Skip to content

Sword of Coming 527

บทที่ 527 ดึงเส้นที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาก็คือปราณสังหาร

เรือข้ามฟากของท่าเรือหัวมังกรที่มุ่งหน้าไปยังชายหาดโครงกระดูกที่อยู่ทาง ทิศใต้ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่กลางอากาศช้าๆ รัศมีแสงที่อาบทออยู่ริมขอบฟ้าเรื่อเรือง ดุจแพรต่วนสีแดงสด

กู้โม่ที่นอนฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงหลั่งน้ำตาเงียบๆ อาจารย์เคยบอกว่า ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของนางก็คือการได้บินทะยานท่ามกลาง แสงระยิบระยับริมขอบฟ้าเช่นนี้

ตอนนั้นกู้โม่ยังเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่รู้ความ จึงถามอาจารย์ไปว่าบินทะยานมีอะไรดี?

ตอนนั้นอาจารย์เพียงแค่มองไปยังแสงสนธยาที่จับขอบฟ้า ไม่ได้บอกอะไรแก่เด็กสาว

ไม่ใช่ว่ากู้โม่เสียใจที่ตัวเองสูญเสียที่พึ่งไป นักพรตชายหญิงของสายไท่เสียลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ขอแค่ยังไม่ตายก็อย่าได้หวังว่าจะกลับมาร้องทุกข์กับอาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสได้ แต่ตายไปแล้วจะยังมาร่ำร้องฟ้องทุกข์อีกได้อย่างไร? กู้โม่รู้สึกว่าอาจารย์พูดจาไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่ก็คล้ายว่าจะมีเหตุผลอย่างมาก

สุยจิ่งเฉิงยืนอยู่ข้างกายกู้โม่

หรงช่างไม่ได้ปรากฏตัว กลับเป็นฉีจิ่งหลงที่ยืนอยู่ห่างจากพวกนางไปไม่ไกล เพราะว่าเรือข้ามฟากต้องเดินทางลงใต้ ถือว่าเป็นทางผ่าน เนื่องจากเส้นทางการเดินเรือจะต้องผ่านอาณาเขตของราชวงศ์ต้าจ้วน

แต่เพียงไม่นานฉีจิ่งหลงก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง

บนพื้นดิน ชุดเขียวของเฉินผิงอันเริ่มเดินเท้าไปทางทิศเหนือ มุ่งหน้าไปยังจุดที่ ลำน้ำสายใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว

กู้โม่กับสุยจิ่งเฉิงเป็นเพื่อนบ้านกันบนเรือข้ามฟาก เวลานี้อาการบาดเจ็บของกู้โม่ได้กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว นางเดินเข้าห้องไปพร้อมกับสุยจิ่งเฉิงอย่างเปิดเผย รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อย ทั้งยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สีหน้าที่บอกว่าข้าต้องการฝึกตนเพียงลำพังของสุยจิ่งเฉิง ใบหน้ากู้โม่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยสภาพจิตใจที่วุ่นวายของเจ้าสุยจิ่งเฉิงในตอนนี้ ยังจะสามารถสงบจิตใจเข้าฌานทำสมาธิได้อีกหรือ? ไปหลอกผีเถอะ

กู้โม่ถาม “คนแซ่เฉินผู้นั้นไม่ได้มอบของแทนใจไว้ให้เจ้าบ้างเลยหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงไม่สนใจผู้ฝึกตนหญิงที่ปากไร้หูรูดผู้นี้

กู้โม่ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กในมือของนาง ด้วยตบะขอบเขตคอขวดประตูมังกรของนาง แน่นอนว่าย่อมมองเวทอำพรางตาระดับขั้น ต่ำเตี้ยของเจ้าหมอนั่นออกในปราดเดียว “ของเล่นชิ้นนี้น่ะหรือ? คุณภาพวัสดุ ไม่ธรรมดา รูปร่างก็ถือว่าพอจะใช้ได้ แต่เจ้าสุยจิ่งเฉิงหน้าตางดงามปานนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าไอ้หมอนั่นไม่มีความจริงใจเอาซะเลย สุยจิ่งเฉิง ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าจริงๆ นะ แต่เจ้าอย่าได้ถูกคำหวานของไอ้หมอนั่นมอมเมาจิตใจเด็ดขาดเชียว”

สุยจิ่งเฉิงปลดผ้าคลุมหน้าออก วางไม้เท้าไว้บนโต๊ะ นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกู้โม่ ฟุบตัวนอนกับหน้าโต๊ะ

กู้โม่มองประเมินสาวงามตระกูลสุยผู้นี้แล้วก็จุ๊ปากดังๆ

ใต้หล้านี้ขอแค่เป็นสตรีที่งดงามอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ก็ล้วนเป็นทัศนียภาพที่น่ามองได้ทั้งสิ้น

รอจนสุยจิ่งเฉิงเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง รูปโฉมของนางมีแต่จะยิ่งเพริศพริ้ง เจิดจรัสมากกว่าเดิม ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งงามยิ่งกว่านี้หรอกหรือ? กู้โม่อดไม่ไหวยื่นมือออกไปหมายจะลูบใบหน้าที่อ่อนนุ่มของสุยจิ่งเฉิง

สุยจิ่งเฉิงปัดมือกู้โม่ทิ้ง ยืดเอวนั่งตัวตรง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เทพธิดากู้ ขอเจ้าโปรดสำรวมตนด้วย!”

กู้โม่กลอกตามองบน ดื่มน้ำชารวดเดียวหมดถ้วย พอวางถ้วยชาลงแล้วก็ ถามเบาๆ ว่า “ได้ยินมาว่าเจ้ากับเจ้าคนแซ่เฉินเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันมา หลายแคว้น หากต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เวลาปกติจะอาบน้ำอย่างไร? อีกอย่างเจ้าคงยังไม่ได้สังหารมังกรแดงกระมัง (มังกรแดงคือคำเปรียบเปรยถึงประจำเดือนของสตรี) จะไม่ยุ่งยากหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างเฉยเมย “เทพธิดากู้คือเทพเซียนที่ฝึกบำเพ็ญตน ถามเรื่องพวกนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรกระมัง?”

กู้โม่หัวเราะคิก “ฝึกตนก็ไม่ใช่คนแล้วหรือ? ผู้ฝึกตนหญิงก็ยังเป็นสตรี อยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือไร? ข้าถามเรื่องพวกนี้ ข้าไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญ เกล็ดหิมะเดียว เจ้าเองก็ไม่ต้องเสียเหรียญเกล็ดหิมะสักเหรียญเหมือนกัน ลองเล่า ให้ฟังบ้างสิ”

สุยจิ่งเฉิงพูดเสียงหนัก “ผู้อาวุโสคือวิญญูชนที่เที่ยงตรง เทพธิดากู้ ข้าจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดประเภทนี้อีก!”

กู้โม่มีสีหน้าตกตะลึง “นี่เจ้าโกรธแล้วก็จะให้เซียนกระบี่หรงฟันข้าให้ตายด้วยกระบี่เดียวเลยหรือไม่?”

จากนั้นกู้โม่ก็ใช้หัวโขกผิวหน้าโต๊ะแรงๆ ร่างโน้มเอียงมาด้านหน้า สองมือปัดป่ายสะเปะสะปะ “อย่านะ ข้ากลัวตาย…”

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ หรงช่างที่อยู่ด้านนอกเอ่ยว่า “ข้าเอง”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รีบเอ่ยว่า “เชิญเข้ามา”

กู้โม่กลับมานั่งตัวตรงอย่างสำรวมแล้ว เวลานี้กำลังจิบชาช้าๆ

ดูเหมือนว่าหรงช่างจะเห็นมาจนชินตา พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยกับสุยจิ่งเฉิงว่า “ต่อจากนี้พวกเราจะต้องไปที่ชายหาดโครงกระดูกซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของ อุตรกุรุทวีป หลังจากนั้นก็ยิ่งต้องข้ามทวีปไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ข้าจะบอกข้อห้ามบางอย่างบนภูเขากับเจ้า อาจจะเป็นเรื่องที่ยิบย่อยไปสักหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ แม้ว่าแจกันสมบัติทวีปจะเป็นทวีปที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาล แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมี คนมหัศจรรย์น้อยกว่าที่อื่น พวกเรายังคงต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม”

อันที่จริงหรงช่างรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ตอนอยู่ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เขาเองก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนใจเย็นเท่าไรนัก เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาจารย์อย่างลี่ไฉ่แล้วจึงดูอ่อนโยนน่าเข้าใกล้มากกว่าอย่าง เห็นได้ชัด

นิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร มีเพียงผู้ฝึกตนที่บ้างก็บาดเจ็บบ้างก็ตายอยู่ ใต้คมกระบี่ของเขาหรงช่างเท่านั้นที่ถึงจะรู้ดีที่สุด

ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีน้ำหนักความสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในภาคกลางของอุตรกุรุทวีป อยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิง อันที่จริงเขาเองก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่หลายคน ในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขามีคำกล่าวที่บอกว่าเด็กกตัญญูได้เพราะไม้เรียว และเมื่ออยู่กับเขาหรงช่าง ก็คือกินกระบี่หลายๆ ทีเพิ่มตบะ

แต่เมื่อต้องมาอยู่กับสุยจิ่งเฉิงที่เป็นศิษย์น้องหญิงเล็กครึ่งตัว แน่นอนว่าหรงช่างย่อมมีความอดทนมากกว่าอยู่กับคนอื่นๆ

สุยจิ่งเฉิงตั้งใจรับฟังคำอธิบายที่ยาวเหยียดของหรงช่าง

กู้โม่ไม่ถือว่าเป็นคนนอก หรงช่างย่อมไม่มีทางขับไล่นาง นางเองก็ไม่มีความคิดที่จะออกไปด้วยตัวเอง เอาแต่นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นถ้วยแล้วถ้วยเล่า บางครั้งก็อ้าปาก หาวหวอด ยอมรับฟังคำสั่งสอนที่จืดชืดน่าเบื่อหน่าย แต่ไม่ยอมไปอยู่ในห้องของตัวเอง

หรงช่างพรูลมหายใจยาวเหยียด ดูเหมือนว่าสุยจิ่งเฉิงจะเรียนรู้กฎเกณฑ์บนภูเขาหลายอย่างมากจากคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นแล้ว

อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์น้องหญิงเล็กที่ตัวเองคุ้นเคย นางก็แตกต่างไปจริงๆ

