้องของข้าไม่ได้”

คนผู้นั้นยังพร่ำพูดต่อไม่จบไม่สิ้น “ลมและน้ำของอุตรกุรุทวีปพวกเจ้าเหมือนมีความแค้นกับข้าอย่างนั้นแหละ จะให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตกินเที่ยวรอความตายดีๆ ไม่ได้เลยหรือ? ปีนั้นข้าที่อยู่ที่นี่ทำดีกับคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง จะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนมีชื่อเสียงอันดี เป็นเด็กดีว่าง่ายเหมือนลูกเขยในอุดมคติของอุตรกุรุทวีป พวกเจ้าเลยนะ พวกเจ้าไม่ควรจะเอาข้ามาฆ่าเวลาแบบนี้ถึงจะถูก…”

ปากไร้หูรูดพูดจาส่งเดชไปเรื่อยเปื่อย

เซี่ยเจินรับฟังด้วยความมึนงง แต่กลับไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก

คนผู้หนึ่งที่บรรลุมรรคาแล้ว ไหนเลยจะเปิดเผยเบาะแสของตนเองจากถ้อยคำ ที่พูด อีกทั้งยังพูดภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปได้คล่องปากขนาดนี้ แล้วเจ้ายังจะมาบอกข้าว่าตัวเองเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางไกลข้ามทวีปอะไรอีกหรือ?

คนตรงหน้าผู้นี้หน้าตาไม่คุ้นเคย น่าจะไม่ได้ใช้เวทอำพรางตาอะไร เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตเซียนเหริน ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าเป็นขอบเขตหยกดิบ เมื่ออยู่ตรงหน้าข้า ไม่ว่าเวทอำพรางตาอะไรก็ใช้ไม่ได้ผล

ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของคนผู้นั้นค่อยๆ สลายหายไป

ขอบเขตไม่ต่ำ แต่กลับชอบโอ้อวดลูกไม้ชั้นต่ำพวกนี้

เซี่ยเจินไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับกันยังเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้าอีก หลายก้าว ยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายชื่ออะไร?”

คนผู้นั้นลังเลไปเล็กน้อย ถอยหลังสองก้าว แล้วถึงเอ่ยตอบ “ชื่อเล่นโจวเฝย ชื่อจริง…คงไม่บอกแล้วล่ะ ข้ากลัวว่าในบ้านหรือในสำนักของเจ้าจะมีสตรีอยู่”

พูดอะไรเลื่อนเปื้อนไร้แก่นสาร

เซี่ยเจินยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายอยู่ดังเดิม “ไม่ทราบว่าสหายมาขวางทางไป ของข้าด้วยเรื่องใด?”

บุรุษที่เรียกตัวเองว่าโจวเฟยมีเนื้อหนังมังสาที่งดงามอย่างแท้จริง อยู่บนทะเลเมฆแห่งนี้ก็ราวกับต้นไม้หยกที่ยืนตระหง่านรับลม

เขาพูดหน้าม่อยว่า “ถือว่าข้าขอร้องพวกเจ้า ได้ไหม ได้หรือไม่ นายท่านใหญ่อย่างพวกเจ้าช่วยอยู่กันอย่างสงบสักหน่อยเถอะ ขอให้ข้าได้กลับไปแจกันสมบัติทวีปดีๆ ได้ไหม? หืม?!”

เซี่ยเจินถอนหายใจ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการขออภัย “หากสหายยังมัว เล่นทายปริศนาธรรม พูดจาเหลวไหลไร้ต้นสายปลายเหตุอยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เล่น เป็นเพื่อนเจ้าแล้วนะ”

บุรุษนามโจวเฟยที่เห็นได้ชัดว่าเป็นนามแฝงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “ข้าพูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้แล้ว เจ้ายังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ? มารดาข้า ข้าไม่ได้จะตำหนิ พวกเจ้าหรอกนะ หากไม่เป็นเพราะอาศัยขอบเขตก่อกำเนิด พวกเจ้าก็คู่ควรที่จะมาเล่นกลอุบายกับพี่น้องของข้าคนนั้นด้วยหรือ?”

คราวนี้ในที่สุดเซี่ยเจินก็เข้าใจอย่างกระจ่างชัดแล้ว

คงคิดจะมาทวงศักดิ์ศรีคืนให้เซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นสินะ?

