Skip to content

Sword of Coming 520

บทที่ 520 คำตอบอยู่บนไผ่เขียว

ยามเข้าสู่ช่วงหน้าฝน การเดินทางไปเยือนต่างบ้านต่างเมือง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ น่าหงุดหงิดใจอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ เหมือนถูกมีดจ่อคอเช่นนี้ นี่ทำให้สุยซินอวี่รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม ผ่านจุดพักม้ามาหลายแห่ง ได้เห็นบทกวีที่นักท่องเที่ยวซึ่งผ่านทางมาทิ้งไว้บนผนัง แต่ละบท ก็ยิ่งทำให้นักประพันธ์ใหญ่ท่านนี้รู้สึกร่วมไปด้วย หลายครั้งต้องดื่มเหล้า ดับทุกข์ ทำเอาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มองดูอยู่ยิ่งกังวลใจ มีเพียงสตรีสวมหมวกคลุมหน้าเท่านั้นที่ยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้านใดๆ

ม้าทั้งสี่ตัวได้แต่เลือกถนนทางหลวงในการเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงเท่านั้น ท่ามกลางม่านสนธยาของวันนี้ ฝนที่ตกกระหน่ำเพิ่งจะซาเม็ด ต่อให้ก่อน หน้านี้จะพยายามควบม้าเร็วอยู่ท่ามกลางพายุฝน แต่ก็ยังไม่อาจไปถึงจุดพักม้า ก่อนที่ค่ำคืนจะมาเยือนได้ นี่ทำให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เพิ่งปลดงอบและเสื้อกันฝน ออกจากตัวรู้สึกทุกข์ใจจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำ เขากวาดตามองไป รอบด้าน มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าต้องมีอันตรายรายล้อม หากไม่เป็นเพราะร่างกายของผู้เฒ่ายังนับว่าแข็งแรง หลังจากลาออกจากการเป็นขุนนางกลับคืนสู่บ้านเกิดก็มัก จะไปท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำกับสหายเก่าเป็นประจำ ป่านนี้ก็คงล้มป่วย ไม่อาจ ทนรับกับความยากลำบากที่ต้องเดินทางระหกระเหินเช่นนี้ไปนานแล้ว

บนถนนทางหลวง ในจุดลับตาข้างถนนมีใบหน้าที่ไม่แปลกตาสักนิดปรากฏตัว เขาก็คือชายฉกรรจ์ใบหน้าดุร้ายที่เป็นกลุ่มคนในยุทธภพซึ่งเจอกันตรงศาลาเล็ก ของถนนชาม้าโบราณ เขาเดินอยู่ห่างจากม้าทั้งสี่ของตระกูลสุยไม่ถึงสามสิบก้าว ในมือของชายฉกรรจ์ถือดาบเล่มยาว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วิ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเขาทันที

สุยซินอวี่ตะโกนเสียงดัง “เซียนกระบี่ช่วยด้วย!”

เพียงแต่ว่าฟ้าดินรอบด้านเงียบสงัดไร้เสียงตอบรับ

จากนั้นข้างกายของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ดึงบังเหียนหยุดม้าในฉับพลันก็มีเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังขึ้น เป็นม้าของสตรีสวมหมวกที่ทะยานตัวออกไป

แสงดาบเปล่งวาบ หนึ่งม้าวิ่งสวนไหล่ผ่านชายฉกรรจ์ถือดาบผู้นั้นไป

ดูเหมือนว่าตรงช่วงเอวของสตรีสวมหมวกคลุมหน้าจะถูกแสงดาบฟาดฟัน เรือนกายอรชรโก่งหนีจนเกิดเป็นเส้นโค้ง ร่างพลัดหลุดลงจากหลังม้า กระอักเลือด ไม่หยุด

ชายฉกรรจ์ยังคงบุกรุดหน้าไปไม่หยุดนิ่ง ทว่าไม่นานฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆ ชะลอช้าลง โซเซเดินหน้าต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ทรุดฮวบลงกับพื้น

ใบหน้า ลำคอและหัวใจ สามจุดนี้ต่างก็ถูกปิ่นทองด้ามหนึ่งแทงเข้าไป แต่หาก ไม่เป็นเพราะปิ่นทองสามชิ้นที่เหมือนกับอาวุธลับของผู้ฝึกยุทธ แล้วก็คล้ายกับ กระบี่บินของเซียนกระบี่มีจำนวนมากพอ อันที่จริงการทำเช่นนี้จะเสี่ยงอันตราย อย่างมาก อาจจะไม่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธในยุทธภพคนนี้ได้ในเสี้ยววินาที ปิ่นทองที่ปักตรงใบหน้าได้แค่แทงทะลุข้างแก้ม เลือดไหลโชกมองดูเหมือนน่ากลัวเท่านั้น ส่วนปิ่นทองที่อยู่ตรงหัวใจก็พลาดเป้าไปหนึ่งชุ่น ไม่สามารถแทงทะลุหัวใจ ได้อย่างแม่นยำ มีเพียงปิ่นทองตรงลำคอเท่านั้นที่ถึงจะเป็นบาดแผลร้ายแรงถึงชีวิต ได้อย่างแท้จริง

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าโงนเงนลุกขึ้นยืน เอามือกุมหน้าท้องเอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่มือดาบแห่งยุทธภพผู้นี้ออกดาบถึงได้เปลี่ยนจากคมดาบเป็นสันดาบแทน นี่น่าจะเป็นเพราะเขาแค่ต้องการให้บาดเจ็บ หาใช่ฆ่าเพื่อเอาชีวิตไม่ สุยจิ่งเฉิงพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้ราบรื่น หูได้ยินเสียงปังเบาๆ ดังขึ้นจากจุดที่ห่างไปไกลแสนไกลแว่วๆ

สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปตะโกนเสียงดัง “ระวัง! รีบลงจากหลังม้าไปซ่อนตัว!”

มีคนยิงธนูคันใหญ่ ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศมาถึงด้วยความเร็ว เสียงหวีดดังนั้นมากพอจะทำให้จิตวิญญาณของคนสะท้านไหว

มุมปากของสุยจิ่งเฉิงมีเลือดสดไหลซึม แต่กระนั้นก็ยังพยายามฝืนข่มกลั้น ความเจ็บปวดรวดร้าวตรงหน้าท้อง กลั้นลมหายใจทำสมาธิท่องคาถา ในมือหนึ่ง ทำมุทราตามภาพที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มเล็กซึ่งยอดฝีมือเคยมอบให้ในอดีต จากนั้น บิดเอว ชายแขนเสื้อพลิ้วหมุนคว้าง ปิ่นทองสามชิ้นถูกดึงออกจากศพที่กองอยู่บนถนนทางหลวง พุ่งเข้ารับหน้าลูกธนูดอกนั้น ปิ่นทองพุ่งไปด้วยความเร็วอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะช้ากว่าเสียงของลูกธนู แต่กระนั้นปิ่นทองก็ยังสามารถพุ่งชนบนลูกธนูจนเกิดสะเก็ดไฟสามสะเก็ดได้ ทว่าวิถีของลูกธนูกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงสาดยิง เข้าหาศีรษะของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้า

ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ต่อให้นางจะแอบมอบเสื้อไผ่ ผ้าโปร่งตัวนั้นให้บิดาสวมเอาไว้ แต่หากลูกธนูยิงเข้าที่หัว ต่อให้เจ้าจะเป็นชุดคลุมอาคมเทพเซียนในตำนานชิ้นหนึ่ง แต่จะสามารถช่วยได้อย่างไร?

สุยจิ่งเฉิงเบิกตากว้าง น้ำตาไหลทะลักพรั่งพรูออกมาจากดวงตา

ยามคับขันเป็นตาย ความจริงใจย่อมปรากฏ

ต่อให้สุยจิ่งเฉิงจะไม่เห็นด้วยกับการวางตัวเป็นคนในสังคมและการเป็นขุนนางของบิดาไปเสียทั้งหมด ทว่าความรักความผูกพันระหว่างพ่อลูกกลับไม่ใช่ของปลอม

ก็เหมือนกับเสื้อไผ่ผ้าโปร่งที่บางเบาราวกับปีกจักจั่นตัวนั้น การที่นางยอมมอบให้สุยซินอวี่สวมไว้บนร่าง สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะสุยจิ่งเฉิงเดาออกว่าตัวเองยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทว่ายามที่หายนะใหญ่มาเยือน แล้วสามารถยินดีเดิมพันเหมือนอย่างสุยจิ่งเฉิงนี้ หาใช่สิ่งที่สตรีทุกคนบนโลกจะทำได้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับสตรีที่ฉลาดเฉลียวซึ่งมีปณิธานอยู่กับการฝึกตนเป็นอมตะอย่างสุยจิ่งเฉิงด้วยแล้ว

นาทีถัดมา

คนชุดขาวสะพายกระบี่ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า เขาเหยียบยืนอยู่บนลูกธนูดอกนั้นพอดี ทำให้มันพลิ้วร่วงลงบนบริเวณใกล้กับสุยซินอวี่หนึ่งคนหนึ่งม้า ก่อนที่ลูกธนูใต้ฝ่าเท้าจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

แล้วก็มีลูกธนูอีกดอกพุ่งเสียงแหลมเข้ามา คราวนี้ความเร็วมีมากอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นมีภาพปรากฎการณ์ของสายฟ้าระเบิดพื้นดินสะเทือน ก่อนที่ลูกธนูจะแหวกอากาศมาถึงยังมีเสียงผึ่งเพราะสายธนูถูกดีดจนขาดสะบั้นด้วย

ทว่าลูกธนูกลับถูกคนหนุ่มชุดขาวคว้าจับเอาไว้ แล้วมันก็ระเบิดคาอยู่ในกำมือของเขา

เซียนกระบี่ชุดขาวมองไปยังจุดที่ลูกธนูพุ่งมา แล้วยิ้มกล่าวว่า “เซียวซูเย่ เจ้าคือมือดาบไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนมาใช้ธนูแล้วเล่า?”

