บทที่ 541 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่
คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสามคนเร่งเดินทางตอนกลางคืน ลำธารในหุบเขาไหลริกๆ ส่งเสียงไพเราะเสนาะหู
นักพรตผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งมีสายตาฉายประกายเฉียบคม สวมชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่ที่ทอจากผ้าไหม รูปแบบของชุดคลุมเต๋าค่อนข้างเก่าแก่ ลายปักมองดูแล้วค่อนข้างจะยิบย่อย เป็นภาพสิบสองภาพที่สอดคล้องกับเดือนทั้งสิบสองเดือนของหนึ่งปี แต่ละภาพมีการปักอย่างประณีตงดงาม
สะพายกระบี่ไม้ท้อ ตรงเอวห้อยกระพรวนทองแดง
เดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ นักพรตเฒ่าเผยท่วงท่าองอาจของเทพเซียน
อีกคนหนึ่งคือคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่ถือไม้เท้าเดินป่ารองเท้าสาน สวมชุดคลุม สีขาว ห้อยดาบสั้นฝักสีทองไว้หนึ่งเล่ม
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งสะพายห่อสัมภาระ ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ติดตามของคนหนุ่ม
คนทั้งสามพลันหยุดเดิน พอจะมองเห็นได้รำไรว่าริมธารน้ำที่ห่างไปไกลมีคน นั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่บนหินก้อนใหญ่ ราวกับว่ากำลังอาศัยแสงจันทร์เปิดอะไรบางอย่างดูอยู่
ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองกระพรวนตรงเอวของนักพรตเฒ่า ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
คนทั้งสามจึงพอจะโล่งใจได้บ้าง
กระพรวนนี้คือวัตถุวิเศษล้ำค่าที่ค่อนข้างจะมีภูมิหลัง ชื่อว่ากระพรวนเจดีย์วิเศษ เดิมทีคือวัตถุอาคมที่แขวนไว้ใต้ชายคาของวัดโบราณแห่งหนึ่งในราชวงศ์ต้าหยวน ภายหลังเพื่อขยายขนาดให้แก่ตำหนักของหน่วยฉงเสวียน ฮ่องเต้ต้าหยวนจึงรื้อตำหนักใหญ่ของวัดโบราณออกไปหลายหลัง ช่วงเวลาระหว่างนี้ กระพรวนเจดีย์วิเศษจึงพลัดตกมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ผ่านการเปลี่ยนมืออยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็หายไป อย่างไร้ร่องรอย เจ้าของคนปัจจุบันไปพบมันอยู่บนโครงกระดูกขาวโครงหนึ่งในถ้ำกลางภูเขาลึกโดยบังเอิญ แล้วยังได้โครงกระดูกร่างจริงของงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่ง มาพร้อมกัน ได้กำไรมาถึงสองร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเต็มๆ และกระพรวนเจดีย์วิเศษก็ถูกเก็บไว้ข้างกายของเขา
ไม่ใช่ว่าต้องกลัดกลุ้มว่าจะขายราคาสูงไม่ออก แต่เป็นเพราะตัดใจขายไม่ลง ของดีที่แท้จริง ส่วนใหญ่มักจะมีแต่ราคา ทว่าหาซื้อไม่ได้เสมอ
ในตำรา ‘รวมเล่มไร้เสียง’ ที่อวี๋หย่วนเจ้าหอซินเซิงซึ่งเก็บสะสมกระพรวนไว้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเขียนขึ้นด้วยตัวเอง ลำดับขั้นของกระพรวนชิ้นนี้ค่อนไปทางรั้งท้าย
แต่ขอแค่เป็นกระพรวนที่ถูกบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้ ก็ไม่เคยต้องกลัดกลุ้มว่า จะไม่มีคนซื้อ
มีกระพรวนชิ้นนี้ ผู้ฝึกตนขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมยันต์จำนวนมากอย่างเช่นยันต์ทำลายสิ่งขีดขวาง ยันต์พิศสิ่งชั่วร้าย ยันต์สงบใจ เป็นต้น ขึ้นเขาลงห้วยครั้งสองครั้งยังเห็นผลได้ไม่ชัด แต่หากสะสมจากน้อยไปมาก ยันต์พวกนี้ ก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ นอกจากนี้มีกระพรวนอยู่ในมือ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็สามารถขายได้ ไม่ว่าร้านค้าตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่บนท่าเรือแห่งไหนก็ล้วนยินดี ทุ่มทองพันชั่ง ทางที่ดีที่สุดก็แน่นอนว่าไปเยือนหอซินเซิงโดยตรง แล้วขายให้กับ อวี๋หย่วนผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ดูของเป็นที่สุดต่อหน้า
กระพรวนของลัทธิพุทธมีความหมายสามอย่างได้แก่สะดุ้งตื่น เบิกบานและข้อคิด แน่นอนว่านี่เป็นวิธีการพูดที่ค่อนข้างเลื่อนลอย สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ประสิทธิผลที่สำคัญที่สุดของกระพรวนเจดีย์วิเศษ ยังคงเป็นสองคำว่า ‘สะดุ้งตื่น’ ที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง นั่นก็คือทุกครั้งที่มีภูตผีปีศาจขยับเข้ามาใกล้ กระพรวนก็จะส่งเสียงขึ้นมาด้วยตัวเอง ยิ่งมีปราณสกปรกชั่วร้ายเข้มข้น ตบะของภูตผีปีศาจยิ่งสูง เสียงกระพรวนก็จะยิ่งดังสะเทือนฟ้า ภูตผีที่ขอบเขตต่ำกว่าประตูมังกรลงไปต่างก็ ไม่อาจสกัดกั้นสัญญาณเตือนของกระพรวนนี้ได้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีประโยชน์ในการทำลายสิ่งกีดขวาง เวทอำพรางตาแห่งขุนเขาสายน้ำหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับผีบังตา เมื่อมีกระพรวนนี้อยู่ติดกาย ผู้ฝึกตนก็สามารถรักษาดวงตาให้แจ่มใสจิตใจสงบนิ่ง ไม่ต้องถูกหลอกให้หลงกล
คุณชายหนุ่มใช้เสียงในใจสื่อสารกับสหายสองคน “พวกเราสามคนล้วนเชี่ยวชาญการเข่นฆ่าแบบประชิดตัว และยังขาดคนหรือไม่ก็วัตถุที่สามารถใช้โจมตีได้ ไม่สู้ ลองเสี่ยงดวงดูหน่อยไหม?”
นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงรู้สึกว่าสามารถทำได้
ชุดคลุมบนร่างที่แค่สวมใส่ไว้พอเป็นพิธีก็ดี หรือกระบี่ไม้ท้อที่สะพายไว้ด้านหลัง ก็ช่าง ล้วนเป็นเวทอำพรางตาทั้งสิ้น
อันที่จริงเขาคือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่อยู่ในอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งมาสิบกว่าปี ความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเรียนรู้วิชาเต๋ามาจากอารามเต๋าเก่าโทรมแห่งนั้นได้ แต่เป็นไม่เคยได้อาศัยอารามเต๋าและราชสำนักซื้อตัวตนนักพรตที่มีชื่อในทำเนียบมาได้ เดิมทีหากอิงตามลำดับอาวุโส ไม่ว่าอย่างไรก็ควรถึงคราวที่เขาจะได้ซื้อตัวตนที่มีชื่อบันทึกลงทำเนียบแล้ว คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะแอบเอาตำแหน่งนั้นไปขายให้กับคนเสเพลลูกหลานชนชั้นสูงคนหนึ่ง บอกว่าให้เขารอไปอีกสามปี ถึงท้ายที่สุดก็ต้องรอสามปีแล้วสามปีเล่า หลังจากที่อาจารย์ผู้เป็นเจ้าอารามผิดสัญญาไปหนึ่งครั้งก็บอกว่าคราวหน้าต้องถึงคราวของเขาแน่นอน คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ ตายไปแล้วก็ยังมอบตำแหน่งเจ้าอารามให้แก่ศิษย์น้องคนหนึ่งที่สถานะทางบ้านมั่นคง หลังจากที่เขาออกจากอารามเต๋ามาอย่างเดือดดาลก็มาเดินอยู่บนเส้นทางของ ผู้ฝึกตนอิสระ แอบขโมยสมบัติพิทักษ์ภูเขาของอารามมาชิ้นหนึ่ง คือตำราลับเล่มหนึ่งที่เจ้าอารามแต่ละรุ่นเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่เคยมีใครบรรลุวิชาการเป็นอมตะได้แม้แต่น้อย
ทว่าฝ่ายของชายฉกรรจ์กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าไอ้หมอนั่น มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มารวมกลุ่มกับคนที่ไม่รู้จักชั่วคราว อยู่ดีๆ ในกลุ่มมีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมา ก็ง่ายที่จะกลายเป็นหายนะ
คนหนุ่มยิ้มกล่าว “เดินหนึ่งก้าวก็ดูกันไปหนึ่งก้าว หากสำเร็จย่อมดีที่สุด ไม่สำเร็จก็ไม่เสียหาย อีกอย่าง การแบ่งทรัพย์สินหลังจบเรื่อง พวกเราสามคนกับเขาคนเดียว ไม่แน่ว่าอาจยังได้ทรัพย์สินเพิ่มเติมมาอีกหนึ่งก้อน ถูกไหมล่ะ?”
นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงลูบหนวดยิ้ม
ชายฉกรรจ์ถึงได้พยักหน้าตอบตกลง
คุณชายหนุ่มยิ้มเอ่ย “ขอให้ข้าลองหยั่งเชิงดูก่อน นักพรตซุนและพี่ใหญ่หวงรออยู่ที่นี่ก่อน”
คนหนุ่มเดินหน้าไปเพียงลำพัง หลังเดินออกไปได้หลายก้าว คนชุดดำที่นั่งหันหลังให้คนทั้งสามอยู่บนก้อนหินก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
พอคนหนุ่มเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าให้มากขึ้นอีกสองสามส่วน แล้วเดินออกไปอีก หลายสิบก้าว คนชุดดำผู้นั้นถึงได้พลันหันขวับกลับมาลุกขึ้นยืนแล้วจ้องเขม็งมาที่ คนหนุ่มที่มองดูเหมือนลูกหลานคนรวยผู้นี้
คนหนุ่มหยุดเดิน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยฉินจวี้หยวน เป็นคนของแคว้นเจียโย่ว สหายสองคนด้านหลังข้านี้ สถานที่ฝึกตนของนักพรตซุนคนหนึ่งในนั้นก็คือ เรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์ที่ตั้งอยู่ทะเลบูรพา
ผู้ถ่ายทอดมรรคาคือหนึ่งในเซียนซือของเรือนเทพสายฟ้า เทพเซียนผู้เฒ่า จิ้งหมิงเจินเหริน! น่าเสียดายที่จนถึงทุกวันนี้นักพรตซุนยังคงเป็นได้แค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ ปณิธานของนักพรตซุน อยู่ที่การออกเดินทางไกล เขาเดินทางมุ่งไปยังทิศตะวันออกตลอดเวลา คอยกำจัดปีศาจปราบมาร สะสมคุณความชอบใหญ่ไว้หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งร่วมกันสังหารปีศาจ จึงกลายมาเป็นสหายของพวกเรา ต่างคนต่างมองกันเป็นสหายสนิท ครั้งนี้ได้ยินว่า ในภูเขาของแคว้นเป่ยถิงมีถ้ำสถิตบรรพกาลเผยกายบนโลก จึงอยากจะมาลองดูว่าพอจะมีโชควาสนากับเขาบ้างหรือไม่”
ทางฝั่งของก้อนหินใหญ่ริมน้ำคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำ มือสองข้างสอดกัน ไว้ในชายแขนเสื้อ มีริ้วคลื่นเป็นเส้นๆ ไหลเอ่อออกมาจากในชายแขนเสื้อตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยใจที่ระแวดระวังภัยต่อแขกไม่ได้รับเชิญที่มาพบเจอกันโดยบังเอิญในภูเขาทั้งสามคนนี้
ผู้เฒ่าชุดดำหรี่ตาถาม “เรือนเทพสายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์? บังเอิญยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาพอดี เล่าลือกันว่าวิชาอสนีที่เป็นวิชาเฉพาะของภูเขาอิงเอ๋อร์สามารถควบคุมสายฟ้า เรียกลมเรียกฝน อานุภาพทรงพลัง ไม่เพียงเท่านี้ ในมือข้าก็มียันต์วิชาลับของเรือนเทพสายฟ้าอยู่แผ่นหนึ่งพอดี”
ผู้เฒ่าคีบยันต์สายฟ้าแผ่นหนึ่งที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วชูขึ้นสูง หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่านักพรตซุนท่านนี้จำได้หรือไม่ว่านี่คือยันต์แสงตะวันสยบผีหรือยันต์ไล่โรคห่าปราบวัดของภูเขาอิงเอ๋อร์กันแน่?”
คุณชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลัง มือข้างหนึ่งแบ ข้างหนึ่งกำ
บอกเป็นนัยให้คนทั้งสองลงมือตามจังหวะและโอกาส
หากเขาเอามือกดด้ามดาบเมื่อไหร่ นั่นก็หมายความว่าสามารถช่วงชิงผลประโยชน์มาล่วงหน้าได้แล้ว
แต่นั่นคือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
หากระดับขั้นของยันต์อีกฝ่ายดีเกินไป สร้างความกริ่งเกรงให้ผู้คนได้ ก็คงจะต้องเดินสวนไหล่กันไปก่อนชั่วคราว ภายนอกวางตัวเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
แต่อันที่จริงก็ถือว่าทั้งสองฝ่ายได้ผูกปมแค้นกันไว้แล้ว
หากมีโอกาสที่ดีก็จะต้องตัดรากถอนโคน
หากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขา แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
มือดาบหนุ่มผู้นี้คือลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่ตระกูลตกอับ แต่กลับไม่ใช่คนของแคว้นเจียโย่วอะไร และฉินจวี้หยวนนั่นก็เป็นแค่นามแฝง ฉินจวี้หยวนตัวจริงคือ คนวัยเดียวกันของแคว้นเจียโย่วที่เคยทำให้เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากมาแล้ว
ชื่อจริงของเขาคือตี๋หยวนเฟิง วิชาดาบได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้ถวายงานของตระกูลที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพชายแดน ดาบที่พกก็ยิ่งเป็นวัตถุหนักตระกูลเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เขาเพิ่งมาท่องอยู่ในยุทธภพได้ไม่กี่ปี ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่แท้จริง แต่อุบายลึกล้ำของผู้ฝึกตนอิสระล่างภูเขา เขาเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกทำให้ได้รู้จักกับ ‘พี่ใหญ่หวง’ ที่ลักษณะท่าทางหยาบกระด้างผู้นั้น อีกครั้งหนึ่งก็ได้เป็นพันธมิตรกับ ‘นักพรตซุน’ ที่เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร
นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว เขาชำเลืองตามองยันต์ในมือของผู้ฝึกตนชุดดำแค่ปราดๆ เท่านั้น แล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายไม่จำเป็นต้อง หยั่งเชิงกันเช่นนี้ ยันต์ที่เจ้าถืออยู่ในมือ แม้จะเป็นยันต์สายฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับไม่ใช่ยันต์แสงตะวันและยันต์ปราบวัดที่เป็นวิชาลับสืบทอดของเรือนเทพสายฟ้าพวกเราอย่างแน่นอน ยันต์สายฟ้าของภูเขาอิงเอ๋อร์เรา มีความมหัศจรรย์ตรงที่บ่อโบราณหนึ่งบ่อ สามารถขานรับกับฟ้าดิน ฟูมฟักหยาดสายฟ้า ใช้สิ่งนี้หล่อหลอมออกมาเป็นพู่กันเสินเซียว แสงแห่งยันต์ก็ผ่านการหล่อหลอมจนถึงแก่นบริสุทธิ์
อีกทั้งยังจะมีสีชาดปนอยู่เสี้ยวหนึ่ง ไม่ว่ายันต์ของภูเขาลูกใดก็ไม่อาจมีได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยันต์ของศาลบรรพจารย์ใหญ่ทั้งห้าแห่งของเรือนเทพสายฟ้ายังมีวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายอีกวิชาหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสหายเคยผ่านภูเขาของเราไป แต่ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา ช่างน่าเสียดายจริงๆ วันหน้าหากมีโอกาสก็สามารถกลับไปยังภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตได้ ถึงเวลานั้นก็จะรู้ถึงความลี้ลับของมัน ได้เอง”
ผู้เฒ่าชุดดำพยักหน้ารับ เก็บยันต์สายฟ้าแผ่นนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของเรือนเทพสายฟ้าแห่งภูเขาอิงเอ๋อร์ “คารวะนักพรตซุน”
คุณชายหนุ่มผ่อนลมหายใจโล่งอก
มารดามันเถอะ พวกผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาพวกนี้ แต่ละคนเจ้าเล่ห์แสนกล ไม่แพ้กันเลย
ปรนนิบัติยากจริงๆ
แน่นอนว่านักพรตเฒ่าร่างผอมสูงไม่ใช่นักพรตของเรือนเทพสายฟ้าอะไรนั่น นั่นคือ ภูเขาใหญ่ที่มีบรรพจารย์ก่อกำเนิดสองท่านเฝ้าพิทักษ์ ตั้งอยู่ในจุดที่ลำธารใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร เป็นสำนักที่มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ คนแซ่ซุนไหนเลยจะมีชะตาชีวิตที่ดีจนถึงขั้นได้เป็นลูกศิษย์ของหนึ่งในห้าเจินเหรินใหญ่ของภูเขาอิงเอ๋อร์เช่นนั้น แม้ว่าจิ้งหมิงเจินเหรินจะเป็นเซียนดินโอสถทองคนสุดท้ายที่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของ เรือนเทพสายฟ้า แต่ก็ไม่อาจเทียบกับอีกสี่ท่านที่มีวิชาอสนีเลิศล้ำค้ำฟ้าได้ ทว่าสำหรับด้านล่างภูเขาแล้ว เขาก็ยังคงเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าที่สูงส่งจนไม่อาจปีนป่ายได้อยู่ดี
โชคดีที่ในเมื่อคนแซ่ซุนกล้าสวมรอยตัวตนนี้มาเดินท่องอยู่ด้านล่างภูเขา เขาก็ต้องพอจะเข้าใจยันต์ของเรือนเทพสายฟ้ามาบ้าง
แต่หากอีกฝ่ายเอายันต์วิชาลับของศาลบรรพจารย์เรือนเทพสายฟ้าออกมาได้จริงๆ คาดว่าคนแซ่ซุนก็คงได้แต่ถลึงตาเบิกกว้าง เพราะเขาแค่เคยได้ยินมาเท่านั้นว่ายันต์ ห้าชนิดใหญ่ของเรือนเทพสายฟ้ามีเรื่องที่ต้องพิถีพิถันอยู่มาก แต่มันคืออะไรกันแน่ นักพรตซุนกลับไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้ ยังดีที่ต่อให้อีกฝ่ายจะซักไซ้ไล่เรียงคำตอบ แต่นักพรตซุนก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามแม้แต่ครึ่งคำ เพราะถึงอย่างไรหากตัวเขาเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงๆ เรื่องวงในของ ‘ศาลบรรพจารย์บ้านตัวเอง’ จะเอามาเปิดเผยง่ายๆ ได้อย่างไร
ดังนั้นถึงได้บอกว่าการเอ่ยตอบเช่นนี้ของนักพรตซุนสมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะเขาวางตัวเป็นคนของเรือนเทพสายฟ้าจริงๆ ขนาดคุณชายหนุ่มก็ยังหายสงสัยไปเกินครึ่ง
และเวลานี้เอง อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าชุดดำก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “เทพนำโซ่เหล็กสยบเสียงขุนเขาดัง”
นักพรตร่างผอมสูงหัวเราะร่า “วิชาห้าอสนีจงออกมาจากเจี้ยงกง!”
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าคนนั้นโล่งอกมากกว่าเดิม เขาประสานมือคารวะอีกครั้ง “เป็นข้าที่เสียมารยาท ขออภัยนักพรตซุนมา ณ ที่นี้”
ตี๋หยวนเฟิงนินทาอยู่ในใจไม่หยุด ป้ายอักษรทองของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเรือนเทพสายฟ้านี่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เอามาใช้ได้ ระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้มีอยู่หลายครั้งที่เวลาไปเยือนแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ หรือไม่ก็ภูเขาระดับสาม พวกตี๋หยวนเฟิงจะต้องได้อาศัยใบบุญของอีกฝ่าย กลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ไปด้วย
ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคนนั้นจะอยากเดินลงจากก้อนหินเพื่อมาต้อนรับคนทั้งสามอย่างมีมารยาท เขาเดินมาได้ครึ่งทางก็พลันถามอีกว่า “เหตุใดนักพรตซุนลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ แต่กลับไม่ยอมสวมชุดนักพรตเต๋าของเรือนเทพสายฟ้าล่ะ?”
ไฟโทสะของตี๋หยวนเฟิงผุดขึ้นสูงสามจั้ง
ไม่จบไม่สิ้นสักทีรึ?!
ตาแก่ที่ระมัดระวังไปทุกเรื่องขนาดนี้ ไม่แน่ว่าหากเป็นพันธมิตรกันขึ้นมาจริงๆ อาจมีตัวแปรเกิดขึ้นได้มากมาย อย่างน้อยที่สุดพวกเขาสามคนก็คงไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายๆ แล้ว
ผู้เฒ่าร่างสูงผอมลูบหนวดยิ้ม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สวมชุดคลุมบนภูเขาเป็นการ โอ้อวดตัวเองมากเกินไป มีแต่จะทำให้ข้าผู้เป็นนักพรตเหน็ดเหนื่อยในการรับมือ หรือว่าการฝึกประสบการณ์นั้นอยู่ในงานเลี้ยงที่มีแต่เสียงชนแก้วเคล้าเสียงหัวเราะพูดคุย?”
ผู้เฒ่าชุดดำยิ้มบางๆ ในที่สุดก็ยอมเดินลงมาจากก้อนหินใหญ่พลางพูดอย่าง ปลงอนิจจังว่า “ไม่เสียแรงที่นักพรตซุนคือยอดฝีมือที่บรรลุมรรคาของภูเขาอิงเอ๋อร์ จิตใจที่รักความสงบอยู่ห่างไกลจากความร่ำรวยสูงศักดิ์ของโลกมนุษย์ทำให้คนนับถือจริงๆ คิดดูแล้วเดินทางกลับภูเขาบรรพบุรุษของเรือนเทพสายฟ้าครั้งนี้จะต้องพัฒนาไปอีกขั้น ได้กลายไปเป็นผู้สืบทอดของจิ้งหมิงเจินเหรินและศาลบรรพจารย์ อย่างแน่นอน”
จากนั้นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ในสายตาของคนทั้งสามผู้นี้ก็เผยสีหน้าเคารพนับถือออกมาหลายส่วน และในสายตาของเขาก็ยังคงมีเพียงนักพรตซุนเท่านั้น เขายิ้ม กล่าวว่า “ข้าแซ่เฉิน มาจากแคว้นอู่หลิงที่มรรคกถาขาดแคลน ตบะตื้นเขิน ส่วนสำนักก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่ทิ่มแทงใจเกินไป บังเอิญเรียนวิชาวาดยันต์ได้ประสบความสำเร็จ ฝีมือน้อยนิดมีแต่จะเป็นที่ขบขันของผู้คน ไม่กล้าเอามาโอ้อวดต่อหน้าเซียนซือสายยันต์อย่างนักพรตซุนเด็ดขาด การหยั่งเชิงก่อนหน้านี้ ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็ช่างน่าอายยิ่งนัก นักพรตซุนเป็นเจินเหรินใจกว้าง อย่าได้ถือสาข้าเลย”
นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “ออกมาอยู่นอกบ้าน ระวังไว้ก่อนย่อมไม่ผิด พี่ใหญ่เฉิน ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”
นักพรตซุนเดินตรงเข้าไปหาผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นก่อน ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ ก็เดินตามมาด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ
ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เดิมทีเป็นตี๋หยวนเฟิงที่เป็นผู้นำ เป็นเหตุให้การแบ่งทรัพย์เงินทองในทุกครั้ง เขาสามารถเอาไปได้สี่ส่วน อีกสองคน ที่เหลือได้กันไปคนละสามส่วน
ผู้เฒ่าชุดดำเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้ทุกคนเดินขึ้นไปบนก้อนหิน รอจนนักพรตซุน ‘ขึ้นเขา’ มาแล้ว เขาก็วาดเท้าออกมาขวางแล้วเดินตามไปด้านหลังนักพรตซุน ไม่ให้หน้าตี๋หยวนเฟิงและชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมแม้แต่น้อย
ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ที่สะพายห่อสัมภาระไว้ด้านหลังหันหน้ามายิ้มให้กันอย่างว่องไว
ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระมากๆ แล้ว
นอกจากจะระมัดระวังรอบคอบแล้ว ก็ยังขับเรือตามกระแสลมได้อย่างชำนาญ
น่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน
เป็นเรื่องที่ดี
คนทั้งสี่นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ด้วยกัน
นักพรตซุนยิ้มถาม “สหายก็มาที่นี่เพราะถ้ำสถิตในภูเขาเหมือนกันหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดดำที่สะพายห่อผ้าสีเขียวไว้บนไหล่เอียงๆ ผู้นี้คงจะแน่ใจในสถานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาอิงเอ๋อร์ของนักพรตซุนแล้ว อีกทั้งยังมีการหยั่งเชิงถึง สามครั้ง จนไม่เหลือความกังขาอีก เวลานี้เขาเผยสีหน้าจนใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยได้แผนที่ของที่ว่าการ ในท้องถิ่นมาครอบครอง พอเข้ามาในภูเขาแล้วจึงเดินวนไปวนมาอยู่นาน
ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าควรจะอยู่ในภูเขาลึกที่ห่างไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว หากโชคดี สักหน่อย ก็อาจจะสามารถหาพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่ตราผนึกถูกเปิดออกแห่งนั้น เจอไปแล้ว”
นักพรตซุนหันหน้าไปมองตี๋หยวนเฟิงคุณชายสูงศักดิ์ที่สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่า ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบแผนที่ภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบแผ่นหนึ่งออกมา คือฉบับสำเนา
แผนที่ภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของที่ว่าการของราชสำนักในแต่ละแคว้นมาโดยตลอด ไม่มีทางเอาไปแพร่งพรายด้านนอกได้เด็ดขาด การที่พวกตี๋หยวนเฟิงสามคนได้ฉบับสำเนามาอย่างราบรื่น แน่นอนว่าเป็นเพราะสถานะของนักพรตซุน แต่ว่าเจ้าเมืองผู้นั้นก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไร เขาบอกให้นักพรตซุนร่ายวิชาตระกูลเซียนให้ดู บวกกับยันต์ลัทธิเต๋าอีกสิบกว่าแผ่นที่สามารถแปะไว้ในที่ว่าการได้
อันที่จริงฝีมือการวาดยันต์ของนักพรตร่างผอมสูงนั้นนับว่าแย่ แต่เพราะเคยเห็นยันต์ที่เข้าขั้นของภูเขาอิงเอ๋อร์ผ่านตามาบ้าง จึงสามารถวาดได้เหมือนถึงเจ็ดแปดส่วน ตำราลับเล่มที่เขาขโมยมาจากอารามเต๋าไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับยันต์ไว้แม้แต่น้อย แต่แก่นยันต์บนยันต์ที่นักพรตเฒ่าวาดขึ้นกลับมีปราณวิญญาณอยู่เสี้ยวหนึ่งจริงๆ จึงพอจะนำมาใช้ต้านทานปราณชั่วร้ายที่ไม่เข้มข้นในหมู่ชาวบ้านได้
แน่นอนว่ายันต์พวกนั้นไม่ได้ถูกเอาไปแปะไว้บนประตูใหญ่ของจวนที่ว่าการ แต่ถูกท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเอาไปขายให้กับชนชั้นสูงในพื้นที่ที่รักตัวกลัวตายแต่ ไม่ขาดเงิน
ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เขายื่นมือมารับแผนที่ฉบับนั้นแล้วกวาดตาอ่านอย่างละเอียด “สมแล้วที่เป็นนักพรตซุน ถึงได้สามารถทำสำเนาวัตถุชิ้นนี้ขึ้นมาได้”
นักพรตร่างผอมสูงลูบหนวดยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
ชายฉกรรจ์มอมแมมที่เรียกตัวเองว่าหวงซือยังคงเงียบงันต่อไป
ผู้เฒ่าชุดดำทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักไป
ตี๋หยวนเฟิงรู้ว่าคนผู้นี้งับเหยื่อแล้ว
น่าเสียดายที่เขาก็ดีหรือนักพรตซุนก็ช่าง ล้วนไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแม้แต่ครึ่งคำ
อีกฝ่ายต้องเอาความจริงใจและเงินทุนออกมาถึงจะได้
ผู้เฒ่าชุดดำที่ ‘ความคิดในหัวตีกัน’ ผู้นี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่ สวมหน้ากาก
ใบหน้าแก่ชรา สะพายกระบี่เล่มยาว สะพายห่อผ้าไว้บนไหล่เฉียงๆ สีหน้าอ่อนระโหย นัยน์ตาขุ่นมัว
ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของจิ้งหมิงเจินเหรินแห่งเรือนเทพสายฟ้าภูเขา อิงเอ๋อร์อะไรนั่น เฉินผิงอันไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางใช้วิธีการตื้นเขินเช่นนั้นไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย
เพราะภูเขาอิงเอ๋อร์คือสำนักสำคัญแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงประตูที่ลำน้ำสายใหญ่ทางฝั่งตะวันตกไหลเข้าสู่มหาสมุทร ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีปเขาก็พอจะรู้จัก มาบ้างแล้ว ภายหลังยังถามถึงจุดประสงค์ในการวาดยันต์ของเรือนเทพสายฟ้าจาก ฉีจิ่งหลงมาอย่างละเอียดอีกด้วย
แม้ว่าฉีจิ่งหลงจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่คนทั้งทวีปต่างก็รู้ว่าขอบเขตด้านวิชายันต์ของเจียวหลงบนบกท่านนี้สูงมาก
เฉินผิงอันถึงขั้นรู้ว่ากุญแจสำคัญที่แท้จริงของยันต์วิชาอสนีทั้งห้าของศาลบรรพจารย์เรือนเทพสายฟ้า คือจำเป็นต้องแยกกันนาบประทับตราอาคมที่สืบทอดมาจาก บรรพบุรุษห้าตราซึ่งมีตรา ‘ผู้บัญชาการใหญ่จวนอวี้’ ‘ทูตผู้ตรวจการห้าทิศ’ ‘ต้าถีเตี่ยนแห่งตำหนักจื๋อเตี้ยน’ รวมเป็นหนึ่งในนั้น ฉีจิ่งหลงยังเคยวาดยันต์วิชาอสนีห้าแผ่นให้เฉินผิงอันดูด้วยตัวเอง พลานุภาพแน่นอนว่าสู้ฝีมือของเจินเหรินเซียนดินของเรือนเทพสายฟ้าไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ยังขาดตราประทับอาคมกองสายฟ้า ห้าชิ้นที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดไป แต่เฉินผิงอันเชื่อว่านอกจากเจินเหรินผู้ถือ ตราประทับทั้งห้าท่านแล้ว ภูเขาอิงเอ๋อร์ย่อมไม่มีผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์คนใดที่สามารถเขียนปณิธานที่แท้จริงของยันต์ตระกูลตัวเองออกมาได้ทัดเทียมกับฉีจิ่งหลงที่เป็นคนนอกอย่างแน่นอน
คนเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ชวนให้โมโหตายได้จริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์
การที่เขาจงใจแสร้งทำเป็นเชื่อในตัวตนของอีกฝ่าย เป็นเพราะเฉินผิงอันหวังว่าจะอาศัยคนทั้งสามมาช่วยอำพรางตัวตนให้กับตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องบุกเดี่ยวไปสืบเสาะหาถ้ำสถิตแห่งนั้นเพียงลำพัง
ส่วนข้อที่ว่าจะคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างไร ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เคยวางอุบายปัดแข้งปัดขากับหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่ามาก่อน จึงถือว่าพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง
แม้จะบอกว่าหนึ่งทวีปก็มีขนบธรรมเนียมของหนึ่งทวีป ทว่าผู้ฝึกตนอิสระก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่นั่นเอง
เหล้าขาวหน้าคนแดง ทองเหลืองใจคนดำ
ร่อนเร่พเนจรไปหมื่นทิศแสวงหาทรัพย์สมบัติ คำว่าผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่ง
ดูเหมือนว่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดพักใหญ่แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านักพรตซุนต้องการคนช่วยเหลือหรือไม่?”
