บทที่ 525 เหตุผลของเฉินผิงอันและฉีจิ่งหลง
บนลำน้ำมีเรือแจวลำหนึ่งเลียบกระแสธาราลงมาเบื้องล่าง ลมพัดเอนเอียงกับ เม็ดฝนโปรยปราย มีผู้เฒ่าชาวประมงสวมงอบและเสื้อกันฝนนั่งอยู่บนหัวเรือ แหงนหน้าดื่มสุรา ด้านหลังมีหญิงนักขับร้องหน้าตางดงามอยู่สองคน พวกนางต่างก็สวมเสื้อตัวบาง ท่วงท่านั่งชดช้อย ในอ้อมอกของสตรีผู้หนึ่งกอดผีผา เสียงดนตรี ทึบอื้ออึงสลับกับแผ่วพลิ้วฟังอึงอล คนหนึ่งถือกรับสีแดง ส่งเสียงร้องอ่อนหวาน คลอไปกับเสียงดนตรี มองดูเหมือนว่ามีเสียงมากมายดังสลับกันฟังจอแจ ทว่าในความวุ่นวายกลับมีระเบียบ ช่วยส่งเสริมกันและกันให้โดดเด่น
นายบ่าวสามคนที่อยู่บนเรือเล็กย่อมต้องเป็นผู้ฝึกตนทุกคน
มีผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งทะยานลมข้ามผ่านผิวน้ำแล้วเรียกอาวุธอาคมชิ้นหนึ่งออกมา ประกายแสงเรืองรองก็ไหลรินเหมือนผ้าแพรต่วนสีขาวที่พุ่งเข้ากระแทก ใส่เรือแจวลำเล็ก ปากก็สบถด่าไปด้วยว่า “หนวกหูจะตายอยู่แล้ว! แสร้งทำเป็น นายท่านใหญ่ที่กำลังดื่มเหล้าอะไรกัน น้ำในลำคลองสายนี้มากพอจะให้เจ้าดื่มจนอิ่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเลยล่ะ!”
ผลคือผู้เฒ่าชาวประมงคนนั้นเพียงแค่ยกมือขึ้นโบกชายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง ผ้าแพรต่วนสีขาวที่พุ่งมาด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามก็ไม่เพียงแต่ไม่สามารถพลิก เรือน้อยให้คว่ำ กลับยังผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อของชาวประมงทั้งหมด มันส่งเสียงร้องอื้ออึงอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ผู้ฝึกลมปราณคนนั้นมีสีหน้าเหมือนคนที่บิดาตาย เขาพลันหยุดลอยตัวนิ่ง เอ่ยอ้อนวอนว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าโปรดคืนกระบี่บินให้ข้าด้วย”
ชาวประมงผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “โขกหัวขอร้องข้าสิ”
ผู้ฝึกลมปราณไม่พูดไม่จาก็พลิ้วกายลงบนพื้นผิวลำคลอง ใช้ลำคลองต่างพื้นดิน โขกหัวดังปังๆ จนสะเก็ดน้ำเป็นกลุ่มๆ แตกกระจาย
เรือลำน้อยเหมือนลูกธนูดอกหนึ่งที่พุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว หลังจากเจ้าลูกสุนัข ที่ตาไร้แววผู้นั้นโขกศีรษะครบสามครั้งแล้ว ชาวประมงเฒ่าถึงได้สะบัดชายแขนเสื้อเอาเม็ดกระบี่สีขาวหิมะเม็ดหนึ่งมากำไว้ในมือ แล้วขว้างไปด้านหลัง
หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่เก็บเม็ดกระบี่แห่งชะตาชีวิตมาแล้วก็พุ่งตัวไปยังตอนบน ของเส้นทางน้ำ หลังออกห่างมาได้ไกลพอสมควรแล้ว เขาก็หัวเราะร่าเสียงดัง “ตาแก่ หากสตรีสองคนนั้นเป็นลูกสาวของเจ้า ข้าก็จะเป็นลูกเขยเจ้าแล้วกัน คนเดียวไม่รังเกียจว่าน้อยไป สองคนก็ไม่รังเกียจว่ามากไป…”
ดรุณีน้อยที่อุ้มผีผาอยู่ในอ้อมอกหัวเราะหยันเสียงเย็น นางพลันดึงสายผีผา แรงดีดทรงพลัง ประหนึ่งสายลมที่พัดพาเม็ดฝนให้พร่างพรม
ผิวน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือลำเล็กระเบิดออกกลายเป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ยักษ์เส้นหนึ่งที่ลามไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้น ผู้ฝึกกระบี่เห็นท่าไม่ดีก็ทะยานลมลอยตัวขึ้นสูง หมายจะออกห่างจากผิวน้ำ คิดไม่ถึงว่าสตรีเรือนกายอ้อนแอ้นที่ถือ กรับไม้แดงไว้ในมือผู้นั้นจะยกมือขึ้นเบาๆ แล้วตบหนึ่งครั้ง ม่านฝนกลางอากาศสูงก็มีกายธรรมของกรับไม้แดงที่ใหญ่ราวขุนเขาร่วงลงมาหนึ่งอัน พุ่งเข้ากระแทกแสกหน้า ผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ตบให้เขาร่วงลงไปในลำคลองอย่างแรง รอจนเรือแจวลำนั้นลอยห่างไปไกลได้หลายสิบลี้แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่น่าสงสารถึงได้ปีนขึ้นฝั่ง นอนหงายแหงนหน้า ขึ้นฟ้า หอบหายใจหนักหน่วง ไม่กล้าพูดจายั่วยุคนสามคนบนเรืออีก
เนื่องจากฝนตกลงมา สุยจิ่งเฉิงจึงเข้ามานั่งในศาลาริมน้ำ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้ปลดหมวกคลุมหน้าลง หันหน้าไปมองภาพผู้เฒ่าชาวประมง ที่ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ผู้นั้น ส่วนการประลองเวทของเทพเซียน ที่เกิดขึ้น หลังจากผ่านมรสุมเป็นตายมาสองครั้ง อันที่จริงจิตใจของสุยจิ่งเฉิงก็ไม่ได้เกิดคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ มากนัก
เฉินผิงอันเพียงแค่ชำเลืองตามองผิวน้ำแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ ถึงอย่างไรนี่ ก็สมกับเป็นอุตรกุรุทวีปอยู่แล้ว หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีปหรือ ใบถงทวีป ผู้ฝึกกระบี่จะไม่มีทางลงมือ ต่อให้ลงมือแล้ว ชาวประมงผู้นั้นก็ไม่มีทาง คืนกระบี่บินให้
แต่ฉีจิ่งหลงกลับจ้องมองอยู่นานไม่ยอมถอนสายตากลับ บางทีอาจกำลังรอคอยให้ฝนหยุดตก จากนั้นก็จะบอกลาจากไป
เฉินผิงอันถาม “ในฐานะที่ท่านหลิวเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับครุ่นคิดเป็นกังวลกับเรื่องทางโลกมากขนาดนี้ จะไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนหรือ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องใช่ นี่ก็คือความต่างระหว่างข้ากับพวกคน ที่อยู่สองอันดับแรก ข้ากับพวกเขามีพรสวรรค์พอๆ กัน แม้จะบอกว่าโชควาสนา ก็มีความต่าง แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังแพ้พวกเขาในเรื่องการดึง ความสนใจไปทำเรื่องอื่นอยู่ดี คนหนึ่งในนั้นยังเคยโน้มน้าวข้า บอกว่าให้คิดถึงเรื่องด้านล่างภูเขาให้น้อยลง ตั้งใจฝึกวิชากระบี่ รอจนเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ค่อยคิดถึงมันก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สิ่งที่ได้มาและเสียไปในวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่ได้มาและเสียไป ในวันพรุ่งนี้”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอให้สมพรปากท่าน”
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านหลิวเป็นกังวลกับเรื่องนอกกายเหล่านี้ เป็นเพราะตัวเองมีความรู้สึกร่วมจึงเกิดความคิดขึ้นมาหรือ?”