แล้วเซียนกระบี่ชุดขาวก็พุ่งตัวออกไป

สุ่ยจิ่งเฉิงตะโกนขึ้นว่า “ระวังจะเจอแผนล่อเสือออกจากถ้ำ…”

เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ที่เปลี่ยนมาสวมชุดสีขาวผู้นั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงกระโจนออกไปไล่ล่าอีกฝ่ายตามลำพัง แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นจากพื้น ทำให้คนมองตาพร่าเลือนจิตวิญญาณแกว่งไกว

สุยจิ่งเฉิงรีบพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบตะบึงออกไป กวักมือเรียกเอาปิ่นทองสามชิ้น ที่ตกอยู่บนพื้นมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วหันตะโกนเสียงดังกับคนทั้งสาม “รีบไป!”

ม้าสี่ตัวของตระกูลสุยควบทะยานจากไปทันที

หลังจากห้อม้ามาได้หลายลี้ก็ยังคงไม่เห็นเค้าโครงของจุดพักม้า รองเจ้ากรมผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าแรงกระแทกจากหลังม้าทำให้กระดูกของเขาเคลื่อนไปหมดแล้ว น้ำตา จึงไหลอาบใบหน้าเหี่ยวย่น

สุยจิ่งเฉิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง หยุดม้ากะทันหัน

คนบนหลังม้าทั้งสามตัวที่เหลือก็รีบดึงรั้งบังเหียนหยุดตามไปด้วย

บนถนนเบื้องหน้า เฉาฟู่เอามือหนึ่งไพล่หลัง ผายมือข้างหนึ่งมายังสตรีสวมหมวกคลุมหน้า “จิ่งเฉิง ติดตามข้าขึ้นเขาไปฝึกตนเถอะ ข้าสามารถรับรองได้ว่า ขอแค่ เจ้าขึ้นเขาไปพร้อมกับข้า รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลสุยในอนาคตล้วนจะต้องมีความร่ำรวยเกียรติยศรอคอยอยู่”

สีหน้าของสุยซินอวี่แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง

สุยจิ่งเฉิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเป็นเช่นนี้จริง เจ้าเฉาฟู่จะต้องเปลืองแรงขนาดนี้หรือ? ด้วยนิสัยของท่านพ่อและคนตระกูลสุยข้า มีแต่จะยกข้าประคอง ส่งให้เจ้าด้วยสองมือ หากข้าเดาไม่ผิด ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ของหยางหยวนเจียว แม่น้ำขุ่นหลุดปากพูดโดยไม่ทันระวัง บอกว่ารายชื่อปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบน อันดับใหม่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นของแคว้นอู่หลิงพวกเราจะอยู่รั้งท้ายสุด? ถ้าเช่นนั้นสี่สาวงามก็น่าจะมีคำตอบแล้วเช่นกัน ทำไม ข้าสุยจิ่งเฉิง ก็โชคดีได้เลื่อนสู่อันดับนี้เหมือนกันหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไร? หากข้าเดาไม่ผิด อาจารย์ที่เป็นเทพเซียนพสุธาคนนั้นของเจ้าต้องการตัวข้าสุยจิ่งเฉิง นี่คือเรื่องจริง แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าคงไม่สามารถปกป้องข้าสุยจิ่งเฉิงได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลสุยเลย เพราะฉะนั้นจึงได้แต่วางแผนอย่างลับๆ ชิงลักพาตัวข้าไปยังสถานที่ ฝึกตนของเจ้าเฉาฟู่เสียก่อน”

เฉาฟู่ดึงมือกลับมา เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “จิ่งเฉิง เจ้าฉลาดเฉลียวเช่นนี้ มาโดยตลอด ช่างทำให้คนทึ่งยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นสตรีซึ่งมีวาสนาในการฝึกตน อย่างลึกล้ำ มาผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับข้าเถิด เจ้าและข้าขึ้นเขาเดินทางไกล ทะยานลมอย่างอิสระเสรีไปด้วยกัน จะไม่มีความสุขมากหรอกหรือ? กลายมาเป็น ผู้ฝึกตนที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย เพียงแค่ดีดนิ้วเวลาหกสิบปีในโลกมนุษย์ ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ญาติทั้งหลายล้วนกลายเป็นเพียงกระดูกขาวโพลน จะต้องสนใจ ไปไย หรือหากรู้สึกละอายใจจริงๆ ต่อให้จะต้องเจอกับพิบัติภัยบ้าง แต่ขอแค่ลูกหลานตระกูลสุยยังอยู่ก็ยิ่งถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา รอให้ข้าและเจ้าจับมือกัน เลื่อนเป็นเซียนดินเมื่อไหร่ ตระกูลสุยที่อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็ยังคงผงาดขึ้นมาได้ อย่างสบายๆ อยู่ดี”

ในที่สุดสุยซินอวี่ก็ฟังความนัยในถ้อยคำของเฉาฟู่ออกเสียที จนกระทั่งบัดนี้ เขาถึงเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง ที่แท้อีกฝ่ายก็แค่สนใจว่าสุยจิ่งเฉิงจะเป็นหรือตายเท่านั้น หากบุตรสาวของตนจากไป ดูเหมือนว่าตระกูลสุยจะต้องเจอกับหายนะล้าง วงศ์ตระกูล?

สุยซินอวี่จึงสบถด่าดังลั่น “เฉาฟู่ ข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด เหตุใด เจ้าถึงต้องคิดร้ายหวังทำลายตระกูลสุยของข้าเช่นนี้!”

เฉาฟู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านลุงสุยย่อมดีกับข้าไม่น้อย ปีนั้นสายตาก็ยิ่งดีเยี่ยม ถึงได้เลือกข้ามาเป็นลูกเขย บุญคุณครั้งนี้ หากตัวของท่านลุงสุยเองไม่มีโอกาสได้รับไว้ ในอนาคตเมื่อข้ากับจิ่งเฉิงฝึกตนประสบผลสำเร็จแล้วย่อมต้องชดใช้คืนให้กับลูกหลานตระกูลสุยเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน”

สุยซินอวี่โมโหจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ

เฉาฟู่ทอดสายตามองไปไกล “ไม่มัวพูดจาเกรงอกเกรงใจกับพวกเจ้าแล้ว จิ่งเฉิง ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ายอมจากไปกับข้าแต่โดยดี ข้าจะไม่ฆ่า พวกเขาสามคน แต่หากเจ้าไม่เต็มใจ จะต้องให้ข้าตีเจ้าสลบให้จงได้ ถ้าอย่างนั้น ศพอีกสามศพ เจ้าก็จะไม่ได้เห็นอีก ดังนั้นวันหน้าหากถึงคราวต้องกลับไปเยี่ยม บ้านเดิมก็คงไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว มีเพียงถึงเทศกาลชิงหมิงที่เจ้าและข้า สองสามีภรรยาจะได้เซ่นไหว้อยู่บนภูเขาของข้าไกลๆ เท่านั้น”

สุยจิ่งเฉิงปลดหมวกแล้วโยนทิ้ง ถามว่า “เจ้าและข้าสองคนขี่ม้าไปที่ภูเขาเซียนลูกนั้น? ไม่กลัวว่าเซียนกระบี่สังหารซูเซียวเย่แล้วจะย้อนกลับมาหาเรื่องเจ้าหรือ?”

เฉาฟู่คีบยันต์ออกมาสองสามแผ่น พูดอย่างมั่นใจว่า “ตอนนี้เจ้าเองก็ถือว่าเป็น ผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว แปะยันต์แผ่นนี้ เจ้าและข้าก็พอจะฝืนทะยานลมเดินทางไกล ไปด้วยกันได้”

สุยจิ่งเฉิงพลิกตัวลงจากหลังม้า “ข้าตกลง”

เฉาฟู่ยื่นมือออกมา “แบบนี้สิจึงจะถูก รอให้เจ้าได้เห็นวิชาเซียนของเซียนซือ บนภูเขาเซียนที่แท้จริงเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจเองว่าการเลือกในวันนี้ของเจ้านั้น ฉลาดถึงเพียงใด”

คนทั้งสองอยู่ห่างกันอีกแค่สิบกว่าก้าว

ทันใดนั้นปิ่นทองสามชิ้นก็พุ่งออกมาจากร่างของสุยจิ่งเฉิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ทว่ากลับถูกเฉาฟู่สะบัดชายแขนเสื้อม้วนหอบพวกมันเข้ามากุมไว้ใน กำมือ ต่อให้จะทำเพียงแค่กุมปิ่นทองที่ส่องรัศมีแสงเรืองรองไว้หลวมๆ ฝ่ามือ กลับยังคงแสบร้อนเหมือนถูกลวก ผิวหนังปริแตก พริบตาเดียวเลือดสดก็ไหลนอง เฉาฟู่ขมวดคิ้ว ใช้นิ้วคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่อาจารย์มอบให้ก่อนออกเดินทาง ออกมาแล้วท่องคาถาเบาๆ ใช้ยันต์ห่อหุ้มปิ่นทองทั้งสามชิ้นไว้ภายใน ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่แสงอัญมณีเจิดจ้าถึงได้หายไป

จากนั้นจึงเก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง เฉาฟู่ยิ้มเอ่ยว่า “จิ่งเฉิง วางใจเถอะ ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก นิสัยพยศดื้อรั้นเช่นนี้ของเจ้านี่แหละที่ทำให้ข้าหวั่นไหวได้มากที่สุด”

เส้นสายตาของเฉาฟู่มองผ่านสุยจิ่งเฉิงไป “เพียงแต่เจ้ากลับคำก่อน ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าโทษหากสามีจะผิดสัญญาบ้าง”

แต่เฉาฟู่ก็ทำท่าอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างจนใจว่า “ทำไม ด้านหลังข้ามีคนหรือ จิ่งเฉิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝึกตนอยู่บนภูเขานั้น การคล้อยไปตามสถานการณ์ตามชะตาลิขิตคือความรู้อย่างหนึ่งที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังรอบคอบ”

