Skip to content

Sword of Coming 534

บทที่ 534 ไอ้หมอนั่นกล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยงหรือ

เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลูกนั้นสองวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำเพียงแค่เดินโซเซฝึก เดินนิ่งเท่านั้น

ยามฟ้าสางของวันนี้ มีบุรุษหนุ่มชุดเขียวที่ลักษณะคล้ายชาวลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งทะยานลมมาถึง พอพบร่องลึกบนพื้นที่ราบกว้างเส้นนั้นแล้วก็พลันหยุดลอยตัวนิ่ง และเพียงไม่นานก็มองเห็นเฉินผิงอันที่อยู่บนยอดเขา ฉีจิ่งหลงพลิ้วกายลงบนพื้น ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทาง สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิด คนหนึ่งมีสภาพกระเซอะกระเซิงได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องรีบเดินทางมากจริงๆ

เพียงแต่ว่าตั้งแต่ทะยานลมมาจนถึงพลิ้วกายลงพื้น ฉีจิ่งหลงกลับไม่ส่งเสียงใดๆ จนกระทั่งเขาสะบัดอาภรณ์เบาๆ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ถึงได้สลายหาย ไปหมด แล้วถึงได้ปรากฏตัวออกมา

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ

เส้นเอ็นหัวใจที่ขึงตึงแน่นตลอดเวลาเส้นนั้นพลันคลายตัวลงได้หลายส่วน

ขอแค่ฉีจิ่งหลงปรากฏตัว จะแอบอู้ก็ไม่เป็นไร

ก่อนหน้านี้ที่จากลากันที่ท่าเรือหัวมังกร เฉินผิงอันได้นำกระบี่บินส่งข่าว หนึ่งในสองเล่มที่เก็บไว้ในกล่องเก็บกระบี่บินซึ่งจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมามอบให้ตน มอบให้กับฉีจิ่งหลงไป ทั้งสองฝ่ายจะได้ติดต่อกันได้สะดวก เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไร เฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เอามาใช้งานเร็วขนาดนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใด นักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนั้นถึงยอมตัดใจทุบป้ายอักษรทองชื่อเสียงอันดีงามของตนเพียงแค่เพื่อเล่นงานคนต่างถิ่นอย่างเขาคนเดียว

ทั้งสองฝ่ายจึงต้องแลกเปลี่ยนกระบี่บินส่งข่าวให้กันและกัน

คำตอบกลับของฉีจิ่งหลงนั้นเรียบง่ายมาก สั้นกระชับจนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ ‘รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งตาย’

เวลานี้ฉีจิ่งหลงกวาดตามองไปรอบด้าน หลังจากเพ่งสังเกตอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้วก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นคนสองกลุ่ม?”

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหีบไม้ไผ่ หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแกว่ง

ฉีจิ่งหลงปวดหัวแปลบทันใด รีบพูดว่า “อย่าดีกว่า”

ตอนนี้บนร่างของเฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาที่ ‘เก็บมาได้จากข้างทาง’ ชิ้นนั้น เขากรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก แล้วเอ่ยว่า “คนหนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ข้าไม่สะดวกจะเอ่ยนามของเขา เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เกี่ยวกับมดแดงย้ายภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือคนเขียนตำราหมัดที่ข้าเล่าเรียน หลังจากที่ผู้อาวุโสหาตัวข้าเจอก็ตบรางวัลให้ข้าด้วยสามหมัด ข้าไม่ตาย เขายังช่วยข้าจัดการนักฆ่าของภูเขาเกอลู่อีกหกคนให้ข้าด้วย”

ฉีจิ่งหลงถาม “เป็นเขา?”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ไม่เอ่ยคำใด

ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว

ฉีจิ่งหลงจึงไม่ถามให้มากความอีก

นักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มที่สองไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาลูกนี้มากนัก แต่กลับแสดงท่าทีชัดเจนว่าแม้จะต้องทำผิดกฎ แต่ก็จะลงมือให้จงได้ นี่หมายความว่าอีกฝ่ายได้มองเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง หรืออาจเป็นก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งมากด้วย มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ แล้วยังไม่ทิ้งร่องรอยของตัวเองเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธที่สามารถทำให้เฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เพียงแค่เพราะเจอหมัดสามหมัดของเขา แล้วยังใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวสังหารผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่อีกหกคนได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง

ต่อให้เริ่มนับคำนวณมาตั้งแต่แคว้นอู่หลิง แล้วทวนกระแสน้ำเดินทางไกลไปถึงแคว้นลวี่อิง จนมาถึงแคว้นฝูฉวีแห่งนี้ ก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนใดอยู่อีกแล้ว เมืองหลวงต้าจ้วนมีปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรีอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่จำเป็นต้องไปคุมเชิงเปิดฉากเข่นฆ่าอยู่กับเจียวร้ายแห่งแม่น้ำอวี้ซีตัวนั้น แล้วพอเอามาเชื่อมโยงกับคำกล่าวถึงมดแดงของเฉินผิงอัน รวมไปถึงข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันอยู่ใน แถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปในอดีต ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายจะเป็นใคร แน่นอนว่าก็ย่อมเหมือนหินที่ผุดขึ้นเมื่อน้ำลดลงแล้ว

เดาได้ง่ายมาก ต้องเป็นกู้โย่วอย่างไม่ต้องสงสัย

กู้โย่วผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยรับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ปรมาจารย์หญิงของเมืองหลวงต้าจ้วนผู้นั้นนับว่าเป็นลูกศิษย์ได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น ในเรื่องของการถ่ายวิชาหมัดของกู้โย่วนั้น แปลกประหลาดอย่างมากมาโดยตลอด

ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย

มีเพียงคำกล่าวเดียวที่ถือว่าน่าเชื่อถือมากที่สุด นั่นคือบอกว่า กู้โย่วเคยพูดเองว่า วิชาหมัดของข้า ใครก็ล้วนเรียนได้ แต่ใครก็ล้วนเรียนไม่สำเร็จ

ฉีจิ่งหลงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ช่วงนี้เจ้าน่าจะยังปลอดภัยดี ในเมื่อ ผู้อาวุโสท่านนั้นออกหมัดแล้ว แต่แทบจะไม่มีข่าวคราวใดๆ แพร่งพรายออกไป นี่หมายความว่าช่วงนี้ทางภูเขาเกอลู่ยังคงรอฟังผล จึงไม่มีทางส่งนักฆ่ากลุ่มใหม่ให้มาเล่นงานเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ออกเดินทางไกลต่อไปได้ ข้าจะไปหาบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาของภูเขาเกอลู่แทนเจ้าเอง และจะพยายามเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้ แต่ก็บอกไว้ก่อนว่า กับภูเขาเกอลู่นั้น ข้ามั่นใจว่าจะทำให้พวกเขาหยุดมือได้ แต่ผู้บงการเบื้องหลังที่ออกเงินทำให้ภูเขาเกอลู่ยอมแหกกฎเพื่อตามตัวเจ้าให้เจอนั้น ตัวเจ้าเองยังต้องระวังให้มาก”

เฉินผิงอันยกสองมือกอดอก เอ่ยว่า “ท่องอยู่ในยุทธภพ ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า”

ฉีจิ่งหลงถาม “คิดจะอยู่ที่นี่อีกสักกี่วัน?”

เฉินผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมา “ยังต้องการเวลาอีกสามวัน รอให้ร่างกายฟื้นฟูอีกสักหน่อยค่อยเร่งเดินทางต่อ”

ฉีจิ่งหลงก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาถึงที่ตีนเขา จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์เลียบตีนเขาไปเรื่อยๆ เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจิ้มๆ ชี้ๆ ไป

ทุกครั้งที่วาดยันต์หนึ่งชิ้นเสร็จก็จะพุ่งตัวออกไปหลายสิบจั้ง ทำทุกอย่างได้คล่องแคล่วดุจสายน้ำไหล ไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย

อย่าลืมล่ะว่า วิถีแห่งยันต์ของฉีจิ่งหลงนั้นสามารถทำให้หยางหนิงเจินแห่งตำหนักนภากาศรู้สึกว่าตัวเองห่างชั้นเกินกว่าจะเอื้อมถึง แล้วก็ต้องรู้ว่าตำหนักนภากาศ หน่วยฉงเสวียนนั้นคือ หนึ่งในปฐมสำนักของพรรคยันต์แห่งอุตรกุรุทวีป

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ฉีจิ่งหลงก็ย้อนกลับมาที่ยอดเขา “สามารถต้านทานการโจมตีของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดทั่วไปได้สามครั้ง ซึ่งเงื่อนไขก็คือต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีอาวุธกึ่งเซียน”

เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “แค่เคยมองข้าวาดยันต์รอยหิมะบนผนังครั้งเดียวก็เรียนเป็นแล้วเจ็ดแปดส่วน ไม่เสียแรงที่เป็นเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป เป็นชายหนุ่มมากความสามารถจริงๆ!”

ฉีจิ่งหลงคร้านจะสนใจเขา เตรียมจะจากไป

ไปเร็วหน่อยจะได้หาคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของภูเขาเกอลู่เจอเร็วหน่อย ไอ้หมอนี่ ก็จะปลอดภัยมากขึ้น

และเมื่อหาคนของภูเขาเกอลู่เจอ ก็แน่นอนว่ายังต้องใช้เหตุผลกัน

แต่เวลานี้พอฉีจิ่งหลงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ผิวเนื้อนอกชุดคลุมอาคมส่วนใหญ่ล้วนผิวหนังปริแตก และยังมีหลายจุดที่กระดูกขาวโผล่ออกมา เขาก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้านี่ไม่เคยรู้จักเจ็บเลยหรือไร?”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ผู้ฝึกยุทธอย่างข้า อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ …”

ฉีจิ่งหลงพลันขยับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอามือหนึ่งกดไหล่ของเขาไว้

เฉินผิงอันหน้าบูดเบี้ยวในทันที ไหล่ข้างหนึ่งทรุดลง แล้วจึงเบี่ยงตัวหลบฉีจิ่งหลง “อะไรกัน!”

ฉีจิ่งหลงถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ยังดี ยังเป็นคนอยู่”

ฉีจิ่งหลงกวาดตามองรอบด้านแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีทองหลายเส้นก็บินผลุบเข้ามาในชายแขนเสื้อ น่าจะเป็นยันต์เฉพาะตัวของเขาที่ถูกเก็บมา เพราะแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีปราณสังหารซ่อนแฝงอยู่

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ดื่มเหล้าสักคำก่อนไปจริงๆ หรือ?”

