Skip to content

Sword of Coming 554

บทที่ 554 เจอคนรู้จักที่จุดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร

ความเคลื่อนไหวทางเกาะเป็ดน้ำค่อนข้างรุนแรง ถึงขนาดต้องให้เสิ่นหลิน เทพวารีออกมาควบคุมโชคชะตาให้ไปรวมที่เกาะเป็ดน้ำด้วยตัวเอง

โชคดีที่ผู้ฝึกตนของสองเกาะอย่างเกาะป๋ายเจี่ย เกาะชางหรานต่างก็ได้รับ คำเตือนจากตำหนักวารีหนานซวินมาก่อนล่วงหน้าแล้ว บอกว่าบนเกาะเป็ดน้ำ มียอดฝีมือที่เก็บตัวอย่างสันโดษท่านหนึ่งกำลังจะฝ่าทะลุขอบเขต

เทพหญิงผู้ติดตามคนสนิทสองคนของเหนียงเนียงตำหนักวารี คนหนึ่งคือขุนนางหญิงที่ดูแลเรื่องโคมไฟของตำหนักวารีหนานซวิน อีกคนหนึ่งคือขุนนางที่ตรวจสอบสายน้ำ ซึ่งต่างคนต่างก็แยกกันไปเป็นแขกอยู่บนเกาะป๋ายเจี่ยและเกาะชางหรานสองแห่ง ทั้งเป็นการให้หน้า แล้วก็เป็นการ ‘ควบคุมดูแล’ เกาะทั้งสอง

บนทะเลเมฆ จางซานเฟิงเอ่ยถาม “อาจารย์ นี่ผ่านมาตั้งนานแล้ว ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จแล้ว เหตุใดเฉินผิงอันถึงยังไม่คืนสติสักที”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “ปิดประตูใคร่ครวญเรื่องราว ง่ายดายแค่นี้เอง คนฉลาดดื้อดึงดันมุ่งทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักไม่ค่อยหลุดพ้นออกมาง่ายๆ หากไม่เดินทีละก้าวถอยกลับไปทางเดิม ก็จะต้องฝ่าเปิดเส้นทางออกไป บุกเบิกเส้นทางแบบใหม่ให้กับตัวเอง”

หลี่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกล มือสองข้างเท้าแก้ม เดี๋ยวก็สูดหายใจเข้า เดี๋ยวก็พ่นลมหายใจออก เหมือนปลาพ่นฟอง สุ่ยเจิ้งแห่งลำน้ำจี้ตู๋ผู้ยิ่งใหญ่เบื่อหน่ายได้ถึงขั้นนี้ คาดว่าคงไม่มีคนอื่นเป็นเหมือนเขาอีกแล้ว

ฮว่อหลงเจินเหรินหันหน้ามาถาม “นายท่านใหญ่หลี่ ยังจะมัวเล่นอยู่อีกหรือ? รู้หรือไม่ว่าตัวเองพลาดอะไรไปบ้าง?”

หลี่หยวนตอบ “เรื่องสนุกครั้งนี้ข้าก็ไม่ได้พลาดไปนี่นา ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็เบิกตากว้างมองอยู่ตลอดเลยนะ”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ก็ถือว่าโชคดีที่องค์เทพไม่มีไส้”

หลี่หยวนกลอกตามองบน จะบอกว่าเขาต้องเสียใจจนไส้เขียวงั้นรึ?

ฮว่อหลงเจินเหรินถาม “จะขายยาแก้เสียใจภายหลังขวดหนึ่งให้เจ้าดีไหม? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว จงชั่งน้ำหนักดูให้ดี”

ลูกตาของหลี่หยวนกลอกไปมา ตาแก่นี่คงไม่ถึงขั้นกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาหยอกล้อตนเล่นหรอกกระมัง จึงถามไปว่า “ราคาเท่าไร?”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “โอสถวารีลำน้ำจี้ตู๋ชั้นเยี่ยมหนึ่งขวด ไม่ใช่ประเภท ที่เอาไปหลอกพวกเทพแห่งลำคลองแม่น้ำพวกนั้น”

หลี่หยวนแยกเขี้ยว ส่ายหน้าเอ่ย “ช่างเถิด เจินเหรินผู้เฒ่า ตอนนี้ข้าควักเอาโอสถวารีแห่งชะตาชีวิตขวดหนึ่งออกมาไม่ได้จริงๆ เพราะต่อให้จะไม่สนใจแค่ไหน ทุกๆ สิบปีก็ยังต้องมอบโอสถวารีขวดหนึ่งให้กับสำนักมังกรน้ำ”