ศิษย์น้องหญิงเล็กคือคนที่ใจเย็นที่สุด แล้วก็เป็นคนที่ใจร้อนที่สุดในทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เวลาที่อารมณ์ดีๆ ก็สามารถให้คำชี้แนะเรื่องเวทกระบี่ต่อพวกเด็กรุ่นหลังในสำนักได้เป็นเวลานาน ทุ่มเทแรงกายแรงใจยิ่งกว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาเสียอีก แต่เวลาอารมณ์เสีย ขนาดลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ยังจนปัญญา มีครั้งหนึ่งเดินทางกลับมาจาก การท่องเที่ยว หลังจากที่ศิษย์น้องเล็กที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดจึงได้โต้เถียงกับอาจารย์ ผู้เป็นเซียนกระบี่ที่คิดว่าตัวเองถูกมากกว่าแล้ว ศิษย์น้องหญิงเล็กก็ถูกอาจารย์ที่ เดือดดาลอย่างหนักพันธนาการตบะจนเหลือเพียงขอบเขตถ้ำสถิต แล้วถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้น้ำของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงนานถึงครึ่งปี

ตอนที่ถูกกระชากขึ้นฝั่ง ลมหายใจของนางก็รวยรินเต็มทีแล้ว อาจารย์ถามนางว่าสำนึกผิดแล้วหรือยัง ผลคือศิษย์น้องหญิงเล็กตอบว่า ทัศนียภาพด้านล่างทะเลสาบงดงามอย่างถึงที่สุด นางยังดูไม่พอเลย

สุดท้ายอาจารย์ก็เลยกวาดตามองไปรอบด้านด้วยสายตาเย็นชาปานน้ำแข็ง ดังนั้นเขาหรงช่างที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่จึงแข็งใจเป็นฝ่ายเดินออกมาจากกลุ่มคน แน่นอนว่า ยังไม่ลืมใช้เสียงในใจเรียกพวกศิษย์น้องชายหญิงคนอื่นๆ ให้ทุกคนพากันพูดว่ายินดีรับโทษแทนศิษย์น้องหญิงเล็ก อาจารย์ถึงได้ผลักเรือตามกระแสน้ำ ตบรางวัลให้ทุกคนหนึ่งกระบี่ พอได้ระบายโทสะไปบ้างแล้ว นางถึงได้ไปจากชายฝั่ง

หลังจบเรื่องหรงช่างเกือบจะถูกศิษย์น้องชายหญิงจับมือกันมาไล่ฆ่า เขาหรงช่างเอง ก็ได้รับความอยุติธรรมเหมือนกัน อีกทั้งยังไม่อาจเปิดเผยความลับสวรรค์นี้ได้ ก็เลย ได้แต่หนีออกจากสำนักมาหลบภัย ตอนนั้นท่านอาจารย์ผู้อาวุโสได้ใช้เสียงในใจ บอกกับเขาคนเดียวว่าให้รีบไสหัวออกมารับโทษ

หัดนำมาดของศิษย์พี่ใหญ่มาใช้เสียบ้าง แล้วข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า?! วิธีการเล่นงานคนอื่นของอาจารย์นั้นไม่แย่ไปกว่าเวทกระบี่ของนางเลยใช่ไหมล่ะ?

แต่ถึงอย่างไรทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ดีมากๆ

ยกตัวอย่างเช่นทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมีกฎของศาลบรรพจารย์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง ‘ลูกศิษย์ทุกคนที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ห้ามใช้สถานะของ ผู้ฝึกกระบี่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเด็ดขาด แต่หากเจอกับคนที่สู้ไม่ได้จริงๆ ก็ให้ใช้ สามขั้นตอนนี้ ข้อแรก รีบหนีไป ข้อที่สอง หากหนีไม่รอดก็ให้บอกชื่อของลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ข้อสาม หากชื่อของลี่ไฉ่ใช้ไม่ได้ผล ก่อนตายก็อย่าลืมใช้ ยันต์กระบี่ของศาลบรรพจารย์ส่งข่าวมาบอกชื่อแซ่ของศัตรู ในอนาคตเมื่อวิญญาณกลับคืนสู่จุดฝังกระบี่ของสำนัก ย่อมต้องมีศีรษะของศัตรูอยู่เคียงข้างอย่างแน่นอน’

หรงช่างย่อมหวังให้ศิษย์น้องหญิงเล็กพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด อยากให้นางได้กลายเป็นเซียนกระบี่ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงคนที่สอง

ส่วนตนนั้น มีความหวังไม่มากแล้ว

ฝึกตนมาจนถึงขอบเขตก่อกำเนิด สุดท้ายแล้วจะสามารถเดินไปได้ไกลมาก แค่ไหน อันที่จริงเขาเองก็รู้ดีอยู่ในใจ

ฝึกตนจนกลายเป็นโอสถทอง ก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า

แต่หากสร้างโอสถได้สำเร็จ นอกจากจะเป็นความโชคดีใหญ่เทียมฟ้าแล้ว จะยังเกิดเส้นแบ่งที่ยิ่งเด่นชัดมากกว่าเดิมอีกเส้นหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกับปัญญาชนที่ร่วมสอบเคอจวี่ของราชวงศ์โลกมนุษย์ที่เหมือนกับ ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร บางคนได้สถานะเป็นถงจิ้นซื่อ

(ในยุคราชวงศ์ซ่ง จิ้นซื่อแบ่งออกเป็นห้าระดับ ถงจิ้นซื่อก็คือระดับห้า ส่วนยุคราชวงศ์ชิงและหมิงแบ่งจิ้นซื่อออกเป็นสามระดับ ถงจิ้นซื่อก็คือระดับสาม)

ก็ดีใจเจียนคลั่งแล้ว รู้สึกว่าบนหลุมศพบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดลอยขึ้นมา เหมือนอยู่กันคนละโลก ต่อให้ผ่านไปนานหลายสิบปีก็ยังคงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่นั้น คนเหล่านี้ก็เหมือนผู้ฝึกตนอิสระ เหมือนจวนตระกูลเซียนบนภูเขาลูกเล็กๆ ที่ไม่เคยได้พบเจอผู้มีพรสวรรค์ด้าน การฝึกตนมาหลายร้อยปี

แต่บางคนที่ได้เป็นจิ้นซื่อระดับสอง บางคนอาจปิติยินดีเป็นล้นพ้น แต่บางคนอาจจะยังรู้สึกเสียดาย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเทียบได้กับเซียนซือทำเนียบ วงศ์ตระกูลบนภูเขาใหญ่

บางคนที่ได้เป็นปั้งเหยี่ยน ถั่นฮวาซึ่งเป็นสามระดับของจิ้นซื่ออันดับหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ คนกลุ่มเล็กๆ เพียงหยิบมือนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกศิษย์ผู้ได้รับการสืบทอดของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อ

และยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่คว้าชัยชนะ ได้เป็นจ้วงหยวน แต่กลับเป็นเพียงแค่เพราะจ้วงหยวนคือลำดับที่สูงที่สุด เพียงแค่นี้เท่านั้น

หลิวจิ่งหลงสามารถนับเป็นคนหนึ่งในนั้น

ส่วน ‘ผู้ฝึกตนอายุน้อย’ สองคนที่อยู่เบื้องหน้าของหลิวจิ่งหลงนั้น แน่นอนว่ายิ่งเป็นเช่นนี้

กู้โม่ รวมไปถึงศิษย์พี่หญิงของหลิวจิ่งหลง และยังมีเขาหรงช่าง ตอนนี้ต่างคน ต่างมีขอบเขตแตกต่างกันไป แต่ผลสำเร็จในท้ายที่สุดก็น่าจะไม่ต่างกันสักเท่าไร สามารถวาดหวังว่าจะเป็นขอบเขตหยกดิบได้ แต่นั่นก็มีแค่ความเป็นไปได้เท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงพลันเอ่ยประโยคที่อยู่นอกเหนือบทสนทนา “เซียนกระบี่หรง พวกเราจะแวะไปที่ตำหนักเกล็ดทองสักรอบหนึ่งได้หรือไม่?”

หรงช่างยิ้มกล่าว “ไม่ผ่านทาง แต่ก็สามารถแวะไปได้”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกคลางแคลงไม่เข้าใจ หรือเขาจะพานางทะยานลมไปเยือน ตำหนักเกล็ดทอง จากนั้นก็ค่อยรีบร้อนกลับขึ้นมาบนเรือข้ามฟากอย่างนั้นหรือ?

หรงช่างจึงอธิบายว่า “ก็แค่ทุ่มเงินน่ะ เรือข้ามฟากต้องรับปากแน่นอน และก็จะต้องมีการชดเชยให้แก่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็แค่ต้องเดินทางอ้อมไปสองสามวันเท่านั้น”

สุยจิ่งเฉิงถาม “หากผู้โดยสารบนเรือไม่ยินดีรับเงินล่ะ?”

หรงช่างยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งมอบเงินให้พวกเขา พวกเขา ก็ควรจะจุดธูปไหว้พระถึงจะถูก”

สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า

หรงช่างพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ที่พูดกับเจ้า ส่วนใหญ่เป็นข้อห้ามและขนบธรรมเนียมของแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้เรือข้ามฟากยังลอยอยู่เหนือ อาณาเขตของอุตรกุรุทวีป นี่ก็คือกฎเกณฑ์บนภูเขาของพวกเรา”

สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าดีกว่า วันหน้ารอให้ข้าฝึกตน ประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ค่อยไปทวงความยุติธรรมคืนจากตำหนักเกล็ดทอง”

คราวนี้กลายเป็นหรงช่างที่ต้องส่ายหัวบ้างแล้ว

กู้โม่ก็ยิ่งหัวเราะจนปากกว้างจนหุบไม่ลง

ได้ยินมาว่าดูเหมือนตำหนักเกล็ดทองแห่งนั้นจะมีก่อกำเนิดไม่ทราบชื่อคนหนึ่ง นั่งบัญชาการณ์อยู่ พลังการต่อสู้ที่แท้จริงย่อมต้องเป็นพวกเศษสวะในกลุ่มก่อกำเนิดแน่นอน แต่หากสุยจิ่งเฉิงคิดจะชำระแค้นด้วยตัวเอง นี่ก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดนางต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองถึงจะได้

ผู้ฝึกกระบี่ชำระแค้นหรือคิดจะประลองกระบี่กับตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นเรื่องของหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เสมอ คิดจะเป็นศัตรูกับภูเขาทั้งลูก อันดับแรกต้องทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาแม่น้ำให้ได้เสียก่อน จากนั้นก็ฝ่า ค่ายกลใหญ่ล้อมสังหารที่เหล่าผู้ฝึกตนพร้อมใจกันโยนสมบัติอาคมออกมา สุดท้าย ถึงจะเป็นการเข่นฆ่ากับพวกเสาคานที่ฝึกตนอยู่ในสำนัก นี่ก็เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธหนึ่งคนหนึ่งม้าที่ฝ่าทะลวงขบวนพลเดินเท้าสวมเกราะหนักบนสนามรบ ไม่ใช่เรื่อง ที่สามารถเอามาล้อเล่นกันได้ ในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป มีผู้ฝึกกระบี่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่ตายไปเพราะการประลองกระบี่กี่มากน้อย?

สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก แต่ก็ไม่เป็นไร”

หรงช่างคิดในใจว่า นั่นก็ไม่แน่เสมอไปหรอก

ขอแค่วันใดเจ้าได้กลับไปเป็นศิษย์น้องหญิงเล็กแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่ จิตวิญญาณครบถ้วนได้อีกครั้ง

สุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เซียนกระบี่หรง ข้ารู้สึกว่า การเดินทางไกลเพื่อฝึกประสบการณ์ ถึงอย่างไรก็ควรระมัดระวังตัวไว้ก่อนจึงจะดี”

หรงช่างกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ตกลง”

กู้โม่เองก็พยักหน้าแล้วเอ่ยคล้อยตามว่า “เซียนกระบี่หรง ต้องระวังตัวนะ คำพูดเก่าแก่มากมายในยุทธภพ ถึงอย่างไรก็ควรต้องฟังเอาไว้บ้าง”

สุยจิ่งเฉิงไม่สนใจคำสัพยอกของกู้โม่ นางยังคงพูดต่อไปว่า “เซียนกระบี่หรง สายตาที่ท่านมองผู้โดยสารบางคนบนเรือข้ามฟาก ค่อนข้างจะชัดเจนไปสักหน่อย ตบะนั้นสามารถอำพรางไว้ได้ แต่ภาพบรรยากาศบางอย่างบนตัวของเซียนกระบี่ กลับยากที่จะปกปิด หากตกอยู่ในสายตาของคนที่มีใจ ย่อมทำให้พวกเขาเกิดใจ ระแวงภัยมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

แล้วถ้าเป็นพวกอันธพาลไม่กลัวตายจริงๆ ไม่แน่ว่าด้วยพลังการต่อสู้ขอบเขตถ้ำสถิต ก็อาจจะเรียกรวมพรรคพวกมา รวมตัวกันจนกลายเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร แล้วขอบเขตชมมหาสมุทรก็อาจกลายเป็นขอบเขตประตูมังกร อนุมานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นหายนะ”

สุยจิ่งเฉิงคิดแล้วก็เอ่ยอย่างเขินอายว่า “อาจเป็นเพราะตบะของข้าต่ำเกินไป ตลอดทางที่ท่องอยู่ในยุทธภพเคยพบเจอกับอันตรายอยู่หลายครั้ง บางทีเห็นลมพัด ได้ยินเสียงนกร้องก็เลยหวาดผวาไปหน่อย เซียนกระบี่หรงก็คิดเสียว่าข้าคือกบใต้บ่อ พูดจาเหลวไหลก็แล้วกัน”

กู้โม่กลับไม่เหลือสีหน้าหยอกล้ออย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ไม่ใช่บอกว่าเหตุผลของสุยจิ่งเฉิงนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง มากพอจะทำให้หรงช่างกริ่งเกรง แต่ผู้ฝึกตนครึ่งตัวที่อายุตั้งสามสิบกว่าปีแล้วแต่กลับเพิ่งเคยออกท่องยุทธภพแค่เพียงครั้งเดียว กลับมีจิตใจเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่…ยินดีใช้สมองมากกว่านางกู้โม่อย่างแน่นอน

หรงช่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าย่อมมีแผนการเป็นของตัวเอง”

จะดีจะชั่วเขาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง อีกทั้งยังลงมาจากภูเขาบ่อยๆ การเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายระหว่างคนที่ขอบเขตต่างกันก็เคยมีประสบการณ์หลายครั้ง

แต่คำเตือนของสุยจิ่งเฉิงก็ไม่ได้แย่เลย

ดูเหมือนว่าการที่ศิษย์น้องหญิงเล็กกลายมาเป็นสุยจิ่งเฉิงตรงหน้าผู้นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปทั้งหมด

ปีนั้นเมื่อศิษย์น้องหญิงเล็กสร้างหายนะใหญ่จนเป็นเหตุให้ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแตกหักกับสกุลหยางแห่งตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน ตัวนางเองก็ต้องจมอยู่ใต้ทะเลสาบครึ่งปี

หลังจากนั้นมาลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคยให้ศิษย์น้องหญิงเล็กออกไป ฝึกประสบการณ์นอกสำนักอีกเลย ตัวของศิษย์น้องหญิงเล็กเองก็ไม่ยินดีออกไปอีก เอาแต่ฝึกตนอยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิง กลายมาเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว ไม่สนใจเรื่องทางโลกอีกโดยสิ้นเชิง จากนั้นคนทั้งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงซึ่งรวมถึงตัวเจ้าสำนักอย่างลี่ไฉ่ต่างก็ต้องรู้สึกพรั่นผวา ไม่ใช่เป็นเพราะตบะของศิษย์น้องหญิงเล็กของ หรงช่างหยุดชะงัก แต่เป็นเพราะฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป!

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ยี่สิบปี กลับฝ่าทะลุสองคอขวดอย่างประตูมังกรและโอสถทองติดต่อกัน เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดโดยตรง นี่ก็คือความมั่นใจที่ทำให้ลี่ไฉ่ กล้าพูดว่าลูกศิษย์ที่ตนเองภาคภูมิใจคนนี้ย่อมต้องได้ติดอันดับคนหนุ่มสาวสิบคน รุ่นถัดไปของอุตรกุรุทวีปอย่างแน่นอน ทว่าแม้แต่หรงช่างก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงเสี้ยวหนึ่ง เพราะเขาคิดว่าการฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้ หากมองในระยะยาวแล้วก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะนำพาภัยแฝงยิ่งใหญ่มาให้ แน่นอนว่าลี่ไฉ่อาจารย์ของเขาต้องมองความจริงได้ชัดเจนยิ่งกว่า นี่ถึงได้มีการปิดด่านของศิษย์น้องหญิงเล็ก และการลงจากภูเขาไปเยือนแคว้นอู่หลิงอย่างเงียบเชียบของหลี่อวี๋ไท่เสียหยวนจวิน

วันนี้สุยจิ่งเฉิงคืนปิ่นทองที่สลักคำว่า ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ ให้กับกู้โม่ แต่ว่าอิงตามสัญญาลับ ที่นางกับเซียนกระบี่ลี่ไฉ่มีต่อกัน กู้โม่จะไม่นำปิ่นทองชิ้นนี้กลับสำนัก แต่จะมอบให้หรงช่างเก็บรักษาไว้ชั่วคราว ส่วนเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ กู้โม่ไม่รู้ความหมายที่ลึกซึ้ง ทว่าเซียนกระบี่ลี่ไฉ่เป็นสหายรักกับหลี่อวี๋ผู้เป็นอาจารย์ของนาง อีกทั้งกระบี่บินเล่มหนึ่ง ที่กู้โม่หล่อหลอมก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันเดาไว้จริงๆ นั่นคือสิ่งของที่เซียนกระบี่ ท่านหนึ่งซึ่งลาจากโลกนี้ไปแล้วของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงทิ้งไว้ แล้วถูกลี่ไฉ่นำมาส่งต่อให้แก่กู้โม่ ดังนั้นกู้โม่จึงสนิทสนมกับเซียนกระบี่หญิงที่เป็นดั่งผู้ใหญ่ในครอบครัวตนเองผู้นี้อย่างมาก

ไม่เพียงเท่านี้ ในที่สุดสุยจิ่งเฉิงก็ได้ ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มกลางและเล่มหลังมาอีกสองเล่ม

เล่มแรกนั้นอธิบายถึงรากฐานวัตถุประสงค์ของวิชาบนมหามรรคาวิชานี้ เมื่ออยู่ในมือของเซียนดินทั่วไปก็ยังเป็นได้แค่ตำราลับที่เหมือนซี่โครงไก่ ทว่าสุยจิ่งเฉิงกลับใช้มันฝึกตนจนมาถึงคอขวดของขอบเขตสองได้ แม้แต่หรงช่างก็ยังรู้สึกว่าพรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงคู่ควรกับคำว่ามหัศจรรย์แล้ว เล่มกลางจึงจะเป็นคาถาในการฝึกตนตามลำดับขั้นตอน คือ ‘ตำราลับโอสถทอง’ สมชื่อเล่มหนึ่ง ส่วนเล่มสุดท้ายก็ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบน

อีกทั้งหรงช่างยังมอบป้ายหยกพิเศษของศาลบรรพจารย์ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงให้กับสุยจิ่งเฉิงแผ่นหนึ่งด้วย ไม่เพียงแต่เป็นการบ่งบอกถึงสถานะผู้สืบทอดของนาง ยังเป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งที่มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั่วไปเท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง ขนาดตัวหรงช่างเองยังมีวัตถุฟางชุ่นแค่หนึ่งชิ้น

เรือข้ามฟากเดินทางลงใต้ ระหว่างนี้เมื่อผ่านสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้หยุดพักเล็กน้อย ผู้โดยสารสามารถลงจากเรือไปท่องเที่ยวบริเวณโดยรอบท่าเรือได้เป็นเวลาสองชั่วยาม

ฉีจิ่งหลงเดินลงจากเรือ ทว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะทะยานลม บ้างก็บินออกไป

กู้โม่ทำหน้าหนาติดตามไปด้านหลังเจียวหลงบนบกท่านนี้ ยังคงสอบถามข่าวลือบนภูเขาของฉีจิ่งหลงต่อไป นี่หากกลับไปยังสำนักจะไม่ทำให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงที่บ้าผู้ชายทั้งหลายอิจฉาตายหรอกหรือ? แต่ไม่เพียงแค่สายไท่เสียบ้านตนเท่านั้น ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนในสายจื่อเสวียน สายป๋ายอวิ๋นต่างก็เลื่อมใสในตัวของ เซียนกระบี่หนุ่มแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่ใช่บัณฑิตแต่เป็นหนอนหนังสือยิ่งกว่าบัณฑิตผู้นี้จนถึงขั้นที่ว่าแค่พูดถึงชื่อเขาก็น้ำลายไหลแล้ว หลังจากซุบซิบนินทา กันเสร็จ รอจนพวกนางหมุนตัวกลับ ยามไปอยู่กับศิษย์พี่ศิษย์น้องชายทั้งหลาย ของตัวเอง แต่ละคนก็ดีนัก แสร้งทำเป็นวางมาดเย็นชา ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้ พวกเขาเห็น ทำเอากู้โม่ที่มองดูอยู่รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง

ถึงอย่างไรกู้โม่ก็ตัดสินใจแล้วว่า เมื่อกลับไปถึงสำนักก็จะเล่าว่า แท้จริงแล้ว หลิวจิ่งหลงผู้นี้คือ คนบ้าตัณหาที่แสร้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน ไม่ว่าเจอสตรีคนใด เส้นสายตาของเขาก็มักจะเหลือบไปยังหน้าอกและก้นของพวกนางเสมอ อีกทั้งยัง ไร้รสนิยมจนทำให้คนแทบทนไม่ได้ หลิวจิ่งหลงจะถูกใจพวกสตรีท่าทางเย้ายวนที่ชอบทาชาดบนใบหน้าหนาๆ ทำให้นักพรตหญิงที่แค่แอบทาชาดเล็กน้อยก็ไม่กล้าออกจากสำนักอย่างพวกนางโมโหตายไปเลย นี่ก็เท่ากับว่าได้ช่วยให้พวกนางได้สงบใจฝึกตนแล้วไม่ใช่หรือ? ถอยไปพูดหมื่นก้าว นี่ยังช่วยให้พวกนางประหยัดเงินซื้อเครื่อง ประทินโฉมด้วยไม่ใช่หรือไร?

