Skip to content

Sword of Coming 524

บทที่ 524 พบเจอเจียวหลงบนบกริมตลิ่งลำคลองใหญ่

ภูมิประเทศของแคว้นเป่ยเยี่ยนราบเรียบ หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ขึ้นครองราชย์ก็ขยันขันแข็งในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังมีสถานที่เลี้ยงม้า อยู่สองแห่ง จึงเป็นเหตุให้พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหนือกว่าแคว้นจิ่งหนันและแคว้นอู่หลิงอยู่มาก ขยับขึ้นไปเหนืออีกนิดก็คือแคว้นลวี่อิงที่นับแต่โบราณมาก็มี เรื่องเล่าของเซียนแพร่หลายมากมาย ในบทประพันธ์และนิยายเรื่องเล่า แปลกประหลาดส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวพันกับภูตน้ำและเจียวหลง

สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า อีกทั้งยังมีชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่สวมใส่ไว้บนร่าง แม้ว่าจะเป็นช่วงที่อากาศร้อนแผดเผา ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้า แต่ยามขี่ม้าเดินทางเวลากลางวันก็ยังคงไม่เป็นปัญหามากนัก กลับกันกลายเป็นว่าคนต้องคอยดูแลม้ามากกว่า

วันนี้คนทั้งสองหยุดม้าอยู่ใต้ร่มไม้ริมตลิ่ง น้ำในลำคลองใสกระจ่าง รอบด้านไร้ผู้คน นางจึงปลดหมวกคลุมหน้าลง ถอดรองเท้าถุงเท้า เมื่อเอาเท้าทั้งสองจุ่มเข้าไปในน้ำ นางก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ

ผู้อาวุโสนั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาหยิบพัดพับไผ่หยกเล่มหนึ่งออกมา แต่กลับไม่ได้โบกพัดเอาลมเย็นเข้าใส่ตัว เพียงแค่คลี่หน้าพัดแล้วโบกเบาๆ ด้านบนมีตัวอักษรเหมือนจอกแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ผู้อาวุโสเล่าให้ฟังว่าเป็นตัวอักษรตระกูลเซียนที่ดึงมาจากเรือยันต์วิเศษลำหนึ่งของจวนบนภูเขาที่มีชื่อว่าสวนน้ำค้างวสันต์

อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงค่อนข้างเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโส ไหล่ข้างซ้ายถูกธนูที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกตนลูกหนึ่งแทงทะลุจนเป็นรู แล้วยังถูกค่ายกลยันต์ รัดพันร่าง สุยจิ่งเฉิงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดผู้อาวุโสถึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ได้ ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ผู้อาวุโสเพียงแค่นวดคลึงมือข้างขวาบ่อยๆ เท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงหันหน้ามาถาม “ผู้อาวุโส เป็นนักฆ่าที่อาจารย์ของเฉาฟู่และ ตำหนักเกล็ดทองส่งตัวมาหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บอกได้แค่ว่านี่คือความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุด ลักษณะพิเศษของนักฆ่ากลุ่มนั้นบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่ามาจากพรรคของผู้ฝึกตน ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป แม้จะเรียกว่าพรรค แต่นอกเหนือจากชื่อว่าภูเขาเกอลู่แล้ว กลับไม่มีภูเขาที่เป็นรากฐานที่ตั้งอย่างแท้จริง นักฆ่าทุกคนล้วนถูกเรียกขานว่าคนไร้หน้า ผู้ฝึกตนของสามลัทธิเก้าสาขาร้อยสำนักล้วนสามารถเข้าร่วมได้ แต่ได้ยินมาว่ามีกฎเกณฑ์ค่อนข้างมาก จะเข้าร่วมอย่างไร จะฆ่าคนอย่างไร รับเงินมากน้อยเท่าไร ล้วนมีกฎเกณฑ์”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาเกอลู่ยังมีกฎที่ใหญ่ที่สุดอยู่อีกข้อหนึ่ง รับเงินมา ส่งนักฆ่าไปลงมือ จะฆ่าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่สำเร็จก็จะรับเงินค่ามัดจำแค่ ครึ่งเดียว ไม่ว่าคนจะบาดเจ็บล้มตายไปมากแค่ไหนก็ตาม เงินอีกครึ่งที่เหลือก็จะไม่มีทางไปทวงจากผู้จ้าง และหลังจากจบเรื่องแล้ว ภูเขาเกอลู่ก็จะไม่มีทางลงมือกับ คนที่นักฆ่าลอบสังหารแล้วไม่สำเร็จก ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าภูเขาเกอลู่จะมาลอบโจมตี”

สุยจิ่งเฉิงถอนหายใจหนึ่งครั้ง พูดอย่างเสียใจและรู้สึกผิดว่า “จะว่าไปแล้วก็ยัง คงเป็นเพราะข้าอยู่ดี”

อย่าเห็นว่าตลอดทางมานี้ผู้อาวุโสมีท่าทีผ่อนคลายสบายๆ แต่สุยจิ่งเฉิงที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับรู้ดีว่าการลอบฆ่าคราวนั้น ผู้อาวุโสรับมือได้ไม่ง่ายนัก

เฉินผิงอันหุบพัด พูดเนิบช้าว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน โชคและเคราะห์มักมาพร้อมกันเสมอ ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ล้วนทนทรมานผ่านพ้นกันมาเช่นนี้ อุปสรรคอาจมีเล็กมีใหญ่ แต่ความเล็กใหญ่ของเรื่องทุกข์ยากแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไป ตามบุคคล ข้าเคยเจอคู่รักบนภูเขาที่เป็นห้าขอบเขตล่างคู่หนึ่ง ผู้ฝึกตนหญิงไม่อาจ ฝ่าทะลุคอขวดได้เสียทีเพียงเพราะขาดเงินเกล็ดหิมะไม่กี่ร้อยเหรียญ

หากยังถ่วงเวลาล่าช้าต่อไป เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย และยังอาจเป็นภัย ที่อันตรายถึงชีวิต คนทั้งสองจึงได้แต่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในชายหาดโครงกระดูก ทางทิศใต้เพื่อเอาชีวิตไปเดิมพันกับทรัพย์สินเงินทอง ตลอดเส้นทางนั้น สองสามีภรรยาต้องได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ เจ้าว่าพวกเขาไม่ลำบากหรือ? ไม่เพียงแต่ใช่ ยังเป็นความลำบากที่ไม่เล็กอีกด้วย ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าตลอดทาง ที่เจ้าเดินทางมานับตั้งแต่ในศาลานั้นเลย”

สุยจิ่งเฉิงหัวเราะทันใด “ผู้อาวุโสไปเจอพวกเขาโดยบังเอิญก็เลยช่วยพวกเขาใช่ไหม?”

เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร

สุยจิ่งเฉิงรู้คำตอบได้ทันที

เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่สุยจิ่งเฉิง

นางยิ้มอย่างเข้าใจ ขยับขานั่งขัดสมาธิ หลับตาลง สงบจิตใจแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ ฝึกตนตามคาถาวิชาเซียนที่บันทึกอยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น

ยามที่ผู้ฝึกตนเข้าฌานทำสมาธิ บริเวณรอบด้านจะมีริ้วคลื่นลมปราณกระเพื่อมอย่างแผ่วเบา ยุงและแมลงไม่อาจเข้าใกล้ สามารถต้านทานไอร้อนและความหนาวได้ด้วยตัวเอง

แม้ว่าสุยจิ่งเฉิงจะยังฝึกตนได้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็พอจะมีเค้าโครงของภาพบรรยากาศเหล่านั้นแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ก็เหมือนกับปีนั้นที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอยู่ในเมืองเล็ก ถึงแม้ว่าท่าหมัดจะยังไม่มั่นคง แต่ปณิธานหมัดกลับไหลรินไปทั่วร่าง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นผู้ปกป้องมรรคาของ หม่าขู่เสวียนที่มาจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นที่มองออกในปราดเดียว ดังนั้นจึงบอกว่าพรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงดีมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเหตุใดพอยอดฝีมือที่ เดินทางผ่านมาในปีนั้นมอบของสามชิ้นให้นางแล้วก็เงียบหายไปเลย ไม่มีข่าวคราว มาตลอดสามสิบกว่าปี

และเห็นได้ชัดว่าปีนี้สุยจิ่งเฉิงต้องพบเจอกับหายนะใหญ่บนเส้นทางการฝึกตน ตามหลักแล้วยอดฝีมือคนนั้นที่ต่อให้จะอยู่ไกลไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ แต่ก็น่าจะยังรับสัมผัสถึงความลี้ลับมหัศจรรย์นี้ได้บ้าง

เกี่ยวกับรูปโฉมและน้ำเสียงของยอดฝีมือคนนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาด ตัวเขาเองก็คล้ายคลึงกับสมุดเล่มเล็กที่สุยจิ่งเฉิงสามารถมองเห็นแต่ไม่อาจอ่านได้ออก ไม่อย่างนั้นลมปราณก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวาย หัวสมองมึนงงดวงตาพร่าเลือน

เมื่อหลายปีก่อนสุยจิ่งเฉิงเคยสอบถามคนเฒ่าคนแก่ในจวน พวกเขาต่างก็บอกว่าจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แม้แต่สุยซินอวี่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เล่าเรียนมาตั้งแต่เด็ก เวลาเห็นอะไรผ่านตาแล้วไม่เคยลืมก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น

เฉินผิงอันรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เวทอำพรางตาบนภูเขาทั่วไปแล้ว

หลังจากสุยจิ่งเฉิงลืมตาขึ้น เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม มีแสงรัศมีเรืองรองไหลวนอยู่ทั่วร่าง ชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ก็มีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมา ประกายแสงสองขุมจึงช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น ประหนึ่งน้ำและไฟที่ผสานเข้าด้วยกัน เพียงแต่ว่าคนธรรมดาจะมองเห็นเป็นเพียงความพร่าเลือน แต่เฉินผิงอันกลับสามารถมองเห็นได้มากกว่านั้น เมื่อสุยจิ่งเฉิงหยุดการโคจรลมปราณ ภาพเหตุการณ์ประหลาดบนร่างก็หายวับไปในทันใด เห็นได้ชัดว่าชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ตัวนั้นเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือตั้งใจคัดสรรมาให้นาง ทำให้การฝึกวิชาเซียนที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กของสุยจิ่งเฉิงสามารถเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เท่าตัว เรียกได้ว่าเขาเองก็ตั้งใจและหวังดีต่อนางมากจริงๆ