เซี่ยเจินกวาดตามองไปรอบด้าน จุ๊ปากเอ่ยว่า “แค่เจ้าคนเดียวใช่ไหม? เคยได้ยินประโยคหนึ่งที่บอกว่า ในระยะสิบจั้ง ข้าเซี่ยเจินสามารถสังหารก่อกำเนิดหรือไม่?”

แล้วก็เห็นว่าคนผู้นั้นขยับสองขาแนบชิดติดกัน กระโดดผลุงเข้ามาในระยะห้าจั้งโดยตรงราวกับรนหาที่ตายอย่างไรอย่างนั้น “เอาล่ะ ตอนนี้ให้ข้าเจียงซ่างเจินช่วยเปิดสติปัญญาแก่เจ้าสักหน่อย”

จิตใจของเซี่ยเจินเกือบจะแหลกสลายคาที่

คนของอุตรกุรุทวีปสายตามองสูงไม่เห็นหัวใครมาโดยตลอด โดยเฉพาะ ผู้ฝึกกระบี่ที่ยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ก็รู้สึกว่าทุกทวีปล้วนมีแต่เศษสวะ ขอบเขตเศษสวะ สมบัติอาคมเศษสวะ ชาติตระกูลก็มีแต่เศษสวะ ไม่มีค่าพอให้พูดถึงแม้แต่น้อย

แต่ก็มีพวกตัวประหลาดคนต่างถิ่นที่มาจากทวีปอื่นอยู่หลายคนที่ทำให้อุตรกุรุทวีป ‘มิอาจลืมเลือน’ ได้ ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นฝ่ายคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของพวกเขาหลังจากพวกเขากลับไปถึงทวีปของตัวเองแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น…เจียงซ่างเจินแห่งใบถงทวีปที่…ทั้งภาคกลางและภาคเหนือต่างก็มีเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต้องสังหารเขากับมือให้จงได้!

ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น

คราวนี้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้นั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านล่างบัลลังก์มังกร แต่ยืนอยู่ระหว่างสองฝ่าย เอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้กระบี่บินส่งข่าวมาบอกว่า คนผู้นั้นกำลัง ขี่กระบี่ตรงมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋นของข้า”

นอกจากฟ่านเหวยหรานที่หัวเราะหยันไม่หยุด เย่หานที่สุขุมมั่นคงดุจขุนเขา คู่กุมารทองกุมารีหยกที่ตกตะลึงแค่เพียงเล็กน้อยแล้ว คนที่เหลือของทั้งสองฝ่ายต่างก็แตกตื่นส่งเสียงฮือฮาดังระงม

สีหน้าของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่เป็นมิตรนัก “เย่หาน ท่านเจ้าเมืองใหญ่เย่ของข้า ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนบอกว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นี้บาดเจ็บสาหัส แล้วจะต้องถูกพวกเราใช้มีดทื่อแร่เนื้อ ค่อยๆ ทรมานเขาจนตาย? นี่พวกเราเพิ่งจะวางแผนกันเสร็จ คนเขาก็บุกมาฆ่าถึงรังเก่าในทะเลสาบชางอวิ๋นของข้าแล้ว ต่อจากนี้จะเอาอย่างไรต่อ? ทุกคนหนีกระเจิงกันไปคนละทิศทาง รอให้ถูกโจมตีกันไปทีละคน หรือจะรออยู่ที่นี่ นวดเข่าเตรียมรอไว้ก่อน อีกเดี๋ยวพออีกฝ่ายมาถึงจะได้ลงไปคุกเข่าโขกหัวให้เขาได้สะดวกหน่อย?”

