บทที่ 511 ผู้อาวุโสข้ายอมให้ท่านสามหมัดก็แล้วกัน
ตลอดทางที่รอนแรมกันมานี้ได้ผ่านแคว้นเถาจือ แต่กลับไม่ได้ไปเยี่ยมเยือน จวนชิงชิ่ง แม่นางน้อยชุดดำรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอได้อ้อมผ่าน ตำหนักจินอูที่เล่าลือกันว่ามักจะมีแสงกระบี่พุ่งสวบๆๆ เป็นประจำ แม่นางน้อย ก็กลับมาอารมณ์ดีได้อีกครั้ง
อารมณ์ของแม่นางน้อยไม่ต่างจากก้อนเมฆบนท้องฟ้า
วันนี้ขณะอยู่ที่ท่าเรือขนาดเล็กของตระกูลเซียนที่ทุกหนแห่งล้วนมีแต่เรื่องแปลกใหม่ ในที่สุดก็จะได้โดยสารเรือข้ามฟากทะยานเมฆหมอกเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว! ตลอดทางที่เดินกันมา เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
แม่นางน้อยชุดดำยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ เบิกตากลมโต อีกนิดเดียวก็จะทำให้ตาตัวเองเจ็บได้แล้ว น่าเสียดายก็แต่สองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อไปถึงสถานที่ที่มีผู้ฝึกตนรวมกลุ่มกันมากมาย นางจำเป็นต้องยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่แล้วทำตัวเป็นคนใบ้น้อยอย่างว่าง่าย อันที่จริงในหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไม่ได้มีสิ่งของอะไร ก็แค่ กระบี่ผุๆ ที่ไม่เคยเห็นเขาชักออกจากฝักเล่มหนึ่ง นางจึงแอบเตะมันอยู่สองสามที เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นางคิดจะย่อตัวลงไปดึงออกจากฝัก คนผู้นั้นก็จะต้องเปิดปากบอกนางว่าอย่าทำแบบนั้นดีกว่า อีกทั้งยังข่มขู่นางด้วยว่า กระบี่เล่มนี้อดทนกับเจ้า มานานมากแล้ว หากยังได้คืบแล้วจะเอาศอก เขาจะไม่สนใจอีก
นี่ทำให้นางอัดอั้นอยู่นาน เวลานี้จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้าย ก็ยังเขกมะเหงกลงบนท้ายทอยของเจ้าหมอนั่น จากนั้นก็ใช้มือสองข้างจับหีบไม้ไผ่ แสร้งทำเป็นงีบหลับ อีกทั้งยังเป็นการหลับแบบกรนเสียงดังครอกๆ ด้วย ตอนแรกบัณฑิตยังไม่สนใจ เขากำลังต่อรองราคากับเถ้าแก่ในร้านแห่งหนึ่งเพื่อซื้อสมุดคัดลอกลายหนึ่งชุด ภายหลังแม่นางน้อยรู้สึกว่าสนุก จึงม้วนชายแขนเสื้อแล้วเขกรัวๆ ดังก๊อกๆๆ บัณฑิตชุดขาวเดินออกจากร้านมาแล้ว
เขาจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญเพื่อซื้อแผ่นคัดลอกลายที่ทั้งชุดมีสามสิบสองแผ่น แล้วก็ไม่ได้หันหลังกลับมามอง เพียงถามว่า “ยังไม่เลิก?”
แขนข้างหนึ่งของแม่นางน้อยชุดดำค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตบไหล่บัณฑิตด้วยท่าทางนุ่มนวล “เอาล่ะ คราวนี้ก็ไม่มีฝุ่นแล้ว ยิ่งดูเหมือนบัณฑิตมากกว่าเดิมแล้ว เจ้าคนแซ่เฉิน ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะเป็นตอไม้ทื่อที่ไม่เข้าใจ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาเสียเลย ไปขวางเรือหอเรือนอยู่บนแม่น้ำใหญ่ บนเรือมีสตรี ชนชั้นสูงดีๆ ตั้งเท่าไรที่มองเจ้าด้วยสายตาเหมือนจะกินคน ทำไมเจ้าไม่ขึ้นเรือไป ดื่มชาสักถ้วยเล่า? พวกนางไม่ได้จะกินคนจริงๆ เสียหน่อย”
เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อ “เจ้าตีข้าสิบหกที ข้าจดไว้ในสมุดบัญชีแล้ว หนึ่งทีหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
แม่นางน้อยยกสองมือกอดอก เขย่งปลายเท้ายืนอยู่ในหีบหนังสือ หลุดหัวเราะพรืด “เงินเล็กๆ น้อยๆ เหมือนฝนปรอยๆ!”
เฉินผิงอันพานางขึ้นเรือข้ามฟากลำนั้นไปด้วยกัน
สะพายภูตน้อยไว้แบบนี้ค่อนข้างจะดึงดูดสายตาผู้คน
ทว่าสายตาที่มองมาส่วนใหญ่ล้วนมีแต่แววดูถูกเหยียดหยาม ออกมาอยู่ข้างนอก ผู้ฝึกตนที่สามารถขี่ราชันแห่งขุนเขาเป็นภาหนะขึ้นเขาลงห้วย ขี่เจียวหลงลงน้ำข้ามมหาสมุทร นั่นต่างหากจึงจะเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ เป็นเทพเซียนที่แท้จริง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมาก
ช่วงเวลาฝนธัญพืชมักจะมีฝนตกตอนกลางคืน กลางวันฟ้าโปร่ง สายฝนให้กำเนิดร้อยธัญพืช หมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนใสสะอาดแจ่มกระจ่าง อันที่จริงจึงเหมาะ แก่การเดินเท้าชื่นชมภูเขาสายน้ำอย่างยิ่ง
เพียงแต่เฉินผิงอันยังคงหวังว่าจะสามารถไปทันช่วงท้ายของงานชุมนุมที่ สวนน้ำค้างวสันต์ ตนที่เป็นร้านผ้าห่อบุญจะเอาแต่อยู่ว่างๆ เที่ยวเล่นไปวันๆ ก็คง ไม่ค่อยดี
แม่นางน้อยชุดดำยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “ขึ้นเรือหอเรือนไปดื่มชาก็ดีจะตายไป ตอนนั้นข้าที่อยู่บนฝั่งเห็นชัดเลยล่ะว่ามีสตรีอายุน้อยแต่งกายงดงามหรูหราสองคน หน้าตาก็ไม่เลวเลยจริงๆ นี่คือเรื่องดีที่จะมีสาวงามมาเคียงกายเชียวนะ”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากเจ้าเป็นบุรุษ ข้าคาดว่าอยู่ที่ทะเลสาบคนใบ้นานวันเข้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเห็นสาวงามแล้วเกิดความปรารถนาจนสร้างภัยพิบัติให้กับพื้นที่นั้นแน่ๆ หากข้าเจอกับเจ้าในเวลานั้น แล้วจวนชิงชิ่งจะจับตัวเจ้าไปเป็น แม่ย่าลำคลอง หรือไม่ตำหนักจินอูจะลักพาตัวเจ้าไปเป็นสาวใช้ ข้าก็ไม่มีทางลงมือ มีแต่จะปรบมือร้องสนับสนุนอยู่ด้านข้าง”
แม่นางน้อยชุดดำโมโหจึงต่อยไหล่เจ้าคนปากเปราะผู้นี้ “พูดจาเหลวไหล ข้าคือภูตน้ำใหญ่ แต่กลับไม่เคยทำร้ายใคร! ขนาดจะข่มขู่คนข้ายังไม่อยากทำเลย!”
เฉินผิงอันไม่เห็นเป็นสำคัญ “เงินเกล็ดหิมะอีกเหรียญหนึ่งแล้ว”
แม่หนูน้อยกำลังจะปล่อยหมัดต่อยเข้าที่ท้ายทอยของคนผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยว่า “หากตีหัว ครั้งละหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย”
แม่นางน้อยลองคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเอง หากไม่นับรวมเงินฝนธัญพืช ที่ใช้ไถ่ตัวเองแล้ว อันที่จริงก็เหลือสมบัติอีกไม่มากแล้ว
มิน่าเล่าพวกคนในยุทธภพที่เดินทางผ่านทะเลสาบคนใบ้ถึงได้ชอบบ่นว่าเงินทองก็คือความกล้าหาญของวีรบุรุษ
นางขมวดคิ้ว คิดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าคนแซ่เฉิน เจ้าให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืช หนึ่งเหรียญสิ? ตอนนี้ข้าเงินขาดมือ ตีเจ้าได้แค่ไม่กี่ทีเอง”
เฉินผิงอันไม่สนใจนาง เพียงแค่ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมือง ข้าถึงได้ซื้อผักดองมาหนึ่งไห?”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างสงสัย “ข้าจะไปรู้ความคิดเจ้าได้ยังไง หรือว่าระหว่างที่เดินทางมานี้กินผักดองหมดแล้ว? ข้าก็กินไม่มากนี่นา เจ้าขี้เหนียว ทุกครั้งพอข้าคีบผักดองขึ้นมาทีไร เจ้าก็ต้องเหล่มองข้าทุกที”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ปลาผักดองอร่อยนักล่ะ”
แม่นางน้อยรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากจริงๆ เพราะนางเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย ได้ทันที นางน้ำตาคลอเจียนจะหยด นั่งยองลงในหีบไม้ไผ่ แอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ นางทั้งฉลาดเฉลียว ทั้งชีวิตรันทดยิ่งนัก
เพียงแต่ว่าพอไปถึงห้องที่อยู่ชั้นล่างของเรือ เจ้าหมอนั่นวางหีบไม้ไผ่ลงแล้ว นางก็กระโดดออกมา เอาสองมือไพล่หลัง จุ๊ปากพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “คนยากจน!”
