บทที่ 530 ทรัพย์สินของภูเขาลั่วพั่ว
หลังจากที่เฉินผิงอันชักเท้ากลับมาจากธารน้ำก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ มือขวาของเขาสั่นสะท้าน บนมือมีฝุ่นผงจำนวนมากที่ร่วงเผลาะลงมา
ตอนนั้นมือขวาของเฉินผิงอันถูกนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ใช้วิชาอภินิหารของ ลัทธิพุทธพันธนาการเอาไว้ นี่ก็คือเศษธุลีจากการที่ผลกรรมซึ่งรัดพันอยู่ถูกกระเทือนให้สลายหายไป
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตเต็มที ขนาดฉีจิ่งหลงก็ยังให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับการลอบฆ่าที่ริมลำคลองว่า ‘อันตรายอย่างถึงที่สุด’ บางทีสาเหตุครึ่งหนึ่ง อาจเป็นเพราะวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธวิชานี้
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองมือวักน้ำมาล้างหน้า มองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ เขาเอียงศีรษะ ใช้ฝ่ามือถูตอหนวดบางๆ ที่อยู่ตรงคาง เริ่มรู้สึกเป็นกังวลว่าตนจะกลายเป็นชายฉกรรจ์เคราดกอย่างสวีหย่วนเสียหรือไม่
เฉินผิงอันยื่นมือลงไปในน้ำ แบฝ่ามือออกแล้วกดลงเบาๆ กระแสน้ำไหลในลำธารพลันหยุดนิ่ง แต่ต่อมาก็ไหลรินไปเป็นปกติเหมือนเดิม
เฉินผิงอันเปลี่ยนท่าฝ่ามือ วาดฝ่ามือหมุนเป็นวงกลม กระแสน้ำวนตรงฝ่าเท้ายิ่งนานก็ยิ่งขยายใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดการกระทำนี้ลง น้ำในลำธารจึงเริ่มกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
เมื่อก่อนตอนที่เดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์พร้อมกับจางซานเฟิง เคยเห็นนักพรตหนุ่มผู้นั้นยกมือทำท่าทางบางอย่างอยู่กับตัวเองเป็นประจำ จะกำเป็นหมัด ก็ไม่กำ จะแบฝ่ามือก็ไม่แบ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เฉินผิงอันจึงลองเรียนรู้ ท่ามือเหล่านั้นมาอย่างผิวเผิน เพียงแต่มักจะรู้สึกว่าตัวเองยังทำไม่ถูก อันที่จริง นี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งอ่อนด้อยของวิชาหมัด ต่อให้มีจางซานเฟิงร้อยคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินผิงอัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นเรื่องของการเรียนวิชาหมัด เฉินผิงอันเรียนรู้ ได้อย่างรวดเร็วมาโดยตลอด ก็เหมือนปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นท่าหมัดรากฐานของจ้งชิว เฉินผิงอันได้เห็นแล้วลองร่ายออกมา ก็ไม่เพียงแต่เหมือนทางภาพลักษณ์ภายนอก ยังเหมือนทางจิตวิญญาณอยู่อีก หลายส่วน ทว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิง เฉินผิงอันกลับเรียนไม่เป็นเสียที
เวลานี้เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดลึก คิดแค่ว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิงเป็นวิชาหมัดของผู้ฝึกตนบนภูเขา เป็นวิชาที่ใช้หล่อเลี้ยงลมปราณโดยเฉพาะ จึงจำเป็นต้องมี มรรคกถาเต๋าประกอบด้วย
การที่ผู้ฝึกยุทธของยุทธภพชั้นล่างสุดถูกเรียกอย่างเยาะเย้ยว่านักต่อสู้ ก็เพราะว่าเป็นแค่กระบวนท่าหมัด วิธีการใช้เล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สิ่งที่พิถีพิถันอย่างแท้จริงก็ยังคงเป็นเส้นทางการเดินของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น หากลึกลงไปยิ่งกว่านั้นก็คือคำว่าปณิธาน อันศักดิ์สิทธิ์ นั่นจะเป็นขอบเขตที่ยิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ กระบวนท่าหมัดแบบเดียวกัน ปณิธานหมัดกลับมีความแตกต่าง วิชาหมัดแบบเดียวกันที่เรียนมาจากอาจารย์ คนเดียวกัน แต่กลับอาจเกิดภาพบรรยากาศที่แตกต่างกันไปดั่งบุตรทั้งเก้าของมังกร นี่คือหลักการเดียวกับการที่คนบนโลกมองภูเขามองสายน้ำ มองลมมองหิมะ แล้วเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวที่บอกว่าอาจารย์พา เข้าสำนัก ฝึกฝนอยู่ที่ตัวเอง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวมายืดเส้นยืดสายไปหนึ่งรอบ
หลอมจิตแห่งวีรบุรุษได้ก็คือกุญแจสำคัญของขอบเขตหก
คำว่าจิตวีรบุรุษนั้น ไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้จริง แต่เป็นตำแหน่งที่เอาไว้ใช้ฝึกฝนหล่อเลี้ยงลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กับจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ ความหมายของมันยิ่งใหญ่ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับโอสถทองของผู้ฝึกตน
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขอบเขตอีกแค่ สองความหมาย ตอนนี้มีจิตแห่งวีรบุรุษหนึ่งดวงแล้ว ก็เหลือแค่ความหมาย อย่างสุดท้ายนั่นแล้ว ในความเป็นจริงแล้วระดับความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายและจิตวิญญาณเฉินผิงอันนั้นสามารถทัดเทียมได้กับขอบเขตร่างทองมานานแล้ว การขัดเกลาจากหมัดของชุยเฉิง กับการประมือกับจูเหลี่ยน การหล่อหลอมท่ามกลางบ่อสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ บวกกับการเข่นฆ่าสังหารหลายครั้งบนเส้นทางของการ เดินทางไกล แน่นอนว่ายังมีการฝึกหมัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกตนอยู่ด้านนอกของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง
ทว่าข้อเล็กๆ นี้กลับมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นคอขวดใหญ่ ห่างจากขอบเขตร่างทองก็คือปราการธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
แต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน ยิ่งคอขวดใหญ่เท่าไรก็ยิ่งดี เพราะโอกาสที่จะช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
คำว่าแข็งแกร่งที่สุดนี้ เมื่อก่อนเฉินผิงอันแทบไม่เคยคิดถึง ปีนั้นที่เป็นขอบเขตสาม ที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็เพราะถูกหมัดแต่ละหมัดของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว หล่อหลอมออกมา ไม่เกี่ยวสักนิดเลยว่าเฉินผิงอันจะต้องการหรือไม่ เมื่ออยู่บนมือ ของชุยเฉิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ เจ้าเฉินผิงอันไม่อยากได้ก็จะไม่เอาได้หรือ?
หนึ่งในเส้นสายของเส้นทางหัวใจเฉินผิงอัน ปลายด้านหนึ่งของเส้นหนึ่งในนั้น ก็คือเป็นอย่างที่ผู้เฒ่าเหยาเคยพูดไว้ ‘อะไรที่ควรเป็นของเจ้าก็คว้าไว้ให้ดี อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้าก็อย่าแม้แต่จะคิด’ สรุปโดยรวมแล้วก็หนีไม่พ้นสี่คำบนกรอบป้ายของ ลัทธิพุทธซุ้มก้ามปูที่บอกว่า ‘อย่าแสวงหาสิ่งนอกกาย’ แล้วก็ขยายความออกไปได้เป็นเหตุผลที่ว่า ‘ชะตาแปดฉื่อ อย่าไขว่คว้าหนึ่งจั้ง’ และเฉินผิงอันก็มองมัน เป็นหลักการเหตุผลที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน นี่ก็คือเส้นทางหัวใจที่น้ำมาคลอง ก็สำเร็จ ดังนั้นทุกคำพูดและทุกการกระทำท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของ เฉินผิงอันจึงได้รับอิทธิพลที่ซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างเช่นโชคชะตาบู๊ของนครมังกรเฒ่าที่ถูกเฉินผิงอันต่อยกลับไป อีกทั้ง ยังต่อยกลับไปถึงสองครั้งติด นอกจากนี้เฉินผิงอันก็แทบไม่ยินดีที่จะเข้าไปแสวงหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล แต่ชอบ ‘เก็บตกสมบัติเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นชิ้น ไม่เป็นอัน’ มากกว่า
ก็เหมือนกับคนธรรมดาบนโลกมองธารน้ำที่จะมองเห็นแค่กระแสน้ำไหล ไม่มีทางเห็นไปถึงใต้ท้องน้ำ
เฉินผิงอันเองก็เคยเป็นคนหนึ่งในนั้น นี่คือหลักการเหตุผลที่เฉินผิงอันค่อยๆ คิดจนกระจ่างหลังจากที่พิศคนพิศมรรคา ฝึกฝนและถามใจตัวเองอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้
เข้าใจคนอื่นคือผู้รอบรู้ เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง
ยากมากนัก
ดังนั้นความรู้ที่ผ่านการอนุมานขบคิดใคร่ครวญมาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายนำมาสรุปรวบรวม ถึงจะกลายมาเป็นหลักการเหตุผลที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันกลับไปนั่งลงข้างริมธารน้ำอีกครั้ง
เขามองไปทางทิศใต้
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เขาถึงได้หัวเราะออกมา
แล้วทำท่ามือเหมือนเขกมะเหงก
ไม่รู้ว่าตอนนี้เผยเฉียนที่อยู่ในโรงเรียนเรียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
……
เรือข้ามทวีปแห่งหนึ่งที่มาจากสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกจอดเทียบท่าบนภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียนช้าๆ
สตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น สวมหมวกคลุมใบหน้า ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ข้างกายมีผู้ปกป้องมรรคาที่แผ่ภาพบรรยากาศของโอสถทองคนหนึ่งติดตามมาด้วย
ก็คือสุยจิ่งเฉิงที่เดินทางข้ามทวีปลงใต้ และหรงช่างผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
เมื่อเรือข้ามฟากขับเคลื่อนเข้ามาในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป สุยจิ่งเฉิง ก็มักจะออกจากห้องมาก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำของต่างทวีปอยู่ตรงหัวเรือบ่อยๆ
ใต้ฝ่าเท้าก็คือราชวงศ์ต้าหลี
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เข้ามาในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวที่ลดระดับขั้นจาก ถ้ำสวรรค์เป็นพื้นที่มงคล หรงช่างมองไกลๆ ไปยังภูเขาพีอวิ๋นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ภาพบรรยากาศของภูเขาสายน้ำชวนให้คนตื่นตะลึง ไม่เสียแรงที่เป็นขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีป”