เหอลู่สีหน้าสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ ในมือถือขลุ่ยไม้ไผ่ ลุกขึ้นยืน “ค่ายกลหนึ่ง วางไว้นอกเมืองสุยเจี้ย อีกค่ายกลหนึ่งวางไว้ที่ทะเลสาบชางอวิ๋น บวกกับตัวของ วังมังกรของเจ้าแห่งทะเลสาบเองก็มีค่ายกลภูเขาแม่น้ำพิทักษ์คุ้มครองอยู่ ข้ารู้สึกว่าพอจะเปิดประตูบานใหญ่ปล่อยให้เขาเข้ามาในค่ายกลได้ พวกเราสามฝ่ายร่วมมือกัน มีเจ้านครของพวกเรา มีบรรพจารย์ฟ่านอยู่ บวกกับค่ายกลสองแห่งและผู้ฝึกตน ร้อยกว่าคนเต็มห้องโถงแห่งนี้ จะอย่างไรก็น่าจะมีศักยภาพทัดเทียมกับเซียนคนหนึ่งอยู่กระมัง? หากคนผู้นี้ไม่มา ดีแต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในเมืองสุยเจี้ย พวกเรา ยังต้องสิ้นเปลืองเหยื่อล่อเขาออกมา เป็นการทำลายความปรองดองของทุกฝ่าย ในเมื่อเขามาแล้ว จะไม่ยิ่งดีกว่าเดิมหรอกหรือ?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบกล่าวอย่างเดือดดาล “เซียนซือน้อยเหอก็พูดง่ายน่ะสิ! ทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้คือกิจการที่ข้าสืบทอดมานานเป็นพันปี พวกเจ้าอย่างมากสุดก็แค่เสียเงินเทพเซียนที่ใช้สร้างค่ายกลยันต์แห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นตีกันจนฟ้ามืดดินสลัว ศพนอนเกลื่อนพื้น วังมังกรล้มครืน สุดท้ายต่อให้เอาชนะมาได้อย่างหวุดหวิด สังหารเจ้าตัวการชั่วร้ายผู้นั้นได้ แต่หากยังอิงตามการแบ่งทรัพย์สมบัติที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ข้าต้องเสียวังมังกรทั้งแห่งไปเปล่าๆ ถึงเวลานั้นจะไม่ต้องร้องไห้จนตายหรอกหรือ?”

เหอลู่ยิ้มกว้างอย่างสดใส “ทะเลสาบชางอวิ๋นสองส่วน ดินแดนเซียนเป่าต้งสี่ส่วน นครหวงเยว่ของพวกเราสี่ส่วน นี่คือการแบ่งสรรที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ตอนนี้ นครหวงเยว่ของพวกเราสามารถแบ่งส่วนหนึ่งมาชดเชยให้เจ้าแห่งทะเลสาบได้ นอกจากนี้ยังคงอิงตามกฎเดิม นั่นคือหากใครหมายตาในสมบัติอาคมชิ้นใดแล้วคิดว่าต้องได้มาครอบครอง ทั้งสามฝ่ายก็จะช่วยกันคิดราคายุติธรรมที่ทุกคนต่างให้ การยอมรับ แล้วหักเป็นเงินเกล็ดหิมะหรือเงินร้อนน้อย แล้วค่อยเพิ่มราคาให้ อีกหน่อย ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณที่อีกสองฝ่ายตัดใจยกของรักให้”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เหอลู่ก็มองไปฝั่งตรงข้าม เส้นสายตากวาดผ่านไปบนร่าง ของสตรีที่ตัวเองใฝ่หาแม้ในยามหลับฝัน แล้วถึงหันไปยิ้มพูดกับหญิงชราว่า “บรรพจารย์ฟ่านว่าอย่างไร?”

หญิงชราที่เดิมทีมองดูเหมือนกำลังงีบคลี่ยิ้ม “ได้สิ ดินแดนเซียนเป่าต้งของ พวกเราก็ยินดีเอาผลเก็บเกี่ยวส่วนหนึ่งมามอบให้เป็นการขอบคุณวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมองไปทางเย่หาน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเบาๆ

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบถึงได้พอใจ

เหอลู่ไม่เอ่ยอะไรอีก

คนทั้งหมดที่อยู่ในวังกรทะเลสาบชางอวิ๋นมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียนด้วยจิตวิญญาณที่แกว่งไกว รู้สึกเลื่อมใสเป็นกำลัง

หากไม่เป็นเพราะเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกหลานของเย่หานแห่งนครหวงเยว่ อีกทั้งตำแหน่งเจ้าเมืองของนครหวงเยว่ก็ไม่อาจยกให้กับคนต่างแซ่เป็นผู้สืบทอด ไม่อย่างนั้นบุตรชายสองคนของเย่หานที่เป็นดั่งเศษสวะจะมาแก่งแย่งกับเหอลู่ได้อย่างไร?