ฉีจิ่งหลงผงกศีรษะ “ข้ามีชาติกำเนิดธรรมดา มาจากครอบครัวที่พอมีจะกินใน หมู่ชาวบ้านทั่วไป แต่ชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมาตั้งแต่เด็ก หลังจากขึ้นมาอยู่ บนภูเขาก็ยากที่จะเปลี่ยนความเคยชินนี้ไปได้ บนเส้นทางของการฝึกตนนั้นเงียบเหงา มักจะต้องหาเรื่องอะไรทำเสมอ
อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน ก็ย่อมต้องมีข้อดีบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นความทรงจำ จะดีมากขึ้นกว่าเดิม แล้วยังไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงินค่าหนังสือ ดังนั้นทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ เวลาที่เดินทางกลับข้าก็จะต้องซื้อตำราบางอย่างติดมือกลับไปด้วยเสมอ”
เฉินผิงอันถาม “ท่านหลิวมีข้อสรุปเกี่ยวกับความดีเลวของจิตใจคนหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงหัวเราะทันใด “ตอนนี้ยังไม่มี หากอยากจะเข้าใจเรื่องความดีเลวของจิตใจคนอย่างชัดเจน แต่กลับมีเส้นแบ่งดีเลวมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเองสับสนจับทุกอย่างมาปนกัน ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาในภายหลังก็ยากที่จะเป็นกลางและเที่ยงตรง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ใช่ เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกเจือปนเข้าไปก็ย่อมต้องเกิดความเอนเอียง”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “เมื่อความรู้เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความเอนเอียงเสี้ยวนี้ก็จะเป็นเหมือนต้นกำเนิดธารน้ำสายเล็ก บางที่สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ “ท่านหลิวช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าอีกอย่างหนึ่งแล้ว”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้ถามอะไรให้มากความ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางลำคลองที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากนอกศาลา กระแสธาราไหลไปทางทิศตะวันออก ไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน
นี่ก็คือสาเหตุที่เฉินผิงอันตัดสินใจจะหล่อหลอมชูอี
แน่นอนว่าเกาเฉิงแข็งแกร่งมาก ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่แสวงหาอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์
ไม่พูดถึงว่าความตั้งใจเดิมของเกาเฉิงคืออะไร ยังไม่ต้องสนใจว่านั่นเป็นปณิธานหรือความทะเยอะทะยาน แต่ในเรื่องเรื่องหนึ่ง เฉินผิงอันมองเห็นเส้นสายที่ เล็กบางอย่างถึงที่สุด
ตอนที่อยู่ในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันเคยทำหน้าที่เป็นทวยเทพประทับบัลลังก์สูงตัดสินความดีความเลวของคน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ่งมั่นใจใน เรื่องหนึ่ง บวกกับการที่ได้พบหยางหนิงซิ่งที่ชายหาดโครงกระดูก นักพรตหนุ่มของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนผู้นี้ได้ใช้ความคิดชั่วร้ายที่กลั่นรวมเป็นเมล็ดงา เมล็ดหนึ่งจำแลงร่างเป็นบัณฑิต
เมื่อเอาสองอย่างนี้มารวมกัน
และพอทบทวนกระดานหมากอย่างต่อเนื่อง เฉินผิงอันก็ยิ่งมั่นใจในข้อสรุปหนึ่ง นั่นก็คือเกาเฉิงในเวลานี้ยังอยู่ห่างไกลเกินว่าจะมีสภาพจิตใจของเจ้าแห่งนครเฟิงตู อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มี
แน่นอนว่าตัวเฉินผิงอันเองก็ยิ่งไม่มี แต่เฉินผิงอันพอจะมองเห็นได้คร่าวๆ แล้วก็พอจะเดาออกว่าระดับความสูงเช่นนั้นควรจะมีภาพบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ตระการตามากเพียงไหน
เทพนั่งเหมือนศพ ไม่มีความรู้สึก
เกาเฉิงในตอนนี้ยังมีอารมณ์รักโลภโกรธหลง ในใจของเจ้านครจิงกวานท่านนี้ ยังมีความไม่พอใจ และยังยึดติดอยู่กับอัตตา
ต่อให้ความรู้สึกเหล่านี้จะเล็กจ้อยมาก แต่ต่อให้เล็กแค่ไหน เล็กเหมือนเมล็ดงา แต่แล้วอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรมันก็ยังคงอยู่ตลอดเวลา เวลาผ่านไปนานหลายปี ขนาดนี้ก็ยังคงหยั่งรากฝังลึก ทิ้งไว้ในสภาพจิตใจของเกาเฉิง
ดังนั้นหากเมื่อใดที่เกาเฉิงได้กลายเป็นเจ้านครของนครเสี่ยวเฟิงตูแห่งใหม่ กลายเป็นเทพเทวดาบนสรวงสวรรค์ของฟ้าดินแห่งนั้น
เมื่อขนาดของนครเสี่ยวเฟิงตูแห่งนั้นขยายใหญ่มากขึ้น บัลลังก์เทพของเกาเฉิงสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลผ่านไปไม่หยุดยั้ง ภูตผีในนครเสี่ยวเฟิงตู เพิ่มมากขึ้น ความลำเอียงน้อยนิดเหล่านี้ในใจของเกาเฉิงก็จะขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง หรือถึงขั้นอาจเกิดความเอนเอียงที่ใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด
นี่ก็คือคำกล่าวของฉีจิ่งหลงที่บอกลำธารกลายเป็นลำน้ำขนาดใหญ่
บางทีเกาเฉิงอาจจะมีโอกาสแก้ไขความเอนเอียงน้อยนิดเหล่านั้นในขณะที่ขอบเขตสูงยิ่งขึ้น
ทว่านี่ก็เป็นเพียงคำว่า ‘อาจจะ’ เท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่การช่วงชิงบนมหามรรคาก็ควรมีความกล้าหาญของ การช่วงชิงบนมหามรรคา หากการช่วงชิงกระบี่บินของเกาเฉิงพ่ายแพ้ไปตั้งแต่แรกเริ่ม จากนั้นภายหลังก็ไม่มีการไล่ฆ่าและกับดักหลุมพรางอีก มีเพียงแค่การปรากฎตัว และเอ่ยประโยคสุดท้ายนั่น บางทีเฉินผิงอันอาจยินดีที่จะรอคอยดู รอให้ท่องเที่ยวในอุตรกุรุทวีปเสร็จแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไปเยือนนครจิงกวานของชายหาด โครงกระดูกหรือไม่
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกว่าคนที่มีโอกาสที่จะทำเรื่องประเภทนี้ได้สำเร็จและทำได้ดี มีเพียงแค่สองคน
ใบถงทวีป เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ถึงขั้นไม่ใช่วิญญูชนจงขุย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
แจกันสมบัติทวีป ชุยฉาน ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ชุยตงซาน
และสองฝ่ายหลังก็เป็นคนใกล้ชิดของเฉินผิงอันพอดี ส่วนสองฝ่ายแรก เรียกได้ว่าไม่มีความรู้สึกดีอันใดเลยจริงๆ
แล้วนี่จะไม่ได้เรียกว่าเป็นความน่าจนใจของเรื่องราวทางโลกได้อย่างไร
ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันแล้วจะดีไปหมดเสียทุกอย่าง ไม่ใช่ว่ากลายเป็นศัตรูแล้วจะต้องผิดไปเสียทุกเรื่อง
ความผิดของเพื่อน ควรจะโน้มน้าวหรือไม่ ความดีของศัตรู ควรจะเรียนรู้หรือไม่ ล้วนเป็นการฝึกฝนจิตใจ ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
ส่วนจะโน้มน้าวอย่างไร จะเรียนรู้อย่างไรก็ยิ่งเป็นการฝึกฝนจิตใจและเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นโน้มน้าวด้วยความหวังดีอาจต้องกลับกลายมาเป็นศัตรูกัน เรียนรู้จากอีกฝ่ายจนกลายไปเป็นอีกฝ่ายเสียเอง แล้วแบบนี้จะเรียกว่าฝึกฝนจิตใจ ได้อย่างไร
ฝนปรอยๆ เริ่มซาเม็ด
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ท่านหลิวจะเดินไปกับพวกเราสักอีกระยะทางหนึ่ง ได้หรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าย่อมได้”
ก่อนจะเดินออกไปนอกศาลา เฉินผิงอันถามว่า “ดังนั้นท่านหลิวจึงแยกความดีเลวออกไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงมัน ก็เพื่อให้สามารถขยับเข้าใกล้เนื้อแท้ของความดีเลว ได้อีกนิดงั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ถูกต้อง”
เฉินผิงอันประสานมือโค้งคารวะผู้ฝึกตนแห่งอุตรกุรุทวีปที่รู้จักกันอย่างผิวเผินผู้นี้ด้วยวิธีการคารวะของลัทธิขงจื๊อ
หากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่นี่ ได้ฟังหลักการเหตุผลที่คนผู้นี้ทำ ความเข้าใจจนบรรลุมา จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน
ต่อให้ฉีจิ่งหลงจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อก็ตาม
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนที่ท่าทางสุภาพอ่อนโยนตรงหน้า เขาหวังว่า วันหน้าหากเป็นไปได้ เฉาฉิงหล่างแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะสามารถกลายเป็น คนเช่นนี้ ไม่ต้องเหมือนทั้งหมด แค่เหมือนในบางเรื่องก็พอ
ไม่มีใครจำเป็นต้องกลายเป็นใครอีกคน เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีความจำเป็นด้วย
ก็เหมือนที่เฉินผิงอันไม่คาดหวังให้เผยเฉียนกลายมาเป็นตน
เผยเฉียนที่อยู่ที่บ้านเกิด แค่ตั้งใจเรียนหนังสือ ค่อยๆ เติบโต มีอะไรที่ไม่ดี? แล้วนับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนทำได้ดียิ่งกว่าที่เฉินผิงอันคิดเอาไว้แล้ว สองคำว่ากฎเกณฑ์นั้น เผยเฉียนกำลังเรียนรู้มันอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันไม่เคยรู้สึกว่าเผยเฉียนกำลังใช้เวลาว่างเล่นสนุกไปอย่างเปล่าประโยชน์
กลัวความลำบาก กลัวว่าจะเจ็บหากฝึกวิชาหมัด? ไม่เป็นไร
เขาที่เป็นอาจารย์เคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ามาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดมาให้ได้!
โชคชะตาบู๊มาถึงมือ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ส่งมอบมันให้แก่ลูกศิษย์ใหญ่ เปิดขุนเขาก็แล้วกัน เผยเฉียนเองก็ทำได้ทั้งเรียนหนังสือและเรียนวรยุทธไปพร้อมกันไม่ใช่หรือ?
สุยจิ่งเฉิงมองผู้อาวุโสที่ค่อนข้างจะแปลกตาไป
เมื่อผู้อาวุโสและผู้ปกป้องมรรคาครึ่งตัวสอนนางถึงการวางตัวอยู่ในสังคมและ การขัดเกลาหล่อหลอมความรู้ เขาจะเรียนรู้มันมาจากร่างของคนอื่น
ที่แท้ผู้อาวุโสก็ชอบอย่างหลังมากกว่า
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ที่แท้ผู้อาวุโสที่เดิมทีอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ตอนนี้ก็ได้ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้อาวุโสกำลังวิ่งตะบึงอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนตลอดเวลา แต่นางกลับทำเพียงแค่ขยับเท้าก้าวเดินอย่างเชื่องช้า
สักวันหนึ่งแม้แต่แผ่นหลังของเขานางก็อาจจะไม่ได้เห็น
ต่อให้ในอนาคตคนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังที่จากกันไปยาวนาน หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แต่เมื่อคนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน จะยังพูดคุยเรื่องอะไรกันได้เล่า?