อุตรกุรุทวีปก็มีห้าขุนเขาอยู่มากมายเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกับภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนโลกแห่งนี้แล้ว กลับยังด้อยกว่าอยู่อักโข
ได้ยินมาว่าเว่ยป้อเทพแห่งขุนเขาเหนือกำลังจะฝ่าทะลุห้าขอบเขตบน หรงช่าง ก็ยิ่งทอดถอนใจไม่หยุด องค์เทพแห่งขุนเขาเฝ้าพิทักษ์เขตอิทธิพลของตัวเอง ก็เทียบเท่าได้กับอริยะที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก นั่นก็คือขอบเขตจะต้องสูงกว่าเดิมไปอีกหนึ่งระดับ หากเว่ยป้อเลื่อนขั้นไปมีตบะของขอบเขตหยกดิบ ก็เท่ากับว่าต้าหลี มีองค์เทพร่างทองขอบเขตเซียนเหรินอยู่ท่านหนึ่ง อันที่จริงพลังการต่อสู้ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น ที่สำคัญก็คือโชคชะตาแคว้นของต้าหลีที่ไม่ว่าจะเป็นปราณวิญญาณภูเขาแม่น้ำหรือโชคชะตาบุ๋นบู๊ตลอดทั้งแถบของขุนเขาเหนือ ที่จะยิ่งมั่นคงแข็งแกร่งได้เพราะสาเหตุนี้
ตามคำบอกเล่าของสุยจิ่งเฉิง เว่ยป้อกับผู้อาวุโสคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่น
ม่านราตรีหนาหนัก จำนวนเรือข้ามฟากบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีไม่มาก ดังนั้นเรือจากสำนักพีหมาจึงดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
คืนนี้เรือข้ามฟากจะมาจอดอยู่ที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเดินทาง เพื่อสะดวกให้ผู้โดยสารจากอุตรกุรุทวีปได้ออกไปเที่ยวชมอดีตถ้ำสวรรค์ที่ปริแตก แล้วหล่นลงสู่พื้นดินแห่งนี้ ว่ากันว่าบนภูเขาหนิวเจี่ยวก็มีร้านค้าตระกูลเซียนที่เพิ่งจะเปิดกิจการอยู่แห่งหนึ่ง ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถเก็บตกของดีอะไรได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และสายตาของแต่ละคน ทว่าผู้รับผิดชอบดูแลเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาก็ได้บอกแก่ผู้โดยสารเรือทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อมาถึงอาณาเขตของขุนเขาเหนือแจกันสมบัติทวีปนี้ ก็ไม่ใช่อุตรกุรุทวีปอีกต่อไป อีกทั้งเขตการปกครองหลงเฉวียนยังมีอริยะหร่วนฉงที่มีชาติกำเนิดจากศาลลมหิมะเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ไม่สามารถทะยานลมขี่กระบี่ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าใครก็ตามที่ลงจากเรือไปแล้วสร้างปัญหาวุ่นวาย ก็อย่าได้โทษว่าสำนักพีหมาดูดายไม่สนใจ
ตรงท่าเรือมีบุรุษชุดขาวท่วงท่างามสง่าดุจองค์เทพคนหนึ่งปรากฏตัว ตรงหูห้อยต่างหูทรงกลมสีทองไว้หนึ่งวง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม กำลังมองมายังสุยจิ่งเฉิงและหรงช่าง
ข้างกายของเขามีนกวิเศษบินล้อมวนไม่หยุด แล้วก็เหมือนจะมีแสงรัศมีสีเงินสีทองระยิบระยับแผ่ออกมา
หรงช่างมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีตบะตื้นลึกแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นสถานะของเขาก็ชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว นั่นก็คือเทพภูเขาที่มีระดับขั้นสูงที่สุดในแจกันสมบัติทวีป เว่ยป้อ
สุยจิ่งเฉิงก้าวเร็วๆ เดินขึ้นหน้าไปหา ถามเสียงเบาว่า “ใช่ท่านเทพภูเขาเว่ยหรือไม่?”
เว่ยป้อมองไม้เท้าเดินป่าในมือของสุยจิ่งเฉิงแวบหนึ่ง ยกมือหนึ่งครั้ง ไล่พวกนกทั้งหลายออกไป จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้ารับ “ข้าได้รับกระบี่บินส่งข่าวแล้ว ก็เลยมารับพวกเจ้า”
หรงช่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มีองค์เทพแห่งขุนเขาท่านใดที่กระตือรือร้นเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้บ้าง? จำเป็นต้องออกมาต้อนรับพวกเขาสองคนด้วยตัวเองเลยหรือ เพราะจะว่าไปแล้ว พวกเขาก็ถือว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าต่างถิ่นที่เดินทางมาไกลเท่านั้น
หากเป็นแจกันสมบัติทวีปในอดีต เขาหรงช่างที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่ออยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี หรงช่างกลับไม่คิดว่าตัวเองจะมีหน้ามีตาใหญ่โตถึงเพียงนั้น
ที่นี่คือเขตอิทธิพลของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ที่มีมากเลย ก็คือเทพเซียนที่เป็นดั่งมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ
เซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป เฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป นี่ก็ตั้ง สองคนแล้ว เล่าลือกันว่าพวกเขาต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนึ่งของเมืองเล็ก
ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ใครก็อย่าได้คิดจะเอาขอบเขตของตัวเองมาพูดคุย เพราะมีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกของผู้อื่นเท่านั้น
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย นางรีบยอบตัวทำความเคารพ “รบกวน ท่านเทพภูเขาเว่ยแล้ว”
เว่ยป้อโบกมือ รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยน “แม่นางสุยไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้ ต่อจากนี้จะเดินเล่นที่ร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยวก่อนสักรอบ หรือจะ ตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่วเลย?”
สุยจิ่งเฉิงตอบ “พวกเราไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อนก็แล้วกัน”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ แล้วจึงร่ายวิชาอภินาร พาสุยจิ่งเฉิงกับหรงช่างไปถึงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
แล้วหรงช่างก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจอีกครั้ง
การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนขององค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีผู้นี้น่าจะมีปัญหาไม่มาก ระดับของความสอดผสานกลมกลืนระหว่างภูเขาสายน้ำของเขา ช่างชวนให้คนตกใจนัก
ย่อพื้นที่ภูเขาสายน้ำพันลี้ให้เล็กลง ถูกหอบหุ้มร่างให้เดินทางไปไกล หรงช่างค้นพบว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนเล่มนั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวสักเท่าไรเลย
เว่ยป้อเอ่ยขออภัย “ถึงอย่างไรก็เป็นภูเขาของเฉินผิงอัน ข้าไม่อาจส่งพวกเจ้าไปยังเรือนพักที่อยู่กึ่งกลางภูเขาได้โดยตรง คงต้องรบกวนให้แม่นางสุยกับเซียนกระบี่หรงเดินขึ้นเขากันไปเองแล้ว”
เรือนหลังหนึ่งตรงหน้าประตูภูเขา มีชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งที่ไม่ใส่รองเท้า วิ่งเท้าเปล่าออกมา พอเห็นสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าแล้วก็คร้านจะชำเลืองตามองบุรุษอีก
เว่ยป้อเอ่ยแนะนำว่า “ท่านผู้นี้คือพี่ใหญ่ต้าเฟิง เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว”
เจิ้งต้าเฟิงยืนอยู่ข้างกายเว่ยป้อ ถูมือยิ้มกล่าว “คงเป็นแม่นางสุยกระมัง? อยากจะเข้าไปนั่งในบ้านของข้าก่อนหรือไม่ ข้ากับเว่ยป้อสามารถทำอาหารมื้อดึก ให้เจ้าได้ ถือเสียว่าเป็นการช่วยรับรองแขกแทนเฉินผิงอัน ช่วยต้อนรับแม่นางสุย แทนเขา หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแล้ว จะพักค้างแรมก็ไม่มีปัญหา บ้านของข้าใหญ่ ห้องหับก็เยอะแยะ อย่าว่าแต่แม่นางสุยคนเดียวเลย ต่อให้แม่นางสุยพาเพื่อนที่เป็นสตรีมาด้วยกันหลายๆ คนก็ไม่ต้องกลัว…ใช่แล้ว ข้าแซ่เจิ้ง แม่นางสุยสามารถเรียก ข้าว่าพี่ใหญ่เจิ้งก็ได้ ไม่ต้องเห็นกันเป็นคนอื่นคนไกล”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจว่า “แม่นางสุยกับเซียนกระบี่หลงจะหยุดพักกินอาหารมื้อดึก หรือจะขึ้นเขาเดินทางต่อทันทีเลยก็ได้ทั้งนั้น”
ผลคือสุยจิ่งเฉิงกับหรงช่างเห็นบุรุษหลังค่อมคนนั้นกระทืบเท้าของเว่ยป้อหนึ่งที ยังคงพูดหน้ายิ้มไม่เปลี่ยน “แค่อาหารมื้อดึกมื้อเดียวเท่านั้น ไม่รบกวนๆ”
สุยจิ่งเฉิงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปบนภูเขาดีกว่า มีเรื่องบางอย่างยังต้องพูดกับท่านเทพภูเขาเว่ยอย่างละเอียด จดหมายลับที่ส่งมากับ กระบี่บินไม่อาจเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจหนึ่งที ปลายเท้าออกแรงขยี้บนรองเท้าของเว่ยป้อหนักๆ ซ้ำอีกครั้ง เว่ยป้อสีหน้าเป็นปกติ พูดกับสุยจิ่งเฉิงว่า “ตกลง”
หรงช่างที่มองดูอยู่เกือบจะมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก จิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคง
คนทั้งสี่เดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ
เจิ้งต้าเฟิงกดเสียงลงต่ำบ่นว่า “ไม่มีคุณธรรมขนาดนี้เชียวหรือ?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “มาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันก่อน”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเดือดดาล “เรื่องใหญ่ในชีวิตของพี่น้อง จะไม่เรียกว่าเป็นการเป็นงานได้อย่างไร? มารดามันเถอะ ไอ้ที่ท่วมก็ท่วมทะลัก ไอ้ที่แห้งก็แห้งขอดเลย”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ “ในตำราย่อมมีความงดงามดุจหยก (เปรียบเปรยว่าการอ่านตำราศึกษามีความรู้ทำให้กอดสาวงามกลับบ้านได้) สาวงามในภาพวาดก็มีอารมณ์หลากหลาย”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “แต่ถึงอย่างไรก็ขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ดี”
เว่ยป้อตบไหล่เจิ้งต้าเฟิง พูดปลอบใจว่า “เป็นคนหล่อเหลามีความสามารถขนาดนี้ ยังกลัวว่าจะหาเมียไม่ได้อีกหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงศอกกลับเว่ยป้อ “คำพูดประเภทนี้หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอันที่เป็นคนพูด ข้าก็คิดว่าตัวเองคงมีความมั่นใจเปี่ยมล้น แต่เจ้าเป็นคนพูดเนี่ยนะ?”