ดังนั้นจากแรกเริ่มที่ไม่ว่ากู้โม่จะมองเซียนกระบี่หนุ่มจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นี้อย่างไรก็รู้สึกขวางหูขวางตา กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็ชอบใจไปหมด

หลิวจิ่งหลงซื้อตำราบางส่วนที่วางขายในร้านหนังสือของท่าเรือฝูสุ่ยสวนน้ำค้างวสันต์ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเปิดปากเอ่ยว่า “แม่นางกู้ แม้ว่าพูดแบบนี้จะไม่เหมาะ สักเท่าไร แต่ข้าก็ไม่ได้ชอบเจ้าจริงๆ”

กู้โม่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วพลันเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ นางถามว่า “หลิวจิ่งหลง น้ำเข้าสมองเจ้าไปแล้วหรือไร?”

ฉีจิ่งหลงไม่โกรธ กลับกันยังหลุดหัวเราะ ได้ผลจริงๆ ด้วย!

กู้โม่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ดูท่าน้ำคงเข้าสมองแล้วจริงๆ? เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้คงจะไม่ใช่หลิวจิ่งหลงตัวปลอมหรอกกระมัง?

กู้โม่กลัวว่าไอ้หมอนี่จะเกิดเสียสติ จึงแอบชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ไม่กล้าเดิน เคียงไหล่กับเขา ยิ่งไม่กล้าหัวเราะร่ามองเขาอีกแล้ว

ฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางกู้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเรายังเป็นสหายกันได้”

กู้โม่เกือบจะอดใจไม่ไหวยกเท้าถีบอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าพอชั่งน้ำหนักของตบะ ทั้งสองฝ่ายแล้ว ในที่สุดก็ข่มกลั้นเอาไว้ได้ แต่กระนั้นก็ยังโกรธจนขบฟันดังกรอดๆ หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที

ฉีจิ่งหลงรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว ในเรื่องนี้ดูเหมือนว่าตบะของตนยังห่างชั้นจากเขาไกลนัก

แต่ว่าทิศทางก็น่าจะถูกต้องแล้ว

สุยจิ่งเฉิงไปที่ถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์มารอบหนึ่ง นางเดินวนทั่วร้านผีฝู ที่ขนาดไม่ใหญ่หนึ่งรอบ

ตอนที่ผู้อาวุโสคุยกับท่านหลิว เขาเคยเล่าว่าที่นี่คือสมบัติส่วนหนึ่งของเขา

แน่นอนว่าหรงช่างต้องติดตามมาด้วย

สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า ในมือถือไม้เท้าเดินป่าเข้ามาในร้าน เถ้าแก่ร้านต้อนรับขับสู้ลูกค้าอย่างกระตือรือร้น มีจิตแห่งการค้าเต็มเปี่ยม เอ่ยประโยคง่ายๆ แค่ไม่กี่คำก็พอจะแนะนำได้แล้วว่าร้านผีฝูนั้นดีอย่างไร ไม่ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกเกิด ความรำคาญเบื่อหน่าย

สุยจิ่งเฉิงถามเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หรง ข้าสามารถขอยืมเงินท่านได้ไหม?”

ตอนนี้แม้ว่านางจะได้รับป้ายหยกผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์มาแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกหรงช่างว่าศิษย์พี่ได้ไม่มีปัญหา

หรงช่างใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ได้เตรียมเงินฝนธัญพืชไว้ให้เจ้าล่วงหน้าหนึ่งร้อยเหรียญ ศิษย์น้องสุยสามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามสบาย ไม่ถือว่า ต้องขอยืม และที่ศิษย์พี่หรงก็ยังมีทรัพย์สินอยู่อีกเล็กน้อยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้คืน”

ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและสกุลหยางตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนต่างก็ได้ครอบครองรายรับสองส่วนและสามส่วนจากถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกร ส่วนที่เหลืออีก ห้าส่วน แน่นอนว่าต้องเป็นของงูเจ้าถิ่น

ถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนั้นคือหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่ง ตั้งอยู่ใต้น้ำ ในตำแหน่งที่ลึกที่สุดของลำน้ำใหญ่ ทัศนียภาพในนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยแสงสีมหัศจรรย์ ทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป และยิ่งเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่จะให้ผู้ฝึกลมปราณไปฝึกวิชาน้ำ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนเซียนดินที่ เช่าจวนฝึกตนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานก็มีสิบกว่าคนแล้ว รายรับมหาศาลของแต่ละปี จะมากมายเพียงใด แค่คิดก็พอจะรู้ได้ ต่อให้ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจะได้ส่วนแบ่งมา แค่สองส่วนก็ยังถือว่าเป็นรายรับที่น่าเหลือเชื่อก้อนหนึ่ง

ทว่าเจ้าสำนักลี่ไฉ่กลับไม่แบ่งเอาไปแม้แต่ส่วนเดียว

เงินเทพเซียนทั้งหมดของถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกรจากการสรุปรวมบัญชีทุกหกสิบปี ล้วนจะกลายมาเป็นทรัพย์สินของศาลบรรพจารย์ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง และจะแบ่งให้กับผู้ฝึกตนในสำนักทุกคนยกเว้นนางโดยอิงตามขอบเขตการฝึกตนว่าสูงหรือต่ำ พรสวรรค์ว่าดีหรือเลว และคุณความชอบว่าใหญ่หรือเล็ก

นี่ก็คือ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง

หรงช่างสามารถรับประกันได้ว่า ต่อให้ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ขอบเขตถดถอย ไม่ใช่ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งอีกต่อไป แต่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ยังคงเป็นลี่ไฉ่ แล้วก็เป็นได้แค่ลี่ไฉ่เท่านั้น

ไม่ว่าจะอย่างไร ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ไม่ขาดเงินจริงๆ

แล้วนับประสาอะไรกับที่การปฏิบัติที่ลี่ไฉ่มีต่อลูกศิษย์หญิงล้วนเป็นการเชิดชูกฎที่ว่าจะต้องเลี้ยงดูลูกศิษย์หญิงให้ร่ำรวยอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบุรุษคนใดหลอกเอาได้

แต่เงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญนี้ อันที่จริงครึ่งหนึ่งเป็นเงินส่วนตัวของลี่ไฉเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินส่วนแบ่งที่ทางศาลบรรพจารย์ควรจะมอบให้แก่ศิษย์น้องหญิงเล็กที่กำลังปิดด่านอยู่

สุยจิ่งเฉิงกวาดตามองดูชั้นวางสมบัติในร้านผีฝูครบทุกชั้นหนึ่งรอบ แล้วก็เลือกของมาสองสามชิ้น ล้วนไม่ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษอะไร หลังจากต่อรองราคาไปแล้ว ก็จ่ายเงินแค่สิบเหรียญเกล็ดหิมะเท่านั้น

จากนั้นสุยจิ่งเฉิงก็ถามว่ามีสมบัติพิทักษ์ร้านหรือไม่ ต่อให้ราคาจะสูงสักหน่อย ก็ไม่เป็นไร

เถ้าแก่หนุ่มจากเรือนเย่ฉ่าวที่มาช่วยงานผู้นั้นยังคงกระตือรือร้นดังเดิม เขาไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพียงเพราะก่อนหน้านี้สตรีสวมหมวกคลุมหน้าเลือกซื้อแค่ของราคาถูก เขาบอกถึงวัตถุราคาแพงสองสามชิ้นที่ไม่ได้วางไว้ด้านหน้าของร้านให้ฟังคร่าวๆ บัลลังก์มังกรตัวนั้นช่างเถิด เถ้าแก่หนุ่มไม่คิดจะพูดถึงสิ่งนี้แม้แต่น้อย แต่เขาเอ่ยซ้ำถึงมงกุฎทองคู่ที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคม บอกว่าหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก สามารถซื้อแยกได้ มงกุฎทองที่ใหญ่กว่านั้นมีราคาสิบแปดเหรียญเงินฝนธัญพืช อันเล็กสิบหกเหรียญ หากซื้อคู่กันสามารถลดให้ได้หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ราคารวมจึงเป็นสามสิบสามเหรียญเงินฝนธัญพืช

สุยจิ่งเฉิงถาม “ขอดูก่อนได้ไหม?”