เพียงแต่ว่าสีหน้าของสุยจิ่งเฉิงยังคงแปลกประหลาดอยู่อย่างนั้น

เฉาฟู่พลันหันขวับกลับไป ไม่มีใครอยู่

สุยจิ่งเฉิงกัดฟัน ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่สะสมไว้ไม่มากล้วนไหลกรูไปยังข้อมือ เส้นเอ็นในฝ่ามือข้างหนึ่งส่องประกายแสงสีขาวนวลเรื่อเรือง แล้วนาง ก็พุ่งตัวออกไปเงื้อมือตบใส่เฉาฟู่อย่างรวดเร็ว

หมายโจมตีท้ายทอย

ทว่าเฉาฟู่กลับหันตัวมา พลิกฝ่ามือกลับหลัง กุมข้อมือขาวนวลเนียนที่เพียงแค่โคจรปราณวิญญาณ ปราณวิญญาณก็เต็มล้นอยู่ในเส้นลายมือข้างนั้นของสุยจิ่งเฉิงเอาไว้ กระชากอีกฝ่ายเข้าหาตัวแล้วศอกเข้าที่หน้าผากของสุยจิ่งเฉิงเต็มแรง จากนั้นสะบัดร่างนางทิ้งหนักๆ สุยจิ่งเฉิงตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น แล้วจึงถูกเฉาฟู่ เหยียบที่แขนข้างนั้นซ้ำอีกที เขาโน้มตัวลงมายิ้มกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกตนที่แท้จริงอย่างข้า ขอแค่เพ่งมองเข้าไปในดวงตาเรียวยาวสุกใสคู่นี้ของเจ้าก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าด้านหลังข้ามีใครอยู่หรือไม่? การที่ข้าหันหน้ากลับไปก็แค่ทำให้เจ้า มีความหวังแล้วก็ต้องสิ้นหวังเท่านั้นเอง”

เฉาฟู่บิดปลายเท้า สุยจิ่งเฉิงร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ เขาใช้สองนิ้วจิ้มลงบนหน้าผากของสตรี ฝ่ายหลังก็เหมือนโดนร่ายคาถากักร่างใส่ เฉาฟู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะบอกความจริงแก่เจ้าก็ได้ หลังจากที่ราชวงศ์ต้าจ้วนเลือกเจ้าให้เป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ หนึ่งในสี่สาวงามใหญ่ เจ้าก็จะมีทางให้เดินได้สามทาง หากไม่ติดตามบิดาของเจ้าไปเมืองหลวงต้าจ้วน หลังจากนั้นถูกคัดเลือกให้เป็น ชายารัชทายาท ก็ต้องถูกฮ่องเต้ของแคว้นใดแคว้นหนึ่งในแถบทิศเหนือมาดัก ลักพาตัวกลางทาง แล้วพาไปเป็นฮองเฮาของแคว้นเล็กๆ ริมชายแดน หรือไม่ก็ถูก ข้าพาไปยังสำนักที่ตั้งอยู่ชายแดนแคว้นชิงสือ ถูกอาจารย์ของข้าหลอมร่างเจ้า ให้กลายเป็นเตาหลอมคนตัวเป็นๆ ก่อน และนางก็จะยังถ่ายทอดวิชาลับวิชาหนึ่งให้แก่เจา ถึงเวลานั้นค่อยเปลี่ยนมือส่งมอบเจ้าให้แก่เซียนที่แท้จริง เขาเป็นถึง อาจารย์อาซึ่งเป็นเจ้าตำหนักเกล็ดทองเชียวนะ เจ้าเองก็อย่าได้หวาดกลัวไปเลย สำหรับเจ้าแล้วนี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า มีโอกาสได้ฝึกบำเพ็ญคู่กับเซียนก่อกำเนิดคนหนึ่ง ขอบเขตของเจ้าที่เดินบนเส้นทางของการฝึกตนมีแต่จะพัฒนาไปได้พันลี้ ในหนึ่งวัน ขนาดซูเซียวเย่ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ ดังนั้นเซียนกระบี่ที่พบเจอโดยบังเอิญ ผู้นั้นใช่ผู้ฝึกตนโอสถทองตำหนักเกล็ดทองอะไรซะที่ไหน เขาก็แค่ขู่ให้คนกลัวไป อย่างนั้นเอง ส่วนข้าก็คร้านจะเปิดโปงเขา พอดีกับที่ให้ซูเซียวเย่ได้ออกแรงมากๆ หน่อย ต่อให้ซูเซียวเย่ตายไป การค้าครั้งนี้ ข้าและอาจารย์ก็ยังได้กำไรก้อนใหญ่อยู่ดี”

เฉาฟู่กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “จิ่งเฉิง เจ้าและข้าไร้วาสนาต่อกันจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าใช้เหรียญทองแดงทำนาย อันที่จริงก็ถูกต้องแล้ว”

เฉาฟู่ประคองสุยจิ่งเฉิงให้ลุกขึ้นยืน คีบยันต์สองแผ่นออกมาแปะลงบนข้อเท้า ทั้งสองของนาง แล้วจึงมองไปยังม้าสามตัวของตระกูลสุย “ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วน ต้องตายกันหมด”

และเวลานี้เอง ข้างกายของเฉาฟู่ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “มีแค่นี้หรือ ไม่มีความลับที่มากกว่านี้จะพูดอีกแล้ว? หากเป็นเช่นนี้ บรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทอง ผู้นั้นต้องการตัวสุยจิ่งเฉิง ส่วนอาจารย์ของเจ้าก็ได้ส่วนแบ่งเป็นอาวุธอันเป็น โชควาสนาบนมหามรรคาที่อยู่บนร่างของนาง แล้วเจ้าล่ะ เดินทางเหนื่อยยาก ใช้กลอุบายที่มีจนหมดสิ้น เหน็ดเหนื่อยตรากตรำเปลืองแรงไปเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ?”

เฉาฟู่ยิ้มจืดชืดพลางยืดเอวขึ้นตรง หันหน้าไปมองก็เห็นว่าคนชุดเขียวสวมงอบ มายืนอยู่ข้างกายของตน เฉาฟู่จึงถามว่า “เจ้าไม่ได้ไล่ตามเซียวซูเย่ไปแล้ว หรอกหรือ?”

คนผู้นั้นกล่าว “จิตหยินเดินทางไกล เจ้าคุยโวว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือ?”

เฉาฟู่กล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่ามีน้อยนักที่เซียนกระบี่จะให้จิตหยินออกเดินทางไกล”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “ดังนั้นถึงได้บอกว่าท่องอยู่ในยุทธภพน้อยไป ก็ควรทำเรื่องชั่ว ให้น้อยหน่อย”

เฉาฟู่ยังจะพูดอะไรต่อ ทว่ากลับหงายหลังผลึ่งหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงเสียก่อน

เฉินผิงอันโบกมือหนึ่งครั้ง สลายตราผนึกปราณวิญญาณน้อยนิดที่เฉาฟู่ร่ายไว้ บนหน้าผากของสุยจิ่งเฉิงทิ้ง แล้วก็โบกชายแขนเสื้ออีกครั้ง ศพที่อยู่บนถนนก็ถูก กวาดออกจากเส้นทาง ร่วงไปตกลงในพุ่มหญ้าห่างไปไกล

ห่างออกไปไกลแสนไกล รุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ลอยห่างจากพื้นมาแค่สองสามจั้งทะยานกระบี่มาถึง มือข้างหนึ่งถือศีรษะที่ตายตาไม่หลับมาด้วย จากนั้นจึงพลิ้วกาย ลงบนถนน ร่างทับซ้อนกับคนชุดเขียว ริ้วคลื่นกระเพื่อมอยู่ครู่หนึ่งก็กลายเป็นคน คนเดียวกัน

เพียงแต่ว่าในมือของคนชุดเขียวมีศีรษะเพิ่มมาอีกหนึ่งหัว

เฉินผิงอันพูดกับสุยจิ่งเฉิงว่า “เจ้าฉลาดขนาดนี้ ตัดสินใจได้หรือยังว่าหลังจากนี้จะเลือกเดินทางไหน?”

สุยจิ่งเฉิงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เริ่มโขกหัวคำนับ “หากข้าอยู่ที่แคว้นอู่หลิง ตระกูลสุยต้องพินาศวอดวายอย่างแน่นอน หากข้าไม่อยู่ พวกเขาจึงจะมีโอกาสรอดชีวิต ขอเซียนซือโปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองหมวกม่านที่ก่อนหน้านี้สุยจิ่งเฉิงโยนทิ้งไว้บนพื้นแล้วยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้าฝึกตนเร็วกว่านี้ สามารถกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบจากสำนัก ตอนนี้คงประสบผลสำเร็จไม่น้อย”

ม่านราตรีหนาหนัก บนยอดเขาแห่งหนึ่ง เฉาฟู่ปวดหัวราวกับหัวจะแตก หลังจากค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งขัดสมาธิ ในมือยังถือประคองของ สิ่งหนึ่งเอาไว้

ก้มหน้าลงมอง จิตใจของเฉาฟู่ก็เหมือนขี้เถ้ามอด

เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ บนขาวางไม้เท้าเดินป่าพาดเอาไว้ ด้านหลังก็คือหีบไม้ไผ่

สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีหมวกม่านปิดบังดวงหน้างามล้ำก็นั่งอยู่ใกล้กับคนผู้นั้น สองมือของนางกอดเข่า นั่งขดตัวเหม่อลอย

เฉาฟู่ที่ถือประคองศีรษะของเซียวซูเย่ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก

เฉินผิงอันถาม “ไหนลองเล่าเรื่องสำนักของเจ้าและตำหนักเกล็ดทอง อย่างละเอียดทีสิ”

เฉาฟู่ไม่มีความลังเลใดๆ เขาบอกความจริงและเรื่องวงในทั้งหมดที่ตัวเองรู้มา รัวยาวราวกับเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่

เขาไม่อยากไปเดินอยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนเซียวซูเย่

อาจารย์เคยบอกว่าศักยภาพของเซียวซูเย่นั้นหมดสิ้นแล้ว แต่เขาเฉาฟู่กลับไม่เหมือนกัน เพราะมีคุณสมบัติของโอสถทอง