ตอนที่สุยจิ่งเฉิงเดินขึ้นเขา นางกวาดตามองไปรอบด้าน ความคิดจิตใจจมจ่อมอยู่กับตัวเอง ที่นี่คือบ้านเกิดของผู้อาวุโส
ส่วนหรงช่างนั้นยังมึนงง เดาไม่ออกถึงประวัติความเป็นมาของชายฉกรรจ์ หลังค่อม เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มหามรรคาขาดสะบั้น กลายเป็นคนไร้ค่าครึ่งตัว เหตุใดถึงได้สนิทสนมกับเว่ยป้อขนาดนี้? ประเด็นสำคัญคือคนทั้งสอง กลับไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง?
สุยจิ่งเฉิงชะลอฝีเท้าให้เนิบช้า มีหญิงสาวคนหนึ่งฝึกวิชาหมัดเดินจากบนภูเขาลงมาด้านล่าง กระบวนท่าหมัดนั้นค่อนข้างจะคุ้นตาอยู่บ้าง สุยจิ่งเฉิงจึงเริ่มมองประเมินรูปโฉมของอีกฝ่ายอย่างละเอียด ยังดี สวย แต่ก็ไม่ได้สวยมากขนาดนั้น
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “น้องเฉิน ดึกขนาดนี้แล้วยังฝึกวิชาหมัดอยู่ อีกหรือ ลำบากเจ้ามากแล้วจริงๆ พี่ใหญ่ต้าเฟิงว่าเจ้าผอมลงอีกแล้วนะ”
เฉินยวนจีเพียงแค่ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งต่อไป แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน สมาธิแน่วแน่ไม่วอกแวก
เดินลงเขาไปตลอดทาง
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ไม่เป็นไร ในสายตาไม่เห็นพี่ใหญ่ต้าเฟิงก็ถูกต้องแล้ว ฝึกวิชาหมัดต้องตั้งใจนี่นะ ถึงอย่างไรขอแค่ในใจมีพี่ใหญ่ต้าเฟิงก็เพียงพอแล้ว”
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าอย่าถ่วงเวลาการฝึกหมัดของเฉินยวนจีอีกเลย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้ากำลังช่วยนางขัดเกลาสภาพจิตใจอยู่ต่างหาก เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ จะไปเข้าใจกะผายลมอะไร ทุกครั้งที่แม่หนูนี่ฝึกหมัดไปกลับระหว่างยอดเขากับตีนเขา ธรณีประตูด่านสำคัญที่แท้จริงอยู่ตรงไหน? ก็อยู่ที่ ประตูใหญ่ตรงตีนเขาของข้านั่นอย่างไรล่ะ อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่ข้านั่งอยู่บนม้านั่ง ตัวเล็กไม่เคยได้ทำอะไร แท้จริงแล้วสายตาที่แฝงปราณสังหารของข้า ถ้อยคำที่แฝงความลี้ลับอำพราง สตรีผู้ฝึกยุทธทั่วไป จะมีสักกี่คนที่ต้านทานได้ไหว?”
เว่ยป้อทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ๆๆ เจ้าพูดถูกทั้งหมดเลย”
หรงช่างอัดอั้นในใจยิ่งนัก ชายฉกรรจ์ผู้นี้ แค่ดูจากถ้อยคำและสายตาของอีกฝ่าย หากเกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กจริงๆ เหตุใดถึงยังไม่ถูกคนตีตายนะ?
หรือจะบอกว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส เส้นทางของวิถีวรยุทธพังทลายลงกลางคัน ก็คือหายนะที่ออกมาจากปากนี้ของเขา? เพราะฉะนั้นถึงได้กลายมาเป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว? จำต้องมาพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของเฉินผิงอัน?
หรือจะบอกว่ามีความนัยอย่างอื่นแอบแฝง ความสามารถไม่เหมือนรูปลักษณ์?
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่าชอบใจ “เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อเด็ดขาดเชียว สตรีแซ่ลี่ผู้นั้นนั่นไง ที่ต้านรับไว้ไม่ไหว สักวันหนึ่งเฉินยวนจีจะต้องขอบคุณในความปรารถนาดีของ พี่ใหญ่ต้าเฟิงของนาง ถึงเวลานั้นคงจะอดเช็ดน้ำหูน้ำตาลงบนร่างข้าไม่ได้ แค่คิด ภาพนี้ก็ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งไปถึงทรวงในแล้ว”
เว่ยป้อคร้านจะพูดอะไรอีก
ครั้งนี้อาการจิตกระบี่ไม่มั่นคงของหรงช่างค่อนข้างจะชัดเจนแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งตะลึง ย้ายเส้นสายตามามอง พูดอย่างสงสัยว่า “เซียนกระบี่หรง มหามรรคาของเจ้าก็ได้รับผลประโยชน์เหมือนกันหรือ? แบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย วิธีการเช่นนี้ของข้า โดยทั่วไปแล้วมีไว้ใช้กับสตรีเท่านั้นนะ”
หรงช่างคลี่ยิ้ม “ไม่มีอะไร จากบ้านเกิดมาไกลเป็นพันลี้ เมื่อครู่ก็เลยอดสะท้อนใจไม่ได้ก็เท่านั้น”
เพียงแต่หรงช่างไม่กล้ามองชายฉกรรจ์หลังค่อมเป็นคนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
เสียงร้องเบาๆ ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ปรมาจารย์วิถีวรยุทธทั่วไปจะสามารถรับรู้ได้ในเสี้ยววินาที ได้อย่างไร?
มาถึงกึ่งกลางภูเขา จูเหลี่ยนก็มายืนยิ้มรอต้อนรับอยู่ตรงนั้นแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปในเรือนของจูเหลี่ยนด้วยกัน หรงช่างจึงขอตัวลาจากมา เพราะเจิ้งต้าเฟิงพาเขาไปพักที่อื่น
หรงช่างไม่กังวลถึงความปลอดภัยของสุยจิ่งเฉิงแม้แต่น้อย
ภาพปรากฎการณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ แค่ดูแลภูเขาแม่น้ำของอาณาเขตแห่งหนึ่งก็ได้แล้ว
มหามรรคาของเว่ยป้อต้องยาวไกลมากอย่างแน่นอน
ถ้าเช่นนั้น ‘ผู้อาวุโส’ คนหนึ่งที่แค่พบเจอกับหลิวจิ่งหลงก็สนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน อีกทั้งยังเป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มที่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับเว่ยป้อ ขนบธรรมเนียมของสำนักเขาจะดีหรือเลว ก็รู้ได้ไม่ยาก
หรงช่างและเจิ้งต้าเฟิงไปเจอกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งกลางทาง
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “แม่หนูเฉิน ไม่ต้องตื่นขึ้นมาช่วยงานหรอก เรือนพักถูก เก็บกวาดสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดแล้ว ใช่แล้ว ท่านผู้นี้คือแขกที่มาจาก อุตรกุรุทวีป เซียนกระบี่ใหญ่หรง”
เฉินหรูชูรีบประสานมือโค้งตัวคารวะ “สาวใช้น้อยแห่งภูเขาลั่วพั่วเฉินหรูชูคารวะเซียนกระบี่หรง”
หรงช่างหัวเราะ
งูเหลือมไฟที่มีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นตัวหนึ่ง?
เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เฉินหรูชูหยิบกุญแจพวงใหญ่ออกมา แล้วเลือกพวงเล็กที่อยู่ในนั้นออกมาอย่างคล่องแคล่ว พอเปิดประตูเรือนแล้วก็ยื่นกุญแจพวงนั้นส่งให้หรงช่าง จากนั้นก็บอกกับผู้ฝึกกระบี่จากอุตรกุรุทวีปผู้นี้อย่างละเอียดว่ากุญแจดอกไหนใช้กับประตูบานใดบ้าง แต่ยังบอกด้วยว่าเมื่อเข้าพักแล้ว ต่อให้จะไม่ลงดาลประตูน้อยใหญ่ก็ไม่เป็นไร อีกทั้งทุกวันนางจะต้องมาทำความสะอาดเรือนเช้าเย็นสองครั้ง หากเซียนกระบี่หรงไม่อยากให้มีคนมารบกวนก็ไม่มีปัญหา แต่หากต้องการคนคอยช่วยยกน้ำส่งชา นางก็พักอยู่ห่างไปไม่ไกล แค่เรียกนางคำเดียวก็พอ หลังจากพูดเรื่องทั้งหมดนี้จบในรวดเดียว ก็เดินตามคนทั้งสองเข้าไปในเรือนอยย่างเงียบๆ ในเรือนสะอาดสะอ้าน โล่ง ปลอดโปร่งจริงๆ แม้จะบอกว่าไม่มีปราณเซียนของจวนตระกูลเซียนอะไร แล้วก็ไม่มีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ของตระกูลชนชั้นสูงในราชวงศ์โลกมนุษย์ แต่มองดูแล้วกลับให้ความรู้สึกสบายใจอย่างมาก
หรงช่างไม่มีอะไรที่ไม่พอใจ
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าวกับหรงช่างว่า “จูเหลี่ยนคือผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วเรา แม่หนูเฉินคือผู้ดูแลน้อย บางครั้งเรื่องบางอย่างจูเหลี่ยนก็ยังต้องยกให้นางเป็นดูแล เอาเป็นว่าข้าน่ะชอบแม่หนูเฉินมากเป็นพิเศษ”
เฉินหรูชูยิ้มอย่างเขินอาย
หรงช่างคิดแล้วก็เตรียมจะหยิบของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งจากในวัตถุจื่อชื่อออกมามอบให้แม่หนูที่หน้าตาน่าเอ็นดูผู้นี้
แต่เฉินหรูชูกลับบอกลาเตรียมจะจากไปแล้ว
ทว่าเจิ้งต้าเฟิงกลับหัวเราะร่าแล้วกดศีรษะเล็กๆ ของนางเอาไว้ นางจึงได้แต่หยุดเดิน
หรงช่างหยิบเอาวัตถุวิเศษขนาดเล็กกะทัดรัดออกมาชิ้นหนึ่ง เป็นเตากำยานสีทองสลักลายปล้องไผ่ ไม่แพง ทว่าราคาไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยก็ยังถือว่ามีค่า
เฉินหรูชูรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นางคิดว่ามันล้ำค่าเกินไป ในวัตถุตระกูลเซียน มีปราณวิญญาณซุกซ่อนไว้กี่มากน้อย นางยังพอจะชั่งน้ำหนักได้คร่าวๆ
เจิ้งต้าเฟิงกลับยิ้มกล่าวว่า “ยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบรับไว้สิ”
เฉินหรูชูจึงใช้สองมือรับเตากำยานใบน้อยมา จากนั้นก็โค้งตัวคารวะแสดงการขอบคุณ
หลังจากหรงช่างเข้าพักอยู่ในเรือนแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงก็ออกจากเรือน แล้วก็พบว่าแม่หนูชุดกระโปรงชมพูยืนอยู่ห่างจากประตูไปไม่ไกล
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถาม “เฉินหลิงจวินล่ะ เหตุใดช่วงนี้ไม่เห็นเงาเขาเลย ไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนอีกแล้ว?”