ภาพปรากฎการณ์สูงส่งยาวไกล แสงสว่างเจิดจ้าพร่าตา

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความคิดโน้มเอียงไปในทางที่ว่ายอดฝีมือคนนั้นไม่ได้มี เจตนาร้ายต่อสุยจิ่งเฉิง

เพียงแต่ว่าก็ยังต้องดูกันไปทีละก้าว เพราะถึงอย่างไรบนเส้นทางการฝึกตน ระมัดระวังหนึ่งหมื่นเรื่อง ทว่าทุกเรื่องที่ทำมาก็อาจจะเสียเปล่าเพียงเพราะ การไม่ระวังเพียงเรื่องเดียว

คนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย กลับกันยังทิ้งเบาะแสมาตลอดทาง ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในเมืองเล็กของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว หากเดินทางกันไปเช่นนี้ จนไปถึงแคว้นลวี่อิงแล้วยอดฝีมือท่านนั้นยังไม่ปรากฏตัว เฉินผิงอันก็ได้แต่ส่ง สุยจิ่งเฉิงขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนไปยังสำนักพีหมาที่อยู่บนชายหาดโครงกระดูก แล้วค่อยให้นางเดินทางไปยังท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวของแจกันสมบัติทวีป อิงตาม ความต้องการของสุยจิ่งเฉิงเอง ให้นางไปเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของ ชุยตงซาน ติดตามชุยตงซานฝึกตน เชื่อว่าภายหลังหากมีวาสนาต่อกันจริงๆ สุยจิ่งเฉิงย่อมต้องได้พบเจอกับยอดฝีมือคนนั้นและสืบสานวาสนาอาจารย์และศิษย์ต่อกัน อีกครั้งอย่างแน่นอน

เมื่อไปถึงท่าเรือแคว้นลวี่อิงที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นบอกที่อยู่มาให้ ตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการมากที่สุดก็คือข่าวข่าวหนึ่ง นั่นคือความเคลื่อนไหวของเจียวน้ำแม่น้ำอวี้ซี ในเมืองหลวงต้าจ้วน

จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามจะได้ประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ คนนั้นหรือยัง?

สุยจิ่งเฉิงสวมรองเท้าเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองสีท้องฟ้า ก่อนหน้านี้ดวงอาทิตย์ยังลอยสูงอยู่กลางนภา ไอร้อนแผดเผาลอยกรุ่นอบอวล เวลานี้กลับมี เมฆดำทะมึนมารวมตัวกันหนาแน่น มีลางว่าจะเกิดพายุฝนฟ้ากระหน่ำ

เฉินผิงอันเดินนำไปยังจุดผูกม้าก่อนแล้ว เขาเอ่ยเตือนว่า “ออกเดินทางกันต่อ อย่างมากที่สุดอีกหนึ่งก้านธูปฝนก็จะตกแล้ว เจ้าสามารถสวมเสื้อกันฝนไว้ได้เลย”

สุยจิ่งเฉิงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา ยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสสามารถพยากรณ์ สภาพอากาศได้ล่วงหน้าหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา ผู้อาวุโสก็คำนวณถึง เวลาที่ฝนจะหยุดตกได้อย่างแม่นยำ ท่านพ่อข้าบอกว่ามีเพียงยอดฝีมือของ กองโหราศาสตร์แคว้นอู่หลิงเท่านั้นที่ถึงจะมีความสามารถเช่นนี้”

เฉินผิงอันสวมงอบเรียบร้อยแล้วก็สวมเสื้อคลุมฝน หลังจากพลิกตัวขึ้นหลังม้า ก็เอ่ยว่า “อยากจะเรียนวิชาอภินิหารนี้หรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “แน่นอน!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าก็ต้องลงไปทำนาทำไร่สักสิบกว่าปี วันทั้งวันต้องคอย ขอข้าวจากสวรรค์กิน ย่อมเรียนรู้จนเป็นวิชาการสังเกตสภาพอากาศอย่างแน่นอน”

สุยจิ่งเฉิงไร้คำพูดตอบโต้

อันที่จริงเฉินผิงอันตอบคำถามไปแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการเป็น ผู้ฝึกยุทธของเขา ผู้ฝึกยุทธสามารถรับสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ มากมายในฟ้าดิน ยกตัวอย่างเช่นลมเย็นพัดใบไม้ แมลงวันกระพือปีก กบกระโดดแตะผิวน้ำ สิ่งเหล่านี้เมื่อดังเข้าหูของเฉินผิงอันล้วนเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก แต่จะให้เขาเปิดเผยเจตจำนงสวรรค์กับผู้ฝึกตนอย่างสุยจิ่งเฉิงก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ

ฝนกระหน่ำตกลงมาราวกับมาตามเวลานัดหมาย

ม้าทั้งสองตัวเคลื่อนหน้าไปช้าๆ พวกเขาไม่ได้จงใจหลบฝน เกี่ยวกับการโดนลมพัดแดดเผาฝนตกใส่ตลอดการเดินทางขึ้นเหนือนี้ สุยจิ่งเฉิงไม่เคยมีคำถามหรือคำ โอดครวญใดๆ ผลกลับกลายเป็นว่าเพียงไม่นานนางก็สัมผัสได้ว่านี่ก็เป็นการฝึกตนเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันกับที่ต้องกระเด้งกระดอนอยู่บนหลังม้า ตนยังสามารถหาช่วงเวลาเหมาะๆ ในการเข้าฌานทำสมาธิได้ ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่ ตกกระหน่ำ เส้นสายตาก็ยังคงมองเห็นอย่างชัดเจน ช่วงเวลาที่อากาศร้อนระอุก็ยัง ถึงขั้นมองเห็นการไหลเวียนของ ‘กระแสน้ำ’ ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางไอหมอกขมุกขมัวได้ ผู้อาวุโสบอกว่านั่นคือปราณวิญญาณฟ้าดิน ดังนั้นสุยจิ่งเฉิงจะมักขี่ม้าวนไปวนมา พยายามที่จะไล่จับเส้นสายของปราณวิญญาณที่พุ่งวูบวาบเหล่านั้น แน่นอนว่า นางคว้าไว้ไม่อยู่ แต่ชุดคลุมเสื้อไผ่บนร่างตัวนั้นกลับสามารถดูดซับพวกมันเข้ามาไว้ภายในได้

ฝนแรงยากที่จะตกได้นาน มาอย่างรีบร้อนก็จากไปอย่างรีบร้อนเช่นเดียวกัน

คนทั้งสองปลดเสื้อกันฝนลงแล้วออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง

ก่อนจะถึงช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล ม้าสองตัวก็มาหยุดพักเท้า ที่เมืองเร่าสุ่ย เพราะตอนบนของลำคลองมีศาลเทพวารีแห่งหนึ่งตั้งอยู่ นี่ยังไม่ใช่เหตุผลที่คู่ควรแก่การไปเยือนมากที่สุด สาเหตุหลักยังเป็นเพราะน้ำและภูเขาอิงแอบกัน ลำคลองมีชื่อว่าลำคลองเหย่าหมิง ภูเขามีชื่อว่าเอ๋อเอ๋อ ศาลเทพภูเขาและแม่น้ำอยู่ห่างกันไม่ไกล ไม่ถึงสามลี้ ผู้อาวุโสบอกว่านี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เห็นได้ยาก ต้องลองแวะไปดูสักหน่อย อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร เหตุใดผู้อาวุโส ถึงได้ชอบไปเที่ยวสถานที่โบราณเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงนัก แต่ก็กลัวว่าจะมีความพิถีพิถันของบนภูเขาซุกซ่อนอยู่ จึงได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ

ในหมู่ชาวบ้านของแคว้นเป่ยเยี่ยนนิยมการแข่งจิ้งหรีด

ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะชอบออกจากเมืองไปยังป่าชานเมืองเพื่อจับจิ้งหรีดแล้วนำมาขายแลกเงิน บทกลอนและบทกวีของปัญญาชนที่แต่งเกี่ยวกับจิ้งหรีดก็จะได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายมากเป็นพิเศษในแคว้นเป่ยเยี่ยน ส่วนใหญ่ล้วนเป็น การเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคม แอบแฝงไว้ด้วยการเย้ยหยัน เพียงแต่ว่า ความกังวลของปัญญาชนในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีเพียงใช้บทกวีในการคลายทุกข์เท่านั้น ทว่าเรือนโอ่อ่าของขุนนางชนชั้นสูงและบ้านหลังเล็กแคบในหมู่ชาวบ้านต่าง ก็ยังคงเพลิดเพลินไปกับความนิยมนี้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เสียงจิ้งหรีดจึงร้องดังระงมก้องไปทั่วราชสำนักของแคว้น

ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่ม้าทั้งสองตัวขี่เข้าเมืองจึงเห็นว่าคนที่ออกจากเมืองมีเยอะกว่าคนที่เข้าเมืองมากนัก ทุกคนต่างก็หิ้วกรงจิ้งหรีดหลากสี นี่ก็เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่งเช่นกัน

โรงเตี๊ยมกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นจากการปรับเปลี่ยน จุดพักม้าขนาดใหญ่ที่ถูกรื้อถอนแห่งหนึ่ง เจ้าของโรงเตี๊ยมคนปัจจุบันคือลูกหลาน ชนชั้นสูงของเมืองหลวงคนหนึ่ง เขาซื้อมันมาในราคาถูก หลังจากทุ่มเงินก้อนใหญ่ในการซ่อมแซมแล้ว กิจการก็เจริญรุ่งเรือง นี่จึงเป็นเหตุให้บนกำแพงมีผลงานของปัญญาชนทิ้งไว้มากมาย ภายหลังยังมีการสร้างบ่อน้ำที่รอบด้านคือป่าไผ่เขียวขจี

ตอนกลางคืนเฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ไปเดินเล่นอยู่บนทางเส้นเล็กริมบ่อน้ำ ที่มีต้นหยางต้นหลิวขึ้นเรียงราย รอจนเขาย้อนกลับมาฝึกวิชาหมัดที่ห้อง สุยจิ่งฉิง ที่สวมหมวกบนศีรษะก็มายืนอยู่บนทางเส้นเล็กแล้ว เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ปัญหาไม่ใหญ่ เจ้าไปเดินเล่นคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ หลังจากมองส่งผู้อาวุโสจากไปแล้ว ตัวนางเองไปเดินเล่นรอบหนึ่งก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง

เฉินผิงอันฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวต่อ เขาโคจรวิชาปราณกระบี่สิบแปดหยุด เพียงแต่ว่ายังคงไม่สามารถฝ่าคอขวดสุดท้ายนั่นไปได้

บางครั้งเฉินผิงอันก็จะคิดไปส่งเดช พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ของตน แย่ขนาดนี้เชียวหรือ?

