Skip to content

Sword of Coming 508

บทที่ 508 ประหนึ่งองค์เทพประทับบัลลังก์สูง

เหอลู่สีหน้าเขียวคล้ำ

ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งที่มีหญิงชราฟ่านเหวยหรานเป็นผู้นำ รวมไปถึง ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่พึ่งพาพวกเขาต่างก็มีสีหน้าซับซ้อน

ตามหลักแล้วนี่คือเรื่องสนุกที่ยากจะได้เห็น อีกทั้งยังเป็นเรื่องครึกครื้นที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่กลัวก็แต่ว่าดูเรื่องสนุกเสร็จแล้ว ตัวเองจะต้องกลายเป็นที่ขบขันของ คนอื่นไปด้วย

ส่วนผู้ฝึกลมปราณทางฝั่งของเย่หานแห่งนครหวงเยว่กลับมองดูเหมือนจะ โกรธแค้นแทนเหอลู่ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าออกเสียง ไม่มีสักคนเดียว

ในใจของผู้ฝึกตนทั้งสองกลุ่มเคียดแค้นทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างถึงที่สุด ค่ายกลใหญ่แห่งวังมังกรกับผายลมสุนัขอะไรถึงได้เหมือนก้อนเต้าหู้ถูกมีดหั่น เหมือนดินโคลนถูกกระบี่ฟันอย่างนี้?!

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขายืนอยู่ที่เดิม หลุบตาลงต่ำ เอาแต่มองพื้นอย่างเดียว

นี่เป็นท่าทีที่ค่อนข้างจะน่าขบคิดแล้ว คนมีเงินหากถูกใครมาทุบกำแพงดินเหลืองของบ้านตัวเองแตกยังต้องตวาดด่าสักสองสามคำ แต่นี่ค่ายกลใหญ่วังมังกรที่เป็น บ้านตนถูกคนผ่าทำลายบุกเข้ามาอย่างนี้ สิ่งที่สูญเสียไปคือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ ทว่าเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม? ไหนบอกว่าทะเลสาบชางอวิ๋นคือมือวางอันดับหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิงอย่างไรเล่า? ภายในหนึ่งแคว้น ไม่ว่าจะเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาที่อยู่บนภูเขา หรือแม่ทัพอัครเสนาบดีที่อยู่ด้านล่างภูเขา ก็ล้วนเคารพนับถือทะเลสาบชางอวิ๋นอย่างถึงที่สุด ต่อให้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น จะสวมชุดคลุมมังกรของจักรพรรดิอย่างเกินสถานะตัวเองก็ยังไม่เคยมีใครกล้า คิดเล็กคิดน้อยกับเขา

กลับกลายเป็นว่ายิ่งเป็นคนขอบเขตต่ำก็ยิ่งใจร้อนวู่วาม ใช่ว่าจะไม่มีใครอยาก ยืดอกเดินออกมาตวาดสั่งสอนเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่กลางวงล้อมสักคำสองคำ เดิมที ผู้ฝึกตนตัวเล็กตัวน้อยยังอยากจะเป็นผู้นำช่วยออกหน้า เพราะหวังว่าจะได้ผูกสัมพันธ์ควันธูปกับเซียนซือน้อยเหอโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง เพียงแต่ว่าไม่รอให้พวกเขา ส่งเสียงก็ถูกพวกผู้ฝึกตนนิสัยสุขุมหนักแน่น ผู้อาวุโสในสำนัก หรือไม่ก็สหาย บนเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ข้างกายพากันใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในใจบอกเตือน ที่ต้องทำแบบนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพราะกลัวว่าหากหวังดีออกเสียงเตือนผู้อื่น จะต้องถูกพวกคนบุ่มบ่ามข้างกายพาให้ซวยไปด้วย วิชากระบี่ของเซียนกระบี่ ท่านหนึ่ง ในเมื่อแม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ยังต้านรับไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นแค่แสงกระบี่ของเขาเปล่งวาบง่ายๆ สักครั้ง ไม่ทันระวังฆ่าผิดไปทีละหลายคน ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

มุมปากของฟ่านเหวยหรานไม่เหลือรอยยิ้มเย็นชาอีกต่อไป สีหน้ามองดูแล้วค่อนข้างทึ่มทื่อด้วยซ้ำ

เย่หานเจ้าแห่งนครหวงเยว่หันหน้ามามองเซียนกระบี่ชุดขาวที่ฟันกระบี่ครั้งเดียวก็ทำลายค่ายกลใหญ่ได้ติดกันถึงสองค่ายกล แล้วถามว่า “เซียนกระบี่จะต้องดึงดัน ไม่ยอมเลิกรา ต้องให้ปลาตายตาข่ายขาดถึงจะยอมหยุดมืออย่างนั้นหรือ?”

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นเพียงแค่โยนฝักกระบี่ในมือไปบนพื้นง่ายๆ ฝักกระบี่ ก็เสียบลงไปใต้ดิน เขาหยิบเอาพัดพับที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมา ทั้งไม่มองเย่หาน แล้วก็ไม่มองเหอลู่ เพียงใช้พัดพับตบฝ่ามือของตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดมองไปเรื่อย เริ่มจากผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางฝั่งขวามือ ไล่มองไปจากตำแหน่งที่นั่งด้านบนขยับมาถึงที่นั่งด้านล่างที่ติดกับประตูตำหนักใหญ่ของวังมังกร “ได้ยินมาว่ามีเซียนซือจากยอดเขาเมิ่งเหลียงท่านหนึ่งที่ความคิดอัศจรรย์อย่างยิ่ง ถึงขนาดจ้างให้ปรมาจารย์ในยุทธภพคนหนึ่งไปนั่งกินขี้ในถังอาจม ใครกัน ลุกขึ้นมาให้ข้าชื่นชมหน่อยสิ หากคร้านจะลุกขึ้นยืน แค่ยกมือก็ได้”

ทางฝั่งของดินแดนเซียนเป่าต้ง ชายหญิงสะพายกระบี่อายุน้อยคู่หนึ่งหันมองหน้ากันเอง

เซียนกระบี่ท่านนี้ไม่ใช่ว่าคือบุรุษชุดเขียวสวมงอบที่นั่งกินโจ๊กอยู่ในร้านข้างทางนอกเมืองสุยเจี้ยยามเช้าตรู่ของวันนั้นหรอกหรือ? เปลี่ยนชุดใหม่ สีหน้าท่าทาง ก็เปลี่ยนไป แต่ใบหน้านี้กลับไม่ผิดแน่!

สตรีผู้นั้นได้แต่ยิ้มขื่น ศิษย์น้องของตนช่างปากอีกาจริงๆ ตอนอยู่หน้าประตูเมือง ผู้เฒ่าที่มีลิงนั่งอยู่บนไหล่ก็คือตัวการร้ายที่แย่งชิงสมบัติหนักของตระกูลเซียน ชิ้นนั้นไป ตอนนี้จอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งกลายเป็นเซียนกระบี่ฝีมือล้ำโลก คนหนึ่ง!

สุดท้ายสายตาของเฉินผิงอันไปหยุดอยู่บนร่างของผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลาง

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของตำหนักมากที่สุดทำคอย่น

ถามคำถามไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะคำตอบได้ถูกเปิดโปงออกมาแล้ว การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายของพวกเพื่อนร่วมงานทั้งหลายในศาลเทพอภิบาลเมือง เรียกได้ว่าไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย

ตอนนี้ก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ควันดำจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เดิมทีมีขนาดใหญ่ เท่ากำปั้นได้ถูกพายุลมกรดพัดทอนให้สลายหายไปจนเหลือขนาดเท่าแค่เม็ดพุทรา เขาใช้นิ้วข้างหนึ่งบิดหมุนเบาๆ พายุลมกรดเป็นเส้นๆ ก็รัดพันควันดำกลุ่มนั้นเอาไว้ ประหนึ่งเครื่องโม่ที่กำลังบดขยี้มัน เฉินผิงอันยิ้มถาม “ผู้ฝึกตนอิสระที่ข้าลืมถาม ชื่อคนนี้บอกว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาเมิ่งเหลียงพวกเจ้า จึงจะเป็น ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอาจไม่ได้มีสมองและความกล้านั้นเสมอไป ดังนั้นสรุปว่าเป็นเจ้านครใหญ่เย่ หรือเซียนซือน้อยเหอกันแน่?”

ผู้ฝึกลมปราณสี่คนของยอดเขาเมิ่งเหลียงโมโหจนกัดฟันกรอด แต่ท่านั่งก็ยังคงมั่นคงดุจหินผา

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าแค่อยากรู้เรื่องหนึ่ง เย่หานแห่งนครหวงเยว่ที่วางแผนก่อนลงมือก็ดี เหอลู่ที่มีสติปัญญาโดดเด่นเหนือผู้ใดก็ช่าง ตอนที่มอบหมายให้พวกเจ้าทำเรื่องนี้ เขาได้ให้เงินพวกเจ้าหรือไม่? หากไม่ นครหวงเยว่ ก็ไม่ค่อยจะมีคุณธรรมเท่าไรแล้ว”

เหอลู่ลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ใครทำคนนั้น ก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ไม่ต้องพูดว่า ‘เหอลู่มาก่อน’ อะไรอีกแล้ว บุญคุณความแค้นทั้งหมดของเมืองสุยเจี้ย ขอให้ยุติลงที่ข้าเหอลู่ หากข้าเหอลู่ตายไป แน่นอนว่า ย่อมเป็นเพราะเซียนกระบี่มีวิชาสูงส่งกว่า ข้าเหอลู่ไร้ความแค้นไร้ความเสียใจ เซียนกระบี่รู้สึกว่าอย่างไร?”

เย่หานยิ้มบางๆ

หากไม่เดิมพันเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงของทะเลสาบชางอวิ๋นวันนี้ ก็จะเหมือนทรายหนึ่งถาดที่กระจัดกระจาย จิตใจผู้คนแตกแยก กองกำลังบนกระดาษสามฝ่ายที่น่าจะเทียบเท่าได้กับเซียนคนหนึ่งก็จะหายไปกลายเป็นพวกหัวมังกุดท้ายมังกรแทน

ฟ่านเหวยหรานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางเหลือบตาขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ บรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้งท่านนี้มองเด็กหนุ่มจากนครหวงเยว่สูงขึ้น

ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงว่าเหอลู่คือตัวอ่อนของผู้ฝึกตนที่ไม่เป็นรองแม่หนูเยี่ยนของตัวเอง สมองเฉียบไว วางตัวเข้าสังคมได้ดี คิดไม่ถึงว่ายามที่ต้องเผชิญหน้ากับเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายจะยังนิ่งสงบได้ถึงขนาดนี้ นับว่าหาได้ยากทีเดียว

จิตใจมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ภายนอกกลับเหมือนธรรมดา ต้องเป็นผู้ที่พัฒนาได้ไกลอย่างแน่นอน

ประโยคนี้คงจะกล่าวถึงเด็กหนุ่มคนนี้กระมัง

ผู้ฝึกตนที่มีทั้งพรสวรรค์และสภาพจิตใจที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่ตรงหน้าแล้ว! เย่หานช่างโชคดีนัก ถึงได้มีคนผู้นี้ มาเป็นแขนขาให้

หญิงชราคิดอยู่ในใจ

หรือว่าหากงานเลี้ยงฉลองในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นครั้งนี้ผ่านพ้นด่านที่ยากลำบากไปได้ ตนก็ควรตอบตกลงให้แม่หนูเยี่ยนกลายเป็นคู่สร้างคู่สมกับเขา? ถึงอย่างไรเหอลู่ก็เป็นคนต่างแซ่ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถสืบทอดดูแล นครหวงเยว่ของเย่หานได้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังอาศัยแม่หนูเยี่ยนให้นำพาเขาเข้ามาอยู่ในดินแดนเซียนเป่าต้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทั้งสามารถทำให้เย่หานโมโหแทบตาย แล้วก็ทั้งสามารถทำให้สำนักของตนพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น หากกุมารทองกุมารีหยกที่ ไม่ว่าใครก็อิจฉาคู่นี้ได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียน ถึงเวลานั้นภูเขาของหลายสิบแคว้น ก็ต้องมีเกินครึ่งที่อาจจะกลายเป็นเขตอิทธิพลของดินแดนเซียนเป่าต้ง เชื่อว่า ด้วยสายตาและความกล้าหาญของเด็กหนุ่มผู้นี้ คงจะคิดบัญชีเล่มนี้ได้อย่างชัดเจน

“เย่หาน ขอแค่คนผู้นี้พูดจาไม่เหมาะสมสักหน่อยก็อาจจะชักนำให้ฝูงชนเดือดดาล พวกเราอย่าได้พลาดโอกาสที่เหอลู่ช่วงชิงมาอย่างยากลำบากนี้ไปเด็ดขาด”