เฉินผิงอันถามอีก “แล้วไหนเจ้าลองเล่าเรื่องในครอบครัวและเรื่องราวในยุทธภพแคว้นอู่หลิงปีนั้นให้ข้าฟังสิ”

เฉาฟู่ยังคงเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกไม่มีหมกเม็ด

สุยจิ่งเฉิงคืนสติตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉาฟู่เปิดปากเล่าแล้ว นางเพียงรับฟังอยู่เงียบๆ

หลังจากเฉาฟู่เล่าจบ คนผู้นั้นก็กล่าวว่า “เจ้าสามารถพาศีรษะนี้จากไปได้แล้ว หลังจากคุ้มครองรองเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างลับๆ เรียบร้อย เจ้าก็สามารถกลับสำนักไปส่งมอบภารกิจได้เลย”

สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป

คนผู้นั้นไม่ได้มองนาง เพียงแค่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากเจ้าอยากจะฆ่าเฉาฟู่ ก็ลองลงมือดูเอาเองได้”

เฉาฟู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ต้องตายจริงๆ เพียงแค่เอาศีรษะนั้นออกมาจากยอดเขาเท่านั้น

พอลงจากเขาก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลก ทว่าพอทำนายดวงชะตาแล้ว อนาคตของเขากลับยากจะหยั่ง เซียนซือหนุ่มที่เดิมทีคิดว่ายุทธภพในแคว้นอู่หลิงก็คือบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งผู้นี้ยังคงกระวนกระวายไม่เป็นสุข

ข้างกองไฟ

สุยจิ่งเฉิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส”

คิดจะสังหารเฉาฟู่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่สำหรับตระกูลสุยแล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

หากทั้งซูเซียวเย่และเฉาฟู่ต่างก็ต้องตายตกตามกันไปในคืนนี้

จะมีคนอีกมากที่ต้องตาย อาจเป็นหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่น หูซินเหวยเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้ จากนั้นก็ตามมาด้วยคนทั้งตระกูลสุย

แต่หากปล่อยให้เฉาฟู่จากไป ให้เขานำความไปบอกต่อคนที่อยู่เบื้องหลัง เดิมที นี่ก็คือการสำแดงบารมีอย่างหนึ่งที่เซียนกระบี่ชุดเขียวมีต่ออาจารย์ของเฉาฟู่ และตำหนักเกล็ดทอง

เฉินผิงอันดึงท่อนฟืนในกองไฟ “พูดกับคนฉลาดก็มักจะประหยัดแรงกายแรงใจเช่นนี้”

จากนั้นสุยจิ่งเฉิงก็เห็นว่าคนผู้นั้นหยิบกระดานหมากล้อมและโถเก็บเม็ดหมากออกมาจากหีบไม้ไผ่ แต่กลับไม่ได้เล่นหมากล้อมเหมือนตอนอยู่ในศาลา แต่เริ่มบังคับกระบี่บินของเซียนเล่มหนึ่งให้แกะสลักหมากสองเม็ด ดูจากการขยับมือแกะสลัก ของเขา สุยจิ่งเฉิงก็มองออกว่าเขาแกะสลักเป็นชื่อคนและชื่อสำนักของอาจารย์เฉาฟู่กับบรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทอง โดยแยกกันสลักไว้บนด้านหน้าและด้านหลังของ เม็ดหมาก แล้วก็ตามมาด้วยหมากอีกหลายเม็ด ล้วนเป็นผู้ฝึกตนคนสำคัญของ ตระกูลเซียนทั้งสองฝ่าย หมากแต่ละเม็ดถูกวางไว้บนกระดาน

สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลังจากที่ได้พบเจอกันในศาลา ผู้อาวุโสก็คอยจับตา มองพวกเราอยู่ตลอด ใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “โชคในการเสี่ยงดวงของเจ้าดีมาก ทำให้ข้าอิจฉาอย่างยิ่ง”

ทว่าสุยจิ่งเฉิงกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

ดูท่าแล้วอุบายที่ตนคิดว่าลึกล้ำ เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของคนผู้นี้ก็คงน่าขัน ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่ขี่ม้าไม้ไผ่หรือเล่นว่าวกระดาษ

เฉินผิงอันทยอยเอาเม็ดหมากของหมากสองกระดานที่เชื่อมต่อกันวางลงบนขอบของกระดาน

เขาเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ สายตาจ้องมองเม็ดหมากเหล่านั้น แล้วพูดเนิบช้าว่า “ในศาลา เด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าพูดล้อเล่นกับข้าหนึ่งประโยค อันที่จริงมันไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด แต่เจ้าบอกให้เขาขอโทษ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเอง ก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก จากนั้นสุยเหวินฝ่าก็เอ่ยขออภัย อย่างจริงใจ”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองสุยจิ่งเฉิง “ข้ารู้สึกว่านี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลอย่างหนึ่งที่ตระกูลปัญญาชนสมควรมี ไม่เลวเลยทีเดียว ต่อให้ภายหลังไม่ว่า จะเป็นความคิดหรือการกระทำของพ่อเจ้าก็ล้วนผิดต่อสองคำว่า ‘เที่ยงตรง’ อยู่มาก แต่เรื่องไหนก็เรื่องนั้น การแบ่งแยกก่อนหลังเล็กใหญ่มีความต่าง สองฝ่ายไม่ขัดแย้งกันเอง ดังนั้นก่อนที่คนกลุ่มของหยางหยวนจะมาขวางทางพวกเราสองฝ่าย ข้าถึงได้แสร้งทำเป็นรังเกียจว่าดินโคลนจะเปื้อนรองเท้า ถอยกลับเข้ามาในศาลา เพราะข้ารู้สึกว่าบัณฑิตที่เดินเข้าไปในยุทธภพได้ทำตามคำกล่าวที่ว่าอ่านตำราหมื่นเล่มเดินทางหมื่นลี้ จึงไม่ควรจะถูกขัดขวางทางไปเพราะลมฝนในยุทธภพ”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “ตอนนั้นผู้อาวุโสก็สัมผัสได้ถึงการมาของเฉาฟู่กับเซียวซูเย่แล้วหรือ? รู้แล้วว่าต้องมีสถานการณ์นี้เกิดขึ้น?”

เฉินผิงอันทอดสายตามองม่านราตรี “รู้มาตั้งนานแล้ว”

สุยจิ่งเฉิงคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน ดวงหน้างดงามหวานล้ำชวนให้คนใจสั่น

ในอดีตเวลาที่นางอ่านนิยายและเรื่องเล่าแปลกประหลาดในยุทธภพกลับไม่เคยเลื่อมใสเซียนที่ขี่กระบี่ดุจสายรุ้ง หรือต่อยให้ตัวการร้ายตายด้วยหมัดเดียวอะไรนั่น มาก่อน คนสองประเภทและเรื่องราวสองอย่างนี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วก็ทำให้ คนที่อ่านหนังสืออย่างนางรู้สึกมีความสุข กวาดตาอ่านได้อย่างรวดเร็ว สมควร จะดื่มชาต่างสุราให้กับเรื่องราวเหล่านั้น แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เพราะยังคงมีความแตกต่างจากยอดฝีมือนอกโลกที่ฝึกวิชาเซียน สำเร็จผลบนมหามรรคาในใจนางอยู่มาก

นางรู้สึกว่าผู้ฝึกตนที่แท้จริงจะต้องเข้าใจจิตใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง วางแผน ได้อย่างรอบคอบรัดกุม ทั้งอุบายและวิชาคาถาล้วนสูงลึกเข้าไปในทะเลเมฆปานกัน นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง เทพเซียนพสุธาที่นั่งสูงอยู่บนทะเลเมฆจริงๆ พวกเขาล้วนสูงส่งเหนือผู้ใด หลุบตามองต่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างเฉยเมย แต่ก็ไม่ถือสาหากยามที่ลงมาเดินท่องในโลกมนุษย์จะหยอกล้อเหล่ามนุษย์เล่น และยังยินดี ที่จะลงโทษคนทำชั่วชื่นชมคนทำดี

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ความฉลาดเฉลียวและโง่เขลาของคนบนโลกล้วนเป็นดั่งกระบี่เล่มหนึ่งที่มีสองคม ขอแค่กระบี่ออกจากฝัก วิถีทางโลกใบนี้ก็จะมีเรื่องดี และเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ดังนั้นข้าอยากจะมองดูอีกสักหน่อย มองดูให้ละเอียด และ ช้าสักหน่อย คำพูดที่ข้าเอ่ยในคืนนี้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจำเอาไว้ จะได้สะดวก ยามที่ต้องนำไปเล่าให้ใครบางคนฟัง ส่วนตัวเจ้าเองจะฟังเข้าใจได้สักกี่มากน้อย และจะคว้าจับเอาไว้ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้มากน้อยเท่าไร ข้าไม่สนใจ ก่อนหน้านี้เคยบอกกับเจ้าแล้วว่าข้าไม่มีทางรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ท่าทีที่เจ้าปฏิบัติ ต่อโลกใบนี้ เหมือนข้ามากเกินไป ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะสอนให้เจ้าทำในสิ่งที่ถูกที่สุดได้ ส่วนเรื่องจะให้ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนอะไรนั่นแก่เจ้า ก็อย่าดีว่า

หากเจ้าสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากอุตรกุรุทวีป ได้ไปถึงแจกันสมบัติทวีป ถึงเวลานั้นก็ย่อมมีโชควาสนารอให้เจ้าไปไขว่คว้า”

สุยจิ่งเฉิงเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่าอยู่ข้างกองไฟ “ทุกคำสอนของผู้อาวุโส ทุกประโยคทุกถ้อยคำ จิ่งเฉิงล้วนจะจดจำให้ได้ขึ้นใจ นำปลามามอบให้ไม่สู้สอนวิธี จับปลา หลักการเล็กน้อยแค่นี้ จิ่งเฉิงยังพอจะรู้อยู่บ้าง ผู้อาวุโสถ่ายทอด รากฐานมรรคาให้แก่ข้า นี่สำคัญยิ่งกว่าวิชาตระกูลเซียนใดๆ”