สุยจิ่งเฉิงไม่รู้เลย
ยังอยู่ห่างจากท่าเรือหัวมังกรอีกระยะทางหนึ่ง คนทั้งสามจึงเดินกันไปช้าๆ
เฉินผิงอันถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องของเมืองหลวงแคว้นต้าจ้วน
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ถือว่าลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือนกระมัง จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำราม กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่พิทักษ์ชะตาบู๊ของต้าจ้วน ตอนนี้ยังไม่ได้ประมือกัน หากเปิดศึกต่อสู้กันขึ้นมา ความเคลื่อนไหวนั้นจะต้องรุนแรงมาก ดังนั้นคราวนี้อริยะของสำนักศึกษาล้วนจะต้องออกมา และยังเชื้อเชิญยอดฝีมือหลายท่านมาร่วมกันชมศึกด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้การปะทะกันของคนทั้งสองสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ส่วนข้อที่ว่าทั้งสองจะเป็นหรือตาย ไม่ต้องไปสนใจ”
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีป มีข่าวใหญ่อะไรหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ “กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ต่อ เหตุการณ์ภายหลังค่อนข้างจะซับซ้อน มีคนอุดมการณ์สูงหลายคนที่แคว้นล่มสลายพากันลุกฮือ กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจ ตำหนิได้ แต่มีชาวบ้านที่บริสุทธิ์ตายไปมากขนาดนั้น กลับเป็นเรื่องที่ผิด แม้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล และโศกนาฎกรรมเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่มัน ก็ช่าง…”
เฉินผิงอันเอ่ย “น่าจนใจ”
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที
ฉีจิ่งหลงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกล่าวว่า “เซี่ยสือเทียนจวินของอุตรกุรุทวีปพวกเราถูกท้ารบมาสามครั้งแล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยากที่จะแพ้ได้”
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจริงๆ นั่นแหละ เพราะถึงอย่างไรฉีเทียนจวิน ของสำนักโองการเทพแห่งแจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีทางลงมือ การประมือกันสามครั้ง เป็นการท้ารบของเซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะในช่วงแรกเริ่มสุดที่สะดุดตาที่สุด แม้ว่าเว่ยจิ้นจะแพ้แล้ว แต่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่เป็นเช่นนี้ วันหน้าจะต้องประสบผลสำเร็จสูงมาก สูงมากๆ! แต่ได้ยินมาว่าเขาไปที่ภูเขาห้อยหัว จะไปฝึกกระบี่ที่กำแพง เมืองปราณกระบี่ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ยิ่งประสบผลสำเร็จมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันหัวเราะ
ฉีจิ่งหลงถามอย่างประหลาดใจ “เคยเจอมาก่อน?”
เฉินผิงอันตอบ “เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว”
ตอนนั้นสายตาที่เว่ยจิ้นมองเฉินผิงอัน เฉยเมยอย่างยิ่ง
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่านั่นคือคนดีและเซียนกระบี่ที่ดีคนหนึ่ง และเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเว่ยจิ้นมากขึ้น
ฉีจิ่งหลงเงียบงันไปครู่หนึ่ง “ใช่แล้ว ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง นอกจาก ภูเขาพีอวิ๋นแล้ว ภูเขาใหญ่อีกสี่ลูกใหม่ของต้าหลีล้วนได้รับการแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว”
ในใจเฉินผิงอันสะท้านไหว
การหล่อหลอมวัตถุแห่งชีวิตที่เป็นห้าธาตุ
ชุยตงซานได้แบกจอบเล่มเล็กไปขุดเอาดินห้าสีของขุนเขาต้าหลีมาให้เขาห้าถุงใหญ่
ดินทับถมเป็นภูเขา ลมฝนจึงถือกำเนิด หากหล่อหลอมสำเร็จก็สามารถสร้างรูปแบบใหญ่ดีงามที่ภูเขาสายน้ำแอบอิงกันได้
ทางเลือกมากมายบนเส้นทางชีวิตคนมักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
ก็เหมือนกับเรื่องของการหล่อหลอมดินห้าสีของขุนเขาต้าหลีนี้ เดิมทีนี่เป็นความคิดแรกที่เฉินผิงอันล้มเลิกเลยด้วยซ้ำ ภายหลังได้พูดคุยอย่างเปิดใจกับชุยตงซานและชุยฉานมาสองครั้ง เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งยืนกรานในความคิดนั้น ต่อให้ระหว่างที่อยู่บนเรือข้ามฟากซึ่งมุ่งหน้ามายังอุตรกุรุทวีปจะได้เจอกับสตรีอำมหิตที่เปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นไทเฮาของต้าหลีผู้นั้น เฉินผิงอันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงความคิด
ดังนั้นสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในตอนนี้ก็คือทางเลือกสองอย่าง หนึ่งคือถือโอกาสนี้โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหัวมังกร คุ้มกันสุยจิ่งเฉิงไปส่งที่สำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูก แล้วหลอมดินห้าสีอยู่ที่นั่น ปลอดภัย แต่กลับเปลืองเวลา
อีกหนึ่งทางเลือกก็คือเพื่อไม่ให้การเดินทางไปเยือนลำน้ำสายใหญ่ถูกถ่วงเวลาล่าช้า ก็หาโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือ หัวมังกร หรือไม่ก็เดินทางอ้อมไปอีกสักหน่อย ไปหาภูเขาห่างไกลเงียบสงบที่ไร้เงาผู้คนแล้วปิดด่าน
ดูเหมือนฉีจิ่งหลงจะจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเฉินผิงอันได้ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าลงจากภูเขามาครั้งนี้ก็เพื่อมาพูดคุย กับท่าน พอได้พูดคุยกันแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอีก”
คนบางคนที่ต้องช่วยเหลือคนอื่น กลับกลายเป็นเวลาจะต้องใช้เวลาครุ่นคิดทบทวนมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันก็เป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน
ความรู้เชื่อมโยงสื่อถึงได้กัน นิสัยใจคอก็คล้ายคลึง
นี่ก็คือ คนบนเส้นทางเดียวกัน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเปลี่ยนนิสัยที่ระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดของตน ด้วยการถามว่า “หากข้าจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่ท่าเรือหัวมังกร ต้องการให้คนช่วยคุมหลังเฝ้าพิทักษ์ให้แก่ข้า ท่านหลิวจะยินดีหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ได้สิ”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “ระหว่างที่ทำการหลอม อาจเกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อย อีกอย่างข้าเองก็มีศัตรูอยู่ในอุตรกุรุทวีปด้วย ยกตัวอย่างเช่นตำหนักเกล็ดทองของราชวงศ์ต้าจ้วน”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “เรื่องเล็ก”
เฉินผิงอันยกมือตบไหล่ฉีจิ่งหลงทันใด “คนอย่างเจ้าไม่ชอบดื่มเหล้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “การโน้มน้าวให้คนอื่นดื่มเหล้าเป็นเรื่องที่ทำลายภาพพจน์ของคนอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ประโยคนี้ วันหน้าเจ้าเอาไปพูดกับอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งให้มากๆ แล้วกัน อืม หากมีโอกาส ยังมีมือดาบอีกคนหนึ่งด้วย”
ฉีจิ่งหลงโคลงศีรษะจนใจ
ไปถึงท่าเรือหัวมังกร เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ด้านหน้าแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘นกกระเต็น’
เฉินผิงอันใช้เงินมือเติบเช่าเรือนพักอักษรตัวเทียนหลังหนึ่งมาจากโรงเตี๊ยมอย่างที่หาได้ยาก และในเรือนหลังนั้นยังมีบ่อดอกบัวอยู่บ่อหนึ่ง ใบบัวที่โผล่พ้นผิวน้ำใหญ่เท่ากระถาง หลังจากฝนตกผ่านพ้นไปบนใบบัวจึงยังมีหยดน้ำกลมๆ เหมือนไข่มุก สีขาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ลมเย็นสดชื่นพัดพาความหอมลอยโชยมา ชวนให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย
ทุกครั้งที่ฉีจิ่งหลงลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์จะต้องใช้นามแฝงในทำเนียบวงศ์ตระกูล พอไปถึงสถานที่ที่มีผู้คนจอแจก็จะร่ายเวทอำพรางตา
ตอนนี้ฉีจิ่งหลงยกม้านั่งยาวตัวหนึ่งมานั่งอยู่ริมสระดอกบัว สุยจิ่งเฉิงเองก็ทำตามเขา นางปลดหมวกคลุมหน้าลง ย้ายม้านั่งตัวยาวมา ในมือถือไม้เท้าเดินป่า นั่งอยู่ ห่างไปไม่ไกล แล้วก็เริ่มสูดลมหายใจทำสมาธิ
ริมสระดอกบัวมีเรือเล็กๆ ผูกไว้
ฉีจิ่งหลงทำเพียงแค่จ้องมองสระดอกบัวอย่างสงบนิ่ง มือทั้งคู่กำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า
เฉินผิงอันเริ่มปิดด่านแล้ว
ฉีจิ่งหลงเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล นอกจากอ่านตำราทำความเข้าใจกับหลักการเหตุผลแล้ว ยามที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา คำว่าแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่นของฉีจิ่งหลงนั้นก็แค่เปรียบเทียบกับสองคนในอันดับแรกเท่านั้น
อันที่จริงฉีจิ่งหลงเล่าเรียนวิชาหลากหลาย แต่ทุกวิชาล้วนเชี่ยวชาญชำนาญ ปีนั้นลำพังเพียงแค่อาศัยค่ายกลแห่งหนึ่งที่วาดขึ้นอย่างง่ายๆ ก็สามารถทำให้ หยางหนิงเจินแห่งตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนไม่อาจฝ่าทะลุค่ายกลออกมาได้ ต้องรู้ว่าขอบเขตและวิชาคาถาของหยางหนิงเจินในตอนนั้นเหนือกว่าน้องชายอย่าง หยางหนิงซิ่งที่เป็นตัวอ่อนเต๋ามาตั้งแต่กำเนิดเหมือนกันมากนัก นั่นถึงทำให้หยางหนิงเจินเปลี่ยนเป็นหันมาเรียนวรยุทธ ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าละทิ้งอำนาจในการ สืบทอดตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนไป แต่หยางหนิงเจินกลับสามารถฝึกฝนจนมีเส้นทางวิถีวรยุทธที่อนาคตยาวไกลได้จริงๆ นี่ต้องเรียกว่าได้รับโชคหลัง เคราะห์ร้าย
ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องของการปิดด่าน ฉีจิ่งหลงจึงคุ้นเคยมากที่สุด
ไม่ว่าความเคลื่อนไหวของเฉินผิงอันจะรุนแรงมากแค่ไหน ริ้วคลื่นลมปราณจะกระเพื่อมแรงเท่าไร ก็ล้วนหนีออกไปจากเรือนหลังนี้ไม่พ้น
เพราะฉีจิ่งหลงคือ ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
มีเค้าลางว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้น่าจะเป็นพายุฝนที่ ตกกระหน่ำ
จิตใจของสุยจิ่งเฉิงไม่ใคร่จะสงบนิ่งนัก นางจึงหยุดการเข้าฌาน พ่นลมหายใจ ขุ่นมัวออกมาเบาๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น
ฉีจิ่งหลงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้
สุยจิ่งเฉิงพึมพำว่า “เคยได้ยินผู้อาวุโสเอ่ยคำสุภาษิตบอกว่า ฝนร้อนน้อยเหมือนเงิน ฝนร้อนใหญ่เหมือนทอง”
สุยจิ่งเฉิงยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ต้องมาจากปากของบัณฑิต อีกทั้งยังต้องเป็นบัณฑิตประเภทที่เรียนหนังสือไม่ได้ดี เป็นขุนนางตำแหน่งไม่ใหญ่อย่างแน่นอน”
ฉีจิ่งหลงถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
สุยจิ่งเฉิงลุกขึ้นยืน วางไม้เท้าเดินป่าอิงไว้กับม้านั่งยาว แล้วมานั่งยองอยู่ข้าง บ่อดอกบัว ถามว่า “ใบบัวที่อยู่ในสระ สามารถเด็ดออกมาได้ไหม?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ควักเงินเกล็ดหิมะมากมายขนาดนั้นเพื่อเข้าพักที่นี่ เด็ดใบบัวแค่ไม่กี่ใบก็คงไม่มีปัญหาอะไรออก แต่ว่าปราณวิญญาณบางเบาที่อยู่ในใบบัว เมื่อเจ้าเด็ดออกมาแล้วก็จะรั้งไว้ไม่อยู่อีก”
สุยจิ่งเฉิงเด็ดใบบัวริมสระมาหนึ่งใบแล้วกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว นางบิดหมุนมันเบาๆ หยดน้ำฝนก็ปลิวกระจายไปรอบด้าน
ฉีจิ่งหลงกล่าว “ท่านเฉินสร้างภาพบรรยากาศได้สำเร็จแล้ว เรื่องของการหล่อมหลอมวัตถุก็น่าจะไม่มีปัญหามากนัก”
สุยจิ่งเฉิงหันหน้ามาถาม “จะไม่มีความผิดพลาดจริงๆ หรือ?”