นักพรตซุนที่นิ่งคิดอยู่พักใหญ่แสร้งทำเป็นว่าจะพยักหน้าตอบตกลง
เพราะรู้ดีว่าย่อมมี ‘ฉินจวี้หยวน’ เป็นผู้เอ่ยปากขัดขวาง
แล้วก็จริงดังคาด ไม่ต้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้เสียงในใจสื่อสารกัน ตี๋หยวนเฟิงก็ ถามว่า “พี่ใหญ่เฉิน พวกเราเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า เจ้าจะยอมให้มีสหายที่ไม่รู้จักชื่อแซ่คนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในกลุ่มง่ายๆ ไหม?”
เฉินผิงอันกัดฟัน ก่อนจะหยิบยันต์กระดาษเหลืองปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างอิดออด แล้วแยกประเภทไว้ข้างกายตัวเอง โดยวางเรียงไว้เป็นลำดับ นอกจากยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์แล้ว ยังมียันต์มหานทีไหลสะพัดและยันต์ ขยุ้มดินอย่างละสองแผ่น รวมไปถึงยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางระหว่างภูเขาสายน้ำ อีกหลายแผ่น ล้วนเป็นยันต์ที่เขียนด้วยผงเงินผงทอง เมื่อเทียบกับยันต์ห้าสิบแผ่น ที่เอาไปขายในร้านผ้าห่อบุญนครเหนือเมฆแล้ว นอกจากกระดาษเหลืองที่คุณภาพธรรมดาที่สุดแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลายมือการวาด ระดับขั้นหรืออานุภาพก็ล้วนแตกต่างราวฟ้ากับเหว ราคาก็ยิ่งไม่อาจเปรียบเทียบกันได้
บนเส้นทางของการวาดยันต์นั้น มีกฎเกณฑ์มากมายอย่างถึงที่สุด
พูดถึงแค่การ ‘จุ่มหมึก’ ปลายพู่กัน ก็แบ่งออกเป็นชาดธรรมดา ผงเงินผงทอง รวมไปถึงชาดตระกูลเซียน และชาดตระกูลเซียนก็ยิ่งเป็นหลุมไร้ก้นที่มีความพิเศษอย่างถึงที่สุด
ดังนั้นถึงได้บอกว่าผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชายันต์ การวาดยันต์ก็คือการเผาเงินดีๆ นั่นเอง ยิ่งยันต์ของสำนักเป็นของดั้งเดิมเท่าไรก็ยิ่งเผาผลาญเงินเทพเซียนมากเท่านั้น โชคดีที่ขอแค่ผู้ฝึกตนสายยันต์วาดยันต์ได้อย่างชำนาญแล้วก็จะสามารถหาเงิน หันกลับมาเป็นฝ่ายหล่อเลี้ยงภูเขาได้ในทันที
แต่ผู้ฝึกตนสายยันต์จะต้องผ่านการทดสอบคุณสมบัติมาก่อน จะฝึกได้สำเร็จหรือไม่ การยกพู่กันหนักเบาหลายครั้งตอนที่ยังเยาว์ก็พอจะรู้แล้วว่าอนาคตจะดี หรือร้าย แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว ก็มีบางคนที่เพิ่งจะมาสติปัญญาเปิดโล่ง เอาตอนที่อายุมากแล้ว ทว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ฝึกตนสายอิสระที่ถูกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทอดทิ้งไปนานแล้ว
ยันต์พวกนี้ที่เฉินผิงอันหยิบเอาออกมาล้วนเป็นยันต์กระดาษเหลืองลายเส้นทองที่บดมาจากก้อนทองของทางการ เมื่อเทียบกับยันต์ผงเงิน ยันต์ผงชาดในโลกมนุษย์แล้ว มูลค่าและระดับขั้นย่อมต้องดีกว่าเล็กน้อย
นักพรตซุนกวาดตามองยันต์พวกนั้นแวบหนึ่ง แล้วก็มองผู้เฒ่าชุดดำซ้ำอีกครั้ง เซียนซือยอดฝีมือของเรือนเทพสายฟ้าผู้นี้เพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันถึงได้ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แล้วจึงหยิบเอายันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ที่ใช้ผงชาดบนภูเขาของสวนน้ำค้างวสันต์วาดขึ้นมาตอนแรกสุดออกมาจากชาย แขนเสื้อ แล้ววางลงบนพื้นเบาๆ
ตี๋หยวนเฟิงยิ้มถาม “ยันต์ที่พี่ใหญ่เฉินเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีพวกนี้ ไปซื้อที่ไหนมาหรือ มองดูแล้วไม่ธรรมดาเลย ข้าเองก็อยากหาซื้อมาติดตัวไว้บ้าง”
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นพูดอย่างค่อนข้างจะลำพองใจว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แล้วก็ไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาสายยันต์ให้ แต่ก็มีเพียงในเรื่องการวาดยันต์เท่านั้นที่ถือว่าพอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง…”
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็รีบเก็บสีหน้าภาคภูมิใจลงไป แล้วพูดอย่างห่อเหี่ยวว่า “แน่นอนว่าเมื่ออยู่กับนักพรตซุนก็ไม่ต่างอะไรจากการละเล่นของเด็กบ้านนอกเท่านั้น”
นักพรตซุนเห็นว่ากำลังไฟกำลังได้ที่แล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พี่น้องเฉินอย่าได้ดูแคลนตัวเอง บอกตามตรง ถึงแม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะฝึกตนอยู่บนภูเขาอิงเอ๋อร์มานานหลายปี แต่พี่น้องเฉินก็น่าจะรู้ว่านักพรตของเรือนเทพสายฟ้าพวกเรา นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจินเหรินทั้งห้าท่านแล้ว ก็ยังแบ่งได้คร่าวๆ อีกสองประเภท หากไม่ตั้งใจฝึกวิชาห้าอสนี ก็ต้องศึกษาด้านยันต์ หวังว่าจะได้รับ วิชาลับสืบทอดสายยันต์มาจากทางศาลบรรพจารย์ ข้าผู้เป็นนักพรตก็คือฝ่ายแรก ดังนั้นหากพี่น้องเฉินเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านยันต์จริงๆ อันที่จริงพวกเราก็ยินดีเชื้อเชิญให้เจ้าไปเยี่ยมเยียนขุนเขาด้วยกัน”
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่เรียกตัวเองว่าหวงซือเปิดปากพูด “ไม่ทราบว่า ยันต์ที่พี่ใหญ่เฉินตั้งใจวาดขึ้นมา มีอานุภาพมากน้อยแค่ไหน?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหยิบยันต์มหานทีไหลสะพัดแผ่นหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งทำมุทรา ปากขมุบขมิบเหมือนท่องคาถา ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็โยนยันต์ลงไปในธารน้ำ หลังจากตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง มือสองข้างก็ทำมุทราอย่างว่องไวจนคน มองตาลาย
ยันต์ลงน้ำก็หลอมละลายในทันที ทว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์ได้กระจายตัวออกไปส่องประกายแสงเรืองรองอยู่ในธารน้ำ ประหนึ่งปลาเรียวยาวหลายตัวที่พากันแหวกว่ายตัดสลับออกไปเป็นเส้นๆ
คนทั้งสามเห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดดำตวาดหนึ่งทีแล้วก็ไม่ทำมุทราอีก เพียงเอาสองนิ้วประกบเข้าหากัน แล้วตวาดเบาๆ อีกครั้งว่า ‘ขึ้น’ จากนั้นก็ใช้นิ้วปาดออกไปเบาๆ ทันใดนั้นก็มีเจียวหลงธารน้ำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากลำธาร วนรอบก้อนหินหนึ่งรอบ แล้วจึงกลับคืนสู่ธารน้ำในตำแหน่งที่นิ้วทั้งสองของผู้เฒ่าชี้ไป เห็นได้ชัดว่า ผู้เฒ่าอยากจะแสดงมาดของยอดฝีมือวิถียันต์ออกมามากกว่านี้ และเขาก็ยังมีกำลังเหลือเฟืออยู่จริงๆ เนื่องด้วยระดับขั้นของยันต์ค่อนข้างสูง หลังจากทำเช่นนี้ไปแล้ว ก็ยังมีการแสดงถัดมาอีก เพราะเส้นแสงเรืองรองในลำธารยังคงเหลืออีกเกินครึ่ง
ผู้เฒ่าชุดดำชูแขนสองข้างขึ้นสูง เสาน้ำหลายเส้นก็ผุดทะยานขึ้นมา แล้วพุ่งมาล้อมวนรอบคนทั้งสี่ที่อยู่บนก้อนหินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นไอน้ำก็แผ่อบอวลไปทั่ว ไอเย็นแทรกซึมเข้าถึงกระดูก
ตี๋หยวนเฟิงใช้เสียงในใจสอบถามหวงซือผู้นั้น ฝ่ายหลังใช้การรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไปว่า “พอจะมีตบะอยู่บ้าง แต่พลังพิฆาตอ่อนด้อย การแสดงนี้มองดูเหมือนร้ายกาจ แต่อันที่จริงถูกไม่กี่หมัดต่อยก็แหลกสลายแล้ว แต่หากคนผู้นี้สามารถควบคุมยันต์ทุกประเภทได้ ก็คงจะเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะถึงอย่างไรพวกเรา ก็ยังขาดผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สามารถโจมตีไกลๆ ได้ นอกจากนี้ผู้ฝึกตนสายยันต์คนหนึ่ง คอยรับผิดชอบทำลายสิ่งกีดขวางเปิดเส้นทางก็นับว่าเหมาะสมอย่างถึงที่สุด”
ผู้เฒ่าชุดดำเก็บวิชาอภินิหารด้านยันต์กลับมา ลำธารก็กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง ในน้ำไม่เหลือเส้นแสงที่เกิดจากการรวมตัวของปราณวิญญาณแก่นยันต์อีก ผู้เฒ่า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าแดงก่ำน้อยๆ
นักพรตซุนใช้เสียงในใจพูดกับคนทั้งสอง “ต่อให้เพิ่มขอบเขตไปอีกหนึ่งขอบเขต ก็น่าจะอยู่ที่ขอบเขตถ้ำสถิต หรือต่อให้จะยังอำพรางฝีมือเพื่อปกปิดพวกเรา ข้าก็ยังกล้ายืนยันว่า คนผู้นี้ย่อมไม่มีทางใช่เทพเซียนขอบเขตประตูมังกรอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงคิดเสียว่าเขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ไม่ดีไม่เลว พอให้พวกเราเอามาใช้งานได้ แล้วก็ไม่สามารถสร้างอันตรายใดๆ แก่พวกเราได้ ถือว่ากำลังดี นอกจากยันต์สายฟ้าที่เผยตัวก่อนหน้านี้แล้ว คนผู้นี้คงจะยังซ่อนยันต์ดีๆ ที่แท้จริงซึ่งเป็นสมบัติก้นกรุไว้อีกหลายแผ่นอย่างแน่นอน พวกเรายังต้องระมัดระวังให้มาก”
หวงซือพลันรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับคนทั้งสองว่า “ชุดคลุมสีดำบนร่างคนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นชุดคลุมอาคมชุดหนึ่ง”
ตี๋หยวนเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ดูกันไป ค่อยๆ วางแผนกันไป แล้วค่อยมาตัดสินใจอีกที”
นักพรตซุนพูดกับเฉินผิงอันว่า “หากการไปเยี่ยมเยือนภูเขาครั้งนี้ราบรื่น สหายสามารถกลับไปยังภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตได้ ข้าผู้เป็นนักพรต จะลองช่วยแนะนำเจ้าดู”
ผู้เฒ่าชุดดำอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนมาเป็นฉายประกายเร่าร้อน ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ซาบซึ้งใจจนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก
สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว การที่ได้มาพบเจอกับตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์อย่างภูเขาอิงเอ๋อร์นี้ได้ ก็ไม่ต่างจากการได้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ ที่ดีเลย
ตี๋หยวนเฟิงเห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา จากนั้นเขาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เฉินจะช่วยอธิบายประสิทธิผลของยันต์พวกนี้อย่างละเอียดได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ยันต์บนพื้นแล้วไล่อธิบายไปทีละแผ่น สำหรับยันต์ทำลาย สิ่งกีดขวางนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเป็นยันต์ข้ามสะพานที่เล่าเรียนมาจากวิชาเฉพาะของลัทธิเต๋า เพราะถึงอย่างไรยันต์ทำลายสิ่งกีดขวาทั่วไปก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมายนัก ส่วนยันต์น้ำที่เขาแสดงฝีมือให้ดูไปแล้วก็ยิ่งคร้านจะพูดให้มากความ ทว่ายันต์สายฟ้ากับยันต์ขยุ้มดิน เขากลับพูดจ้อถึงอานุภาพในการโจมตีของพวกมัน พอดังเข้าหูคนทั้งสาม แน่นอนว่าต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขี้โม้เกินจริง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมองผู้เฒ่าชุดดำผู้นี้สูงขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน
การอธิบายถึงรากฐานโดยรวมและพลานุภาพของยันต์ที่สำคัญสองชนิดนี้
เป็นทั้งการแสดงความจริงใจ แล้วก็เป็นการแสดงบารมีอย่างหนึ่ง
นี่ก็คือวิธีการที่ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งสมควรมี
คือหลักการเดียวกับการที่ก่อนหน้านี้ตี๋หยวนเฟิงจงใจเอาสำเนาภาพแผนที่ ที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับในจวนเจ้าเมืองออกมาให้เขา
นั่นคือรากฐานที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งของเรือนเทพสายฟ้าสมควรมี
หลังจากที่คนทั้งสี่พูดจาปราศรัยกันไปพักหนึ่งก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ
ตี๋หยวนเฟิงเห็นผู้เฒ่าชุดดำขยับเข้าไปเดินใกล้ชิดอยู่ข้างกายนักพรตร่างสูงผอม
เขาที่เดินค่อนมาทางด้านหลังส่ายหน้าเบาๆ ส่วนหวงซือนั้นมีสีหน้าเฉยเมย แค่คอยเหลือบมองชุดคลุมสีดำนั้นหลายครั้งราวกับตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “นักพรตซุน ถ้ำสถิตโบราณที่เผยกายกลับมาบนโลก อีกครั้งของแคว้นเป่ยถิงแห่งนี้ พวกเราต่างก็รู้แล้ว แล้วตระกูลเซียนขนาดใหญ่ สองแห่งอย่างนครเหนือเมฆกับจวนไช่เฉวี่ยจะร่วมมือกันยึดครองมัน ขับไล่คนนอก ทุกคนออกไป หลังจบเรื่องสองตระกูลค่อยมาแบ่งทรัพย์สินกันหรือไม่?”
นักพรตซุนหัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่เดินทางมาไกล ไม่กล้าใกล้ชิดกับทางการเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้จึงพลาดเรื่องเก่าๆ ในอดีต ไปหลายเรื่อง
ตามคำบอกของเจ้าเมืองแคว้นเป่ยถิงที่พร่ำออกมาหลังเมามาย อีกฝ่ายพูดจาน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องวงในบนภูเขาที่ได้ยินมาจากขุนนางหลักของเมืองหลวง แคว้นเป่ยถิง คนทั้งสามถึงได้รู้ว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อเซียนดินของนครเหนือเมฆแคว้นสุ่ยเซียวที่เป็นแคว้นเพื่อนบ้าน กับเจ้าจวนไช่เฉวี่ยที่งดงามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้นมีปมแค้นเก่าแก่กันอยู่ ตระกูลเซียนใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานานหลายปีแล้ว ข่าวเล็กๆ ที่มองดูเหมือนไม่มีค่าที่สุดนี้ อันที่จริงกลับมีค่ามากที่สุด ถึงขั้นที่ว่ายังมีค่ามากกว่าแผนที่ภูมิศาสตร์ด้วยซ้ำ
หากงูเจ้าถิ่นทั้งสองตัวอย่างนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยร่วมมือกันยึดครอง ถ้ำสถิต ต่อต้านคนนอก ไหนเลยจะมีโอกาสให้ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขา แม้แต่ เศษซากน้ำแกงเย็นๆ ก็ไม่มีทางเหลือ ไปถึงแล้วไม่ถูกฆ่าก็ถือว่าโชคดีอย่างใหญ่หลวงแล้ว
ยังจะพูดถึงสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน สัตว์วิเศษ หรือวิชาลับตระกูลเซียนอะไรได้อีก? มีเพียงสองตระกูลผูกปมแค้นต่อกัน นั่นก็คือโอกาสที่ใหญ่เทียมฟ้า เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลช่วงชิงสมบัติอาคม ตีกันจนมันสมองของทั้งสองฝ่ายแตกกระจาย ก็มี ให้เห็นไม่น้อย ถึงขั้นที่ว่าการเข่นฆ่าส่วนใหญ่ไร้ความยำเกรงยิ่งกว่าพวกผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก ไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย ภูเขาสายน้ำพังภินท์ ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของพื้นที่หนึ่ง นี่ยังไม่นับเป็นอะไร เพราะถึงอย่างไรก็มีสำนักคอย หนุนหลังให้ และจวนที่ว่าการของราชสำนักในท้องถิ่นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่ ฝืนใจคอยตามล้างตามเช็ดให้กับเหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้นเท่านั้น
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงยิ้มกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหายสามารถวางใจได้เลย หากเจอกับเซียนซือของสองตระกูลนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตย่อมแสดงตัวตนอย่างชัดเจน คิดดูแล้ว ทั้งนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยก็คงต้องเห็นแก่หน้าบางๆ ของข้าผู้เป็นนักพรต อยู่บ้าง”
แต่ต่อมานักพรตเฒ่าก็รีบเอ่ยเตือนว่า “แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตก็คง ไม่สะดวกจะอาศัยความสามารถที่แท้จริงมาช่วงชิงโชควาสนาแล้ว ดังนั้นต่อให้ได้เจอกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสองกลุ่มนั้น หากไม่เป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่เกินไป ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนแน่นอน”
เรื่องวงในบางอย่าง แน่นอนว่านักพรตซุนไม่มีทางเปิดเผยแก่คนผู้นี้ง่ายๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ข้างกายนั้นเชื่อเขาอย่างหมดหัวใจ จึงทอดถอนใจเอ่ยชื่นชมว่า “นักพรตซุนมีประสบการณ์โชกโชน ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนรอบคอบรัดกุม ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากฐานอย่างข้า เจอกับเรื่องในยุทธภพมา จนชินแล้ว เดิมทีนึกว่ายังพอจะมีประสบการณ์ในยุทธภพอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่า เมื่อมาเทียบกับนักพรตซุนแล้วกลับอยู่ไกลเกินกว่าจะทัดเทียมได้ ละอายใจ ละอายใจยิ่งนัก”
นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนจริงใจอะไร แต่ก็ได้พูดประโยคจากใจจริงออกมาอยู่สองสามคำ
แคว้นเป่ยถิงใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสี่ในเวลานี้คือแคว้นเล็กๆ ส่วนผู้ฝึกตนของแคว้นฝูฉวีก็ยิ่งไม่ได้ความ บุปผาบานในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพง คนเดียวที่พอจะเอามาโอ้อวดได้ก็คือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มีโชควาสนาใหญ่ ว่ากันว่านางได้ออกไปจากบ้านเกิดไกลเป็นหมื่นลี้นานแล้ว แล้วก็คอยให้การดูแลตระกูล อยู่ตลอด นอกจากนี้ด้วยการสืบทอดจากสำนักและตำแหน่งที่โดดเด่นของนาง ในทุกวันนี้ ต่อให้ได้ยินว่าที่นี่มีโชควาสนา ก็คงไม่ยินดีจะมาร่วมวงความครึกครื้น ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งก็สามารถทำลายตราผนึกภูเขาชั้นแรกของจวน ตระกูลเซียนนั่นได้แล้ว สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในย่อมไม่มีทางดีมากนัก
ถ้ำสถิตหรือไม่ก็สมบัติอาคมที่ปรากฏตัวบนโลกซึ่งมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดินส่วนใหญ่
พวกคนอย่างตี๋หยวนเฟิงนี้ ต่อให้ได้ข่าว แต่หากไม่มีสถานะของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริงก็ไม่มีทางพาตัวไปตายอย่างแน่นอน เพราะนิสัยของลูกศิษย์ สำนักใหญ่ล้วนไม่ค่อยจะดีนัก
ในอดีตอุตรกุรุทวีปเคยมี ‘รวมเล่มระมัดระวัง’ ที่ผู้ฝึกตนอิสระแทบทุกคนต้องได้ครอบครองแพร่สะพัดไปอย่างกว้างขวาง ได้รับความนิยมไปทั้งทวีป
เพียงแต่ว่าภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี ตำราเล่มนี้ก็ถูกทำลายทิ้งและกลายเป็นตำราต้องห้าม ตอนนั้นสำนักฉงหลินที่อาศัยตำราเล่มนี้หาเงินมาได้จำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นผู้นำในการเก็บกักตุนตำราเล่มนี้ ได้ออกคำสั่งไม่ให้ร้านค้าทั้งหมดที่อยู่บนท่าเรือตระกูลเซียนแต่ละแห่งขายหนังสือเล่มนี้
มีคนเดาเอาว่าคงจะมีเซียนกระบี่ใหญ่หลายท่านร่วมกันเสนอความเห็น สำนักฉงหลินที่ถูกขนานนามว่า ‘สองมือไม่จับเงิน ไหล่เหล็กแบกคุณธรรม’ จึงเป็นผู้นำในการ เลิกขาย หลังจากนั้นมาตำราเล่มนี้ก็ไม่ถูกจัดพิมพ์ขึ้นอีก
ตี๋หยวนเฟิงคิดถึงหนังสือเล่มนี้มาโดยตลอด
เขาแค่เคยได้ยินว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยผู้ฝึกตนต่างถิ่นแซ่เจียง ไม่เพียงแต่ภาษาในการเขียนไพเราะสละสลวย อีกทั้งแต่ละคำล้วนมีค่าดุจทองคำดุจหยก
ยกตัวอย่างเช่นตี๋หยวนเฟิงเคยได้ยินนักพรตซุนพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่าในหนังสือเตือนผู้ฝึกตนอิสระว่าหากออกเดินทางไกลแล้วกล้าไปแย่งชิงอาหารจากปากเสือ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องระวังพวกลูกศิษย์สำนักใหญ่ที่มีเทพธิดาอยู่ข้างกาย ยิ่งอายุน้อย ก็ยิ่งต้องระวังให้ดี เพราะหากเจอเข้าจริงๆ แล้วเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ฝ่ายชายจะต้องลงมืออย่างไม่ออมกำลัง มีสมบัติอาคมเท่าไรก็ต้องเรียกออกมาหมด สังหาร ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งก็จะใช้พละกำลังในการสังหารเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง ไม่เสียดายปราณวิญญาณน้อยนิดที่เผาผลาญไปแม้แต่น้อย ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นศัตรูกับเขาก็ย่อมตายอย่างสิ้นซากงดงามดุจมีบุปผาผลิบานแน่นอน
ขณะเดียวกันในตำรา ‘รวมเล่มระมัดระวัง’ เล่มนั้นก็มีวิธีการรับมือบอกไว้เหมือนกัน บอกว่าหากรู้สึกว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอนก็ห้ามทำคอแข็งปล่อยถ้อยคำอาฆาตเด็ดขาด ควรจะรีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไม่ได้ขอร้องบุรุษคนนั้น แต่ขอร้องเทพธิดาข้างกายบุรุษให้มีเมตตา ต้องโขกหัวให้ดัง เสียงที่เรียก พระโพธิสัตว์หญิงผู้นั้นก็ต้องก้องกังวาน บางทีอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง
ต่อให้ตี๋หยวนเฟิงเพียงแค่เคยได้ยินถ้อยคำไม่ปะติดปะต่อเกี่ยวกับ ‘รวมเล่มระมัดระวัง’ เล่มนั้นมา แต่ก็ยังรู้สึกว่าผู้อาวุโสเจียงผู้นี้ช่างมองใจคนออกอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง
เดินอยู่บนทางเส้นเล็กระหว่างภูเขาร่วมกับคนทั้งสาม
เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้า แล้วก็พลันรู้สึกเยาะหยันตัวเอง
เมื่อเทียบกับการค้นหาโชควาสนาด้วยตัวเองเพียงลำพัง ดูเหมือนว่าตนจะชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่นมากกว่า ต่อให้จะอยู่ร่วมกับพวกคนที่จิตใจยากจะคาดเดา แต่ก็ยังรู้สึกเคยชินเป็นธรรมชาติ
ทว่าสำหรับฟ้าดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เขากลับรู้สึกเคารพยำเกรงและหวาดกลัวมาโดยตลอด ครั้งแรกที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่เหมือนเดิม
ไม่อย่างนั้นด้วยตบะและฝีมือของเขาในตอนนี้ จำเป็นต้องรวมกลุ่มกับคนอื่นเพื่อไปเยี่ยมเยียนภูเขาถึงจะรู้สึกสบายใจด้วยหรือ
แบบนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ทว่าก็ได้แต่ต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
อันที่จริงเกี่ยวกับข้อนี้ เมื่อหลายปีก่อนลู่ไถเคยมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วก็เคยพูดเปิดโปงออกมา เป็นคำเตือนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อเฉินผิงอัน
รู้ว่าหลักการเหตุผลบางอย่างนั้นดีมาก แต่กลับยากจะที่ปฏิบัติตามได้ในทันที ท่ามกลางคนบนโลกที่มากมาย ไยจะไม่มีเฉินผิงอันเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้นอกจากเฉินผิงอันจะเดินเลียบลำน้ำสายใหญ่แทนเฉินหลิงจวินล่วงหน้าก่อนหนึ่งรอบแล้ว แน่นอนว่าการฝึกตนของเขาก็ไม่ได้ถูกถ่วงเวลาไว้เช่นกัน อันที่จริงการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองก็คือภารกิจเร่งด่วนของตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
นอกจากนี้แล้ว เขาก็คิดจะเก็บสะสมเงินให้มากๆ เพื่อซื้อกระบี่บินจำลองของภูเขาชังกระบี่มาสักเล่มสองเล่ม
ตอนอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูก เฉินผิงอันได้เรียนรู้หลายอย่างมาจากบนร่างของ หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียน
บัณฑิตที่เป็นร่างจำแลงของเมล็ดงาความคิดชั่วร้ายของหยางหนิงซิ่งนั้น เคยแสดงกระบี่บินจำลองของภูเขาชังกระบี่เล่มหนึ่งให้ดู พลังอำนาจของมันเปี่ยมล้น ชวนให้คนอกสั่นขวัญผวา
ตอนนั้นขนาดเฉินผิงอันที่คุ้นเคยกับกระบี่บินเป็นอย่างดีก็ยังถูกอีกฝ่ายหลอกต้มเสียได้
ถ้าอย่างนั้นขอแค่หล่อหลอมชูอีสืออู่ได้สำเร็จ แม้ว่าจะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสามารถหลอมกระบี่บินให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนได้อย่างกู้โม่สายไท่เสีย นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะมีสมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตีเพิ่มขึ้นมาอีกสองชิ้น
หากมีกระบี่บินจำลองของภูเขาชังกระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกสองเล่ม ยามที่เปิดฉาก เข่นฆ่าสังหารกันขึ้นมา ศัตรูก็จะต้องรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม แล้วก็ยากจะป้องกันได้มากกว่าเดิม
เล่มแรกเรียกกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยเป็นชูอี เล่มที่สามเรียกกระบี่บินจำลองออกมาอีก สุดท้ายถึงปล่อยสืออู่
คิดดูแล้วเส้นทางในหัวใจของศัตรูที่ประมือกับเขาย่อมต้องแปรปรวนไม่อยู่นิ่งอย่างแน่นอน
ยุทธภพอันตราย บนภูเขาลมแรง เวทอำพรางตาประเภทนี้ แน่นอนว่ายิ่งมีมาก ก็ยิ่งเป็นประโยชน์
……
ทางสายเล็กไส้แกะบนภูเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนเวลานี้คดเคี้ยวอย่างยิ่ง
อันที่จริงยังเหลือระยะทางภูเขาอีกร้อยกว่าลี้กว่าจะไปถึงถ้ำสถิตแห่งนั้น
และเวลานี้เอง หวงซือก็เป็นฝ่ายชะลอฝีเท้าลงก่อน ตี๋หยวนเฟิงหยุดเดินตามไปด้วย เอามือกดไว้ที่ด้ามดาบ
จากนั้นนักพรตซุนก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเหมือนกัน เขาเพ่งสายตามองไปถึงเห็นว่าห่างออกไปไกลมีศาลาผุพังอยู่หลังหนึ่ง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยพุ่มหญ้ารกชักฎ สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด และมีร่องรอยของคนที่มาตัดต้นไม้บางส่วนออกไป
เฉินผิงอันย่อมต้องเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในศาลาแห่งนั้น
กล้ามาก่อกองไฟอยู่ท่ามกลางม่านราตรีอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มีแต่จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล อีกทั้งภูมิหลังยังไม่ใช่เล็กๆ
ทางฝั่งของศาลามีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินออกมา เฉินผิงอันจำอีกฝ่ายได้ในทันที
เกาหลิงแม่ทัพบู๊ของแคว้นฝูฉวี
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไปตกปลาร่วมกับเถียนไห่เจินเหริน เกาหลิงที่บนร่าง สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างถือทวนพุ่งลงจากเรือด้วยท่าทางดุดัน แต่ถูกเฉินผิงอัน ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งผลักกลับขึ้นไปบนเรือหอเรือน
นอกจากเกาหลิงที่ไม่ได้สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชั่วคราวแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง พลังอำนาจนับว่าพอใช้ได้
น่าจะเป็นขอบเขตร่างทองคนหนึ่งกระมัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นปรมาจารย์ในท้องถิ่นของแคว้นเป่ยถิง หรือเป็นผู้ฝึกยุทธของแคว้นฝูฉวีกันแน่ แต่โอกาสที่จะเป็นฝ่ายหลังค่อนข้างมีน้อย แคว้นฝูฉวีขนาดไม่ใหญ่ ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว เขาได้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีประจำท้องถิ่นมาแล้ว ซึ่งแคว้นฝูฉวีค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับบุ๋นกดข่มบู๊ น่าจะเป็นเพราะโชคชะตาบู๊ มีจำกัด
ส่วนสตรีบนหัวเรือที่ตอนนั้นสามารถได้รับการปกป้องจากเกาหลิง ย่อมเป็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ภายหลังตอนที่อยู่ในร้านยาของท่าเรือดอกท้อ แคว้นไช่เฉวี่ย เฉินผิงอันได้พูดคุยกับสตรีผู้เป็นเถ้าแก่ของร้าน จึงรู้ว่าแคว้นฝูฉวี มีสตรีจากตระกูลเศรษฐีคนหนึ่ง มีนามว่าป๋ายปี้ นับตั้งแต่เด็กก็ถูกสำนักแห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีปรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เฉินผิงอันลองคาดเดาอายุตอนที่นางออกจากบ้านเกิด ทั้งหน้าตาและขอบเขตต่างก็ใกล้เคียงกับสตรีผู้นั้น ถ้าอย่างนั้นสตรีที่ตอนนั้นนั่งเรือหอเรือนย้อนกลับบ้านเกิด ก็น่าจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบของสำนักมังกรน้ำ ป๋ายปี้
จากนั้นเฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่งที่ค่อนข้างทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วน “นักพรตซุน พวกเราเดินผ่านศาลาไปตรงๆ เลยไหม?”
นักพรตซุนสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่รีบร้อนเอ่ยตอบ ท่วงท่าดุจเทพเซียน
ตี๋หยวนเฟิงกลับเริ่มจะปวดหัวแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ตี๋หยวนเฟิงขมวดคิ้วน้อยๆ ทว่าหวงซือที่สะพายห่อสัมภาระผู้นั้นกลับมีสีหน้าเป็นปกติ
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ดูท่าเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งเรือนเทพสายฟ้าท่านนี้ กับ ‘ฉินจวี้หยวนจากแคว้นเจียโย่ว’ ผู้นี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่า ในบรรดาคนทั้งสามที่เป็นพันธมิตรกัน ใครกันแน่ที่ถึงจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริง
การหายใจและฝีเท้าหนักเบาเวลาปกติของหวงซือผู้นี้ ต่างก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าคนหนึ่งเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ เฉินผิงอันค่อนข้างจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ตลอดทางที่เดินกันมานี้เขาแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือ…คนบนเส้นทางเดียวกัน…ที่จงใจระงับขอบเขตเอาไว้
น่าเสียดายที่การเข้าใจหลักการเหตุผลมีแบ่งก่อนหลัง เมื่อเทียบกับเฉินผิงอัน ที่อายุไม่มาก แต่ท่องอยู่ในยุทธภพมาอย่างยาวไกล ท่ามกลางการเดินเท้าที่ยาวไกลครั้งนี้ หวงซือผู้นี้ยังคงเผยพิรุธบางอย่างออกมาให้เห็น
ขอบเขตร่างทอง
บางทีอาจจะไม่ใช่ขอบเขตเจ็ดกระดาษเปียกด้วย
การที่ต้องทำตัวเข้ากับคนได้ง่ายก็ช่างลำบากปรมาจารย์ท่านนี้จริงๆ
ส่วนตัวเองนั้น เฉินผิงอันรู้สึกว่าในฐานะที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ไม่ว่าจะเข้ากับคนได้ง่ายแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป
เกาหลิงกับปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลา แล้วยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ถอยกลับเข้าไปในศาลาที่แสงไฟส่ายไหว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพูดอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี “นักพรตซุน ข้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายรับมือได้ไม่ง่าย แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ไม่สู้พวกเราเดินอ้อมไปดีกว่าไหม?”
นักพรตซุนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเราที่เป็นผู้ฝึกตน ไม่ควรทำอะไรโดยใช้อารมณ์”
ดังนั้นคนทั้งสี่จึงเตรียมจะเดินออกไปจากทางไส้แกะเส้นเล็กสายนี้
คิดไม่ถึงว่าทางฝั่งนั้นจะมีคนหนุ่มสวมชุดแพรท่าทางเจ้าสำราญคนหนึ่ง เดินออกมา ตรงเอวห้อยขลุ่ยหยกมันแพะที่ใสแวววาวเลาหนึ่ง เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่กลับยังถือพัดพับไว้ในมือ เขาเอาพัดที่หุบเข้าหากันเคาะฝ่ามือเบาๆ ยิ้มมองไปยังคนสี่คนที่อยู่บนถนน “พบเจอกันนับเป็นวาสนา เหตุใดต้องรีบร้อนจากไป ไม่สู้มา คุยกันในศาลาดีไหม?”
มองคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่พกขลุ่ยหยกไว้ตรงเอว เฉินผิงอันก็อดจะนึกถึงเหอลู่ที่เคยพบเจอในทะเลสาบชางอวิ๋นซึ่งเป็นทั้งลูกศิษย์และบุตรชายที่ถูกเย่หาน เจ้านครหวงเยว่ปิดบังผู้อื่นเอาไว้ไม่ได้ เหอลู่เคยถูกขนานนามให้เป็นคู่กุมารทอง กุมารีหยกบนอาณาเขตหลายสิบแคว้นร่วมกับเยี่ยนชิงจากดินแดนเซียนเป่าต้ง
ตี๋หยวนเฟิงกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นท่านโหวน้อย ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นแล้ว”
จานชิงบุตรโทนของสงอี้โหวแห่งแคว้นเป่ยถิงคือบุรุษที่มีชื่อเสียงด้านความเสเพลมากรัก ชื่อเสียงของเขาในราชสำนักมีทั้งดีและแย่ปะปนกัน
หากไปเกี้ยวพาคุณหนูตระกูลใหญ่ของแคว้นเป่ยถิงก็จะถูกคนในวงการวรรณกรรมของแคว้นด่าสาดเสียเทเสีย ถูกประณามผ่านทั้งทางปากและทางพู่กัน แต่หากไปเกี้ยวพาสตรีชนชั้นสูงของแคว้นสุ่ยเซียวหรือแคว้นฝูฉวี คนทั้งยุทธภพของแคว้นเป่ยถิงกลับจะปรบมือโห่ร้องชอบใจ
ส่วนตัวของท่านโหวน้อยผู้นี้ กลับดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีข่าวลือว่าเขาเคยได้ ฝึกยุทธหรือฝึกบำเพ็ญตนมาก่อน
เวลานี้ไม่ว่านักพรตซุนกับตี๋หยวนเฟิงจะมองประเมินอย่างไรก็ยังมองรากฐานของอีกฝ่ายไม่ออก เห็นเพียงว่าฝีเท้าล่องลอย จงชี่เวลาเปล่งเสียงพูดไม่มีพลังมากพอ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นคนเสเพลที่มีความสุขอยู่ท่ามกลางการถูกหมู่มวลสาวงามแล่เนื้อเถือหนัง
เฉินผิงอันเองก็มองตื้นลึกของท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเป่ยถิงผู้นี้ไม่ออกเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างระมัดระวัง
ท่านโหวน้อยผู้นั้นทำหน้าม่อย เอ่ยว่า “ทำไม เทพเซียนบนภูเขาทั้งสี่ท่านอาศัยตบะและสถานะของตัวเองก็เลยไม่ให้หน้ากันงั้นหรือ? หรือจะต้องให้ข้าคุกเข่าโขกหัวขอร้องพวกเจ้าถึงจะยอมให้เกียรติกัน?”
เฉินผิงอันรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีที่พึ่งที่ใหญ่มากพอ ถ้าเช่นนั้นการที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ต้องเป็นเพราะบรรพบุรุษ สั่งสมบุญมามากอย่างแน่นอน
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่านครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยของแคว้นสุ่ยเซียวถือเป็นพรรคบนภูเขาที่มีคุณธรรมจริงๆ
ไม่อย่างนั้นหากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของทั้งสองพรรคนี้ทำตัวกำเริบ เสิบสานมาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ไหนเลยจะมีโอกาสให้ลูกหลานชนชั้นสูง ที่อยู่ใกล้ภูเขาได้เสวยสุขอวดอ้างบารมี? ป่านนี้คงถูกไล่ซ้อมกันไปทีละคนจนได้ แต่ต้องหนีบหางเจียมตัวไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่ถึงขั้นวางอำนาจบาตรใหญ่ ต่อหน้าผู้ฝึกตนที่ไม่รู้จักซึ่งพบเจอกันบนทางแคบเช่นนี้ นี่ถือว่าเขียนคำว่า ‘อยากตาย’ ไว้บนหน้าผากตัวเองแล้ว
หลังจากที่นักพรตซุนสื่อสารในใจกับตี๋หยวนเฟิงแล้วก็คิดว่าจะยังเดินอ้อมหลบไป
หากถึงขนาดนี้แล้วยังถูกอีกฝ่ายไล่ฆ่า ก็หนีไม่พ้นต้องปลดปล่อยฝีมือเข่นฆ่าสังหารกันอย่างเต็มที่ครั้งหนึ่ง คิดว่าผู้ฝึกตนอิสระเป็นชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่กินเจท่องพระคัมภีร์จริงๆ งั้นหรือ?
และเวลานี้เอง ก็มีผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยเรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลาที่เก่าโทรมเพราะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ด้านหลังยังมีผู้เฒ่าหลังค่อมที่แทบจะไม่มีลมหายใจปล่อยออกมาให้ได้ยินเดินตามมาด้วย
สตรีชำเลืองตามองคนทั้งสี่ที่ไม่รู้ว่าจะรุกหรือจะถอยดี แล้วยิ้มเอ่ยกับท่านโหวน้อยว่า “ช่างเถิด ก็แค่ผู้ฝึกตนอิสระที่มาเสี่ยงโชคกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ให้พวกเขาผ่านทาง ไปเถอะ”
จานชิงพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับเข้าไปในศาลาพร้อมกับสตรี เกาหลิงและ องค์รักษ์ของจวนโหวผู้นั้นต่างก็พากันเปิดทางให้
คนทั้งสี่คนถึงได้ออกเดินทางกันต่อ ตอนที่เดินผ่านศาลา นักพรตซุนรู้สึกเพียงว่าสันหลังเสียววาบ
สายตาของทุกคนต่างก็จ้องเป๋งไปข้างหน้า ไม่คิดจะเหลือบไปมองทัศนียภาพในศาลาแม้แต่แวบเดียว
ตี๋หยวนเฟิงรู้สึกหนักใจเล็กน้อย การเดินทางมาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ตัวแปรเช่นนี้ไม่ถือว่าเล็กเลย
รอจนคนทั้งสี่เดินจากไปไกล จานชิงที่อยู่ในศาลาก็เปลี่ยนสีหน้าราวกับเป็นคนใหม่ ในมือของเขาถือกิ่งไม้แห้งเขี่ยกองไฟ พูดอย่างเฉยเมยว่า “ผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้ ล้วนไม่ใช่ปัญหา ที่จะเป็นปัญหายังคงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆนั่น ครั้งนี้ต่อให้เสิ่นเจิ้นเจ๋อจะไม่ได้มาปกป้องมรรคาให้พวกเขา ด้วยตัวเอง แต่ก็น่าจะเชิญตัวผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนนั้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยของอู่ชวินอาจารย์ผู้คุมกฎของจวนไช่เฉวี่ยผู้นั้นที่แต่ไหนแต่ไรมาก็เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ พูดไปพูดมา อันที่จริงก็ยังต้องมีเรื่องที่เกิดตามมาอีก นั่นคือ ต้องระวังว่าจะเกิดความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านสองคนนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวโชควาสนาของ ถ้ำสถิตเลย”
สตรีคลี่ยิ้มหวาน “เรื่องที่เกิดขึ้นตามมา? แค่ข้าช่วยไปเยือนจวนไช่เฉวี่ยและ นครเหนือเมฆแทนเจ้าสักรอบหนึ่งก็หมดเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”
จานชิงเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างระอาใจ “พี่หญิงป๋าย ไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายดายเพียงนี้ ล่างภูเขาของพวกเราปรารถนาในชีวิตที่สงบสุขมั่นคงอย่างยาวนาน ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องคอยป้องกันโจรหนึ่งพันวัน”
จากนั้นจานชิงก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แต่รอให้วันใดพี่หญิงป๋ายเลื่อนขั้นเป็นเซียนดิน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยามหลับฝันข้าก็คงไร้ความกังวลได้แล้ว”
ที่แท้ตอนที่ท่านโหวน้อยผู้นี้เป็นเด็ก และครั้งหนึ่งที่ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ ผู้ฝึกตนหญิงที่แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นฝูฉวีก็ยังปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาทหวนคืน กลับบ้านเกิด เขาก็ได้รู้จักกับนางแล้ว
หลังจากนั้นมาทั้งสองฝ่ายก็คอยส่งจดหมายหากันมาโดยตลอด
เกี่ยวกับโชควาสนาถ้ำสถิตครั้งนี้ ก็เหมือนอย่างที่พวกตี๋หยวนเฟิงคาดเดาไว้ ต่อให้จะอยู่ในแคว้นฝูฉวี แต่ป๋ายปี้ก็ไม่ได้เกิดความสนใจสักเท่าไร เพียงแต่ว่ามาพบกับจานชิงพอดี ถึงได้มาเยี่ยมเยือนขุนเขาในครั้งนี้ แล้วก็ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นี้อย่างลับๆ ด้วย จานชิงก็คือผู้ฝึกตน อีกทั้งการถ่ายทอดที่ได้รับมาจากอาจารย์ก็ไม่ธรรมดา ทว่าอาจารย์ของเขาคือ ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดที่นิสัยดุร้ายไร้เหตุผลคนหนึ่ง ในอดีตการที่จานชิงได้เป็น ลูกศิษย์ของคนผู้นี้ อันที่จริงต้องผ่านหายนะมาไม่น้อย ปีนั้นเขาถูกทรมานจนร่อแร่ใกล้ตาย กว่าจะอดทนผ่านมาได้ ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น หวานขม ล้วนมีจานชิงที่รับรู้อยู่เพียงคนเดียว ไม่อาจบอกใครได้เลย
และป๋ายปี้ก็คือคนที่รู้เรื่องนี้พอดี นางถึงได้ติดต่อกับบุตรชายของท่านโหวแห่งแคว้นเล็กในโลกมนุษย์ผู้นี้มาอย่างยาวนาน
ไม่อย่างนั้นด้วยความชื่นชอบน้อยนิดที่มีต่อเด็กน้อยซึ่งหน้าตาราวหยกแกะสลักในปีนั้น ป่านนี้ก็คงกลายเป็นดั่งควันและเมฆหมอกที่จางหายไปท่ามกลางชีวิตของการฝึกตนไปนานแล้ว
ภายหลังอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างจานชิงกับป๋ายปี้ ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดคนนั้น ถึงได้มาเป็นผู้ถวายงานที่มีชื่ออยู่ในสำนักมังกรน้ำ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา
ป๋ายปี้นั้นถือว่าได้สร้างคุณความชอบให้กับทางศาลบรรพจารย์ จึงได้รับรางวัลเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง
แต่ครั้งนี้เมื่อได้มาพบกับจานชิงอีกครั้ง ป๋ายปี้กลับเกิดความชื่นชอบอีกแบบหนึ่งที่ต่างออกไป
คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยน่ารักที่เคยอุ้มไว้ในอ้อมกอดปีนั้นจะเติบโตมาหล่อเหลาปานนี้ ภายใต้การตอแยอย่างหน้าไม่อายของจานชิง นางจึงตอบรับอีกฝ่าย ตกลงทำสัญญากันเป็นการส่วนตัวว่า หากมีวันใดวันหนึ่ง พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างได้เลื่อนขั้นเป็น เซียนดินโอสถทองแล้ว ป๋ายปี้ก็จะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรเทพเซียนกับเขา อย่างเป็นทางการ ตอนนี้จานชิงยังเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่อันที่จริงก็ถือว่า เป็นหยกงามในการฝึกตนลำดับหนึ่งแล้ว
ส่วนสตรีมนุษย์ธรรมดาที่ถูกจานชิงเลี้ยงดูไว้อย่างลับๆ พวกนั้น ในสายตาป๋ายปี้จะนับเป็นอะไรได้? สิบปีผ่านไป ความงามก็ร่วงโรย ผ่านไปอีกสามสิบปี เส้นผม ก็ขาวโพลน
แล้วนับประสาอะไรกับที่จานชิงผู้นี้มีจิตแห่งเต๋าที่มั่นคง อันที่จริงความรู้สึกที่เขามีต่อสาวงามในโลกมนุษย์ก็เป็นแค่ใจรักสนุกของเด็กหนุ่มเท่านั้น ไม่ต่างอะไรจากการเก็บสะสมภาพวาดตัวอักษรที่ล้ำค่าของพวกจิตรกรแม้แต่น้อย
แต่วันหน้าเมื่อจานชิงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร มีหวังว่าจะได้กลายเป็น คู่บำเพ็ญเพียรกัน แล้วจานชิงยังไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ ยังคงแตะต้องธุลีในโลกโลกีย์ เสเพลมากรักไปทั่ว ก็ต้องระวังว่าไม่อาจผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียร แล้วยังต้อง ผูกปมแค้นต่อกันอีก
โชคดีที่จานชิงไม่ใช่คนโง่ประเภทนั้น
ป๋ายปี้อดไม่ไหวบอกความจริงเรื่องหนึ่งแก่เขาไปว่า
อันที่จริงตอนนี้นางได้เลื่อนเป็นโอสถทอง ถือเป็นผู้ฝึกตนบรรลุมรรคาบนภูเขาอย่างแท้จริงแล้ว
ดังนั้นต่อให้ไม่อาศัยสถานะลูกศิษย์ของสำนักมังกรน้ำ นครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยที่ไม่มีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์ก็ล้วนมีเหตุผลที่จะกริ่งเกรงนางสองสามส่วน
ป๋ายปี้หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ นางเทของ สิ่งหนึ่งออกมาจากขวด จากนั้นก็แบมือ ปลาน้อยสีเขียวมรกตเหมือนทำมาจาก หยกแกะสลักตัวนั้นกำลังว่ายจากฝ่ามือมาถึงบนนิ้วของนาง มันเงยหน้าขึ้นน้อยๆ หันหน้าเข้าหาจานชิง
จานชิงเป็นคนที่มีลางสังหรณ์เฉียบไว เขาพลันรู้สึกขนลุกชัน
ป๋ายปี้ใช้นิ้วมือดีดหัวของปลาน้อยเบาๆ ฝ่ายหลังถึงได้หมอบลงอย่างว่าง่าย ป๋ายปี้จึงยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือปลาวัวคำรามที่มีเฉพาะในบ่อลึกของสำนักมังกรน้ำพวกเรา ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง เสียงของมันดุจเสียงฟ้าผ่า หากถูกเจ้าตัวน้อยนี่คำรามใส่หน้า อานุภาพก็ไม่เป็นรองการถูกเซียนดินโจมตีหนึ่งทีเลย ข้าเพิ่งได้รับเป็นของรางวัล มาจากทางสำนัก เดี๋ยวตอนที่เจ้าและข้าต้องแยกจากกัน ข้าค่อยมอบมันให้เจ้า”
จานชิงหน้าไม่เปลี่ยนสี เขาหันหน้าไปจ้องมองสตรีหน้าตางดงามที่อยู่ภายใต้แสงไฟสาดสะท้อนนิ่งๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “หวังว่าชาตินี้ภพนี้ ปลาวัวคำรามจะอยู่ในมือของพี่หญิงป๋ายตลอดไป”
ความนัยในถ้อยคำของท่านโหวน้อยผู้นี้ ก็คือหวังให้พวกเขามีเพียงพานพบ มิมีจากลา
ป๋ายปี้หน้าแดงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดอย่างกระเง้ากระงอด “คนเจ้าเล่ห์! ฝึกตนไม่ได้เรื่อง แต่ความสามารถในการพูดคำหวานกลับเป็นอันดับหนึ่ง!”
สีหน้าของจานชิงไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
……
กลุ่มของนักพรตซุน นอกจากหวงซือที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยยิ้มแย้มแล้ว อีกสามคนที่เหลือต่างก็สัมผัสได้ถึงความอกสั่นขวัญผวาของอีกสองคนนอกเหนือจากตนเอง
เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายเปิดปากทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ ผู้อาวุโสซุนรู้สึกกระอักกระอ่วน
เขาถามคำถามที่เป็นปกติของคนทั่วไป “นักพรตซุน กระพรวนเงินชิ้นนี้ ใช่กระพรวนสดับปีศาจหรือไม่?”
นักพรตร่างผอมสูงพยักหน้ารับ “เก็บตกของดีมาได้ ระดับขั้นธรรมดา แต่หาก มีปีศาจขอบเขตถ้ำสถิตขยับเข้ามาใกล้ กระพรวนนี้ก็จะส่งเสียงดัง”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “นี่มีมูลค่าหลายเหรียญเงินเทพเซียนเชียวนะ หากไม่มีเงินถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินเทพเซียนก็ไม่มีทางซื้อมาได้แน่นอน!”
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ก็คงประมาณนั้นกระมัง”
ตี๋หยวนเฟิงที่ถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสาน เวลานี้ยังคงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีเท่าไรนัก
เพราะท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้น มีหน้าตารูปร่างในแบบที่ทำให้เขาละอายใจที่สู้ไม่ได้ อีกอย่างการขึ้นเขาค้นหาสมบัติครั้งนี้ทำให้ตัวเขารู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับมีอารมณ์พาสตรีมาด้วย คิดว่า มาเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำหรืออย่างไร?! ประเด็นสำคัญคือสตรีสาวผู้นั้นหน้าตางดงามอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล! หลักการเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก จะมีสตรีผู้ฝึกตนอิสระสักกี่คนที่ข้างกายสามารถ ทำให้ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งมาทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ด้วยความเต็มใจได้บ้าง?
ส่วนหวงซือนั้น ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่เดินอยู่ด้านหลังสุดของขบวน
หลังจากที่คนทั้งสี่เดินผ่านศาลามา ฝีเท้าก็ยิ่งแผ่วเบาถี่กระชั้นราวกับบิน
เส้นทางไส้แกะสายเล็กที่เคี้ยวคดอันตรายไกลร้อยกว่าลี้ นายพรานหรือคนตัดฝืนที่ชินกับเส้นทางบนภูเขามาเดินก็ยังไม่ง่าย ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ฝีเท้าของคนทั้งสี่ กลับไม่ต่างอะไรจากพื้นดินราบเรียบ
นี่ก็คือข้อดีของการฝึกตน
ถนนบนโลกมนุษย์ที่ต่อให้จะคดเคี้ยวเดินได้ยากลำบากแค่ไหน แต่ผู้ฝึกตนก็ยังคงไปมาได้อย่างไร้ปัญหา
บนโลกมีคลื่นมรสุมที่อันตรายอยู่มากมาย แต่ดูเหมือนว่าพวกผู้ฝึกตนยื่นมือออกไปง่ายๆ ก็สามารถกดให้มันสงบราบเรียบได้แล้ว
ส่วนความกังวลและปัญหามากมายบนเส้นทางของการฝึกตน ก็คงจะถือได้ว่า ยืนพูดแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกว่าปวดเอวอีก
ระยะทางภูเขาหลายร้อยกว่าลี้หลังจากนั้นก็ไม่เจอกับใครอีก
นักพรตซุนที่พอจะรู้วิชาภูมิศาสตร์คร่าวๆ จึงสามารถวิเคราะห์ลักษณะภูเขาได้ง่าย เขาพาคนทั้งสามมาถึงหน้าผาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีถ้ำหินลึกมืดมน ไม่มีป้ายหินแล้วก็ไม่มีตัวอักษรแกะสลัก บนผนังทั้งสองข้างเต็มไปด้วยต้นตีนตุ๊กแก พืชพรรณชนิดนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางบรรดาพันธ์ไม้ของโลกมนุษย์ ถือว่าสามารถทำให้ภูเขาสายน้ำ มั่นคงได้ นักพรตเฒ่าร่างผอมสูงปลดใบสีเขียวที่วาววับราวกับจะสามารถเค้นน้ำ ใบหนึ่งออกมา ใช้ปลายนิ้วบดขยี้เบาๆ แล้วเอามาดม จากนั้นก็ผงกศีรษะ แต่ไม่ได้ เอ่ยอะไร ต่อมาผู้เฒ่าก็เริ่มสาวเท้าออกเดิน บางครั้งก็กระทืบเท้า สุดท้ายจึงทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำ ชั่งน้ำหนักมันไว้ในมือ จากนั้นก็หันหน้ามายิ้มถามว่า “สหาย ในเมื่อเจ้าสามารถวาดยันต์ขยุ้มดิน คิดดูแล้วก็คงจะคุ้นเคยกับลักษณะของดินในโลกมนุษย์เป็นอย่างดี มีความเห็นอะไรบ้างไหม? บางทีนี่อาจจะเป็นการช่วย พวกเราในการเข้าไปยังถ้ำสถิตแห่งนั้นก็ได้”
เฉินผิงอันทำสีหน้าลำบากใจ
ตี๋หยวนเฟิงหรี่ตาลง
หวงซือเองก็หันมามองผู้เฒ่าชุดดำที่ท่าทางขลาดกลัวผู้นี้
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็เดินออกไปหลายก้าว ฝีเท้าเดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนักคล้ายกำลังวิเคราะห์ดินของที่แห่งนี้อยู่ เขาเดินพลางพูดไปด้วยว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องแสดงฝีมือน่าอายแล้ว ข้ากลัวจริงๆ ว่าเมื่อมาอยู่กับนักพรตซุนแล้วจะทำตัวชวนขบขัน แต่ในเมื่อนักพรตซุนสั่งความมาแล้ว ข้าก็คงต้องขอโอ้อวดความรู้ เล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”
เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมาหนึ่งหยิบมือแล้วโยนออกไปเบาๆ จากนั้นก็กำฝ่ามือ กุมหมัดเอาฝ่ามือและนิ้วเสียดสีกันอยู่ครู่หนึ่ง พอปล่อยมือออกแล้วก็เปลี่ยนตำแหน่งไปตามจุดต่างๆ แล้วทำเหมือนเดิมซ้ำอีก สุดท้ายเอ่ยว่า “เป็นดินที่ถูกปราณวิญญาณซึ่งเอ่อออกมาจากถ้ำสถิตอาบย้อมจริงๆ อย่างน้อยก็ได้รับความชุ่มชื้นมานานถึงสามร้อยปี เนื่องจากไอน้ำหนักอึ้ง เหนือกว่าดินปกติทั่วไป หากพื้นดินที่ใช้สร้างบ้านของโลกคนเป็น หรือหลุมศพที่เหมือนบ้านของโลกคนตายเพิ่มดินประเภทนี้เข้าไป ก็สามารถช่วยรวบรวมลมและน้ำมาไว้ได้”
หลังจากพูดจบ
คนทั้งสามก็มองเห็นว่าผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นเอ่ยขออภัยหนึ่งคำ บอกว่ารอสักเดี๋ยว จากนั้นก็ปลดห่อสัมภาระที่สะพายเอียงๆ ไว้บนไหล่ลงมาอย่างรวดเร็ว หมุนตัวกลับหันหลังให้ทุกคน หยิบไหกระเบื้องเล็กใบหนึ่งออกมาอย่างคุ้นเคย แล้วเริ่มขุดดิน เติมใส่เข้าไปในไห เพียงแต่ว่าดินที่เลือกมาในแต่ละจุดล้วนมีจำนวนไม่มาก ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถบรรจุดินได้เต็มไห
ภาพนี้ทำเอานักพรตเฒ่าร่างผอมสูงเกือบจะทนไม่ไหว อยากจะร่ำรวยไปพร้อมกับอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าพอคิดถึงว่าตอนนี้ตนคือเซียนซือของเรือนเทพสายฟ้า นักพรตซุนถึงได้ไม่ขุดดินตามอีกฝ่ายไปด้วย
เฉินผิงอันสะพายห่อสัมภาระไว้บนไหล่ใหม่อีกครั้ง ปัดมือตัวเองแล้วยิ้มกว้าง จนหุบปากไม่ลง “ได้เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นที่ขบขันแล้วๆ”
เวลานี้ในที่สุดตี๋หยวนเฟิงก็แน่ใจแล้ว หากตาเฒ่านี่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจริงๆ เขาจะยอมกินไม้เท้าเดินป่าที่ซ่อนกระบี่อ่อนไว้ด้านในชิ้นนั้นกลืนลงท้อง กินไปพร้อมกันทั้งกระบี่ทั้งไม้ไผ่เลย!
จากนั้นทั้งสามคนก็เห็นว่าไอ้หมอนี่ยืนเฉย
นักพรตซุนจึงได้แต่เอ่ยเตือน “สหาย คิดจะเข้าไปในถ้ำสถิตแห่งนี้ ควรจะหยิบยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นหนึ่งออกมาหรือไม่?”