เถ้าแก่หนุ่มยิ้มกล่าว “แน่นอน ต่อให้ดูแล้ว แล้วไม่ถูกใจลูกค้า ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร”

เขาเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะคิดเงิน เดินไปเปิดประตู

หรงช่างชำเลืองตามองตัวอักษรที่อยู่บนประตูแล้วก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

สี่อักษรใหญ่ ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง

สี่อักษรเล็ก ผู้ที่ให้ราคาสูงได้ไปครอง

หรงช่างไม่อาจเอาเจ้าของร้านแห่งนี้ไปจินตนาการรวมกับคนหนุ่มชุดเขียว ที่ท่าเรือหัวมังกรคนนั้นได้เลย

สุยจิ่งเฉิงแค่ได้เห็นก็ถูกใจมงกุฎทองคู่นั้นทันที นางไม่ได้ต่อราคา แต่ขอให้ หรงช่างควักเงินฝนธัญพืชจ่ายไปสามสิบสามเหรียญเต็มจำนวน

มือหนึ่งจ่ายเงิน อีกมือหนึ่งส่งของ

กอดกล่องไม้ไหวที่ทางเรือนเย่ฉ่าวช่วยสร้างให้อย่างประณีตบรรจงใบนั้นไว้ในอ้อมอก สุยจิ่งเฉิงที่เดินออกจากร้านผีฝูไปเดินอยู่บนถนนเหล่าไหว ฝีเท้าก็ล่องลอย อารมณ์ดีสุดขีด

เถ้าแก่หนุ่มค้อมเอวก้มหน้าส่งแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านอยู่ที่หน้าร้าน มองส่งพวกเขาสองคนจากไปไกล

เขารู้สึกเพียงความเหลือเชื่อ

อันที่จริงตัวแทนเถ้าแก่ของร้านผีฝูผู้นี้รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเล็กน้อย

แม้ว่ามงกุฎทองคู่นั้นจะเป็นสมบัติอาคมบนภูเขาของแท้คู่หนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถขายได้ด้วยราคาสูงเทียมฟ้าถึงสามสิบสามเหรียญเงินฝนธัญพืชจริงๆ

อันที่จริงทางเรือนเย่ฉ่าวได้เคยมีการประเมินราคาเป็นการส่วนตัวเอาไว้ก่อน แม้จะบอกว่าสมบัติอาคมทั้งสองชิ้นสามารถสั่งให้เทพีร่างทองสองท่านออกมาปกป้องคุ้มครอง ประสิทธิผลคล้ายคลึงกับชุดคลุมอาคม

ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ป้องกันและโจมตีได้ในระดับหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นเท่าเทียมกับสมบัติอาคมจริงๆ ดังนั้นราคาประมาณยี่สิบห้าเหรียญเงินฝนธัญพืชจึงถือว่าค่อนข้างยุติธรรม ต่อให้เพิ่มราคาให้กับคนที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษจนรู้สึกว่าทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหาได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นว่าเซียนดิน ผู้เป็นสตรีถูกตาต้องใจมัน อย่างมากที่สุดก็แค่ประมาณยี่สิบแปดเหรียญเท่านั้น

มาถึงขอบเขตของเซียนดิน ความต้องการที่มีต่อสมบัติอาคม อันที่จริงนั้นง่ายดายอย่างมาก ยิ่งสุดโต่งเท่าไรก็ยิ่งดี

นี่ก็คือสาเหตุหลักที่มงกุฎทองทั้งสองชิ้นขายไม่ออกมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่า ไม่มีลูกค้าชอบ แต่เป็นเพราะราคาแพงเกินไปจนไม่อาจใช้คำว่าคุ้มค่าคุ้มราคาได้

แต่ราคาที่แน่นอนของมงกุฎทองและบัลลังก์มังกรล้วนเป็นเถ้าแก่ที่เป็น เซียนกระบี่ผู้นั้นกำหนดด้วยตัวเอง เหตุผลก็คือเผื่อเจอกับคนโง่ที่มีเงินมาก

สำหรับเรื่องนี้เรือนเย่ฉ่าวก็จนใจอย่างมาก ด้วยรู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ กินฝุ่นหนึ่งถึงสองร้อยปี

คิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งจะผ่านไปได้เท่าไรเอง?

หลังเดินออกมาจากถนนเหล่าไหว หรงช่างก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ซื้อแพงไปแล้ว”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

แต่นางชอบมงกุฎทองคู่นี้มากจริงๆ นี่นา

สุยจิ่งเฉิงเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์พี่หรง หลังจากนี้ข้าจะไม่ซื้ออะไรอีกแน่นอน”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวโทษศิษย์น้องหญิงเล็ก”

หรงช่างส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ของพวกเราซื้อของใจป้ำยิ่งกว่านี้เสียอีก นางเคยถูกใจชุดคลุมอาคมงดงามตัวหนึ่ง ก็เลยยืนกรานจะให้อีกฝ่ายโก่งราคาให้สูง ให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางจะไม่ยอมซื้อ ตอนนั้นอาจารย์ไม่ได้เปิดเผยตัวตน อีกฝ่ายตกใจแทบตาย นึกว่าได้เจอกับคนที่มาก่อกวนเสียแล้ว หลังจบเรื่องพอรู้ว่าเป็นอาจารย์ของพวกเราก็เสียใจจนไส้เขียว ตีอกชกตัว รู้สึกว่าควรจะโก่งราคาให้สูงไปอีกเท่าตัวเลยต่างหาก”

สุยจิ่งเฉิงทอดถอนใจจากใจจริง “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าควรจะไปดูที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเสียก่อนสักรอบหนึ่ง”

หรงช่างพรูลมหายใจโล่งอก

มารดาข้า อาศัยแค่ประโยคนี้ของศิษย์น้องหญิงเล็ก หากอาจารย์ลี่ไฉ่อยู่ที่นี่ด้วย จะต้องถามเขาหรงช่างว่าช่วงนี้มีสมบัติอาคมที่อยากซื้อหรือไม่เลยกระมัง

กลับไปถึงท่าเรือ คนทั้งสองเพิ่งจะนั่งลง เกี่ยวกับเรื่องของการหล่อหลอมมงกุฎทองที่งดงามประณีตสองชิ้นนั้น หรงช่างจำเป็นต้องถ่ายทอดคาถาหลอมกระบี่วิชาหนึ่งของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงให้แก่นาง

หลอมกระบี่ได้ ก็สามารถหลอมหมื่นสรรพสิ่งได้

เพิ่งจะถ่ายทอดคาถาหลอมกระบี่ที่ยาวหลายพันตัวอักษรจบ สุยจิ่งเฉิงก็หลับตาลง พอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “จำได้แล้ว”

หรงช่างจึงไม่พูดซ้ำอีก

ศิษย์น้องหญิงเล็กในปีนั้น สุยจิ่งเฉิงในตอนนี้ แม้ว่าจะมีนิสัยแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน แต่ในเรื่องของพรสวรรค์ด้านการฝึกตนกลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีทางทำให้คนผิดหวัง

แต่สุยจิ่งเฉิงก็ยังขอให้หรงช่างพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดช่องโหว่

ต่อมากู้โม่ก็มาเคาะประตูตรงระเบียงทางเดินแรงๆ เสียงดังปังๆๆ

หลังจากที่สุยจิ่งเฉิงเปิดประตูให้แล้ว

กู้โม่ก็พูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า “สุยจิ่งเฉิง สุยจิ่งเฉิง ข้าจะเล่าความลับอย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง หลิวจิ่งหลงอาจจะเป็นตัวปลอม ตอนนี้คนที่พวกเราเห็นอยู่อาจจะเป็นใครอีกคนหนึ่ง!”

สุยจิ่งเฉิงมึนงงไม่เข้าใจ นางหันหน้ามามองหรงช่าง

หรงช่างระอาใจเล็กน้อย พูดกับกู้โม่ว่า “อย่าพูดเหลวไหล”

กู้โม่นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ ขมวดคิ้วคิดหนักอยู่เป็นาน ก่อนจะทำหน้าเหมือนคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็กำหมัดทุบลงบนโต๊ะ “ดีนักนะ เจ้าตะพาบหน้าไม่อายผู้นี้ ที่แท้เขาก็หยอกข้าเล่นนี่เอง!”

หรงช่างลุกขึ้นยืนแล้วจากไป

ตลอดทางมานี้สภาพจิตใจของกู้โม่ไม่ใคร่จะมั่นคงนัก แต่หรงช่างกลับไม่อาจพูดอะไรได้มาก

โชคดีที่การมาเยือนท่าเรือหัวมังกรครั้งนี้ สภาพจิตใจของกู้โม่เริ่มกลับคืนสู่ สภาวะนิ่งสงบใสสะอาดดังที่ลัทธิเต๋าเชิดชูมาโดยตลอดอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องดี

และผู้ฝึกตนที่เหมือนอาจารย์สวมชุดเขียวสองคนนั้นก็มีคุณความชอบอย่าง ใหญ่หลวง

แน่นอนว่าตัวของสุยจิ่งเฉิงเองก็มีความดีความชอบเหมือนกัน

หลังจากที่หรงช่างปิดประตูลง กู้โม่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สุยจิ่งเฉิงฟังหนึ่งรอบ

สุยจิ่งเฉิงใช้มือกุมขมับ ไม่อยากพูดอะไร

พวกเจ้าสองคนต่างก็ตบะสูงมาก ทว่ากลับเป็นคนสองคนที่สติไม่สมประดี อย่างนั้นหรือ

ท่านหลิวผู้นี้ก็จริงๆ เลย อ่านตำราจนทึ่มทื่อไปแล้วกระมัง? เหตุใดอยู่กับผู้อาวุโสมานานขนาดนั้นกลับไม่เรียนรู้ในสิ่งที่ดีๆ มาบ้างเลยสักนิด?

ผู้อาวุโสพูดถูกจริงๆ ด้วย ขอบเขตของผู้ฝึกตนไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้จริงๆ

กู้โม่กล่าวอย่างสงสัยว่า “ทำไมล่ะ? ไหนเจ้าลองบอกมาสิ หรือว่ายังมีความลี้ลับอะไรอีก? ข้าเป็นสตรีบริสุทธิ์ที่ยังไม่เคยออกเรือน ประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเจ้าได้จริงๆ”

สุยจิ่งเฉิงหน้าแดงก่ำ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”

กู้โม่ทอดถอนใจ “ช่างเถอะ”

กู้โม่ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ ผินหน้ามองไปยังทะเลเมฆที่อยู่นอกหน้าต่าง

สุยจิ่งเฉิงวางมงกุฎทองชิ้นเล็กที่น่ารักน่ามองลงบนโต๊ะ แล้วนางเองก็นั่งฟุบตัวนอนคว่ำเช่นเดียวกับกู้โม่ ซีกแก้มแนบอยู่บนแขนที่ใช้รองต่างหมอน ยื่นนิ้วออกมาเคาะมุงกฎทองชิ้นนั้นเบาๆ

กู้โม่เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าเริ่มคิดถึงอาจารย์แล้ว เจ้าล่ะ ก็คงจะคิดถึงบุรุษคนนั้นมากเหมือนกันสินะ?”

สุยจิ่งเฉิงพึมพำกับตัวเอง “หากเจ้าไม่พูดถึง ก็คงคิด แต่พอเจ้าพูดแบบนี้ ข้ากลับไม่คิดถึงสักเท่าไรแล้ว เจ้าว่าแปลกหรือไม่?”