ฉีจิ่งหลงรู้สึกระอาใจเล็กน้อย คำถามแบบนี้จะให้เขาตอบอย่างไร?
สุยจิ่งเฉิงจึงถามเบาๆ อีกว่า “ผู้อาวุโสหนุ่มขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
สายตาของฉีจิ่งหลงทอดมองไปไกล ยิ้มกล่าวว่า “อายุที่แท้จริง แน่นอนว่า ต้องหนุ่มมาก แต่หากเป็นอายุทางสภาพจิตใจกลับไม่หนุ่มแล้ว บนโลกนี้มีความ แปลกพิสดารนับร้อยนับพัน ในบรรดานั้นก็เป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ แปลกประหลาดที่สุด กาลเวลายาวนาน ช้าเร็วไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนโลกมนุษย์ แต่กลับยิ่งเป็นโลกมนุษย์ ดังนั้นท่านเฉินบอกว่าตัวเองอายุสามร้อยปีก็ไม่ถือว่าหลอกลวงไปเสียทั้งหมด”
ฝนพลันตกกระหน่ำลงมา
สุยจิ่งเฉิงไปหยิบหมวกคลุมหน้าและชุดกันฝน แล้วนางก็ยืนตากฝนอยู่ริมสระทั้งอย่างนั้น
ส่วนฉีจิ่งหลงนั้นไม่จำเป็นต้องโคจรลมปราณ เม็ดฝนก็มิอาจกล้ำกรายอยู่แล้ว
จิตแห่งกระบี่ขยับเล็กน้อย ปณิธานแห่งกระบี่ก็ชักนำปราณกระบี่มาอย่างเป็นธรรมชาติ
ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองกระทบลงบนใบบัวที่สุยจิ่งเฉิงวางไว้บนม้านั่ง ตัวยาวส่งเสียงดังเปาะแปะ
สุยจิ่งเฉิงพลันเบิกตากว้าง นางพอจะมองเห็นได้เลือนๆ ว่าในสระดอกบัวที่ห่าง ไปไกลมียวนยางจิ่นซิ่วคู่หนึ่งกำลังหลบฝนอยู่ใต้ใบบัว
อารมณ์ของสุยจิ่งเฉิงพลันดีขึ้นมา
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าวว่า “นั่นคือสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งที่ขายอยู่ในเทือกเขาเจียมู่ของสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่ใช่นกยวนยางปกติทั่วไป นิสัยดุร้าย หากนำมาเลี้ยงปล่อยไว้ตามภูเขาหนองน้ำก็จะสามารถปกป้องปลาล้ำค่าที่อยู่ในสระได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องถูก สัตว์ป่าคาบเอาไปกิน”
ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก
อารมณ์สุยจิ่งเฉิงดำดิ่งย่ำแย่ลงโดยพลัน
แม้ว่าฉีจิ่งหลงจะไม่เข้าใจว่าตนไปทำอะไรให้นางไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าตนคงพูดอะไรบางอย่างผิดไป จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ช่วงกลางดึก สุยจิ่งเฉิงได้ย้อนกลับไปที่ห้องพักของตัวเองแล้ว เพียงแต่ว่า นางจุดตะเกียงไว้ทั้งคืน
ส่วนฉีจิ่งหลงกลับนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนม้านั่งตัวยาวตลอดเวลา
บางครั้งมีริ้วคลื่นลมปราณแผ่ออกมาก็ล้วนถูกปราณกระบี่สะเทือนให้แหลกสลาย กลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง
ส่วนภาพบรรยากาศที่แสงอัญมณีศักดิ์สิทธิ์เรืองรองแผ่ออกมายามที่เฉินผิงอันหยิบวัตถุในการหล่อหลอมและวัตถุดิบวิเศษของฟ้าดินออกมา แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงย่อมไม่ปล่อยให้คนนอกใช้กระแสจิตมาลอบมองได้
ผู้ฝึกตนที่หล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญอีกที เพราะเกี่ยวพันถึงชีวิต
ยามเที่ยงวันของวันต่อมา เฉินผิงอันที่สีหน้าซีดขาวก็เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะต้องเกินจริงขนาดนี้ด้วยหรือ?
ไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นของเตาที่ใช้หลอม หรือระดับความล้ำค่าหายากของ วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดิน รวมไปถึงระดับความยากในการหลอมวัตถุ ออกจะเกินจริง เหนือความคาดหมายไปหน่อยหรือเปล่า?
ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตคอขวดประตูมังกรที่ฝ่าทะลุสู่เซียนดินโอสถทองเสียหน่อย
ฉีจิ่งหลงยิ้มถาม “ไม่ดื่มเหล้าสักสองสามอึกระงับความตกใจหน่อยหรือ?”
“เดี๋ยวขอพักสักแปบค่อยดื่ม”
เฉินผิงอันมองไปเห็นว่ามีม้านั่งยาวที่ว่างเปล่าตัวหนึ่งตั้งอยู่ริมบ่อดอกบัวพอดีจึงเดินไปนั่ง แล้วหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว ยังมีโอกาสอีกสองครั้ง”
จากนั้นก็หยิบใบบัวใบหนึ่งที่ถูกเม็ดฝนซัดให้ตกลงไปจากม้านั่งขึ้นมา
ฉีจิ่งหลงชี้ไปที่หัวใจ “สำคัญที่ตรงนี้ อย่าให้มีปัญหา ไม่อย่างนั้นคำว่าโอกาส อีกสองครั้ง ต่อให้มีวัตถุดิบวิเศษมากมายแค่ไหนก็ล้วนเสียเปล่า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน วัตถุน้อยนิดแค่นี้ข้ายังพอเอาออกมาได้”
ฉีจิ่งหลงเห็นว่าเขาไม่มีท่าทางทดท้อใจก็วางใจได้
สุยจิ่งเฉิงเดินออกมานอกห้อง เพียงแต่ว่าไม่มีที่ให้นางนั่ง เฉินผิงอันจึงขยับไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของม้านั่งยาว สุยจิ่งเฉิงถึงได้นั่งลงอีกฝั่ง
เฉินผิงอันถาม “เด็ดใบบัวออกมา หากต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็ให้ลงไว้ในบัญชี”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “ได้สิ แค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น บันทึกลงบัญชี ก็บันทึกสิ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองฉีจิ่งหลง
ฉีจิ่งหลงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
พวกเจ้าแง่งอนกันเองก็อย่ามาดึงข้าไปมีเอี่ยวด้วย
เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายว่า “ท่านหลิว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
ฉีจิ่งหลงคลี่ยิ้ม “ก็ได้ งั้นก็ถือว่าข้าเข้าใจผิดแล้วกัน”
เฉินผิงอันถอนหายใจ แล้วหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าเงียบๆ
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ผู้ฝึกตนสามคนบนเรือแจวที่พบบนผิวน้ำ ตอนอยู่ในศาลาก่อนหน้านี้ มีชื่อเสียงในอุตรกุรุทวีปมากหรือ?”