ดังนั้นฟ่านเหวยหรานจึงรีบใช้เสียงในใจบอกกับเย่หาน “วันนี้เจ้าและข้าสองฝ่ายโยนความขัดแย้งเก่าก่อนทิ้งไป ร่วมมือกันอย่างจริงใจ! อย่าได้ปกปิดอำพรางฝีมือกันอีกเลย สถานการณ์คับขัน ไม่มีเวลาให้พวกเราแต่ละฝ่ายใช้อุบายอีกแล้ว”

เย่หานตอบรับอย่างเด็ดเดี่ยวทันควัน

“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะเอ่ยประโยคที่ว่า อภัยคนได้ก็จงให้อภัย แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแผนการมากมายในเมืองสุยเจี้ย ผู้บงการตัวจริงก็คือเจ้าเหอลู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อเซียนซือน้อยเหอมีความรับผิดชอบเช่นนี้ ข้าก็นับถือในความเป็นชายชาตรีของเจ้า เอาล่ะ ขอให้ยุติที่เจ้าเหอลู่ หากเอากระบี่ไปไม่ได้ วันนี้ข้าที่อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นจะเอาแค่หัวของเจ้าคนเดียวเท่านั้น”

เหอลู่อึ้งตะลึง

อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เอาแค่ฟ่านเหวยหรานก็ยังรู้สึกโล่งอกได้เสี้ยวหนึ่ง

คำตอบของเซียนกระบี่ผู้นี้ทำให้คนรับมือไม่ทัน แต่หากการเข่นฆ่าในวันนี้หยุดลงเพียงเท่านี้จริงๆ ต่อให้เขาจะฆ่าคนมากกว่านี้อีกสักสองสามคน แต่ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับดินแดนเซียนเป่าต้งมากนัก เหตุใดฟ่านเหวยหรานจะไม่ยินดีให้เป็นเช่นนั้นเล่า? ข้อตกลงอย่างลับๆ กับเย่หานและนครหวงเยว่ก่อนหน้านี้ก็แค่ให้เป็นโมฆะกันไปเท่านั้น

เย่หานหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปยังเจี้ยนเซียนที่เสียบเอียงอยู่บนพื้น “เซียนซือน้อยเหอ อย่าได้เกรงใจ เชิญเอากระบี่ไปได้ตามสบาย หลังจากเจ้าตายไป ผู้ฝึกตนมากมายจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้า ก็ถือว่าตายได้อย่างคุ้มค่าแล้ว”

เหอลู่เกร็งหน้าไม่อยู่อีกครั้ง สายตาขยับเคลื่อนเบนไปมองเย่หานผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านข้างเล็กน้อย

ตรงม่านไข่มุกของประตูห้องข้างตำหนักใหญ่มีสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งเดินออกมา กล่าวอย่างมีโทสะว่า “เจ้าคนป่าเถื่อนผู้นี้! เหตุใดต้องใช้อำนาจรังแกคนอื่นเช่นนี้ด้วย เป็นเซียนกระบี่ที่ทุกคนต่างก็กลัวเจ้าแล้วอย่างไร ผู้ฝึกตนมีใครที่คิด กำจัดทุกคนให้สิ้นซากเช่นเจ้าบ้าง…”

เมื่อม่านไข่มุกถูกเลิกขึ้นและร่วงลงก็เกิดเสียงดังใสกังวานเหมือนเสียงเม็ดไข่มุก ที่กลิ้งอยู่บนถาด

โทสะของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบพุ่งเทียมฟ้า ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง เพียงยกมือขึ้นโบกชายแขนเสื้ออย่างแรง “ไสหัวกลับไป!”

แรงจากการโบกชายแขนเสื้อตบให้ร่างมังกรสาวผู้นั้นกระแทกม่านไข่มุกระเบิดแตก เสียงปังดังหนึ่งครั้งก็น่าจะกระแทกเข้ากับผนังของห้องด้านข้างนั้นอย่างแรง ฟังจากเสียงแล้ว ไม่มีเสียงอื่นตามมา นี่หมายความว่าเรือนกายอรชรนั้นไม่ได้ร่วงลงพื้น น่าจะฝังติดอยู่ในผนังไปแล้ว

การลงมือครั้งนี้ของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไม่ถือว่าเบา พละกำลังเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันมองไปยังเจ้าแห่งทะเลสาบที่สวมชุดคลุมอาคมสีม่วงแล้วคลี่ยิ้ม ก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบด้าน “เป็นสถานที่ที่ดี”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบประสานมือค้อมตัวคารวะ “เซียนกระบี่มาเยือนสถานที่อัตคัดของข้า ก็นับเป็นเกียรติของเรือนน้อยๆ หลังนี้อย่างยิ่ง”

เฉินผิงอันใช้พัดพับในมือชี้ไปสองที ยิ้มกล่าว “ศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีครั้งหนึ่ง บนทะเลสาบชางอวิ๋นเจ้าและข้าสองฝ่ายอุ่นมือตีกันเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง ใช้วังมังกรของเจ้าเป็นที่รวบรวมเหล่าผู้กล้าของสถานที่ต่างๆ ประลองมรรคกถากับข้าอยู่ไกลๆ ที่เมืองสุยเจี้ย ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง คำพูดเก่าแก่บอกไว้ว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม บวกกับที่มังกรสาวผู้นี้ใช้เหตุผลผดุงคุณธรรม ถือเป็นครั้งที่สี่แล้ว จะทำอย่างไร?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้ยืดตัวขึ้น เพียงแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พูดเสียงทุ้มหนัก “เซียนกระบี่บอกว่าต้องทำอย่างไร วังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นก็จะทำอย่างนั้น!”

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แต่พูดอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “เจ้าแห่งทะเลสาบไม่ต้องรีบร้อน รอให้เซียนซือน้อยเหอลงมือ ชักกระบี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

หากเขาชักกระบี่ออกมาได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องอึ้งตะลึงไปอีกหรือ ตอนนี้รีบเอ่ยประโยคที่ทำให้พันธมิตรเสียกำลังใจ ยามแบ่งทรัพย์สินกันหลังจบเรื่อง เงินส่วนที่ วังมังกรของเจ้าได้ไปจะน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมีสีหน้าน่าสงสาร ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ช่างมีอารมณ์ขัน”

เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่ผู้เฒ่าผมขาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเหอลู่ “ถึงเวลาที่เจ้าต้องขึ้นเวทีมาคลี่คลายวิกฤตแล้ว หากยังไม่พูดอะไรที่เป็นการปลอบใจคน กอบกู้สถานการณ์ จะสายเกินแก้จริงๆ แล้ว”

เย่หานถอนหายใจเบาๆ

ผู้เฒ่าที่เมื่อครู่ได้รับการถ่ายทอดคำสั่งอย่างลับๆ จากเจ้านครพลันไม่รู้ว่าควรจะนั่งหรือควรจะลุกขึ้นยืนดี

สุดท้ายเขาที่ความดุดันเฉียบคมหายไปเกินครึ่งก็ได้แต่แข็งใจลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ตาแก่อย่างข้าที่ครึ่งร่างเข้าไปอยู่ในดินแล้วบังอาจพูดให้เซียนกระบี่ฟังสักสองสามประโยค?”

ทว่ากลับได้ยินเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกรเอ่ยแค่สองคำว่า ‘เสียดาย’ และสีหน้าของเขาก็คล้ายจะยังไม่หายสนุก

การกระทำและคำพูดของเซียนกระบี่ไร้เหตุผลจริงๆ เสียด้วย

เยี่ยนชิงหันหน้ากลับมา เพราะแม่หนูชุ่ยเด็กสาวน่ารักซื่อใสที่อยู่ข้างกายนาง คนนั้นแอบกระตุกชายแขนเสื้อของนางเบาๆ

เยี่ยนชิงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาบอกเป็นนัยไม่ให้แม่หนูในสำนักที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะพูดจาอย่างไร้ความยำเกรงออกเสียง

เด็กสาวยิ้มอย่างเข้าใจ พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบสื่อสารกับเยี่ยนชิง “อาจารย์หญิงเยี่ยน เขากำลังฝึกจิตใจของตัวเองอยู่ล่ะ ประหลาด มากเลย ต่อให้เป็นข้าก็ยังมองออกอย่างพร่าเลือน เหมือนกับว่า…คนตัดต้นไม้ผ่าฟืน ที่ต้องลับมีดก่อน แต่ก็ยังพอจะมองเห็นได้เลือนรางว่าดูเหมือนเขาจะรังเกียจที่ พวกเราคนน้อยไป หินลับมีดไม่ใหญ่มากพอ เค้าโครงของเมืองที่เป็นเงาดำๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะเขากำลังคิดถึงชาวบ้านมากมายที่อยู่ในเมืองสุยเจี้ย…สรุปก็คือความหมายประมาณนี้แหละ เจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนทะเลสาบชางอวิ๋น เขาจงใจเอาเจ้าพวกงูโง่เหล่านั้นมาหล่อหลอมเรือนกายตัวเอง ตอนนี้ ก็เอาอีกแล้ว เฮ้อ อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ท่านเองก็รู้ว่าในอดีตข้าเลื่อมใสเซียนกระบี่ ที่ท่านบรรพจารย์รองชอบพร่ำพูดถึงเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ไม่กล้าเลื่อมใสแล้ว กลัวว่าอาจจะต้องตายได้”

เยี่ยนชิงรู้สึกเพียงว่าเหลือเชื่อ จิตใจยิ่งทุกข์ตรม

นับตั้งแต่ที่นางฝึกตนมาก็ยังไม่เคยมีสภาพจิตใจที่วุ่นวายขนาดนี้มาก่อน

วิชาฝึกจิตของตระกูลเซียนที่สำนักนำมาใช้ซุกซ่อนความจริงไร้ประโยชน์ วิชาสงบจิตรวบรวมสมาธิของตัวเองก็ใช้ไม่ได้ผล

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นพลันพึมพำคล้ายรู้สึกระอาใจ “ก็ได้ เจ้าบอกว่าได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าได้แล้วกัน”

อันที่จริงรูปโฉมของคนผู้นี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเหอลู่ได้ติด แต่จนใจที่คนเขาคือเซียนกระบี่ที่มีพลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดคนหนึ่ง

เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกรล้วนเงียบกริบ รู้สึกคลางแคลงสงสัย เพราะรู้สึกว่าทุกการกระทำทุกคำพูดของเซียนชุดขาวตรงหน้าผู้นี้มักจะแฝงไว้ด้วยมรรคกถาลึกล้ำ เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้…สมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองผู้เฒ่าผมขาวที่คิดเตรียมคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว “หุบปากคือดีที่สุด”

แสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งพลันเผยกาย ผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ร่างทั้งร่างกลายเป็นนกกระดาษพับ ขนาดเท่าฝ่ามือที่เริ่มเผ่นหนีไปทั่วทิศ

กระบี่บินเล่มนั้นเหมือนเงาที่ตามติด

เส้นทางการหลบหนีของนกกระดาษสีขาวหิมะก็นับว่ามีส่วนพิถีพิถันอยู่มาก ครั้งหนึ่งพยายามจะพุ่งออกจากประตูของตำหนักใหญ่ แต่ถูกกระบี่บินแทงเข้าที่ปีกจนเป็นรู หลังจากนั้นก็เริ่มบินไปรอบๆ โต๊ะที่ตั้งวางอยู่ในงานเลี้ยง ใช้ผู้ฝึกลมปราณ ที่เอียงตัวหลบซ้ายหลบขวาและจอกเหล้าถ้วยชามบนโต๊ะเป็นอุปสรรคขัดขวาง กระบี่บิน ประหนึ่งนกกระจอกปราดเปรียวตัวหนึ่งที่บินวนกิ่งไม้ ลอดทะลุไปตามซอกตามช่องต่างๆ ไม่หยุด มองดูแล้วน่าหวาดเสียว แล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกลมปราณทั้งหลายตกใจจนหน้าซีดขาว แต่ก็ไม่กล้าสบถด่าต่อหน้านครหวงเยว่และเย่หาน ได้แต่อดกลั้นอย่างอัดอั้น ในใจเคียดแค้นว่าเหตุใดตาแก่หนังเหนียวผู้นี้ถึงได้ไม่ตายเสียที

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเหอลู่ “จะเตือนให้เจ้าดึงกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย”

เหอลู่ปิดปากเงียบ เพียงแต่ว่ามือที่กำขลุ่ยไม้ไผ่เกร็งจนเส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน

เย่หานลุกขึ้นยืนช้าๆ ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร “แม้จะบอกว่าเซียนกระบี่ปลอดภัยดี แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเราจะก่อความผิดมหันต์ มีโทษถึงตาย ทว่าถึงอย่างไรช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็เป็นพวกเราที่ไปรบกวนความสงบของเซียนกระบี่จริงๆ ถ้าเช่นนั้นจะขอให้นครหวงเยว่ของพวกเราเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ โดยมีข้าเย่หาน ออกหน้าด้วยตัวเอง ช่วยชดเชยให้เซียนกระบี่ได้หรือไม่?”

เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าย่อมได้ มีประโยคหนึ่งที่ เทพอภิบาลเมืองในศาลกล่าวได้ดี ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่ปรึกษากันดีๆ ไม่ได้”

เขายื่นมือออกไปคว้า บังคับกระบี่ให้เข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็ปาดกระบี่วาดไปในแนวขวาง “ว่ามาเถอะ เปิดราคามา”

การกระทำของเซียนกระบี่ผู้นั้นอยู่เหนือการคาดคิดของผู้คนเกินไป การออกกระบี่ ก็ยิ่งรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ รอจนเขาบิดหมุนข้อมือ โยนกระบี่สอดกลับเข้าฝัก ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร

ทว่าเจ้านครหวงเยว่ที่มีชื่อเสียงด้านความสุภาพอ่อนโยน สง่างามใจกว้างอยู่บนภูเขาของหลายสิบแคว้นกลับแผดเสียงคำรามอย่างเดือดดาลขึ้นมากะทันหัน “เจ้ากล้าบังอาจฆ่าคนต่อหน้าข้าเชียวรึ!”

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียงกัน สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ยกมือขึ้นกุมลำคอของตัวเองเอาไว้

ขลุ่ยไม้ไผ่ตระกูลเซียนที่อยู่ในมือหล่นร่วงลงพื้น ประหนึ่งหยกที่ตกกระแทกพื้นส่งเสียงดังเคร้ง

ร่างของเหอลู่โซเซถอยหลังไปหลายก้าว มีเลือดสดซึมออกมาจากร่องนิ้วของเขาแล้ว เด็กหนุ่มเจ๋อเซียนผู้นี้น้ำตานองหน้า มือข้างหนึ่งกดลำคอเอาไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่ง ชี้ไปที่เย่หาน พูดเสียงสะอื้น “บิดาช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…”

ฟ่านเหวยหรานขนลุกอยู่ในใจ ต่อมาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกคนตบบ้องหูแรงๆ ซีกแก้มปวดแสบปวดร้อน

นางเกือบจะโมโหจนผมขาวตั้งชันดีดมงกฎสีทองที่เซียนประทานให้ชิ้นนั้นออกไปโดยตรงเสียแล้ว!

เหอลู่ตัวดี เย่หานตัวดี คู่พ่อลูกตัวดีที่อำพรางความลับเล่นงานผู้ฝึกตนหลายสิบแคว้น!

หากตนกับดินแดนเซียนเป่าต้งมีความคิดอยากจะสนับสนุนให้เยี่ยนชิงกับเหอลู่ผูกสมัครกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันจริงๆ ด้วยกลอุบายและฝีมือของพวกเขา สองพ่อลูก จะไม่กลายเป็นว่าพวกตนเอาซาลาเปาไส้เนื้อขว้างหัวหมาหรอกหรือ? เยี่ยนชิงเป็นเพียงเด็กสาวบริสุทธิ์ที่เอาแต่ตั้งใจฝึกตน ไม่สนเรื่องราวทางโลก ไหนเลยจะเอาไปเปรียบเทียบกับจิ้งจอกเฒ่าจิ้งจอกรุ่นเยาว์อย่างเย่หาน เหอลู่ที่เดิมทีมี สถานะเป็นพ่อลูกกันคู่นี้ได้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว แม่หนูเยี่ยนไม่ช่วยคู่รักอย่างเหอลู่ เล่นงานดินแดนเซียนเป่าต้ง ไม่อาจทำเรื่องที่เป็นการหลอกลวงอาจารย์ลบล้าง บรรพชนได้ แต่ถึงเวลานั้นจิตแห่งเต๋าก็ต้องถูกทำลายลงไปเกินครึ่ง ต่อให้นาง จะเคารพครูบาอาจารย์ให้ความสำคัญกับมรรคา อยากช่วยสำนักเล่นงานนครหวงเยว่ เยี่ยนชิงก็ได้แต่มีใจไร้กำลัง!

ฟ่านเหวยหรานกระดกดื่มเหล้าในจอกแรงๆ ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “สาแก่ใจยิ่งนัก คนอย่างเจ้าเหอลู่ผู้นี้ตายไปได้ก็ดี! เย่หานเจ้าเพิ่งเสียบุตรชายไป ไยไม่ลงมือประลองวิชากับเซียนกระบี่ด้วยความเคียดแค้นเล่า?! ความแค้นที่สังหารบุตรชายจะอดทนข่มกลั้นไว้ได้อย่างไร? หากเปลี่ยนมาเป็นข้า วันนี้อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น ตายเป็นตายสิ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเองก็ต้องตาย อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเกิดใหม่”

เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของฟ่านเหวยหรานหยุดชะงักในฉับพลัน

เหอลู่เห็นว่าเย่หานเพิ่งจะยื่นมือออกมาก็หดมือกลับเข้าไปอีกครั้ง ในใจทั้งเศร้าสลดทั้งสิ้นหวัง การมองเห็นของเขาพร่าเลือน จ้องเขม็งไปยังบิดาที่ไม่ยอมช่วยเหลือตน ในดวงตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความแค้น จากนั้นเขาที่มีเลือดสดไหลทะลักออกมาจากร่องนิ้วมากกว่าเดิมถึงค่อยๆ หันไปมองเยี่ยนชิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วย ความหวาดกลัว สายตาเปลี่ยนเป็นอ้อนวอน “เยี่ยนชิง ช่วยข้าด้วย”

เยี่ยนชิงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา คว้ากระบี่สั้นเล่มนั้น พอลุกขึ้นยืนแล้วก็หันหน้า ไปมองเซียนกระบี่ชุดขาว “การออกกระบี่ครั้งนี้ เพียงแค่เพื่อตัวข้าเองเท่านั้น”

เซียนกระบี่ชุดขาวเอาสองมือไพล่หลัง พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขอเมตตาก็ได้เมตตา ขอตายก็ได้ตาย วังมังกรที่สกปรกแห่งนี้ ในที่สุดก็มีผู้ฝึกตนที่เข้าท่าเข้าทีสักคนโผล่มาแล้ว”

เยี่ยนชิงยืนถือกระบี่สั้นคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม เมื่อสภาพจิตใจของนางกลับคืน สู่ความใสกระจ่าง ราศีผ่องใสก็หมุนเวียน ปราณวิญญาณไหลรินไปทั่วร่าง มงกุฎสีทองบนศีรษะส่องประกายระยิบระยับยิ่งขับให้สตรีที่งามล่มบ้านล่มเมืองผู้นี้ล่องลอยประดุจเซียน

เพียงแต่ว่ามองดูงดงามมากก็จริง ทว่าผู้ฝึกลมปราณทุกคนในห้องโถงใหญ่ของ วังมังกรกลับยังคงรู้สึกแปลกพิกลอยู่ดี

เหอลู่ผู้นั้นเซถอยไปด้านหลัง สุดท้ายหลังพิงกำแพง ทรุดตัวลงอย่างสิ้นสภาพ นั่งแน่นิ่งอยู่ที่เดิม

สุดท้ายศีรษะหนึ่งก็กลิ้งตกลงพื้น

เสียงที่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับฟ้าร้องสะท้านสะเทือนก่อนหน้านี้ได้ติดกับ ทำให้ผู้ฝึกตนรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบหนักๆ ลงบนหัวใจ แทบจะหายใจไม่ออก

เหอลู่แห่งนครหวงเยว่ตายไปทั้งอย่างนี้แล้ว

ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนคนหนึ่งที่มีความหวังว่าจะยืนอยู่บนยอดเขาเคียงบ่าฟ่านเหวยหราน เย่หาน กลับกลายเป็นศพที่หัวแยกขาดจากตัวเช่นนี้?

แล้วพอหันไปมองเทพธิดาเยี่ยนชิงที่บุคลิกเลิศล้ำผู้นั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง ก็ยิ่งประหลาดใจ

เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดบนภูเขาของหลายสิบแคว้นเหมือนกัน

เหอลู่ที่เป็นคนจิตใจละเอียดรอบคอบ ก็แค่ขาดโชคถึงได้ต้องมาตายอยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นต่างบ้านต่างเมืองแห่งนี้ ทว่าเทพธิดาเยี่ยนชิงที่เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสจะสลัดความสัมพันธ์กับเขาทิ้ง แต่เหตุใดถึงได้น้ำเข้าสมองเลอะเลือนเช่นนี้?

ถ้าอย่างนั้นกุมารทองกุมารีหยกคู่นี้ที่เกือบจะได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียน ทำอย่างไรถึงมาคบหากันได้?

หรือจะบอกว่าเมล็ดพันธ์ความรักหยั่งรากลึก เห็นคนรักต้องตายไปต่อหน้าต่อตา เยี่ยนชิงที่แค้นเคืองจึงคิดจะออกกระบี่อย่างเดือดดาล?

เพียงแต่ว่าการออกกระบี่ใส่เซียนกระบี่ตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง หาใช่ว่าพวกเรา ดูแคลนเจ้าเยี่ยนชิงไม่ แต่เจ้าก็แค่หาเรื่องอับอายขายหน้าให้ตัวเองเท่านั้น

และในช่วงเวลาสำคัญขณะที่เยี่ยนชิงถือกระบี่ มองประสานสายตากับ เซียนกระบี่หนุ่มนั้นเอง

เหตุการณ์ประหลาดพลันเกิดขึ้น!

ตำแหน่งใกล้กับที่นั่งตรงข้างแถบของเย่หาน โต๊ะตัวหนึ่งที่วางจานอาหารและจอกสุราไว้จนเต็มโต๊ะพลันระเบิดแตก ผู้ฝึกตนสองฝั่งลอยกระเด็นพุ่งชนกันไปเป็นแถบใหญ่

ร่างกายกำยำที่ทั่วร่างเปล่งไปด้วยแสงสีทองของคนผู้หนึ่งโผล่พรวดชนโต๊ะให้แตกหักอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้น ตลอดทั้งวังมังกร ก็สั่นสะเทือนตาม จากนั้นก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้น ปลิวกระเด็นออกไป ผนังของตำหนักใหญ่ถูกชนทะลุทันที ไม่เพียงเท่านี้ เสียงผนังแตกยังดังต่อกันเป็นทอดๆ

หมัดนี้ จะถูกปล่อยออกมาจากผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างของยอดเขาเมิ่งเหลียง ได้จริงหรือ?

ฟ่านเหวยหรานและเย่หานหันมามองหน้ากัน ต่างก็มองเห็นความตื่นตะลึงและหวาดกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย

คนผู้นี้อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้ ต้องไม่ใช่หมากของทั้งสองฝ่าย อย่างแน่นอน!

ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเดียวกับผู้เฒ่าเลี้ยงลิงและปีศาจจิ้งจอกแคว้นอิ๋นผิง อย่างแท้จริง!

การลอบโจมตีของหมัดนี้ ขอแค่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ป้องกันไว้ก่อน ต่อให้เป็น โอสถทองอย่างพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางต้านรับได้ไหว จะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

หลังจากชายฉกรรจ์ที่รูปโฉมไม่สะดุดตาผู้นั้นปล่อยหมัดอันสูงสุดซึ่งรวบรวมปณิธานหมัดของทั้งชีวิตเอาไว้ออกไปอย่างเต็มที่ แขนทั้งแขนของเขาก็ถึงกับถูกแรงสะเทือนจนปริแตก ห้อยตกลงข้างตัว แต่ความฮึกเหิมของชายฉกรรจ์กลับเต็มเปี่ยม มองผู้ฝึกตนที่นั่งกันเต็มห้องโถงเหมือนไก่เหมือนหมา เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง อย่างสาสมใจ “ท่าไม้ตายหมัดนี้ เดิมทีควรจะหาโอกาสปล่อยใส่เจ้าโจรเฒ่าเซี่ยเจิน ผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าบื้อที่แสร้งอวดเก่งจะมาชิงรับไปก่อน”

ชายฉกรรจ์มองผ่านผนังแต่ละชั้นที่ทะลุเป็นรูโหว่เหมือนประตูแต่ละบานที่ถูกเปิดออก มองไปยังทิศไกลที่ฝุ่นผงคลุ้งตลบ “ต่างก็พูดกันว่าเซียนกระบี่อย่างเจ้า ไร้เหตุผล มีเรือนกายของขอบเขตร่างทองใช่ไหม ตอนนี้เล่าเป็นอย่างไร ยังมีร่างทองอยู่อีกหรือไม่? หมัดนี้ของข้า ต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่แท้จริงมาเจอเข้า อวัยวะภายในก็ยังต้องถูกกระเทือนจนเละเทะ ตายคาที่ทันที!”