ปีนั้นหลังจากข้ามผ่านภูเขาห้อยหัวไป เหล่าคนหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่คล้ายว่าจะสามารถจับแก่นแท้ของปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้อย่างรวดเร็ว

แต่เฉินผิงอันก็มีเหตุผลปลอบใจตัวเอง ในบรรดาช่องโพรงลมปราณที่สำคัญซึ่ง สิบแปดหยุดต้องผ่านไปก็มี ‘ปราณกระบี่ขนาดเล็กจ้อย’ สามกลุ่มพักพิงอยู่ นี่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก คอขวดสุดท้ายจึงอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งที่ถูกสกัดขวางนั่น ทุกครั้ง ที่ผ่านด่านนี้ ลมปราณถึงได้หยุดชะงักไม่เดินหน้า

หยุดท่าหมัดแล้วเฉินผิงอันก็เริ่มจับพู่กันวาดยันต์ วัสดุของกระดาษยันต์ล้วนเป็นกระดาษสีเหลืองที่ธรรมดาที่สุด เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนักพรตห้า ขอบเขตล่างทั่วไปที่อย่างมากสุดก็ได้แต่ใช้ผงเงินผงทองบดมาทำเป็น ‘น้ำหมึก’ วาดยันต์ เฉินผิงอันได้ซื้อผงชาดบนภูเขามาจากถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่น้อย ขวดไหกองกันเป็นพะเนิน ส่วนใหญ่ราคาขวดละสองถึงสามเหรียญเงิน เกล็ดหิมะ ไหกระเบื้องขนาดใหญ่ที่แพงที่สุดมีมูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ระหว่างที่เดินทางมานี้ เฉินผิงอันใช้ยันต์หลากหลายสีสันไปไม่ต่ำกว่าสามร้อยแผ่น ศึกการลอบโจมตีในหุบเขาก็ได้ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าบางครั้งการเอาชนะด้วยจำนวน ก็มีเหตุผลเหมือนกัน

สุยจิ่งเฉิงมีโชคไม่เลว นางกวาดค้นเจอตำราลับสองเล่มมาจากร่างของอาจารย์ค่ายกลผู้นั้น เล่มหนึ่งเป็นตำราภาพยันต์ อีกเล่มหนึ่งคือการอธิบายถึงวิชาค่ายกล ที่หน้าขาดหายไป และยังมีตำราอีกเล่มหนึ่งที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกซึ่งเขียนตามความเข้าใจของตัวเอง บันทึกสิ่งที่อาจารย์ค่ายกลบรรลุมานับตั้งแต่ที่เรียนวิชายันต์อย่างละเอียด เฉินผิงอันให้ความสำคัญกับสมุดบันทึกเล่มนี้มากที่สุด

แน่นอนว่ายังมีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างระดับขั้นไม่ต่ำบนร่างของชายฉกรรจ์ ร่างกำยำอีกชิ้นหนึ่ง รวมไปถึงคันธนูขนาดใหญ่และลูกธนูอักขระยันต์ทั้งหมด

บวกกับมีดอักขระสองเล่มของนักฆ่าหญิงซึ่งแยกกันสลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’

น่าเสียดายที่ไม่มีเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว

ศึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ใกล้เคียงกับการล้อมฆ่าในพื้นที่มงคลดอกบัวมากที่สุด

ทำให้เฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับได้รับผลประโยชน์มหาศาล

เคยมีวันหนึ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงทบทวนกระดานหมากล้อมกับสุยจิ่งเฉิง สุยจิ่งเฉิงถามอย่างประหลาดใจว่า “ที่แท้ผู้อาวุโสก็เป็นคนถนัดซ้าย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ว่าหลังจากข้าฝึกวิชาหมัด ออกจากเมืองเล็กที่เป็นบ้านเกิดมาได้ไม่นานเท่าไรก็แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ถนัดซ้ายมาโดยตลอด”

ผู้ฝึกกระบี่บนผิวน้ำที่เป็นผู้นำนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนั้นเลือกที่จะสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นคนผู้นี้จึงตรวจสอบ การกระจายตัวของศพทหารแคว้นเป่ยเยี่ยนที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้นซ้ำอีกครั้ง บวกกับที่มือที่เฉินผิงอันกำดาบแทงแม่ทัพทหารม้าแคว้นเป่ยเยี่ยนเป็นมือขวา เขาถึงได้มั่นใจว่าตัวเองได้มองเห็นความจริง แล้วจึงบอกให้นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ ที่มีวิชาอันเป็นสมบัติก้นกรุร่ายวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธออกมากักกันมือขวา ของเฉินผิงอันเอาไว้ ความแข็งแกร่งของวิชาลับนี้ รวมไปถึงโรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง สามารถดูออกจากการที่จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังได้รับอิทธิพลจากมันอยู่ไม่น้อย

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาจะมีวิชาลับที่แปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย

ดังนั้นมองดูเหมือนเฉินผิงอันจับผลัดจับผลูโชคดี ทำให้การคิดคำนวณของอีกฝ่ายผิดพลาด

แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็คือวิธีการที่เฉินผิงอันใช้ท่องยุทธภพ นั่นคือตั้งสมมติฐานว่าตัวเองตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกล้อมสังหารอยู่ตลอดเวลา

สุยจิ่งเฉิงอดไม่ไหวจริงๆ จึงถามว่า “ผู้อาวุโสเป็นแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยชินจนกลายเป็นธรรมชาติไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า การใช้เหตุผลที่ซับซ้อน มองดูเหมือนเปลืองแรงกายแรงใจ แต่อันที่จริงหากคุ้นชินแล้วกลับจะกลายเป็นว่ายิ่งผ่อนคลาย ถึงเวลานั้นเมื่อเจ้า ออกหมัดออกกระบี่อีกครั้งก็จะยิ่งเข้าใกล้ขอบเขตที่ว่าฟ้าดินไร้พันธนาการมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่าหนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ของเจ้ามีพลังพิฆาตมากน้อยแค่ไหน แต่เป็น…ฟ้าดินให้การยอมรับ ผสานสอดคล้องกับมหามรรคา”

สุยจิ่งเฉิงในเวลานั้นต้องไม่เข้าใจแน่ว่า ‘ฟ้าดินไร้พันธนาการ’ เป็นท่วงท่าที่องอาจมากแค่ไหน ยิ่งไม่เข้าใจว่าคำกล่าวที่ว่า ‘ผสานสอดคล้องกับมหามรรคา’ นี้มีความหมายลึกซึ้งยาวไกลเท่าไร

วันที่สอง ม้าสองตัวก็ทยอยไปเยือนศาลเทพภูเขาศาลเทพวารีสองแห่งที่เป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วจึงออกเดินทางต่ออีกครั้ง

ห่างจากแคว้นลวี่อิงที่ตั้งอยู่บนชายหาดตะวันออกของอุตรกุรุทวีปอีกไม่ไกลแล้ว

ม้าทั้งสองตัวเหยาะย่างไปอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ฟ้าดินคือเตาเผาขนาดใหญ่ ดวงอาทิตย์คือถ่านที่คอยหุงต้ม หมื่นสรรพสิ่งถูก หล่อหลอม มนุษย์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกงัวเงียเหมือนจะหลับ อยู่ๆ ก็ได้ยินถ้อยคำของผู้อาวุโสอย่างที่หาได้ยาก นางจึงรีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า “ผู้อาวุโส นี่คือคำกล่าวของตระกูลเซียนหรือ? มีความหมายลึกซึ้งอะไรหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็นประโยคหนึ่งที่เพื่อนรักของข้าได้ยินมาจากอาจารย์ที่สอนพวกเราเผาเครื่องปั้น ตอนนั้นพวกเราต่างก็อายุไม่มาก จึงคิดแค่ว่า มันเป็นประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง ผู้เฒ่าไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับข้า และ ในความเป็นจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือเขาแทบไม่เคยเต็มใจอยากจะพูดกับข้า

ต่อให้ไปหาดินที่เหมาะในการทำเครื่องปั้นจากในภูเขาลึกด้วยกัน อาจต้องอยู่ในภูเขานานสิบวันหรือครึ่งเดือน พวกเราสองคนก็คุยกันไม่เกินสองสามคำเท่านั้น”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างตกตะลึง “สำนักของผู้อาวุโสยังต้องเผาเครื่องปั้นอีกหรือ? บนภูเขามีจวนตระกูลเซียนที่เป็นเช่นนี้ด้วยหรือไร?”

เฉินผิงอันเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาพยักหน้ารับ “มีสิ”

สุยจิ่งเฉิงถามอย่างระมัดระวัง “หากเป็นเช่นนี้ เพื่อนสนิทคนนั้นของผู้อาวุโส จะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนสูงยิ่งกว่าท่านอีกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเป็นเรื่องพรสวรรค์ในการฝึกตนก็บอกได้ยาก แต่ความสามารถในการเผาเครื่องปั้น ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไล่ตามเขาไม่ทัน เขามองแค่ ไม่กี่ครั้งก็ทำเป็นแล้ว แต่ข้าอาจต้องคลำทางอยู่หลายเดือน สุดท้ายก็ยังสู้เขาไม่ได้ อยู่ดี”

สุยจิ่งเฉิงถามอีก “ผู้อาวุโส เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้จะไม่รู้สึกกดดันหรือ?”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

ม้าทั้งสองข้ามผ่านชายแดนแคว้นเป่ยเยี่ยนและแคว้นลวี่อิงเข้ามา ท่าเรือ ตระกูลเซียนแห่งนั้นอยู่ห่างไปอีกแค่สองร้อยกว่าลี้เท่านั้น

ท่าเรือมีชื่อว่าท่าเรือหัวมังกร เป็นพื้นที่ส่วนตัวของพรรคฝนธัญพืชซึ่งเป็น ตระกูลเซียนลำดับต้นๆ ของแคว้นลวี่อิง เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของพรรคฝนธัญพืชเคยประลองหมากล้อมกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นลวี่อิง เป็นฝ่ายแรก ที่อาศัยความสามารถอันโดดเด่นในการเล่นหมากล้อม ‘พ่ายแพ้’ จนได้ภูเขาลูกหนึ่งมาครอง

ชื่อของพรรคไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเงินฝนธัญพืชซึ่งเป็นหนึ่งในเงินเทพเซียน เพียงแต่ว่า ‘เทียบฝนธัญพืช’ และ ‘ป้ายฝนธัญพืช’ ที่ผลิตจากพรรคตระกูลเซียน แห่งนี้กลับได้รับความนิยมในด้านล่างภูเขาเป็นอย่างมาก ของอย่างแรกจะขายให้กับคนมีเงินของราชวงศ์โลกมนุษย์ แบ่งออกเป็นเทียบตัวอักษรกับเทียบภาพวาด มีประสิทธิผลของยันต์ตระกูลเซียนแบบตื้นเขิน เมื่อเทียบกับภาพเทพทวารบาลที่แปะหน้าประตูบ้านของครอบครัวคนทั่วไปแล้วจะสามารถปกป้องคนในบ้านได้มากกว่า สามารถขับไล่ภูตผีเสนียดจัญไร เป็นวัตถุที่จำเป็นต้องมีเตรียมไว้ในการขึ้นเขาลงห้วย ราคาไม่ธรรมดา พวกขุนนางของแคว้นลวี่อิงต่างก็ต้องมีกันคนละหนึ่งชิ้น ยามออกว่าราชการในท้องพระโรง แคว้นลวี่อิงยังไม่ห้ามปรามหากขุนนางชั้นสูงจะห้อยวัตถุประเภทนี้ ถึงขั้นที่ว่าฮ่องเต้ยังมักจะมอบของสิ่งนี้ให้เป็นรางวัลแก่ขุนนางคนสำคัญ

ท่าเรือหัวมังกรเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เนื่องจากจำนวนผู้ฝึกลมปราณในอาณาเขตหลายสิบแคว้นทางทิศใต้ซึ่งรวมถึงของราชวงศ์ต้าจ้วนมีน้อยนิด นอกจากในอาณาเขตของแคว้นต้าจ้วนและตำหนักเกล็ดทองที่ต่างก็มีท่าเรือขนาดเล็กซึ่งเส้นทางการเดินเรือไม่ไกลแล้ว ก็ไม่มีท่าเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นอีก ในฐานะพื้นที่สำคัญอันเป็น ใจกลางหลักทางทิศตะวันออกสุดของอุตรกุรุทวีป แคว้นลวี่อิงที่อาณาเขตไม่ใหญ่ คนตลอดทั้งราชสำนักล้วนคุ้นเคยกับผู้ฝึกตนบนภูเขาเป็นอย่างดี เป็นขนบธรรมเนียมที่แตกต่างจากหลายสิบแคว้นของต้าจ้วนที่ผู้ฝึกยุทธเดินกร่าง เทพเซียนต้องเปิดทางให้ราวฟ้ากับเหว

คนทั้งสองขายม้าให้กับสำนักคุ้มกันแห่งหนึ่งในท้องถิ่น

แล้วเดินเท้ากันไปต่อ เฉินผิงอันมอบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นให้สุยจิ่งเฉิง

ตอนนี้เครื่องแต่งกายที่เฉินผิงอันสวมใส่ยิ่งบางลงทุกที มีเพียงชุดเขียวและงอบเท่านั้น แม้แต่ปิ่นก็ยังถูกเก็บลงไป ไม่สะพายหีบไม้ไผ่อีก ทั้งน้ำเต้าและเจี้ยนเซียนต่างก็ถูกเก็บไปพร้อมกันด้วย

และสุยจิ่งเฉิงก็พูดน้อยลงทุกที

คนทั้งสองเดินเลียบลำคลองที่ไหลลงสู่มหาสมุทรซึ่งกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ผิวน้ำของลำคลองกว้างหลายลี้ แต่ก็ยังไม่ใช่ทางเดินน้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแคว้นสายนั้น เล่าลือกันว่าผิวน้ำของคูน้ำสายใหญ่นั้น มองไปแล้วกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ตลอดชีวิตของชาวบ้านแคว้นลวี่อิงหลายคน ล้วนไม่เคยมีโอกาสมองไปเห็นฝั่งตรงข้าม

สายลมบนผิวน้ำพัดมาปะทะใบหน้าของคนทั้งสอง ไอร้อนหายไปไม่มีเหลือ

สุยจิ่งเฉิงถามว่า “ผู้อาวุโส หากยอดฝีมือนอกโลกคนนั้นไม่ปรากฎตัว ข้าหวังว่าตนเองจะสามารถเป็นลูกศิษย์ของท่านได้ เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก่อน วันใดที่รู้สึกว่าข้ามีคุณสมบัติแล้วค่อยตัดสองคำว่า ‘บันทึกชื่อ’ ทิ้งไป ส่วนผู้อาวุโส ชุยท่านนั้นจะยินดีถ่ายทอดวิชาเซียนให้แก่ข้าหรือไม่ จะยินดีชี้แนะไขข้อข้องใจให้ข้าหรือไม่ ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจเขา ถึงอย่างไรตัวข้าเองก็ฝึกตนด้วยตัวเองมาสามสิบปีแล้ว ไม่ถือสาหากจะต้องรอให้ผู้อาวุโสไปเดินทางท่องเที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับคืน สู่บ้านเกิด”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองประเมินผิวน้ำที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก แล้วยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นลูกศิษย์ของเขา เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง ข้าสามารถรับรองได้!”

สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง!”

เฉินผิงอันเอ่ย “พวกเราตั้งสมมติฐานว่าหลังจากนี้ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจ้า จะไม่ปรากฏตัว ถ้าอย่างนั้นคนที่ข้าจะให้มาเป็นอาจารย์ของเจ้าก็คือเซียนที่แท้จริง คนหนึ่ง ทั้งตบะ จิตใจและสายตา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ขอแค่เจ้าต้องการ เขาก็ล้วนดีกว่าข้ามาก”

แน่นอนว่าต่อให้เจ้าหมอนั่นจะมีตบะสูงแค่ไหนก็ยังเป็นลูกศิษย์ของตน

เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่รู้สึกอะไร เวลาส่วนใหญ่ยังเห็นว่ามันเป็นภาระอย่างหนึ่ง ตอนนี้มาย้อนนึกดู ก็ช่าง…ชื่นใจเสียจริง?

น้ำเสียงของสุยจิ่งเฉิงยืนกรานเด็ดเดี่ยว “ใต้หล้าจะมีคนเช่นนี้ได้หรือ? ข้าไม่เชื่อ!”

เฉินผิงอันกล่าว “เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น รอเจ้าได้พบเขาเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจได้เอง”

สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า มือถือไม้เท้าเดินป่า กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่นางก็รู้สึกอัดอั้นตันใจเล็กน้อย ต่อให้ยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโสแซ่ชุยจะมีวิชาอภินิหารเช่นนี้จริงๆ เป็นเซียนบนภูเขาจริงๆ แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?

สุยจิ่งเฉิงรู้ดีว่าการฝึกตนเป็นเรื่องที่ต้องเผาผลาญเวลามากแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นอายุขัยของผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ยาวนานหลายรอบหกสิบปี หรืออาจถึงขั้นหลายร้อยปี จะเทียบกับสิ่งที่คนในยุทธภพประสบพบเจอมาได้จริงๆ หรือ? จะมีเรื่องราวมาก ขนาดนั้นเชียวหรือ? ไปอยู่บนภูเขาแล้ว ปิดด่านทีก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปี ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ก็ต้องพิถีพิถันเรื่องที่ว่าห้ามแตะต้องฝุ่นผงในโลกโลกีย์ เดินผ่านมาอย่างเดียวดาย แล้วย้อนกลับไปบนภูเขาอย่างไม่ให้เสียเวลา การฝึกตนให้มีชีวิตเป็นอมตะเช่นนั้นจะไร้ทุกข์ไร้กังวลได้จริงๆ หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนคนหนึ่งฝึกตนอย่างสงบแล้วบนเส้นทางการขึ้นเขาจะไม่มีหายนะจริงๆ เสียหน่อย เพราะก็อาจจะต้องตัวตายและมรรคาดับสลายได้เหมือนกัน มีหน้าด่านมากมายกั้นขวาง คอขวดยากจะฝ่าทะลุ คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจทัศนียภาพบนภูเขาได้ ต่อให้จะงดงามตระการตาแค่ไหน แต่รอจนได้เห็นมาหลายสิบปีหลายร้อยปี จะไม่รู้สึกเบื่อเลยจริงๆ หรือ?