ฉีจิ่งหลงกล่าว “เขาก็เหมือนกับเจี้ยนเวิงเซียนเซิงที่ปีนั้นชอบฟูมฟักกระบี่บิน ให้คนอื่น ต่างก็เป็นหนึ่งในสิบบุคคลประหลาดของอุตรกุรุทวีป คนผู้นี้ชอบท่วงทำนองดนตรี และยังเก็บสะสมสมบัติอาคมที่เป็นเครื่องดนตรีไว้หลายชิ้น นิสัยแปลกประหลาด เร่ร่อนไปทั่วไม่อยู่นิ่ง งานเลี้ยงฉลองของตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าจงอยู่ในชื่อหลายแห่งของอุตรกุรุทวีป ยกตัวอย่างเช่นงานพิธีเปิดขุนเขา หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนใหญ่คนใดฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จ หากสามารถเชื้อเชิญอาจารย์และ ศิษย์หลายสิบคนอย่างพวกเขาไปบรรเลงดนตรีในงานได้ก็จะถือว่าเป็นเกียรติ อย่างใหญ่หลวง ครั้งล่าสุดที่อาจารย์และศิษย์มารวมตัวกันครบถ้วนก็คือครั้งที่ถูก เจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีปเราเชื้อเชิญมา จึงได้ไปปรากฏตัวบนหน้าผาชิงหยาที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กของสำนักชิงเหลียง (ชิงเหลียงจง)”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำก็กลับเข้าไปในห้อง
สุยจิ่งเฉิงไม่มีอะไรทำก็เลยหมุนบิดใบบัวที่ยังคงเป็นสีเขียวปลั่งใบนั้นต่อ
ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “จะถือสาหรือไม่หากข้าจะเอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่เกี่ยวพันกับ การฝึกตนของเจ้า หาใช่ว่าข้าจงใจจะสืบเสาะไม่ แต่เป็นเพราะทั้งการหายใจทำสมาธิ การโคจรลมปราณของเจ้า ล้วนทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย”
สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า “ถือสิ”
เพียงแต่ว่านางหันหน้าไปชำเลืองมองตรงห้องนั้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านหลิว ท่านลองพูดมาเถอะ”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชาการเข้าฌานทำสมาธิของเจ้า เหมือนกับ หลี่อวี๋เซียนซือ ไท่เสียหยวนจวินที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของ ฮว่อหลงเจินจวินอย่างมาก”
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างกังขา “ท่านหลิว เดี๋ยวนะ แม้ว่าข้าจะไม่รู้กฎเกณฑ์มากมายบนภูเขา แต่ติดตามผู้อาวุโสเดินทางมาตลอดทางนี้ก็รู้ดีว่าเจินเหรินของลัทธิเต๋า มีขอบเขตแค่เซียนดิน ทว่าหากเป็นหยวนจวิน อย่างน้อยก็ต้องเป็นขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตกลางไม่ใช่หรือ เป็นเพราะหลี่อวี๋เซียนซือมีพรสวรรค์ดีเกินไป เป็นครามที่เกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม เป็นศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องน่าสนใจบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปเรา ฮว่อหลงเจินจวินท่านนั้นเป็นเซียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ข่าวลือบางอย่างบอกว่า…ช่างเถิด เรื่องนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้ ข้าคง ไม่พูดถึงแล้ว แต่สรุปก็คือเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้มีขอบเขตสูงมาก สูงมากอย่างถึงที่สุด ก็แค่ใช้ยศเจินเหรินมาโดยตลอดก็เท่านั้น อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าเขาชอบนอนหลับมาก สามารถฝึกตนและบรรลุมรรคาได้ในความฝัน ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ส่วนหลี่อวี๋นั้นคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลงเจินจวิน เนื่องจากการรับลูกศิษย์ของ เทพเซียนผู้เฒ่าขึ้นอยู่กับความชอบของเขาเอง ไม่ได้ดูที่พรสวรรค์ ไม่ดูที่ฐานกระดูก ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาล้วนจะต้องพาคนสองคนกลับไปด้วยเสมอ เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ ผู้สืบทอดที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์มีมากถึงสี่สิบห้าสิบคน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็มีทั้งคนอย่างหลี่อวี๋เซียนซือที่ได้เลื่อนขั้นเป็นหยวนจวินแห่งลัทธิเต๋า แต่ว่าที่ว่ามากกว่านั้นกลับแก่ตายไปบนคอขวดใหญ่จุดต่างๆ ขอบเขตถ้ำ สถิตไปจนถึงขอบเขตก่อกำเนิดจะมีค่อนข้างเยอะ ตอนนี้บนภูเขายังเหลือผู้สืบทอด อีกยี่สิบกว่าคนที่ฝึกตนกันต่อไป
เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนแต่ละรุ่นมีความต่างทางอายุค่อนข้างมาก ขอบเขตก็ยิ่งต่างชั้นกันไกลโข ไท่เสียหยวนจวินท่านนี้ปิดด่านมาหลายปีแล้ว ทว่าสายของนางได้ แตกกิ่งก้านสาขาออกไป มีลูกศิษย์อยู่บนภูเขาเยอะที่สุด ลูกศิษย์สามรุ่นนับจากนางมาก็มีถึงร้อยกว่าคน”
สุยจิ่งเฉิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ผู้อาวุโสเคยบอกว่าตัวอักษรที่สลักบนปิ่นทองชิ้นหนึ่งในสามชิ้นนั้น มีคำว่า ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’!
สุยจิ่งเฉิงรีบสงบจิตใจของตัวเอง
ความคิดในใจเริ่มตีกันวุ่นวาย
ฉีจิ่งหลงหันหน้ามาชำเลืองตามองสุยจิ่งเฉิงด้วยสายตาซับซ้อน ช่างเถิด เรื่องบางอย่างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่อาจพูดโพล่งออกไปได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ให้ท่านเฉินผู้นั้นปวดหัวไปแล้วกัน
อันที่จริงรากฐานมหามรรคาของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น นางจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่ไท่เสียหยวนจวิน หลี่อวี๋เซียนซือหมายตาอย่างแน่นอน ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าความเป็นไปได้นั้นทั้งมีสูงมาก แล้วก็มีน้อยนิดในขณะเดียวกัน เพราะก่อนหน้าที่ หลี่อวี๋จะปิดด่านซึ่งเป็นด่านใหญ่ตัดสินเป็นตาย นางได้รับลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ ฐานกระดูกดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งมาไว้แล้ว ตอนนี้อายุยังไม่ถึงสี่สิบปี แต่กลับกลายเป็นตัวเลือกที่จะได้เสียบแทนคนหนุ่มสาวผู้โดดเด่นสิบคนรุ่นถัดไปของอุตรกุรุทวีปหากมีใครตกอันดับไป
ผู้ฝึกตนบนภูเขา ยิ่งอยู่บนยอดเขามากเท่าไร เรื่องของการให้สถานะอาจารย์และศิษย์ก็ยิ่งไม่อาจทำแบบขอไปทีได้มากเท่านั้น
อีกอย่างถึงอย่างไรท่านเฉินผู้นั้นก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่แท้จริง จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะมองความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของสุยจิ่งเฉิงออก เพียงแต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเสมอไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ดูจากปณิธานกระบี่อ่อนจางที่อยู่บนร่างของสุยจิ่งเฉิงขุมนั้น ฉีจิ่งหลงก็พอจะเดาออกถึงเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง วิธีการฝึกตนเช่นนี้อันตรายเกินไป แล้วก็ค่อนข้างจะเป็นปัญหา หากจัดการไม่เหมาะสมจะเกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคา
ฉีจิ่งหลงถึงขั้นที่พอจะไล่ตามเส้นสายเส้นนี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนของอุตรกุรุทวีป จนได้ข้อสรุปที่มากกว่าเดิม
แต่ว่าเรื่องราวมากมายบนภูเขา รู้ได้ แต่ไม่อาจพูดออกมาได้
ส่วนลูกศิษย์คนเล็กของหยวนจวินท่านนั้นอย่างกู้โม่นั้น ฉีจิ่งหลงเคยเจอนางครั้งหนึ่งระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ พรสวรรค์ของนางดีเยี่ยมอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่านิสัยกลับออกจะเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย
สายของไท่เสีย ล้วนเป็นแบบนี้เสมอมา
ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมาร ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ตัวตายมรรคาดับสลาย จะนับเป็นอะไรได้
ขอแค่มีเหตุผล ต่อให้เจอกับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูงกว่าสองสามขอบเขต เทียนซือต่างแซ่ทุกคนในสายของไท่เสียก็ล้วนจะออกกระบี่เหมือนกัน