ชายฉกรรจ์ถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ ชำเลืองตามองฝักกระบี่ยาวที่อยู่บนพื้น

“เซียนกระบี่ชาติสุนัข ทำเป็นอวดเก่งนัก! อดทนกับเจ้ามานานแล้ว ใช้หนึ่งกระบี่สังหารเจ้าลูกเจี๊ยบขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นั้น คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานจริงๆ หรือไร?”

มุมปากของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นองศาก็ยิ่งขยายใหญ่ สุดท้ายรอยยิ้มก็แผ่กระเพื่อมไปทั้งใบหน้า

ฟ่านเหวยหรานเองก็คลี่ยิ้ม

มีเพียงเย่หานที่ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่พอเขาชำเลืองตา มองศพไร้หัวตรงกำแพง ความรู้สึกก็ดิ่งลงเหว ยังคงยิ้มไม่ออกแม้แต่น้อย

ยังดี ถึงอย่างไรบุตรชายคนเล็กที่สถานะถูกแอบซ่อนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขต ชมมหาสมุทรที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางของการฝึกตน ได้กักเก็บดวงวิญญาณของตนเองไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายโพรงแล้ว

เพียงแต่ว่าเรือนกายก่อนกำเนิดที่ดีขนาดนี้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของกิ่งทองใบหยก ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเซียน วันหน้าจะไปหามาจากที่ไหนได้อีกเล่า? ในอนาคตจะยังเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้อีกหรือไม่? หรือจะยังเป็นสีครามที่เกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม มีฝีมือเหนือตนเอง นำพานครหวงเย่เดินไปถึงจุดที่อยู่สูงขึ้นไป เหนือยอดเขาได้อีกหรือไม่?

ผู้ฝึกลมปราณอีกสามคนที่เหลือของยอดเขาเมิ่งเหลียงพากันกลืนน้ำลายลงคอ

ศิษย์น้องที่เวลาปกติไม่ต่างจากเศษสวะคนหนึ่ง เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายมาเป็นปรมาจารย์ชั้นสูงที่ปล่อยหนึ่งหมัดดุจสายฟ้าระเบิดเช่นนี้ได้เล่า?

เยี่ยนชิงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ในตำหนักใหญ่ ต่อให้จะรู้ว่าปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตร่างทองในตำนานผู้นี้คือ ศัตรูหาใช่มิตร แต่กระนั้นเสียงไชโยโห่ร้องก็ยังคงดังกึกก้อง แต่ละคนตบโต๊ะร้องว่าดี และยังมีบางคนที่หยิบกาเหล้าขึ้นมาแหงนหน้ากระดกดื่ม ยกนิ้วโป้งให้ผู้ฝึกยุทธ เต็มตัวคนนั้น และยิ่งมีคนที่เริ่มชื่นชมว่าแคว้นเมิ่งเหลียงไม่เพียงแต่มีโชคชะตาบุ๋น โชติช่วง ที่แท้โชคชะตาบู๊ก็ยังรุ่งโรจน์ถึงเพียงนี้ ควรจะยกแคว้นเมิ่งเหลียงของพวกเขาให้เป็นผู้พิชิตของพื้นที่หนึ่งอย่างแท้จริง พวกเขาควรจะฮุบกลืนแคว้นรอบด้าน ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งก็เป็นได้

เยี่ยนชิงยืนอยู่ในตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกและบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ในใจรู้สึกวูบโหวง

เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?

นางผิดหวังหดหู่

ฟ่านเหวยหรานหัวเราะจนตัวเอนไปด้านหลัง หญิงชราผู้นี้ก็เลียนแบบผู้ฝึกตน ที่หยาบกระด้างคนนั้นเงยหน้ายกนิ้วโป้งให้เยี่ยนชิง “แม่หนูเยี่ยน เจ้าได้สร้าง คุณความชอบครั้งใหญ่เลย! เด็กดี กลับไปถึงดินแดนเซียนเป่าต้งจะต้องมอบ อาวุธหนักของศาลบรรพจารย์ชิ้นนั้นให้เป็นรางวัลแก่เจ้าอย่างแน่นอน ข้าอยากจะ ดูนักว่าใครจะไม่ยอม!”

คนแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

คือแม่หนูชุ่ยที่กะพริบตาปริบๆ คนนั้น เพียงแต่ว่านาทีนี้ อย่าว่าแต่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เลย แม้แต่ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจนางก็ยังไม่กล้าใช้

เด็กสาวใสซื่อเริ่มขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม สวมบทหุ่นไม้

จากนั้นถึงได้เป็นชายฉกรรจ์ผู้ฝึกยุทธของแคว้นเมิ่งเหลียงที่แอบเดินทีละก้าว จนปีนป่ายขึ้นสู่ขอบเขตร่างทอง

หลังจากที่สีหน้าของชายคนนี้เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เย่หานกับฟ่านเหวยหราน ก็ตระหนักได้เหมือนกันว่าท่าไม่ดีแล้ว

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่เดิมทีอยากจะลองผูกมิตรกับผู้กล้าคนนี้ดูก็ค่อยๆ หุบรอยยิ้มบนใบหน้าลง รีบกลั้นหายใจทำสมาธิทันที

มีเซียนกระบี่ชุดขาวคนหนึ่งเดินออกจาก ‘ประตูใหญ่แต่ละบาน’ สุดท้าย มาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่

ผู้ฝึกลมปราณที่นั่งอยู่ตรงกลางแถบของฟ่านเหวยหรานล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายเผ่นหนีเปิดทางให้กับเซียนกระบี่และปรมาจารย์ขอบเขตร่างทองผู้นั้นนานแล้ว

เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นปัดไหล่ของตัวเอง สะบัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก มีคนพูดว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองที่อยู่ที่นี่อย่างพวกเจ้าล้วนเป็นกระดาษเปียก” คนผู้นั้นเดินเข้าหา ผู้ฝึกยุทธของแคว้นเมิ่งเหลียงอย่างช้าๆ ไหนเลยจะมีวี่แววของอาการ ‘อวัยวะภายในทั้งห้าถูกกระเทือนจนเละเทะ’?

เขาเดินพลางยิ้มพูดไปด้วย “ตอนนี้ข้าว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างเจ้า ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ไม่ต่างจากโคลนเละที่ถูกขยำกำ แถมยังเป็นโคลนประเภทที่ยังไม่ได้ตากแดดให้แห้งด้วย เพราะฉะนั้นถึงทำให้ตัวเองแขนหักไปหนึ่งข้าง? เจ็บไหมล่ะ?”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเอ่ยเสียงหนัก “แท้จริงแล้วเจ้าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง! ใช่หรือไม่?! ไม่ใช่เซียนกระบี่อะไรทั้งนั้น ถูกหรือไม่? ก่อนจะออกหมัด จงบอกข้ามาให้ชัดเจน!”

คนผู้นั้นเอาฝ่ามือข้างหนึ่งแนบหน้าท้อง มืออีกข้างกุมขมับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอือมระอา “พี่ชายท่านนี้ เจ้าอย่าทำแบบนี้เลย จริงๆ นะ วันนี้เจ้าพูดเรื่องตลกอยู่ในวังมังกรมามากมายแล้ว ขนาดถูกทัณฑ์สวรรค์ในเมืองสุยเจี้ยกดทับ ข้ายังโชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่นี่กลับเกือบจะต้องมาตายเพราะหัวเราะขำคำพูดของเจ้าซะแล้ว”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบทอดถอนใจอย่างเศร้ารันทด นั่งลงบนขั้นบันได ยกสองมือกุมหัว เอาเถอะ ข้าผู้อาวุโสยอมรับชะตากรรมแล้ว จะตีกันก็ตีเถอะ พวกเจ้าจะก่อเรื่องก่อราวอย่างไรก็ทำกันไป ต่อให้รื้อวังมังกรจนเละ ขอแค่ข้าอินโหวขมวดคิ้วสักครั้ง วันหน้าข้าก็จะใช้แซ่เดียวกับเซียนกระบี่ผู้นั้นเลย

ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวบางส่วน ก่อนหน้านี้อยากร้องไห้แต่ไม่กล้าร้อง ตอนนี้อยากหัวเราะก็ไม่กล้าอีก

เซียนกระบี่ชุดขาวหันหน้าไปมองทางฟ่านเหวยหรานและอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบ “เรื่องที่ข้ามีเรือนกายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง คือข่าวที่พวกเจ้าปล่อยออกไปอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะพวกเจ้าคิดเองเออเองกันแบบนี้ ทำให้แผนการหลายอย่างของข้าต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า?”

ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม เขากลับไม่มีท่าทีว่า จะถอยหนี เพียงแค่ชักเท้าขวาไปด้านหลังหนึ่งก้าว ยกแขนข้างที่เหลืออยู่เพียง ข้างเดียวขึ้นมา ตั้งท่าที่ปณิธานหมัดผสานกลมกลืนกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ “ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกับข้า หรือจะเป็นเซียนกระบี่ ที่บินไปบินมา ข้าแค่จะขอดูฝีมือเจ้าอีกสักครั้ง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนสามคนของยอดเขาเมิ่งเหลียง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าแคว้นเมิ่งเหลียงของพวกเจ้าจะเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างแท้จริง น่าสนใจไม่น้อย ขอบใจมาก”

ชายฉกรรจ์เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ปณิธานหมัดทั่วร่างเหมือนน้ำท่วมที่ ไหลทะลัก ทำให้ตลอดทั้งวังส่ายโยกตามไปด้วย โต๊ะแทบทุกตัวล้วนกระเด้งกระดอนขึ้นสูง และในขณะที่ทุกคนคิดว่าจะเกิดศึกเป็นตายของศัตรูที่มาพบเจอกันบน ทางแคบอีกครั้งนั้นเอง ชายฉกรรจ์กลับผงะตัวไปด้านหลัง ถอยกรูดไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ชนเข้ากับผนังด้านหลังตนเองที่ยังไม่ ‘เปิดประตู’ พอผนังระเบิด ดังปังก็ราวกับว่าใช้วิชาอภินิหารของเซียนที่สามารถหดย่อภูเขาแม่น้ำพันลี้ให้เล็กลงเหลือเพียงแค่ตารางนิ้ว พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือร่องรอย

ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองซึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาตลอดสองร้อยปี วิชาคาถาลึกลับจนคนไม่อาจป้องกันได้ทันจริงๆ

เพียงแต่ว่าเงาร่างของเซียนกระบี่ชุดขาวที่อยู่ในตำหนักใหญ่ก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน

จากนั้นทางฝั่งของประตูผนังที่เพิ่งถูกเปิดขึ้นมาใหม่ก็มีร่างของผู้ฝึกยุทธร่างทองในตำนานคนนั้น ‘เดิน’ ถอยหลังกลับมาทีละก้าว

เพียงแต่ว่ามีชายแขนเสื้อกว้างและฝ่ามือข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากหัวใจของ ชายฉกรรจ์

ไม่เพียงแต่สกัดขวางทางหนีของปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธได้ในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังตัดสินเป็นตายกันได้ในทันที เซียนกระบี่ผู้นั้นใช้มือข้างซ้ายควักหน้าอกทะลุ แผ่นหลังของอีกฝ่ายออกมาโดยตรง!

เซียนกระบี่ชุดขาวยกมือข้างขวาขึ้นกดลงบนศีรษะของคนผู้นั้นแล้วผลักออกเบาๆ

ร่างของอีกฝ่ายก็ลอยหวือมาร่วงกระแทกกลางตำหนักใหญ่พอดี

เซียนกระบี่ชุดขาวสะบัดชายแขนเสื้อ บนพื้นข้างกายเขาพลันมีเลือดสด กระเซ็นหยดเป็นทาง

ส่วนกลางอากาศของตำหนักใหญ่ นกกระดาษตัวนั้นก็ยังคงเผ่นหนีไปทั่วอย่าง บ้าคลั่ง หลบเลี่ยงแสงกระบี่สีเขียวที่ตามก้นมาติดๆ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ยังเล่นสนุกไม่พอหรือ?”