เฉินผิงอันปลดงอบลง บนโต๊ะมีน้ำชาวางอยู่ ว่ากันว่าเป็นน้ำชาอ้อมหมู่บ้านซึ่งเป็นผลผลิตพิเศษเฉพาะถิ่นของท่าเรือ ที่อื่นหาดื่มไม่ได้ จึงรินใส่ถ้วย พอดื่มไปแล้ว ไม่มีปราณวิญญาณใดๆ แต่มีรสชาติหวานสดชื่นอย่างแท้จริง ว่ากันว่าก่อนที่ท่าเรือ จะสร้างขึ้น เคยมีขุนนางคนหนึ่งที่ลาออกจากงานมาใช้ชีวิตสันโดษอยากจะสร้างเรือนสำหรับหลบร้อนแห่งหนึ่ง จึงบุกเบิกภูเขาตัดต้นไม้ จนเจอเข้ากับบ่อเล็กๆ บ่อหนึ่ง ตอนนั้นเห็นเพียงว่ามีแสงเรืองรองปกคลุมเหมือนผ้าม่านโปร่งบาง น้ำในบ่อก็เย็น สดชื่นมากเป็นพิเศษ เหมาะกับการต้มชาที่สุด รองลงมาคือนำมาหมักเหล้า ภายหลังพวกผู้คนที่ได้ยินชื่อเสียงก็พากันมาเยือน หนึ่งในนั้นมีผู้ฝึกตนที่มักจะชอบแต่ง บทประพันธ์ร่ายบทกวีอยู่เป็นประจำ แล้วก็เป็นเพราะเขาถึงได้ค้นพบว่าที่แท้บ่อ แห่งนี้มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่ล้วนถูกกักเก็บไว้ในบริเวณใกล้เคียงกับภูเขา ลูกเล็ก ถึงได้มีท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้เกิดขึ้น อันที่จริงยังอยู่ห่างจากศาลบรรพจารย์ของสำนักที่เป็นเจ้าของท่าเรือค่อนข้างไกล
เฉินผิงอันเริ่มตั้งสองมือฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว แม่นางน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้ แกว่งขาสองข้าง พูดอย่างอัดอั้น “ข้าอยากกินกุยหลิงเกา (ลักษณะเป็นวุ้นสีดำตัดเป็นชิ้นๆ มองดูคล้ายกระดองเต่า เหมือนเฉาก๊วยของไทย สรรพคุณช่วยลดความร้อน เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย) ของร้านที่อยู่มุมถนนท่าเรือ เย็นๆ ขมๆ หน่อย ตอนนั้นข้าได้แต่ยืนอยู่ในหีบไม้ไผ่ ถูกแรงกระเด้งกระดอนทำให้เวียนหัวไปหมด ยังไม่ทันรู้รสชาติที่แท้จริงของมันเลย ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่เดินวุ่นไปทั่ว เดี๋ยวก็มองตรงนั้นที เดี๋ยวก็มองตรงนี้ที ซื้อของจริงๆ ไม่กี่ชิ้น แต่กลับเดินไม่น้อย เร็วเข้า เจ้าชดใช้กุยหลิงเกามาให้ข้าเลย”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
อันที่จริงแม่นางน้อยก็แค่เบื่อมากจึงหาเรื่องชวนคุยเท่านั้น
แต่พอบัณฑิตชุดขาวเริ่มเดินกลับไปกลับมาอีกครั้ง นางก็รู้ว่าตัวเองคงได้แต่ เบื่อหน่ายอยู่คนเดียวต่อไปอีกแล้ว
นางจึงกระโดดลงจากเก้าอี้ ลากมันไปที่ข้างหน้าต่าง ขึ้นไปยืน เอาสองมือกอดอก เรือข้ามฟากมีสองชั้น เจ้าหมอนั่นขี้เหนียว ไม่ยอมจ่ายเงินเช่าห้องด้านบนที่ทัศนียภาพและการมองเห็นดีกว่า ดังนั้นด้านนอกของห้องแห่งนี้จึงมักจะมีคนเดินไปเดินมาบนระเบียงเรือด้านนอก ตรงราวรั้วมีคนที่จับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคนยืน อยู่นี่ทำให้นางหงุดหงิด คนมากขนาดนี้กลับไม่มีใครสักคนที่รู้ว่านางคือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้
เรือข้ามฟากค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ร่างของนางส่ายโอนเอนไปมา อารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน หันหน้าไปพูดกับคนผู้นั้น “บินแล้วๆ มาดูเร็วเข้า ร้านตรงท่าเรือนั้นเล็กลงแล้ว! เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเลย!”
คนผู้นั้นเอาแต่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง
คนที่อยู่ตรงราวรั้วของเรือมีไม่น้อยที่กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องน่าสนใจที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ขอแค่พูดถึงแคว้นเป่าเซียงและหุบเขาลมเหลือง แม่นางน้อยก็จะต้องเงี่ยหูตั้งใจฟังทันที อีกทั้งยังฟังอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ไม่ยอมให้พลาดไปแม้แต่ คำเดียว
มีคนบอกว่าบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองของหุบเขาลมเหลืองแห่งนั้นกายสลายมรรคาดับไปแล้ว แต่กลับไม่ใช่เพราะถูกบรรพจารย์อาน้อยที่เป็นเจ้าตำหนักจินอูสังหารด้วยหนึ่งกระบี่ ดูเหมือนว่าบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองจะแค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะกระบี่นั้น แต่จากนั้นได้ถูกภิกษุสมณศักดิ์สูงเปี่ยมคุณธรรมของแคว้นเป่าเซียงท่านหนึ่งที่เดินทางผ่านมากำราบเอาไว้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมภิกษุเฒ่ารูปนั้นถึง ไม่เคยยอมรับในเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรมากกว่านั้น
แม่นางน้อยสะบัดศีรษะด้วยความโมโห ยกสองมือเกาหัว หากไม่เป็นเพราะบัณฑิตชุดขาวแซ่เฉินบอกกับนางว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปพูดส่งเดชกับคนนอก ปากของนางก็สามารถอ้ากว้างได้เท่ากระด้งเลยล่ะ!
นางอยากจะตะโกนดังๆ ให้คนข้างนอกหน้าต่างได้ยินจริงๆ ว่า บรรพจารย์ ชุดคลุมเหลืองถูกพวกเราสองคนฆ่าตาย!
แม่นางน้อยหันหน้ามาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ พูดเบาๆ ว่า “ข้าสามารถเผยร่างจริงแล้วกรีดเนื้อตัวเองออกมาสองสามจิน เจ้าเอาไปทำปลานึ่งได้เลย แต่จากนั้นเจ้า ก็ให้ข้าได้ไปบอกกับคนพวกนั้นได้ไหม ข้าจะไม่บอกว่าเจ้าเป็นคนฆ่าบรรพจารย์ ชุดคลุมเหลือง เพียงแค่จะบอกว่าข้าคือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ก็เลยได้เห็นศึกใหญ่ครั้งนั้นกับตาตัวเอง”
คนผู้นั้นกลับเอ่ยอย่างแล้งน้ำใจ “จะรีบร้อนไปไย วันหน้ารอให้มีใครเขียนนิทานเรื่องประหลาดหรือบันทึกภูเขาแม่น้ำเสร็จแล้วได้จัดพิมพ์ ผู้คนก็ย่อมรู้ได้เอง จะให้บอกว่าเจ้าต่อยบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองตายด้วยหมัดเดียวก็ยังได้”
แม่นางน้อยคิดตาม สายตายังคงฉายแววไม่พอใจ เพียงแต่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล
ยังดีที่คนผู้นั้นยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง “ห้องชั้นหนึ่งของเรือข้ามฟากลำนี้ ไม่มีรายงานบนภูเขามามอบให้ เจ้าไปซื้อมาสักฉบับ หากมีฉบับก่อนหน้าที่ขายไม่ออกก็ซื้อกลับมาด้วยได้ แต่ถ้าแพงเกินไปก็ไม่ต้องซื้อมา”
แม่นางน้อยร้องอ้อทีหนึ่ง ขอแค่ได้ออกไปเดินอยู่ข้างนอกเรือสักสองสามก้าว ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว นางจึงกระโดดลงจากเก้าอี้ คลี่ห่อสัมภาระออก ควักเอาถุง ใบหนึ่งที่แสงอัญมณีเรืองรองเปล่งประกายจ้าตาออกมา คนผู้นั้นสะบัดชายแขนเสื้อปิดประตูเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังโยนยันต์เต่าแบกศิลาแผ่นหนึ่งไปแปะไว้บนหน้าต่าง แม่นางน้อยเห็นมาจนชินตา นางเพียงแค่หยิบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาจากห่อใบเล็ก คิดดูแล้วก็หยิบเงินร้อนน้อยอีกเหรียญหนึ่งออกมาจากข้างใน ระหว่างนี้ ในถุงก็ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง นอกจากเงินเทพเซียนแล้วยังบรรจุของชิ้นเล็กๆ น้อยๆ ไว้อีกมากมาย เหมือนกับกระพรวนสีขาวหิมะที่เคยมอบให้คนอื่นในปีนั้นที่ต่างก็เป็นสมบัติที่นางเก็บสะสมมาอย่างยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากนั้นนางก็เอา ถุงใส่กลับเข้าไปในห่อสัมภาระ แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ตอนที่ออกจาก ประตูไปยังเอ่ยเตือนอีกว่า “ท่องอยู่ในยุทธภพต้องมีไหวพริบสักหน่อย อย่าปล่อยให้พวกโจรมาขโมยทรัพย์สมบัติของพวกเราไปได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องไปดื่มลม ตะวันตกเฉียงเหนือแทนกินข้าวแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โอ้โห วันนี้มือเติบไม่เบา ยอมควักเงินตัวเองด้วย”
แม่นางน้อยชุดดำที่เดินออกไปนอกห้องแล้วเลิกคิ้ว หันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “หากเจ้ายังหลอกด่าข้าแบบนี้อีก เงินที่ซื้อรายงาน พวกเราสองคนต้องรับผิดชอบกันคนละครึ่ง!”
คนผู้นั้นหุบปากเงียบอย่างที่คาด
แม่นางน้อยชุดดำถอนหายใจ พูดเหมือนคนแก่ว่า “เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพแบบนี้ จะทำให้พวกเทพธิดาบนภูเขาชื่นชอบเจ้าลงได้อย่างไร”
เฉินผิงอันเดินนิ่งไม่หยุด เพียงยิ้มกล่าวว่า “กฎเดิม ห้ามทำตัวเหลวไหล ซื้อรายงานข่าวเสร็จก็กลับมา”
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา แม่นางน้อยก็ผลักประตูเปิดออก เดินอาดๆ กลับเข้ามาข้างใน ตบหนังสือรายงานข่าวปึกใหญ่ลงบนโต๊ะอย่างแรง ทว่าตอนที่ คนผู้นั้นเดินหันหลังให้ตน นางกลับรีบแสยะปาก สูดปากน้อยๆ กลืนน้ำลาย รอจน คนผู้นั้นเดินนิ่งวกกลับมา นางถึงรีบยกสองแขนกอดอก นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้
เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด หยิบพัดพับออกมา นั่งลงข้างโต๊ะ ชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “ซื้อมาราคาแพงไหม?”