สิบปีนี้มอบให้แก่ซุนเจี๋ยหนึ่งเม็ด สิบปีหน้าต้องมอบให้เส้าจิ้งจือหนึ่งเม็ด สำนักเหนือใต้ผลัดกันได้รับ ส่วนเรื่องที่ว่าได้โอสถวารีไปแล้ว จะเอาไปมอบให้ ผู้ถวายงานหรือเค่อชิงที่แต่ละคนเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กันถือเป็นสินน้ำใจ หรือว่าจะเก็บไว้ ใช้เอง ไม่ก็มอบให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์เป็นรางวัล หลี่หยวนล้วน ไม่เคยถามให้มากความ

ที่ฮว่อหลงเจินเหรินพูดถึงไม่ใช่โอสถวารีลำน้ำจี้ตู๋แค่เม็ดสองเม็ด แต่เป็นโอสถวารีที่มีควันธูปเข้มข้น มีชะตาน้ำบริสุทธิ์อย่างที่หาได้ยาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเก้าเม็ด หากเป็นเมื่อสามร้อยห้าร้อยปีก่อน หลี่หยวนยังพอจะเก็บมาพิจารณาได้

ด้วยสภาพร่างทองที่ผุพังในเวลานี้ เขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเสิ่นหลินที่ร่างทอง กำลังจะแหลกสลายสักเท่าไร ตำหนักวารีหนานซวินดึงดันจะปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับเกาะเป็ดน้ำเช่นนี้ เป็นเพราะเสิ่นหลินใจกว้างจริงๆ หรือ? สตรีผู้นี้รู้จักครองบ้านครองเรือน ประหยัดมัธยัสถ์เป็นที่สุด นี่ก็ไม่ใช่เพราะนางคิดว่าตัวเองคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ เห็นฮว่อหลงเจินเหรินเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากหรืออย่างไร? ไหที่แตกก็ทุบให้แหลกเสียเลย คงจะนึกว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะช่วยพูดดีๆ ถึงตำหนักวารีหนานซวินต่อหน้าคนผู้นั้นสักสองสามคำ แล้วก็จะสามารถทำให้นางเสิ่นหลินข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้

หลี่หยวนส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง คำว่ามหามรรคาไร้ปราณี แรกเริ่มสุดนั้นไม่ใช่ คำกล่าวสำหรับบนภูเขา แต่เป็นคำกล่าวสำหรับบนสวรรค์

และ ‘หลี่หลิ่ว’ ผู้นั้น ก็คือหนึ่งในบุคคลจำนวนไม่มากบนสวรรค์

พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เสิ่นหลินทำเช่นนี้เป็นการเผาผลาญเวลาของนางไปอีกหลายสิบปี หรือนางลืมประโยคที่ฮว่อหลงเจินเหรินเคยพูดช่วงแรกเริ่มสุด ไปแล้ว? ตำหนักวารีหนานซวินแค่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ก็พอ

จางซานเฟิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “บังคับกดหัววัวให้ดื่มน้ำ ยาก”

จางซานเฟิงถามเสียงเบา “เฉินผิงอันได้ฝ่าทะลุขอบเขตหรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “ยังคงเป็นขอบเขตสาม แต่มาถึงคอขวดแล้ว สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวของเขา พอจะถือว่าเป็นขอบเขตรั้งคนของจริงได้แล้ว ช่วยไม่ได้ ในอดีตต้องผ่านแบบย่อของสามด่านใหญ่อย่างการ ทำลายจิตมาร ผสานมรรคาและแสวงหาความจริงมาตั้งแต่เนิ่นๆ บวกกับที่ สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น ต้องเดินอย่างโซซัดโซเซ

นี่ต่างหากถึงจะถูกต้อง ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงสงสัยแล้วว่าเจ้าเด็กนี่เป็นบุคคลบนยอดเขาคนใดกลับชาติมาเกิดหรือไม่”