ฉีจิ่งหลงหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “ดื่มๆๆ ถูกคนซ้อมจนเลือดหลายไปหลายจิน ดื่มเหล้าแล้วจะชดเชยกลับมาได้หรือ? ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเจ้ามีแต่วิธีที่องอาจห้าวหาญอย่างนี้งั้นรึ?”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บอกตามตรง หลังจากกินสามหมัดของผู้อาวุโสไป ตอนนี้ขอบเขตของข้าทะยานพรวดพราด นี่เรียกว่าจากลาสามวันต้องมองกันเสียใหม่! หากเจ้าฉีจิ่งหลงยังไม่รีบฝ่าทะลุคอขวดอีก วันหน้าก็ไม่มีหน้ามาพบข้าแล้ว”

ฉีจิ่งหลงถาม “เจ้าเป็นขอบเขตร่างทองหรือว่าขอบเขตเดินทางไกลแล้วเล่า?”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “คุยกับเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”

ฉีจิ่งหลงไม่พูดไม่จาก็ทะยานลมจากไป เรือนกายของเขาล่องลอยราวกับกลุ่มควัน และเพียงแค่ชั่วพริบตาก็หายวับไป

สาเหตุย่อมต้องเป็นเพราะมียันต์ชั้นยอดอยู่ติดกายอย่างแน่นอน

มาอย่างเร่งร้อน แล้วก็จากไปอย่างเร่งร้อน ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณด้วย

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก

วันหน้าหากฉีจิ่งหลงเรียกให้เขาเฉินผิงอันมาช่วยเหลือ ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน

แต่เฉินผิงอันก็ยังหวังว่าอย่าได้มีโอกาสเช่นนี้เลย ต่อให้มีก็ขอให้ช้าสักหน่อย รอให้วิชากระบี่ของเขาสูงยิ่งกว่านี้ ออกกระบี่ได้เร็วยิ่งกว่านี้ แน่นอนว่ายังมีหมัด ที่ต้องแข็งแกร่งกว่านี้ ยิ่งช้าเท่าไรก็ยิ่งดี

เพราะใต้หล้านี้ตัวอักษรสองคำที่สามารถทนรับการขัดเกลาได้ดีที่สุด ก็คือชื่อของเขาเอง

ผิงอัน (สงบสุข/ปลอดภัย)

หลังจากที่ฉีจิ่งหลงจากไป เฉินผิงอันก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เรื่องของการพักฟื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานตัวของเรือนกายที่มีเลือดเนื้อนั้น จะรีบร้อนไม่ได้

เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่พอคิดว่าถึงอย่างไรรอบด้านก็ไร้ผู้คนจึงเริ่มเอาหัวทิ่มพื้น เท้าชี้ขึ้นฟ้า ทดลองเอาท่าฟ้าดินและอีกสามกระบวนท่ามาผสานรวมให้เป็นหนึ่งเดียว

ใช้หัว ‘เดินไปช้าๆ’

ครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ใช้ฝ่ามือยันพื้น พลิกตัวหมุนกลับอย่างแผ่วพลิ้ว กลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง เขาปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนศีรษะ รู้สึกไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก

ผลคือเฉินผิงอันมองเห็นว่าตรงหีบไม้ไผ่มีฉีจิ่งหลงที่จากไปแล้วย้อนกลับมายืนอยู่

เฉินผิงอันเอ่ย “ทำตัวอย่างกะผี คิดจะมาหลอกคนตอนกลางวันแสกๆ งั้นรึ?”

ฉีจิ่งหลงถามอย่างใคร่รู้ “นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”

เฉินผิงอันปัดหัวของตัวเองต่อ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฝึกท่าเดินนิ่งไงล่ะ เป็นวิชาลับเฉพาะ เจ้าอยากเรียนหรือไม่? คนทั่วไปคิดจะเรียน ข้าไม่มีทางสอนให้หรอกนะ”

ฉีจิ่งหลงสะบัดชายแขนเสื้อ ทยอยเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนสองกาที่ซื้อมาจากชายหาดโครงกระดูกออกมาวางลงบนหีบไม้ไผ่ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฝึกต่อเถอะ”

ฉีจิ่งหลงกลายร่างเป็นสายรุ้งที่ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง จากนั้นเรือนกาย ก็พลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินผิงอันนั่งลงบนหีบไม้ไผ่ หยิบกาเหล้าขึ้นมา เป็นเหล้าตระกูลเซียนของแท้แน่นอน ไม่ใช่เหล้าหมักข้าวเหนียวตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาด

ดูเหมือนว่าไอ้หมอนี่จะมีคุณธรรมกว่าตนเล็กน้อย

……

ภูเขาตะวันเที่ยงจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้น เพื่อแสดงความยินดีที่เถาจื่อหลานสาวของบรรพจารย์ตระกูลเถาหนึ่งในเซียนกระบี่บนภูเขาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต

ขอบเขตถ้ำสถิตคือธรณีประตูใหญ่ด่านหนึ่ง

เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตก็คือ เทพเซียนห้าขอบเขตกลาง

นอกจากของขวัญกราบภูเขาที่กองกำลังฝ่ายต่างๆ ส่งมาร่วมอวยพรแล้ว ทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงเองก็มีของขวัญชิ้นใหญ่เช่นกัน พวกเขามอบภูเขาลูกหนึ่งที่ย้ายมาจากนอกพื้นที่ให้กับเด็กสาวโดยตรง ยกให้เป็นสวนดอกไม้ส่วนตัวของเถาจื่อ ไม่ถือว่าเป็นการเปิดภูเขา เพราะถึงอย่างไรเด็กสาวก็ยังไม่ใช่ขอบเขตโอสถทอง แต่ตอนที่เถาจื่อถือกำเนิดก็มีภูเขาเป็นของตัวเองแล้วลูกหนึ่ง ภายหลังซูเจี้ยออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ภูเขาลูกนั้นของซูเจี้ยจึงถูกดึงมาให้เถาจื่อ ตอนนี้ในมือเด็กสาวคนนี้จึงได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้วถึงสามแห่ง เรียกได้ว่าสินเดิมอุดมสมบูรณ์ ในอนาคตหากใครสามารถผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับนางก็ถือว่าเป็นความโชคดีใหญ่เทียมฟ้าที่สะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ

และภูเขาที่ทางศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงนำมามอบให้เป็นของขวัญนั้น ก็คือหนึ่งในอดีตขุนเขาของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง!