นางยิ้มเยาะ “ข้าเป็นคนโง่แบบนั้นหรือ รายงานบนภูเขาที่ล้ำค่าขนาดนี้ ราคาเดิมคือสองเหรียญเงินร้อนน้อย แต่ข้าจ่ายไปแค่หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น! ข้าคือใคร ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้เชียวนะ เคยพบเจอพ่อค้าที่ทำการค้ามามากมาย หากข้าหั่นราคาขึ้นมา ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนถูกมีดแร่เนื้อ กลุ้มอกกลุ้มใจได้เลย”
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย พลิกเปิดดูรายงานเหล่านั้น บางส่วนเป็นของ เมื่อปีก่อน หากอิงตามราคาตลาดปกติ ราคารวมต้องจ่ายหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยจริง แต่รายงานข่าวก็เหมือนผักผลไม้ตามฤดูกาล หากหมดอายุก็ได้แต่ต้องทิ้ง รายงานพวกนี้มองดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่อันที่จริงกลับมีค่าไม่ถึงครึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นอะไรได้ การค้าขายก็คือการค้าขาย ขอแค่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ ใต้หล้าก็ไม่มีการค้าขายที่ควรมีแต่ข้าที่ได้กำไร ทว่าเรื่องบางอย่าง ในเมื่อไม่ใช่การค้าขาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดง่ายขนาดนี้
อันที่จริงแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ดีมาก
เป็นคนดื้อรั้น โง่งมอย่างแท้จริง ทว่าบนร่างของนางกลับมีบางอย่างที่ต่อให้ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อมาได้ ก็เหมือนผู้คุ้มกันหนุ่มที่ปากแห้งแตกจนเลือดซึมที่ยื่นถุงน้ำส่งมาให้จากบนหลังม้าคนนั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ได้รับเอาไว้ ก็ยังรู้สึก คลายกระหายไปได้
แม่หนูน้อยถูกคนข้างนอกรังแกมาอย่างหนัก แต่ดูเหมือนนางจะรู้สึกว่านั่นก็คือเรื่องของข้างนอก เดินโซซัดโซเซมาถึง ก่อนจะเปิดประตู นางไปหลบตรงสุดปลายทางของระเบียงที่ห่างไปไกลก่อน นั่งยองอยู่ในมุมนั้นนานมาก อาการถึงจะพอบรรเทาได้ จากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องนี้ ไม่รู้สึกว่าการที่ข้างกายของตนมี…เซียนกระบี่ที่ สนิทสนมกัน แล้วจะต้องเป็นอย่างไร
นางคงรู้สึกว่านี่ก็คือยุทธภพของตนเองกระมัง? คือหนึ่งในเรื่องราวแห่งยุทธภพที่ตนเก็บสะสมเอาไว้เขียนลงบนหนังสือในอนาคต เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องเขียน แต่เรื่องน่าอายหรือเรื่องเล็กๆ บางอย่างก็แล้วไปเถิด ไม่ต้องเอาไปเขียน
เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในมือถือพัดพับโบกเอาลมเย็นๆ เข้าหาตัว เป็นระลอก “เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิ ข้าไม่ใช่บัณฑิตที่จะช่วยเขียนเรื่องราวให้เจ้าสักหน่อย จะต้องกลัวอะไร”
แม่นางน้อยหน้าม่อยลงทันใด น้ำหูน้ำตาอาบใบหน้า เพียงแต่ยังไม่ลืมรีบหันหน้าไปกลืนเลือดที่กลบอยู่ในปากตัวเองลงคอแรงๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
แม่นางน้อยยกสองมือขึ้นเช็ดปาดป่ายไปบนใบหน้าอย่างสะเปะสะปะ ก้มหน้าลงไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไม กลัวว่าถ้าเล่าแล้ว วันนี้กว่าจะมีโอกาสออกจากหีบไม้ไผ่ ออกจากห้องไปเดินเล่นคนเดียวในระยะเวลาสั้นๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าไปก่อเรื่องเข้า เพราะฉะนั้นวันหน้าก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
อันที่จริงเดินทางผ่านภูเขาสายน้ำมาร่วมกันมากมายขนาดนี้ นางไม่เคยก่อเรื่องเลย สักครั้ง
เพียงแค่เบิกตากว้างมองไป สำหรับฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลด้านนอกหุบเขา ลมเหลืองและทะเลสาบคนใบ้ นางล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และจินตนาการวาดฝัน
แม่นางน้อยชุดดำพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเซื่องซึม
เฉินผิงอันหุบพัดเข้าหากัน ยิ้มกล่าว “ไหนลองเล่ามาสิ ตลอดทางมานี้ เจ้าเห็นเรื่องตลกของข้ามามากมาย เจ้าก็ควรจะทำให้ข้าได้หัวเราะสนุกบ้างแล้วกระมัง? นี่เรียกว่าปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกเช่นเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อตน”
แม่นางน้อยฟุบตัวลงบนโต๊ะ เอียงศีรษะแนบติดผิวโต๊ะ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาเช็ดหน้าโต๊ะเบาๆ ไม่มีปมในใจ แล้วก็ไม่มีความโกรธเคือง แค่รู้สึกกลัดกลุ้มๆ เล็กๆ เหมือนเมล็ดข้าวสารเท่านั้น นางเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่อยากพูด อีกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าคือภูตน้ำใหญ่ที่เห็นเรื่องความเป็นความตายมานักต่อนักแล้ว เห็นคนมากมายที่มาตายอยู่ใกล้กับทะเลสาบคนใบ้ ข้าไม่กล้าช่วยพวกเขา บรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองร้ายกาจมาก ข้าออกไปก็ช่วยใครไม่ได้ แถมตัวเองยังต้องตายด้วย ข้าก็ได้แต่แอบเก็บโครงกระดูกเหล่านั้นมา บางส่วนก็ถูกคนที่ร่ำไห้นำกลับไป บางส่วนก็ถูกทิ้งไว้อยู่ท่ามกลางสายลมและผืนทราย น่าสงสารอย่างมาก ข้าไม่ได้กลัวตาย แค่กลัวว่าจะไม่มีใครจดจำข้าได้ ใต้หล้ามีคนอยู่มากมายขนาดนี้ กลับยังไม่มีใครสักคนที่รู้จักข้า”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า ใช้พัดพับเคาะศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “หากยังไม่เล่า อีกเดี๋ยวต่อให้เจ้าเล่าเอง ข้าก็ไม่ฟังแล้วนะ”
แม่นางน้อยนั่งตัวตรง ร้องหึหนึ่งที ก่อนจะโคลงศีรษะไปซ้ายทีขวาที พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่พูดๆ”
จากนั้นนางก็เห็นว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นเอียงศีรษะ ใช้พัดพับค้ำศีรษะของตัวเองเอาไว้ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หลายครั้งที่คนหลายๆ คน พ่อแม่ไม่สั่งสอน อาจารย์ไม่อบรม ก็ควรจะให้วิถีทางโลกใบนี้ช่วยสอนพวกเขาว่าควรวางตัวเป็นคน อยู่ในสังคมอย่างไร?”
แม่นางน้อยเริ่มยู่ใบหน้าเล็กๆ และขมวดคิ้วบางๆ นั่นอีกครั้ง เขาพูดอะไรน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แต่หากตนทำให้เขารู้ว่าตนไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดี สักเท่าไร ถ้าอย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าฟังเข้าใจแล้วกัน? แต่การเสแสร้งนี่ออกจะยากสักหน่อย ก็เหมือนคราวก่อนที่พวกเขาจับผลัดจับผลูเข้าไปในดินแดนสุขาวดี นอกโลกแห่งนั้น แล้วเขาถูกพวกภูตภูเขาสวมชุดลัทธิขงจื๊อทั้งหลายขอให้ร่ายกวีให้ฟังสักหนึ่งบท เขาเองก็จนปัญญาเหมือนกันไม่ใช่หรือ
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน แล้วก็ไม่เห็นว่าเขาทำอะไร แผ่นยันต์ก็หลุดจากหน้าต่างลอยเข้าไปในชายแขนเสื้อของเขา และหน้าต่างก็ยิ่งเปิดออกได้ด้วยตัวเอง
เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง เรือข้ามฟากลอยอยู่เหนือทะเลเมฆแล้ว ลมเย็นๆ ลอยมาปะทะใบหน้า ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะทั้งสองข้างพลิ้วไหวไปตามสายลม นางรู้สึกโมโหเล็กน้อย ตัวสูงแล้วเก่งนักหรือ!
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ แล้วจู่ๆ ก็คิดเรื่องหนึ่งได้ตก ท่องอยู่ในยุทธภพเจอกับเรื่องอันตรายบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า นางมีความรู้กว้างขวางไม่ใช่หรือ?
นางจึงยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งทันที เอาสองมือไพล่หลัง ยืดอกสาวเท้าก้าวเดินอยู่บนพื้นที่น้อยนิดบนเก้าอี้พลางยิ้มกล่าวว่า “หลังจากข้าควักเงินซื้อรายงานข่าวมาแล้ว คนของเรือข้ามฟากที่ขายข่าวให้ข้ากับเพื่อนข้างกายเขาก็หัวเราะกันเสียงดัง ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะอะไรกัน ก็เลยหันหน้าไปยิ้มให้พวกเขา เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าจะอยู่บนภูเขาหรือล่างภูเขา ไม่ว่าตนจะเป็นคนหรือเป็นปีศาจ ก็ล้วนต้องมีมารยาทต่อผู้อื่น จากนั้นเพื่อนของคนบนเรือก็กำลังจะออกจากห้องไปพอดี
เขาไม่ทันระวังชนข้าตรงหน้าประตู ข้ายืนได้ไม่มั่นคง รายงานเลยร่วงกระจายเต็มพื้น ข้าบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็ก้มไปเก็บรายงาน คนผู้นั้นเหยียบมือข้า แถมยังใช้ปลายเท้าขยี้หนักๆ ด้วย คงจะไม่ทันระวังกระมัง ข้าเจ็บจนทนไม่ไหวก็เลยขมวดคิ้วแยกเขี้ยว ผลกลับถูกเขาเตะจนตัวลอย แต่คนบนเรือข้ามฟากคนนั้นพูดว่าจะดีจะชั่ว ก็เป็นผู้โดยสารคนหนึ่ง ชายที่ดุร้ายคนนั้นถึงได้ไม่สนใจข้า ข้าเก็บรายงานมาได้ก็วิ่งกลับมาเลย”
นางยกสองมือกอดอก พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้โกหกเจ้านะ ตอนนั้น ข้าทนเจ็บไม่ไหวก็เลยแสยะปากไปเล็กน้อยเท่านั้น!”
นางกลัวว่าเจ้าหมอนั่นจะไม่เชื่อก็เลยชูสองนิ้วออกมาทำท่าประกอบ “มากสุด ก็แค่นี้เอง!”
คนผู้นั้นหันหน้ามายิ้มถาม “เจ้าว่าการทำดีกับทุกคนทุกเรื่องทุกเวลา สรุปแล้วถูกหรือไม่ถูก ควรจะแบ่งมันให้กลายเป็นสอง ทำดีกับคนดี ทำเลวกับคนเลวหรือไม่? แต่ลำดับก่อนหลัง แผนการน้อยใหญ่ที่จะกระทำต่อคนเลวก็ต้องเรียบเรียงให้เข้าใจชัดเจนเสียก่อน ทว่าหากการลงโทษเล็กหรือใหญ่ที่ใช้กับพวกเขาไปแล้วเกิดสถานการณ์ที่หน้าหลังไม่ตรงกัน นั่นจะเป็นการละเมิดลำดับก่อนหลังของตัวเองหรือไม่? ดีและเลวปะทะกัน ผลลัพธ์คือความชั่วร้ายที่ค่อยๆ ถูกสั่งสมเอาไว้ ก็จะกลายเป็นภาพบรรยากาศที่ดินสะสมกองกันเป็นภูเขา ลมฝนจึงบังเกิดที่นี่ เพียงแต่ว่าลมฝนที่ว่านี้กลับเป็นฝนร้ายเยียบเย็น แบบนี้จะดีได้อย่างไร?”