กระบี่บินสีเขียวปลั่งพลันเพิ่มความเร็ว นกกระดาษแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ผู้เฒ่าผมขาวที่ร่างโชกไปด้วยเลือดกระแทกลงสู่พื้นตำหนักใหญ่อย่างแรง

กระบี่บินค่อยๆ บินกลับมาที่ข้างกายเจ้านาย แล้วบินล้อมไปรอบกายเขา อย่างเชื่องช้าประหนึ่งนกน้อยแอบอิงคน ว่าง่ายและอ่อนโยนเป็นที่สุด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวสดผู้นั้น ฝ่ายหลัง ยิ้มกว้าง แต่แล้วนางก็รู้สึกเขินอายและลำบากใจเล็กน้อยจึงรีบยกมืออุดปากตัวเอง

เฉินผิงอันเองก็ยิ้มตาม ก่อนจะเอ่ยว่า “เหอลู่แห่งนครหวงเยว่ เยี่ยนชิงแห่งดินแดนเซียนเป่าต้ง อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น สามคนนี้ ไม่มีใครบอกพวกเจ้าหรือว่าทางที่ดีที่สุดควรเอาสนามรบไปไว้ในเมืองสุยเจี้ยโดยตรง ไม่แน่ว่าที่นั่น อาจทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้ามากที่สุด ส่วนพวกเจ้าก็มั่นคงมากที่สุด คิดจะฆ่าข้าอาจพูดได้ยาก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็มีโอกาสหนีมากกว่า?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบปล่อยมือออก เงยหน้าขึ้น “เซียนกระบี่ ข้าเคยเสนอแบบนี้แล้ว เหอลู่เองก็เห็นด้วย เขายังคิดถึงแผนการที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ ได้อีกไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นใช้วิชาคาถาชนิดต่างๆ จี้ตัวให้พวกชาวบ้านกรูกันบุกไป ที่เรือนผี ฯลฯ เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้กับ เมืองสุยเจี้ยเกินไป ง่ายที่จะไปกระตุ้นให้เซียนกระบี่ใหญ่ที่สามารถใช้กระบี่บินตัดหัวคนไกลพันก้าวอย่างท่านรู้สึกตัว ใครก็ไม่อยากจะพาตัวไปตายก่อน อีกทั้งเรือนกายของผู้ฝึกตนนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งต่างก็ล้ำค่า พวกเขาไม่เป็นคนนำ ภูเขาแห่งอื่นๆ ที่พึ่งพาพวกเขาก็ล้วนไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่มีเงินแต่ไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน ใครเล่าจะยินดีทำ เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด

เซียนกระบี่ อะไรที่ข้าควรพูด ไม่ควรพูด ก็ล้วนพูดหมดแล้ว หลังจากนี้ อยากจะฆ่าใครก็ตามใจเถอะ กิจการพันปีของวังมังกรแห่งนี้ของข้า ข้าไม่เอาแล้วก็ได้ หลังจากผ่านวันนี้ไป ขอแค่เซียนกระบี่มีเมตตา ข้าโชคดีรอดตายไปได้ ทะเลสาบ ชางอวิ๋นจะต้องชดเชยโชคชะตาภูเขาแม่น้ำของเมืองสุยเจี้ยให้ดีๆ ถือเสียว่าเป็นการ ไถ่โทษ”

หลังจากได้ยินประโยคขึ้นต้นนั้นแล้ว เยี่ยนชิงก็หน้าขาวเผือด ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

จิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณไม่มั่นคง มือที่กุมกระบี่ก็ยิ่งไม่มั่นคงตามไปด้วย

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วโบกเบาๆ

เย่หานเจ้านครหวงเยว่จงใจไม่ขยับหลบ ปล่อยให้กระบี่ยาวแทงทะลุหน้าอก ปักตรึงตัวเองไว้บนผนัง

ส่วนจุดที่อยู่ห่างหว่างคิ้วฟ่านเหวยหรานไปเพียงหนึ่งฉื่อก็มีกระบี่บินสีเขียว ที่ปลายกระบี่สั่นน้อยๆ หยุดลอยนิ่ง

หญิงชราก็นั่งนิ่งไม่ขยับเช่นกัน

“พวกเจ้านี่แหละที่ฉลาดที่สุด แต่ละคนรู้จักรอเวลาคอยประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ข้อนี้ ข้าล่ะนับถือพวกเจ้าจริงๆ ไม่ได้พูดประชดแม้แต่นิดเดียว”

เฉินผิงอันถอนหายใจ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้าไปด้านหน้า จากนั้น ก็ชำเลืองมองไปยังกาเหล้ากาหนึ่ง ยกมือขึ้นกวักหนึ่งครั้ง มือหนึ่งก็ถือกา อีกมือหนึ่งถือจอกเหล้า รินเหล้าใส่จอกแล้วจิบหนึ่งคำ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันกดลึก “นี่หากมีเหอลู่อีกหลายคนอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ยมาเห็นเข้า จะไม่ด่าว่า เซียนกระบี่อย่างข้าคิดแต่จะเอาชนะ ไม่ยอมถอยให้ผู้อื่น ชาวประชาเป็นเดือด เป็นแค้น

ปากคนจำนวนมากสามารถละลายทองได้ (เสียงจากปากของคนจำนวนมาก ที่พูดไปพูดมาย่อมสามารถทำให้ผิดกลายเป็นถูก ถูกกลายเป็นผิดได้) อาศัยอะไร มาฆ่าคนอย่างพร่ำเพื่อ คนที่เคยเจอหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้คิดจะฆ่าให้ตายอย่าง เอาจริงเอาจังเสียหน่อย ขาไม่ขาด แขนไม่ขาด แล้วก็ไม่ได้กระอักเลือดเป็นถังๆ เสียเมื่อไหร่ มีเหตุผลอะไรไปตัดสินความดีเลว ไปตัดสินความเป็นความตายของ คนอื่น เหตุใดต้องบีบบังคับคนอื่นขนาดนี้ เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ไม่มีจิตเมตตา ดุจพระโพธิสัตว์แม้แต่น้อย คิดดูแล้วก็คงเป็นพวกตะเภาเดียวกันกับคนที่ถูกฆ่า หรอกหรือ…”

คำพูดประโยคนี้ทำให้พวกผู้ฝึกลมปราณทั้งหมดที่ได้ฟังรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว

ฟังจากความหมายในคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้?

ดูท่าจะยังพูดไม่จบ?

เฉินผิงอันมองไปทางหญิงชราที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน “เจ้าโชคดีอยู่บ้าง ไม่ได้มีลูกชายคนดีอย่างเหอลู่ ดังนั้นพวกเรายังสามารถปรึกษากันได้”

จากนั้นก็หันไปชำเลืองมองเย่หาน “ทว่าเจ้านครเย่กลับบอกได้ยากแล้ว”

ขนตาของเด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวสดใสกระพือเบาๆ

ยังคงนั่งนิ่งเลียนแบบการเข้าฌานของภิกษุเฒ่า ตัวตรงไม่กระดุกกระดิก เมื่อร่างไม่ขยับจิตก็ไม่วอกแวก ไม่ขยับอะไรสักอย่าง แค่อาศัยวิชาอภินิหารประหลาดที่ดูเหมือนจะเป็นของรางวัลที่บรรพจารย์ประทานมาให้นั้นแอบมองไปแวบหนึ่ง

เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน ราวกับว่าพริบตาเดียวก็ไม่เหลือมาดองอาจของ เซียนกระบี่อีกต่อไป สีหน้าของเขาเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความอิดโรย สายตาหม่นหมอง เหมือนกับกระบี่ยาวที่แทงทะลุร่างของเย่หานบนผนังที่แสงสีทอง ไม่สว่างจ้า เขากวาดตามองไปรอบด้าน

หลังจากรินเหล้าอีกหนึ่งจอกก็โยนกาเหล้ากลับไปไว้ที่เดิม แล้วค่อยรินเหล้า ในจอกลงเบื้องหน้าตัวเองเบาๆ ประหนึ่งการคารวะสุราหน้าหลุมศพ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “แต่หลังจากที่ทัณฑ์สวรรค์พวกนั้นผ่านไป ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ย ที่จุดธูปโขกหัวกราบไหว้ศาลเทพอภิบาลเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความจริงใจ ก็เป็นเพียงแค่การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หวังให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น พวกเขาคือผู้อ่อนแอที่แท้จริง บางทีพวกเขาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เลือกจะเงียบงันกลุ่มนั้นก็อาจไม่รู้ถึงความจริง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ไปชั่วชีวิต ดังนั้นพวกเขา ที่ไปไหว้เทพอภิบาลเมืองจึงผิดแล้ว ไหว้ศาลเทพอัคคีก็ยิ่งไม่อาจถูกต้องได้ มากกว่าเดิม สำหรับพวกเขาและการดำรงตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง การตั้งใจฝึกตนอย่างสงบ มองโลกมนุษย์อย่างเฉยชา รังเกียจโลกีย์วิสัยของพวกเจ้าบางคน ข้าล้วนรู้สึก แบบเดียวกันทั้งหมด นั่นคือพูดไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีอะไรให้พูดว่าผิดหรือถูก มหามรรคาใต้ฝ่าเท้ามีเป็นร้อยเป็นพันเส้น ทุกคนต่างก็กำลังเดินอยู่เหมือนๆ กัน เจ้าคิดว่ายังไง ท่านเทพอัคคีแห่งเมืองสุยเจี้ย? ถึงท้ายที่สุดดูเหมือนว่าตอนอยู่ บนหลังคาศาล เจ้าเองก็ด่าข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรก็ยังพาตัวเองไปพุ่งชนทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆจนร่างทองแตกหักออกเป็นสองท่อน? ตอนนั้นข้าไม่อาจ เปิดปากได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงต้องด่าเจ้าแล้ว จะต่อยให้เจ้ากลิ้งกลับไปอยู่ที่ศาล ก็แค่ทัณฑ์สวรรค์เล็กๆ เท่านั้น ข้าจะตายได้หรือ? ก็แค่เกือบตายเท่านั้น จะดีจะชั่ว ข้าก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตน แค่ปางตาย จะต้องกลัวอะไร ก่อนหน้าที่จะทำเช่นนั้น ข้าต้องวางแผนคิดคำนวณมามากน้อยแค่ไหน เจ้าและข้าพบเจอกันช้าไป เลยไม่ทัน ได้พูดกับเจ้าก็เท่านั้น แน่นอนว่าต่อให้เจอกันเร็วกว่านี้ ข้าก็ไม่มีทางพูด ใจคน ไม่ต่างจากผีร้าย ใครเล่าจะกล้าเชื่อ”

ระหว่างที่พูด

ตรงหว่างคิ้วของฟ่านเหวยหรานก็เกิดเสียงดังสวบ

ศีรษะเหมือนถูกกระแทกหนักๆ ผงะหงายหลังผลึ่งไป

กลับเป็นเย่หานที่ยังคงสบายดี ก็แค่มองดูเหมือนถูกปักตรึงอยู่บนผนังเท่านั้น

ทว่าหญิงชราผู้นั้นต้องไม่ได้กายดับมรรคาสลายอย่างแท้จริงแน่นอน เพราะใบหน้าและเรือนกายของหญิงชราแห้งเหี่ยวลงในเสี้ยววินาที ทว่าในวังมังกรกลับเกิดริ้วคลื่นลมปราณที่ไม่ปกติระลอกหนึ่งแผ่กระเพื่อม พริบตาเดียวก็หายวับไป

ดูเหมือนเซียนกระบี่หนุ่มจะรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาบีบจอกเหล้าในมือให้ แตกละเอียด ช่วยไม่ได้ ยันต์แสงสว่างอวี้ชิงแผ่นนั้นถูกทำลายไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นวิชาตระกูลเซียนที่สามารถสลายจิตหยินให้เป็นเหมือนไอหมอก ขณะเดียวกัน ก็เก็บซ่อนโอสถทองแห่งชะตาชีวิตประเภทนี้ ต่อให้จะประหลาดยากคาดเดาแค่ไหน ขอแค่เอายันต์ตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนมาใช้ เสี้ยววินาทีก็สามารถแผ่ แสงสว่างปกคลุมไปได้ในรัศมีหลายลี้ มีความเป็นไปได้ว่าบรรพจารย์จากดินแดนเซียนเป่าต้งผู้นี้จะยังหนีไปไหนไม่รอด ส่วนตนนั้น หลังจากศึกใหญ่ผ่านไปก็ไม่สามารถ วาดยันต์ได้อีก แล้วนับประสาอะไรกับที่ยันต์หลายชนิดใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำรา สีชาด’ ที่ตนเชี่ยวชาญก็ไม่สามารถเอามาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้

ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนบนภูเขามักจะเอาชนะกันได้ง่าย แต่เข่นฆ่ากันได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง ใครบ้างจะไม่มีวิชาที่ใช้ในการป้องกันชีวิตของตัวเองเลย?

สำหรับข้อนี้ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคล่องแคล่วว่องไวกว่ามากนัก การจับคู่ต่อสู้กัน ส่วนใหญ่หากแพ้ก็คือตาย

แต่ก็ไม่เป็นไร มงกุฎทองบนศีรษะของหญิงชรายังคงอยู่

อาจเป็นเพราะเอาไปไม่ได้ แล้วก็อาจเป็นเพราะการหอบเอาของสิ่งนี้หนีไป จะเป็นการเปิดเผยร่องรอยของตัวเองอย่างชัดเจน และหญิงชราก็หวาดเกรงกระบี่บินของตนเกินไป

เฉินผิงอันหยิบพัดพับออกมา ใช้สองนิ้วค่อยๆ บิดมันให้เปิดและหุบช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม ข้าพูดอะไรก็เชื่อจริงๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นหากข้าบอกว่าข้าเป็น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไรทั้งนั้น พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

เฉินผิงอันมองไปยังผู้ฝึกตนคนหนึ่งของยอดเขาเมิ่งเหลียง “ไหนเจ้าลองว่ามาสิ?”