มีแคว้นเล็กแห่งหนึ่งอาศัยชัยภูมิที่อันตรายมาต่อต้าน สุดท้ายถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีท่วมกลบทับ ร่างทองขององค์เทพแห่งขุนเขาถูกทำลายลงท่ามกลางสงคราม ขุนเขาแห่งนั้นจึงกลายเป็นสถานที่ที่ไร้เจ้าของอย่างสมบูรณ์ ภูเขาตะวันเที่ยงจึงนำคุณความชอบทางการต่อสู้ของผู้ฝึกตนบนภูเขามาหักลบกลบหนี้กับราชสำนัก ต้าหลี แล้วซื้อขุนเขาเหนือของแคว้นเล็กแห่งนี้มา จากนั้นก็มอบให้วานรเฒ่าผู้พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยง ให้มันร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ตัดสะบั้นฐานภูเขาแล้ว แบกยอดเขายักษ์จากมา เนื่องจากขุนเขาเหนือของแคว้นเล็กลูกนี้ไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารมากเกินไป วานรย้ายภูเขาจึงแค่ต้องเผยร่างจริงแบบไม่สมบูรณ์ เรือนกายสูงแค่ไม่กี่สิบจั้งเท่านั้น แบกภูเขาลูกนี้ก็เหมือนชายฉกรรจ์แบกหินก้อนใหญ่ จากนั้นก็ขึ้นเรือข้ามฟากของตระกูลตัวเอง พากลับไปที่ภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อภูเขาลูกนี้ร่วงลงสู่พื้นและหยั่งรากแล้ว ขุนเขาสายน้ำก็สามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

เถาจื่อคือแก้วตาดวงใจของเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าแห่งภูเขาตะวันเที่ยงมาตั้งแต่เด็ก นอกจากสถานะของนางจะสูงศักดิ์แล้ว คุณสมบัติของนางเองยังดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด นี่ก็คือกุญแจสำคัญเช่นกัน คือตัวประหลาดเพียงหนึ่งเดียวของภูเขาตะวันเที่ยงในช่วงเวลาห้าร้อยปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกับที่คุณสมบัติดีเยี่ยม ทั้งฐานกระดูก พรสวรรค์ นิสัยใจคอ โชควาสนา ทุกด้านล้วนครองความได้เปรียบอย่างมั่นคง นี่หมายความว่าความเร็วในการเลื่อนขั้นของเถาจื่อจะไม่เร็วมากนัก ทว่าคอขวด จะเล็กมาก เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้อย่างไม่มีปัญหา ในอนาคตก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่สูงส่งทะลุไปถึงทะเลเมฆได้

สำหรับตระกูลเซียนที่มีกำลังพอจะก่อสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองแล้ว ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้สึกอิจฉา แต่ตัวอ่อนด้านการฝึกตนอย่างเถาจื่อก็สำคัญมากเช่นกัน ถึงขั้นพูดได้ว่าในความหมายระดับหนึ่งนั้น ก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่เดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อเทียบกับลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อันที่จริงกลับมั่นคงกว่ามาก เพราะไม้ที่เด่นเกินไพรย่อมถูกแรงลมพัดให้หักโค่น

ทว่าในบรรดาของขวัญร่วมแสดงความยินดีทั้งหลายนี้ มีชิ้นหนึ่งที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุด

ต่อให้คนที่มอบของขวัญจะไม่ได้ปรากฎตัว แต่ยอดเขาทั้งหมดนอกเหนือจากบรรพจารย์ตระกูลเถาของภูเขาตะวันเที่ยงเองแล้ว ทุกคนล้วนรู้สึกมีเกียรติเป็น อย่างยิ่ง เพราะของขวัญอวยพรชิ้นนั้นมาจากจวนอ๋องเจ้าเมืองของนครมังกรเฒ่า หรือก็คืออ๋องอักษรเดียวเคียงบ่าแห่งสกุลซ่งต้าหลี ซ่งมู่

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือเล็กๆ บางอย่างบอกว่าตอนที่เถาจื่อเป็นเด็กเคยเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมารอบหนึ่ง แล้วก็ได้รู้จักกับซ่งมู่องค์ชายที่สถานะยังไม่ถูกเปิดเผยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

บนภูเขาลูกใหม่ ศาลประจำขุนเขาเหนือผุพังไม่เหลือสภาพดี ยังจำเป็นต้องทุ่มเทกำลังทรัพย์และกำลังคนไปซ่อมแซมอีกมาก

งานเลี้ยงค่อยๆ เลิกราไป

เด็กสาวเรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะองคนหนึ่งยืนอยู่นอกประตูใหญ่ของศาล ตรงเอวห้อยน้ำเต้าลูกเล็กสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาว นี่ก็คือของขวัญชิ้นน้อย ที่พี่ปันไฉ (มาจากชื่อของซ่งจี๋ซิน จี๋ซินแปลว่าเก็บรวบรวมฟืนไม้ ส่วนปันไฉก็แปลว่าย้ายฟืน) ของนางมอบให้นางในปีนั้น ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นต่างก็ไม่มีใครตระหนักได้ว่าน้ำเต้าสีเขียวมรกตลูกนี้จะเป็นสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง ยังคงเป็นบรรพบุรุษตระกูลเถาที่ไปหายอดฝีมือมาช่วยตรวจสอบให้ ถึงได้แน่ใจในความล้ำค่าของมัน

ข้างกายของเด็กสาวเถาจื่อมีวานรเฒ่าเรือนกายกำยำผู้นั้นยืนอยู่ หรือก็คือ ผู้พิทักษ์แห่งภูเขาตะวันเที่ยง

เถาจื่อดึงสายตากลับมาจากศาลที่ยิ่งใหญ่โอฬารแห่งนั้น แล้วหันหน้ามายิ้มถามว่า “ท่านปู่ป๋ายหยวน พี่หญิงซูไม่มีโอกาสจะกลับมาที่ภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้วจริงๆ หรือ?”