จิตใจสุยจิ่งเฉิงวุ่นวายหงุดหงิดเล็กน้อย

เฉินผิงอันหยุดเดิน ก้มลงหยิบหินสองสามก้อนขึ้นมาแล้วโยนลงในลำคลอง

สุยจิ่งเฉิงหันหน้าเข้าหาผืนน้ำ ลมแรงพัดให้ผ้าโปร่งของหมวกคลุมหน้าแนบติดใบหน้าของนาง ชุดกระโปรงก็สะบัดพลิ้วไปรวมกันในแถบหนึ่ง

เส้นทางริมน้ำสายนี้มีคนเดินกันไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่เดินทางสัญจรผ่านท่าเรือหัวมังกร

มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งขี่ม้าผ่านมา พอเห็นนางเข้าดวงตาก็เป็นประกายวาบ เขาดึงบังเหียนรั้งม้าหยุดกะทันหัน แล้วตบหน้าอกตัวเองอย่างแรงพลางหัวเราะร่าเสียงดังว่า “แม่นางคนนี้ ไม่สู้ติดตามนายท่านใหญ่อย่างข้าไปลิ้มรสเผ็ดร้อนดีกว่า! เจ้าหนุ่ม หน้าขาวข้างกายเจ้าผู้นี้ มองดูแล้วน่าจะไม่ได้ความสักเท่าไร”

สุยจิ่งเฉิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ชายฉกรรจ์ทะยานตัวขึ้นแล้วพลิ้วกายลงข้างกายสุยจิ่งเฉิง มือหนึ่งตวัดลงมาในแนวเฉียงหมายตบสะโพกกลมมนของนาง

ไม่รอให้เขาทำสำเร็จ นาทีถัดมาชายฉกรรจ์ก็ร่วงตกลงไปในลำคลอง

เป็นเพราะถูกเฉินผิงอันจับหัวแล้วผลักออกไปเบาๆ ร่างของเขาก็ลอยกระแทกลงไปในลำคลองอย่างแรง

หินก้อนนี้ทำให้ลูกน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรีบตะกายน้ำว่ายขึ้นไปยังแม่น้ำตอนบน ปากก็ร้องโหยหวน จากนั้นก็เป่าปากหนึ่งครั้ง ม้าตัวนั้นก็เริ่มขยับกีบเท้าควบตะบึงไปด้านหน้า ไม่มี ท่าทีว่าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาให้เจ้านายแม้แต่น้อย

สุยจิ่งเฉิงตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง “เป็นพวกนักฆ่าที่มาลอบหยั่งเชิงอีกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ก็แค่พวกอันธพาลในยุทธภพที่ควบคุมตัวเอง ไม่อยู่เท่านั้น”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ผู้อาวุโส นี่ขนาดเดินอยู่บนทางก็ยังต้องเจอกับอันธพาลเช่นนี้ หากขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนไปจริงๆ บนนั้นล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนหากพวกเขาเกิดใจคิดร้าย แล้วผู้อาวุโสก็ไม่ได้เดินทางไปกับข้าด้วย ข้าควรจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้เคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเมื่อไปถึงท่าเรือหัวมังกร ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง”

สายตาของสุยจิ่งเฉิงฉายแววไม่ใคร่จะพอใจนัก “แต่บนเส้นทางของการฝึกตน มีเรื่องไม่คาดคิดอยู่มากมายถึงเพียงนั้น”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรให้มากความอีก เพียงแค่เดินทางต่ออีกครั้ง

สุยจิ่งเฉิงเดินตามเขามา คนทั้งสองเดินเคียงกันไป นางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้คงไม่ต่างจากท่าเรือข้ามฟากทั่วไปของพวกเรากระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ต่างกันเท่าไร ยามที่เจอกับพายุลมกรดบนท้องฟ้า ก็เหมือนเรือปกติที่จะโยกคลอนไปตามกระแสคลื่น แต่ปัญหากลับไม่มาก ต่อให้ เจอกับฝนตกฟ้าร้อง เรือข้ามฟากก็ยังผ่านมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าก็ถือเสียว่า ได้ชมทัศนียภาพแบบใหม่แล้วกัน ยามที่เรือข้ามฟากขับเคลื่อนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ทัศนียภาพส่วนใหญ่ล้วนไม่เลว ไม่แน่ว่าอาจจะมีกระเรียนเซียนบินตามมาด้านหลัง เวลาที่ผ่านพรรคตระกูลเซียนบางแห่งก็อาจจะยังได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาอีกไม่น้อย”

สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ ความคิดของสตรีแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง เหมือนการวางหมากอย่างไร้เหตุผลบนกระดานหมากล้อมจริงๆ แล้วจะเอาชนะได้อย่างไร?

แต่หากเจอกับสตรีที่ต้องใจจริงๆ จะถูกหรือผิด จะแพ้หรือชนะ ก็ดูเหมือนว่า จะไม่สำคัญอีกแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “จิตดั้งเดิมบนมหามรรคาก็เหมือนหยกดิบที่ต้องผ่าน การกลึงเกลาแกะสลัก ทุกครั้งที่ลงมีด แน่นอนว่าต้องรู้สึกเจ็บปวด แต่ขอแค่ข้ามผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในแต่ละครั้งไปได้ นั่นก็คือคำว่าประสบความสำเร็จ บนเส้นทางการฝึกตน นี่สำคัญพอๆ กับการค่อยๆ ฝึกวิชาตระกูลเซียนไปตามลำดับขั้นตอนของเจ้าในอนาคต ไม่อย่างนั้นหากเดินขากะเผลกไปบนทางก็ง่ายที่จะพลัด ตกลงมาจากภูเขา เรื่องราวบนโลกให้ความสำคัญที่พละกำลังไม่ใช่เหตุผล คนบนโลกฝึกพละกำลังไม่ฝึกฝนจิตใจ คนมากมายสามารถมีชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ เมื่อรักษาความสมดุลกับวิถีทางโลกได้ก็สามารถทำให้คนอยู่เฉยอย่างสงบเยือกเย็น ความผิดความถูกในนั้น ตัวเจ้าเองจงมองให้มากและคิดให้มาก บนร่างของคนดีย่อมมีนิสัยแย่ๆ บนร่างของคนชั่วก็ต้องมีเหตุผลดีๆ ขอแค่จดจำข้อนี้เอาไว้ได้ นั่นคือถามจิตดั้งเดิม ของตนให้บ่อยๆ หลักการเหตุผลคร่าวๆ เช่นนี้ ข้าเองก็เรียนรู้มาจากร่างของคน คนหนึ่งที่อยากฆ่าคนเพื่อความสะใจเช่นกัน”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาชี้ไปยังสองทิศทางของถนนด้านหน้า “ความแปลกประหลาดของวิถีทางโลกนั้นอยู่ที่ตรงนี้ เจ้าและข้าพบเจอกัน เส้นทางแห่งการฝึกตนที่ข้าชี้ให้เจ้าเห็นอาจจะแตกต่างไปจากการชี้แนะของใครก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นหากเปลี่ยนไปเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัวที่ในอดีตได้มอบโชควาสนาสามอย่างให้เจ้า หากยอดฝีมือผู้นี้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้เจ้าด้วยตัวเอง”

“สุดท้ายแล้วจะต้องกลายเป็นสุยจิ่งเฉิงสองคน ยิ่งทางเลือกมากเท่าไร สุยจิ่งเฉิง ก็ยิ่งมากเท่านั้น”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและอีกทิศทางที่ต่างกัน “ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข้าที่เป็นคนนอกก็ดี หรือเจ้าสุยจิ่งเฉิงเองก็ช่าง อันที่จริงไม่มีใครรู้ได้ว่าสุยจิ่งเฉิง สองคนนั้น ใครที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานยิ่งกว่า แต่เจ้า รู้หรือไม่ว่าจิตดั้งเดิมคืออะไร? เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถรู้ได้ในทุกๆ ช่วงเวลา”

เฉินผิงอันเดินเลียบทางเส้นหนึ่งในนั้นออกไปได้สิบกว่าก้าวแล้วก็หยุดเดิน ก่อนชี้ไปยังเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง “ตลอดทางที่เดินมานี้ แล้วก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะผจญความทุกข์ยากหรือได้เสพสุข ฝีเท้าของเจ้ากลับหนักแน่นมั่นคงตลอดเวลา จากนั้นเมื่อไปเจอกับด่านด่านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว เจ้าจะต้องเกิดคลางแคลงใจในตัวเอง อย่างแน่นอน จะต้องกวาดตามองไปรอบด้าน มองความเป็นไปได้อื่นๆ ในชีวิตที่เคยถูกตัวเจ้าเองละทิ้งไป หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว คำตอบที่ได้ในเวลานั้น ก็คือจิตดั้งเดิม หลังจากนี้ควรจะเดินอย่างไร ก็คือการถามใจตัวเอง”

“แต่ข้าจะบอกกับเจ้าว่า เมื่อถึงช่วงเวลานั้น มันจะกลายเป็นความสับสนอย่างหนึ่ง และพวกเราก็จะทำเรื่องเรื่องหนึ่งตามจิตใต้สำนึก นั่นคืออยากจะใช้หลักการเหตุผลที่ตัวเองถนัดที่สุดมาพูดโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อถือ นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก เพราะขอแค่คนคนหนึ่งยังไม่ตาย สามารถอดทนจนเดินไปอยู่ตำแหน่งใดก็ตาม ในชีวิตได้ คนทุกคนก็ล้วนต้องมีจุดที่น่าชื่นชม ความยากนั้นอยู่ตรงที่ว่า จิตดั้งเดิม ไม่เปลี่ยน หลักการเหตุผลเปลี่ยน”

สุยจิ่งเฉิงถามอย่างขลาดกลัว “หากจิตดั้งเดิมของคนคนหนึ่งมุ่งเข้าหาความชั่วร้าย แล้วยังยืนหยัดเช่นนี้ นั่นก็จะไม่ยิ่งทำให้วิถีทางโลกเปลี่ยนมาเป็นย่ำแย่หรอกหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่คนประเภทนี้ดึงข้อผิดพลาดมาใช้เป็นบทเรียน นั่นก็จะ ไม่ยิ่งเลวร้ายหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ข้าจึงพูดกับแค่ตัวเองและ คนข้างกายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดกับคนทั่วไป และยังมีคนบางคนที่แค่ใช้หมัด กับกระบี่ก็พอแล้ว หากยังไม่พอสำหรับคนพวกนี้ นั่นก็คงจะเป็นเพราะหมัดไม่แข็งพอ ออกกระบี่ได้ไม่เร็วพอ”

ส่วนเรื่องที่มากกว่านั้น เฉินผิงอันไม่ยินดีจะพูดให้มากความ

เพราะสุยจิ่งเฉิงมีจิตใจที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังฉลาด หากพูดมากไปกลับกลายจะทำให้นางสับสน นอกเหนือจากจิตใจดั้งเดิมของตนแล้ว หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ช่วงเวลานั้นถูกต้องมากที่สุด กลับจะต้องถูกหลักการเหตุผลถัดไปบนเส้นทางของชีวิตกลบทับ

สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไร้คำตอบโต้

เงียบงันกันไปนาน คนทั้งสองเดินกันไปช้าๆ สุยจิ่งเฉิงถามว่า “จะทำอย่างไรดี?”