แม่นางน้อยยู่ใบหน้าจนยับย่น บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าตนฟังเข้าใจ ข้าก็แค่คร้านจะเปิดปากเท่านั้น กินไม่อิ่มก็เลยไม่มีแรงน่ะ
คนผู้นั้นยิ้มตาหยี ใช้พัดพับเคาะไปที่หัวใจตัวเอง “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่กำลังถามใจตัวเองเท่านั้น”
แม่นางน้อยชุดดำคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทีเช่นนี้ จึงรู้สึกโทษตัวเองเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับท่าทีเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนทำให้คนมองเห็นไม่ชัดเจนของเขา ในเวลานี้ นางกลับชอบเขาที่ลงนาไปปลูกต้นกล้า ใช้หมัดต่อยภูเขามากกว่า
ยังดีที่คนผู้นั้นพลันยิ้มกว้าง กระโดดพลิกตัวข้ามหน้าต่างออกไปยืนอยู่บน ระเบียงเรือด้านนอก “ไป พวกเราไปชมทัศนียภาพกัน ไม่ได้มีแค่มลพิษสกปรกเท่านั้น ยังมีภูเขาสายน้ำที่ยิ่งใหญ่งดงามมากกว่า”
เขาฟุบตัวนอนคว่ำบนกรอบหน้าต่าง ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาพลางพูดสัพยอก “ให้ข้าหิ้วเจ้าออกมาไหม”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ถอยไป! ข้าไปเองได้!”
นางกระโดดข้ามหน้าต่างออกไปด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่ารู้สึกเหมือนคนโดนงูกัดที่กลัวเชือกไปสิบปี จึงจับชายแขนเสื้อของคนผู้นั้นไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ถึงขนาดรู้สึกว่ายืนอยู่ในหีบหนังสือก็ดีมากอยู่แล้ว
นางหันหน้าไปมองหน้าต่างที่เปิดอ้าแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกเราสองคนจนก็ส่วนจน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องการกินการอยู่ แต่หากถูกคนขโมย ทรัพย์สมบัติจะไม่ยิ่งเป็นการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะหรอกหรือ? ข้าไม่อยากกินปลาผักดอง เจ้าเองก็อย่าได้คิด”
คนผู้นั้นกลับเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าพวกเขาขโมยของไปแล้ว จะมีชีวิตให้เก็บเอาไว้ใช้ได้หรือไม่”
นางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างแรง “เผด็จการดีมาก!”
ผลกลับถูกคนผู้นั้นใช้พัดพับเคาะศีรษะของนาง “อย่าได้เรียนรู้อะไรที่ไม่ดี”
นางกุมหัว ยกเท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของเขา
คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “แบบนี้แหละดีมาก”
สุดท้ายให้ตายนางก็ไม่กล้าขึ้นไปเดินบนราวระเบียง แต่ก็ถูกเขาอุ้มแล้วเอาไปวางบนราวรั้ว
จากนั้นเดินไปเดินมา นางก็พลันรู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตาอย่างยิ่ง
คนมากมายกำลังมองนางอยู่นะ
นางก้มหน้าลงมอง เจ้าหมอนั่นเดินอยู่ด้านล่างอย่างเกียจคร้าน มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งชูขึ้นสูง จับมือกับมือน้อยๆ ของนางได้พอดี
จากนั้นนางก็บอกเขาว่าไม่ต้องคอยปกป้องนางแล้ว นางสามารถเดินเองได้ เดินได้มั่นคงนักล่ะ!
นาทีนั้นบนเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหลายคนต่างก็ได้เห็น ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้
แม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งแกว่งแขนสองข้าง เชิดหน้ายืดอกตั้งเดินก้าวยาวๆ
ตรงราวระเบียงด้านล่างฝ่าเท้าของนางมีบัณฑิตชุดขาวในมือถือพัดคนหนึ่งเดินตามไปช้าๆ ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
แม่นางน้อยถามชวนคุย “คนแซ่เฉิน มีครั้งหนึ่งข้าตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นว่าเจ้า ไม่อยู่ข้างกาย เจ้าไปไหนมา”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เดินเล่นไปเรื่อยน่ะ แสร้งทำเป็นว่าเกือบจะถูกคนซ้อมตาย จากนั้นก็ซ้อม…ไม่มีอะไร ถือเสียว่าเปิดอ่านหนังสือแล้วไปเจอเรื่องราวที่น่าเบื่อ ก็แล้วกัน อ่านได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกง่วง เลยปิดหนังสือไว้ก่อนค่อยว่ากัน”
แม่นางน้อยยู่หน้า “เจ้าพูดแค่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ มันน่าเบื่อมากนะรู้ไหม”
คนผู้นั้นยิ้มอ่อน “ท่องอยู่ในยุทธภพด้วยกัน ต้องให้อภัยกันให้มากสิ”
แม่นางน้อยยกสองแขนกอดอก เดินอยู่บนราวระเบียง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกิน กุยหลิงเกา! ถ้วยเดียวไม่พอ ต้องสองถ้วยใหญ่ รายงานข่าวข้าเป็นคนควักเงินจ่าย กุยหลิงเกาสองถ้วย เจ้าต้องเป็นคนออกเงิน”
คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “ได้สิ แต่ต้องให้ท่าเรือข้างหน้ามีกุยหลิงเกาขายถึงจะได้”
แม่นางน้อยยู่หน้า “ไม่มีกุยหลิงเกา ข้าก็กินอย่างอื่น”
พอพูดประโยคนี้ออกไป นางก็รู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดยิ่งนัก คิดคำนวณได้อย่างรอบคอบรัดกุม!
คนผู้นั้นลังเลอยู่พักใหญ่ “แพงเกินไปก็ไม่ได้นะ”
แม่นางน้อยส่งเท้าข้างหนึ่งออกมาช้าๆ “เอาลูกเตะไปกิน”
คนผู้นั้นก็เอียงศีรษะหลบช้าๆ เช่นกัน ก่อนจะใช้พัดพับปัดเท้าของนางออก “เดินดีๆ”
คนที่มองภาพเหตุการณ์นี้อยู่ มีทั้งผู้ดูแลของเรือข้ามฟากและนักการที่ทำงานจุกจิกทั่วไป
แล้วก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่กำลังยืนชมทัศนียภาพอยู่กับสหายที่ชั้นสอง เขากับคน อีกเจ็ดแปดคนห้อมล้อมชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งประดั่งดวงดาวที่ล้อมดวงเดือน
เขาอาศัยอยู่ในห้องตัวอักษรเทียนของเรือข้ามฟากที่อยู่ติดกัน ราคาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ถือเป็นการพึ่งใบบุญผู้อื่น ไม่ต้องให้เขาควักเงินเกล็ดหิมะสักเหรียญ
นี่ก็คือข้อดีของการมีสัมพันธ์ควันธูประหว่างสำนักบนภูเขา
มีสหายห้อมล้อม ทะยานลมอยู่เหนือภูเขา ลงภูเขามาฝึกประสบการณ์ เหยียดตามองอ๋องและโหวในโลกมนุษย์อย่างดูแคลน หลุบตามองยุทธภพอย่างเหยียดหยาม
ผู้ฝึกตนหญิงที่หน้าตาธรรมดา แต่กลับสวมชุดคลุมอาคมล้ำค่าตัวหนึ่งยิ้มกล่าว “ภูตปลาน้อยตัวนี้ได้เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตแล้วหรือยัง?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มหน้าตางดงานปานหยกที่อยู่ข้างกายนางพยักหน้ารับ “หากข้ามองไม่ผิดก็น่าจะเป็นขอบเขตถ้ำสถิตพอดี ยังไม่เชี่ยวชาญการควบคุมลม หากไม่เป็นเพราะมีค่ายกลของเรือข้ามฟากคอยปกป้อง ไม่ระวังหล่นลงไป ถ้าใต้ฝ่าเท้าเป็น แม่น้ำหนองบึงก็ยังดี แต่หากเจอกับภูเขาบนบก นั่นก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “คุณชายเว่ย ภูตน้อยที่ไม่รู้ที่มาตนนี้ ก่อนหน้านั้นไปขอซื้อรายงานข่าวจากผู้ดูแลหลิ่ว โง่ให้คนหลอกได้ง่ายนักล่ะ จ่ายเงินไปตั้ง หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเต็มๆ”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ถูกเรียกว่าคุณชายเว่ยแสร้งทำเป็นตกใจ “ใช้เงิน มือเติบขนาดนี้เชียว?”
สตรีที่อยู่ด้านข้างปิดปากหัวเราะคิก มองไปยังคนหนุ่มข้างกาย สายตาของนางเปิดเปลือยทุกอารมณ์ความรู้สึก
คนอื่นๆ ก็ยิ่งพลอยหัวเราะเสียงดังตามไปด้วย ราวกับได้ยินถ้อยคำน่าฟังที่เปี่ยมไปด้วยวิชาความรู้อย่างไรอย่างนั้น
พวกคนคอยรับใช้ประดับบารมีเจ้านาย ก็แค่ต้องคอยสังเกตดูสีหน้าท่าทางคำพูด ช่วยให้เรื่องสนุกเพียงลำพังกลายเป็นความบันเทิงของทุกคนไม่ใช่หรอกหรือ
ผู้ฝึกตนหญิงถามอีกว่า “คุณชายเว่ย บัณฑิตชุดขาวคนนั้น มองดูแล้วน่าจะเป็นเจ้านายของเจ้าขยะน้อยนั่น? เหตุใดถึงไม่เหมือนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง แต่กลับเหมือนผู้ฝึกยุทธหยาบกระด้างคนหนึ่งมากกว่า?”