จางซานเฟิงถาม “เป็นเซียนที่ลาจากโลกไปแล้วกลับชาติมาเกิด ไม่ดีหรือ? ข้าได้ยินว่าบรรพจารย์ในจวนเซียนอักษรจงหลายแห่ง ก่อนหน้าที่จะปิดด่าน แห่งความเป็นความตาย ต่างก็ต้องเหลือทางหนีทีไล่เส้นหนึ่งไว้ให้กับตัวเอง เตรียมหาร่างของตัวเองที่จะกลับมาจุติใหม่ไว้ให้กับสำนัก ปูทางปูเส้นสายไว้ให้เรียบร้อยก่อน จะได้กลับมาสืบทอดวาสนาแห่งเต๋าและควันธูปต่อ”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “ไม่ค่อยดี ตัวข้าไม่ใช่ตัวข้า หากจดจำเรื่องในชาติภพก่อนไม่ได้ตลอดชีวิต อันที่จริงยังนับว่าดี แต่หากจำได้แค่บางอย่าง นั่นกลับ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่”

แน่นอนว่ายกเว้นหลี่หลิ่วที่รู้อดีตชาติตัวเอง ซึ่งสำหรับนางแล้ว ก็หนีไม่พ้น แค่ต้องเปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วก็เท่ากับว่านางยังไม่เคยตายมาก่อน

การนอนหลับในตอนกลางคืน เป็นเพียงแค่การนอนเล็ก คนตาย นั่นต่างหากถึงจะเป็นการนอนใหญ่

หากผู้ฝึกตนเอาแต่รักชีวิต พยายามที่จะหลีกเลี่ยงความตาย จึงฉกฉวยโอกาสจากสวรรค์ด้วยการไปจุติเกิดใหม่ เหมือนโจรที่ไปขโมยของตอนกลางคืนอย่าง ลับๆ ล่อๆ ผลกลับกลายเป็นว่าจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน หยิบเอาตรงนั้นตรงนี้มาประกอบเข้าด้วยกัน ถึงท้ายที่สุดคนที่ร่อแร่ปางตายผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?

แต่ฮว่อหลงเจินเหรินก็พอจะเข้าใจในความกลัวตายของพวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเหล่านั้น ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เขาก็ยังคงยอมรับไม่ค่อยได้อยู่ดี

สำนักลัทธิมารบางแห่งที่ชอบใช้วิธีนอกรีต ในศาลบรรพจารย์ของพวกเขายังเอา ผู้ฝึกตนไปจุดเป็นธูปแห่งชีวิตก้านหนึ่งด้วยซ้ำ และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่เพียงแค่จ้องมองธูปนั้นนานหน่อย จิตแห่งเต๋าก็พังทลาย ธาตุไฟ เข้าแทรกอย่างสิ้นเชิง นี่ก็คือการทำให้ตัวเองตกใจตายทั้งเป็น

ฮว่อหลงเจินเหรินมีความคิดอยากปลอบใจลูกศิษย์ตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่าเฉินผิงอันเดินกะเผลก นั่นก็เพราะเขา เดินอย่างอืดอาดบนเส้นทางหัวใจ จึงเดือดร้อนไปถึงการก้าวเดินของจิตดั้งเดิม ตัวเองด้วย อันที่จริงหากหยุดอยู่ที่ขอบเขตต่ำแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ก็ไม่ได้ร้ายแรง อะไรนัก”

จางซานเฟิงกลัดกลุ้มเป็นกังวลใจ “เฉินผิงอันติดหนี้กับคนนอกมากมายขนาดนั้น จะทำอย่างไรดี? เฉินผิงอันเป็นคนที่กลัวการติดค้างน้ำใจและติดเงินคนอื่นที่สุดแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “เรื่องน่ากลัดกลุ้มใหญ่ๆ บางเรื่อง กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันจะไม่กลัว ยกตัวอย่างเช่นว่า เดินอยู่บนทางขึ้นเขา เฉินผิงอันก้มหน้าก้มตาเดิน เดินไม่เร็ว แต่กลับสังเกตเห็นว่าบนเส้นทางห่างออกไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว สามารถก้มไปเก็บเงินได้ ต่อให้จะเป็นแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียว เจ้าคิดว่า เฉินผิงอันจะเดินเร็วกว่าเดิมหรือไม่? ทุกครั้งที่เก็บเงินหนึ่งเหรียญ ภาระที่ต้องแบกรับไว้ก็จะน้อยลงไปหนึ่งส่วน นานวันเข้า แน่นอนว่าจะต้องเดินได้เร็วขึ้น”

จางซานเฟิงพลันกระจ่างแจ้ง อาจารย์ใช้ได้เลยนี่นา เพิ่งจะได้เจอกับเฉินผิงอันสองครั้งก็เข้าใจเฉินผิงอันมากขนาดนี้แล้ว?