กู้โม่กล่าวอย่างระอาใจ “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง”

คนทั้งสองพากันเงียบงันไป

กู้โม่พลันมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ลุกขึ้นยืน ย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างกายสุยจิ่งเฉิง แล้วกระซิบกระซาบเบาๆ ที่ข้างหูนาง “สุยจิ่งเฉิง ข้าจะบอกเจ้าให้นะ การฝึกตนคู่นั้นมีวิธีอยู่มากมาย อีกทั้งยังไม่ต่ำชั้นแม้แต่น้อย เดิมทีนี่ก็เป็นหนึ่งในสายรองของลัทธิเต๋า ถูกต้องตรงไปตรงมา ไม่อย่างนั้นเหตุใดคู่บำเพ็ญตนบนภูเขาถึงต้องเป็นสามีภรรยากัน ใช่ไหมล่ะ ข้าพอจะรู้มาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น…”

สุยจิ่งเฉิงรับฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ผลักกู้โม่ออก พูดอย่างคนอับอายจนพานเป็นความโกรธว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้พูดจาเหมือนพวกอันธพาลแบบนี้นะ?!”

กู้โม่กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ฟังเขาเล่ามา ข้าก็ฟังเขาเล่ามาเหมือนกัน”

ใบหน้าของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ พลันลุกพรวดขึ้นยืน รีบไล่กู้โม่ออกไปจากห้องทันที

เสียงประตูปิดลงดังปัง

กู้โม่กระแอมหนึ่งที แล้วเลียนแบบน้ำเสียงของคนแซ่เฉินเอ่ยว่า “จิ่งเฉิง ข้ามาแล้ว เปิดประตูเถอะ”

สุยจิ่งเฉิงคำรามอย่างขุ่นเคือง “กู้โม่!”

น้ำเสียงของกู้โม่ยังคงไม่แปรเปลี่ยน “จิ่งเฉิง เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กดีเอาเสียเลย เรียกข้าว่าผู้อาวุโสสิ”

สุยจิ่งเฉิงกวาดตามองรอบด้าน แล้วก็คว้าไม้เท้าเดินป่าอันนั้นขึ้นมา พอเปิดประตูได้ ก็เตรียมจะฟาดกู้โม่

กู้โม่กระโดดถอยออกห่างไปไกลนานแล้ว นางโผล่หัวออกมาจากมุมของระเบียง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “โอ้โห ท่าทางของเจ้าตอนนี้ ขนาดข้าที่เป็นสตรี ได้เห็นแล้ว ก็ยังหวั่นไหว ข้าว่านะ ตลอดทางที่เจ้าหมอนั่นเดินทางมาพร้อมกับเจ้า เขาต้อง ไม่สามารถควบคุมดวงตาของตัวเองได้แน่นอน

เพียงแต่ว่าตบะของเขาสูง ตบะของเจ้าต่ำ ก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นก็เท่านั้น เฮ้อ ก็แค่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเจ้าขาดทุนอย่างหนัก หรือว่า…ได้กำไรก้อนใหญ่กันแน่”

สุยจิ่งเฉิงโมโหจนแทบจะวิ่งไล่ไปตีนาง

กู้โม่กลับถอยเข้าห้องของตัวเองด้วยสีหน้าแช่มชื้น อารมณ์ดีเป็นกำลังไปเสียแล้ว

สุยจิ่งเฉิงปิดประตูลง เอาหลังพิงประตูห้อง คลี่ยิ้มหวาน นางนั่งลงข้างโต๊ะ หยิบมงกุฎทองชิ้นนั้นขึ้นมาสวม ในมือถือกระจกทองแดง

หลังจากนั้นก็หยิบมงกุฎทองออก เก็บกระจก แล้วสุยจิ่งเฉิงก็เริ่มเปิด ‘ตำรา ซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มกลางออกอ่านอย่างละเอียด

ผู้ฝึกตน

ไม่รู้กลางวันกลางคืน

ผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะเหยียบย่างลงบนเส้นทางของการฝึกตน ส่วนใหญ่มักจะ ไม่รับรู้ว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว

กลางดึกของคืนนี้ สุยจิ่งเฉิงวาง ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มสุดท้ายลง บนโต๊ะ แล้วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง

พระจันทร์เสี้ยวต้นอู๋ถง ฝนกระหน่ำใบกล้วย ห่านใหญ่สายลม หญ้าวสันต์กีบม้า หิมะใหญ่เรือลำน้อย เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ แม่ทัพผู้เลื่องชื่อกับดาบหยก สาวงามกับคันฉ่อง…

บนโลกมีคู่สร้างคู่สมมากมายถึงเพียงนี้

แล้วสุยจิ่งเฉิงกับผู้อาวุโสล่ะ?

……

ฉีจิ่งหลงเปิดตำราเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากท่าเรือฝูสุ่ยออกอ่าน เป็นตำราเบ็ดเตล็ดที่เขียนเกี่ยวกับการสร้างเครื่องกระเบื้องที่เชื่อพระวงศ์ใช้ของแต่ละแคว้นแต่ละทวีป เป็นฉบับพิมพ์จากสำนักฉงหลินที่ทำการค้าเก่งที่สุดของอุตรกุรุทวีป

เขาพลันขมวดคิ้ว

ปิดตำราลง

หลับตานิ่ง

ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมนกกระเต็นของท่าเรือหัวมังกร เฉินผิงอันเล่าเรื่องหลายอย่างให้ตนฝั่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเล่าอย่างคร่าวๆ ไม่ลงรายละเอียด ไม่เปิดเผยร่องรอยใดๆ

มีเรือข้ามทวีปของภูเขาต่าเจี้ยวที่ตกลงมาจากฟ้า เรื่องเกี่ยวกับมดแดงที่อยู่ แถบทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป และยังมีเรื่องของเครื่องปั้นแห่ง ชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูอันเป็นบ้านเกิด

หัวข้อเหล่านี้แทรกซ้อนอยู่ในหัวข้อพูดคุยเรื่องอื่น ไม่สะดุดตา แล้วเฉินผิงอัน ก็ไม่ได้จงใจแสวงหาคำตอบใดๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นการคุยเล่นของสหายที่หาเรื่องมาคุยกันเสียมากกว่า

แต่ฉีจิ่งหลงไม่ใช่คนโง่

ในการพูดคุยนี้ได้ซ่อนแฝงเส้นสายเส้นหนึ่ง บางทีตัวเฉินผิงอันเองก็อาจจะสัมผัสไม่ถึง

เรือข้ามทวีปของภูเขาต่าเจี้ยว เจี้ยนเวิงเซียนเซิงหนึ่งในสิบคนประหลาดของ อุตรกุรุทวีป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เรือข้ามฟากตกลงในราชวงศ์จูอิ๋งซึ่งเป็นราชวงศ์ ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีปเดือดดาลอย่างหนัก เทียนจวินเซี่ยสือต้องลงใต้ไปเยือนแจกันสมบัติทวีป

อันดับแรกก็ย้อนกลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูของราชวงศ์ต้าหลีก่อน จากนั้นก็เดินทางไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป คุมเชิงอยู่กับสำนักศึกษา กวานหูที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา แล้วต่อมาก็ทยอยได้รับการท้ารบจาก คนสามคน กองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนพลลงใต้ สร้างภาพปรากฎการณ์ของ อำนาจใหญ่ที่หอบไปทั่วทวีป เรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรในสำนักใหญ่ของอุตรกุรุทวีป แรกเริ่มสุดเฉินผิงอัน เปลี่ยนชื่อเรียกตน เปลี่ยนจากท่านฉีมาเป็นท่านหลิว สุดท้ายก็เปลี่ยนชื่อเรียกอีกครั้ง เปลี่ยนมาเป็นฉีจิ่งหลง หาใช่หลิวจิ่งหลงไม่ ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม จำเป็นต้องอาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งห้าธาตุมาสร้างสะพานแห่ง ความเป็นอมตะใหม่อีกครั้ง ความรู้ของเฉินผิงอันหลากหลาย แต่พยายามจะให้ ทุกอย่างสมดุล และพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับเรื่องของการฝึกจิตใจ

ฉีจิ่งหลงถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่หน้าต่าง

เขาเชื่อว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปของเฉินผิงอันในครั้งนี้จะต้องมีแผนการที่วางแผนมาอย่างลึกล้ำและยาวไกลอย่างแน่นอน อีกทั้งยังวางแผนใน ทุกก้าวย่างอีกด้วย ระมัดระวังรอบคอบยิ่งกว่าการท่องอยู่ในยุทธภพของเขาที่มีเวท อำพรางตาให้ใช้นับไม่ถ้วนเสียอีก

ฉีจิ่งหลงพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าตอนนี้เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าถูกกุมอยู่ในสำนักใหญ่บางแห่งของอุตรกุรุทวีป? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องระวังแล้วระวังอีก หลังจากนี้ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไรก็ยิ่งต้องระวังมากเท่านั้น”

อารมณ์ของฉีจิ่งหลงหนักอึ้ง หากอยู่ในธวัลทวีปที่การค้าเจริญรุ่งเรือง ทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้ด้วยเงิน ทว่าอยู่ในอุตรกุรุทวีปกลับซับซ้อนกว่ามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนนอกคนหนึ่ง คิดจะใช้เหตุผลอยู่ในอุตรกุรุทวีปก็ยิ่งยากเป็นทบทวี

แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงไม่ถือสาหากว่าการที่ตนเองยืนอยู่ฝั่งของเฉินผิงอันแล้ว ค่าตอบแทนคือหากเขาไม่ออกไปจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย หรือไม่ก็ต้องเดือดร้อนให้ชื่อเสียงของสำนักกระบี่ไท่ฮุยพังทลาย

แต่หากเขาฉีจิ่งหลงเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เรื่องที่วุ่นวายก็จะยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิม

ไม่แน่ว่าอาจชักนำเซียนกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ที่แต่เดิมเลือกจะมองดูดายอยู่เฉยๆ ให้เข้ามาร่วมวงมากกว่าเดิม

นี่ก็คือความน่ากลัวของกฎเกณฑ์

อุตรกุรุทวีปชอบจับกลุ่มรวมพรรครวมพวก ในช่วงเวลาที่เรื่องเรื่องหนึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้ แต่ไม่เกี่ยวพันกับความดีเลว ขอแค่คนนอกคิดจะอาศัยสถานะของตัวเองทำเรื่องใดๆ ก็ตาม เดิมทีก็เป็นเรื่องผิดอยู่แล้ว สำหรับเซียนกระบี่มากมายใน อุตรกุรุทวีปแล้ว นั่นจะเป็นการบอกว่าเจ้าขอร้องให้ข้าออกกระบี่ ในประวัติศาสตร์เจ้าประมุขสกุลหลิวของธวัลทวีป นักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่างก็เคยอยากจะขึ้นฝั่งมาที่อุตรกุรุทวีปเพื่อตรวจสอบหาคนร้ายด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ เป็นอย่างไร เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนหลายสิบท่านพากันไปดักอยู่ตรงนั้น ไม่มีใคร ที่ไปเรียกรวมคนขอร้องให้มาช่วยเลยแม้แต่น้อย ล้วนเป็นคนที่พากันไปรวมตัวอยู่ ริมมหาสมุทรด้วยตัวเอง ทุกคนขี่กระบี่หยุดลอยตัวอยู่ ที่เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้นก็คือ จะไม่พูดอะไรกับเจ้าสักคำ มีเพียงการออกกระบี่เท่านั้น

สำหรับเรื่องนี้ยอดฝีมือนอกโลกซึ่งรวมถึงฮว่อหลงเจินเหรินเป็นหนึ่งในนั้นไม่เคยให้ความสนใจ ต่อให้จะมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะเป็น เซียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ในตำนานก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะ ออกหน้าหรือช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้

อีกทั้งหากประมือกันขึ้นมา เมื่อเซียนกระบี่เลือกที่จะปล่อยกระบี่แรกไปแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็จะกลายเป็นสถานการณ์ที่ถึงขั้นไม่ตายไม่ยอมเลิกรา

ทุกครั้งที่มีเซียนกระบี่ตายไปหนึ่งคนก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีคน มาเพิ่มบนสนามรบอีกสองคน

นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งๆ ที่อุตรกุรุทวีปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียง แต่กลับแย่งเอาคำว่า ‘อุตร’ มาจากทางธวัลทวีปได้

ไม่ยอมหรือ?