ทางฝั่งประตูห้องข้างของตำหนักหลักห้อยแขวนม่านไข่มุกแวววาวละลานตาเอาไว้ มีสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งเลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้น มองมาทางเด็กหนุ่ม หล่อเหลาที่กำลังพูดคุยแย้มยิ้มคนนั้น

ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีเด็กหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่

ต่อให้เอาบัณฑิตยากจน ลูกหลานผู้มีอิทธิพลที่เนื้อหนังมังสาพอไปวัดไปวาได้ก่อนหน้านี้มารวมกัน ก็ยังไม่อาจเทียบกับเหอหลาง (หลางเป็นคำเรียกแทนตัวบุรุษ หรือเป็นคำที่สตรีใช้เรียกแทนตัวคนรัก) แห่งนครหวงเยว่ผู้นี้ได้ อย่างกับบุรุษรูปงาม ที่เดินออกมาจากบทประพันธ์หรือเกร็ดพงศาวดารอย่างไรอย่างนั้น คือเจ๋อเซียน ตัวเป็นๆ ที่มายืนอยู่เบื้องหน้าตนจริงๆ

เรือนผีเมืองสุยเจี้ย

ตู้อวี๋อุ้มเด็กที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในห่อผ้าด้วยความจนใจ

จากนั้นตู้อวี๋ก็พลันหันขวับ เห็นว่าตรงนั้นมีบุรุษร่างสูงเพรียวหน้าตาคมคาย คนหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา พอสองเท้าเหยียบลงบนพื้น ก็ทำท่ายกมือ กดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน

ตู้อวี๋ลุกพรวดขึ้นยืน ตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวผฉกาจ ชำเลืองตามอง กาเหล้าสีชาดที่อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ แต่กลับไม่มีกระบี่บินเล่มใดบินออกมา

ตู้อวี๋รู้สึกสิ้นหวังแล้ว

มือกำแกนลูกท้อที่ผู้อาวุโสมอบให้ก่อนจากไปไว้แน่น

คนผู้นั้นยกสองมือขึ้น ยิ้มกล่าว “อย่าเพิ่งตื่นเต้นๆ ข้าชื่อโจวเฝย ข้ากับเฉิน… คนดี ตอนนี้เขาใช้ชื่อนี้กระมัง? สรุปก็คือข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา นิสัยใจคอเข้ากันได้ดี แล้วก็เพราะเห็นว่าที่นี่เกิดความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครม แม้ข้า จะตบะไม่สูง แต่พี่น้องประสบภัย ข้าจึงมีหน้าที่ที่มิอาจปฏิเสธได้

ก็เลยรีบมาที่นี่เพื่อดูว่ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ ยังดีที่เรือนแห่งนี้หาได้ง่าย พี่น้องคนนั้นของข้าอยู่ไหนล่ะ แล้วเจ้าน่ะเป็นใคร?”

ตู้อวี๋ไม่เชื่อแม้แต่น้อย

คนผู้นั้นชี้ไปยังกาเหล้าที่อยู่บนเก้าอี้ “ในนั้นมีกระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งออกไปแล้ว อีกเล่มหนึ่งอยู่เพื่อคอยปกป้องเจ้า หากไม่รู้จักข้า มันจะไม่ยอมเผยตัวออกมาช่วยเจ้าแบบนี้หรือ?”

ตู้อวี๋เชื่อเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น

คนผู้นั้นชำเลืองตามองมือตู้อวี๋ “เอาล่ะ แกนท้อชิ้นนั้นไร้ศัตรูทัดทานอย่างยิ่ง เทียบเท่ากับการโจมตีของเซียนดิน ถูกไหม? เอาไปขว้างใส่คนชั่วน่ะได้ แต่อย่าเอามาขู่พี่น้องกันเองเลย เรือนกายของข้าบอบบางยิ่งกว่าหนังหน้าเสียอีก อย่ากลายเป็นว่าไม่ทันระวังทำให้ข้าต้องตายเสียล่ะ เจ้าชื่ออะไร? มองดูแล้วเจ้าเองก็หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียว แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน มิน่าเล่าพี่น้องของข้าถึงได้วางใจให้เจ้าช่วยเฝ้าบ้าน…เอ๊ะ? นั่นมันอะไรกัน ไม่ได้เจอกันแค่ ไม่กี่วัน พี่น้องคนนั้นของข้ามีลูกแล้วอย่างนั้นหรือ?! ร้ายกาจจริง คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ชวนให้คนโมโหตายได้เลย”

ตู้อวี๋รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มแข็งทื่อนิดๆ แล้ว มารดามันเถอะ เหตุใดได้ยินคำพูดที่เรื่อยเปื่อยไร้แก่นสารของคนผู้นี้แล้วกลับดันรู้สึกว่ามีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์เสียได้? ฟังดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนบนมรรคาของผู้อาวุโสจริงๆ นะเนี่ย?

คนผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาหยุดตรงหน้าตู้อวี๋ ความคิดของตู้อวี๋ตีกันอยู่พักใหญ่ นอกจากจะกำแกนท้อในมือไว้แน่นแล้วก็ไม่ได้มีการกระทำอย่างอื่นอีก

คนผู้นั้นก็รู้อะไรควรไม่ควร เขายกม้านั่งของตู้อวี๋มาวางตรงตำแหน่งที่ห่างออกมาเล็กน้อย แล้วนั่งแปะลงไป

ตู้อวี๋นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง พูดเสียงทุ้มหนัก “ข้าชื่อตู้อวี๋ เป็นผู้ฝึกตนของตำหนักขวานผี ผู้อาวุโสบอกให้ข้าช่วยดูแลเด็กคนนี้แทนชั่วคราว”

คนที่ชื่อโจวเฝยผู้นั้นยกนิ้วโป้งให้ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ตำหนักขวานผี ชื่อเสียงโด่งดัง ข้าเลื่อมใสมานานแล้ว!”

ตู้อวี๋ถาม “เจ้าเป็นเพื่อนของผู้อาวุโสจริงๆ หรือ?”

โจวเฝยยิ้มกล่าว “จริงแท้แน่นอน หากเป็นของปลอมยินดีคืนเงิน”

ตู้อวี๋หรือจะกล้าเชื่อทั้งหมด

โจวเฝยผู้นั้นยิ้มกล่าว “พี่น้องคนนั้นของข้าค่อนข้างชอบ..ใช้เหตุผล ทำตามกฎเกณฑ์ ใช่ไหม? อีกทั้งหลักการเหตุผลและกฎเกณฑ์พวกนี้ของเขา แรกเริ่มเจ้าต้องไม่ค่อยเห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไร รู้สึกว่ามันแปลกประหลาด ถูกไหม?”

ตู้อวี๋รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ร่างทั้งร่างที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงโดยพลัน

ตู้อวี๋ถามอย่างสงสัย “เจ้าเคยได้ยินชื่อตำหนักขวานผีของพวกเราจริงๆ หรือ?”

โจวเฝยพยักหน้ารับ “ก็เจ้าเพิ่งจะแนะนำตัวไปไม่ใช่หรือ? มียอดฝีมืออย่างเจ้าช่วยเฝ้าพิทักษ์ที่นี่ ใจข้ารู้สึกเลื่อมใสได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่ใช่เรื่องปกติหรือไร?”

ตู้อวี๋ยิ้มเฝื่อน “ในเมื่อเจ้าคือสหายของผู้อาวุโส ก็แสดงว่าต้องเป็นยอดฝีมือนอกโลก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหัวเราะเยาะข้าตู้อวี๋เลย ข้าจะเป็นยอดฝีมือได้อย่างไร”

แต่คนผู้นั้นกลับกล่าวว่า “อย่างเจ้ายังไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมืออีกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้อาวุโสที่เจ้าเรียก พี่น้องที่สนิทสนมของข้าคนนั้น แทบไม่เคยเชื่อใจคนนอกเลย? อืม คำว่านอกนี้ ไม่แน่ว่าอาจตัดทิ้งไปได้เลย ต้องบอกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจตัวเองสักเท่าไรถึงจะถูก ดังนั้นตู้อวี๋ ข้าประหลาดใจจริงๆ ว่าเจ้าทำอะไรไว้ หรือ พูดอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้เขามองเจ้าไม่เหมือนกับคนอื่นเช่นนี้”

ตู้อวี๋ส่ายหน้า “ก็แค่ทำเรื่องเล็กๆ บางอย่างเท่านั้น เพียงแต่ท่านผู้อาวุโส มองการณ์ไกลไปเป็นพันลี้ คาดว่าคงเห็นข้อดีที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังสัมผัสไม่ถึง”

คนผู้นั้นอึ้งตะลึงไปนาน เงียบไปพักใหญ่ถึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “มารดามันเถอะ เด็กน้อยอย่างเจ้าคือศัตรูคู่อาฆาตของข้าบนมหามรรคาอย่างนั้นหรือ?”