เฉินหรูชูพูดเสียงเบา “ช่วงนี้เขาไปอยู่แถวภูเขาหลังอ๋าวโน่นแน่ะ ชอบเอาแต่ เล่นสนุกเรื่อยเปื่อยแบบนี้เสมอ”
ตอนนี้ภูเขาภายใต้ชื่อของนายท่านมีมากนัก
นอกจากภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวที่ให้สำนักกระบี่ หลงเฉวียนเช่าสามร้อยปีแล้ว
ยังมีภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเจินจู
ภายหลังยังซื้อภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุด แล้วก็มี อาณาบริเวณมากที่สุดมาอีก ภูเขาหนิวเจี่ยวหลังจากที่ร้านผ้าห่อบุญจากไป ภูเขาจูซาที่สกุลสวี่นครลมเย็นย้ายออกไป แล้วยังมีภูเขาหลังอ๋าวกับยอดเขาเว่ยเสีย รวมไปถึงแท่นบูชากระบี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของกลุ่มภูเขา ตอนนี้ภูเขาทั้งหกลูกล้วนเป็นเขตอิทธิพลของบ้านตัวเอง นอกจากครอบครัวของพี่หญิงซิ่วซิ่วแล้ว ในเขต การปกครองหลงเฉวียนก็ถือว่านายท่านของตนมีภูเขามากที่สุดแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงพูดโพล่งเปิดเผยความลับขึ้นมาในประโยคเดียว “เขาน่ะหรือ เป็นเพราะทนเห็นเผยเฉียนต้องเผชิญกับความยากลำบากตอนฝึกวรยุทธไม่ได้ บวกกับพอเอามาเปรียบเทียบกันก็ยิ่งรู้สึกว่าวันๆ ตัวเองไม่ทำอะไรที่เป็นการเป็นงาน ในใจรู้สึกผิด ถ้าตาไม่เห็นใจไม่หงุดหงิด ก็เลยออกไปเล่นสนุกมันเสียเลย”
เฉินหรูชูมีสีหน้าหม่นหมอง
เผยเฉียนฝึกวิชาหมัดได้น่าสังเวชยิ่งนัก
ไม่ได้ดีไปกว่านายท่านในอดีตเลยสักนิด
หลังจากเตรียมถังยาสมุนไพรไว้แล้ว ทุกครั้งที่แบกเผยเฉียนที่สลบไสลออกไปจากชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ภายหลังนางก็ต้องหิ้วถังน้ำขึ้นไปล้างคราบเลือดบนชั้นสองให้สะอาด
บนพื้น บนผนัง ล้วนมีหมด
ทำเอานางที่ได้เห็นน้ำตาร่วงเผลาะๆ หลายครั้งที่เช็ดคราบเลือดไปก็หันไปมอง ผู้อาวุโสที่นั่งขัดสมาธิ หลับตาเข้าฌานไปด้วย
น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสแสร้งทำเป็นไม่รับรู้
เจิ้งต้าเฟิงตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “รีบไปพักผ่อนเถอะ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องทำแต่เรื่องซ้ำๆ เหมือนเดิม แล้วต้องทำแบบนี้ไปร้อยปีพันปี ถ้าเจ้าไม่รู้สึกว่า น่าเบื่อ ข้าล่ะก็นับถือเจ้าจริงๆ หากเฉินหลิงจวินมีความอดทนและมโนธรรมได้ สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ป่านนี้เขาแม่งก็สามารถอาศัยความสามารถของตัวเองทำให้ คนอื่นต้องมองเขาเสียใหม่ได้แล้ว ไหนเลยจะต้องมาคอยเสนอหน้าอยู่กับเฉินผิงอันและเว่ยป้อทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้”
เฉินหรูชูกล่าวอย่างละอายใจ “แต่ข้าฝึกตนได้ช้าเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วน ช่วยไม่ได้เลย”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “อย่าคิดแบบนี้ หากภูเขาลั่วพั่วไม่มีแม่หนูเฉิน กลิ่นอายความเป็นคนก็ขาดหายไปครึ่งหนึ่ง”
เฉินหรูชูเบิกตากว้าง สีหน้าสดใส “จริงหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่า “ห้ามลำพองใจ ต้องขยันตั้งใจให้มากขึ้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับอย่างแรง
บนภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันคนที่วิ่งไปวิ่งกลับมากที่สุดก็คงจะเป็นแม่นางน้อยคนนี้แล้ว ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว แล้วก็ทำเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยอยู่คนเดียวเงียบๆ
ราวกับว่าไม่เคยมีใครสนใจนาง
ทว่าแท้จริงแล้วทุกคนต่างก็สนใจนาง
อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว หากพวกหลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ด้านนอกต้องเจอกับ ความยากลำบากใหญ่หลวง แล้วเฉินผิงอันรู้เข้า ด้วยนิสัยดื้อรั้นเช่นนั้นของเขา บางทีอาจจะยังอธิบายเหตุผลกับคนอื่นดีๆ ก่อนตามนิสัยอืดอาดของตัวเอง
แต่หากแม่นางน้อยชุดกระโปรงชมพูถูกคนข้างนอกภูเขารังแก เจ้าคอยดูเถอะว่าเฉินผิงอันจะยังใช้เหตุผลอีกหรือไม่?
เจิ้งต้าเฟิงสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอยแล้วสาวเท้าเดินไปช้าๆ เขาไม่ได้ไปร่วมวงอะไรที่เรือนของจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนทำอะไร ขนาดเฉินผิงอันที่เป็นคนจิตใจละเอียดอ่อนขนาดนั้นก็ยังวางใจปล่อยให้จูเหลียนทำได้ตามสบาย เขาเจิ้งต้าเฟิงที่เป็นผู้ชายหยาบกระด้างคนหนึ่งจะมีอะไรให้ไม่วางใจเล่า
ส่วนสาวงามสวมหมวกที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วคนนั้น เจิ้งต้าเฟิงมองแล้วก็มองผ่านเลยไป
ก็เหมือนทัศนียภาพในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่าในอดีต
ยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วง พระจันทร์ลอยสูงอยู่กลางนภา
เจิ้งต้าเฟิงเดินลงจากภูเขาช้าๆ
เขาเริ่มคาดหวังให้ในอนาคตเฉินผิงอันลงจากภูเขาไปใช้เหตุผลกับคนอื่นซะแล้วสิ
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยง และยังมีเมืองหลวงต้าหลี
จุดที่น่าสนใจที่สุดก็คือ เมื่อเฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไป ก็เป็นช่วงเวลาที่ว่า หลักการเหตุผลของเขา ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ทว่าอีกฝ่ายไม่อยากฟังก็ยังต้องฟัง
แต่เจิ้งต้าเฟิงก็คาดหวังอย่างมากว่าในอนาคตภูเขาอื่นๆ นอกเหนือจากภูเขาลั่วพั่ว จะมีคนหลายๆ คนเข้ามาพักอาศัย
ทว่าสิ่งที่คู่ควรแก่การคาดหวังมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ว่า หากวันใดวันหนึ่ง ภูเขาลั่วพั่วได้เปิดขุนเขาตั้งสำนักขึ้นมาจริงๆ จะตั้งชื่อว่าอะไรดี
ก่อนหน้านี้ตอนที่คุยกันถึงเรื่องนี้ เขา จูเหลี่ยนและเว่ยป้อต่างก็หันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะครืนขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงหัวเราะไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย
ทางฝั่งเรือนเล็กบนภูเขา
จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อรับฟังการบอกเล่าอย่างละเอียดจากสุยจิ่งเฉิงที่ส่วนใหญ่ ล้วนเป็นประสบการณ์ที่เฉินผิงอันพบเจอมาระหว่างการเดินทางข้ามผ่านภูเขาแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว
เว่ยป้อก็เก็บไม้เท้าเดินป่าอันนั้นไป เตรียมจะนำไปส่งมอบให้กับชุยตงซานผ่านภูเขาพีอวิ๋นของเขา เพราะนี่จะเหมาะสมยิ่งกว่าให้จูเหลี่ยนใช้สถานะของภูเขาลั่วพั่วส่งออกไป
นอกจากไม้เท้าเดินป่าแล้ว ตัวของสุยจิ่งเฉิงเองยังพกจดหมายลับไว้หนึ่งฉบับ ถ้อยคำที่เฉินผิงอันกำชับให้นางพูดกับผู้อาวุโสชุย สุยจิ่งเฉิงไม่ยินดีจะพูดต่อหน้า จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อ