ปีนั้นหลังจากที่บุญคุณความแค้นครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป คนทั้งอุตรธวัลทวีปที่ เดือดดาลพากันขู่อาฆาตกุรุทวีป และยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ของธวัลทวีปที่ด่ากราดใส่พวก ผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปหลายท่านที่รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่าง กำเริบเสิบสาน ไม่เพียงเท่านี้ ยังป่าวประกาศว่าจะขับไล่ผู้ฝึกตนของกุรุทวีปทุกคนออกไปจากอาณาเขตอีกด้วย จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปที่ตอนนั้นยังเป็น อิสานกุรุทวีปจำนวนสองร้อยกว่าคนก็เตรียมพร้อมสำหรับการขี่กระบี่เดินทางไกล ไปเยือนธวัลทวีป ในบรรดานั้นมีผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ถึงสิบท่าน

ก่อนจะออกเดินทาง ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ ให้กับธวัลทวีป แค่จับมือกันเดินทางไกลข้ามทวีปไปโดยตรง

ซึ่งผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนครึ่งหนึ่งในนั้นล้วนเป็นคนที่เคยผ่านการลับคมกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน

เมื่อธวัลทวีปรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่สองร้อยกว่าท่านจากกุรุทวีปอยู่ห่างจากชายหาด อีกแค่สามพันลี้เท่านั้น ตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อแทบทุกแห่งล้วนรู้สึกเหมือน ใกล้จะแหลกสลายกันเต็มที

เพราะอีกฝ่ายป่าวประกาศแล้วว่าจะใช้กระบี่ตวัดธวัลทวีปขึ้นมา ใครก็ไม่ต้อง รีบร้อน ตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตก ทุกหนทุกแห่ง ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง ส่วนคำว่าอุตรของธวัลทวีปนั้น พวกเจ้าเสียดายกันนักไม่ใช่หรือ งั้นก็เก็บเอาไว้แล้วกัน

นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่ ‘บุกเบิกแคว้น’ กลุ่มนี้แล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่ทยอยกัน เดินทางไกลไปยังแถบตะวันตกเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง

สุดท้ายเป็นซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งที่ขัดขวางทางไปของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้น

ไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่าคนนั้นที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่สองร้อยกว่าคนพูดคุยกันว่าอะไร

แต่สุดท้ายแล้วผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปก็ไม่ได้ยกขบวนขึ้นชายฝั่ง เลือกที่จะย้อนกลับคืนไปยังทวีปของตัวเอง

แต่หลังจากนั้นมาอุตรธวัลทวีปก็ไม่มีคำว่าอุตรอยู่อีก

ฉีจิ่งหลงหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านี้ ต่อให้จะไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ได้แต่ฟังมาจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก แต่ก็ยังเกิดจิตเลื่อมใสอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าผู้ฝึกกระบี่สองท่านของสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่อยู่ในขบวนเดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนั้นด้วยกลับไม่เคยยินดีจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

ฉีจิ่งหลงแค่เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่บางคนในสำนักคุยกัน บอกว่าเซียนกระบี่ทั้งสองท่านเคยทะเลาะกันว่าใครจะเป็นคนอยู่เฝ้าสำนัก ใครจะเป็นคนข้ามทวีปไปออกกระบี่ ความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณว่า คนหนึ่งบอกว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนัก เจ้าก็ควรอยู่ต่อ อีกคนหนึ่งบอกว่าวิชากระบี่เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ก็อย่าออกไปให้ขายหน้าคนอื่น

ฉีจิ่งหลงเริ่มทบทวนความเป็นไปได้ของการขัดเกลาแต่ละอย่างซ้ำอีกรอบ

ความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด รวมไปถึงสิ่งต่างๆ มากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้

นี่เป็นเส้นสายความคิดที่เหมือนกับการปฏิบัติต่อสถานการณ์ทางตันน้อยใหญ่ของเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เพียงแต่ว่าฉีจิ่งหลงคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่านี่อาจเป็นสถานการณ์ซับซ้อนที่มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจชักนำทุกฝ่ายให้มาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงคิดว่ารอให้รวบรวมข้อมูลได้มากกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน

ช่วยเหลือด้วยความหวังดี มีข้อหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นั่นก็คืออย่าได้เพิ่มปัญหาให้กับผู้อื่น

ฉีจิ่งหลงเดินกลับมานั่งที่

สำนักฉงหลินจะเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายปัญหาที่ค่อนข้างดีแห่งหนึ่ง

เพราะสำนักที่มีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้มีปลาและมังกรปะปนกันยุ่งเหยิง คิดจะสืบข่าวมาจากพวกเขา ไม่มีทางเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

และยังมีสำนักอีกแห่งหนึ่งที่สนิทสนมกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาหลายรุ่นหลายสมัย ได้ยินมาว่าเคยทำการค้าเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกับถ้ำสวรรค์หลีจู ซึ่งสามารถ ลองหยั่งเชิงสืบข่าวดูได้

นอกจากนี้ฉีจิ่งหลงยังมีความคิดบางอย่าง

ซึ่งก็หนีไม่พ้นทำไปตามลำดับขั้นตอน แสวงหาในคำว่าช้าแต่ไร้ความผิดพลาด มั่นคงเพื่อช่วงชิงชัยชนะ

ฉีจิ่งหลงเรียบเรียงเส้นสายหนึ่งได้พอประมาณแล้วก็รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย

ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีปตอนนี้

คู่พี่น้องหยางหนิงเจิน หยางหนิงซิ่งที่ต่างก็เป็นตัวอ่อนเต๋ามาตั้งแต่กำเนิดของหน่วยฉงเสวียน ฉีจิ่งหลงย่อมรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี

หยางหนิงเจินที่หันไปฝึกวรยุทธนั้นเป็นคนที่นิสัยดึงดันมากกว่า

หยางหนิงซิ่งอยู่ในอันดับเก้า หยางหนิงเจินผู้เป็นพี่ชายอยู่อันดับท้ายสุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลำดับของหยางหนิงเจินยังสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปได้อีก สองสามลำดับ

คนที่อยู่อันดับที่สี่ ซึ่งก็คือคนที่อยู่ด้านหลังฉีจิ่งหลง มีชื่อว่าหวงซี

คือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง เป็นก่อกำเนิดอิสระที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป ถือเป็นผู้ฝึกตนน่าหวาดกลัวที่สามารถทรมานคู่ต่อสู้ให้ตายไปทีละนิด ได้เก่งเป็นพิเศษ ขนาดผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็ยังยากที่จะฆ่าเขาได้ ทั้งอาศัย วิชาอภินิหาร แล้วก็อาศัยอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งที่ต้องบุกสังหารผ่านเส้นทางเลือด กว่าจะได้มาครอง รวมไปถึงอาวุธกึ่งเซียนอีกชิ้นที่ในอดีตอาศัยโชควาสนาจึง ‘เก็บมา’ ได้ หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี อีกทั้งนิสัยของคนผู้นี้ยังหนักแน่น กลอุบายลึกล้ำอย่างถึงที่สุด มีแค้นต้องชำระ ถูกขนานนามให้เป็นเจียงซ่างเจินแห่งอุตรกุรุทวีป

การแก้แค้นครั้งหนึ่ง เขาคนเดียวบุกไปสังหารสำนักตระกูลเซียนลำดับสอง ทั้งตระกูล ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

จุดที่น่ากลัวก็คือเขาไม่ได้เลือกที่จะบุกขึ้นภูเขาของสำนักไปอย่างโจ่งแจ้ง แต่แฝงตัวเข้าไปสามครั้ง วางแผนเล่นงานใจคน ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง

รอจนเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งพาคนไปถึง เขาก็จากมาไกลแล้ว และบรรพจารย์ของสำนักตระกูลเซียนแห่งนั้นก็เพิ่งจะกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป โอสถทองถูกกรีดออกจากร่าง ก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตถูกนำมาจุดเป็นตะเกียง แล้ววางเอาไว้บนหลังคาเรือนของศาลบรรพจารย์ แสงไฟลุกสว่างโชติช่วง

ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนแต่ละดวงล้วน เผาผลาญจิตวิญญาณอย่างไม่หยุดพัก บ้างก็มอดดับ สลายกลายเป็นผุยผง แต่บางส่วนก็ยังมีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่

ภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เดิมทีควรเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ กลับกลายเป็นว่า มีแต่กลิ่นอายของความอึมครึมวังเวง ประดุจเมืองผี

ฉีจิ่งหลงเคยประมือกับเขาหนึ่งครั้ง

และฉีจิ่งหลงก็ออกกระบี่ด้วย

แต่คนผู้นั้นกลับทั้งรบทั้งถอย ถึงขั้นที่ว่าเขายังเอ่ยถ้อยคำจากใจจริงบางอย่าง รวมไปถึงเรื่องวงในบนภูเขาที่ฉีจิ่งหลงไม่เคยได้ยินมาก่อน

หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องของการวอกแวกเบนความสนใจไปทำเรื่องอื่น นี่ก็คือคำเตือนของคนผู้นี้

ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้มีนามว่าหวงซี

และหวงซีเองก็เคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่น่าประหลาดใจบางอย่าง สรุปคือ แต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะมีการกระทำที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมอยู่เสมอ