เฉินผิงอันเอามือออกจากชายแขนเสื้อ ชี้ไปยังกระดานหมาก “ในสายตาของข้า บางทีอาจจะไม่มีหลักการเหตุผลตายตัวที่เหมาะให้เอาไปใช้กับทุกสถานการณ์ แต่กลับมีเรื่องจริงและความจริงที่ตายตัว เมื่อเจ้ามองเห็นความจริงของใจคน ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดและการกระทำ รู้ถึงเส้นสายและลำดับขั้นตอนบางอย่าง ได้อย่างชัดเจนก่อน เรื่องราวที่ซับซ้อนก็จะเปลี่ยนมาเป็นเรียบง่ายยิ่งกว่าเดิม หลักการเหตุผลนั้นอาจจะสูงและเลื่อนลอยเกินไป เจ้ากับข้ามาทบทวนหมากล้อม ทั้งสองกระดานนี้ด้วยกันก็พอ”

เฉินผิงอันคีบหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด “ระหว่างความเป็นและความตาย นิสัยใจคอของคนจะมีความชั่วร้ายเลวทรามแฝงอยู่ หวังให้ตัวเองรอดพ้นจากความตาย จึงไม่คิดจะเลือกวิธีการ ข้อนี้พอจะเข้าใจได้ ส่วนจะรับได้หรือไม่ก็ต้องดูที่คน”

เขาวางหมากเม็ดที่หยิบขึ้นมาลงบนกระดานเบาๆ “หูซินเหวยแห่งพรรคเหิงตู้เลือกความเลวในช่วงเวลานั้น ดังนั้นเขาที่เดินท่องอยู่ในยุทธภพต้องรับผิดชอบ ความเป็นความตายด้วยตัวเอง เมื่อมาอยู่กับข้าอาจไม่ถูกต้องเสมอไป แต่บน กระดานหมากในเวลานั้น เขาที่หวังจะรอดพ้นจากความตายกลับทำได้สำเร็จแล้ว เพราะเขาไม่เหมือนกับเจ้าสุยจิ่งเฉิง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยเดาออกว่าข้าเองก็เป็น ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง อีกทั้งยังกล้าลอบมองสถานการณ์อย่างลับๆ”

สุยจิ่งเฉิงเอ่ยถาม “หากเขาสาบานว่าจะปกป้องพวกเราสี่คนตระกูลสุยจนตัวตาย ผู้อาวุโสจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นแคว้นอู่หลิงก็น่าจะยังมีจอมยุทธใหญ่ที่แท้จริงคนนี้ต่อไป ได้ท่องอยู่ในยุทธภพต่อไป หลังจากคลื่นลมมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว หากจอมยุทธใหญ่ผู้นี้ยังยินดีจะเลี้ยงเหล้าข้า ข้าจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก”

เฉินผิงอันชี้ไปยังหมากสองเม็ดที่ไม่ได้ถูกวางลงบนกระดาน “อาศัยว่าเขาเฉาฟู่คือเซียนซือบนภูเขาคนหนึ่ง หรืออาศัยว่าเซียวซูเย่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง? คิดว่าลงจากเขามาแล้วยุทธภพในทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นแค่บ่อน้ำเท่านั้นหรือ? เอาเท้าก้าวลงไปก็สามารถมองทะลุไปเห็นก้นบ่อได้แล้ว? อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดข้าที่ระมัดระวังขนาดนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยังต้องกินเรือกลืนกระบี่ไปหนึ่งรอบ ถูกคนหมายแย่งชิงกระบี่บินที่ชายหาดโครงกระดูก แล้วก็ยังเกือบจะต้องตาย อยู่ในยุทธภพแคว้นจินเฟยและยอดเขาเจิงหรง เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่ายุทธภพอันตราย ไม่ว่าดีหรือเลว ในเมื่อคอยหลบเลี่ยงหายนะอย่างระมัดระวังแล้ว ก็ยังอาจจะต้องตายได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเองรนหาที่ตายเองเลย ต้องตายแน่นอน หากเซียวซูเย่จะโทษก็ได้แต่โทษที่คอของตัวเองไม่แข็งพอ ไม่อาจต้านรับกระบี่ของ คนอื่นที่ฟันลงมาได้”

เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบเม็ดหมากเม็ดนั้นไว้ “แต่หูซินเหวยไม่ได้เลือกจะเป็น จอมยุทธที่ผดุงคุณธรรม กลับกันคือยังบังเกิดความคิดชั่วร้าย นี่คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ ข้าไม่คิดจะฆ่าเขาด้วยสาเหตุนี้ แต่จะปล่อยให้เขาเป็นตายไปตามยถากรรม สุดท้ายเขาเดิมพันจนช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งมาได้ เพราะฉะนั้นหากไม่พูดถึงข้า ในช่วงเวลานั้นก็ถือว่าหูซินเหวยเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนเรื่อง ที่เกิดขึ้นบนถนนชาม้าโบราณหลังจากนั้นก็อย่าไปพูดถึงมันเลย นั่นคือหมากถามใจ อีกกระดานหนึ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”

เฉินผิงอันวางเม็ดหมากสี่เม็ดที่เป็นของคนตระกูลสุยสี่คนลงไปบนกระดาน “ข้ารู้มาแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าคือคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์หมากล้อม เฉาฟู่คือ คนเล่น แต่ภายหลังเรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเองก็คือหนึ่งในเม็ดหมากเหมือนกัน

อาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังเขากับตำหนักเกล็ดทองต่างหากที่ถึงจะเป็นเจ้าของหมากล้อมกระดานนี้ที่แท้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงฝ่ายหลัง เอาแค่ตอนนั้น เวลานั้น เบื้องหน้าข้า ก็มีปัญหายากอยู่ข้อหนึ่ง ปมของปัญหาอยู่ที่ข้าไม่รู้ว่าเจตจำนงแรกเริ่มในการวาง กับดักครั้งนี้ของเฉาฟู่คืออะไร นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร เส้นบรรทัดฐานความดีเลวของเขาอยู่ตรงไหน แล้วเขามีบุญคุณความแค้นอะไรกับตระกูลสุย เพราะถึงอย่างไรตระกูลสุยก็เป็นตระกูลปัญญาชน แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่เคยทำความผิด ใหญ่หลวงมาก่อน ยากจะหยั่งถึงเจตนาแท้จริงของเฉาฟู่ การที่เขาปรากฏตัว อย่างลึกลับ อีกทั้งยังรวบรวมคนอย่างพวกหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นให้มาเข้า ร่วมสถานการณ์ครั้งนี้ด้วย แน่นอนว่าการกระทำของเขาไม่ถือว่าตรงไปตรงมา แต่ว่า ก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องร้ายเสมอไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ฆ่าใครทันที ที่ปรากฏตัว ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ตอนนั้นข้าแน่ใจได้อย่างไรว่าสำหรับเจ้าสุยจิ่งเฉิงและตระกูลสุยแล้วจะไม่ใช่เรื่องดีที่เหตุการณ์เกิดพลิกผันไปในทางที่ดี ทุกคนพากัน ปิติยินดีถ้วนหน้า?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับเบาๆ

เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นนิ้วไปดันหมากที่สลักชื่อว่าสุยซินอวี่ “คนแรกที่ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่ใช่หูซินเหวย แต่เป็นพ่อของเจ้า”

สุยจิ่งเฉิงถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ? เจอกับหายนะใหญ่ยากจะเอาตัวรอด จึงไม่กล้าช่วยคนอื่น หากเป็นจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพทั่วไปที่รู้สึกผิดหวัง ข้าคง ไม่แปลกใจ แต่ด้วยนิสัยของผู้อาวุโส…”

สุยจิ่งเฉิงไม่ได้พูดต่อด้วยกลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขา

เฉินผิงอันดึงมือกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกหลานคนมีเงินไม่นั่งใกล้ชายคา วิญญูชนไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงอันตราย คำกล่าวเหล่านี้ย่อมต้องมีเหตุผล สุยซินอวี่ที่อยู่ในศาลาไม่เอ่ยอะไรสักคำ คือการกระทำของคนที่เยือกเย็นสุขุม ความผิดไม่ได้อยู่ ตรงนี้ แต่ข้าถามเจ้า สุยซินอวี่พ่อของเจ้าเป็นใคร?”

สุยจิ่งเฉิงไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม บิดาของนาง? เจ้าประมุขสกุลสุย? บุคคลอันดับหนึ่งแห่งวงการหมากล้อมแคว้นอู่หลิง? อดีตรองเจ้ากรมโยธาธิการ ของหนึ่งแคว้น? แล้วแสงสว่างก็พลันเปล่งวาบขึ้นในหัวของสุยจิ่งเฉิง นึกถึง การแต่งกายก่อนหน้านี้ของผู้อาวุโสตรงหน้าขึ้นมาได้ นางก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “คือนักประพันธ์ใหญ่แห่งแคว้นอู่หลิงที่มีบทกวีอยู่เต็มท้อง คือ…บัณฑิต…ที่เข้าใจหลักการอริยะปราชญ์มากมาย”

เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องจริงที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตอนนั้นหูซินเหวยไม่ได้บอกถึงสถานะของฝ่ายตรงข้ามให้พวกเจ้ารู้ ไม่ได้บอกว่าในคนกลุ่มนั้นมีหยางหยวน เจียวแม่น้ำขุ่นที่ชื่อเสียงดุร้ายเลื่องลืออยู่ด้วย ดังนั้นความจริงข้อหนึ่งสำหรับสุยซินอวี่ในเวลานั้นก็คือ สถานการณ์ในศาลาไม่ใช่สถานการณ์ที่จะตัดสินเป็นตาย แต่เป็นแค่สถานการณ์ที่ค่อนข้างจะยุ่งยากเท่านั้น ในแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของหูซินเหวยเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้ ข้ามน้ำข้ามภูเขาไป ยังมีประโยชน์หรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างอับอาย “แน่นอนว่ามีประโยชน์ ตอนนั้นข้าเองก็คิดว่า เป็นเพียงเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในยุทธภพทั่วไป ดังนั้นกับผู้อาวุโสแล้ว อันที่จริง ตอนนั้นข้า…มีใจคิดอยากจะหยั่งเชิง ก็เลยจงใจไม่พูดว่าจะให้ยืมเงิน”