คุณชายเว่ยหัวเราะ หันหน้ามามองสตรีผู้นั้น “คำพูดแบบนี้ห้ามพูดต่อหน้า ท่านพ่อข้าเด็ดขาด จะทำให้เขาลำบากใจ ตอนนี้เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้ากวานพวกเราเชียวนะ”
ผู้ฝึกตนหญิงรีบยิ้มขออภัย “ชิงชิงพูดผิดไปแล้ว”
คุณชายเว่ยยิ้มอย่างระอาใจ “ชิงชิง เจ้าเกรงใจกันขนาดนี้ เห็นข้าเป็นคนนอกอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ฝึกตนหญิงที่ถูกเรียกอย่างสนิทสนมว่าชิงชิงคลี่ยิ้มราวกับบุปผาผลิบานในทันใด
นางมาจากเรือนเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์ บิดาคือหนึ่งในผู้ถวายงานของสวน อีกทั้งยังรู้จักวิธีหาเงิน จัดการดูแลรากภูเขาครึ่งเส้นของสวนน้ำค้างวสันต์ คือ เซียนดินโอสถทองที่สูงส่งเหนือใครในสายตาของราชวงศ์และกษัตริย์อัครเสนาบดี ในโลกมนุษย์ ยามลงจากภูเขา ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของ จวนชนชั้นสูงและตระกูลเซียนบนภูเขา ครั้งนี้นางลงจากภูเขามาก็เพื่อเชื้อเชิญคุณชายผู้มีบรรดาศักดิ์ที่อยู่ข้างกายคนนี้ให้เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองอำลาวสันต์ของงานชุมนุมในสวนน้ำค้างวสันต์โดยเฉพาะ
เลียบมหาสมุทรของตะวันตกเฉียงใต้มีราชวงศ์ต้ากวานอยู่แห่งหนึ่ง ลำพังเพียงแค่แคว้นใต้อาณัติที่ห้อมล้อมก็มีถึงสามแคว้น คุณชายหนุ่มมีชาติกำเนิดมาจาก จวนเถี่ยชงซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลชนชั้นสูงขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก คนในตระกูลสืบทอดบรรดาศักดิ์กันมาทุกยุคทุกสมัย เดิมทีต่างก็เป็นขุนนางใน เมืองหลวง ทว่าตอนที่เว่ยอิงเจ้าประมุขคนปัจจุบันยังเป็นหนุ่มได้โยนพู่กันเดินหน้าเข้าสู่สนามรบ และนั่นได้เป็นการบุกเบิกความรุ่งโรจน์อย่างใหม่ให้แก่ตระกูล ตอนนี้ ในมือกุมอำนาจทางการทหาร คือเสาคานอันดับหนึ่งแห่งด่านชายแดน บุตรชายคนโตเป็นขุนนางในราชสำนัก แล้วก็ได้เป็นรองเจ้ากรมของกรมหนึ่งแล้ว ส่วนคุณชายเว่ย เว่ยป๋ายผู้นี้ ในฐานะบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพใหญ่ นับตั้งแต่เด็กก็ได้รับความรัก การพะเน้าพะนอเอาใจ
อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ฝึกตนได้ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในราชสำนัก ถึงขั้นมีเรื่องเล่าขานที่งดงามอย่างหนึ่งบอกว่ า มีครั้งหนึ่งบรรพจารย์ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ได้ลงจากภูเขา ไปฝึกประสบการณ์อย่างที่ไม่ค่อยจะทำบ่อยนัก เมื่อเดินทางผ่านจวนเถี่ยชงของตระกูลเว่ย เขามองคู่พ่อลูกที่เปิดประตูใหญ่ให้การต้อนรับอย่างเต็มมารยาทพิธีการ ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า วันนี้เมื่อได้พบพวกเจ้าสองพ่อลูก ยามที่แนะนำแก่คนนอกแล้วพูดถึงเว่ยป๋าย ก็ยังคงต้องบอกว่าคือบุตรชายของแม่ทัพใหญ่เว่ยอิง แต่ไม่ถึงสามสิบปี ยามที่คนนอกพบพวกเจ้าพ่อลูกก็มีแต่จะพูดว่า เว่ยอิงคือบิดาของเว่ยป๋ายแล้ว
แม่ทัพใหญ่เว่ยอิงหัวเราะเสียงดังอย่างปิติยินดี ก็ไม่แปลกที่เขาจะชอบใจขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรบรรพจารย์แห่งสวนน้ำค้างวสันต์ก็ไม่ค่อยจะชมใครง่ายๆ
เว่ยป๋ายได้รับคำชื่นชมจากปากบรรพจารย์ก่อกำเนิดคนหนึ่ง การที่อีกฝ่ายยอมรับในพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของเขาก็ยิ่งทำให้คนทั่วทั้งราชสำนักพากันอิจฉา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังออกพระราชโองการมอบสมบัติหนักชิ้นหนึ่งในคลังลับให้แก่ จวนเถี่ยชงโดยเฉพาะ ด้วยหวังว่าเว่ยป๋ายจะยิ่งขยันหมั่นเพียร ตั้งใจฝึกตน ได้กลายเป็นเสาคานค้ำยันแคว้นในเร็ววัน
อันที่จริงนางกับเว่ยป๋ายไม่ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันสักเท่าไร
คราแรกที่คนทั้งสองได้รู้จักกัน ทางจวนเถี่ยชวงก็ตั้งใจจะจับคู่ให้พวกเขาอยู่แล้ว แม่ทัพใหญ่เว่ยอิงพูดต่อหน้านางว่า พวกเขาคือคู่รักเทพเซียนที่สวรรค์สรรค์สร้าง เพียงแต่ว่าเวลานั้นบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสวนน้ำค้างวสันต์ยังไม่ได้ลงจากภูเขามาเยี่ยมเยือนราชวงศ์ต้ากวาน บิดาของนางจึงไม่ใคร่จะยินดีนัก รู้สึกว่าเว่ยป๋ายที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต อนาคตยากจะคาดเดา เพราะถึงอย่างไรเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ขอบเขตถ้ำสถิตถึงจะเป็นธรณีประตูใหญ่บานแรกอย่างแท้จริง
ภายหลังเมื่อเว่ยป๋ายเดินบนเส้นทางของการฝึกตนได้อย่างราบรื่น อายุน้อยๆ ก็มีหวังจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตถ้ำสถิต อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจาก บรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์อย่างไม่มีปิดบัง จวนเถี่ยชางก็เป็นดั่งเรือที่ลอยขึ้นสูง ตามกระแสน้ำไปพร้อมกับราชวงศ์ต้ากวานด้วย ผลกลับกลายเป็นบิดานางที่ต้อง ร้อนใจ เพราะจวนเถี่ยชางเริ่มปฏิเสธในทุกๆ ด้าน ดังนั้นนางถึงได้ลงเขามาในครั้งนี้ อันที่จริงไม่ต้องให้บิดาของนางเร่งรัด ตัวนางเองก็ยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว
นางไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย เพราะแถบเลียบมหาสมุทรตะวันออกนี้ แม้อิทธิพลของสวนน้ำค้างวสันต์จะไม่ถือว่าอยู่ในระดับขั้นสูงสุด แต่ก็มีสหายกว้างขวาง ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นแก่หน้าของผู้ฝึกตนสวนน้ำค้างวสันต์อยู่หลายส่วน
ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูที่ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องเดินทางเพียงลำพัง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่มุ่งหน้าไปดึงเอาน้ำในเทือกเขาที่ เงียบสงัดของสวนน้ำค้างวสันต์มาต้มชาดื่ม
ทว่าข้างกายเว่ยป๋ายกลับมีผู้ติดตามอยู่สองคน คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนถวายงานของจวนเถี่ยชางที่นิสัยสุขุมพูดน้อย ว่ากันว่าเคยเป็นผู้ฝึกตนวิถีมาร ได้มาหลบภัยอยู่ที่จวนเถี่ยชางหลายสิบปีแล้ว และยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธร่างทองขอบเขตเจ็ด ที่มากพอจะส่งอิทธิพลให้แก่โชคชะตาบุ๋นของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติแคว้นหนึ่งได้!
เว่ยป๋ายหันหน้าไปมองผู้เฒ่าเรือนกายบึกบึนที่ยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มคน ถามว่า “อาจารย์เลี่ยว มองรากฐานของบัณฑิตคนนั้นออกหรือไม่?”
เดิมทีคนผู้นี้กำลังหลับตาทำสมาธิ พอได้ยินคำถามของคุณชายน้อยจากจวนเถี่ยชาง ก็ลืมตาขึ้นแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ฟังจากลมหายใจและเสียงฝีเท้า น่าจะเทียบเท่าได้กับ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าทางชายแดนของราชวงศ์ต้ากวานพวกเรา เมื่อเทียบกับพวก ไม่ได้ความขอบเขตห้าทั่วไปในยุทธภพแล้ว นับว่าแข็งแกร่งกว่าหนึ่งระดับ”
ข้างกายผู้เฒ่าร่างบึกบึนมีหญิงชราหน้าตาดุร้ายตามธรรมชาติคนหนึ่งยืนอยู่ นางพูดน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คุณชายน้อย เจ้าเด็กน้อยเลี่ยวพูดได้ถูกต้องแล้ว”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที
หากดูตามความต่างทางอายุของทั้งสองฝ่าย ถูกหญิงชราเรียกว่าเด็กน้อย อันที่จริง ก็ไม่ถือว่าหญิงชราพูดผิด แต่ถึงอย่างไรตนก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่เคยผ่านการเข่นฆ่าบนสนามรบมาก่อน หญิงชราอาศัยสถานะของผู้ฝึกลมปราณ ถึงได้ ไม่มีความเคารพนับถือตนแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ที่มาจากพรรคใหญ่ในยุทธภพแห่งหนึ่งของราชวงศ์ต้ากวานถูมือ ยิ้มกล่าว “คุณชายเว่ย ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปลองหยั่งเชิงผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เหมือน ลิงสวมมงกุฎคนนั้นดูหน่อยดีไหม ถือเสียว่าหาอะไรทำสนุกๆ ให้ทุกคนได้ผ่อนคลายอารมณ์แก้เบื่อ ถือโอกาสนี้ให้ข้าได้บังอาจขอคำชี้แนะด้านวิชาหมัดจาก ท่านอาจารย์เลี่ยวสักหน่อยด้วย”
พรรคที่เขาอยู่คือผู้นำอันดับหนึ่งในยุทธภพทางทิศใต้ของราชสำนักต้ากวาน ในพรรคมีคนมากมายเกือบหมื่นคน มีเงินทองไหลมาเทมาจากการคุมกิจการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางน้ำและการค้าเกลือ อันที่จริงล้วนต้องยกคุณความชอบให้แก่ความมีหน้ามีตาของจวนเถี่ยชาง ไม่อย่างนั้นเงินนี้ก็คงกลืนลงท้องไม่ได้ เพราะย่อมร้อนลวกลำคอ ในพรรคมีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธขอบเขตโอสถทอง อยู่คนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาเคยพูดให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า หากตนเจอกับ เจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นั้น โอกาสแพ้ย่อมมากกว่าชนะ ส่วนในยุทธภพของทางทิศเหนือ ก็มีพรรคหนึ่งที่ทุกคนต่างใช้กระบี่ เจ้าประมุขรวมกับลูกศิษย์แล้วยังไม่ถึงร้อยกว่าคน แต่กลับสามารถออกคำสั่งแก่กลุ่มผู้กล้าในยุทธจักรของทางทิศเหนือได้ เจ้าประมุข ผู้เฒ่าที่ชอบออกท่องยุทธภพเพียงลำพังผู้นั้นคือปรมาจารย์ใหญ่ที่เล่าลือกันว่า ได้แอบเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเงียบๆ แล้ว เพียงแต่ว่าไม่เคยมีใครเห็นเขาออกกระบี่มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทว่าคนในยุทธภพทางทิศใต้ต่างก็พูดกันว่าการที่ ตาเฒ่าผู้นี้เดินทางอยู่ตลอด ไม่ปักหลักที่ใดเป็นเวลานาน
ก็เพื่อหลบเลี่ยงการท้าทายจากพวกเซียนดินบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ฝึกกระบี่ที่ยโสโอหังทั้งหลาย เพราะพรรคในยุทธภพแห่งหนึ่งกลับใช้คำว่า ‘จง’ อยู่ในชื่อ หากไม่วอนโดนจัดการ แล้วจะเรียกว่าอะไร?