ฮว่อหลงเจินเหรินพลันเอ่ยว่า “เมื่อธุระของทางฝั่งนี้เสร็จสิ้น พวกเราก็สามารถกลับไปที่ยอดเขาพาตี้ได้แล้ว”

ในที่สุดหลี่หยวนก็อดไม่ไหวเปิดปากถามว่า “ท่านเฉินผู้นี้คือผู้ฝึกตนขอบเขต ที่เท่าไรกันแน่?”

บทสนทนาระหว่างฮว่อหลงเจินเหรินกับลูกศิษย์ หลี่หยวนไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว

ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งด้านวิชาอัคคีในใต้หล้า วิชาน้ำ ก็น่าจะอยู่ในสิบอันดับแรก ได้อย่างมั่นคง

อย่าลืมล่ะว่า ฮว่อหลงเจินเหรินยังเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์คือสถานที่แบบใด? หมื่นคาถาอาคมในโลกที่ ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลื่อมใสมาโดยตลอด มีวิชาอสนีเป็นหลัก เป็นใจกลางของฟ้าดิน เป็นผู้ควบคุมหมื่นอาคม และวิชาห้าอสนีที่ ‘การสร้างอยู่ในกำมือของข้า’ ของ ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือก็คือต้นตำรับของวิชาอสนีในใต้หล้า วิชาอสนีของฮว่อหลงเจินเหรินจะอ่อนด้อยได้หรือ? เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แต่ละยุคสมัย โดยทั่วไปแล้วนอกจากจะไม่มีตราประทับเทียนซือและกระบี่เซียนแล้ว ก็ล้วนเป็นวิชาอาคมทุกอย่างของภูเขามังกรพยัคฆ์

ดังนั้นฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ถึงได้โดดเด่น มีเอกลักษณ์กว่าใคร เช่นนี้

ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้สนใจหลี่หยวน เขาพาจางซานเฟิงลงจากทะเลเมฆไปยังเรือนบนเกาะเป็ดน้ำ

เฉินผิงอันออกมาจากสถานที่ที่ใช้ปิดด่านแล้ว ราศีจิตวิญญาณทั้งหมดถูกเก็บไว้ภายใน ผิวพรรณเปล่งปลั่งอิ่มเอิบ แต่เป็นเพราะเพิ่งจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จ ยังไม่อาจสร้างความมั่นคงให้กับจวนลมปราณได้อย่างสัมบูรณ์ จึงมี ปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมาไม่หยุด เป็นเหตุให้ร่างทั้งร่างยิ่งดูล่องลอยหลุดพ้นจากโลกโลกีย์ รอจนจวนไม้ตั้งนิ่งได้อย่างมั่นคงแล้ว ราศีแห่งความเป็นเทพเซียนที่พอจะมีกำลังไฟเล็กๆ นี้ก็จะสามารถเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้าพลางเอ่ยชื่นชม “ตอนนั้นที่ข้าผู้เป็นนักพรตเป็น ห้าขอบเขตล่างยังไม่เคยมีมาดเช่นนี้เลย”

เฉินผิงอันกุมหมัดแทนการขอบคุณ

คราวนี้ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้รังเกียจที่เฉินผิงอันมีพิธีรีตอง บนเส้นทางการฝึกตน ช่วยเฝ้าด่านพิทักษ์ค่ายกลให้ผู้อื่น เมื่อคนที่ปิดด่านออกจากด่านได้สำเร็จ ก็ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามมารยาทให้พอเป็นพิธีอยู่บ้าง

ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าว “ในเมื่อทำสำเร็จแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตกับซานเฟิงก็คง ไม่อยู่ต่อแล้ว ที่ยอดเขาพาตี้ยังมีธุระอีกมากมายรอให้ไปจัดการ”

จางซานเฟิงพึมพำ “นอนที่ไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ฮว่อหลงเจินเหรินไม่มีโทสะสำหรับคำแฉของลูกศิษย์แม้แต่น้อย กลับกัน ยังอธิบายกลั้วเสียงหัวเราะว่า “แน่นอนว่างีบหลับอยู่ในรังหญ้าบ้านตัวเองย่อมสบายมากกว่า”