แต่ไม่นานคนผู้นั้นก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด จะคิดเสียว่าเจ้าคือเด็กรุ่นหลังที่เป็น คนบนเส้นทางเดียวกับข้าไปก่อนแล้วกัน”

จากนั้นคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่รู้ว่าทำอย่างไรเขาถึงมายืนอยู่ด้านหน้าตู้อวี๋ได้ในชั่วพริบตา แล้วจึงเลิกมุมหนึ่งของห่อผ้าออก จากนั้นนับนิ้วคำนวณ ก่อนจะพยักหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง “ผลกรรมเล็กๆ เอาไปด้วยก็ไม่เป็นไร จะได้ช่วยเขาลดทอนปัญหายุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ไหนเลยจะมีหลักการที่ จอมยุทธพเนจรพกพาเอาเด็กกำพร้าคนหนึ่งท่องเที่ยวไปสี่ทิศ แบบนั้นจะทำให้ เหล่าเทพธิดาเบิกบานใจได้อย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว เด็กคนนี้พอจะถือว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกตนอยู่บ้าง หมื่นเรื่องไม่กลัว กลัวแต่ว่า จะมีเงินนี่นะ เด็กน้อย ถือว่าชาติก่อนเจ้าทำบุญมามาก ถึงได้มาเจอกับพวกเรา สองพี่น้อง”

โดยไม่ทันรู้ตัว มือสองข้างของตู้อวี๋ก็เบาโหวง เด็กถูกโจวเฝยพาตัวไปแล้ว

ตู้อวี๋สะดุ้งโหยง เตรียมจะต่อสู้แลกชีวิตกับคนผู้นี้

ความเป็นความตาย เกียรติยศรุ่งโรจน์ตลอดชั่วชีวิตของเขาตู้อวี๋ รวมไปถึง ความปลอดภัยของพ่อแม่และสำนัก คงต้องมอบไว้ที่ลานบ้านเล็กๆ แห่งนี้แล้ว

คนผู้นั้นกลับยิ้มเอ่ย “เอาล่ะ เดี๋ยวเจ้าก็บอกกับพี่น้องคนนั้นของข้าด้วยแล้วกัน บอกว่าเด็กน้อยคนนี้ ข้าโจวเฟยจะพาตัวไปไว้ที่แจกันสมบัติทวีปก่อน ให้เขาท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่”

ตู้อวี๋ขอบตาแดงก่ำ จะเข้าไปแย่งตัวเด็กมา ไหนเลยจะมีเหตุผลให้เจ้าพูดว่า จะเอาไปก็เอาไปเช่นนี้!

คนผู้นั้นยืนนิ้วข้างหนึ่งมากักตัวตู้อวี๋ให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาขยิบตาเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินชื่อตำหนักขวานผีแล้ว แล้วเจ้าเคยได้ยินชื่อเจียงซ่างเจินหรือไม่? เจียงจากเซิงเจียงที่แปลว่าขิง ซ่างจากฉงซ่างที่แปลว่าเลื่อมใส และเจินจากเจินเจี่ย ที่แปลว่าจริงเท็จ”

ตู้อวี๋เกือบจะถูกอีกฝ่ายปั่นหัวได้แล้ว เขาทั้งรู้สึกตกตะลึงและรู้สึกเดือดดาลในคราวเดียวกัน หลังจากคืนสติก็คำรามขึ้นว่า “ข้าคือท่านปู่ของเจ้าเจียงซ่างเจิน! คืนเด็กมาให้ข้า!”

คนผู้นั้นยื่นฝ่ามือมาปิดผ้าอ้อมเบาๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กน้อยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดัง จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้น “สมกับเป็นชายชาตรี เทียบกับเซี่ยเจินที่สู้เก่งแล้ว ยังหนีเก่ง พอจะมีมาดของข้าในปีนั้นได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ยังนับว่าร้ายกาจยิ่งกว่า พี่น้องของข้าให้เจ้าช่วยเฝ้าเรือน ถือว่าตาเขามีแววจริงๆ”