ได้ยินถ้อยคำกระตือรือร้นของชายฉกรรจ์คนนั้น เว่ยป๋ายกลับส่ายหน้ายิ้ม “ข้าว่าอย่าดีกว่า ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเจ้าลงจากภูเขาก็ไม่ต่างจากขุนพลบนสนามรบของจวนเถี่ยชางพวกเรา แต่ละคนช่างมีหน้ามีตาไม่แพ้กัน ข้าว่าผู้ฝึกยุทธหนุ่ม คนนั้นเองก็ยากลำบากไม่น้อย น่าจะรู้สึกว่ากว่าตนจะช่วงชิงโชควาสนาที่เดิมทีควรเป็นของผู้ฝึกตนด้วยการทำให้ภูตน้ำน้อยตนนั้นยอมรับตัวเองเป็นนายได้ไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นออกเดินทางมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ แม้จะขึ้นมาบนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน แต่ก็ยังไม่ลืมนิสัยที่เคยใช้ในยุทธภพ ชอบโอ้อวดไปทั่ว ปล่อยเขาไปเถอะ พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ ปลาและมังกรปะปนกัน หากยังกล้าทำตัวไม่สำรวมแบบนี้ ต้องลำบากแน่นอน”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพูดด้วยสีหน้านับถือ “คุณชายเว่ยช่างมีจิตใจของพระโพธิสัตว์ มีมาดของเซียนจริงๆ”
เว่ยป๋ายส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าจะถือเป็นเซียนได้ที่ไหน ไว้ค่อยว่ากัน วันหน้าเถอะ”
เขาพลันหันหน้ามา “แต่เจ้าติงถงคือคนในยุทธภพ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา ขอแค่มีชีวิตได้ยาวนานอีกหน่อยก็ถือว่าดีแล้ว เหมือนกับเจ้าประมุขเผิงที่ไม่เคย หยุดอยู่นิ่งคนนั้น ที่ถึงจะได้มีโอกาสเอ่ยถ้อยคำทำนองนี้”
หญิงชราที่ยืนอยู่หน้าประตูด้านหลังทุกคนเคียงบ่ากับผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ หลุดหัวเราะพรืด “เจ้าคนแซ่เผิงผู้นั้น สมควรแล้วที่ได้กลายเป็นขอบเขตเดินทางไกล แล้วยังต้องคอยหลบเลี่ยงซ่อนตัวไปเรื่อย หากเป็นขอบเขตร่างทองเหมือนกับ เจ้าเด็กเลี่ยว ก็คงไม่มีทางสร้างปัญหาอะไรได้ เหยียบเขาให้ตายด้วยฝ่าเท้า ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรายังรังเกียจที่พื้นรองเท้าสกปรก
ตอนนี้แอบเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด กลายเป็นตั๊กแตนที่ตัวใหญ่ขึ้นมา อีกหน่อย แต่กลับยังฝึกกระบี่ ใช้คำว่าจงตั้งชื่อพรรค คนบนภูเขาไม่เหยียบเขาให้ตายแล้วจะเหยียบใคร?”
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนแซ่เลี่ยวหัวเราะเสียงหยัน “คำพูดประโยคนี้เจ้ากล้าไปพูดต่อหน้าตาเฒ่าเผิงไหมล่ะ?”
หญิงชราจุ๊ปากพูด “อย่าว่าแต่พูดต่อหน้าเลย หากเขากล้ามายืนต่อหน้าข้า ข้ายังจะชี้หน้าด่าเขาด้วยซ้ำ”
ชายชราขอบเขตโอสถทองคร้านจะโต้เถียงกับหญิงชรา จึงเริ่มหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ที่มีสถานะเป็นผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ด่าเขาสักหน่อย ต่อให้ด่าเขาแล้วอย่างไร การที่สามารถทำให้ ผู้ถวายงานผู้เฒ่าของจวนเถี่ยชางพูดถึงได้สักสองสามคำ นั่นถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ กลับไปถึงพรรคก็ย่อมกลายเป็นเรื่องเล่าขานอย่างหนึ่ง
เว่ยป๋ายยื่นมือมาจับประคองราวรั้ว พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ว่ากันว่า เจ้าสำนักเฮ้อทางทิศเหนือผู้นั้นเพิ่งจะลงใต้มาเมื่อไม่นานนี้ เจ้าสำนักเฮ้อไม่เพียงแต่พรสวรรค์เลิศล้ำ อายุน้อยแค่นี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว อีกทั้งยังมี โชควาสนาเข้ามาหาไม่ขาดสาย ในฐานะผู้ฝึกตนที่มาจากสถานที่เล็กๆ อย่าง แจกันสมบัติทวีปนั่น สามารถมาเยือนอุตรกุรุทวีปของพวกเรา อันดับแรกก็เจอ ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งก่อน จากนั้นก็กำราบปีศาจมารร้ายมากมายติดต่อกัน สุดท้ายสามารถสร้างตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งนางยังหยัดยืนได้มั่นคง อาศัยค่ายกลปกป้องภูเขาและถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กจู่โจมให้ขอบเขตหยกดิบสองคนถอยร่นไป ช่างเป็นคนที่น่าเลื่อมใสเสียจริง! ในอนาคต หากได้เดินทางไปเยือนทิศเหนือจะต้องไปพบนางสักครั้งให้จงได้ ต่อให้ได้แค่มอง อยู่ไกลๆ ก็คุ้มแล้ว”
ผู้ฝึกตนหญิงของเรือนเย่ฉ่าวสวนน้ำค้างวสันต์ผู้นั้นรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างห้ามไม่ได้
เพียงแต่ว่าไม่นานนางก็ปล่อยวางได้
เพราะเว่ยป๋ายเองก็รู้ดีว่า เขากับเจ้าสำนักเฮ้อที่สูงส่งจนมิอาจป่ายปีนผู้นั้น ฝ่ายเขาก็ได้แต่มีโอกาสมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น
เว่ยป๋ายพลันขยับตัวเข้าใกล้สตรีข้างกาย พูดเสียงเบาว่า “ชิงชิง พระจันทร์ บนท้องฟ้าคือพระจันทร์บนท้องฟ้า คนตรงหน้าคือคนตรงหน้า ในใจข้ารู้ดีว่าอะไร เป็นอะไร”
หัวคิ้วที่ขมวดด้วยความกลัดกลุ้มของผู้ฝึกตนหญิงพลันคลายออก คลี่ยิ้มหวานได้ทันที
ทางฝั่งของระเบียงเรือชั้นหนึ่ง เจ้าขยะตัวน้อยที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นยังคง วิ่งทะยานอยู่บนราวระเบียงอย่างลิงโลด
ส่วนคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีขาวสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดก็ยังคงเดิน กินลมชมทัศนียภาพ โบกพัดพับเบาๆ อย่างผ่อนคลาย
เว่ยป๋ายพลันยิ้มอย่างชอบใจ
อีกฝั่งหนึ่งของชั้นสอง ในที่สุดก็เริ่มมีคนรู้สึกว่าขวางหูขวางตา และเลือกที่จะ ลงมือแล้ว
เว่ยป๋ายขมวดคิ้ว
การลอบโจมตีจากปราณวิญญาณที่รวมตัวเป็นลูกธนูนั้น เดิมทีควรยิงเข้าที่ขาของแม่นางน้อยชุดดำ หลังจากโจมตีให้หัวเข่านางแหลกสลาย ลูกศรดอกนั้นก็จะ ทะลุกระดูกนางออกไป แล้วก็จะสามารถพุ่งผ่าปราการค่ายกลบางๆ ของเรือข้ามฟากไปได้พอดี คนนอกมองอยู่ก็แค่เห็นว่าเด็กน้อยยืนได้ไม่มั่นคงจึงพลัดหล่นจากเรือ หลังจากนั้นร่างก็กระแทกตายไปโดยไม่ระวังเท่านั้น
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เดินพลัดตกราวระเบียงตายไปเอง เรือข้ามฟากยังไม่ได้โยกคลอนสักครั้ง จะโทษใครได้เล่า?
น่าเสียดายก็แต่ลูกธนูปราณวิญญาณที่อำพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมลูกนั้นกลับถูกบัณฑิตชุดขาวใช้พัดต้านรับเอาไว้ แต่มองดูแล้วเขาเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เพราะต้องถอยหลังเร็วๆ ไปสองก้าว เอนหลังพิงราวรั้วกว่าจะยืนได้มั่นคง
เว่ยป๋ายส่ายหน้า
ที่แท้ก็เป็นเศษสวะคนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย
ก่อนหน้านี้โชคดีที่ไม่ได้บอกให้เจ้าสุนัขรับใช้ข้างกายผู้นั้นลงมือ ไม่อย่างนั้น หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะไม่ทำให้ตนและจวนเถี่ยชางขายหน้าแย่หรอกหรือ การเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้ก็จะกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดรำคาญใจ
บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นมีสีหน้าเดือดดาล ตะโกนเสียงดังว่า “เรือข้ามฟากของพวกเจ้า ไม่คิดจะดูแลกันบ้างเลยหรือ บนชั้นสองมีคนร้าย!”
แม่นางน้อยรีบหยุดเดิน กระโดดลงมาจากราวระเบียง มาหลบอยู่ข้างกายเขา ใบหน้าของนางซีดเผือด ไม่ลืมทำตามคำกำชับเขาก่อนหน้านี้ ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจสอบถาม “ร้ายกาจกว่าบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองหรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวไม่ได้ใช้เสียงในหัวใจตอบกลับ แต่พยักหน้าพูดเสียงเบาออกมาตามตรง “ร้ายกาจกว่ามากเลย”
เพียงแต่ว่าไม่ได้ร้ายกาจในด้านตบะบำเพ็ญ แต่ร้ายกาจเพราะมีความคิดชั่วช้า อยู่เต็มท้อง
แม่นางน้อยร้อนใจทันใด “ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบหนีกันเถอะ?”
บัณฑิตชุดขาวพลันเปลี่ยนสีหน้า ใช้มือข้างหนึ่งวางไว้บนศีรษะนาง หุบพัดเข้าหากัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันนี้พวกเราหนีไป แล้วก็ปล่อยให้เจ้าคนชั่วกลุ่มนี้ไปทำร้ายคนอื่นวันหน้างั้นหรือ? วิถีทางโลกคือโจ๊กหม้อหนึ่ง เศษแมลงวันทั้งหลายควรจะถูกตัก ออกมาแล้วโยนทิ้งไป เห็นตัวหนึ่งก็ตักทิ้งตัวหนึ่ง ยังจำคนกลุ่มนั้นที่พวกเราเจอในยุทธภพได้ไหม? จำได้ไหมว่าหลังจบเรื่องข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร?”