คนผู้นั้นคุกเข่าลงไปโดยตรง ตะเบ็งเสียงตอบดังลั่น “เซียนกระบี่พูดอะไร ข้าน้อยล้วนเชื่อทั้งหมด!”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองชายหญิงสะพายกระบี่อายุยังน้อยคู่นั้น “บังเอิญนัก ได้เจอกันอีกแล้ว การเดินทางไปเยือนเมืองสุยเจี้ย เซียนซือทั้งสองท่านได้รับผล เก็บเกี่ยวอะไรหรือไม่?”

บุรุษหนุ่มคนนั้นนั่งแปะลงไปบนพื้น

หญิงสาวตอบเสียงเบาว่า “เรียนเซียนกระบี่ ไม่ได้รับผลเก็บเกี่ยวใดๆ”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ท่ามกลางศึกวุ่นวายคราวนั้น ผู้เฒ่าที่บนไหล่มีลิงนั่งอยู่ ไม่ได้อาฆาตแค้นจนหมายหัวพวกเจ้ากระมัง?”

ผู้ฝึกตนหญิงยิ้มเจื่อน “พอเห็นเขา พวกเราก็เผ่นหนีไปไกลทันที”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ควรจะเป็นเช่นนี้ วันหน้าบอกให้ศิษย์น้องของเจ้าใจเย็น สักหน่อย หากได้ลงเขามาฝึกประสบการณ์ท่องอยู่ในยุทธภพอีกครั้ง ควรจะมอง ให้มาก พูดให้น้อย”

ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ดีๆ ก็ได้พูดคุยกับเซียนกระบี่หนุ่มนิสัยยากจะคาดเดาไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องคิดแล้ว นางกับศิษย์น้อง คงต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่ เหอลู่ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งของแคว้น เมิ่งเหลียง

ฟ่านเหวยหราน เซียนเหยี่ยวผู้ถวายงานเฒ่าของนครหวงเยว่ เย่หานเจ้านคร คนที่ตายก็ตาย คนที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ ตนที่ได้พูดคุยกับเซียนกระบี่ท่านนี้ ไหนเลยจะมีจุดจบที่ดีได้?

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว ขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นหัวคิ้วก็พลันคลายออก ยิ้มพูดกับคนทั้งสอง “พบเจอนับเป็นวาสนา พวกเจ้าไปซะเถอะ”

ศิษย์น้องที่นั่งพับอยู่บนพื้นรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งตะบึงไปที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่

ศิษย์พี่หญิงของเขาห้ามไม่ทัน รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวจะต้องมีภาพนองเลือดที่ศีรษะหนึ่งถูกกระบี่บินฟันหลุดกระเด็นแน่นอน คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องของตนไม่เพียงแต่หนี ไปได้ไกล ยังหันมาตะโกนบอกนางด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “ศิษย์พี่หญิงเร็วเข้า!”

ผู้ฝึกตนหญิงมองเซียนกระบี่ชุดขาวที่สายตามีรอยยิ้มคล้ายแสงแดดสายลม ในฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็ทั้งเหมือนบ่อโบราณมืดลึก นางลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะคารวะ “ขอบพระคุณเซียนกระบี่ที่มีเมตตา!”

นางโคจรปราณวิญญาณอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วจึงทะยานตัวออกไปจากตำหนักใหญ่ของวังมังกรที่สภาพเละเทะแห่งนี้ช้าๆ

เฉินผิงอันเดินตรงไปเบื้องหน้า เดินไปทางขั้นบันได อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบนั่งอยู่ตรงนั้น

ส่วนกระบี่บินเล่มนั้นก็บินวนอยู่รอบกายเซียนกระบี่ชุดขาวตลอดเวลา

เซียนกระบี่เชิญท่านตามสบาย ถึงอย่างไรหากวันนี้ข้าถูกฆ่าตายก็จะไม่แม้แต่ จะขยับนิ้วหรือมีความคิดอะไรทั้งนั้น

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้นั่งลงบนที่นั่งซึ่งเหมือนบัลลังก์มังกรของจักรพรรดิ เพียงแค่ยื่นนิ้วออกไปเคาะ คล้ายกำลัง…ทดสอบสินค้า?

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ใช้มือจับพนักเท้าแขน เผชิญหน้ากับทุกคน “วันนี้ข้าตาไม่ดี แบ่งแยกไม่ออกว่าใครดีใครเลว ถ้าอย่างนั้นข้าจะแบ่งพวกเจ้าเป็นคนดีครึ่งหนึ่ง เลวครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน งานเลี้ยงในคืนนี้ ตายครึ่งหนึ่ง รอดครึ่งหนึ่ง หากพวกเจ้า ไม่ใช่สหายสนิทกัน ก็คงต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เกลียดแค้นกันจนแทบอยากตีกัน ให้สมองไหล ถึงอย่างไรก็ต้องรู้รากฐานชาติกำเนิดของกันและกันดี ไหนลองบอกมาสิ ใครทำเรื่องชั่วร้ายอะไรไว้บ้าง พยายามเลือกเรื่องใหญ่ๆ มาพูด ยิ่งน่าอกสั่นขวัญผวาเท่าไรก็ยิ่งดี คนอื่นมี พวกเจ้าไม่มี ก็หมายความว่ากลายเป็นคนดี มีโอกาสได้รอดชีวิตแล้ว”

ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดไร้เสียง

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นยิ้มเอ่ยอีกว่า “ขอเสริมอีกหนึ่งประโยค ไอ้เรื่องตีกันไป ตีกันมา วางอุบายเล่นงานกันของบนภูเขา ไม่นับ คืนนี้พวกเราพูดแค่เรื่องล่างภูเขาเท่านั้น”

แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงอ่อนเยาว์ใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเบาๆ “เซียนกระบี่ ตอนนี้ยังเป็นกลางวันอยู่เลย ไม่ควรพูดว่า ‘คืนนี้’”

เฉินผิงอันมองไปยังคนพูด ก็คือเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีเขียวสด ดูจากตำแหน่งที่นั่งน่าจะเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งที่ดินแดนเซียนเป่าต้งค่อนข้างให้ความสำคัญ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอบใจที่เตือน ข้าเห็นว่าตำหนักใหญ่ของวังมังกรแห่งนี้ จุดตะเกียงสว่างโชติช่วงก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตอนกลางคืนแล้ว”

เย่หานพลันเอ่ยว่า “ที่แท้กระบี่ประจำกายเล่มนี้ของผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ใช่ สมบัติอาคมอะไร ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ว่าก็ควรจะเป็นเช่นนี้ถึงจะถูก”

เฉินผิงอันโบกมือ “ข้ารู้ว่าเทพเซียนโอสถทองอย่างพวกเจ้ามีวิธีการให้ใช้มากมาย รีบไสหัวไปซะเถอะ”

เย่หานหัวเราะเสียงดัง แล้วก็เดินออกไปด้านหน้าโดยตรง ปล่อยให้กระบี่ยาวเล่มนั้นแทงทะลุร่างทั้งร่างของตัวเอง สุดท้ายปักตรึงอยู่บนผนัง

เย่หานถอนหายใจเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่านครหวงเยว่ของพวกเราจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ลูกชายที่มีความหวังว่าจะสืบทอดกิจการบ้านเรือนได้มากที่สุดตายไปแล้ว ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งตายไปแล้ว ข้าเย่หานเองก็บาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา ชีวิตนี้ไม่มีหวังจะเดินข้ามผ่านก้าวนั้นออกไปได้อีกแล้ว เซียนกระบี่ท่านนี้ต้องการให้ข้าเย่หานทำอย่างไรถึงจะไม่ตามไปไล่ฆ่าตัดรากถอนโคนพวกเราถึงนครหวงเยว่?”

เฉินผิงอันยิ้มอ่อน “ง่ายมาก ไม่ต้องมามัววางกับดักข้าอยู่ ในเมื่อข้าทำลายโอสถทองของเจ้าไม่ได้ เจ้าก็รีบไปหาที่พึ่งของเจ้าซะ ก่อนหน้านี้เมื่อทัณฑ์สวรรค์ผ่านไป เขาเคยปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเหนือเมืองสุยเจี้ยมาก่อน หากเดาไม่ผิด ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็น่าจะมีความสัมพันธ์กับเขา คนผู้นั้นขอบเขตสูงมาก ทำร้ายข้าไป ไม่เบา เมื่อเขามา พวกเราก็จะได้เอาบัญชีทั้งเก่าและใหม่มาคิดรวมกัน แต่หากเขาสามารถเรียกเอาคนเบื้องหลังที่ช่วงชิงสมบัติไปได้สำเร็จผู้นั้นมาด้วยกันได้ แล้วร่วมมือกันมาเล่นงานเด็กรุ่นหลังอย่างข้า ก็ถือว่าเจ้าเย่หานมีหน้ามีตาที่ใหญ่โตมากพอ ข้าก็คงได้แต่เผ่นหนีไปให้ว่องไว เจ้าแห่งทะเลสาบของพวกเราท่านนี้มีเจ้าแห่งคูน้ำที่เป็นลูกน้องอยู่คนหนึ่ง ในศาลของนางมีกรอบป้ายแผ่นหนึ่งที่ดีมาก น้ำเขียวไหลยาว”

เย่หานกล่าวอย่างจนใจ “ในเมื่อเซียนกระบี่เปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ตายไม่ยอมเลิกรา ไม่ยอมให้ข้านำพาดวงวิญญาณของเหอลู่จากไปใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าก็อยากจะบอกอยู่เหมือนกันว่าให้เจ้านำสามจิต เจ็ดวิญญาณของเซียนซือน้อยเหอกลับไปได้ จะได้เป็นการเปิดเผยเบาะแสของ วิชาหลบหนีของเจ้า ทว่าต่อให้ก่อนหน้านี้ข้าพูดแบบนี้ เจ้าเย่หานจะกล้าทำเช่นนี้ จริงหรือ? ข้าว่าเจ้าไม่มีทางทำแน่”

เย่หานพยักหน้ารับ “ก็จริง ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เป็นอย่างที่เซียนกระบี่ว่า น้ำเขียวไหลยาว!”

เจ้านครหวงเยว่ท่านนี้บีบแผ่นหยกที่อยู่ตรงเอวให้แตกออกโดยตรง

ร่างหายไปท่ามกลางความว่างเปล่า

เฉินผิงอันหันไปมองทางหลังคาเรือน ราวกับว่าเส้นสายตาได้มองทะลุไปยัง ทิศไกลของทะเลสาบชางอวิ๋นแล้ว

แผ่นหยกแผ่นนี้ถึงกับมีประสิทธิผลในการย่อพื้นที่ได้ดีกว่ายันต์ฟางชุ่นสีทอง แผ่นหนึ่งเสียอีก

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว

รู้สึกปวดหัวราวหัวจะแตก

กระบี่ยาวเล่มที่อยู่บนผนังเปล่งแสงสีทองหนึ่งครั้ง ก่อนจะแทงเข้าไปยังจุด ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแห่งหนึ่งบนร่างไร้หัวของเหอลู่

จากนั้นก็มีควันดำกลุ่มหนึ่งไหลพรูออกมาจากร่างเหอลู่ พริบตาเดียวก็แบ่งแยกกลายเป็นสิบกลุ่ม พยายามจะเผ่นหนีไปทั่วสารทิศ แต่เซียนกระบี่ชุดขาวแค่โบก ชายแขนเสื้อทีเดียว ควันดำทั้งหมดก็กระแทกผนัง กลายเป็นผุยผงที่ร่วงเผลาะๆ ลงบนพื้น

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าก็คลายลงแล้ว “พวกเจ้าสามารถเริ่มอธิบายเหตุผล ตามความเป็นจริงได้แล้ว ต้องทะนุถนอมโอกาสนี้เอาไว้ ข้าเชื่อว่าในชีวิตการฝึกตนของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ มีแค่ไม่กี่ครั้งหรอกที่อาศัยเหตุผลแล้วสามารถช่วยให้ตัวเอง มีชีวิตรอดได้”

เซียนกระบี่ผู้นั้นเอื้อมมือคว้าจับกลางอากาศ ฝักกระบี่ก็พุ่งกลับมาหาเขา กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝักอยู่กลางอากาศ