เฉินผิงอันเอ่ย “เพราะหูซินเหวยกลัวว่าจะชักนำภัยมาสู่ตัวจึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของหยางหยวน การแสดงออกภายนอกสุขุมมีสติ และคำเตือนที่มีต่อพวกเจ้า ก็ทำได้อย่างพอเหมาะพอควร นี่ก็คือประสบการณ์โชกโชนที่คนเก่าแก่ในยุทธภพสมควรมี เป็นสิ่งที่ใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนมา ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงมองรองเจ้ากรมผู้เฒ่า แวบหนึ่ง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเห็นว่าข้าไม่ได้เปิดปากขอยืมเงินก็ทำท่าโล่งใจราวกับ ยกภูเขาออกจากอก นี่ไม่นับเป็นอะไร เพราะยังคงเป็นความรู้สึกทั่วไปของคน แต่ว่า สุยซินอวี่คือบัณฑิตคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตที่เคยมีสถานะสูงส่ง ใช้ความรู้ของอริยะปราชญ์ที่ได้ร่ำเรียนมาตอบแทนบ้านเมืองช่วยเหลือปวงประชา…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือออกมา เขางอนิ้วเข้าหากันเบาๆ แต่กลับไม่ได้ประกบโดนกัน ทำเหมือนว่าระหว่างนิ้วทั้งสองคีบเม็ดหมากอยู่เม็ดหนึ่ง “อริยะเคยกล่าวว่า มีความเห็นอกเห็นใจหรือไม่ สามารถนำมาเป็นตัวแบ่งแยก ความต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ เจ้าคิดว่าตอนนั้นสุยอวี่ซิน พ่อของเจ้ามี ความเห็นอกเห็นใจหรือไม่ สักนิด สักเสี้ยว? เจ้าเป็นลูกสาวของเขา ขอแค่ไม่ใช่ เงาใต้โคมไฟ ก็น่าจะรู้จักนิสัยของเขาดียิ่งกว่าข้า”

สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ไม่มี”

สีหน้าของนางแสดงความเสียใจ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ไม่มีเลยจริงๆ”

“ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนคนหนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางอย่างเชื่องช้า การดูให้มาก และคิดให้มากล้วนเป็นกระบี่สองคมมาโดยตลอด มองดูคนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์มากไป สุดท้ายก็มีเพียงเท่านั้นเอง”

ทว่าคนผู้นั้นกลับมีสีหน้าเป็นปกติราวกับว่าเห็นมาจนชินตาแล้ว เขาเงยหน้ามองไปยังทิศไกล เอ่ยเบาๆ ว่า “ระหว่างความเป็นความตาย ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่านอกจากอยากให้ตัวเองมีชีวิตรอดแล้ว จู่ๆ ความชั่วร้ายที่เล็กเท่าเมล็ดงาจะขยายใหญ่ดุจขุนเขา นี่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าคนบางส่วน อาจจะไม่ได้มีมากนัก ทว่าจะต้องมีคนจำพวกนั้นอยู่ คนที่แม้จะรู้ดีว่าเป็นช่วงเวลาคับขันที่ต้องตายอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังจะเป็นดั่งแสงดวงดาวที่พลันจุดติดไฟลุกโชนขึ้นมา”

“ตอนที่อยู่ในศาลาและบนเส้นทางหลังจากนั้น ข้ามองดูอยู่และรอคอยอยู่ตลอดเวลา”

“ขอแค่ข้าหาไฟดวงหนึ่งที่ดับลงแล้วเจอ ต่อให้จะเป็นแค่แสงสว่างที่น้อยนิด ถูกคนใช้นิ้วขยี้ก็มอดดับได้แล้วก็ตาม”

“ต่อให้ในสายตาของข้าแสงสว่างในนิสัยคนที่เป็นเช่นนี้จะเป็นเพียงแค่แสงไฟ จุดเล็กๆ จุดหนึ่ง ทว่ามันกลับสามารถประชันแสงกับตะวันจันทราได้”

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา “ครั้งแรกหากหูซินเหวยยอมทุ่มสุดชีวิต เพื่อคำว่าคุณธรรมในยุทธภพแล้วไม่เสียดายหากตัวเองต้องตาย ทำเรื่องที่มองดูเหมือนโง่เง่าอย่างถึงที่สุด ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมองดูหมากกระดานนี้แล้ว ข้าจะลงมือตอนนั้นเลย ครั้งที่สอง ต่อให้พ่อของเจ้าจะยังนิ่งดูดาย แต่ขอแค่เขามีความเห็นอกเห็นใจสักหน่อย ไม่ใช่เส้นสายในหัวใจคิดว่าขอแค่ข้าเปิดปากเขาก็จะด่าทอหยาบคายทันที ข้าก็จะ ไม่ทำแค่มองดูสถานการณ์อีกต่อไป แต่เลือกที่จะลงมือ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “กลับกลายเป็นหูซินเหวยคนนั้นที่ทำให้ข้าประหลาดใจ สุดท้ายหลังจากที่ข้าแยกกับพวกเจ้าก็ได้ไปหาหูซินเหวย แล้วข้าก็ได้เห็นจากบนร่างของเขา ครั้งหนึ่งคือก่อนที่เขาจะตาย ได้ขอร้องข้าไม่ให้ลากครอบครัวของเขามาเกี่ยวข้องด้วย อีกครั้งหนึ่งคือข้าถามเขาว่าพวกเจ้าสี่คนสมควรตายหรือไม่ เขาบอกว่าอันที่จริง สุยซินอวี่ถือเป็นขุนนางและสหายที่ไม่เลว สุดท้ายเขาพูดถึงการทำเรื่องผดุงคุณธรรมของเขาในอดีตขึ้นมาด้วยตัวเอง คำว่าเรื่องที่กล่าวถึงนี้ เป็นคำที่น่าสนใจอย่างมาก”

สุยจิ่งเฉิงพูดเบาๆ “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้อาวุโสก็มองดูอยู่ตลอดเวลา เหตุใดทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสผิดหวังขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังปกป้องพวกเราอย่างลับๆ?”

“ลัทธิเต๋าบอกว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่ไปกวักมือเรียกหามันมาเอง ลัทธิพุทธกล่าวว่ากรรมคือผลของการกระทำ ล้วนเป็นหลักการที่คล้ายคลึงกัน แต่บนโลกใบนี้มีเทพเซียนครึ่งตัวบนภูเขาอยู่หลายคนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง มีพวกเขาอยู่ หลักการเหตุผลที่เดิมทียากอยู่แล้วก็จะยิ่งนำมาพูดได้ยากเข้าไปอีก”

เฉินผิงอันกล่าว “แต่พวกเจ้าที่อยู่ในสถานการณ์ของศาลา ถือเป็นผู้อ่อนแอ ข้าได้บังเอิญมาพบเจอเข้าพอดี หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียด อีกทั้งตัวข้าเอง ยังมีพละกำลังเหลือพอจะปกป้องตัวเอง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้จากไป แต่ระหว่างนี้ หากไม่นับความเป็นความตายของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเจอกับความลำบากยากเข็ญ แค่ไหน ยกตัวอย่างเช่นต้องหนีเอาตัวรอดท่ามกลางพายุฝน อกสั่นขวัญผวาไป ตลอดทาง แล้วยังถูกคนใช้หลังดาบฟาดให้ตกลงมาจากหลังม้าเต็มแรง ล้วนเป็น สิ่งที่พวกเจ้ารนหาที่เอง นี่คือสิ่งที่วิถีทางโลกมอบกลับคืนให้พวกเจ้า

หากดูในระยะยาว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะถึงอย่างไรพวกเจ้าก็ยังมี ชีวิตอยู่ ผู้อ่อนแอมากกว่านี้มีเหตุผลที่ควรมีชีวิตอยู่รอดมากกว่าพวกเจ้า แต่อยู่ดีๆ นึกจะตายกลับตายไปเสียอย่างนั้น”

ผู้อ่อนแอเรียกร้องให้ผู้แข็งแกร่งลงแรงลงมือทำมากกว่า เฉินผิงอันไม่รู้สึกอะไร เพราะเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ต่อให้ผู้อ่อนแอหลายคนที่ถูกผู้แข็งแกร่งปกป้องจะไม่มีใจสำนึกในบุญคุณแม้แต่น้อย แต่เฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่คิดมากอีก

การเดินทางไปเยือนเมืองสุยเจี้ย ต้องแบกรับทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆครั้งนั้น เฉินผิงอันไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง เพราะด้านในตรอกใดตรอกหนึ่งของเมืองสุยเจี้ยอาจจะมีเฉินผิงอัน มีหลิวเสี้ยนหยางที่กำลังเติบโต

หากจะบอกว่าหายนะยาวนานพันปี (เปรียบเปรยว่าเรื่องเลวร้ายมักจะดำรงอยู่ยาวนานเสมอ ประโยคหน้าของประโยคนี้คือคนดีมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่หายนะ กลับยาวนานเป็นพันปี) วิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ จิตใจคนเป็นเช่นนี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอย่างนั้นคนดีก็ควรจะฉลาดให้มากหน่อย มีชีวิตอยู่ให้ยาวนาน อีกเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนจากคนดีที่ทนรับความยากลำบากได้กลายมาเป็น หายนะนั้นเสียเอง เมื่อความชั่วร้ายพากันถือกำเนิด เกิดเป็นวงโคจรไม่หยุดพัก ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย สักวันไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็จะต้องเอาคืนมหามรรคาแห่งฟ้าดิน ที่ไร้ความรู้สึก

สุยจิ่งเฉิงใคร่ครวญเงียบๆ นางโยนกิ่งไม้หลายกิ่งเข้าไปในกองไฟ กำลังคิดจะถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่ได้ฆ่าคนชั่วอยากพวกหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นกลุ่มนั้นให้หมดสิ้น เพียงแต่ไม่นานนางก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราว จึงไม่ถามให้มากความอีก

เพราะหากแหวกหญ้าให้งูตื่น เฉาฟู่และเซียวซูเย่ก็มีแต่จะยิ่งอดทนและระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงอยากจะถามอีกว่าเหตุใดตอนนั้นที่อยู่บนเส้นทางชาม้าโบราณถึงได้ ไม่ฆ่าคนทั้งสองคนไปเลย เพียงแต่ว่าไม่นานสุยจิ่งเฉิงก็ได้คำตอบอีกเหมือนเดิม

อาศัยอะไร?