เฉินผิงอันมีสีหน้าเฉยเมย “นั่นเป็นปัญหาที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อและ อริยะปราชญ์ของร้อยสำนักต้องใคร่ครวญ”

“หลักการเหตุผลมากมายขนาดนั้นของสามลัทธิเมธีร้อยสำนัก เหมือนฝนที่ ตกกระหน่ำลงสู่โลกมนุษย์ ช่วงเวลาแตกต่างสถานที่แตกต่าง อาจจะเป็นฝนรสหวานที่พรมลงบนพื้นดินที่แห้งแล้งมานาน แต่ก็อาจกลายเป็นอุทกภัยหายนะก็ได้”

“สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้มีเพียงทำจิตใจให้เป็นดั่งบุปผาพืชพรรณที่หันหน้า เข้าหาแสงตะวันอยู่ทุกเวลาทุกสถานที่”

มีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินผ่านคนทั้งสองไปพอดี เขาหยุดเดิน หันหน้ากลับมายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านพูดเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าถูก แต่กลับไม่ถือว่า ถูกที่สุด”

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้าไปยิ้มให้อีกฝ่าย “จะอธิบายอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ นางรีบขยับไปยืนหลบด้านหลังเฉินผิงอัน

คนหนุ่มผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่ามกลางตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้านก็มีเหตุผลหลักการใหญ่ๆ อยู่มากมายหลากหลาย ขอแค่คนธรรมดาปฏิบัติตามหลักการ เหตุผลนั้นไปตลอดชีวิต ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ว่าเจออริยะปราชญ์ เจอเทพเซียน หรือเจอองค์พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องก้มหัวอย่างแท้จริง”

เฉินผิงอันถาม “หากหนึ่งหมัดต่อยยลงไป หน้าเขียวจมูกบวม หลักการเหตุผล ยังอยู่หรือไม่? ยังมีประโยชน์หรือไม่? หมัดใหญ่เหตุผลก็ใหญ่ นี่ไม่ใช่หลักการ ที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากที่สุดหรอกหรือ?”

คนหนุ่มยิ้มกล่าว “หลักการเหตุผลไม่ได้แค่เอามากินแทนข้าวได้อย่างเดียวเสียหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาป้องกันหมัดได้ แน่นอนว่าความทุกข์ยากมากมายในโลกมนุษย์เป็นของจริง แต่คนที่มีชีวิตอย่างสงบสุขบนโลกใบนี้เคยน้อยลงด้วยหรือ? เหตุใด คนมากมายที่หมัดไม่ใหญ่ถึงยังอยู่อย่างสุขสบายได้? เหตุใดผู้ฝึกตนมากมายบนภูเขา ที่แสวงหาความอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์ ราชวงศ์โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา โดยภาพรวมแล้วถึงยังพอจะมีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงได้?”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นหมัดใหญ่ ไม่ต้องใช้เหตุผล แต่ก็ยังมีผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนคอยติดตามดั่งเงาล่ะ จะอธิบายอย่างไร? หากปฏิเสธเหตุผลข้อนี้ว่าไม่ใช่เหตุผล ถ้าอย่างนั้นหลักการเหตุผลก็ต้องอยู่แค่ในมือของผู้แข็งแกร่งจำนวน น้อยนิดไปตลอดกาลอย่างนั้นน่ะหรือ?”

คนหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “นั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ทั้งๆ ที่ในใจท่าน มีคำตอบ เหตุใดยังต้องมีคำถามเช่นนี้?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

คนหนุ่มเอ่ยว่า “ข้าน้อยฉีจิ่งหลง แต่ในบันทึกทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักคือหลิวจิ่งหลง นี่เกี่ยวพันกับเรื่องชาติกำเนิด คงไม่ขออธิบายให้ท่านฟังแล้ว”

สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ

เพราะนางไม่เคยได้ยินชื่อ ‘หลิวจิ่งหลง’ นี้มาก่อนเลย

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปคุยไป?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มพลางเดินตามคนทั้งสองมา สาวเท้าเลียบลำคลองไปเบื้องหน้าอีกครั้ง

เฉินผิงอันกล่าว “คำบอกที่ว่าภาพลักษณ์ภายนอกนั่น หวังว่าท่านฉี…ท่านหลิว จะช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้า ต่อให้ในใจข้าจะมีคำตอบอยู่นานแล้ว ก็ยังหวังว่าคำตอบของท่านหลิวจะสามารถเอามายืนยันเป็นหลักฐานให้แก่กันได้”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แทนที่จะพูดว่าหมัดคือเหตุผล ไม่สู้พูดว่ามันคือ ความแตกต่างของก่อนและหลังของทฤษฎีลำดับขั้นตอนจะดีกว่า หมัดใหญ่ เป็นได้แค่อย่างหลัง อย่างแรกนั้นยังซุกซ่อนความจริงที่สำคัญเอาไว้”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง แต่กลับไม่เอ่ยอะไร

ฉีจิ่งหลงพูดต่อไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สิ่งที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็คือ…กฎเกณฑ์ กฎระเบียบ เราต้องรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ฮ่องเต้ ใช่ผู้แข็งแกร่งหรือไม่? แต่เหตุใดทุกหนแห่งในใต้หล้าถึงได้มีเรื่องที่โชคชะตาแคว้น ขาดสะบั้น แผ่นดินพินาศวอดวายเกิดขึ้น? เหตุใดเหล่าขุนนางแม่ทัพอัครเสนาบดี บางคนถึงมีจุดจบที่ดี แต่บางคนกลับมีจุดจบที่ไม่ดี? เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของจวนตระกูลเซียน ลูกหลานชนชั้นสูงบนโลก ลูกหลานคนร่ำรวย ใช่ผู้แข็งแกร่งหรือไม่? หากเจ้าลากเส้นเส้นหนึ่งยาวออกไป แล้วลองมองดูฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของแต่ละยุคแต่ละสมัย คนที่ก่อสำนักตั้งพรรคให้กับพวกเขา บุคคลแรกในทำเนียบศาลบรรพชน คนเหล่านี้สามารถก่อร่างสร้างกิจการบ้านเรือนขึ้นมาได้อย่างไร เพราะบุคคลเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง พวกเขาก็แค่ลุกผงาดขึ้นมาเพราะกฎเกณฑ์และสถานการณ์ใหญ่เท่านั้น จากนั้นก็ล่มสลายไปเพราะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ประหนึ่งดอกราตรีที่บานเพียงชั่วค่ำคืน ไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน เหมือนผู้ฝึกตน ที่ไม่อาจเป็นอมตะ”

จากนั้นฉีจิ่งหลงก็พูดจ้อถึงความเห็นของตนให้คนนอกสองคนที่เพิ่งพบเจอกันฟัง

ข้อแรก เมื่อเข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริงแล้ว รู้ถึงความแข็งแกร่งและความซับซ้อนของกฎเกณฑ์มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น รวมไปถึงต้องรู้…ช่องโหว่ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้กรอบและเส้นทั้งหลาย

ข้อสอง เคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ หรือควรจะพูดว่าคล้อยตามกฎเกณฑ์

ยกตัวอย่างเช่นขุนนางผู้ภักดีที่โง่เขลา แม่ทัพบู๊ที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะแบ่งแยกดินแดน

ข้อที่สาม กฎเกณฑ์ที่ตัวเองเป็นผู้ตั้ง แน่นอนว่าก็สามารถละเมิดได้

ข้อสี่ รักษากฎเกณฑ์

พ่อค้าหาบเร่ จักรพรรดิ แม่ทัพ ขุนนาง ผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขา เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ภูตผีปีศาจ อย่าให้มีข้อยกเว้น

ระหว่างนี้กฎเกณฑ์ที่แท้จริงก็จะปกป้องผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน แน่นอนว่ากฎเกณฑ์นี้ซับซ้อนอย่างมาก เป็นสิ่งที่ทั้งบนและล่างภูเขา ยุทธภพและราชสำนัก หมู่ชาวบ้านร้านตลาดช่วยกันสร้างขึ้นมา

นี่จึงเป็นเหตุให้จักพรรดิต้องใช้คำว่า ‘น้ำทำให้เรือลอยได้ก็ทำให้เรือล่มได้’ มาทบทวนตัวเอง ผู้ฝึกตนบนภูเขาต้องกลัวคำว่าหนึ่งในหมื่น ผู้ฝึกยุทธที่ยึดครองตำแหน่งกังวลว่าจะได้ตำแหน่งมาอย่างไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คนใน ยุทธภพต้องคอยแสวงหาชื่อเสียงที่ดีงามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พ่อค้าต้องไขว่ขว้าหากรอบป้ายอักษรทองคำ ดังนั้นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดจึงต้องผสานมรรคา ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินต้องแสวงหาความจริง ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานต้องทำให้ มหามรรคาแห่งฟ้าดินพยักหน้ายอมรับ ต้องให้อริยะของสามลัทธิไม่รู้สึกว่าไปขัดแย้งกลบทับมหามรรคาของสามลัทธิพวกเขา และยินดีช่วยเปิดเส้นทางให้พวกเขาได้ เดินขึ้นสู่ที่สูงต่อจากใจจริง

สุยจิ่งเฉิงฟังด้วยความมึนงงสับสน ไม่กล้าเปิดปากส่งเดช นางกำไม้เท้าเดินป่าแน่น ในฝ่ามือมีแต่เม็ดเหงื่อ

นางทำได้แค่แอบเหลือบมองผู้อาวุโสสวมงอบใส่ชุดเขียวที่อยู่ข้างกาย สีหน้าของเขายังคงเป็นธรรมชาติอยู่เหมือนเดิม