เขานั่งลงบนบัลลังก์มังกร วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า

เยี่ยนชิงเผชิญหน้ากับเซียนกระบี่ชุดขาวที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงแล้วพูดเสียงหนัก “เจ้าที่เป็นแบบนี้ น่ากลัวจริงๆ!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง”

เด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวสดรีบเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเยี่ยนชิงเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ ในกรอบดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ท่านอย่าพูดอีกเลยนะ ก่อนหน้านี้เขาคิดจะฆ่าท่าน สองครั้งแล้ว เป็นความรู้สึกที่จริงแท้แน่นอน บวกกับครั้งนี้ก็คือเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำ สามอย่างที่เขาพูดแล้ว! เซียนกระบี่ผู้นี้พูดจาเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวน ไม่ว่าใคร ก็ฟังไม่เข้าใจ เดาความหมายของเขาไม่ออก แต่ความคิดของเขาคร่าวๆ ไม่อาจโกหกข้าได้ อาจารย์อาหญิงเยี่ยน ถือว่าข้าขอร้องท่านได้ไหม? ตลอดทั้งสำนักนี้มีเพียงท่านและบรรพจารย์รองเท่านั้นที่จริงใจกับข้าที่สุด ข้าไม่อยากให้ท่านต้องตายไปอีกคน”

ข้อศอกของเฉินผิงอันเท้าอยู่บนที่เท้าแขนของเก้าอี้ โน้มร่างมาด้านหน้า ท่านั่ง ดูเกียจคร้าน “หากยังไม่พูด ข้าจะเลือกฆ่าเองมั่วๆ แล้วนะ”

ดังนั้นจึงเริ่มมีคนเปิดโปงรากฐานของผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่ง

คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของสำนักศัตรู

รากฐานไม่ลึกล้ำ ขอบเขตก็ไม่สูง แต่กลับทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อย

เป็นคนที่คนเล่าตั้งใจเลือกสรรมาเป็นพิเศษ

เมื่อเจอกับเส้นแบ่งแยกความเป็นความตาย หากไม่ใช้สมองเสียบ้าง แล้วจะให้ รอไปร้องทุกข์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่วังยมบาลในตำนานหรืออย่างไร?

วังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นยังคงมีแสงไฟสว่างเรืองรอง ยากจะแยกว่า เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน แต่ทัศนียภาพเหนือทะเลสาบกลับมีพระจันทร์เสี้ยวลอยเหนือกิ่งหลิวแล้ว บรรยายสงบเงียบเป็นสุข

ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยก็พากันดับตะเกียง ไม่ก็ปลดโคมไฟลงแล้วเช่นกัน แต่ละครอบครัวปิดประตูเงียบไม่ออกจากบ้าน ไม่มีใครกล้าเพิ่มแสงสว่างให้ยามค่ำคืนวันนี้เพื่อก่อเรื่องก่อราวโดยไม่จำเป็น

คลื่นมรกตแยกตัวออกจากกัน เซียนกระบี่หนุ่มชุดขาวที่ด้านหลังสะพายกระบี่ คนหนึ่งเดินออกมา ข้างกายคือเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นที่จิตใจสงบลงได้แล้ว

ส่วนในวังมังกรแห่งนั้น เสียงถกเถียงดังอยู่นาน สุดท้ายก็ตายกันไปเกินครึ่ง หาใช่ครึ่งหนึ่งอย่างที่บอกไว้แต่แรกไม่

ทุกคนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ไม่มีใครรู้สึกว่านายท่านเซียนกระบี่ผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ตนมีชีวิตรอดมาได้แล้ว ยังจะไม่รู้จักพออีกหรือ?

ในมือของเฉินผิงอันมีขวดกระเบื้องใสแวววาวขวดหนึ่งเพิ่มมา ด้านในมีน้ำไหล สีเขียวมรกตแผ่กระเพื่อมน้อยๆ แก่นโชคชะตาน้ำขวดนี้ไม่เพียงแต่หายากและมี มูลค่ามาก สำหรับตนแล้วยังไม่ต่างจากฝนที่ตกตรงเวลา

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าแห่งทะเลสาบ เจ้าว่าสรุปแล้วเจ้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่?”

เจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่มีชุดคลุมอาคมสีม่วงหรูหราตัวนั้นอยู่แล้วยิ้มอ่อน “ข้าไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย วันหน้าข้าที่เป็นเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องปกป้องน้ำดินแถบนี้ให้ดีอย่างแน่นอน หากพูดถึงระยะยาว ก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลส่งเดชเหมือนอ้าปากเปิดแม่น้ำ แต่จะทำตามที่เซียนกระบี่สั่งความไว้

นั่นคือปกป้องอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นเวลาร้อยปี จะไม่มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ส่วนหายนะจากมนุษย์นั้นก็จะยังคงทำตามคำสั่งของเซียนกระบี่ จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันไป”

“อ้าปากเปิดแม่น้ำ นี่ถือเป็นคำกล่าวที่ดีของบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางน้ำอย่างพวกเจ้า”

เฉินผิงอันยิ้มแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ยังมีเรื่องนั้น อย่าลืมเสียล่ะ”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ย่อมต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ เซียนกระบี่วางใจได้เลย หากไม่สำเร็จ วันหน้าเมื่อเซียนกระบี่กลับมาจากการเดินทางท่องเที่ยวแล้วผ่านทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้ ค่อยใช้กระบี่ฟันฆ่าให้ตายก็แล้วกัน”

เซียนกระบี่ชุดขาวผู้นั้นจึงทะยานลมจากไปไกล

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ไม่เพียงแต่ไม่มีชุดคลุมมังกร ยังไม่มีบัลลังก์มังกรตัวนั้นด้วยก้มตัวค้างไว้ไม่ยอมยืดเอวขึ้นตรงเป็นนาน รอจนกระทั่งเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น จากไปไกลได้ร้อยกว่าลี้แล้วถึงได้พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด

คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่มีชีวิตรอดมาได้ จะรู้สึกเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้

มหามรรคาไม่แน่นอนก็หนีไม่พ้นอย่างนี้เอง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เซียนกระบี่อยู่ในตำหนักใหญ่ของวังมังกร เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนเขาทำตัวเป็นเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งมีการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจนเลยเล่า?

แปลกซะจริง

นี่คงจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงในตำนานกระมัง

ผู้ฝึกตนหญิงสองคนแหวกน้ำออกมาบนผิวทะเลสาบ เวลานี้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่ได้เห็นดวงหน้างามล้ำนั้นอีกครั้งก็รู้สึกเพียงว่ามองแค่แวบเดียวยังรู้สึกแสบตา หายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งเหล่านี้ที่นำพามา!

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบแค่นเสียงเย็นในลำคอ แล้วจึงร่ายเวทหลบน้ำจากไป

เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวพูดบ่น “เซียนกระบี่ผู้นั้นโลภในทรัพย์สินมากเลย ได้มงกุฎทองตระกูลเซียนของบรรพจารย์ฟ่านไปแล้ว แม้แต่บนศีรษะของ อาจารย์อาหญิงเยี่ยนก็ยังไม่ยอมละเว้น! หากเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง แต่เขายังกล้ามาถามว่ามีเงินร้อนน้อยเงินฝนธัญพืชหรือไม่ ที่ข้าไม่เลื่อมใสเซียนกระบี่ก็ถือว่าคิดถูกแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ที่แม้แต่ห่านบินผ่านก็ยังจับมาถอนขนแบบนี้ ไม่มีมาดของ เซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย!”

ที่แท้บนศีรษะของเยี่ยนชิงก็ไม่มีมงกุฎทองอยู่แล้ว

นางจับมือของเด็กสาว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยสีหน้าเคว้งคว้าง จากนั้นก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใช่แล้ว แม่หนูชุ่ยจะเลื่อมใสคนแบบนี้ไปไย”

เด็กสาวกอดแขนของเยี่ยนชิงไว้แล้วแกว่งเบาๆ ถามอย่างใสซื่อว่า “อาจารย์ อาหญิงเยี่ยน ทำไมพวกเราไม่กลับดินแดนเซียนเป่าต้งพร้อมกับคนในสำนักล่ะ โลกภายนอกช่างอันตรายยิ่งนัก”

เยี่ยนชิงพลันหัวเราะ “แม่หนูชุ่ย พวกเราอย่าเพิ่งกลับสำนักกันเลย ไปลอง ท่องยุทธภพกันดูก่อนดีไหม?”

เด็กสาวคิดตามแล้วก็คลี่ยิ้มสดใส รอยยิ้มนั้นดุจแสงอาทิตย์สว่างจ้าน่ามอง “ตกลง ข้าอยากแอบดื่มเหล้ามาตั้งนานแล้ว!”

ยามที่ผู้ฝึกตนในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นแตกฮือเหมือนนกแตกรัง

เซียนกระบี่ชุดขาวก็ขี่กระบี่กลับเข้าเมือง แต่กลับไม่ได้ตรงไปที่เรือนผี

พอเก็บกระบี่สอดไว้ด้านหลังแล้วก็พลิ้วกายลงในตรอกเล็กที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ก้มเอวไปหยิบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมา มือหนึ่งของเขาถือเงิน อีกมือหนึ่งใช้พัดพับเคาะหน้าผากตัวเอง หน้าตาบึ้งตึงคล้ายไม่อาจยอมรับตัวเองได้ ปากพูดพึมพำ ด้วยว่า “เงินที่สกปรกมือแบบนี้ก็ยังจะเก็บมาอีกหรือ? ตอนอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบก็ได้สมบัติมาก้อนใหญ่ขนาดนั้นแล้ว คงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง ช่างเถิดๆ ก็จริงนะ หากไม่เก็บไปทิ้งไว้ก็เสียเปล่า วางใจเถอะ หลายปีมานี้ยังไม่เคยได้เป็นผู้ฝึกตนดีๆ กับเขาสักที ข้าหาเงิน ข้าฝึกตน ข้าฝึกหมัด ใครที่ทำได้ไม่ดีพอก็ต้องเป็นลูกเป็นหลานของคนอื่น สังหารก่อกำเนิดยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากคิดจะงัดข้อกับตัวเองขึ้นมา ข้าเคยแพ้ด้วยหรือ? ก็ได้ เคยแพ้ แถมยังแพ้อนาถมากด้วย แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นข้าที่ร้ายกาจอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

คำพูดประโยคนี้เกรงว่าคงมีแต่เจียงซ่างเจินหรือไม่ก็หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วย ฉงเสวียนที่มาอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะฟังเข้าใจ

ชายแขนเสื้อกว้างโบกสะบัด เซียนกระบี่ชุดขาวเดินกลับเรือนผีอย่างเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้

บางครั้งที่เดินผ่านเรือนที่เทพทวารบาลหน้าประตูสามารถฟูมฟักแสงแห่งปัญญาได้บ้างแล้ว เทพเหล่านั้นก็จะพากันถอยร่นหลบซ่อนตัวทันที

ดีดปลายเท้ากระโดดข้ามกำแพง พลิ้วกายลงในลานเรือน

หลังจากเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นแล้ว ก็พลันหรี่ตาลงทันที

ตู้อวี๋ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนคนเห็นผีกลางวันแสกๆ รีบแบมือออก เผยให้เห็น เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารซึ่งไม่รู้ว่าสามารถเอาไปซื้อเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างได้มากแค่ไหน แม้ว่าฟันจะกระทบกันดังกึกๆ แต่ก็ยังคงร้องทุกข์ออกมาอย่าง หมดเปลือก

“ผู้อาวุโส คนผู้หนึ่งที่ตอนแรกบอกว่าตัวเองชื่อโจวเฝย ภายหลังดันบอกว่าตัวเองชื่อเจียงซ่างเจินบอกว่าเป็นพี่น้องกับผู้อาวุโส แย่งเอาเด็กคนนั้นไปแล้ว ข้าถูกเขา ร่ายเวทกักร่างจึงไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลย ต่อให้คิดจะสู้สุดชีวิตก็ยังคงทำไม่ได้ เขายังบอกอีกว่าเด็กกำพร้าคนนั้นมีพรสวรรค์ในการฝึกตน เขาจะพากลับไปยังแจกันสมบัติทวีป บอกให้ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง แค่ท่องเที่ยวอยู่ทางเหนืออย่างสบายใจ ก็พอ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปลดเจี้ยนเซียนแล้วโบกมือง่ายๆ หนึ่งที ทั้งกระบี่และ ฝักกระบี่ก็ปักตรึงลงไปกลางระเบียง จากนั้นเขาก็มานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผูกเอว กระบี่บินสืออู่บินกลับเข้าไปด้านในอย่างเริงร่า เฉินผิงอันทิ้งตัว นอนหงายไปด้านหลัง เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้แล้ว เม็ดเสื้อเกราะจินอูชิ้นนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ของที่ควรเป็นของเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจเจ้าคนผู้นั้น ถึงอย่างไรเขาก็มีเงิน เงินมากไป ยังร้อนลวกมืออีกด้วย”