หาใช่ว่าไม่เชื่อใจจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อ เพียงแต่นี่มาจากนิสัยของตัวนางเอง
ในเรื่องนี้ นางเหมือนกับเฉินผิงอันมากจริงๆ
เว่ยป้อรับจดหมายฉบับนั้นมาไว้
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ต่อจากนี้ ก่อนหน้าที่จะได้พบกับผู้อาวุโสชุยที่ถูกผู้อาวุโสบรรยายเสียจนเลิศล้ำมหัศจรรย์ผู้นั้น นางก็แค่ต้อง ‘ท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ’ ในแจกันสมบัติทวีปให้สบายใจภายใต้การคุ้มครองของศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งก็พอ
แต่นางคิดว่าจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วและเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนสักช่วงเวลาหนึ่ง
ถึงอย่างไรก็มีข้ออ้างตั้งมากมาย ยกตัวอย่างเช่นต้องเจอกับเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของผู้อาวุโสเสียก่อน ไปเที่ยวเล่นที่ร้านค้าตระกูลเซียนของท่าเรือภูเขา หนิวเจี่ยว แล้วก็ยังมีภูเขาพีอวิ๋นของเทพภูเขาเว่ย จะไม่ไปเป็นแขกเลยได้อย่างไร? ในอดีตที่นี่ก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งเชียวนะ ไม่ควรจะต้องไปเดินเที่ยวเล่นสักหน่อยหรือ? ถึงขั้นยังสามารถไปเยือนเมืองหลวง ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือก่อนก็ยังได้ แล้วค่อยนั่งเรือข้ามฟากของตำหนักฉางชุนกลับมายังท่าเรือหนิวเจี่ยว แล้วก็สามารถหยุดพักอยู่ที่นี่ได้อีกระยะเวลาหนึ่ง
สุยจิ่งเฉิงถูกเด็กหญิงหน้าตาน่ารักดุจหยกสีชมพูอ่อนที่ผ่านการแกะสลักอย่างประณีตพาไปยังเรือนที่พัก
เว่ยป้อกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นก่อนรอบหนึ่งเพื่อเอาไม้เท้าเดินป่าและจดหมายลับ ไปส่ง แล้วจึงกลับมาที่เรือนของจูเหลี่ยนอีกครั้ง
จูเหลี่ยนกำลังก้าวเท้าเนิบช้าใคร่ครวญเรื่องบางอย่าง
เว่ยป้อไม่ได้รบกวน ทำเพียงรินชาให้กับตัวเองหนึ่งถ้วย
ลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบกันดู ตบะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำสามารถเปิดเผยได้ผ่านร่างทอง ส่วนตบะของผู้ฝึกตนนั้นกลับสามารถใช้ปราณวิญญาณ จำนวนมากน้อยที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณมาวัดระดับ
ถ้าอย่างนั้นในสายตาของเว่ยป้อ คนสี่คนที่ออกมาจากม้วนภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงเจ้าลัทธิมาร สุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิง แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยสีสันแตกต่างกันไป อีกทั้งยังเป็นคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของโลกมนุษย์ พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย แต่หากพูดถึงแค่สภาพจิตใจ อันที่จริงล้วนไม่มีใครสามารถสู้ จูเหลี่ยนที่ ‘สมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง’ ‘กลั่นหลอมกระชับแน่น’ ได้ มีชาติกำเนิด มาจากตระกูลเศรษฐีชนชั้นสูง
ด้านหนึ่งก็แอบเรียนวรยุทธ อีกด้านหนึ่งก็ศึกษาตำราไปตามความชอบ เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ตั้งแต่ยังเยาว์ อดทนทำหน้าที่ เป็นผู้เรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์ หลังจากอยู่ในวงการขุนนางเงียบๆ มาหลายปี ก็เริ่มเข้าสู่ราชสำนักอย่างเป็นทางการ หนทางในวงการขุนนางราบรื่น เจริญก้าวหน้า เพียงไม่นานก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลได้ ภายหลังหันเข้าสู่ยุทธภพ พเนจรไปสุดขอบฟ้า ก็ยิ่งมีท่วงท่าที่องอาจเลิศล้ำ เล่นสนุกกับชีวิตคน และยังเคย ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดในยุทธภพของหมู่บ้านร้านตลาดมาแล้ว สุดท้ายในขณะที่แผ่นดินกำลังจะล่มสลาย ก็ได้กลายเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ หวนกลับคืนสู่ราชสำนัก สมัครเข้ากองทัพลงสนามรบ ละทิ้งวรยุทธที่ไร้ศัตรูทัดทานทิ้งไป ใช้เพียงแค่ สถานะของแม่ทัพบุ๋น ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวมาประคับประคองสถานการณ์ อันวุ่นวาย และสุดท้ายก็ย้อนกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง เปลี่ยนจากคุณชายผู้สูงศักดิ์ ไปเป็นคนบ้าวรยุทธที่พยศยากจะกำราบ
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมต่อให้จูเหลี่ยนมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ยังไม่มี ความสนใจอะไรมากนัก สำหรับจูเหลี่ยนแล้ว ใต้หล้าก็ยังคงเป็นใต้หล้า ก็แค่เปลี่ยนจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาเป็นใต้หล้าไพศาลที่อาณาเขตกว้างใหญ่กว่าเท่านั้น จิตใจ คนยังคงเป็นจิตใจคนเหมือนเดิม ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้มากกว่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ จูเหลี่ยนไม่เคยเอาจริงเอาจังอย่างแท้จริงมาก่อน
สุยโย่วเปียนนั้นหวังว่าจะใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่มาบินทะยานอย่างแท้จริงสักครั้ง
เว่ยเซี่ยนมีจิตใจของคนเป็นจักรพรรดิ จึงมีความทะเยอทะยาน หวังจะลุกผงาดกลับมาอีกครั้ง อยากจะควบคุมกองกำลังทหารและอำนาจได้มากกว่าจักรพรรดิ ของพื้นที่มงคลคนหนึ่ง
หลูป๋ายเซี่ยงหวังว่าจะเริ่มก้าวเดินอยู่ในยุทธภพใหม่อีกครั้ง ค่อยๆ เก็บสะสมกำลังทรัพย์ สุดท้ายก่อสำนักตั้งพรรค สักวันหนึ่งจะหลุดพ้นจากภูเขาลั่วพั่ว มีสำนักเป็นของตัวเอง ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมาหลุบตาลงมองเทพเซียนบนภูเขาอย่างโอหัง
คนทั้งสามต่างก็มีความต้องการเป็นของตัวเอง ต่างก็ตามหามหามรรคาของตัว ในใต้หล้าแห่งใหม่
แล้วจูเหลี่ยนล่ะ
ไร้ความต้องการ ไร้ความปรารถนา
แท้จริงแล้วจิตใจของจูเหลี่ยนไร้พันธนาการของมหามรรคามานานแล้ว
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากจูเหลี่ยนดึงหน้ากากที่สวมอยู่ออก อาศัยใบหน้านั้นมาหาข้าวกินก็สามารถกินได้จนอิ่มหนำ แล้วนับประสาอะไรกับที่ จูเหลี่ยนไม่เคยให้ความใส่ใจด้านพิณ หมากล้อม พู่กันและภาพวาด แต่กลับยังเชี่ยวชาญได้ถึงขนาดนี้
พูดประโยคน่าฟังหน่อย จูเหลี่ยนที่เรียกได้ว่าพรสวรรค์เลิศล้ำเป็นเอก หากหันไปฝึกตนอย่างสุยโย่วเปียน ขอบเขตของเขาก็สามารถก้าวรุดหน้าพันลี้ในหนึ่งวัน ฝ่าทะลุขอบเขตเหมือนผ่าลำปล้องไม้ไผ่ได้เช่นเดียวกัน
จูเหลี่ยนคืนสติ เขาหยุดเดินแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ขอโทษที คิดเรื่องบางอย่างจน เหม่อลอยไปหน่อย”
เว่ยป้อรินน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วย จูเหลี่ยนนั่งลงแล้วก็บิดหมุนถ้วยกระเบื้องเคลือบเบาๆ ถามเนิบช้าว่า “คุยกับชุยตงซานเรื่องแอบซื้อเศษชิ้นส่วนร่างทองไปถึงไหนแล้ว?”