วานรเฒ่าส่ายหน้า “เป็นเศษสวะคนหนึ่งไปแล้ว อยู่ต่อที่ภูเขาตะวันเที่ยงก็มีแต่จะกลายเป็นที่ขบขันของผู้อื่น”

เถาจื่อบ่นอย่างไม่พอใจ “เจ้าสวนหนุ่มของสวนลมฟ้าผู้นั้นก็จริงๆ เลย ช้าไม่ปิดด่านเร็วไม่ปิดด่าน ดันมาปิดด่านเก็บซ่อนตัวไม่พบเจอใครเอาตอนนี้ เจ้าเล่ห์จริงๆ”

วานรเฒ่าแสยะปาก “พอหลี่ถวนจิ่งตายไป สวนลมฟ้าก็ทรุดลงมาเกินครึ่ง ต่อให้หวงเหอที่เป็นเจ้าสวนคนใหม่จะมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมแค่ไหน ก็ยังเป็นเพียงไม้ท่อนเดียวที่ยากจะประคับประคองคนหมู่มากได้ ส่วนหลิวป้าเฉียวผู้นั้นก็เป็นพวกไม่เอาไหนที่ถูกพันธนาการด้วยความรัก อย่าเห็นว่าตอนนี้ยังพอมีหน้ามีตา ฝ่าทะลุขอบเขตไม่ช้า แต่ในความเป็นจริงแล้วยิ่งเป็นช่วงหลังๆ มหามรรคาก็ยิ่งเลือนราง ตอนที่หวงเหอ ออกจากด่าน ถึงเวลานั้นภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก็สามารถไปท้าประลองกระบี่กับเขาได้อย่างผึ่งผาย และนั่นก็จะเป็นวันที่สวนลมฟ้าถูกตัดชื่อออก”

วานรเฒ่ามองไปยังภูเขาบรรพบุรุษที่ตั้งของศาลบรรพชนอย่าง ภูเขาตะวันเที่ยง

แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราไม่เหมือนที่อื่น เส้นทางกระบี่ แต่ละเส้นมุ่งขึ้นสู่ยอดเขา หากรวบรวมกองกำลังใหญ่บางส่วนบนโลกมนุษย์มาได้อีก ไม่เพียงแต่จะสามารถได้เลื่อนขั้นเป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อได้คราเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ไม่ใช่แค่คนเดียวอีกด้วย! ถึงเวลานั้น ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งทวีปต่างก็ต้องก้มหัวกราบกรานพวกเรา ผู้แข็งแกร่งมีโชคชะตาที่แข็งแกร่ง จากนี้ไปร้อยปีพันปี ภูเขาตะวันเที่ยงมีแต่จะยิ่งเป็นดั่งดวงตะวันที่ลอยขึ้นกลางนภา เมื่อเทียบกับสวนลมฟ้าและภูเขาเจินอู่ที่มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมถอยแล้ว ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามหามรรคาจะต้องสูงส่งยิ่งกว่า”

เถาจื่อถอนหายใจ “ท่านปู่ป๋ายหยวน เรื่องพวกนี้ที่ท่านพูดมา ข้าไม่ค่อยสนใจเท่าไรหรอกนะ”

วานรเฒ่าพลันเอ่ยว่า “คนสกุลสวี่ของนครลมเย็นมาถึงแล้ว”

เถาจื่อกลอกตามองบน “เจ้าคนน่ารำคาญผู้นั้น”

วานรเฒ่าหัวเราะ

หลังจากที่เจ้าประมุขสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นได้เสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้นไป ก็ทำการกวาดล้างกองกำลังสายรองภายในสกุลสวี่เป็นการใหญ่ เพียงไม่นาน ก็สามารถกำจัดภัยร้ายที่แฝงอยู่ภายในไปได้อย่างหมดจด นอกจากที่ต้องย้ายออกมาภูเขาจูซาในปีนั้น ใช้แผนการชั้นต่ำที่สร้างความประทับใจไม่ดีงามให้กับราชสำนักของต้าหลีแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่เคยใช้แผนการที่โง่งมอีก บวกกับที่ภายหลังสกุลสวี่ นครลมเย็นได้ให้บุตรสาวทายาทสายตรงแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวน ดั่งการล้อมคอกเมื่อวัวหาย ไปตีสนิทกับแซ่สกุลผู้เป็นเสาค้ำยันแคว้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นกองกำลังระดับกลางบนภูเขาที่ช่วยประคับประคองมังกร เพียงแต่ว่ายังคงด้อยกว่าภูเขาตะวันเที่ยงหนึ่งระดับ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ สตรีหน้าตางดงามเพริศพริ้งที่กลอุบายลึกล้ำของนครลมเย็นผู้นั้นก็คอยเลียบๆ เคียงๆ มาโดยตลอด ด้วยหวังให้บุตรชายของนางได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเถาจื่อ เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้บรรพจารย์ตระกูลเถาก็ยังไม่ยอมตอบตกลง ในความเป็นจริงแล้ว หากสกุลสวี่กับนครลมเย็นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน สำหรับคนทั้งภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่เล็ก ทั้งสองตระกูลสามารถเป็นบุปผาที่ปักลงบนผ้าแพรให้แก่กันและกันได้

สตรีสวมชุดชาววังลักษณะสุภาพงามสง่าคนหนึ่งจับมือกับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามสวมชุดสีแดงสดทะยานลมมาถึง

เถาจื่อยิ้มกว้าง ทำท่าคารวะทักทาย “คารวะฮูหยิน”

ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นก็หันไปคารวะวานรเฒ่าย้ายขุนเขา “คารวะท่านปู่หยวน”