และในประวัติศาสตร์ก็มีผู้ฝึกตนเซียนดิน รวมไปถึงเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนมากมายที่เงื้อกระบี่สังหารผู้ฝึกตนน้อยแห่งลัทธิเต๋าที่ไม่รู้กาลเทศะเหล่านั้น เดิมนึกว่าเรื่องจะจบลงอย่างเงียบเชียบ ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนถูกไท่เสียหยวนจวินหรือไม่ก็ เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางไล่ฆ่าอย่างไม่มีข้อยกเว้น หากมีผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่สามารถสกัดขวางหรือโจมตีให้พวกเขาถอยร่นได้ก็ไม่เป็นไร
ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของฮว่อหลงเจินจวินนี้ เคยมีสองครั้ง ที่เขาลงจากภูเขา ครั้งหนึ่งตบให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตสิบสองคนหนึ่งตายอย่างง่ายๆ และการลงมืออีกครั้งก็สังหารเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสองที่คิดว่า มีความสามารถมากพอจะปกป้องตัวเองได้ให้ตายไปโดยตรง ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เฒ่า ไม่เคยมีความเสียหายแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าการเข่นฆ่าบนยอดเขาที่เดิมทีควรจะรุนแรงจนฟ้าดินเปลี่ยนสี กลับกลายเป็นว่าไม่มีคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ
ตะวันจันทราผลัดเปลี่ยน กลางวันกลางคืนสลับผัน
เมื่อเฉินผิงอันเดินออกจากห้องมาเป็นครั้งที่สอง สุยจิ่งเฉิงก็รีบออกจากห้องตัวเองทันที
คราวนี้ฉีจิ่งหลงไม่ได้พูดอะไร
เฉินผิงอันยังคงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ใบบัวที่วางไว้บนม้านั่งยาวตัวนั้น หลังจากปราณวิญญาณสลายหายไปแล้วก็ปรากฏลางว่าจะเหี่ยวแห้ง สีสันไม่เป็นสีเขียวขจี สดปลั่งเหมือนเดิมอีกต่อไป
สุยจิ่งเฉิงไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ เพียงแค่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล
สะโอดสะองดุจดอกผุดตาน
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ขนาดเจ้ายังไม่เป็นกังวล แล้วข้าจะต้องกังวลอะไร”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “รบกวนเจ้าแล้ว”
คำตอบของฉีจิ่งหลงกระชับเรียบง่าย “ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินผิงอันถาม “ท่านหลิว เกี่ยวกับการกำราบวานรในใจของลัทธิพุทธ เจ้ามีความเข้าใจเป็นของตัวเองหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “เข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน ไม่มีค่าพอให้พูดถึง วันหน้าหากเข้าใจได้ถึงจุดที่สูงยิ่งกว่านี้แล้วค่อยจะบอกให้เจ้าฟังอีกครั้ง”
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าเคยเจอกับภิกษุสมณศักดิ์สูงที่บรรลุพระธรรมอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นพอจะมีความคิดบางอย่างอยู่บ้าง ลองมาคุยกันดูดีไหม?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมดีที่สุด”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง งอนิ้วทั้งห้าเหมือนตะขอแล้วค้างนิ่งไม่ขยับ เหมือนกำลังพันธนาการวัตถุอะไรบางอย่าง “แบบนี้เรียกว่ากำราบหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “หากเริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่หากว่าเป็นผลลัพธ์สุดท้าย ก็ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบนัก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้ปลายนิ้วยันพื้นที่ปูด้วย แผ่นหินสีเขียวซึ่งอยู่ข้างสระบัวเอาไว้ จากนั้นก็วาดเส้นสองเส้นตื้นๆ ขึ้นมา ก่อนจะวาดเส้นอีกหลายเส้นแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ
สุดท้ายเขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาปาดลบเส้นทั้งหมด ทว่ากลับไม่ได้ลบเกลี้ยง ยังคงเหลือร่องรอยของเส้นเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้างก็เชื่อมโยง บ้างก็ขาดออกจากกัน
ฉีจิ่งหลงถามว่า “นี่ก็คือสภาพจิตใจของพวกเรา? จิตใจดุจวานรและม้าพยศที่ วิ่งตะบึงไปสี่ทิศ มองดูเหมือนว่าได้ย้อนกลับมาจุดเดิมของจิตดั้งเดิม แต่ขอแค่ไม่ทันระวัง อันที่จริงร่องรอยอื่นๆ บนเส้นทางหัวใจก็ไม่ได้ถูกเช็ดทิ้งได้สะอาด อย่างแท้จริง?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปใช้มือขวาวักน้ำกอบมือเล็กๆ มาจากบ่อ แล้วเดินกลับมายืนใกล้กับวงกลมนั้น มือซ้ายอีกข้างหนึ่งหยิบเอาน้ำหนึ่งหยดมา หยดลงตรงใจกลางของวงกลม
ฉีจิ่งหลงเพ่งสายตามองไป
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทรุดตัวนั่งยอง เอามือข้างหนึ่งปาดออกไปเบาๆ
บนพื้นกระดานหินเขียว มองดูเหมือนว่าไม่มีหยดน้ำเหลืออยู่แล้ว แต่ท่ามกลางร่องรอยที่อ่อนจางนั้นกลับยังมีน้ำเส้นเล็กๆ ที่ไหลลามไปสี่ทิศ อีกทั้งยังสั้นยาว ไม่เท่ากัน ไกลใกล้ไม่เหมือนกัน
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ท่านหลิวพูดถูกแล้ว”
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “แต่เมื่อวานรที่ไม่อยู่นิ่งและม้าพยศเหยียบย่างผ่านไปแล้วจะต้องทิ้งร่องรอยไว้จริงๆ หรือ? จะไม่ใช่รอยเท้าในหิมะที่พอดวงตะวันขึ้น ถูกแสงแดดสาดส่องก็หลอมละลายไปอย่างสิ้นเชิงหรอกหรือ?”
จากนั้นคนทั้งสองต่างก็จมเข้าสู่ภวังค์การครุ่นคิด
สุยจิ่งเฉิงมานั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางพยายามเบิกตากว้างหวังให้ตัวเองมองเห็นอะไรบางอย่าง
ไม่อย่างนั้นหากยังเอาแต่มึนงงอยู่อย่างนี้จะไม่ขายหน้ามากหรอกหรือ?
เมื่อนางเงยหน้าขึ้น
ก็สังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสชำเลืองตามองนาง
นางจึงกลับไปนั่งบนม้านั่งยาว วางท่าว่า ‘ข้าควรจะไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง’
เฉินผิงอันตบศีรษะตัวเอง โยนน้ำในบ่อที่อยู่กลางฝ่ามือทิ้ง บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือ ก็มีคัมภีร์ลัทธิพุทธที่เป็นกระดาษสีเขียวแผ่นนั้นปรากฎ เขาลุกขึ้นยืน นำมันมา มอบให้ฉีจิ่งหลง “ข้าไม่รู้จักภาษาสันสกฤต เจ้าลองดูสิว่าเป็นบทไหนในคัมภีร์พุทธ?”
ฉีจิ่งหลงรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วก็ยิ้มกล่าว “บท? นี่ก็คือพระธรรมที่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างกายอีกฝ่าย
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าคงไม่บอกเนื้อหากับเจ้าให้มากความแล้ว วันหน้าเมื่อเจ้าได้เข้าวัดตามโชควาสนานำพา ก็ลองไปถามภิกษุเอาเอง จำไว้ว่าต้องเก็บเอาไว้ให้ดี”
เฉินผิงอันเก็บกระดาษ…เก็บคัมภีร์พุทธเล่มนั้นลงไป
แล้วเขาก็พลันหัวเราะออกมา “ก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่รู้จักตัวอักษรของ คัมภีร์พระพุทธ แต่ก็สามารถเอามาใช้คัดตัวอักษรให้จิตใจสงบได้”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง
สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”
ขอบตาของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะชักดาบไม่จ่ายเงินได้”
สุยจิ่งเฉิงถลึงตาใส่เขา บิดเอวเดินกลับไปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว
สายตาของฉีจิ่งหลงมองตรงไปด้านหน้าตลอดเวลา เขากะพริบตาปริบๆ ในใจคิดว่าท่านเฉินนับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว
หรือว่าตนควรจะขอเรียนรู้จากเขาดูสักหน่อย?
เพราะถึงอย่างไรทั้งในและนอกสำนัก บนและล่างภูเขา สายตาของผู้ฝึกตนหญิงหลายคนล้วนทำให้ฉีจิ่งหลงรู้สึกผิดและละอายใจได้ทั้งสิ้น
นี่ก็คือปัญหาของการใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง
ไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนบนมหามรรคาและความใสกระจ่างของจิตแห่งกระบี่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องน่าเสียดายจำนวนมากที่เกิดขึ้นเพราะตน ตนไม่เป็นไร ทว่าพวกนางกลับเป็น แบบนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
วันนี้หลังจากที่เฉินผิงอันคัดตัวอักษรเสร็จก็ปิดด่านต่ออีกครั้ง เริ่มจุดไฟเปิดเตา ตู้ทองห้าสีใบนั้น
หลอมดินห้าสีของขุนเขาใหญ่ต้าหลีเป็นครั้งสุดท้าย
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้
ฉีจิ่งหลงหลับตาทำสมาธิ
ส่วนสุยจิ่งเฉิงนั่งเหม่อลอย
ฉีจิ่งหลงลืมตาขึ้น หันหน้าไปตวาดเบาๆ “วอกแวกอะไร ด่านสำคัญบนมหามรรคา เชื่อใจคนข้างกายสักครั้งจะเป็นไรไป หรือว่าเดียวดายอยู่เพียงลำพังตลอดเวลานั้น ดีจริงๆ?!”