นี่คือความลับสำคัญเรื่องหนึ่งที่จูเหลี่ยน เว่ยป้อและเจิ้งต้าเฟิงปรึกษากันออกมา หากพื้นที่มงคลรากบัวได้กลายมาเป็นสมบัติส่วนตัวของภูเขาลั่วพั่วจริง เมื่อเลื่อน สู่พื้นที่มงคลระดับกลางได้แล้วก็จำเป็นต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำจำนวนมาก ผลประโยชน์จะมากตามไปด้วย เพราะควันธูปในโลกมนุษย์คือของอย่างหนึ่งที่ ภูเขาลั่วพั่วไม่จำเป็นต้องจ่ายแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว แต่กลับมีความสำคัญต่อพื้นที่มงคลอย่างถึงที่สุด ทว่าวัตถุอย่างเศษชิ้นส่วนร่างทองนี้ เกี่ยวพันกับราชสำนัก ต้าหลีโดยตรง ต่อให้เว่ยป้อเป็นคนเปิดปากพูด ก็ไม่มีทางเป็นเรื่องดีได้แน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ชุยตงซานมาเป็นคนชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย แล้วทำการค้าใต้โต๊ะ กับภูเขาตระกูลเซียนบางแห่งทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ต่อให้ราชสำนักต้าหลี รู้เรื่องนี้ก็มีแต่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง สำหรับภูเขาลั่วพั่วแล้ว แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว
เว่ยป้อเอ่ย “ยังรออยู่”
แล้วเว่ยป้อก็พลันหัวเราะ “เชื่อว่าหลังจากไม้เท้าอันนั้นถูกส่งไปถึง ลูกศิษย์คนนั้น ของนายน้อยเจ้าที่แต่เดิมมีแรงแค่เจ็ดแปดส่วน คงเปลี่ยนมาเป็นมีแรงเต็มล้น ยินดีใช้เรี่ยวแรงถึงสิบสองส่วน (ปกติแล้วเต็มที่ก็คือสิบส่วน ในที่นี้มีสิบสองส่วนก็หมายถึงว่าเพิ่มแรงขึ้นมาอีก) มารับมือกับพวกเรา”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ชุยตงซานผู้นี้ เวลาที่พวกเราคบค้าสมาคมกับเขาต้องระวังแล้วระวังอีก”
สำหรับชุยตงซาน จูเหลี่ยนยังคงกริ่งเกรงอยู่มาก
เพราะทั้งสองฝ่ายถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน
จูเหลี่ยนไม่มีทางประมาทเพียงแค่เพราะความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างชุยตงซานกับเฉินผิงอันอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ทางฝั่งเจิ้งต้าเฟิงก็บอกว่า ช่วงนี้จะมีบุคคลผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการโคจรกฎเกณฑ์ของพื้นที่มงคลมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว
นี่ก็ถือว่าเป็นข่าวดีที่ไม่เล็กเหมือนกัน
เงินฝนธัญพืชของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เพิ่มมาแม้แต่เหรียญเดียว แต่เรื่องวงในทุกเรื่องของพื้นที่มงคลที่คนผู้นี้พูดออกมา เดิมทีก็ถือว่าช่วยให้ภูเขาลั่วพั่วประหยัด เงินฝนธัญพืชได้ก้อนหนึ่งแล้ว
ก่อนหน้านี้ซุนเจียซู่ขึ้นมาบนภูเขาด้วยตัวเอง
มีความจริงใจอย่างถึงที่สุด
ตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่ายินดีออกเงินฝนธัญพืชสามร้อยเหรียญ ต้องการแค่ดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด ผลเก็บเกี่ยวของพื้นที่มงคลรากบัวในอนาคต เขาซุนเจียซู่และทางตระกูลจะไม่รับส่วนแบ่งแม้แต่ส่วนเดียว
ตระกูลฟ่านเองก็จะช่วยออกสามร้อยเหรียญเช่นกัน แล้วก็เป็นเงื่อนไขเดียวกันนี้ คนที่ให้ยืมเงินไม่ใช่เจ้าประมุขตระกูลฟ่าน แต่เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าฟ่านเอ้อร์
แต่ว่าทั้งสองตระกูลยังมีข้อเรียกร้องอีกมากมายที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นซุนเจียซู่เสนอว่า ภายในระยะเวลาห้าสิบปี ภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องมอบผู้ถวายงานที่ได้รับการแขวนชื่อคนหนึ่งให้กับตระกูลซุน จะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลหรือ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ได้ทั้งสิ้น หากยามที่ตระกูลซุนประสบหายนะแล้วลงมือช่วยเหลือหนึ่งครั้ง เงื่อนไขข้อนี้ก็จะเป็นโมฆะ นอกจากนี้ก็คือตระกูลซุนคิดจะเปิดเส้นทางการเดินเรือเส้นหนึ่งจากนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ตรงมายังทิศเหนือ จุดหมายปลายทางของเรือข้ามฟากก็คือท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวหาใช่ตำหนักฉางชุนที่อยู่เมืองหลวง ต้าหลีไม่ นี่จำเป็นต้องให้เว่ยป้อและภูเขาลั่วพั่วช่วยดูแล รวมไปถึงช่วยสานสัมพันธ์ให้กับทางราชสำนักต้าหลีด้วย
ต่อให้รวมกับเงื่อนไขเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ปรับแก้ให้เข้ากันเหล่านี้แล้ว ครั้งนี้การที่ซุนเจียซู่ให้ยืมเงินโดยรับแค่ดอกเบี้ย แม้จะบอกว่าสามารถรับประกันได้ว่าไม่ว่าตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าพบเจอภัยแล้งหรือน้ำท่วมก็ยังคงได้รับผลเก็บเกี่ยว
ทว่าตอนนี้แจกันสมบัติทวีปถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ฟ้าพลิกดินคว่ำ มีโอกาสที่จะหาเงินทองได้นับไม่ถ้วน แต่ตระกูลซุนกลับควักทรัพย์สินแทบทั้งหมดมาลงเดิมพันกับภูเขาลั่วพั่ว ย่อมไม่ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน คัมภีร์การทำการค้าที่แท้จริงควรจะทำให้เงินมีขา เหมือนกับตระกูลใหญ่แห่งอื่นๆ ที่เมื่ออยู่ในอาณาเขต อันกว้างขวางทางฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบกวานหู ทางฝั่งทิศเหนือของนครมังกรเฒ่า ก็ล้วนสามารถทำให้กำไรไหลมาเทมา ทำให้เงินต่อเงินได้ ดูจากสถานการณ์ที่เริ่มค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นในทุกวันนี้ ตระกูลซุนไม่เพียงแต่สามารถได้กำไรเหนาะๆ อย่างไม่ต้องขาดทุน อีกทั้งยังสามารถผูกสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักต้าหลีและฮ่องเต้ พระองค์ใหม่ของสกุลซ่ง หากต้าหลีเขมือบกลืนพื้นที่ทั้งทวีป การทุ่มเทอย่างลับๆ เช่นนี้จะช่วยเป็นการขยับขยายเส้นทางแห่งทรัพย์สินให้แก่ลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลซุน
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยว่า “หลังจากที่ร้านผ้าห่อบุญเปิดกิจการ หากไม่ผิดไปจากที่คาด ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะต้องส่งเงินเหรียญทองแดงแก่นทองก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ เศษชิ้นส่วนร่างทองมาให้เจ้าด้วยตัวเอง ภูเขาพีอวิ๋นแค่รับไว้อย่างเดียวก็พอ หลีกเลี่ยงไม่ให้ฮ่องเต้หนุ่มคนนั้นคิดมาก คนฉลาดเวลาอยู่ว่างๆ มักจะเกิดใจระแวงเสมอ กลับจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี แต่ก็พูดกันก่อนว่า เรื่องความสัมพันธ์ก็ส่วนของความสัมพันธ์ เรื่องการค้าก็ส่วนของการค้า ยังคงเป็นภูเขาลั่วพั่วของพวกเราที่จะซื้อมาจากภูเขาพีอวิ๋นของเจ้าราคาถูก”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “แน่นอน”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมหนึ่งประโยค “หากตัดสองคำว่า ‘ราคาถูก’ ทิ้งไปได้ก็จะดียิ่งกว่านี้”
นับตั้งแต่ที่เว่ยป้อจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สองขึ้นมาอย่างอลังการ มาจนถึงเปิดร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยว นอกจากได้เงินเทพเซียนเล็กๆ น้อยๆ ที่ผิดต่อมโนธรรมในใจแล้ว อันที่จริง…ยังมีแนวโน้มว่าจะได้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ ผิดต่อมโนธรรมในใจมาอีกก้อนหนึ่ง
ในเมื่อเทพใหญ่แห่งขุนเขาเหนือจำเป็นต้องกว้านเอาเงินเทพเซียนมาช่วยในการฝ่าทะลุขอบเขต ราชสำนักต้าหลีจะนั่งดูดายอยู่เฉยๆ ได้หรือ? ถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลีในทุกวันนี้ต้องการให้เว่ยป้อเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนมากกว่าใครในแจกันสมบัติทวีปทั้งนั้น! ยิ่งความเคลื่อนไหวรุนแรงเท่าไรก็ยิ่งดี! ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเกิดภาพบรรยากาศมหามงคลอันยิ่งใหญ่ในรัศมีพันลี้ นี่หมายความว่าอะไร? ก็หมายความว่าเขาซ่งเหอหยัดยืนได้มั่นคงเที่ยงตรงที่สุด ฟ้าดินจึงร่วมกันอำนวยอวยพร!
เว่ยป้อคือองค์เทพแห่งห้าขุนเขาใหม่เพียงองค์เดียวที่อดีตฮ่องเต้เป็นผู้แต่งตั้ง
ทว่าเว่ยป้อก็ยังเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของพื้นที่ที่มังกรลุกผงาดของต้าหลี ถือเป็นบุคคลที่สำคัญในสำคัญอีกที เพราะเมืองหลวงต้าหลีก็อยู่ภายใต้เปลือกตาขององค์เทพองค์นี้
ถ้าอย่างนั้นควรจะผูกใจเว่ยป้อที่เป็น ‘อดีตขุนนางของราชวงศ์ก่อน’ อย่างไร ปัญหาข้อนี้จึงง่ายที่จะกลายมาเป็นปมในใจของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ นานวันเข้า หากทั้งสองฝ่ายไม่อาจพูดคุยกันได้ ก็จะกลายเป็นหนามแหลมทิ่มตำใจฮ่องเต้ ถ้าอย่างนั้น ก็จำเป็นต้องให้เว่ยป้อและภูเขาพีอวิ๋นมอบบันไดลงไปให้ ให้ราชสำนัก ต้าหลีสามารถเดินลงมาได้ อีกทั้งยังต้องเดินอย่างสบายๆ ไม่สะดุดติดขัด
ดังนั้นแรกเริ่มที่จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงพูดถึงเรื่องนี้ เหตุใดเว่ยป้อถึงได้ลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลง?
ก็เพราะว่าคนสามคนที่อยู่ในลานเรือนขนาดเล็กตอนนั้นล้วนเล่นหมากล้อมเก่ง ไม่แพ้กัน ล้วนเป็นคนที่เดินก้าวหนึ่งแล้วสามารถคาดการณ์ไปไกลได้หลายก้าว
เว่ยป้อลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “จะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สถานการณ์ของพื้นที่มงคลดอกบัวได้?”