วานรเฒ่าเพียงแค่พยักหน้ารับ ถือเป็นการตอบรับเด็กหนุ่มแล้ว

ส่วนสตรีแต่งงานแล้วกลับเอื้อมมือมาคว้ามือของเด็กสาวด้วยกิริยานุ่มนวล ยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดู “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี แม่หนูเถาของข้าก็งดงามโดดเด่นขนาดนี้แล้ว”

หลังจากทักทายปราศรัยกันไปครู่หนึ่ง

สตรีแต่งงานแล้วและวานรเฒ่าที่เข้าใจตรงกันโดยปริยาย ต่างก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มเด็กสาวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

ผู้ใหญ่ทั้งสองพากันเดินไปทางศาลของอดีตขุนเขาแห่งนั้น

ตรงนอกศาล เถาจื่อถลึงตา ยื่นมือออกมา “เจ้าคนน่ารำคาญ ของขวัญของเจ้าล่ะ?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดสีแดงสดยื่นมือที่กำเป็นหมัดออกมา แล้วพลันคลายฝ่ามือออก ในมือของเขาว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แล้วจึงตบลงบนฝ่ามือของเด็กสาวเบาๆ “เก็บไว้ให้ดีล่ะ”

เถาจื่อขมวดคิ้ว

เด็กหนุ่มชูสองมือขึ้นสูง ยิ้มพูดหน้าเป็นว่า “อย่ารีบร้อน ช่วงนี้แคว้นหูของ นครลมเย็นพวกเรามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น ข้าก็เลยได้แต่รอไปก่อน คงต้องชดเชยของขวัญให้เจ้าช้าสักหน่อย”

เถาจื่อแค่นเสียงหึในลำคอ

คนทั้งสองเดินอยู่บนลานกว้างหยกขาวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาของอดีตขุนเขาแคว้นอื่น เดินเล่นเลียบราวรั้วไปช้าๆ แต่ไหนแต่ไรมา ทัศนียภาพของกลุ่มยอดเขาของ ภูเขาตะวันเที่ยงก็มีชื่อเสียงด้านความงดงามในแจกันสมบัติทวีปมาอย่างยาวนาน

เด็กหนุ่มชำเลืองตามองน้ำเต้าสีเขียวมรกตที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเถาจื่อ “พี่ปันไฉของเจ้าคนนั้น เหตุใดถึงไม่มาร่วมอวยพร?”

เถาจื่อหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนว่างงานแบบเจ้าหรืออย่างไร? ตอนนี้เขาเป็นอ๋องเจ้าเมืองแล้ว ถือเป็นเจ้าของแผ่นดินครึ่งทวีป”

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “คำพูดเช่นนี้อย่าได้พูดออกมาส่งเดช”

เถาจื่อหลุดหัวเราะพรืด “ผลลัพธ์จากการที่ข้ายืนพูดจาเหลวไหลอยู่ตรงนี้ กับผลลัพธ์จากการที่เจ้านำไปพูดส่งเดชหลังจากที่ได้ฟังไป แบบไหนจะร้ายแรงกว่ากัน?”

เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ได้ เพราะนังหนูนี่พูดเรื่องจริง

เขาฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว “หม่าขู่เสวียนร้ายกาจจริงๆ กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาแห่งนั้น ไม่เหลืออยู่แล้ว ได้ยินมาว่าสตรีที่ปีนั้นทำให้หม่าขู่เสวียนเดือดดาลไปโขกหัวอ้อนวอนพร้อมกับท่านปู่ของนาง แต่กลับไม่สามารถทำให้หม่าขู่เสวียนเปลี่ยนใจได้” ”

เถาจื่อร้องอ้อรับหนึ่งที “เจ้าคนที่อยู่ในตรอกซิ่งฮวาของถ้ำสวรรค์หลีจูนั่นน่ะหรือ? หลังจากไปถึงภูเขาเจินอู่ก็ฝ่าทะลุขอบเขตราวกับคนบ้า คนแบบนี้ อย่าไปสนใจเขาเลยจะดีกว่า”

เด็กหนุ่มเงียบไปพักใหญ่ สีหน้ามืดทะมึน

เพราะเขานึกถึงคนที่ปีนั้นเขาได้เห็นครั้งแรกก็รู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุด

แต่สิ่งที่พอจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้างก็คือ เจ้าเศษสวะบ้านนอกที่เขา ไม่ชอบคนนั้นเป็นเพียงแค่อริของเขาคนเดียว ทว่าเด็กสาวข้างกายกับตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงกลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเจ้าหมอนั่นแบบที่ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะคลายปมแค้นเงื่อนตายนั้นได้ ที่น่าสนุกยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนั่น ทำอย่างไร จากเศษสวะที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น กลับหันไปเรียน วรยุทธ ชอบออกไปเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก ไม่รู้จักเสวยสุขอยู่ในบ้านของตัวเอง ตอนนี้ไม่เพียงแต่มีกิจการ ยังเป็นกิจการที่ใหญ่มากด้วย มีภูเขามากมายรวมถึงภูเขาลั่วพั่ว และภูเขาจูซาหนึ่งในนั้นยังเป็นชุดแต่งงานที่ตระกูลเขาตัดให้กับคนผู้นี้ ทำให้อีกฝ่ายได้จวนบนภูเขาแบบสำเร็จรูปไปเปล่าๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของเขาก็ย่ำแย่ อย่างถึงที่สุดอีกครั้ง

น่าเสียดายที่ทางฝั่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนปกปิดข่าวสารได้อย่าง แน่นหนา อีกทั้งยังมีอริยะหร่วนฉงนั่งบัญชาการณ์ สกุลสวี่นครลมเย็นไม่กล้าไป สืบข่าวเองโดยพลการ เรื่องวงในกระจัดกระจายหลายอย่างที่เหมือนมีเมฆหมอก ล้อมวนยังคงต้องอาศัยสกุลหยวนที่พี่สาวของเขาออกเรือนไปด้วยนำกลับมาแจ้งแก่บ้านเดิมทีละนิด ซึ่งมีประโยชน์ไม่มากเลย