แม่นางน้อยคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “เจ้าบอกว่าเมื่อหายนะมาเยือนจริงๆ ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็เป็นคนอ่อนแอ ทว่าก่อนหน้านั้นทุกคนกลับคล้ายจะเป็น ผู้แข็งแกร่งกันทั้งนั้น นี่ก็เป็นเพราะว่ามักจะมีคนอ่อนแอที่อ่อนแอยิ่งกว่าอยู่เสมอ”
ก่อนหน้าพวกเขาเดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ ตามคำบอกของชาวบ้านในพื้นที่ ช่วงนี้บนภูเขาลูกนั้นมีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงอยากจะลองไปดูสักหน่อย
บนถนนภูเขาที่เงียบสงบ พวกเขาเจอกับเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่ควบม้าร่ำสุราด้วยความฮึกเหิม พูดคุยกันเสียงดังว่าต้องสังหารภูตตัวนั้นให้ได้ ชื่อเสียงจึงจะระบือไปแปดทิศ
ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนนั้นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่กลางทางถึงไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ จากนั้นเขาก็ถูกม้าตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งชนจนลอยกระเด็นออกไป พวกคนที่อยู่ บนหลังม้าพากันแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ฝีเท้าม้าควบดังค่อยๆ ห่างไกลออกไป
แต่ตอนนั้นนางกลับไม่ได้กังวลนัก
นั่นคือเซียนกระบี่คนหนึ่งที่สังหารบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองให้ตายได้เชียวนะ
อีกทั้งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมาจากในน้ำเต้าด้วย
แต่นางกลับรู้สึกโกรธมาก
ตอนนั้นนางทนไม่ไหวแสยะปากออกกว้าง ผลกลับถูกบัณฑิตชุดขาวที่มายืนอยู่ด้านข้างจับศีรษะนางไว้เบาๆ เขายิ้มพูดว่าไม่เป็นไร
ภายหลังพวกเขาสองคนก็ได้มาเห็นว่าชาวยุทธในยุทธภพกลุ่มนั้นถูกภูต เขี้ยวแหลมคมสูงสองจั้งตัวหนึ่งขวางทางเอาไว้ ตอนนั้นในปากของมันยังเคี้ยวแขนข้างหนึ่งอยู่ ส่วนในมือก็กำศพของบุรุษที่เลือดโชกท่วมร่าง
แม่นางน้อยชุดดำพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนที่ตายก็คือเจ้าคนเลวที่ขี่ม้าชนบัณฑิตชุดขาวก่อนหน้านี้
สุดท้ายนางหลบอยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดขาว ส่วนเขาก็ใช้พัดพับที่หุบเข้าด้วยกัน ชี้ไปยังภูตประหลาดร่างกำยำดุร้ายที่กำลังกินคน แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้ากินอาหาร มื้อสุดท้ายนี่ให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ภูตที่มาขวางทางตัวนั้นโยนศพในมือทิ้งไปโดยตรง หมายจะหนีเข้าไปในป่าลึก
เหล่าคนในยุทธภพที่ก่อนหน้านี้กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำจึงขึ้นเขามาสังหารปีศาจ ก็เริ่มคุกเข่าโขกหัวร้องวิงวอนขอชีวิต
แม่นางน้อยไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องราวในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางล้วนไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก
ระเบียงชมทัศนียภาพมุมนั้นบนชั้นสองของเรือก็มีผู้คนมากมายที่มารวมกลุ่มกันเช่นเดียวกัน
หลังจากเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวสกัดการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ ผู้คนก็รู้สึกว่าไม่มีอะไร ให้น่าดูอีก
ยอมให้หนึ่งเด็กหนึ่งคนโตนั่นไปก็แล้วกัน
ส่วนบัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็ไม่กล้าพอจะซักไซ้เอาเรื่อง ราวกับว่าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
ผู้คนที่อยู่ตรงระเบียงชมทัศนียภาพตรงจุดนี้หัวเราะครืนเสียงดัง
ไม่หวาดเกรงที่จะให้หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กคู่นั้นรู้ว่าใครเป็นคนลงมือแม้แต่น้อย
ลูกจ้างบนเรือข้ามฟากคนหนึ่งแข็งใจเดินไปข้างกายบัณฑิตชุดขาว เขาไม่ได้กังวลว่าผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากคนนี้จะตำหนิ แต่กังวลว่าการที่ตัวเองถูกผู้ดูแลเรือบีบบังคับให้มาที่นี่ จะทำให้พวกผู้โดยสารบนชั้นสองพานรังเกียจตน แล้วการเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์หลังจากนี้ ตนก็คงจะไม่ได้รับเงินรางวัลแม้แต่ครึ่งเหรียญ
ลูกจ้างหนุ่มยืนอยู่เบื้องหน้าบัณฑิตชุดขาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ถามว่า “เจ้าเอะอะโวยวายอะไร? ดวงตาสุนัขข้างไหนของเจ้าที่มองเห็นว่ามีคนร้าย?”
บัณฑิตชุดขาวพลันหันหน้าไปมองทางแม่นางน้อยชุดดำ “เป็นเขาหรือที่ขายรายงานข่าวให้เจ้า ทั้งยังโน้มน้าวผู้โดยสารคนนั้นว่าอย่าซ้อมเจ้าจนตาย แสร้งทำ ราวกับว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนา?”
นางส่ายหน้า
เป็นอีกคนหนึ่งที่อายุมากกว่า
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับเคาะไปที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเอง “ผู้ฝึกตนต้องฝึกฝนจิตใจให้มาก ไม่อย่างนั้นเดินขาเป๋ไปตลอดทางก็คงไม่มีทางเดินได้ถึงจุดที่สูงที่สุด”
แม่นางน้อยชุดดำกระตุกชายแขนเสื้อของเขา มือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปาก แหงนหน้าพูดกับเขาเบาๆ ว่า “ห้ามโมโหนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโมโหเจ้าแล้ว ข้าดุมากเลยนะ”
บัณฑิตชุดขาวมองไปทางชั้นสอง “ไม่ได้ ข้าต้องใช้เหตุผลสักหน่อย คราวก่อนที่อยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋นยังใช้เหตุผลได้ไม่เยอะพอ”
ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกมาเตรียมจะผลักบัณฑิตชุดขาวที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ขวางหูขวางตา แสร้งทำเป็นอวดภูมิมีความรู้อะไรอยู่ได้ “เจ้ายังไม่ยอมหยุดใช่ไหม? ไสหัวกลับไปอยู่ในห้องเจ้าเลย!”
จากนั้นเขาก็ต้องปากอ้าตาค้าง
เหตุใดฝ่ามือของตนอยู่ห่างจากเบื้องหน้าคนผู้นั้นหนึ่งชุ่นก็ไม่อาจยื่นไปข้างหน้าได้อีกแล้ว?
บัณฑิตชุดขาวไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “กดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตสี่ ก็คิดว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ งั้นหรือ”
ลูกจ้างหนุ่มพลันโค้งเอว กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ผู้โดยสารเชิญท่านชมทัศนียภาพต่อไป ข้าน้อยไม่รบกวนท่านแล้ว”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวได้ก็เผ่นหนีทันที
แล้วเขาก็หนีรอดมาได้จริงๆ
วิ่งไปถึงหัวเรือ หันหน้ากลับมามองครั้งหนึ่ง ไม่มีเงาของบัณฑิตชุดขาวอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่แม่นางน้อยชุดดำที่ยืนขมวดคิ้ว
ระเบียงชมทัศนียภาพมุมหนึ่งบนชั้นสองของเรือข้ามฟากที่ห่างจากพวกเว่ยป๋ายไปไม่ไกลเท่าใดนัก
ผู้ฝึกตนชายหญิงเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มกันมาหาประสบการณ์พร้อมใจกันก้าวถอยหลัง
เบื้องหน้าพร่าลายไปแวบหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ บัณฑิตชุดขาวที่ก่อนหน้านั้นต้านรับ ลูกธนูปราณวิญญาณได้อย่างเปลืองแรงก็มายืนอยู่บนราวระเบียง เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งโบกพัดเบาๆ หลุบตาลงต่ำมองพวกเขาจากที่สูง
ขณะที่คนผู้หนึ่งคิดจะเปิดปากพูด การโคจรปราณวิญญาณในร่างก็พลันหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนหลัง ใบหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
บัณฑิตชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ข้าใช้เหตุผล พวกเจ้าแค่ฟังอย่างเดียว ก็พอแล้ว”
เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง พัดพับหุบเข้าหากัน แล้วตวัดขึ้นเบาๆ
ผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนลอบโจมตีถูกหิ้วตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่บัณฑิตชุดขาวจะคว้าจับศีรษะของเขาแล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ จับเขาโยนออกไป นอกเรือข้ามฟากโดยตรง
พัดพับตวัดขึ้นอีกครั้งก็มีคนอีกคนหนึ่งลอยตัวกลางอากาศสูงเหมือนถูกรัดคอกระชากขึ้น แล้วถูกตบออกไปนอกเรือด้วยการโบกชายแขนเสื้อเพียงครั้งเดียวของ คนผู้นั้น
ทุกคนล้วนถูกคนผู้นั้นจับโยนเหมือนโยนเกี้ยวลงหม้อต้ม
บนระเบียงชมทัศนียภาพแถบนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงบัณฑิตชุดขาวที่ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดอยู่คนเดียวเท่านั้น
เขาทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง บินหันหลังตามออกไปนอกเรือข้ามฟากเช่นกัน ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างสะบัดเสียงดั่งฟึ่บฟั่บ พริบตาเดียวร่างก็ทิ้งดิ่งลงไปเบื้องล่าง มองไม่เห็นเงาอีก
ครู่หนึ่งต่อมา
เขาก็มาปรากฏตัวอยู่บนราวระเบียงของเรือข้ามฟากอีกครั้ง แหงนหน้ามองไปยังระเบียงชมทัศนียภาพของห้องอักษรตัวเทียน ยิ้มตาหยี ไม่เอ่ยอะไร
เว่ยป๋ายกระตุกมุมปาก “อาจารย์เลี่ยว ว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนก้าวยาวๆ ตรงไปเบื้องหน้า ใช้พายุหมัดดีดเจ้าพวกเศษสวะ บนภูเขาล่างภูเขากลุ่มนั้นที่ดีแต่จะคุยโวประจบสอพลอให้พ้นทาง ผู้เฒ่าเพ่งตามองไปยังบัณฑิตชุดขาว พูดเสียงหนักว่า “บอกได้ยาก”
เว่ยป๋ายหันหน้าไปชำเลืองตามองชายฉกรรจ์ในยุทธภพที่สีหน้าซีดขาวน้อยๆ คนนั้น พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะไม่ยุ่งยากหรือ?”
หญิงชราเองก็มายืนอยู่ข้างกายเว่ยป๋าย “มีอะไรให้ยุ่งยากกัน ให้เจ้าเด็กเลี่ยว ลงไปเล่นเป็นเพื่อนเขาสักครู่ ดูสิว่าจะมีฝีมือสักเท่าไร ลองชั่งน้ำหนักดูก็รู้แล้ว”
เว่ยป๋ายไม่ได้ตัดสินใจกระทำสิ่งใดโดยพลการ ผู้ถวายงานที่เป็นบ่าวในบ้านซึ่งมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาก็เป็นคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีความสามารถ อย่างแท้จริงที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาล้วนให้ความสนิทสนมและเคารพนับถืออย่างไม่เคยขี้เหนียว ดังนั้นเว่ยป๋ายจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์เลี่ยวท่านไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง”
ผู้เฒ่าร่างกำยำกำมือข้างหนึ่งเป็นหมัด ข้อต่อกระดูกทั่วร่างลั่นดังเหมือนเสียงประทัดระเบิด ขาหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “พวกหมอนปักลายบุปผาทางทิศใต้ ไม่อาจทนรับการต่อยตีได้ มือกระบี่อย่างตาเฒ่าเผิงที่อยู่ทางเหนือก็มีมหาเสนาบดี ผู้นั้นคอยปกป้อง กว่าจะเจอคนที่กล้าท้าทายจวนเถี่ยชางของพวกเราได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธหรือผู้ฝึกตน วันนี้ข้าจะไม่ยอมพลาดโอกาสไปเด็ดขาด”
ผู้เฒ่าขอบเขตร่างทองของจวนเถี่ยชางไม่ได้ปล่อยหมัดพุ่งตรงออกไปด้วย พลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม แต่ใช้มือข้างเดียวยันไว้บนราวระเบียงแล้วพลิ้วกายลงบนระเบียงเรือชั้นหนึ่งอย่างแผ่วเบา ยิ้มกล่าวว่า “ไอ้หนู มาอุ่นมือเป็นเพื่อนข้าหน่อยดีไหม? วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าตายหรอก เพราะพวกเราไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน”
คนผู้นั้นแหงนหน้าใช้นิ้วเคาะไปบนพัดพับที่ใช้ยันปลายคางคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เก็บพัดแล้วพลิ้วกายลงสู่พื้นเช่นเดียวกัน “จุดจบที่ยอมให้คนอื่นหนึ่งกระบวนท่า ล้วนไม่ค่อยดีเท่าไร…”
บัณฑิตชุดขาวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ยอมให้คนอื่นสามกระบวนท่าแล้วกัน”
เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มือที่ถือพัดพับชี้ไปที่หน้าผากของตัวเอง “เจ้าออกหมัดก่อนสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยว่ากัน เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง ตกลงไหม?”