ตู้อวี๋อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เกร็งหน้ากลั้นยิ้มไม่ไหว ในที่สุดก็นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กได้อย่างสบายใจ พินิจพิเคราะห์เม็ดเสื้อเกราะของ สำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นอย่างละเอียด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขาแล้วก็หัวเราะ “ข้าจะไม่รั้งรออยู่ที่นี่นาน ถึงเวลานั้นเจ้าก็ออกไปจากเมืองพร้อมกับข้า จากนั้นต่างคนก็ต่างไป แต่บอกกับเจ้าไว้ก่อนว่า วันหน้าเจ้าจะเป็นตาย โชคดีหรือเจอเคราะห์กรรม ข้าก็พูดได้แค่ว่าอาจจะไม่ต้องตายสถานเดียวเสมอไป ข้าได้บอกกับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นไปแล้วว่า การเดินทาง ไปเยือนทิศเหนือครั้งนี้ ข้ายังจะต้องกลับมาทางใต้อีก ก็ถือว่าเป็นยันต์คุ้มกันกาย แผ่นหนึ่งสำหรับเจ้า แต่กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นยันต์ช่วยชีวิตอยู่ดี แผนการในเมือง สุยเจี้ยครั้งนี้ หากข้าเดาไม่ผิด ผู้บงการเบื้องหลังไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่แค่คนเดียว แต่เป็นสองคน ยังดีที่คนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับ แคว้นเมิ่งเหลียง เขาได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว สังหารข้า…แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องดึงดันทำ

แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือพวกเขาไม่ลงมือเล่นงานข้า หากข้าไม่ได้ตายอยู่ในทิศเหนือ ยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้ก็จะใช้ได้ผลไปตลอด ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ พ่อแม่ ไม่ใช่บรรพบุรุษของเจ้า หลังจากนี้เจ้าตู้อวี๋ก็ภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีเถอะ ดังนั้นหากวันใดเจ้าถูกคนฆ่าตาย อย่างน้อยที่สุดคนที่ลงมือก็ต้องเป็นก่อกำเนิด ถึงเวลานั้นข้าก็จะพยายามแก้แค้นแทนเจ้าแล้วกัน”

คำพูดบางอย่าง

เฉินผิงอันเลือกที่จะไม่พูดออกไป

ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินไม่เคยทำอะไรอืดอาดยืดยาด

ไม่แน่ว่านอกจากพบหน้าตู้อวี๋แล้ว เขาเจียงซ่างเจินยังจะไปพูดบางอย่างกับ คนนอกอีกด้วย

เจ้าคนที่มีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลดั้งเดิมผู้นี้ คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เฉินผิงอันคิดว่าทำอะไรป่าเถื่อนยิ่งกว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก

เฉินผิงอันรู้ดียิ่งกว่าใครว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นรับมือได้ยากแค่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินยัง…มีเงิน

เฉินผิงอันไม่กล้าแน่ใจเลยว่าหากเจ้าหมอนี่เจอกับชุยตงซาน ใครจะมีสมบัติอาคมมากกว่ากันแน่

คาดว่าคนทั้งสองอาจจะต่างคนต่างยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งแทะเมล็ดแตง จากนั้น ก็ไม่ลงมือทำอะไร เพียงแค่แต่ละคนปล่อยสมบัติอาคมออกมา เจ้าขว้างมา ข้าโยนกลับ ทั้งสองฝ่ายจะนั่งคุยกันไปได้ตลอดทั้งคืนเลยหรือไม่?

ดังนั้นถึงบอกว่าต้องหาเงินให้ได้มากๆ อย่างไรเล่า

บวกกับเด็กคนนั้นที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็เท่ากับ ‘ตกลงไปในถุงเงิน’ ที่ก็ถือว่าเป็นเขา เฉินผิงอันติดค้างน้ำใจของผู้อื่น อีกทั้งยังไม่ใช่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย

ตู้อวี๋ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็เก็บเม็ดเสื้อเกราะจินอูเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ มารดามันเถอะ หนักจริงๆ ก่อนจะพูดยิ้มหน้าบานว่า “ผู้อาวุโส ข้าตู้อวี๋ไม่ได้ชมตัวเองจริงๆ นะ ผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้อยู่ข้างกายผู้อาวุโส เวลานี้ข้าใจกล้า ขึ้นเยอะเลย!”

เฉินผิงอันมองตู้อวี๋

ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ “ข้าพูดไปอย่างนั้นเองแหละ!”

ถือว่าตนชิงพูดก่อนแล้ว ไม่รบกวนให้ท่านผู้อาวุโสต้องเอ่ยด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันคลี่พัดพับออกโบกเบาๆ ยิ้มกว้างเอ่ย “โอ้โห พอได้เจอกับเจียงซ่างเจิน พี่น้องตู้อวี๋ก็มีความสามารถเพิ่มขึ้นเลย”

ตู้อวี๋หัวเราะหน้าเป็น “มิกล้าๆ ผู้อาวุโสเจียงคือเพื่อนรักของผู้อาวุโส ข้าที่เป็นผู้น้อยในผู้น้อยมิอาจเอื้อมไปประจบ”

เฉินผิงอันหลับตาลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เริ่มทำตัวน่าขนลุกอีกแล้วนะ”

ตู้อวี๋เกาหัว

พอฟ้าสาง ผู้อาวุโสก็มอบหมายให้เขาไปทำเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือ ให้ไปซื้อกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลและตัวอักษรคำว่าชุนกับคำว่าฝู

ตู้อวี๋รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่ได้กลัวว่าหากออกจากเรือนไปแล้วจะถูกคนปาขี้ใส่ แต่กลัวว่าเทพเซียนบนยอดเขาอย่างบรรพจารย์ฟ่าน เจ้านครเย่จะเลือกรังแก คนที่อ่อนแอกว่า ฉวยโอกาสนี้ตบตนให้ตายด้วยหนึ่งฝ่ามือแล้วเผ่นหนีไป

การเดินทางไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นของผู้อาวุโสในคืนนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสไม่พูด ตู้อวี๋ก็ไม่กล้าถามมาก

ตู้อวี๋ไปซื้อของที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยแตะมาก่อนด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ไม่เพียงแต่จ่ายเงินซื้อของ ยังตกรางวัลให้ร้านเป็นเศษเงินก้อนส่วนหนึ่งด้วย

มารดามันเถอะ ทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโสต้องทำหน้ามีเมตตาปราณี ทำตัวดีกับทุกคนแล้ว!

หากทำให้เด็กคนใดบนถนนตกใจขึ้นมา ตู้อวี๋ก็คิดอยากจะเป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อนด้วยซ้ำ

กลับมาถึงเรือนผีได้อย่างราบรื่นและครบทั้งสามสิบสองประการ ตู้อวี๋ที่ยืนสะพายห่อสัมภาระอยู่นอกประตูก็ยกมือปาดเหงื่อ ยุทธภพอันตราย ทุกหนทุกแห่ง มีแต่ปราณสังหาร ต้องอยู่ใกล้ๆ ผู้อาวุโสถึงจะสบายใจจริงๆ ด้วย

เวลานี้ตู้อวี๋เห็นใครบนถนนก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นคือยอดฝีมือที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำไปหมดแล้ว

จากนั้นผู้อาวุโสก็รับเอาห่อผ้าไป ไม่จำเป็นต้องให้ตู้อวี๋ช่วย เขาก็เริ่มติดภาพ เทพทวารบาล กลอนคู่ และตัวอักษรชุนกับตัวอักษรฝูด้วยตัวเองเพียงลำพัง

เมื่อผู้อาวุโสติดตัวอักษรชุนแผ่นสุดท้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองเหม่อ

อยู่ดีๆ ตู้อวี๋ก็นึกขึ้นมาว่าผู้อาวุโสเคยเอ่ยประโยคว่า ‘ค่ำคืนลมวสันต์พัดโชย’ และยังบอกว่าคำกล่าวที่ดีขนาดนี้ ไม่ควรจะเอามาเหยียบย่ำ

คนทั้งสองออกมาจากเรือนผี

ผู้อาวุโสไปที่ซากปรักของศาลเทพอัคคีมารอบหนึ่ง ทุกที่ที่เดินผ่าน พวกชาวบ้านล้วนวงแตก หวาดกลัวราวกับเขาเป็นเสือเป็นหมาป่าก็มิปาน

ผู้อาวุโสนั่งลงบนพื้นด้านหน้าซากของตำหนักหลัก หยิบธูปออกมาสามดอก พอเสียบธูปปักลงพื้นแล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คงจะให้สมใจปรารถนาของเจ้า ที่แค่หลับตาก็จบเรื่องแล้วไม่ได้ ยังต้องให้เจ้ามาร่วมรำคาญใจไปพร้อมกับข้าอีก คราวหน้าที่พบกัน หลังด่าข้าจบแล้วก็อย่าลืมเลี้ยงเหล้าข้าด้วยล่ะ”

ตู้อวี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงพูดเช่นนี้ หรือว่านายท่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาล เทพอัคคีที่ตายจนตายอีกไม่ได้แล้วจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก? แต่ต่อให้ศาลถูกสร้างขึ้นใหม่ ที่ว่าการในพื้นที่สร้างเทวรูปดินเผาให้ใหม่ และยังไม่ถูกตัดชื่อออกไปจากทำเนียบภูเขาแม่น้ำของราชสำนักแคว้นอิ๋นผิง แต่นี่ต้องใช้ควันธูปกี่มากน้อยกัน จะต้องให้ชาวบ้านเมืองสุยเจี้ยภาวนาอย่างจริงใจมากแค่ไหนถึงจะสามารถสร้าง ร่างทองกลับคืนมาใหม่ได้อีกครั้ง?

หลังจากที่คนทั้งสองออกมาจากเมืองสุยเจี้ยด้วยกัน

เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำร่วมกันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็มีวันหนึ่ง ผู้อาวุโสที่เดิมทีไม่สวมงอบและชุดเขียวมานานแล้วก็หยิบเอางอบและไม้เท้าเดินป่าออกมาอีกครั้ง สะพายหีบไม้ไผ่ที่หนักอึ้ง แต่ยังคงสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะตัวเดิม

เฉินผิงอันยื่นกระดาษสองแผ่นให้ตู้อวี๋ “แผ่นหนึ่งมีชื่อว่ายันต์ปราณหยางส่องไฟ อีกแผ่นหนึ่งมีชื่อว่ายันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง วันหน้าเมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ ทำดีทำชั่วล้วนเป็นเรื่องของเจ้าตู้อวี๋เอง แต่หากเจอกับเรื่องเกินความจำเป็นที่จะทำก็ได้ไม่ทำ ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นอยากเป็นจอมยุทธผู้มีใจผดุงคุณธรรม หรืออยากเป็น ผู้ฝึกลมปราณที่ช่วยชาวบ้านกำจัดปีศาจปราบมารสักครั้ง เจ้าถึงจะสามารถใช้ ยันต์สองชนิดนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ละโมบเลย เรียนวิธีวาดยันต์ได้สำเร็จแล้ว ก็มองว่าพวกมันเป็นกระดาษเสียๆ สองแผ่นไปซะ ทำได้หรือไม่?

คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเอาไว้หรือไม่ หากรับเอาไว้ อ่านจบแล้ว ก็จำไว้ว่าต้องทำลายให้สิ้นซาก หากไม่รับไว้ก็จากไปได้เลย ไม่เป็นไร”

ตู้อวี๋รับกระดาษสองแผ่นนั้นไว้อย่างไม่ลังเล “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ก็เหมือน อย่างที่ผู้อาวุโสเคยบอก เป็นตาย โชคหรือเคราะห์ล้วนหาใส่ตัวเองทั้งสิ้น วันนี้ ข้ารับกระดาษสองแผ่นนี้มาแล้ว ในอนาคตเมื่อฝึกวิชายันต์ตระกูลเซียนที่ผู้อาวุโสถ่ายทอดให้ได้สำเร็จ ขอแค่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ต้องตายสถานเดียว อีกทั้งยังมีความคิดเช่นนั้นอยู่ อะไรที่ข้าตู้อวี๋ทำได้ก็จะต้องลองทำดูอย่างแน่นอน!”

คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม ตบไหล่ตู้อวี๋ “ดีมาก”

ตู้อวี๋ถึงขั้นน้ำตาคลอนิดๆ

มองเงาร่างที่ค่อยๆ จากไปไกลของผู้อาวุโส

ตู้อวี๋พลันถามว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเป็นเซียนกระบี่ เหตุใดถึงไม่ขี่กระบี่ เดินทางไกล?”

คนผู้นั้นเพียงแค่จับประคองงอบ โบกมือให้เขาแล้วเดินหน้าต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!