ขอแค่คนผู้นั้นยังไม่ตาย ก็จะเป็นหนามแหลมทิ่มแทงใจของเด็กหนุ่มว่าที่เจ้านครลมเย็นในอนาคตผู้นี้ตลอดไป

แน่นอนว่ายิ่งเป็นตะปูตำนัยน์ตาของภูเขาตะวันเที่ยง ระคายเคืองตาอย่างยิ่ง

เชื่อว่าตอนนี้เรื่องที่ทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงกริ่งเกรงมากที่สุดไม่ใช่ว่ากำลังทรัพย์ของคนหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นเพราะกลัวว่าเจ้าเศษสวะนั่นจะป่ายปีนไปตีสนิทกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับสตรีสวมชุดเขียวผูกผมหางม้าผู้นั้นด้วยแล้ว นี่จะยิ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของหร่วนฉง

เขตการปกครองหลงเฉวียนคือพื้นที่ต้องห้ามที่ทั้งบนและล่างภูเขากับราชสำนักต้าหลีรู้กันดีอยู่แก่ใจโดยไม่ต้องป่าวประกาศ ไม่มีใครกล้าพอจะเข้าไปสืบข่าวในนั้น

นี่ก็เพราะว่าอริยะหร่วนฉงคือ ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี

ฮ่องเต้สกุลซ่งสองรุ่นของต้าหลีต่างก็ยกอาจารย์หลอมกระบี่ที่มีชาติกำเนิดมาจากศาลลมหิมะผู้นี้ให้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงศักดิ์อย่างแท้จริง

เด็กหนุ่มหันไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง

ท่ามกลางซากปรักของศาลแห่งอดีตขุนเขา

สตรีกับวานรเฒ่าพูดคุยเรื่องสถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีปกันไปแล้วก็หันกลับมาเข้าเรื่องเป็นการเป็นงาน นางเอ่ยเสียงเบาว่า “หากหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นกลับจากสกุลเฉินผู้รอบรู้มายังสำนักกระบี่หลงเฉวียน จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า”

วานรเฒ่าหัวเราะหยัน “เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรา ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ในอนาคตของสกุลสวี่พวกเจ้า จะนับเป็นอะไรได้”

สตรีขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย “ฝึกตนบนภูเขา ระยะเวลายี่สิบสามสิบปีแค่ดีดนิ้ว ก็ผ่านไป นครลมเย็นของพวกเรากับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าต่างก็มีปณิธานอยู่ที่อักษรจงในชื่อสำนัก ไม่มีความกังวลไกลก็ต้องมีความกลุ้มใจใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นที่ต้องตายสถานเดียว”

วานรเฒ่ากล่าวอย่างเฉยชา “อย่าให้ข้าเจอโอกาสล่ะ ไม่อย่างนั้นหนึ่งหมัดปล่อยออกไป ฟ้าดินก็สว่างจ้าแล้ว”

สตรีพูดอย่างมีโทสะ “มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง?!”

วานรเฒ่าถามย้อนกลับ “ข้าไม่ไปหาเรื่องเขา เจ้าเด็กนั่นก็ควรจะจุดธูปไหว้พระแล้ว เขาจะกล้ามาชำระแค้นที่ภูเขาตะวันเที่ยงอย่างนั้นหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งที อันที่จริงนางเองก็รู้ดีว่า ต่อให้หลิวเสี้ยนหยางเข้าไปอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียน กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง ก็ไม่อาจสร้างคลื่นลมมรสุมอะไรได้มากนัก ส่วนเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้น ต่อให้ตอนนี้จะสะสมทรัพย์สินไม่ธรรมดาที่ยังไม่รู้ว่าหนาตื้นแค่ไหน ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับ ภูเขาตะวันเที่ยงที่มีที่พึ่งคือราชสำนักต้าหลี ก็ยังคงเป็นเพียงมดแดงเขย่าต้นไม้อยู่ดี ต่อให้ตัดต้าหลีออก แล้วก็ไม่พูดถึงเหล่าบรรพจารย์ผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายของภูเขา ตะวันเที่ยง พูดถึงแค่วานรย้ายภูเขาข้างกายตัวนี้ จะใช่คนที่ผู้ฝึกยุทธหนุ่มแห่งภูเขา ลั่วพั่วต้านทานได้หรือ?

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ตลอดหลายปีมานี้จิตใจของนางถึงไม่เคยสงบสุขได้เลย

วานรเฒ่ากระตุกมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ฮูหยิน เจ้ารู้สึกว่า เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะเป็นอย่างไร?”

แม้สตรีจะไม่รู้ว่าเหตุใดเดรัจฉานเฒ่าถึงถามเช่นนี้ แต่ก็ยังตอบไปว่า “เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งทวีปตามหลังหลี่ถวนจิ่ง นำหน้าหม่าขู่เสวียน”

วานรเฒ่าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเว่ยจิ้นกล้ามาท้าประลองกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงเราหรือไม่? สามารถปล่อยหนึ่งกระบี่แล้วทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราก้มหัวให้หรือไม่?”

สตรีหัวเราะออกทันใด “แน่นอนว่ากล้า แต่กลับไม่อาจทำได้”

สุดท้ายวานรเฒ่าเอ่ยว่า “เศษสวะที่มีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงคนหนึ่ง มดตัวน้อยที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น ต่อให้ข้าให้เขายืมความ กล้าหาญไป แต่เขาจะกล้ามาที่ภูเขาตะวันเที่ยงหรือ?!”