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกี่ยวกับเป้าประสงค์ของสามลัทธิ ท่านหลิวมีความเข้าใจอย่างไร?”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “บางอย่างก็ยังตื้นเขินอยู่มาก ลัทธิพุทธไม่ยึดติดสิ่งใด ต้องการให้ทุกคนวางมีดในมือลง แล้วเหตุใดถึงมีการแบ่งแยกเถรวาทกับมหายาน? ในช่วงเวลา ที่วิถีทางโลกไม่ค่อยดี การข้ามผ่านตัวเองอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ ต้องข้ามผ่าน คนอื่นด้วย ลัทธิเต๋าแสวงหาความสงบสุข หากคนบนโลกมนุษย์สามารถสงบสะอาด ไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ แน่นอนว่าโลกต้องสงบสุข ทุกผู้ทุกคนไร้ทุกข์ ไร้กังวลได้นานเป็นพันเป็นหมื่นปี น่าเสียดายที่มรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าสูงส่งเกินไป ดีนั้นก็ดีจริงอยู่ แต่น่าเสียดายที่สติปัญญาของผู้คนเปิดออก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด คนฉลาดกระทำเรื่องที่ฉลาดมีมากขึ้นทุกที มรรคกถาย่อมต้องว่างเปล่า ลัทธิพุทธยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดจนแทบจะกลบทับห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ น่าเสียดายที่ภิกษุ ผู้ถ่ายทอดพระธรรมไม่ได้เข้าใจหลักพระธรรมอย่างเที่ยงแท้ทุกคนเสมอไป ในสายตาของมรรคาจารย์เต๋าไร้คนนอก ต่อให้หมาและไก่ได้บินขึ้นสรรค์ไปด้วย แต่จะพาไปได้มากน้อยแค่ไหน? มีเพียงลัทธิขงจื๊อเท่านั้นที่ยากลำบากมากที่สุด หลักการเหตุผลในตำราสลับซับซ้อน แม้จะบอกว่าโดยภาพรวมแล้วเป็นเหมือนร่มเย็นของต้นไม้ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่สามารถทำให้คนร่มเย็นได้ก็จริง แต่หากเงยหน้ามองไปจริงๆ กลับดูเหมือนว่าทุกที่ล้วนมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ง่ายที่จะทำให้คนร่วงตกลงไปยัง เมฆหมอก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถามว่า “หากข้าจำไม่ผิด ท่านหลิวไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางของการฝึกตน ท่านแสวงหาคำว่า ‘หมื่นอาคมบนโลก มิอาจพันธนาการข้า’ หรือว่า ‘ทำตามใจปรารถนาได้โดยที่ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “อย่างแรกยากที่จะแสวงหาสาเหตุ และตัวข้าเองก็ไม่ค่อย จะเต็มใจสักเท่าไร ดังนั้นจึงเป็นอย่างหลัง ก่อนหน้านี้ท่านเอ่ยคำว่า ‘จิตดั้งเดิม ไม่เปลี่ยน หลักการเหตุผลแปรเปลี่ยน’ ประโยคนี้ลึกกินใจของข้า คนเราล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง วิถีทางโลกก็กำลังเปลี่ยนแปลง แม้แต่ประโยคโบร่ำโบราณที่พวกเราเอ่ยว่า ‘ไม่สะทกสะท้านดุจขุนเขา’ แต่อันที่จริงขุนเขาก็กำลังแปรเปลี่ยน ดังนั้นประโยคนี้ของท่านที่บอกว่าทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎ จึงเป็นขอบเขตที่อริยะสมควรมีซึ่งลัทธิขงจื๊อเชิดชูมาโดยตลอด น่าเสียดายที่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นั่นก็ยังเป็นความอิสระที่มีขอบเขตอย่างหนึ่ง หันกลับมามองผู้ฝึกตนมากมายบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ใกล้กับยอดเขาก็ยิ่งพยายามแสวงหาความอิสระ อย่างสมบูรณ์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ว่าข้ารู้สึกว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นคนเลว ไม่มีคำพูดที่ง่ายดายขนาดนี้ ในความเป็นจริงแล้วคนที่สามารถมีอิสระได้อย่างสมบูรณ์อย่างแท้จริงก็ล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ทั้งนั้น”

ฉีจิ้งหลงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้แข็งแกร่งที่ได้เสวยสุขกับอิสระอย่างเต็มที่พวกนี้ ทุกคนล้วนมีจิตใจที่หนักแน่นอย่างถึงที่สุด มีตบะที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด โดยไม่มีข้อยกเว้น หรือควรจะพูดว่าทั้งด้านการฝึกจิตใจและพละกำลังล้วนถึงขีดสุดทั้งสิ้น”

หลังจากได้รับคำตอบ เฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่งที่ตอนนั้นเขาไม่สามารถถามมันได้จากสุยจิ่งเฉิง “หากจะบอกว่าวิถีทางโลกคือโต๊ะเก้าอี้ที่โยกคลอนหละหลวมตัวหนึ่ง ผู้ฝึกตนไม่ได้อยู่ในขอบเขตของโต๊ะและเก้าอี้นั้นแล้ว ควรจะทำอย่างไร?”

ฉีจิ่งหลงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ประคับประคองมันไปก่อน หากมีใจแล้วก็มีกำลัง ถ้าอย่างนั้นก็สามารถค่อยๆ เอาตะปูตัวสองตัวตอกลงไปอย่างระมัดระวัง หรือไม่ก็ นั่งลงด้านข้างแล้วซ่อมแซมมัน”

อารมณ์ของฉีจิ่งหลงพลันบังเกิด เขามองไปยังผืนน้ำที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหล ลงสู่มหาสมุทรแล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เป็นอมตะไม่ต้องตาย อันที่จริงเป็นเรื่อง ที่ร้ายกาจมากเรื่องหนึ่ง แต่มันจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งจริงๆ หรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

ไม่ใช่ว่าต้องเป็นแค่คนดีที่ถึงจะใช้เหตุผลได้

อันที่จริงคนเลวก็ทำได้เหมือนกัน หรืออาจถึงขั้นเชี่ยวชาญกว่าด้วยซ้ำ

เพื่อหลีกเลี่ยงศึกและให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอด เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นถึงได้บังคับทะเลเมฆ วางท่าว่าจะปล่อยให้น้ำท่วมกลบทับอาณาเขต

เฉินผิงอันที่กังวลว่าจะเดือดร้อนผู้บริสุทธิ์จึงได้แต่หยุดมือ

นี่ก็คือเหตุผลของเจ้าแห่งทะเลสาบ เฉินผิงอันจำเป็นต้องฟัง

ตอนที่สุยจิ่งเฉิงอยู่ท่ามกลางคลื่นมรสุมของศาลา นางเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะติดตามพวกเขามา หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์อับจน เขาจะลงมือช่วยเหลือ

นี่ก็คือเหตุผลที่สุยจิ่งเฉิงกำลังอธิบาย

เฉินผิงอันก็กำลังฟังอยู่เช่นกัน

ในศาลา รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่และหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นคือคนสองคนที่สถานะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าต่างก็เอ่ยถ้อยคำที่ความหมายคร่าวๆ เหมือนกันออกมาตามจิตใต้สำนึก

สุยซินอวี่เอ่ยว่า ‘ที่นี่คืออาณาเขตของแคว้นอู่หลิง’ เป็นการเตือนพวกโจรในยุทธภพกลุ่มนั้นว่าอย่าได้ก่อเรื่อง นี่ก็คือการคาดหวังการปกป้องอย่างที่มองไม่เห็นจากกฎเกณฑ์

และกฎเกณ์ที่ว่านี้ได้ซ่อนแฝงบารมีอำนาจ คุณธรรมในยุทธภพของฮ่องเต้ และราชสำนักแคว้นอู่หลิงเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังยืมใช้หมัดของหวังตุ้น บุคคลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอู่หลิงโดยที่มองไม่เห็นอีกด้วย

ในอาณาเขตของแคว้นจินเฟย เหตุการณ์ก่อนและหลังในเมืองเล็กบนยอดเขาภูเขาเจิงหรง เฉินผิงอันเลือกที่จะนิ่งดูดายสองครั้ง ไม่ได้สอดมือเข้าแทรก เซียนกระบี่คนหนึ่งก็มองเขาอยู่เงียบๆ เท่ากับว่าเป็นการยอมรับเหตุผลของเขาเฉินผิงอัน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีชีวิตรอดมาสองครั้ง

ตอนที่อยู่ในเมืองสุยเจี้ยก่อนหน้านี้ องค์เทพร่างทองในศาลเทพอัคคีท่านหนึ่งที่ทั้งๆ ก็รู้ดีว่าไร้ความหมายใดๆ แต่ก็ยังเลือกที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่าง กล้าหาญเพื่อช่วยเหลือเฉินผิงอัน เพราะสิ่งที่เฉินผิงอันทำ เทพอัคคีรู้สึกว่าเหตุผล มีกฎเกณฑ์

หมัดของตู้เม่าแห่งใบถงทวีปใหญ่หรือไม่? แต่เมื่อเขาคิดจะออกไปจากใบถงทวีป เขาเองก็จำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์เหมือนกัน หรือควรจะพูดว่าต้องมุดลอดช่องว่างของกฎเกณฑ์ถึงจะเดินทางมาถึงแจกันสมบัติทวีปได้

หมัดของหูซินเหวยคนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงเล็กหรือไม่? แต่ก่อนที่จะต้องตาย เขาเองก็เลือกจะใช้กฎเกณฑ์ที่ว่าตนเองทำผิดไม่เดือดร้อนคนในครอบครัว เหตุใด ถึงพูดเช่นนี้? นั่นก็เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ที่จริงแท้แน่นอนของแคว้นอู่หลิง ในเมื่อ หูซินเหวยพูดอย่างนี้ นั่นก็แสดงว่ากฎเกณฑ์นี้มีการใช้กันมาปีแล้วปีเล่า ใช้ปกป้องสตรี เด็กและคนชราจำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพ คนใหม่ในยุทธภพที่ฉายประกาย คมกริบทุกคน เหตุใดถึงต้องประสบพบเจอแต่อุปสรรค ต่อให้สุดท้ายจะเข่นฆ่าจนเปิดเส้นทางเลือดให้กับตัวเองได้เส้นหนึ่ง แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากกว่าไม่ใช่หรือ? เพราะว่านี่เป็นการตอบแทนอย่างเงียบเชียบที่กฎเกณฑ์มีต่อหมัดของพวกเขา และพวกคนในยุทธภพที่โชคดีจนได้เดินขึ้นบนยอดเขาเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องกลายไปเป็นคนแก่ที่ถูกปกป้อง กลายมาเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่เฝ้าปกป้องกฎเกณฑ์โดยอัตโนมัติ

ด้านหน้ามีศาลาชมทิวทัศน์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมตลิ่ง

เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดกล่าวว่า “ท่านหลิวช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้าแล้ว”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็ต้องขอบคุณท่านเฉินด้วยที่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า แววตาใสกระจ่าง พูดอย่างจริงใจว่า “เรื่องราวหลายอย่าง ข้าคิดได้ แต่ก็พูดได้ไม่กระจ่างแจ้งเท่าท่านหลิว”

ฉีจิ่งหลงโบกมือ “จะคิดอย่างไร กับทำอย่างไร ยังคงเป็นเรื่องสองเรื่อง”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “เลี้ยงเหล้าท่านได้ไหม?”

ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ข้าไม่เคยดื่มเหล้า”

เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้น่าสนใจยิ่งกว่าการที่คนทั้งสองพูดคุยกัน ด้วยถ้อยคำที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ แล้วก็ต่ำลงมาในดินโคลนเสียอีก

เฉินผิงอันรั้งแขนคนผู้นั้นเอาไว้ “ไม่เป็นไร ขอแค่ได้ลองดื่มเหล้าสักครั้ง วันหน้าฟ้าดินก็ไร้พันธนาการแล้ว”

ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ช่างเถิดๆ หากไม่ได้จริงๆ ท่านเฉินดื่มเหล้า ส่วนข้าก็ดื่มชาแทน”

คนทั้งสามมาถึงศาลาริมน้ำที่ใช้ก้อนหินล้อมทับ วางโครงสร้างอยู่บนลำคลองสายใหญ่

คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามกัน สายลมจากผิวน้ำพัดโชยมา เป็นระลอก สุยจิ่งเฉิงถือไม้เท้าเดินป่ายืนอยู่นอกศาลา ไม่ได้เข้าไปข้างในด้วย

ฉีจิ่งหลงอธิบายว่า “ข้ามีสหายคนหนึ่งชื่อว่าลู่จัว เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว เขาส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ข้า บอกว่าข้าอาจจะคุยกับท่าน ได้รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นข้าก็เลยลองมาเสี่ยงดวงที่นี่”

เฉินผิงอันปลดงอบวางไว้ด้านข้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านกับนักพรตหญิงคนนั้นเปิดศึกกันบนยอดเขาตี่ลี่ เหตุใดถึงตีกันได้? ข้านึกว่าพวกท่านสองคนจะถูกชะตากันเสียอีก ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าเกิดศึกตัดสินเป็นตายเช่นนี้”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ก็แค่เข้าใจผิดกันเท่านั้น นางเจอกับผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่ลงเขาไปทำเรื่องชั่ว นึกอยากจะสังหารให้สิ้นซาก ข้ารู้สึกว่ามีบางคนที่ความผิดไม่ถึง โทษตาย ก็เลยขัดขวางไว้ จากนั้นก็เลยมีการนัดรบกันบนภูเขาตี่ลี่ อันที่จริงก็แค่ เรื่องเล็ก เพียงแต่ว่าต่อให้เรื่องเล็กจะเล็กแค่ไหน ระหว่างข้ากับนาง ต่างก็ไม่มีใครยินดีถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ก็เลยเริ่มเกิดเค้าโครงของการช่วงชิงบนมหามรรคาขึ้นมา ซะอย่างนั้น เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”

ฉีจิ่งหลงถาม “ทำไม นางคือเพื่อนของท่านงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยไปฝึกประสบการณ์ด้วยกันในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง”

ฉีจิ่งหลงพูดหยอกล้อ “ท่านคงไม่คิดจะซ้อมข้าเพื่อระบายความแค้นให้กับสหายหรอกนะ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใครบอกว่าเพื่อนจะต้องทำเรื่องที่ถูกต้อง ตลอดชีวิตด้วยเล่า”

ต่อให้จะเป็นผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาที่เขาเคารพอย่างถึงที่สุด ปีนั้นตอนที่อยู่ในวัดร้าง ก็ยังใช้ประโยคที่ว่า ‘สังหารภูตผีบนภูเขาร้อยตน อย่างมากสุดก็แค่ไม่เป็นธรรมสำหรับคนคนหนึ่ง หากขนาดนี้แล้วยังไม่ออกกระบี่ หรือจะให้ทิ้งหายนะเอาไว้’ เป็นเหตุผล เพราะคิดจะสังหารปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นด้วยหนึ่งกระบี่ไม่ใช่หรือ?

ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ได้ลงมือขัดขวาง ทั้งยังขวางหนึ่งกระบี่ของผู้อาวุโสซ่งเอาไว้ได้

ส่วนกู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลักการเหตุผลหลายอย่างจะทำให้จิตใจคนสงบสุข แต่ก็มีหลักการเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้คนต้องแบกรับภาระเดินโซซัดโซเซ

โชคดีที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไม่ได้อยู่ด้วย ทว่าคำสอนทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่ากลับอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวมากมายซับซ้อน แต่มีก่อนหลัง เล็กใหญ่และดีเลว ในใจเฉินผิงอันมีไม้บรรทัดที่สามารถวัดได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยัง เดินชนโน่นชนนี่ โซซัดโซเซมุ่งหน้าไปอยู่ดี

นอกศาลาริมน้ำมีเค้าลางว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง ไอหมอกขมุกขมัวบนผิวน้ำลอยอวลขึ้นเป็นแถบๆ

ฉีจิ่งหลงบอกว่าไม่ดื่มเหล้าดื่มแต่ชา แต่นี่เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เพราะเขาไม่เคยมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ลงมาจากภูเขาจะมีเพียงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ติดตามมาด้วยเท่านั้น

เฉินผิงอันเห็นว่าเขาไม่ยินดีดื่มเหล้าก็รู้สึกว่าความสามารถในการโน้มน้าวให้ คนอื่นดื่มของตนยังดีไม่พอ จึงไม่ได้บังคับฝืนใจผู้อื่นให้แหกกฎของตัวเอง

ฉีจิ่งหลงมองไปบนผิวน้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความมืดนำพาฝนปรอย เมฆทะมึนรวมตัวหนายากแยกจาก”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า หันหน้าไปมอง “ฟ้าหลังฝนย่อมปรากฏขึ้นเสมอ”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ แล้วเงยหน้าเอ่ยว่า “กลัวก็แต่ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้วน่ะสิ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ศาลาเล็กๆ ก็มีอยู่สองคน ไม่แน่ว่าบวกกับข้างนอกศาลา ก็เป็นสามคน แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะยังต้องกลัวอะไร”

สุยจิ่งเฉิงนั่งตัวตรงอย่างสำรวม มือสองข้างวางไว้บนหัวเข่าเบาๆ เวลานี้ดวงตาของเขากระจ่างใส ยื่นมือออกมา “เอาเหล้ามา!”

เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งไปให้ นั่งขัดสมาธิ ยิ้มสดใสเอ่ยว่า “เหล้ากานี้ถือเป็นการอวยพรล่วงหน้าให้แก่การฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนของท่านหลิว ก็แล้วกัน”

“ศึกบนภูเขาตี่ลี่กับนาง ข้าได้รับผลประโยชน์มหาศาล พอจะมีความหวังอยู่บ้างจริงๆ”

ฉีจิ่งหลงเองก็นั่งขัดสมาธิเลียนแบบคนผู้นั้น เขาจิบเหล้าหนึ่งคำแล้วขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ดื่มเหล้าเป็นเรื่องที่ถูกแล้วจริงๆ ด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้ท่านดื่มอีกสักสองสามกาแล้วยังไม่ชอบดื่ม ก็ถือว่าข้าแพ้”

ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า แต่กลับยอมดื่มอีกสองคำเล็กๆ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ปีนี้ท่านหลิวอายุเท่าไร?”

ไม่รู้ว่าเหตุใด พอได้พบกับผู้ฝึกกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้นี้ถึงได้คิดถึงราชครูจ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่ายังมีเด็กน้อยในตรอกเล็กอย่างเฉาฉิงหล่างด้วย

ถึงอย่างไรเฉาฉิงหล่างก็เป็นคนที่ปีนั้นเขาอยากพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวด้วยมากที่สุด

ฉีจิ้งหลงยิ้มกล่าว “หากไปอยู่ในหมู่ชาวบ้านก็เป็นผู้เฒ่าอายุแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว”

สุยจิ่งเฉิงที่อยู่นอกศาลาอึ้งตะลึง ผู้อาวุโสเคยอธิบายขอบเขตคร่าวๆ ของ เทพเซียนบนภูเขาให้นางฟังมาก่อน นี่เขาเป็นครึ่งขอบเขตหยกดิบที่อายุน้อยขนาดนี้เชียวหรือ?!

แปลกแต่ก็ไม่แปลก

เพราะ ‘บัณฑิต’ ที่อยู่ในศาลาคือเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป ผู้ฝึกกระบี่ หลิวจิ่งหลง

คนคนหนึ่งที่เคยทำให้หยางหนิงเจินผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดใน ใต้หล้าเกือบจะต้องสิ้นหวัง

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยชื่นชมว่า “ร้ายกาจๆ”

ฉีจิ่งหลงมีสีหน้าปั้นยาก ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เขาเช็ดปาก ยิ้มกล่าว “เจ้าที่เป็นคนอายุไม่ถึงสามสิบปี พูดแบบนี้คิดจะด่ากันหรือไง?”

สุยจิ่งเฉิงเหมือนกลายไปเป็นปีศาจจิ้งจอกที่พบเจอระหว่างทางตนนั้น นางอึ้งค้างเหมือนถูกฟ้าผ่า ก่อนจะหันหน้าไปมองในศาลา ถามอย่างเหม่อลอยว่า “ผู้อาวุโส บอกว่าตัวเองอายุสามร้อยปีไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ข้าเคยพูดหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงหน้าตึง พูดเสียงหนักว่า “อย่างน้อยก็สองครั้ง!”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “แบบนี้ไม่ค่อยดีแล้ว”

ฉีจิ่งหลงก็ดื่มเหล้าตามไปด้วย มองมือกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วชำเลืองตามองสตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่อยู่ด้านนอก เขาเองก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ค่อยดีแล้วจริงๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!