จูเหลี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องบอกข้า อะไรที่สามารถพูดได้ พวกเราสามคนก็เล่าให้กันฟังจนหมดเปลือกแล้ว อะไรที่ไม่สะดวกจะพูด ระหว่างพวกเราสามคน ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครถามหรือใครตอบ มันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย”
เว่ยป้อยกถ้วยน้ำชาขึ้น “ขอใช้ชาต่างสุรา”
จูเหลี่ยนรีบเอาไหล่ชนกระทบอีกฝ่าย มือสองข้างชูถ้วยชาขึ้นสูง ยิ้มประจบเอ่ยว่า “เทพใหญ่เว่ยคารวะสุรา มิกล้ารับๆ”
หลังจากคนทั้งสองดื่มน้ำชาในถ้วยจนหมดแล้ว เว่ยป้อก็ยิ้มกล่าวว่า “น่าเสียดายที่ พี่น้องต้าเฟิงไม่ได้อยู่ด้วย”
จูเหลี่ยนยื่นมือมาลูบคลำท้ายทอย “ในเรื่องของการวางตัวเป็นคน เจ้าและข้าล้วนสู้เขาไม่ได้”
เว่ยป้อไม่มีความเห็นต่าง
ถึงอย่างไรเขาเว่ยป้อก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว
ความได้เปรียบนี้ ล้วนเอาไปจากจูเหลี่ยนเต็มๆ
ได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ไปจากร่างของพ่อครัวเฒ่าที่ทั้งเล่นหมากล้อมก็ดี ทำการค้าก็เก่งผู้นี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เว่ยป้อลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ไม่รบกวนเวลาทำมื้อดึกของเจ้าแล้ว”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ แล้วถอนหายใจหนึ่งที “ตอนแรกเป็นข้าที่มั่นใจเกินไป เวลานี้ข้าเริ่มใจฝ่อแล้ว วันหน้าหากนายน้อยของข้ากลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ข้าว่าข้าคงต้องไปหลบอยู่กับเจ้าด้วยแล้วหล่ะ”
เว่ยป้อรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น ขยับร่างวูบทีเดียวร่างก็หายลับไป
จูเหลี่ยนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
ตรงนั้นมีเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ไหล่ทั้งสองข้างลู่ตกกำลังใช้ศีรษะเคาะประตู
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะนางไม่อาจปลุกให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงตื่นขึ้นมาได้
จูเหลี่ยนเปิดประตู เผยเฉียนก็เดินโซเซข้ามธรณีประตูเข้ามา พูดเสียงสั่นว่า “พ่อครัวเฒ่า ข้านอนไม่หลับ มาขอคุยกับเจ้าได้ไหม?”
จูเหลี่ยนปิดประตูแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “มีอะไรที่ไม่ได้กันเล่า”
เผยเฉียนนั่งลงบนม้านั่ง แล้วก็ต้องแสยะปาก รู้สึกเหมือนเนื้อที่ก้นปริแตก เป็นลายพร้อย
คืนนี้ไม่ใช่ว่านางนอนไม่หลับอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะเจ็บปวดทรมานจนข่มตาหลับไม่หลง ตอนนี้นางนึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ นัก เมื่อก่อนจะพูดทำไมว่า ผ้าห่มถึงจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของตน เวลานี้ก็สมพรปากแล้วไหมเล่า? ผ้าห่มบางๆ ผืนเดียว ยามที่ห่มลงบนตัวกลับเหมือนใบมีดคมกริบอย่างไรอย่างนั้น
จูเหลี่ยนถาม “ไม่หิวหรือ? กินอาหารมื้อดึกไหม? ข้าทำได้เร็วนักล่ะ”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอ่อนระโหยว่า “ไม่รู้สึกอยาก”
จูเหลี่ยนถามอีก “มีเรื่องในใจหรือ?”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่ง แต่กลับไม่เปิดปากเล่าอะไร
จูเหลี่ยนถาม “เป็นเพราะติดหนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ จิตใจก็เลยวุ่นวายไม่สงบสุข?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ พูดอย่างอัดอั้นว่า “ตาเฒ่าบอกว่าอีกตั้งหลายวันกว่า ข้าจะฝ่าทะลุขอบเขตสาม ถึงเวลานั้นจึงจะพอมีเวลาว่างเอามาใช้คัดตัวอักษรได้ แต่ก็แค่ไม่กี่วันเท่านั้น อีกเดี๋ยวมือเท้าก็ต้องกลับมาอ่อนแรงไม่คล่องแคล่วอีกครั้ง น่ารำคาญชะมัด”
จูเหลี่ยนเพียงแค่ฟังแม่หนูน้อยถ่านดำพูดโดยที่ตัวเขาไม่เอ่ยแทรกอะไร
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองถาดหยกใบใหญ่ (เปรียบเปรยถึงดวงจันทร์) บนท้องฟ้า “เมื่อก่อนน่ะ ตอนอยู่ในตรอกฉีหลงมักจะคิดอยากให้วันใดวันหนึ่งอยู่ดีๆ อาจารย์ ก็กลับมาบ้าน แต่เวลานี้ข้าก็ทั้งอยากให้อาจารย์กลับมา แต่ก็กลัวว่าเขาจะกลับมาด้วย หากให้อาจารย์รู้ว่าข้าไม่ได้คัดตัวอักษรมาตั้งหลายวัน…แล้วเขาโมโหจนขับไล่ข้า ออกจากสำนัก ข้าจะทำอย่างไร?”
แม่นางน้อยยู่หน้า ปากเบะ ในกรอบดวงตามีน้ำตามาเอ่อคลอ พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ใช่ว่าอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เสียหน่อย ตอนที่เพิ่งออกมาจาก พื้นที่มงคลดอกบัวใหม่ๆ ตอนอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปนั่น เขาก็เคยไม่ต้องการข้าแล้วครั้งหนึ่ง พ่อครัวเฒ่า เจ้าคิดดูนะ อาจารย์ของข้า เป็นคนอย่างไร ขนาดรองเท้าสานขาดๆ เขายังเก็บเอาไว้ อยู่ดีๆ พูดว่าไม่ต้องการข้าแล้วจะไม่ต้องการจริงๆ ได้อย่างไร ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ความ อาจารย์ไม่ต้องการข้า แต่ก็ยังเปลี่ยนใจได้ แต่ตอนนี้ข้ารู้ความแล้ว หากอาจารย์ไม่ต้องการข้าอีก ก็คือ ไม่ต้องการจริงๆ แล้ว”
จูเหลี่ยนถามเบาๆ “กลัวเรื่องนี้หรือ? เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่กล้าเติบโตมาโดยตลอด?”
เผยเฉียนยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าอย่างยากลำบาก “จะไม่กลัวได้อย่างไร เติบโต มีอะไรดีกันเล่า”
อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องของการคัดตัวอักษร จูเหลี่ยนเคยอธิบายให้เผยเฉียนฟังไปแล้ว นางต้องฟังเข้าหูแน่
ดังนั้นสาเหตุที่แท้จริง เป็นเพราะเผยเฉียนไม่อาจพูดมันออกมาได้ เป็นเรื่องที่ ถูกนางกดไว้ลึกสุดใจ
จูเหลี่ยนพอจะเดาออกได้คร่าวๆ แต่กลับไม่ได้พูดเปิดโปง
ปีนั้นเฉินผิงอันเคยพูดกับเผยเฉียนเองว่า คนที่เขาต้องการพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่แท้จริง คือเฉาฉิงหล่างผู้นั้น
เวลานั้นสำหรับเผยเฉียนที่มีนิสัยอยู่อีกขั้วหนึ่ง อย่าว่าแต่ชอบเลย แม้แต่รังเกียจเฉินผิงอันก็ยังเคยรู้สึก อีกทั้งยังไม่เคยปิดบังความรู้สึกนั้นต่อนางด้วย
ในสายตาของจูเหลี่ยน คำว่าเติบโตก็เป็นแค่การชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียให้ได้มากกว่าเดิมเท่านั้น
เผยเฉียนจึงอยู่ในสภาพการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เด็กกำพร้าที่เผชิญกับความยากลำบากมาอย่างเต็มกลืน มักจะเชี่ยวชาญการสังเกตคำพูดสีหน้าการกระทำของคนและคิดคำนวณผลได้ผลเสียได้เก่งที่สุด
แต่หลังจากที่นางติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางกลับค้นพบว่าเรื่องที่นางถนัดที่สุดเหล่านั้นกลับมีแต่จะยิ่งทำให้นางห่างไกลจากเฉินผิงอันมากขึ้นทุกที
ดังนั้นนางจึงหวาดกลัวการเติบโตมาโดยตลอด แล้วก็คอยเลียนแบบเฉินผิงอัน อยู่เงียบๆ มาโดยตลอด เผยเฉียนพยายามจะกลายเป็นเผยเฉียนที่ได้รับการยอมรับจากเฉินผิงอัน
อันที่จริงนี่ไม่มีอะไรที่ไม่ดี
เพราะเฉินผิงอันมีความอดทนมากพอที่จะรอให้เผยเฉียนเติบโตไปอย่างช้าๆ ยิ่งยินดีที่จะถ่ายทอดกฎเกณฑ์มารยาทและวิธีการวางตัวในสังคมรูปแบบต่างๆ ท่ามกลางกาลเวลาที่แตกต่างกันให้กับเผยเฉียน
แต่ใครก็คาดคิดไม่ถึงว่า พื้นที่มงคลดอกบัวจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน หลังจากที่ จูเหลี่ยนและเผยเฉียนเข้าไปข้างในนั้น นางกลับได้เห็นภาพนั้นเข้าพอดี
ในความเป็นจริงแล้ว หากภาพที่เผยเฉียนเห็นเป็นเพียงแค่ภาพของเด็กหนุ่มชุดเขียว ที่เหมือนเติบใหญ่ภายในค่ำคืนเดียวปรากฎตัวด้วยการเดินถือร่มอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ยังพูดได้ง่าย
ทว่าปัญหานั้นอยู่ที่ในอดีตเผยเฉียนเคยเห็นภาพที่เฉินผิงอันเดินกางร่มเดินกับ เฉาฉิงหล่างอยู่ในตรอกที่หน้าตรอกเล็กแห่งนั้นกับตาตัวเองมาก่อน
พอมาถึงใต้หล้าไพศาล ตอนที่ชุยตงซานให้ดูภาพม้าวิ่งของม้วนภาพกาลเวลา ก็ได้เห็นภาพที่คล้ายคลึงกันอย่างถึงที่สุด เป็นภาพของเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะ คนหนึ่งกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เขาเคารพรักมากที่สุดกางร่มเดินเคียงไหล่กันไปท่ามกลางสายฝน
ดังนั้นเผยเฉียนถึงได้บอกว่า นางจะแพ้ใครก็ได้ มีเพียงเฉาฉิงหล่างที่นางไม่อาจพ่ายแพ้ให้ได้
เพราะเผยเฉียนกลัวว่าเฉาฉิงหล่างที่เติบโตแล้ว และยังโดดเด่นอย่างถึงที่สุดผู้นั้นจะแย่งชิงเอาทุกอย่างที่ความจริงแล้วควรเป็นของเขาเฉาฉิงหล่างกลับคืนไป
เผยเฉียนกลัวว่าวันหนึ่ง ท่ามกลางสายฝน อาจารย์จะถือร่มเดินเคียงไปกับ เฉาฉิงหล่าง เดินไกลห่างไปเรื่อยๆ แล้วเฉินผิงอันก็ไม่หันหน้ากลับมาอีก
ถ้าเช่นนั้นเผยเฉียนที่ตัวอยู่บนภูเขาลั่วพั่วและในใต้หล้าไพศาลก็จะเหมือนกลับคืนไปยังหน้าตรอกเล็กของพื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นอีกครั้ง
ไม่เหลืออะไรเลย
นาทีที่ได้เห็นเฉาฉิงหล่างในพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง
เผยเฉียนเหมือนร่วงตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง มือเท้าเย็นเฉียบ อีกทั้งยังเกิด จิตสังหาร!
แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างหาโอกาสสังหารเฉาฉิงหล่าง แล้วจากนั้นก็ต้องสูญเสียอาจารย์ไปอย่างแน่นอน กับตัวเองเลือกที่จะเติบโต แล้วจะต้องเอาชนะเฉาฉิงหล่าง ให้ได้ เผยเฉียนที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วได้ซึมซับพฤติกรรมมาจากเขา หลังจากเดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวและร่มใบถง เมื่อนางกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง
นางก็เลือกอย่างหลัง
จูเหลี่ยนใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวัง แล้วถามว่า “หากอาจารย์ของเจ้ากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ได้พบกับเฉาฉิงหล่างแล้วชื่นชอบเขามาก เจ้าจะเสียใจ มากไหม?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ขอแค่ชอบข้ามากที่สุด ข้าก็จะดีใจมาก หากชอบข้าพอๆ กับชอบเฉาฉิงหล่าง ข้าก็จะไม่ค่อยดีใจเท่าไร แต่หากชอบเฉาฉิงหล่าง มากกว่าข้า ข้าจะ…เสียใจมาก”
จูเหลี่ยนหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็วางใจได้เลย หนึ่ง สอง สาม สามสถานการณ์นี้ ข้าไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็สามารถรักษา ข้อสองและช่วงชิงข้อแรกมาได้”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “เจ้าไม่ใช่อาจารย์ข้าสักหน่อย เจ้าเป็นคนพูดจะมีประโยชน์กะผายลมอะไร”
แม้ว่าปากนางจะพูดเช่นนี้ แต่อันที่จริงกลับเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาได้แล้ว
จูเหลี่ยนกลั้นยิ้ม “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า แต่ว่าฝึกหมัดมานานขนาดนี้ ติดหนี้มากมายขนาดนั้น ยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขตสาม แบบนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไรแล้ว”
เผยเฉียนถอนหายใจแรงๆ ยู่ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดำเกรียมมากสักเท่าไรแล้ว “ก็นั่นน่ะสิ ตาเฒ่าก็บอกเหมือนกันว่าพรสวรรค์ของข้าไม่ได้เลิศล้ำอะไร สู้อาจารย์ของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่ว่าพูดจาเหลวไหลหรอกหรือ ข้าจะเปรียบเทียบกับอาจารย์ได้อย่างไร? ช่างชวนให้คนกลุ้มใจตายจริงๆ!”
จูเหลี่ยนใจสั่นเล็กน้อย
ตนก็แค่พูดเล่นกับเผยเฉียนไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสท่านนั้นจะจิตใจอำมหิตยิ่งกว่า คำพูดระยำที่มโนธรรมในใจถูกหมาคาบไปกินเช่นนี้ เขาพูดออกมา จากปากจริงๆ หรือนี่?!
จูเหลี่ยนนวดคลึงหว่างคิ้ว
ไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรอีกแล้ว
คอขวดขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว นั่นคือด่านที่ใหญ่ที่สุดด่านแรก ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเป็นด่านที่จะตัดสินถึงระดับความสูงต่ำในท้ายที่สุดของผู้ฝึกยุทธ
ความหมายนั้นยิ่งใหญ่ ไม่ต่างอะไรจากการที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาฝ่าทะลุธรณีประตูใหญ่ แล้วได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขอบเขตปลายทางเลย
หากเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายทอดวิชาหมัดของคนทั่วไป มีความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ยังสามารถอธิบายได้ว่ารากฐานถูกปูมาได้ไม่มั่นคงมากพอ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องคาดหวังคำว่าแข็งแกร่งที่สุดอะไรแล้ว เป็นกระดาษเปียกหนึ่งก้าว ก็ต้องเป็นกระดาษเปียกไปทุกก้าว
ทว่าท่านผู้นั้นที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ล่ะ?
อยู่ในมือของเขา ดูเหมือนว่าใต้หล้าแห่งนี้จะไม่มีรากฐานขอบเขตวรยุทธที่แข็งแรงมั่นคงที่สุดอะไร มีแต่คำว่าแข็งแรงมั่นคงยิ่งกว่า
เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้นถามว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าอยู่ขอบเขตที่เท่าไร?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ขอบเขตแปด ขอบเขตเดินทางไกล”
เผยเฉียนก้มหน้าลง นิ้วมือสั่นสะท้านเบาๆ ลองคำนวณดูแล้วก็ต้องถอนหายใจหนึ่งครั้ง พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง “พ่อครัวเฒ่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรออีกตั้งสองสามปีกว่าข้าจะไล่ตามเจ้าทันน่ะสิ”
รอยยิ้มจูเหลี่ยนแข็งค้าง “ก็น่าจะใช่…กระมัง”
แต่จากนั้นจูเหลี่ยนก็ต้องถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่รู้หรือว่าอาจารย์ของเจ้าขอบเขตอะไร?”
เผยเฉียนมองจูเหลี่ยนด้วยสีหน้าเหมือนมองคนโง่ “ตอนนี้อาจารย์ข้าก็ขอบเขตหกอย่างไรล่ะ”
จูเหลี่ยนยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “นายน้อยก็มีขอบเขตต่ำกว่าข้าสองขอบเขต ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเจ้าไม่ไล่ตามให้ทันขอบเขตของอาจารย์เจ้าก่อนเล่า?”
เผยเฉียนมีสีหน้าอึ้งค้าง ดูเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจูเหลี่ยนช่างสมองทึบจริงๆ จากนั้นนางก็ส่ายหน้า พูดเหมือนคนแก่ว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าละเมออยู่หรือไร ขอบเขตของอาจารย์ข้าไม่ควรต้องคำนวณเพิ่มไปอีกเท่าตัวงั้นรึ?”
จูเหลี่ยนยอมแพ้ทั้งกายทั้งใจแล้วจริงๆ
เผยเฉียนโคลงศีรษะ อารมณ์ดีขึ้นมาก
นางพลันลุกขึ้นยืน ดีดปลายเท้ากระโดดตัวเบาขึ้นไปบนหัวกำแพง จากนั้น ก็กระโดดข้ามหลังคาไปอย่างเงียบเชียบ ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ไปยืนอยู่บนชายคา ที่ตวัดงอน ทอดสายตามองไปทางทิศเหนือ
คาดว่าคงเป็นเพราะตอนนี้ตัวนางเองยังไม่รู้ว่า อะไรที่เรียกว่าปณิธานแห่งหมัดเขย่าขวัญเทพผี
คาดว่าอีกไม่นานนางก็คงไม่ต้องแปะยันต์ไว้บนหน้าผากของตัวเองอีกแล้ว
จูเหลี่ยนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนในฉับพลัน เงียบงันไปครู่หนึ่งก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เผยเฉียน ก่อนหน้านี้มีสองครั้งที่เจ้าเรอไม่หยุด ผู้อาวุโสพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
เผยเฉียนเพียงแค่ทอดสายตามองทิศเหนือ แต่ปากก็ตอบกลับมาอย่างขุ่นเคืองว่า “บอกว่าข้ากวนโอ้ย”
อันที่จริงตาเฒ่านั่นยังทำสีหน้ารังเกียจ บอกว่าขอบเขตวิถีวรยุทธของนาง เหมือนมดย้ายรังกับเหมือนเต่าคลานต้วมเตี้ยม แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ นางรู้คนเดียว ก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความปากมากของพ่อครัวเฒ่า ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้คนทั้งภูเขา ลั่วพั่วอาจจะรู้เรื่องกันก็ได้
จูเหลี่ยนตบหน้าผากตัวเอง
เขารู้สึกเสียใจภายหลังจริงๆ ที่ปล่อยให้เผยเฉียนรีบฝึกวิชาหมัดเร็วขนาดนี้
จูเหลี่ยนใช้หัวเข่าคิดยังรู้เลยว่า รอให้เฉินผิงอันกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วค้นพบความผิดปกติของเผยเฉียน เขาและเจิ้งต้าเฟิง รวมไปถึงเว่ยป้อ ไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดทั้งนั้น รับรองว่าต้องโดนด่าจนไม่เหลือชิ้นดีแน่นอน
บางทีในสายตาของคนนอก ภูเขาลั่วพั่วอาจมีคนแปลกและเรื่องประหลาดมากมาย แต่ในสายตาของคนบนภูเขาลั่วพั่วเอง คงจะเป็นเผยเฉียนที่ประหลาดที่สุด
แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันที่ประหลาดยิ่งกว่า
อาจารย์ทุกคนในใต้หล้าแห่งนี้ล้วนปิติยินดีที่ตัวเองมีลูกศิษย์เฉลียวฉลาดอย่างเผยเฉียน
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ค่อยเหมือนคนอื่น
หาใช่ว่าเขาคิดคำนวณไม่เป็น ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ คนหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นนักบัญชีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมาสามปีผู้นี้ ถนัดเรื่องคิดคำนวณเป็นที่สุด
เขาก็แค่คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าข้างกายจะมีคน ต่อให้จะมีแค่คนเดียวก็ตาม แต่ก็หวังให้บนไหล่ของคนผู้นั้นแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิอยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่เดิมทีควรจะไร้ทุกข์ไร้กังวล
เผยเฉียนก้มหน้าพูด “พ่อครัวเฒ่า ข้าไปแล้วนะ”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ
เผยเฉียนจึงกระโดดขึ้นสูง พลิ้วกายลงบนหัวกำแพง แล้วก็ทะยานร่างขึ้นอีกครั้ง เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไป
ประหนึ่งถ้อยคำที่เขียนไว้บนหนังสือที่ชุยตงซานอ่าน
กระโดดขึ้นบนหลังคา แผ่นกระเบื้องไร้เสียง แสงจันทร์กระจ่าง ไปมาประดุจนกโบยบิน