“พูดแบบนี้อาจไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร”

สตรีหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าคนผู้นั้น กล้ามา”

วานรย้ายภูเขาหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างชอบใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็จริงนะ ปีนั้นยังกล้าสู้กับข้าตัวต่อตัว ถือว่ากล้าหาญไม่น้อย แต่ตอนนี้ไม่มีใครที่สามารถปกป้องเขาได้แล้ว ออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียน ขอแค่เขากล้ามาที่ ภูเขาตะวันเที่ยง ข้าก็รับรองว่าจะทำให้เขาได้เงยหน้ามองศาลบรรพจารย์ภูเขา ตะวันเที่ยงสักครั้ง แล้วก็ต้องตายอยู่ที่ตีนเขา!”

……

บนภูเขาในอุตรกุรุทวีปที่ถูกฉีจิ่งหลงวาดยันต์บ่อสายฟ้าซึ่งไม่รู้ว่าห่างไกลจากแจกันสมบัติทวีปมากี่หมื่นลี้

คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีดำผู้หนึ่งเตร็ดเตร่อยู่บนภูเขานานถึงสองวันเต็ม บ้างก็ฝึกเดินนิ่งฝึกวิชาหมัด บางครั้งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็วิ่งไปนั่งยองตรงตีนเขา ชื่นชมความเลิศล้ำในฝีมือการวาดยันต์ของฉีจิ่งหลง

เฉินผิงอันล้มเลิกความคิดที่จะฝึกท่าฟ้าดินไปอย่างสิ้นเชิง

ไม่ใช่ว่าท่วงท่าน่าอายเกินไป แต่เป็นเพราะหากฝืนเอาทั้งสี่กระบวนท่ามารวมเป็นหนึ่ง ปณิธานหมัดจะปนกันส่งเดช ทำให้สูญเสียความหมายนั้นไป

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขายังคงฝึกบำเพ็ญตบะมากกว่าฝึกวิชาหมัด เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ร่างกายก็อ่อนแอเกินไป ฝึกท่าเดินนิ่งมากเกินกลับจะยิ่งเป็นการทำร้ายรากฐานร่างกายของตัวเอง โดนสามหมัดของขอบเขตยอดเขาต่อยลงมาบนร่างจังๆ หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองทั่วไปก็คงตายไปแล้วสามครั้ง หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลทั่วไป ก็น่าจะตายไปแล้วเหมือนกัน ส่วนเขา เฉินผิงอัน แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าตัวเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด เพราะในความเป็นจริงแล้วก็เท่ากับว่าเขาตายไปแล้วหนึ่งครั้ง

ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างหีบไม้ไผ่ วาดยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาอีกบางส่วน

ทยอยวาดไปเรื่อยๆ ก็วาดได้ถึงเจ็ดแปดร้อยแผ่นแล้ว ตอนนั้นสุยจิ่งเฉิงค้นเจอตำราลับค่ายกลมาจากศพของนักฆ่าภูเขาเกอลู่คนหนึ่ง ในบรรดานั้นก็มียันต์พิฆาตสามชนิดที่อานุภาพไม่เลว เฉินผิงอันสามารถเรียนรู้และนำมาใช้ได้เลย ชนิดหนึ่งคือยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ ถือกำเนิดมาจากยันต์สายฟ้าสาขารองของบรรพบุรุษแห่งหมื่นอาคม แน่นอนว่าไม่ถือว่าเป็นยันต์สายฟ้าดั้งเดิม แต่เจอกับปริมาณยันต์ที่มากมายของเฉินผิงอันเข้าไปก็ไม่ถือว่าแย่เลย และยังมียันต์มหานทีไหลสะพัด เป็นยันต์น้ำ อย่างสุดท้ายคือยันต์ขยุ้มดิน คือยันต์ดิน

กระดาษยันต์สีเหลืองราคาไม่แพง ในโลกมนุษย์มีชาดผงทองให้หาซื้อ เมื่อเทียบกับชาดตระกูลเซียนที่ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนแล้ว อันที่จริงก็ไม่ถือว่าแย่เท่าไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนอยู่บนถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินผิงอัน ยังซื้อชาดบนภูเขามาอีกหลายไหหลายขวด อย่าว่าแต่วาดยันต์หลากหลายรูปแบบเป็นพันแผ่นเลย ต่อให้วาดอีกพันแผ่นก็ยังเหลือเฟือ

เฉินผิงอันเอายันต์แต่ละปึกนั้นแยกประเภทกันไว้ แล้ววางลงบนหีบไม้ไผ่ มากพอจะกลายเป็นสายฝนแห่งยันต์ได้เลย

เฉินผิงอันชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพอใจแล้วก็เก็บรวบรวมกลับมา ซ่อนไว้ใน ชายแขนเสื้อ รู้สึกได้ว่าหนักอึ้ง นี่คงเป็นความรู้สึกของคำว่าเงินมากหนักมือกระมัง

สุดท้ายเฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ นั่งอยู่บนพื้น ดึงหญ้าต้นหนึ่งขึ้นมา ดีดดินที่ติดออก แล้วเอาใส่ปากเคี้ยวช้าๆ จากนั้นก็เอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย

สิ่งที่เร็วที่สุดในใต้หล้านี้ ไม่ใช่กระบี่บิน แต่เป็นความคิด

ยกตัวอย่างเช่นแผล็บเดียวก็ไปถึงตรอกหนีผิงและภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียน และอีกแผล็บเดียวก็ไปถึงบนขั้นบันไดของภูเขาห้อยหัวแล้ว

เฉินผิงอันหลับตาลง ความคิดจิตใจจมดิ่งลงลึก ค่อยๆ หลับไป ไม่รู้ว่าผ่านไป นานเท่าไร เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็มองเห็นแสงสว่างแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!