ริ้วคลื่นที่ค่อนข้างวุ่นวายในห้องแห่งนั้นกลับคืนสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง
สุยจิ่งเฉิงตื่นตระหนกเล็กน้อย “มีศัตรูมาลอบโจมตีหรือ? เป็นเทพเซียน ตำหนักเกล็ดทองผู้นั้น?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า แต่กลับไม่พูดอะไรให้มากความ
แสงกระบี่สีขาวเส้นหนึ่งและแสงอร่ามระยิบระยับเส้นหนึ่งพากันพุ่งมาจาก ขอบฟ้าที่ห่างไปไกล พลังอำนาจนั้นมากพอจะสร้างความอึกทึกครึกโครมให้กับ ตลอดทั้งท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงได้
ผู้ฝึกตนแทบทุกคนในโรงเตี๊ยมเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ทุกคนที่ไม่ว่าจะเดินเล่นอยู่ในโรงเตี๊ยมหรือพูดคุยกันอยู่ในลานบ้านก็ล้วนพากันกลับเข้าไปในห้อง
แสงกระบี่เส้นนั้นพลิ้วกายลงฝั่งตรงข้ามของสระบัว ส่วนแสงเรืองรองเส้นนั้น พลิ้วกายลงบนใบบัวกลางสระ
ผู้ฝึกตนหญิงกู้โม่ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของไท่เสียหยวนจวินหลี่อวี๋ สวมชุด นักพรตเต๋าพิเศษของเซียนซือต่างแซ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ บนชุดคลุมเต๋าปักเป็น รูปเมฆสีแดงสดหลายดอก บนเมฆมีประกายแสงไหลเวียนวน แผ่รัศมีออกมารอบทิศ
ชุดคลุมอาคม ‘ไท่เสีย’ นี้ (เสียแปลว่าแสงอรุโณทัย/แสงสีเงินสีทอง/เมฆที่ อาบย้อมไปด้วยสีสันยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก) ก็คือหนึ่งในวัตถุขึ้นชื่อของหลี่อวี๋ ไท่เสียหยวนจวิน
อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง แต่กลับไม่ใช่ ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาของฮว่อหลิงเจินเหริน
เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย
ฉีจิ่งหลงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ผู้ฝึกตนบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนหญิงล้วนต้องมี ‘เพื่อนสาวที่สนิทสนม’ อยู่เสมอ
แน่นอนว่าไท่เสียหยวนจวินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เซียนกระบี่หญิงที่อยู่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีปผู้นั้นไม่ได้ ไปเยือนภูเขาห้อยหัว ก็สามารถเข้าใจได้แล้ว
นี่น่าจะเป็นเพราะรอให้สหายรักอย่างหลี่อวี๋ออกด่านมาได้สำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน
พอกู้โม่เห็นฉีจิ่งหลง เนื่องจากขอบเขตที่มีความแตกต่างจึงไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือ ‘หลิวจิ่งหลง’ เจียวหลงบนบก
แต่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นกลับมองทะลุเวทอำพรางตาไปเห็น จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงคารวะท่านหลิว”
เจ้าของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ก็คือลี่ไฉ่
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าแปลกประหลาด เหตุใดเมื่อนางได้พบกับผู้ฝึกกระบี่ที่บอกว่าตัวเองมาจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นี้แล้วถึงได้รู้สึกใกล้ชิดและคุ้นเคยนะ? นางสะบัดศีรษะ สลายริ้วคลื่นอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนั้นทิ้งไป ขยับเท้าไปยืนอยู่ด้านหลังของฉีจิ่งหลงมากกว่าเดิม
หรงช่างเห็นภาพนี้แล้วก็หลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่แค่ รับฟังก็พอแล้ว จะได้ไม่กลายเป็นว่าตนวาดงูเติมขา ทำลายมหามรรคา
เพียงแต่ว่าเมื่อหรงช่างได้ ‘พบกับนางอีกครั้งหลังจากที่จากกันไปนาน’ ในใจ ก็รู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย
เดิมทีเรื่องการฝึกตนของ ‘สุยจิ่งเฉิง’ ไม่ควรจะต้องมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้
แต่ใครเล่าจะคาดคิดได้ว่า หลี่อวี๋ไท่เสียหยวนจวินที่มีโอกาสว่าจะฝ่าด่านเป็นตายได้สำเร็จ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่สนิทสนมกับอาจารย์ของตนจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ดังนั้นการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายที่หลี่อวี๋รักเอ็นดูและ ให้ความสำคัญมากที่สุด อารมณ์ของกู้โม่จึงเรียกได้ว่าเลวร้ายสุดขีด รังปีศาจที่มี พวกภูตผีอาละวาดล้วนถูกนางใช้วิชาอสนีของสำนักทำลายล้างจนภูเขาพังถล่มพื้นดินแตกแยก ครั้งหนึ่งในนั้นหากไม่เป็นเพราะหรงช่างออกกระบี่ นางก็คงต้องตกอยู่ในสถานการณ์อับจนสิ้นหวัง เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่ต่อสู้จนเลือดขึ้นตาแล้ว ดังนั้นกู้โม่ที่บาดเจ็บไม่น้อยจึงยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินทาง นางไปที่แคว้นอู่หลิงมาก่อนรอบหนึ่ง ไล่ตามไปพบเบาะแสจึงย้อนกลับมา ยังท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงแห่งนี้ ไม่เคยมีเวลาได้พักผ่อนรักษาร่างกาย หรงช่างเกลี้ยกล่อมอยู่สองครั้งก็ยังไร้ผล จึงได้แต่ล้มเลิกความคิด เพราะถึงอย่างไร กู้โม่ก็ไม่ใช่คนในสำนักของตน
หลังจากที่รู้ว่าไท่เสียหยวนจวินลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรงช่างก็รีบส่งข่าวกระบี่บินไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งแจกันสมบัติทวีปซึ่งได้นัดหมายกับอาจารย์ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วทันที
จากนั้นไม่นานอาจารย์ก็ส่งกระบี่บินกลับมาที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง บอกเขาว่า ต้องดูแลความปลอดภัยของสตรีผู้นั้นให้ดี ห้ามให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดใดๆ ขึ้นอีก ไม่อย่างนั้นจะมาเอาเรื่องกับเขา
หรงช่างรู้จักนิสัยของลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ดียิ่งกว่าใคร รู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่คำพูด เพราะแรงโทสะอย่างแน่นอน
นิสัยของอาจารย์นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่ต้องให้ลูกศิษย์ทั้งสำนักคาดเดากันไป ส่งเดช ยกตัวอย่างเช่นเขาหรงช่างยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้เสียที ลี่ไฉ่เห็นเขาจึงขวางหูขวางตา
ทุกครั้งที่พบหน้ากันจะต้องลงมือสั่งสอนเขาคำรบหนึ่ง ต่อให้หรงช่างจะแค่ ขี่กระบี่ไปกลับ แต่ขอแค่ดันบังเอิญไปโผล่ให้อาจารย์ที่กำลังชมทัศนียภาพอย่างที่ หาได้ยากมองเห็นเข้าพอดี ก็จะต้องถูกกระบี่หนึ่งฟันเข้าใส่
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่
แม้กู้โม่จะอารมณ์ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังคงทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้แก่หรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ด้วยการพูดกับสตรีคนนั้นว่า “เจ้าก็คือสุยจิ่งเฉิงกระมัง? เจ้าถือเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของไท่เสียหยวนจวินผู้เป็นอาจารย์ข้า หลังจากนี้ บนเส้นทางการฝึกตนของเจ้าจะมีผู้ปกป้องมรรคา ซึ่งก็คือข้ากู้โม่ แต่เจ้าวางใจเถอะ นอกจากนี้จะชี้แนะวิชาบังคับกระบี่วิชาหนึ่งให้แก่เจ้าแล้ว เจ้าจะไปไหนก็ได้ตามใจ ขึ้นเขาลงห้วย ล้วนไปได้หมด ไม่มีใครบังคับเจ้า ข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ที่อยู่บนร่างเจ้าตัวนั้น หลังจากนี้ก็จะเป็นของของเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ปิ่นทอง ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ หนึ่งในปิ่นทองสามชิ้น เจ้าต้องเอาออกมา ในอนาคต ทางสำนักจะมีการเตรียมการอย่างอื่นสำหรับเจ้า แต่ข้าก็จะนำสมบัติอาคมชิ้นอื่น มาแลกเปลี่ยนกับเจ้า ระดับขั้นย่อมเท่ากัน ไม่มีทางแย่กว่า”
ส่วนหลิวจิ่งหลงนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ร่ายเวทอำพรางตา กู้โม่จึงทำเป็นว่า มองไม่เห็น ไม่รู้จัก
ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนประหลาดคนหนึ่งที่ตบะสูงมาก พรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ชื่อเสียงก็โด่งดัง แต่กลับอืดอาดจู้จี้มากเป็นพิเศษ
กู้โม่ไม่ยินดีจะทักทายปราศรัยกับเขา
การคบค้าสมาคมกับผู้อื่น?
การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นของสายไท่เสีย แต่ไหนแต่ไรมาจะคบค้ากับแค่พวก ผู้ฝึกตนที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเท่านั้น ต่อให้เจ้าจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง ก็สามารถกลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์บนภูเขาได้เช่นกัน แต่นอกเหนือ จากนี้ ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน แล้วจะเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า?
สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ครั้นจึงกัดฟัน เดินไปหยุดอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง ถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้าอยากไปเที่ยวดูที่แจกันสมบัติทวีป ได้หรือไม่?”
กู้โม่ที่ยืนอยู่บนใบบัวชำเลืองตามองหรงช่างที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง
หรงช่างจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทางที่ดีที่สุดควรอยู่ในอุตรกุรุทวีป”
เพราะหากไม่ผิดไปจากที่คาด ลี่ไฉ่อาจารย์ของเขาคงอยู่ระหว่างการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว
สุยจิ่งเฉิงรีบหยิบปิ่นทองสามชิ้นออกมา “ปิ่นทองสามชิ้นนี้ ข้าสามารถคืนให้กับพวกเจ้า หากเป็นไปได้ ข้าอยากจะติดตามผู้อาวุโสท่านหนึ่งฝึกตน ข้าพูดว่า หากเป็นไปได้ แต่ถ้าไท่เสียหยวนจวินไม่ตอบตกลง ยังคงจะให้ข้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปท่องเที่ยวแจกันสมบัติทวีปให้เสร็จก่อนได้หรือไม่? หลังจากการเดินทางจบลง ข้าย่อมกลับคืนมายังอุตรกุรุทวีป แล้วจะไปขออภัย หยวนจวิน…”
กู้โม่คำรามอย่างเดือดดาล “หยุดพูดจาเหลวไหลสักที!”
หรงช่างเองก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
คำกล่าวของสตรีผู้นี้ไม่มีปัญหาใดๆ ทว่ามันกลับแทงใจดำของกู้โม่พอดี
หยวนจวินท่านหนึ่งสิ้นชีพลาจากโลกไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในตระกูลเซียนที่มีอักษรจง ในชื่อแห่งใดก็ล้วนถือเป็นความโชคร้ายใหญ่เทียมฟ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่กู้โม่ ยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลี่อวี๋อีก
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจอยู่ในใจ พอจะเดาออกแล้วว่าน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นกับ ไท่เสียหยวนจวิน
แต่ฉีจิ่งหลงก็ยังพูดด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่งว่า “มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ”
สีหน้ากู้โม่เย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง สายตาจับจ้องฉีจิ่งหลงเขม็ง “เจ้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง มีคุณสมบัติมาเอ่ยปากแทรกด้วยหรือ?!”