คนทั้งสองใจตรงกันอย่างมาก ต่างคนต่างยืนอยู่คนละด้านของเรือข้ามฟาก ห่างจากกันประมาณยี่สิบก้าว
ผู้โดยสารทุกคนบนเรือข้ามฟากต่างก็กำลังกระซิบกระซาบวิจารณ์กันเบาๆ
ทางฝั่งเว่ยป๋ายก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
มีเพียงคนผู้หนึ่งที่มาจากทางทิศใต้ของแคว้นเป่าเซียงที่ขยับตัวหลบหนีไปทางกลุ่มผู้โดยสารของสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่ชั้นหนึ่งของเรือ สีหน้าของเขาซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก
เขาอยากร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก
เหตุใดข้าต้องมาเจอกับเซียนกระบี่หนุ่มนิสัยยากคาดเดา แต่มรรคกถาล้ำลึกผู้นี้อีกแล้วด้วยนะ
นายท่านเซียนกระบี่หนุ่ม ข้ากำลังหนีก็เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับนายท่านผู้อาวุโสอีก ไม่ได้ตั้งใจจะมาโดยสารเรือข้ามฟากลำเดียวกับท่านจริงๆ นะ!
ผู้เฒ่าแซ่เลี่ยวที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตโอสถทองหลุดหัวเราะพรืด “ไอ้หนู จะยอมให้ข้าสามหมัดจริงๆ หรือ?”
บัณฑิตชุดขาวทำสีหน้าตกตะลึง “ไม่พอ? ถ้าอย่างนั้นก็สี่หมัด? หากเจ้ารู้สึกว่า ยังไม่มั่นใจก็ห้าหมัด แค่ห้าหมัดเท่านั้น มากกว่านี้อีกไม่ได้แล้วจริงๆ หากมากเกินไป คนที่ดูงิ้วครั้งนี้จะรู้สึกว่าน่าเบื่อ”
ผู้เฒ่ายกนิ้วโป้งให้ ยิ้มกล่าวว่า “สามหมัดผ่านไป หวังว่าศพของเจ้าจะยังครบถ้วน”
เขาไม่เอ่ยอะไรอีก ตั้งกระบวนท่าหมัด พายุหมัดพลันพัดถาโถม ปณิธานหมัดเพิ่มขึ้นพรวดพราด
ทุกคนที่อยู่บนชั้นหนึ่งและชั้นสองต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่เจอกับพายุลูกใหญ่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธบางส่วนที่ตบะไม่สูงพอก็แทบจะลืมตาไม่ขึ้น
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
หน้าต่างห้องที่อยู่บนผนังด้านข้างถึงขั้นเกิดรอยปริร้าวคล้ายกระดองเต่าลุกลามไปไม่หยุด
ผู้เฒ่าร่างกำยำยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่บัณฑิตชุดขาวยืนอยู่ก่อนหน้านี้ หันไปมองอีกครั้ง บัณฑิตชุดขาวคนนั้นกลับไม่ได้ถูกต่อยจนร่างแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา แต่กลับไปยืนอีกฝั่งหนึ่งของหัวเรือ ชุดคลุมสีขาวและชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วสะบัด ดุจเกล็ดหิมะที่โปรยปราย
นี่ทำให้พวกคนที่รู้จักตัวตนของผู้เฒ่าแห่งจวนเถี่ยชางจำต้องกลืนเสียงไชโย โห่ร้องกลับลงท้องไป
ลูกกระเดือกของคนผู้นั้นขยับเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่แสดงออกภายนอก น่าจะเป็นเพราะฝืนข่มกลั้นกลืนเลือดสดที่เอ่อมาตรงริมฝีปากกลับลงไป แต่เขาก็ยังสามารถยิ้มตาหยีได้เหมือนเดิม “หมัดนี้ปล่อยไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างมากสุดก็คือทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกตายคาที่ได้ทันที ผู้อาวุโสนับว่ามีคุณธรรม จิตใจเมตตายอมออมมือให้”
ผู้เฒ่าแซ่เลี่ยวหรี่ตาลง ชุดคลุมสีขาวบนร่างของคนหนุ่มเวลานี้เพิ่งจะถูกพายุหมัดของตนกระแทกให้เศษฝุ่นปลิวสลาย แต่กลับไม่มีลางว่าจะปริแตกแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “ชุดคลุมอาคมระดับดีเยี่ยมชิ้นหนึ่ง มิน่าเล่า! ช่างเป็นแผนการที่ดี ช่างมีกลอุบายที่ดี อำพรางตนได้ลึกล้ำนัก!”
ในมือคนผู้นั้นยังคงถือพัดพับ เดินไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า “ข้าต้องทุบหม้อ ขายเหล็กกว่าจะซื้อชุดคลุมอาคมชิ้นนี้มาได้ เจ้าไม่พอใจที่ข้าไม่ตายด้วยหมัดเดียว ของเจ้าอย่างนั้นหรือ? ผู้อาวุโสหากเจ้ายังเป็นแบบนี้ก็ไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเท่าไรแล้วนะ ก็ได้ๆๆ ข้าจะถอนประสิทธิภาพของชุดคลุมอาคมออกไปก็แล้วกัน ยังเหลืออีกสองหมัด”
ผู้เฒ่าก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ตลอดทั้งเรือข้ามฟากก็ถึงกับลดระดับฮวบลงไปหนึ่งจั้งกว่า ร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้าเหมือนสายฟ้าแลบ อีกทั้งยังออกหมัดที่รวบรวมปณิธานหมัดทั้งชีวิตเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว
คราวนี้บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็น่าจะร่างระเบิดไปโดยตรง อย่างน้อยที่สุดก็ควร ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้ร่างทะลุหัวเรือออกไป ร่วงหล่นลงบนพื้นดินแล้วกระมัง?
เปล่าเลย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น
คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งถือพัดอยู่เหมือนเดิม ก็แค่ยกมือข้างที่ เดิมไพล่หลังไว้ออกมาต้านรับเท่านั้น
คราวนี้เปลี่ยนเป็นผู้เฒ่าร่างกำยำที่ต้องถอยหลังกรูดออกไปบ้าง จิตวิญญาณของเขาแกว่งไกวไม่หยุด
บัณฑิตชุดขาวยืนนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ร้องโอ้ยออกมาหนึ่งครั้ง ขาสองข้าง ไม่ขยับเขยื้อน แต่เรือนกายด้านบนกลับแสร้งโยกโงนเงนอยู่สองสามที “วิชาหมัดของผู้อาวุโสดั่งวิชาเทพ น่ากลัวๆ โชคดีที่ผู้อาวุโสเหลืออีกแค่หมัดเดียว ใจข้ายังหวาดผวาไม่หาย โชคดีที่ผู้อาวุโสเกรงใจกัน ไม่ยอมรับปากข้าที่บอกว่าให้เจ้าออกหมัดทีเดียว ห้าครั้งรวด ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจภายหลังมากๆ แล้ว”
ผู้โดยสารทุกคนบนเรือใกล้จะบ้าตายเต็มที
มารดามันเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเจอใครที่เห็นชัดๆ ว่าเล่นละครเก่ง แต่กลับไม่ตั้งใจเล่นขนาดนี้มาก่อน!
ผู้เฒ่าร่างกำยำผู้นั้นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็หมัดสุดท้าย!”
สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
พายุหมัดแกร่งกร้าวทั่วกายของผู้เฒ่าก็ปะทุดันชุดคลุมยาวของเขาให้พองโป่ง
นาทีถัดมา ภาพเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของจวนเถี่ยชางผู้ยิ่งใหญ่ กลับไม่ได้ปล่อยหมัดใส่บัณฑิตชุดขาวโดยตรง แต่เบี่ยงวิถีการโคจรไประหว่างทาง หันไปหาแม่นางน้อย ชุดดำที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างราวระเบียง ทุกครั้งที่นางเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวปลอดภัยดีจะต้องขึงหน้าตึงกลั้นยิ้ม แอบยกมือเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นปรบเข้าด้วยกันเบาๆ นางปรบมืออย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา น่าจะเป็นเพราะจงใจไม่ให้ฝ่ามือทั้งสองตีโดนกัน
เสี้ยววินาทีถัดมา
ราวกับว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
เห็นเพียงว่าคนชุดขาวมายืนอยู่ข้างกายแม่นางน้อย นิ้วทั้งห้าของมือซ้าย งอเป็นตะขอจิกอยู่ที่ลำคอของปรมาจารย์วิถีวรยุทธแห่งจวนเถี่ยชาง ทำให้ฝ่ายหลัง ที่ร่างโน้มเอียงมาด้านหน้าไม่อาจขยับเขยื้อนมาอีกได้แม้แต่นิดเดียว ลำคอของ ฝ่ายหลังมีเลือดสดทะลัก มือหนึ่งของบัณฑิตชุดขาวถือพัด เขาคลายนิ้วมือออก ผลักไปที่หน้าผากของผู้เฒ่าเบาๆ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขต ร่างทองที่ผ่านการเข่นฆ่าบนสนามรบมาก่อนก็กระแทกท้ายเรือร่วงตกจากเรือ ข้ามฟากไป
บนระเบียงของชั้นสอง เว่ยป๋ายไม่ได้เอ่ยคำใด หญิงชราก็ไม่พูดไม่จาเหมือนกัน
ครู่หนึ่งต่อมา
ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงทำนองเดียวกันจากจุดที่ห่างไปไกล
ด้านท้ายของเรือข้ามฟากมีจุดแสงสีทองจุดหนึ่งระเบิด จากนั้นแสงกระบี่ ก็พุ่งมาถึง คนขี่กระบี่ผู้หนึ่งที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่ม ปักปิ่นสีทองบนมวยผมมองมาทางราวระเบียง ถามว่า “เป็นเจ้าที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูข้า ใช่หรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวสีหน้าเหลอหรา ถามว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
เซียนกระบี่เด็กหนุ่มยิ้มอย่างจนใจ “พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์เมื่อไหร่ ข้าจะเลี้ยงน้ำชาเจ้า”
แล้วแสงกระบี่ก็จากไปไกล
ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางน้อยชุดดำถึงพลันรู้สึกว่าเรื่องราวบนภูเขาประเภทนี้ช่างเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ชวนให้ฮึกเหิม แต่นางกลับดีใจไม่ออก นางก้มหน้าลง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายบัณฑิตชุดขาว กระตุกชายแขนเสื้อของเขาเบาๆ “ขอโทษนะ”
คนผู้นั้นทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้มือสองข้างดึงแก้มของนางเบาๆ จากนั้นก็ทำหน้าทะเล้นใส่นาง พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อะไรกันๆ”