สองคนที่อยู่เบื้องหน้าฉีจิ่งหลง

อันดับหนึ่งนั้นไม่ต้องไปคิดให้มากความแล้ว

ขอแค่เขายินดีลงมือ อีกฝ่ายก็ย่อมต้องแพ้อย่างแน่นอน ต่อให้จะมีขอบเขต สูงกว่าเขาหนึ่งระดับก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นี่ยังเป็นภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ใช้อาวุธเซียนที่ยอมรับนายชิ้นนั้นอีกด้วย

ต่อให้เป็นเขาฉีจิ่งหลงเองก็ยังอดรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นภูเขาสูงที่ต้องแหงนหน้ามองไม่ได้ เพียงแต่ว่าฉีจิ่งหลงกลับไม่เคยคิดทดท้อใจเพราะสาเหตุนี้

บนมหามรรคา ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาอีกลูกเสมอ เป็นอย่างนี้ตลอดมา

อีกทั้งฉีจิ่งหลงยังเชื่อมั่นว่า ขอแค่ตนทิ้งระยะห่างจากคนทั้งสองไม่ไกลมากนัก ก็ย่อมต้องมีโอกาสที่จะตามไปทัน

ส่วนคนที่สองนั้น มีนามว่าสวีเซวี่ยน

ตอนที่คนผู้นี้ยังไม่เข้ามาในวงการของผู้ฝึกตนก็มีตระกูลเซียนที่มีคำว่าจงในชื่อหลายแห่งรอโอกาสหวังชิงตัว ว่ากันว่ายังมียอดฝีมือนอกโลกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาลอบสำรวจตรวจสอบอีกด้วย

ในเรื่องนี้ต้องมีความเกี่ยวพันบางอย่างที่ลึกล้ำอย่างมากแน่นอน

บนเส้นทางการฝึกตนของสวีเซวี่ยนนั้น ตอนที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของ ห้าธาตุได้สำเร็จในท้ายที่สุด เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ภาพปรากฎการณ์นั้นยิ่งใหญ่ตระการตาจนไร้คำบรรยาย

เขามีสาวใช้เคียงกายสองคน คนหนึ่งคอยถือดาบให้เขาโดยเฉพาะ ดาบมีนามว่าไฮจู คนหนึ่งคอยถือกระบี่ กระบี่มีนามว่าฝูเหอ

คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีป

ดังนั้นสวีเซวี่ยนจึงเป็นทั้งลูกศิษย์ใหญ่ของเซียนกระบี่ท่านนี้ แล้วก็เป็นลูกศิษย์ คนสุดท้ายด้วย

เกี่ยวกับเรื่องเล่าลือของสวีเซวี่ยนนั้น มีไม่มาก

แต่ทุกเรื่องล้วนน่าตะลึงพรึงเพริดทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วเขาคือเจ้าของสำนักฉงหลินครึ่งตัว อีกทั้งการค้าของสำนักฉงหลินนั้นได้ทำไปถึงแจกันสมบัติทวีป หรือแม้แต่ใบถงทวีปนานแล้ว

หรือยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในปณิธานของเขาก็คือเอาชนะป๋ายฉางอาจารย์ ผู้มีพระคุณ

ช่วงล่าสุดนี้มีข่าวลือใหญ่เทียมฟ้าอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือสวีเซวี่ยนหวังให้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักหญิงของสำนักชิงเหลียงมาเป็นคู่บำเพ็ญตนของตน ขอแค่นางตอบตกลง เขาสวีเซวี่ยนก็ยินดีออกจากสำนักของตัวเอง ย้ายไปอยู่ใน สำนักชิงเหลียงแทน

แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ป่าวประกาศว่าจะเอาชนะอาจารย์ หรือเรื่องที่บอกว่าจะออกจากสำนัก เซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉางก็ล้วนไม่สะทกสะท้าน แต่ได้ยินมาว่า ตอนนี้ป๋ายฉางปิดด่าน พยายามจะฝ่าทะลุคอขวดเซียนเหริน นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ ป๋ายฉางไม่ได้ไปที่ภูเขาห้อยหัว ไม่มีใครสงสัยในความกล้าหาญของป๋ายฉาง เพราะในชีวิตของป๋ายฉางนั้นเคยมีถึงสองครั้งที่พาตัวไปอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ อีกทั้งยังอยู่ที่นั่นนานเกือบเจ็ดสิบปี

เนื่องจากสวีเซวี่ยนยังไม่เคยลงมือมาก่อน เป็นเหตุให้จนถึงตอนนี้อุตรกุรุทวีปก็ยังไม่กล้าแน่ใจว่า คนผู้นี้ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของสวีเซวี่ยนเป็นอย่างไรกันแน่

แต่ไม่มีใครกังขาในตำแหน่งสามอันดับแรกของสิบคนรุ่นเยาว์ของสวี่เซวี่ยน อย่างแน่นอน

เพราะสวี่เซวี่ยนที่ทยอยเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต จากนั้นก็เลื่อนจากขอบเขตโอสถทองไปเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ธรณีประตูใหญ่สามขั้นของผู้ฝึกตน ล้วนเกิด ภาพเหตุการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น

มีคนบอกว่าอันที่จริงสวีเซวี่ยนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนนานแล้ว เพียงแต่ว่า ป๋ายฉางได้ลงมือสยบภาพเหตุการณ์ประหลาดทั้งหมดเอาไว้ด้วยตัวเอง

อีกทั้งในบรรดาคนทั้งสิบ สวีเซวี่ยนยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดอีกน้อย

เทียบกับหวงซีที่อยู่ในอันดับสี่แล้วยังอายุน้อยกว่าสามปี

จากนั้นจึงเป็นหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย

อันดับที่ห้าคือผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่ง หากไม่นับหยางหนิงเจิน นางก็คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนเดียวที่ติดอันดับ

อันดับที่หก ตายอย่างเฉียบพลันไปแล้ว ทางสำนักตามสืบข่าวอยู่นานสิบกว่าปี ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆ

อันดับที่เจ็ด ต่อสู้กับคนบนภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บ อาการบาดเจ็บลามไปถึงต้นกำเนิด คำว่าหนึ่งในสิบคนนั้นก็มีแค่ชื่อแต่ไร้ความสามารถ

อีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดวัยชราจากสำนักศัตรูคนหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะเอาชีวิตของตนมาทำลายเส้นทางอนาคตบนมหามรรคาของชายหนุ่ม ผู้มีพรสวรรค์คนนี้

ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเป็นหลุมพราง แต่ยังไม่สามารถอดทนข่มกลั้น เลือกที่จะรับคำท้า ถ้าเช่นนั้นนี่ก็คือจุดจบ มหามรรคาไร้ปราณีเสมอ

อันดับที่แปดก็คือ เทพธิดาหลูจากภูเขาสุ่ยจิงคนนั้น

ทว่าตอนนี้ก็มีข่าวลือมาอีกว่า มีคนใหม่บนภูเขาที่ปรากฏตัวอีกหลายคน ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติจะเลื่อนสู่สิบอันดับนี้ ถึงขั้นที่ว่าลำดับยังไม่ต่ำอีกด้วย

ฉีจิ่งหลงพลิกเปิดเทียบตัวอักษรและสมุดรวมภาพวาดบางส่วน

ช่วงนี้เขากำลังศึกษาเรื่องวิธีการเขียนแบบจ้วนโจ้วและแบบแปดด้าน ฉายประกายของเทียบตัวอักษรแบบตวัด

นี่ก็คือการฝึกกระบี่

ศึกษาท่วงทำนองและเค้าโครงบนภาพวาดของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง ก็เป็นการ ฝึกกระบี่เหมือนกัน

ตอนที่อ่านหนังสือแล้วเปิดไปเจอประโยค ครามนำตะไคร่อ่อนทิ้งรอยอักษรเหนี่ยวจ้วน ก็เป็นปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งเหมือนกัน

ฉีจิงหลงเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าการใช้เหตุผลของข้า จะเป็นขั้นตอนที่เปลี่ยนจากซับซ้อนมาเป็นเรียบง่าย ดุจน้ำมาลำคลองสำเร็จ

ก็เหมือนกับการอ่านตำราที่อ่านจากหนามาเป็นบาง สุดท้ายอาจจะหลงเหลือไว้เพียงถ้อยคำไม่กี่คำที่โดดเด่น แต่กลับสามารถติดตามตนไปได้ชั่วชีวิต ให้ประโยชน์ ชั่วชีวิต

อีกทั้งยังสามารถประคับประคองเหตุผลอันเป็นพื้นฐานของความรู้ที่มีอยู่เต็มท้องได้ ก็เหมือนกับเสาและคานของเรือนหลังหนึ่งที่ช่วยประคับประคองกันและกัน ไม่ขัดแย้งกันเอง สุดท้ายจิตแห่งเต๋าก็จะเหมือนป๋ายอวี้จิงที่เรียงสูงต่อขึ้นไปทีละชั้น สูงทะลุเสียดทะเลเมฆ ไม่เพียงเท่านี้ อาณาเขตของห้องยังสามารถขยับขยาย ให้กว้างขวาง เมื่อกฎเกณฑ์ที่มียิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คำว่าอิสระที่มีขีดจำกัดก็ย่อมกลายเป็นอิสระที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบได้มากขึ้น

ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ฉีจิ่งหลงจุดตะเกียงอ่านตำราอยู่ตลอดทั้งคืน

ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเขากำลังไร้สมาธิ เอาความสนใจไปทำเรื่องอื่น

แต่โชคดีที่ยังมีคนที่ไม่คิดเช่นนี้

คนชุดเขียวผู้หนึ่งเดินเลียบลำน้ำสายใหญ่ขึ้นไปทางตอนบน

เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในตลาดของยุทธภพวันนี้ เฉินผิงอันพลันตามหาเหลาสุราเก่าแก่ร้านหนึ่งแล้วสั่งหม้อไฟที่ขึ้นชื่อของร้านป้ายอักษรทองแห่งนี้มาหนึ่งชุด

ในร้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกชาวยุทธที่กำลังสาวตะเกียบเร็วราวกับบิน ซดน้ำหม้อไฟคำโต เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก

คนหนึ่งในนั้นอาจเป็นคนที่เคยเล่าเรียนมาก่อน เขาที่เมามายจึงหลุดประโยคหนึ่งออกมา

คนผู้นั้นบอกว่า ผู้อ่อนแอเบียดเสียดอยู่ในหม้อน้ำมันที่น้ำลึกและร้อนระอุ ก็คือหม้อไฟที่ผู้แข็งแกร่งบนโต๊ะกำลังกิน

เฉินผิงอันดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ รู้สึกว่าผู้อาวุโสซ่งพูดได้ถูกแล้ว กินหม้อไฟกับสุรา เป็นรสชาติที่มีเฉพาะบนโลกเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!