แม้จะบอกว่าตราผนึกชั้นแรกของจวนแห่งนี้เป็นเพียงแค่ม่านกีดขวางแห่งสายน้ำขุนเขาที่พบเห็นได้ทั่วไป คล้ายคลึงกับผีบังตา แล้วก็ได้ถูกพวกผีตัวตายตัวแทน กลุ่มแรกที่มาถึงก่อน แต่กลับไม่มีชะตาที่ดีพอจะได้ครอบครองของดีไปก่อนฝ่าทำลายไปแล้ว แต่กลไกต่อจากนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นด่านสำคัญ ต้องระวังไว้ก่อนจึงเป็นการดี แน่นอนว่ายังต้องใช้ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางในการเปิดเส้นทาง นอกจากนี้ยันต์ ทำลายสิ่งกีดขวางก็ไม่ต้องจ่ายเงินของทั้งสามด้วย
เฉินผิงอันทำสีหน้ากระจ่างแจ้งอย่างที่ไม่มีความจริงใจอะไร แล้วจึงหยิบยันต์ ข้ามสะพานที่เขียนบนกระดาษเหลืองธรรมดาและใช้ก้อนทองบดเป็นผงหมึกออกมาหนึ่งแผ่น
เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็หันหน้าไปมองถนนที่ห่างไปไกล เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ท่านโหวน้อยผู้นั้นอาจจะอยู่ห่างจากพวกเราไปไม่ไกล”
ตี๋หยวนเฟิงยิ้มกล่าว “หากถึงขนาดนี้แล้วยังไม่กล้าแย่งชิงมาก่อน หรือว่าเมื่อได้สมบัติมาแล้ว หลังจบเรื่องพอเจอกับท่านโหวน้อย พวกเราจะต้องประคองสมบัติ ส่งให้เขาด้วยสองมือ?”
เฉินผิงอันถึงได้สะบัดแผ่นยันต์เบาๆ เปลวไฟเผาไหม้แผ่นยันต์ดังพรึ่บ ส่องให้เส้นทางของถ้ำสถิตสว่างไสว
จากนั้นก็ไม่ได้เดินนำเข้าไปในถ้ำก่อน แต่คีบยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางที่เผาไหม้อย่างช้าๆ นั้นส่งไปให้ตี๋หยวนเฟิง พูดด้วยรอยยิ้มประจบว่า “คุณชายฉินเป็นคนนำทางดีกว่า? ตาแก่กระดูกกระเดี้ยวไม่ดีอย่างข้าไม่อาจทนรับความเจ็บปวดได้ แม้แต่น้อย หากไม่ทันระวังไปเจอกลไกอันตราย แล้วบาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็น และกระดูก อันที่จริงก็ยังไม่เท่าไร แต่หากทำให้การใหญ่ต้องเสียหาย คงไม่ดีเป็นแน่”
ตี๋หยวนเฟิงมองไปยังหวงซือที่กำลังมองประเมินผนังหินด้านบนสุดของถ้ำ
ฝ่ายหลังไม่ได้มีความลังเลอะไร เขารับยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางแผ่นนั้นมา แล้วเดินนำไปยังจุดลึกของถ้ำก่อนใคร
เบื้องหน้าคนทั้งสี่คือเส้นทางคดเคี้ยวที่ยาวหลายลี้ ยังคงมองไปไม่เห็นปลายทาง
ลมเย็นพัดมาเป็นระลอก แต่กลับสัมผัสได้ไม่ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายแม้แต่น้อย
นี่ทำให้นักพรตซุนพอจะสบายใจขึ้นได้บ้าง
เจ้าของคนเก่าของถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้ ต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ที่มีคุณธรรมมากอย่างแน่นอน แม้จะบอกว่าเมื่อปิดผนึกถ้ำแล้วยังมีกลไกที่อาจ ปลิดชีพคนแฝงอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งกีดขวางผีบังตาชั้นแรก เดิมทีก็ถือ เป็นการเตือนด้วยความหวังดีอย่างหนึ่ง อีกทั้งหากอิงตามคำบอกของผู้ฝึกตนอิสระ ที่หนีรอดมาได้คนนั้น สิ่งกีดขวางนี้ไม่ทำร้ายคน สองครั้งที่เขาไปล้วนเดินวนไปวนมา พอหมดเวลาก็จะเดินออกมาจากถ้ำอย่างมึนๆ งงๆ ได้เอง ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนไปเป็นถ้ำสถิตไร้เจ้าของ ส่วนใหญ่ตราผนึกชั้นแรกก็มักจะอันตรายอย่างถึงที่สุดเสมอ ยังจะมีทางเหลือให้คนถอยหนีอีกได้อย่างไร ผู้ฝึกตนบนภูเขาบุกเข้าไปในจวนของผู้อื่น มีใครบ้างที่ไม่สมควรตาย?
เนื่องจากคนทั้งสี่เดินกันช้ามากและระมัดระวังมาก จึงต้องเดินกันไปอีกครึ่งชั่วยามเต็มๆ กว่าจะมาถึงโพรงถ้ำที่เยือกเย็นแห่งหนึ่ง
นักพรตซุนต้องพูดปากเปียกปากแฉะอีกรอบกว่าจะทำให้ผู้เฒ่าชุดดำคนนั้น หยิบยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางออกมาอีกหนึ่งแผ่นเพื่อส่องสว่างเส้นทาง ขณะเดียวกัน ก็เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่อาจซุ่มโจมตีอยู่
ระหว่างนี้นักพรตซุนที่เห็นแก่ยันต์แผ่นนั้น และก็เพราะรักชีวิตของตัวเองยิ่งกว่า จึงยอมพูดถึงข้อต้องห้ามของการเดินทางมาในครั้งนี้กับสหายแซ่เฉินผู้นั้น อย่างละเอียด
นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มก่อนหน้านี้ใช้สองชีวิตของสหายแลกมา
แน่นอนว่านักพรตซุนยิ่งไม่หวังให้ไอ้หมอนี่บุ่มบ่ามไปเตะโดนกลไก แล้วเดือดร้อนให้พวกเขาสามคนต้องตายไปด้วย
บนผนังหินเขียวรอบด้านล้วนเป็นภาพวาดฝาผนังที่สีสันสดใสเหมือนใหม่ เป็นภาพของทวยเทพแห่งสวรรค์สี่ท่าน เรือนกายสูงสามจั้ง หน้าตาดุดันแผ่พลังอำนาจน่าเกรงขาม กำลังหลุบตาลงต่ำมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสี่คน
องค์เทพทั้งสี่มีชีวิตชีวาเหมือนตัวจริง แบ่งออกเป็นถือกระบี่วิเศษที่ชักออกจากฝัก อุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก ในมือมีงูรัดพัน และในมือกางร่มวิเศษ
ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนคือยันต์ค่ายกลปากว้า และยังแกะสลักภาพสัญลักษณ์โบราณรูปมังกรสองตัวแย่งชิงไข่มุกกัน เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่เดิมทีควรมีไข่มุกอยู่ เวลานี้ กลับเว้าเป็นหลุม ว่างเปล่าไร้วัตถุใด น่าจะถูกคนที่เคยเข้ามาก่อนหน้านี้ดึงออกไปแล้ว
นักพรตซุนแค่มององค์เทพไม่กี่ครั้งก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
แต่ก็ยังแข็งใจหยิบเข็มทิศจิ๋วอันหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
แม้ว่าเข็มทิศจะเล็ก แต่กลับมีความซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างในข้างนอกรวมกัน มีมากถึงสามสิบหกชั้น หากคนธรรมดาถือเข็มทิศนี้ไว้ในมือ ต่อให้จะเบิกตากว้าง แค่ไหน คาดว่าก็คงนับไม่ถูกว่ามันมีทั้งหมดกี่ชั้น
นักพรตร่างผอมสูงถือเข็มทิศบนภูเขาที่ขายหม้อทุบเหล็กซื้อมาชิ้นนั้นไว้ในมือ แล้วเริ่มเดินอ้อมค่ายกลปากว้า ‘เดินเล่น’ อยู่ใต้ฝ่าเท้าขององค์เทพแห่งสวรรค์ ทั้งสี่ท่าน
ตี๋หยวนเฟิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “นักพรตซุน ทางที่ดีที่สุดควรจะเร็วสักหน่อย หากท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นก็ตามเข้ามาในนี้ด้วย พวกเราย่อมต้องเป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูตี ตามคำบอกของผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีคนนั้น บนพื้นไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่ไม่ไปแตะโดนองค์เทพทั้งสี่ จะทำอย่างไรก็ได้ไม่มีปัญหา ข้าไม่กล้าพูดจาเหลวไหลหรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็คงเอาชีวิตรอดออกไปจากแคว้นเป่ยถิงไม่ได้”
นักพรตซุนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาจากหนังศีรษะ พูดเสียงหนักว่า “จะประมาทไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน”
หวงซือมองไปยังปลายกระบี่ที่ถืออยู่ในมือของเทพถือกระบี่ซึ่งเป็นภาพวาดฝาผนัง หลังจากนั้นก็ย้ายเส้นสายตามองไปยังผีผาคันนั้น
ส่วนตี๋หยวนเจ๋อนั้นทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น สังเกตดูเจียวหลงสองตัวที่เป็น หินแกะสลักซึ่งสูญเสียไข่มุกวิเศษไปแล้วอย่างละเอียด
หวงซือพลันย้ายเส้นสายตาไปมองยังมุมหนึ่งที่อยู่เบื้องล่างของทิศทางที่ ปลายกระบี่องค์เทพชี้ไป เขาเดินไปยังปลายเท้าขององค์เทพองค์นั้น เพ่งสายตามองไปก็เห็นเป็นตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็ยังพบเห็นได้ยากมาก ทว่ามันถูกลบเลือนไปมากแล้ว ตัวอักษรจึงขาดๆ หายๆ หลงเหลือเพียงเนื้อหาบางส่วนที่ไม่มีความสำคัญ ดูจากร่องรอยของมัน เดิมทีควรเป็นบทความยาวสองสามร้อยตัวอักษร ทว่าไม่เพียงแต่ถูกตัดหัวท้ายออกไป เนื้อความท่อนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ยังถูกลบไปหมดสิ้น มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนมาเยือน แล้วจงใจทิ้งตัวอักษรไร้ประโยชน์พวกนี้เอาไว้เพื่อทำให้คนที่เข้ามาในภูเขาภายหลังโมโหเล่น
บนผนังหินข้างเท้าขององค์เทพ ตอนนี้เหลือเพียงประโยคที่ว่า ‘…นิสัยชอบท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเซียน ถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสาน ท่องไปทั่วทุกขุนเขา คือภูเขาลูกนี้ที่เงียบสงบที่สุด เพียงแต่ว่าตราผนึกของที่นี่ค่อนข้างมาก ไม่ตรวจสอบไม่ได้ หากภายภาคหน้าคนรุ่นเดียวกันที่มีโชควาสนามาเยือนที่นี่ ก็ควร…’
รวมไปถึงประโยคสุดท้ายที่ยังคงขาดช่วง ‘ด้านนอกฟ้าครามสดใส…บ่อมังกรโบราณท่ามกลางสายฝน…’ เห็นได้ชัดว่าเป็นบทกลอนผายลมสุนัขของปัญญา ชนบทหนึ่ง
หวงซือรู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ
ต้องเป็นคนที่มาถึงก่อนแน่ๆ ที่จงใจลบเลือนเบาะแสที่ล้ำค่าที่สุดนี้ไป
แต่หวงซือก็ชำเลืองตามองตี๋หยวนเฟิงเหมือนจงใจแต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา อีกฝ่ายแต่งกายสมกับคำว่าถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสานพอดี
หรือว่าไอ้หมอนี่ถึงจะเป็นคนที่จะได้โชควาสนาของที่แห่งนี้ไปอย่างแท้จริง?
เฉินผิงอันมานั่งยองอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมม ตี๋หยวนเฟิงก็เดินตามมาด้วย
ตี๋หยวนเฟิงที่พอเห็นประโยคนั้นแล้วก็สับสนมึนงงไปเหมือนกัน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เฉินผิงอันเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากที่สุด
หากจะต้องเปิดตราผนึกชั้นที่สองของถ้ำสถิตกันจริงๆ นั่นต้องเป็นช่วงเวลาที่ เส้นเอ็นหัวใจขึงตึงอีกครั้ง แล้วจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปทำไม
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ถอนหายใจ เตือนตัวเองเงียบๆ ว่าไม่ควรมีความคิดเช่นนี้
หวงซือพลันเอ่ยว่า “ใช้ยันต์ดำดินแล้วจะไปแตะต้องกลไกจริงๆ หรือ?”
ตี๋หยวนเฟิงตอบ “แน่ใจแล้วว่าไม่ผิด! ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มก่อนหน้านี้ก็เคยทดลองทำ เพราะฉะนั้นถึงได้มีคนตายไปอีกคน เว้นเสียจากยันต์เปิดภูเขาในตำนานที่สามารถ ทำให้รากฐานภูเขาไม่สั่นคลอนที่พอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่คาดว่าคงต้องเผาผลาญยันต์ไปหลายแผ่นถึงจะได้ ยันต์ประเภทนี้ล้ำค่าขนาดนั้น ต่อให้ซื้อมาได้จริงๆ คาดว่าก็คงทำให้พวกเราได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี”
เฉินผิงอันไม่รู้จักยันต์เปิดภูเขาอะไรนั่นหรอก แต่เขาลองเปลี่ยนความคิดไปมองมุมใหม่ ถึงได้เริ่มตั้งใจมองตัวอักษรเหล่านั้นอย่างจริงจัง แล้วก็ขมวดคิ้ว แบฝ่ามือ ลูบไปตามตัวอักษรและร่องรอยแถบใหญ่นั้นเบาๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วคนที่เขียนตัวอักษรพวกนี้และคนที่ลบพวกมันทิ้งไปก็คือคนคนเดียวกัน อีกทั้งเบาะแสในการเปิดภูเขา ก็ซ่อนอยู่ในตัวอักษรเหล่านี้ตลอดมา?”
หวงซือพ่นเสียงออกจมูกอย่างดูแคลนโดยไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย
หันหน้ากลับไปมอง ผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนนั้นยังคงเดินวนสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันที่ไร้หัวอยู่เหมือนเดิม
หวงซือคิดว่าหากไม่ได้จริงๆ ตนก็คงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว
ส่วนข้อที่ว่าอีกสามคนจะตายภายใต้กลไกนี้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ชะตาชีวิตของ พวกเขาแล้ว
กลับเป็นตี๋หยวนเฟิงที่พอได้ยินคำพูดของเฉินผิงอันแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเริ่มจ้องตัวอักษรที่เหลืออยู่นิ่งๆ แล้วเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง
ตี๋หยวนเฟิงลุกขึ้นยืน เอนตัวไปด้านหลัง มองเทวรูปองค์หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับช้าๆ มององค์เทพสามองค์ที่มีหน้าตาดุดันจนครบหนึ่งรอบ
ต่อมาตี๋หยวนเฟิงก็เดินมาตรงกลางห้องโถงของถ้ำ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา งอเข่าลงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือลงด้านล่าง
สุดท้ายตี๋หยวนเฟิงมานั่งยองอยู่ตรงมุมหนึ่ง ฝ่ามือข้างที่แบออกนั้นใช้หลังมือแนบติดกับกรงเล็บของเจียวหลงตัวหนึ่ง
ตี๋หยวนเฟิงพูดกับนักพรตร่างสูงผอมว่า “ลองคำนวณค่ายยันต์ที่แน่ชัดของที่แห่งนี้ดูสิ นักพรตซุน เรื่องแค่นี้เจ้าน่าจะทำได้กระมัง!”
มือข้างหนึ่งของนักพรตซุนถือเข็มทิศ มืออีกข้างหนึ่งปาดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นก็หดมือกลับมาในชายแขนเสื้อ ทำมุทราอย่างว่องไว สองตาจ้องนิ่งไปยังตำแหน่งของมือข้างนั้น ปากก็พึมพำว่า “ตำแหน่งประตูตาย ไม่สมเหตุสมผลเลย”
ตี๋หยวนเฟิงค้างอยู่ในท่าหลังมือแนบพื้นอยู่ตลอดเวลา เขาพูดเตือนด้วยสีหน้า มืดทะมึน “นักพรตเต๋าอย่างพวกเจ้ากลัวตายด้วยหรือ?! นักพรตซุน เหตุใดแค่นี้ ก็ยังมองไม่ออก?”
นักพรตซุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยอย่างปิติยินดีว่า “พื้นที่มหามงคล!”
ตี๋หยวนเฟิงถึงได้บิดหมุนฝ่ามือแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ เอามันเคาะพื้น ยังคง ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ
ตี๋หยวนเฟิงขมวดคิ้ว
หวงซือเดินเข้ามาหา แล้วหมอบลงกับพื้น เอาหูแนบพื้นดิน จากนั้นก็เงยหน้าเอ่ยว่า “มีเสียงสะท้อน เหมือนเสียงหยดน้ำ แต่กลับฟังดูไม่ปกติ สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวแตะต้องกลไกที่แท้จริง”
ตี๋หยวนเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วจึงปล่อยหมัดต่อยลงไปหนักๆ
เพียงแค่ชั่วพริบตา
ภาพปรากฎการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
ค่ายกลปากว้าบนพื้นเริ่มบิดหมุน ไม่มีความเป็นระเบียบใดๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นรวดเร็วจนคนไม่กล้ากะพริบตาให้คลาดสายตา เฉินผิงอันและนักพรตร่างผอมสูงได้แต่กระโดดไปมาไม่หยุด ทุกครั้งที่พลิ้วกายลงพื้น ตำแหน่งก็ยังคลาดเคลื่อนอยู่มาก สภาพกระเซอะกระเซิงกันไม่น้อย แต่ก็ดีกว่ายืนได้ไม่มั่นคงแล้วต้องนอนหมอบอยู่กับพื้นหมุนติ้วไปตามภาพปากว้า พื้นที่กระเด้งกระดอนขึ้นลงไม่หยุดนิ่งนั้น ไม่ได้ดีไปกว่าคมมีดสักเท่าไรเลย
ทว่าเท้าสองข้างของตี๋หยวนเฟิงและหวงซือกลับปักหลักยืนนิ่ง ไม่ได้ขยับเคลื่อนไปมากเท่าไรนัก บางครั้งเกิดอุปสรรคขัดขวางใต้ฝ่าเท้า พวกเขาถึงจะดีดปลายเท้าเบาๆ จากนั้นก็พลิ้วกายลงจุดเดิม เมื่อเทียบกับอีกสองคนก็ถือว่าสง่างามมากแล้ว
เจียวหลงสีเขียวสองตัวที่เดิมเป็นวัตถุไร้ชีวิตก็ยิ่งสูญเสียตราผนึกพันธนาการ คิดจะเลื้อยลงแม่น้ำ ลงมหาสมุทร
ส่วนประตูใหญ่ตรงโพรงถ้ำก็ได้มีหินสีเขียวก้อนยักษ์ร่วงตูมลงมา ต่อให้เป็น หวงซือก็ยังขัดขวางไม่ทัน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเผ่นหนีไปเลย
ตี๋หยวนเฟิงกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายเส้นสายตาจ้องนิ่งไปยังหลุมเว้า ที่เดิมทีเป็นจุดวางไข่มุกซึ่งตอนนี้เป็นจุดเดียวที่ไม่ขยับเขยื้อน
ตี๋หยวนเฟิงตะโกนเสียงดังไปทางหวงซือ “เอาเหล้ามากาหนึ่ง!”
หวงซือโยนเหล้ากาหนึ่งมาให้ ตี๋หยวนเฟิงเปิดผนึกดินออกแล้วเทลงตรงจุดเว้าลึกนั่น
ภาพปากว้าบนพื้นดินหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ตี๋หยวนเฟิงมั่นใจได้แล้ว จึงหันหน้ามาตะโกนเสียงดังอีกรอบ “คนแซ่เฉิน รีบหยิบยันต์น้ำแผ่นหนึ่งออกมา ไม่ต้องร่ายเวทมนตร์ลูกเล่นอะไรทั้งนั้น แค่จำแลงน้ำออกมาก็พอ!”
เฉินผิงอันคีบยันต์น้ำออกมาแล้วโยนไปให้อีกฝ่าย ยันต์แผ่นนั้นก็จำแลงเป็น เสาน้ำที่แฝงปราณวิญญาณธาตุน้ำ ตี๋หยวนเฟิงยื่นมือออกมา วักน้ำหนึ่งกอบไว้ในมือแล้วปล่อยลงบนจุดเว้าเบาๆ
เพียงแค่ชั่วพริบตา
ในถ้ำก็มีแสงสว่างเจิดจ้าพร่างพราว หวงซือเป็นคนสุดท้ายที่หลับตาลง ผู้เฒ่าชุดดำ คือคนแรกที่หลับตา หวงซือถึงได้วางใจในตัวคนผู้นี้เสียที
ร่างของคนทั้งสี่โยกคลอน
แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก
นักพรตซุนเซล้มลงกับพื้น เวียนหัวตาลาย แล้วก็เริ่มอาเจียนไม่หยุด
ส่วนนักพรตเฉินที่น่าเวทนาคนนั้นสภาพหนักกว่าเขาเสียอีก เขานั่งอยู่บนพื้นอาเจียนแห้งๆ อยู่นานแล้ว
ตี๋หยวนเฟิงยืดเอวตั้งตรง กวาดตามองไปรอบด้าน รอยยิ้มบนใบหน้าแผ่กระเพื่อมออกมาอย่างอดไม่ไหว แล้วก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ช่างสมกับคำว่า ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่จริงๆ !”
ถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้มีปราณวิญญาณเหนือว่าราชวงศ์ในโลกมนุษย์ของแคว้นเป่ยถิงเสียอีก ทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่งโล่งสบาย
ในการมองเห็น ห่างไปไม่ไกลมียอดเขาเขียวสูงตระหง่านลูกหนึ่งและมีสายน้ำสีเขียวมรกตโอบล้อมอยู่รอบตีนเขา ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้มีไอน้ำอบอวล แต่กลับไม่ทำให้ลมหายใจของคนติดขัดแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าแค่สูดลมหายใจเข้าง่ายๆ หนึ่งที ก็ทำให้จิตใจคนโล่งโปร่งได้แล้ว
ส่วนบนภูเขาสูงลูกนั้นก็มีหอเรือนและศาลาที่สลับสล้างลดหลั่นกันไปตามตัวภูเขา ทอดยาวต่อเนื่องเป็นสาย จุดที่ห่างไปไกลที่สุดยังมีอารามเต๋าเก่าแก่ที่บนหลังคาปูด้วยกระเบื้องแก้วสีเขียว บริเวณโดยรอบขุนเขาเขียวมีกลุ่มกระเรียนเซียนบินล้อมวน
ดินแดนเซียนในโลกมนุษย์ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
หวงซือเองก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงช้าๆ แต่เขาเชื่อว่าเจ้าตี๋หยวนเฟิงผู้นี้คงเดาออกแล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่พื้นฐานย่ำแย่อะไร
ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังเป็นอะไรอีกเล่า?
เจ้าตี๋หยวนเฟิงผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่มีดาบผุๆ เล่มหนึ่งกับเป็นวิชาคาถาน้อยนิดแค่นั้น ยังจะกล้ามางัดข้อกับข้าหรือ?
หากไม่เป็นเพราะต่อจากนี้อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ตอนนี้ข้าหวงซือคิดจะสังหารพวกเจ้าสามคนก็ไม่ต่างจากบิดคอลูกเจี๊ยบสามตัว
ตี๋หยวนเฟิงเอ่ย “นักพรตซุน สหายเฉิน พี่ใหญ่หวง ครั้งนี้พวกเราร่วมรบเคียงบ่า เรียกได้ว่าเมื่อมีความจริงใจแม้แต่ทองก็ยังแตกออก! นี่แสดงให้เห็นว่าสมควรเป็น พวกเราสี่คนที่ได้ครอบครองโชควาสนาของที่แห่งนี้ด้วยกัน!”
นักพรตซุนสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ลูบหนวดยิ้ม กลับคืนมามีมาดของเซียนอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง
เพียงแค่ว่าในปากยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่น่าสะอิดสะเอียน ผู้เฒ่าจึงไม่ค่อยอยากจะเปิดปากพูดสักเท่าไร
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านแล้วก็ให้สะท้อนใจ
หากเปลี่ยนมาเป็นตนที่อยู่ในถ้ำแห่งนั้นเพียงลำพัง บางทีอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น เขาอาจจะพบเบาะแสเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจุดที่ตี๋หยวนเฟิงวางมืออยู่ในตำแหน่งประตูตายของค่ายกลปากว้า บางทีนั่นอาจทำให้เขาใจเต้นระส่ำหวาดหวั่น แต่นักพรตซุนผู้นี้กลับสามารถอาศัยเข็มทิศมาคำนวณว่าจุดนั่นเป็นจุดมหามงคล ที่เป็นตายสับเปลี่ยนกัน นี่ถึงทำให้คุณชายฉินผู้นี้ออกหมัดอย่างไม่ลังเล
ส่วนเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ยันต์น้ำ เฉินผิงอันไม่ได้จงใจปิดบัง ไม่ต้องให้ตี๋หยวนเฟิงเอ่ยเตือน เขาก็คีบยันต์ออกมารอไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายต้องเห็นอยู่ในสายตาแน่นอน ต่อให้ตอนนั้นจะไม่ได้สนใจ ทว่าตอนนี้ ก็คงจะเริ่มย้อนนึกถึงแล้ว
เฉินผิงอันก็แค่อยากจะเตือนคุณชายฉินจากแคว้นเจียโย่วผู้นี้ว่า ต่อให้ตบะของข้าจะแย่แค่ไหน แต่หัวสมองก็ยังไวอยู่ ดังนั้นหากคิดว่าเข้ามาในถ้ำสถิตตระกูลเซียน แล้วจะช่วงชิงผลประโยชน์ไปจากตน จะดีจะชั่วก็ต้องรอเวลากว่านี้หน่อย
ทางฝั่งของโพรงถ้ำแห่งนั้น ชายหญิงอายุน้อยสองคนกับผู้เฒ่าสองคนยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้รูปองค์เทพ ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นยิ้มบางๆ เก็บเอายันต์แผ่นหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับมา สะบัดเบาๆ มันก็กลายเป็นผุยผง
ก่อนหน้านี้ภาพเหตุการณ์และถ้อยคำก่อนที่คนทั้งสี่จะทำลายค่ายกลสำเร็จ ล้วนอยู่ในสายตาและอยู่ในหูของพวกเขา
หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องจำคนทั้งสามได้ในคราวเดียว
ผู้เฒ่าที่มาซื้อยันต์ของตนในนครเหนือเมฆ รวมไปถึงชายหญิงที่เดินสำรวจ ตรวจตราถนนใหญ่ของตลาดคู่นั้น
สตรีผู้นั้นทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ก่อนหน้านี้หวนเจินเหรินบอกให้พวกเราออกจากถ้ำไปก่อน แต่กลับทิ้งยันต์แผ่นนี้เอาไว้ เพราะแน่ใจแล้วว่า ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนี้สามารถนำทางให้พวกเราได้อย่างนั้นหรือ?”
หวนอวิ๋นหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้แสร้งวางตัวเป็นผู้สูงส่ง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ก่อนที่พวกเขาจะขยับเข้ามาใกล้ประตูใหญ่ของถ้ำ ยันต์หลายแผ่นที่อยู่ระหว่างทางก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว ข้าผู้อาวุโสก็แค่ไม่อยากเกิดปัญหาขัดแย้งกับพวกเขา พบเจอกันบนเส้นทางคับแคบ จะถอยหนีก็ถอยไม่ได้ หรือว่าจะต้องเข่นฆ่ากันอย่างเดียว? แล้วนับประสาอะไรที่กลุ่มของท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงนั่น แม้จะบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกมาจากศาลา แต่ดูจากท่าทางแล้วก็เห็นได้ชัดว่าได้มองสถานที่แห่งนี้ เป็นของในกระเป๋าตัวเองไปแล้ว ความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างรุนแรง อีกเดี๋ยวพวกเขาก็คงตามมา ถึงเวลานั้นหากทั้งสามฝ่ายเปิดศึกกันอย่างวุ่นวาย คนตายมีแต่จะยิ่งมากกว่าเดิม อาจารย์ที่เป็นเจ้านครของพวกเจ้าให้พวกเจ้าสองคนลงมาจากภูเขา ไม่ได้ให้พวกเจ้าพาตัวมาตายเสียหน่อย”
หวนอวิ๋นเดินไปยังตำแหน่งกรงเล็บบนพื้นที่กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ดังนั้นถึงได้บอกว่าบนมหามรรคา บางครั้งการยอมถอยหนึ่งก้าวก็คือ การเดินขึ้นเขาไปหลายก้าว”
หวนอวิ๋นพลันยิ้มเอ่ยว่า “โอ้โห ไม่เสียแรงที่มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนติดตามมาด้วย หนึ่งคนหนึ่งหมัดก็ต่อยให้ยันต์ข้างทางสองแผ่นที่มีมูลค่าของข้า ผู้อาวุโสแหลกสลายไปได้ ในกลุ่มนี้ต้องมียอดฝีมืออยู่อย่างแน่นอน ผู้ฝึกยุทธธรรมดาไม่มีทางสัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณที่เคลื่อนไหวน้อยนิดนั่น หรือจะบอกว่าแท้จริงแล้วนังหนูนั่นคือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง?”
สตรีผู้นั้นเห็นว่าเจินเหรินผู้เฒ่าเพียงแค่นั่งยองอยู่ตรงนั้น ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “เหตุใดเจินเหรินผู้เฒ่าถึงไม่รีบสัมผัสค่ายกล?”
ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆเอ่ยเนิบช้าว่า “หากผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มที่ไปถึงก่อนกำลังเฝ้าตอรอกระต่าย ลองคิดตามดู หากพวกเจ้าสองคนบุ่มบ่ามตามเข้าไป หนึ่งหมัดพุ่งมาถึง ตายหรือว่าไม่ตาย? ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ สุดท้ายก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวหันหน้ามามองกัน ต่างก็เกิดความหวาดผวาอยู่ในใจ
ผู้ถวายงานเฒ่าคนนี้ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนถามว่า “หวนเจินเหริน ข้าสามารถต่อย ให้เส้นทางมายังถ้ำพังลงได้หรือไม่?”
หวนอวิ๋นยิ้มบางๆ “หากไม่กลัวว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมา หลังจบเรื่องพวกเรา ก็ไม่มีทางกลับ จากนั้นก็ได้แต่เฝ้าภูเขาเงินภูเขาทองรอความตาย ถ้าอย่างนั้นก็ย่อม ลงมือได้ไม่มีปัญหา”
ผู้ถวายงานเฒ่าหลุดหัวเราะออกมา
ได้แต่ล้มเลิกความคิดเพียงเท่านี้
หางตาของหวนอวิ๋นชำเลืองตามองชายหญิงคู่นั้นแล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ นิสัยของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
สตรีใจร้อนวู่วาม บุรุษหนักแน่นสุขุม
หากเดินเคียงกันแบบนี้ต่อไป จะกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรเทพเซียนได้หรือไม่ ก็ยังบอกได้ยาก
ในถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งนั้น เฉินผิงอันที่ได้ครอบครองจวนวารีแห่งหนึ่งดุจดั่งปลาได้น้ำ
เฉินผิงอันสามารถจินตนาการได้เลยว่า ต่อจากนี้ไปพวกเด็กจิ๋วชุดเขียวในจวนน้ำบ้านของตนคงมีงานให้ทำกันง่วนแล้ว