ฉีจิ่งหลงพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้กำลังหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต อยู่ในช่วงที่เป็นกุญแจสำคัญ แม่นางกู้กับเซียนกระบี่หรงก็น่าจะรู้ชัดเจนดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราสามารถนั่งลงแล้วคุยกันช้าๆ ได้หรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับอย่างแรง ยังคงค้างอยู่ในท่ามือหนึ่งยื่นออกไป ฝ่ามือของนางแบออก บนฝ่ามือก็คือปิ่นทองทั้งสามชิ้น
หรงช่างพลันขมวดคิ้วมุ่น
ขออย่าให้เป็นทัณฑ์หายนะนั้นเลย!
นั่นคือด่านบนภูเขาที่มองดูเหมือนไร้อันตรายที่สุด ทว่ากลับมีสายใยเชื่อมโยงไว้แนบแน่นที่สุด
การที่ไท่เสียหยวนจวินล้มเหลวในการปิดด่าน อันที่จริงก็เกี่ยวพันกับโชควาสนาในการฝึกตนของสตรีผู้นี้ด้วย หากสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องตกอยู่ท่ามกลางชะตาแห่งหายนะอีกครั้ง นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นปัญหาดั่งเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ
หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นหรงช่างก็ไม่อาจนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ได้อีก
ริ้วคลื่นบางอย่างในทะเลสาบหัวใจสามารถสยบไว้ได้แต่เนิ่นๆ แต่หากปล่อยให้เสี้ยวอารมณ์ใดๆ ถือกำเนิดอย่างกำเริบเสิบสาน ก็จะเหมือนสระน้ำข้างฝ่าเท้าที่กลายเป็นนาใบบัว แล้วจะตัดสะบั้นได้อย่างไร? หากต้องลงมือตัดขาดจริงๆ ก็ยังต้องทำลายรากฐานมหามรรคาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “มหามรรคาเดินได้ยากลำบาก ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะยิ่งใคร่ครวญอย่างช้าๆ ไม่ใช่หรือ? แค่รอสักชั่วครู่ชั่วยามก็คง ไม่ถือว่าข้าทำให้พวกเจ้าลำบากใจหรอกกระมัง?”
กู้โม่หัวเราะเสียงหยัน “หนึ่งชั่วยามหรือว่าครึ่งวันกันล่ะ?”
ฉีจิ่งหลงขมวดคิ้ว แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ขอร้องทั้งสองท่านโปรดรอให้การหล่อหลอมของสหายข้าสำเร็จเสียก่อน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าสามฝ่าย ก็ปรึกษากัน ใครผูกคนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้ ไม่แน่ว่าเมื่อเทียบกับการตัดสินใจ อย่างฉุกละหุกของพวกเจ้าในตอนนี้ สถานการณ์อาจจะดีมากกว่าเดิมก็ได้”
หรงช่างรู้สึกว่าคำพูดของฉีจิ่งหลงนั้นถูกต้องแล้ว
แต่ปัญหาก็คือ ใครผูกคนนั้นก็ต้องแก้ อันนี้ไม่ผิดก็จริง แต่หากคนผู้นั้นไม่รู้จักดีชั่ว ผูกแล้วยังไม่ยินดีจะแก้ กลับกันยังพูดจาท้าทาย ด้วยสภาพจิตใจของสตรีในเวลานี้ นี่ไม่ต่างจากการกระตุกเชือกให้แน่นเข้า ปมนั้นก็มีแต่จะยิ่งแก้ยากยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นหรงช่างจึงรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง
กู้โม่หลุดหัวเราะพรืด “ทำไม จะอาศัยว่าตัวเองมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียง อีกทั้งตบะยังสูงมาก ก็เลยรู้สึกตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ? ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ คนนอกอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาชี้มือชี้ไม้อยู่ที่นี่? เจ้าไม่รู้สึก อายบ้างเลยหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตอนนี้คือสถานการณ์ที่เชื่อมโยงติดต่อกัน หากพวกเจ้าพิจารณาถึงมหามรรคาของสุยจิ่งเฉิงจากใจจริงก็ไม่ควรจะฟังเสียงในใจของนาง บ้างหรือ? พวกเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ความหวังดีของพวกเจ้าจะไม่กลายเป็น เรื่องร้าย? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หายนะแอบแฝงหลายอย่าง คิดจะหนีก็คงหนีไม่พ้น คิดจะหลบก็หลบไม่ได้ ข้าเชื่อว่ารอให้เพื่อนคนนั้นของข้าเดินออกมาจากห้องแล้ว เขาย่อมฟังเหตุผลของพวกเจ้าแน่นอน หากสุดท้ายแล้วยังพบว่าเหตุผลของแม่นาง สุยเล็กเกินไปจริงๆ และเหตุผลของข้าฉีจิ่งหลงก็เอนเอียงเกินไป ถ้าอย่างนั้นย่อมดีที่สุด เพราะหากว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถปรึกษากันจนกว่าจะได้วิธีรับมือที่เหมาะสม มีเพียงเรียบเรียงเส้นสายเหล่านี้ให้ชัดเจนเท่านั้นถึงจะสามารถคลายปมเงื่อนได้ อย่างแท้จริง…”
กู้โม่พูดอย่างเดือดดาล “ฉีจิ่งหลง ไยเจ้าช่างน่ารำคาญนัก! เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ยังต้องให้เจ้ามาชี้แนะสั่งสอนอยู่อีกหรือ? นางมอบปิ่นทอง เดินทางออกไปจากท่าเรือหัวมังกรพร้อมกับพวกเรา นอกจากแจกันสมบัติทวีปแล้ว อยู่ในอุตรกุรุทวีป มีที่ใดบ้างที่นางจะไปไม่ได้?”
สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปมองทางห้องแห่งนั้นแวบหนึ่ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “ข้าจะไปกับพวกเจ้าก็ได้”
ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กังวลว่าจะทำให้ท่านเฉินเดือดร้อนหรือ? หรือว่าเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ?”
สุยจิ่งเฉิงน้ำตาคลอเจียนจะหยด กำปิ่นทองสามชิ้นในมือไว้แน่น
ฉีจิ่งหลงพยักหน้า แล้วถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นหากข้าบอกว่า ขอแค่ข้าฉีจิ่งหลงยืนอยู่ตรงนี้ ผู้อาวุโสของเจ้าก็สามารถหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างสบายใจ เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร? ครั้งนี้ข้าสามารถให้คำตอบที่แน่นอนแก่เจ้าได้ ข้าสามารถรับรองได้ว่า เรื่องที่เกิดในห้องของเฉินผิงอัน เป็นเรื่องของเขาเอง จะสำเร็จหรือไม่
ข้าไม่กล้าพูดอะไร แต่เรื่องที่เกิดนอกห้องในวันนี้ มีข้าอยู่ ก็มั่นใจได้เต็มร้อยว่า ไม่มีวันพลาด”
น้ำตาเอ่อคลอกลบดวงตาของสุยจิ่งเฉิง “ต่อให้ข้าจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็จะต้องบอกลาผู้อาวุโสก่อนให้ได้ แต่ข้าก็ยังกลัวว่า…”
ฉีจิ่งหลงหันหน้ากลับมา พูดกลั้วหัวเราะว่า “กลัวอะไรเล่า เจ้าคิดว่าเหตุผลของท่านเฉินกับท่านหลิวไม่สามารถเอามากินแทนข้าวได้จริงๆ หรือ?”
สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าตื่นตระหนก
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “ละวางสิ่งที่พึงละวางก็เพื่อกระทำสิ่งที่พึงกระทำ”
ฉีจิ่งหลงมองไปทางกู้โม่ที่โมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “ข้ารู้ว่าแม่นางกู้ไม่ใช่ คนป่าเถื่อนไร้เหตุผล เพียงแต่ตอนนี้จิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง ถึงได้มีคำพูดและการกระทำเช่นนี้”
แล้วฉีจิ่งหลงก็หันหน้าไปมองผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นั้น “ข้าเองก็รู้ว่าเซียนกระบี่หรงมีใจคิดคำนึงถึง ซึ่งเป็นความหวังดี”
กู้โม่หัวเราะเสียงเย็นชา “โอ้โห อีกเดี๋ยวก็ต้องพูดว่า ‘แต่ว่า’ ด้วยหรือเปล่าล่ะ?!”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้ายืนอยู่ตรงนี้ก็คือคำว่า ‘แต่ว่า’ นั่นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดออกมา”
หรงช่างคิดแล้วก็เอ่ยว่า “แค่ประลองกระบี่หนึ่งครั้ง เป็นอย่างไร?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไม่มองหรงช่างอีก เขาเบนสายตามองไปยังกู้โม่ แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”
ในใจกู้โม่เกิดความหวาดผวาพรั่นพรึง พลันหันขวับกลับไปมอง
หรงช่างยืนนิ่งไม่ขยับ ได้แต่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ศึกบนภูเขาตี่ลี่ เป็นพวกเจ้าสองคนที่พากันหยุดมือจริงๆ”
เวลานี้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นี้เหมือนตกอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของฉีจิ่งหลงมีนามว่า ‘กฎเกณฑ์’ ว่ากันว่ามาจาก คัมภีร์ของอริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งในอดีต แต่ในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้แทบจะไม่มีใครรู้แล้วว่ากระบี่บินที่มีชื่อประหลาดเล่มนี้มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตแบบใดกันแน่
กู้โม่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าซีดขาวราวหิมะ มือสองข้างเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ
ฉีจิ่งหลงตวาดเบาๆ “สงบสติอารมณ์ รวบรวมลมปราณและจิตใจให้สงบ อย่าได้ทำอะไรเหลวไหล!”
กู้โม่เหมือนถูกตวาดให้ได้สติ นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งถึงจะสงบสติอารมณ์ได้ แล้วมองไปยังผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นด้วยอารมณ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง
และเวลานี้เอง คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวเหมือนกับฉีจิ่งหลงก็เดินออกมาจากในห้องแห่งนั้น “ขอโทษที ทำให้ทั้งสองท่านรอนานแล้ว”