ตู้อวี๋ไม่เคยได้ยินชื่อเจียงซ่างเจินอะไรนี่มาก่อนจริงๆ

แต่ต่อมาเจียงซ่างเจินก็ทำให้เขาได้เปิดโลกกว้าง อีกฝ่ายหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง หยิบเอาเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่เป็นสีทองเม็ดหนึ่งออกมา แล้วโยนให้ตู้อวี๋เบาๆ มันก็มาวางอยู่บนศีรษะของตู้อวี๋โดยที่ไม่กระเด้งกระดอนได้อย่างพอดิบพอดี “ในเมื่อเป็นยอดฝีมือสำนักการทหารคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็มอบเสื้อเกราะจินอู ที่สอดคล้องกับสถานะของยอดฝีมือให้เจ้าหนึ่งชิ้น”

และท่ามกลางอาการปากอ้าตาค้างของตู้อวี๋ คนผู้นั้นก็ใช้สายตาเวทนามองเขา “ตำหนักขวานผีของพวกเจ้าต้องไม่มีเทพธิดาที่หน้าตาดีแน่นอน ข้าไม่ได้พูดผิด ใช่ไหม?”

หัวสมองของตู้อวี๋ว่างเปล่าขาวโพลน

เพราะคนผู้นั้นหายตัวไปทั้งอย่างนั้น

เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นหนึ่งครั้ง ร่างของตู้อวี๋ก็ส่ายโงนเงน มือเท้ากลับคืนมาเป็นปกติ

เขาเอามือไปคว้าจับเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารสีทองเม็ดนั้น ค่อนข้างจะหนัก

นี่คืออะไรกัน

ตู้อวี๋รู้สึกเหมือนฝันไป

เพราะถึงอย่างไรโชคและเคราะห์ก็ยากจะคาดเดา ต่อให้ในมือถือสมบัติหนักเอาไว้ แต่เขาก็ยังกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้

ทางฝั่งของวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเป็นคนแรก ที่ตกใจจนหน้าเผือดสี “แย่แล้ว!”

เย่หานและฟ่านเหวยหรานหันมามองหน้ากัน

จากนั้นถึงเป็นเยี่ยนชิงที่พลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูใหญ่

เหอลู่ที่มองนางด้วยรอยยิ้มตลอดเวลามองตามสายตาของเยี่ยนชิงไป ถึงได้หันไปเห็นด้านนอกประตูใหญ่

อันดับแรกก็เป็นตลอดทั้งวังมังกรที่เริ่มส่ายไหวอย่างรุนแรง

จากนั้นชุดขาวขี่กระบี่ก็ทะยานมาถึง เห็นเพียงว่ามือข้างหนึ่งของเขาถือฝักกระบี่ พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็เดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูของวังมังกรเข้ามา กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝักด้วยตัวเอง

สุดท้ายถึงได้เป็นเสียงที่ราวกับฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิซึ่งดังตามหลังมาเป็นระลอก คนผู้นี้ถึงขั้นสามารถสลัดเสียงนั้นไว้ด้านหลังห่างไปไกล

ใบหน้าของเซียนกระบี่ชุดขาวมีรอยยิ้มประดับ ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง มือจับด้ามกระบี่แล้วผลักไปด้านหน้าเบาๆ เหวี่ยงกระบี่ยาวให้ออกมาจากฝัก พลิกมือหมุนหนึ่งครั้ง ปลายกระบี่ก็ปักตรึงลงไปบนพื้นดินของวังมังกร ตัวกระบี่เอนเอียง ปักคาอยู่บนพื้นดินอย่างนั้น

ในขณะที่คนผู้นั้นยืนนิ่งได้อย่างสง่างาม ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวโพลนเหมือนหิมะสองข้างยังคงโบกไสว เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายไปยังกระบี่ที่อยู่บนพื้น ทุกคนได้ยินเพียงว่าเขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เชิญทุกท่านดึงไปได้ตามสบาย”

แต่ประโยคถัดมากลับทำให้จิตใจคนหนาวเยือกได้ยิ่งกว่าประโยคแรก “หากดึงกระบี่ไปไม่สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็ทิ้งหัวเอาไว้”

ทว่าประโยคที่สามกลับทำให้เส้นเอ็นที่ขึงตึงในใจของทุกคนคลายตัวลงได้เล็กน้อย

นอกจากเด็กหนุ่มบางคนที่สวมเสื้อขาวเหมือนกันอย่าง เหอลู่

“เหอลู่มาก่อน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!