เส้นบรรทัดฐานความดีเลวของคนทั้งสองอยู่ตรงไหน?

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมานวดคลึงจุดไท่หยาง

นางฟังเข้าใจในหลายๆ เรื่อง แต่นางกลับรู้สึกปวดหัว ความคิดในหัวสมองเริ่มพันกันยุ่งเหยิงคล้ายเชือกก้อนหนึ่ง หรือว่าการฝึกตนบนภูเขาล้วนต้องถูกพันธนาการมือเท้าเช่นนี้? ถ้าอย่างนั้นหากฝึกตนจนมีวิชาความสามารถเฉกเช่นเซียนกระบี่อย่างผู้อาวุโส ก็จะต้องคิดทุกเรื่องยิบย่อยแบบนี้เลยหรือ? หากเจอกับสถานการณ์ที่จำเป็นต้อง ลงมือให้ทันเวลา แต่ยากจะแยกแยะดีเลว ถ้าอย่างนั้นควรจะใช้วิชาคาถาช่วยคน หรือฆ่าคน?

ดูเหมือนคนผู้นั้นจะมองความคิดในใจของสุยจิ่งเฉิงออก จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้เจ้าเคยชินจนเป็นธรมชาติ เห็นคนและเรื่องราวมากขึ้น ก่อนลงมือก็จะรู้ อะไรควรไม่ควรเอง ไม่เพียงแต่ไม่อืดอาดยืดยาด กลับจะกลายเป็นว่าออกกระบี่ก็ดี ร่ายมรรคกถาก็ช่าง ล้วนรวดเร็วและมีแต่จะเร็วอย่างถึงที่สุด”

เขาชี้ไปยังเม็ดหมากที่อยู่บนกระดาน “หากจะบอกว่าพอหยางหยวนเข้ามาในศาลา ก็ตบพวกเจ้าสี่คนจากตระกูลสุยให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวทันที หรือตอนนั้น ข้ามองไม่ออกว่าฟู่เจินจะออกกระบี่ขัดขวางหมัดนั้นของหูซินเหวย ข้าย่อมไม่มีทาง ทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ เชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าจะฟู่เจินหรือหูซินเหวยต้องไม่รู้ว่า ตัวเองตายอย่างไรแน่”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าให้สุยจิ่งเฉิง

ก่อนหน้านี้ตอนที่นางคุกเข่าอยู่บนถนนได้เปิดปากขอร้องเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “สุยจิ่งเฉิงอยากติดตามผู้อาวุโสฝึกวิชาตระกูลเซียน!”

เขาถามไปสองคำถาม “อาศัยอะไร? เพื่ออะไร?”

“นับแต่เด็กข้าก็มีโชควาสนาติดกาย มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ยอดฝีมือมอบไว้ให้ คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกตน เพียงแต่ว่าไม่มี วิสุทธิจารย์บนภูเขาคอยช่วยชี้แนะ หากฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จ ข้าจะต้องออกเดินทางท่องไปในยุทธภพเหมือนอย่างผู้อาวุโสแน่นอน”

คำตอบทั้งสองอย่าง หนึ่งไม่ผิด อีกหนึ่งก็ยังคงเป็นคำตอบที่ฉลาดมาก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากให้นางไปหาชุยตงซาน ไปฝึกวิชากับเขา เขารู้ว่า ควรจะสอนสุยจิ่งเฉิงอย่างไร ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนให้นางเท่านั้น แม้แต่การเป็นคนควรเป็นเช่นไรก็คงจะสอนนางด้วย

พรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงเป็นอย่างไร เฉินผิงอันไม่กล้าให้ข้อสรุปยืนยันหนักแน่น แต่สติปัญญาของนางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโชคในการเสี่ยงดวง ของนางที่ดีทุกครั้ง นั่นไม่ใช่โชคดีค้ำฟ้าอะไร แต่ต้องเรียกว่าเป็น…ศาสตร์แห่งการ เดิมพัน

แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เฉินผิงอันอยากจะให้สุยจิ่งเฉิงไปหาชุยตงซานที่ แจกันสมบัติทวีป

หลังจากชมหมากล้อมสองตา เฉินผิงอันมีบางอย่างที่อยากจะให้ลูกศิษย์อย่าง ชุยตงซานได้ดู ถือเป็นคำตอบครึ่งหนึ่งที่ปีนั้นลูกศิษย์ถามคำถามอาจารย์

เฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่ออกมา คีบมันไว้ที่ปลายนิ้วเบาๆ แล้วเริ่มก้มหน้าค้อมเอวแกะสลักลงไปบนไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กจนมีสีเขียวปลั่ง เหมือนไม้ไผ่

ตรงจุดที่สายตาของสุยจิ่งเฉิงมองไปเห็น ดูเหมือนว่าแต่ละมีดล้วนสลักลงบนตำแหน่งเดิม

สุยจิ่งเฉิงไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่เบิกตากว้างมองคนผู้นั้นแกะสลักตัวอักษรลงบนไม้เท้าเงียบๆ

หนึ่งก้านธูปผ่านไป ดวงตาทั้งคู่ของสุยจิ่งเฉิงก็เริ่มปวดปร่า ต้องขยี้ดวงตา

ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา คนผู้นั้นก็เก็บกระบี่บินที่ใช้ต่างมีดแกะสลัก แสงกระบี่เปล่งวาบแล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พอเจอคนผู้นั้นแล้ว เจ้าบอกกับเขาว่า คำตอบของคำถามนั้น ข้าพอจะคิดออกบ้างแล้ว แต่ก่อนจะตอบคำถาม จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองข้อ ข้อแรกคือสิ่งที่แสวงหาจำเป็นต้องถูกต้อง สองคือทำผิดแล้วรู้ว่าผิด อีกทั้ง ทำผิดแล้วยังรู้จักแก้ไข ส่วนจะแก้ไขอย่างไร จะใช้วิธีการเช่นใดทำให้รู้ผิดและแก้ไขความผิด คำตอบก็อยู่บนไม้เท้าชิ้นนี้แล้ว เจ้าให้ชุยตงซานดูเอาเอง อีกทั้งข้าหวังว่า เขาจะเห็นได้ละเอียดกว่าและยาวไกลกว่าข้า ทำได้ดียิ่งกว่าข้า หนึ่งของหนึ่ง หรือต่อให้เป็นหนึ่งนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นมหามรรคาของฟ้าดิน สรรพชีวิตบนโลก ก็ให้เขาเริ่มทำในจุดที่สายตามองเห็นและแรงใจไปถึง ไม่ใช่ว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่ถูกต้องนั้นมาถึงแล้ว ทว่ากลับมองข้ามความผิดน้อยใหญ่ระหว่างนั้นไป ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องให้เขาตรวจสอบดูใหม่ ยังจะต้องให้เขาไปมองให้ละเอียด ยิ่งกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่บอกว่าถูกต้องก็ยังคงเป็นแค่การคำนวณ ถึงผลประโยชน์ในหนึ่งช่วงเวลาหนึ่งสถานที่เท่านั้น หาใช่มหามรรคาที่ยาวไกล ซึ่งสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไม่”

สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับแรงๆ

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนส่งมอบไม้เท้าให้สุยจิ่งเฉิง เขาใช้ฝ่ามือสองข้างค้ำยันไม้เท้าไว้เบาๆ แหงนหน้ามองม่านฟ้า “เรื่องของการฝึกตน นอกจากจะคว้าโชควาสนา ได้รับสมบัติวิเศษและเล่าเรียนคาถาอาคมได้แล้ว การพินิจจุดที่เล็กละเอียดของใจคนก็ยิ่งเป็นการฝึกตน ก็คือการฝึกขัดเกลาจิตใจ เจ้าฝึกวิชาที่ไร้ความรู้สึก ก็สามารถใช้ สิ่งนี้มาขัดเกลาสภาพจิตใจได้เช่นกัน เจ้าทำความเข้าใจกับหลักการเหตุผลของ อริยะปราชญ์ ก็ยิ่งควรต้องรู้ถึงความซับซ้อนของใจคน ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของมนุษย์นี้ ความคิดและจิตใจเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่งมากที่สุด แม้ว่าการเริ่มต้นทำเรื่องนี้จะยาก แต่ขอแค่บุกรุดหน้าเผชิญกับความยากลำบาก หากโชคดีทำสำเร็จก็เหมือนได้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งที่สอง จะได้รับผลประโยชน์ไปชั่วชีวิต”

สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าคนผู้นั้นเอาแต่แหงนหน้ามองม่านราตรี

แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ระหว่างที่เดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นลวี่อิง เกี่ยวกับความปลอดภัยของตระกูลสุย เจ้ารู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีกหรือไม่? หากเจ้าคิดออกก็ลองบอกมาดูได้ ไม่ต้องกังวลว่า จะรบกวนข้า ต่อให้จะต้องย้อนกลับไปที่แคว้นอู่หลิงก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วแล้วเคาะลงไปบนสองตำแหน่งของไม้เท้าเบาๆ “หลังจากวาดขอบเขตและตัดแบ่ง ก็จะกลายเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งแล้ว จะทำอย่างไร ให้ดีที่สุด คำนึงถึงทั้งต้นและปลาย นี่ก็เป็นการฝึกตนอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน ยืดขยายจากปลายสองฝั่งออกไปไกลเกิน ก็อาจจะทำได้ไม่ดีเสมอไป เพราะพละกำลังของคนย่อมต้องมีเวลาที่หมดลง หลักการเหตุผลก็เช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงนึกถึงการจัดการที่ตรงไปตรงมาของเขาตอนขึ้นเขา นางก็ยิ้มพลาง ส่ายหน้า “ผู้อาวุโสมีความคิดรอบคอบลึกซึ้ง แม้แต่หวังตุ้นก็ถูกผู้อาวุโสลากมา รวมด้วย ข้าไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องรีบร้อนให้ข้อสรุป ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่จะวางแผนการ ได้อย่างรัดกุมไร้ข้อผิดพลาด เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาด เพียงแค่เพราะตบะของข้าสูง หากข้าเป็นเจ้าสุยจิ่งเฉิง เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างในศาลา ไม่ต้องพูดถึงจิตใจว่าดีหรือเลว พูดถึงแค่เรื่องพาตัวเองให้รอดพ้น จากหายนะ ข้าเองก็ไม่มีทางทำได้ถูกไปมากกว่าเจ้า”

สุดท้ายคนผู้นั้นถอนสายตากลับมามองนางด้วยสายตาที่ใสกระจ่าง

สุยจิ่งเฉิงไม่เคยเห็นประกายแสงที่สะอาดและสว่างไสวเช่นนี้จากในดวงตาของบุรุษคนใดมาก่อน เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจจะต้องเดินทางร่วมกันไปอีก ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เหตุผลที่เจ้าพูดกับข้า ข้าจะรับฟัง ไม่ว่าเจ้ามีหรือไม่มีเหตุผล ข้าล้วนยินดีจะรับฟังไว้ก่อน หากมีเหตุผล เจ้าก็คือฝ่ายถูก และข้าก็จะยอมรับผิด ในอนาคตหากมีโอกาส เจ้าก็จะรู้ได้เองว่าคำพูดเหล่านี้ที่ข้าพูดกับเจ้าเป็นเพียงถ้อยคำเกรงใจที่เอ่ยตามมารยาทหรือไม่”

“ถ้าเช่นนั้นเมื่อมีข้าอยู่ ต่อให้มีข้าอยู่เพียงคนเดียว เจ้าก็ไม่อาจพูดได้ว่า หลักการเหตุผลทั้งหมดในใต้หล้าล้วนอยู่ในมือของคนที่หมัดแข็งและมรรคกถาสูงส่ง หากมี คนบอกกับเจ้าว่า ใต้หล้านี้ใครที่หมัดแข็งคนนั้นก็คือคนที่มีเหตุผล เจ้าก็อย่าไปเชื่อพวกเขา นั่นเป็นเพราะพวกเขากินความลำบากมามาก แต่กลับยังกินไม่อิ่ม เพราะคนประเภทนี้ อันที่จริงเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกก็ได้ถูกกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็น จำนวนนับไม่ถ้วนคอยปกป้องอยู่โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว”

“แล้วนับประสาอะไรกับที่คนอย่างข้ายังมีอีกเยอะมาก เพียงแต่ว่าเจ้ายังไม่เคย ได้เจอก็เท่านั้น หรือบางทีในอดีตอาจเคยเจอแล้ว แต่เป็นเพราะหลักการเหตุผลที่ พวกเขาใช้เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิที่กลายเป็นสายฝนบำรุงหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้ ชุ่มชื้นอย่างไร้เสียง เจ้าถึงได้ไม่รู้สึกอะไร”

คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน สองมือค้ำไว้บนไม้เท้า ทอดสายตามองภูเขาแม่น้ำ “ข้าหวังว่าไม่ว่าจะอีกสิบปีหรืออีกร้อยปีให้หลัง สุยจิ่งเฉิงจะยังคงเป็นสุยจิ่งเฉิงที่อยู่ในศาลา แล้วสามารถพูดว่าข้าจะอยู่ต่อ เป็นสุยจิ่งเฉิงที่ยินดียกสมบัติอาคมรักษาชีวิตให้ผู้อื่นสวมใส่ โลกมนุษย์มีตะเกียงนับพันนับหมื่นดวง ต่อในอนาคตเจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตน บนภูเขาแล้วหลุบตามองลงมา เจ้าก็ยังจะสังเกตเห็นเช่นเดิมว่า ต่อให้พวกเขาที่อยู่ ในบ้าน ในครอบครัว ในห้อง ในเรือนแห่งหนึ่งจะมีแสงสว่างน้อยนิดเพียงใด ทว่าหากแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนพากันจุดไฟ นั่นก็จะกลายเป็นภาพยิ่งใหญ่งดงามดั่งมีทางช้างเผือกอยู่ในโลกมนุษย์ ใต้หล้าของเราในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนและ มีคนธรรมดาอยู่มากมาย ก็ล้วนอาศัยตะเกียงแต่ละดวงที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ทั้งสิ้น ในตรอกเล็กถนนใหญ่ ในชนบทในเมือง ในตระกูลปัญญาชน ตระกูลชนชั้นสูง ครอบครัวอ๋องและโหว จวนเซียนบนภูเขา จากสถานที่แต่ละแห่งที่สูงต่ำไม่เท่ากันเหล่านี้ ถึงได้สามารถมีผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงคนแล้วคนเล่าผุดกรูกันออกมา ใช้การ ออกหมัดออกกระบี่และหลักการเหตุผลแท้จริงที่แฝงไปด้วยปราณของความ เที่ยงธรรมมาช่วยบุกเบิกเส้นทางให้แก่คนรุ่นหลัง ปกป้องผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เงียบๆ ดังนั้นพวกเราถึงได้สามารถเดินโซซัดโซเซมาจนถึงวันนี้”

คนผู้นั้นหันหน้ากลับมายิ้มกล่าว “พูดถึงแค่เจ้ากับข้า เป็นคนฉลาดกับเป็นคนเลว ยากนักหรือ? ข้าว่าไม่ยากเลย แล้วยากตรงไหน? ยากตรงที่ว่าพวกเรารู้ดีว่าจิตใจ คนชั่วร้าย แต่กระนั้นก็ยังยินดีจะเป็นคนดีที่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับหลักการเหตุผลในใจตัวเอง”

ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ “ผู้อาวุโส ข้าไม่นับว่าเป็นคนดี ยังห่างชั้นอีกไกลนัก!”

คนผู้นั้นยิ้มตาหยี “อืม คำประจบนี้ ข้ารับเอาไว้แล้ว”

สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึง

คนผู้นั้นทอดสายตามองม่านราตรีเบื้องหน้าต่อไป เอาคางวางไว้บนหลังมือทั้งสอง พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็ช่วยคลายปมในใจให้แก่ข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้า ปมนั้นก็คือควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับสตรีหน้าตางดงามอย่างไร ดังนั้นคราวหน้าเมื่อข้า ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้งก็จะยิ่งสามารถวางตัวตรงไปตรงมา มีเหตุผลได้มากกว่าเดิม เพราะใต้หล้านี้ข้าพบเจอสตรีหน้าตางดงามมาไม่น้อยแล้ว ไม่มีทางรู้สึกว่ามองพวกนางนานหน่อยแล้วเหมือนวัวสันหลังหวะ อืม นี่ก็ถือว่า ฝึกฝนจิตใจประสบความสำเร็จแล้วเช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าควรจะพูดถ้อยคำจริงใจที่ฟังระคายหูนี้ออกไป จึงเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ผู้อาวุโส คำพูดแบบนี้แค่เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้พูดตรงๆ กับสตรีในดวงใจ จะทำให้นางไม่ชอบใจเอาได้”

คนผู้นั้นหันหน้ามาเอ่ยอย่างสงสัย “พูดไม่ได้หรือ?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างหนักแน่น “พูดไม่ได้!”

คนผู้นั้นนวดคลึงปลายคางคล้ายว่าจะคิดไม่ตก

สุยจิ่งเฉิงพูดด้วยสีหน้าแช่มชื้น “ผู้อาวุโส ข้าเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงาม ใช่ไหม?”

คนผู้นั้นไม่ได้หันหน้ากลับมา น่าจะอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย ถึงได้พูดสัพยอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “อย่าได้คิดจะทำลายมหามรรคาของข้า”

สุยจิ่งเฉิงไม่กล้าได้คืบเอาศอก

แต่สำหรับการที่ตนได้เป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ ในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น อยู่ในอันดับที่ทัดเทียมกับโฉมสะคราญล่มบ้านล่มเมืองแห่งยุคอีกสามคน ในฐานะ ที่นางเป็นสตรี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การยินดี

เส้นเอ็นหัวใจของนางผ่อนคลายลงจึงเริ่มง่วงนิดๆ นางสะบัดศีรษะ ยื่นมือไป อังไฟหาความอบอุ่น ครู่หนึ่งต่อมาก็หันหน้าไปมอง ไม้เท้าเดินป่ายังคงอยู่ที่เดิม เพียงแค่คนชุดเขียวเริ่มฝึกเดินท่ากระบวนหมัดแล้ว?

สุยจิ่งเฉิงขยี้ตา ถามว่า “พอไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนในตำนานแห่งนั้น ผู้อาวุโสจะย้อนกลับไปยังชายหาดโครงกระดูกทางใต้ด้วยกันไหม?”

คนผู้นั้นออกหมัดไม่หยุด ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ล่ะ ดังนั้นอยู่บนเรือข้ามฟาก ตัวเจ้าเองต้องระวังให้มาก แน่นอนว่าข้าจะพยายามทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเจ้าน้อยที่สุด แต่บนเส้นทางของการฝึกตน ถึงอย่างไรก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง”

สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

คนผู้นั้นกล่าวว่า “ไม้เท้าเดินป่ากับชีวิตของเจ้า หากต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ต้องลังเล ชีวิตสำคัญกว่า”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างจนใจ “ผู้อาวุโสรู้ไปหมดทุกอย่างเลยหรือ?”

คนผู้นั้นคิดแล้วก็ถามชวนคุยว่า “ปีนี้เจ้าอายุสามสิบเท่าไรแล้ว?”

สุยจิ่งเฉิงบื้อใบ้ไร้คำตอบ นางหันหน้ากลับอย่างอัดอั้น แล้วจับกิ่งไม้แห้ง โยนเข้าไปในกองไฟรวดเดียวหลายกิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!