ผู้ฝึกตนยึดครองขุนเขาสายน้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงบนโลก อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เซียน เคลื่อนย้าย ย้ายเข้าไปอยู่ในภูเขา (เป็นคำอธิบายในการสร้างตัวอักษรของจีน คำว่าเซียน ประกอบด้วยอักษรเชียนที่แปลว่าเคลื่อนย้าย กับอักษรซานที่แปลว่าภูเขา) โลกโลกีย์มีเรื่องให้วุ่นวายใจอยู่มากมาย รากบัวถูกตัด ยังเหลือใย ดังนั้นจึงเหมาะให้เข้าไปอยู่ในภูเขา เมื่อกายสงบ จิตใจก็ย่อมสงบ ตามไปด้วย

จางซานเฟิงพยักหน้ารับ “เริ่มคิดถึงพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานทั้งหลายแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ย “อาจจะยังมีอีกเรื่องที่ต้องรบกวนเจินเหรินผู้เฒ่า”

จางซานเฟิงกลับพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ไม่รบกวนๆ”

ฮว่อหลงเจินเหรินเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

จางซานเฟิงกลัวอาจารย์จะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเห็นคนนอกดีกว่า จึงรีบพูดเบาๆ ขึ้นมาว่า “อาจารย์ เฉินผิงอันทำอะไรรู้หนักรู้เบาเสมอ บอกว่ารบกวน อันที่จริง ก็คงจะไม่ได้รบกวนสักเท่าไร นี่เท่ากับว่าพวกเราได้น้ำใจคนมาเปล่าๆ ครั้งหนึ่ง เขาเดินทางมาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ ก่อนจะกลับแจกันสมบัติทวีปต้องไปเป็นแขกที่บ้านพวกเราแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าก็จะพาเขาไปเดินเที่ยวที่ดีๆ ของสำนัก ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเถาซาน และยังมีบริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาไท่เสีย ขนาดข้า ยังไม่ค่อยเคยไปเลย แบบนี้ไม่เข้าท่าสักเท่าไร”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ ยิ้มมองเฉินผิงอัน “ว่ามาเถอะ”

เฉินผิงอันจึงบอกว่ากระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบสองแผ่นนั้น เขาจะเก็บไว้เองสองแผ่น ส่วนที่เหลือหวังว่าจะรบกวนให้เจินเหรินผู้เฒ่านำไปขายให้กับ นครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาจะรับมาแค่หกร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น

จางซานเฟิงปากอ้าตาค้าง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเฉินผิงอัน ใช้สายตาปรามเอาไว้

ฮว่อหลงเจินเหรินคล้ายจะกำลังชั่งน้ำหนัก เพียงแค่หัวเราะเฮอๆ ไม่ได้พูดอะไร

เฉินผิงอันจึงเงียบรอฟังประโยคถัดไปของเขา

น้ำไกลไม่อาจดับกระหายใกล้

ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วต้องการเงินเทพเซียนอย่างยิ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ช่องโพรงที่ต้องเติมเต็ม อีกทั้งยังไม่ใช่เล็กๆ

เรื่องที่จะเลื่อนพื้นที่มงคลรากบัวให้เป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ยังคงเป็น เรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง หากไม่นับรวมรายรับจากการจัดงานเลี้ยงเทพขุนเขาสายน้ำ ท่องทิวาราตรีครั้งที่สามของเว่ยป้อ

แล้วตนสามารถขายแผ่นกระเบื้องแก้วพวกนั้นออกไปได้ ก็จะได้เงินหกร้อยเหรียญฝนธัญพืชมาทันที ไม่เพียงแต่สามารถชดเชยช่องโหว่ทั้งหมดได้ ยังจะมี เงินเหลืออีกสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช เขาจะมอบเงินฝนธัญพืชครึ่งหนึ่งที่เหลือเกินมาไปให้จูเหลี่ยน เพื่อให้เป็นเงินเก็บของภูเขาลั่วพั่ว หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าพอมีเรื่องที่ต้องใช้เงินแล้วจะต้องฝืดเคืองทุกครั้ง น้ำใจคนบางอย่าง ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็ติดค้างครั้งใหญ่ไปเลย แต่จำนวนครั้งก็ต้องให้น้อย เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าการเปลี่ยนคนให้ไปติดค้างน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ชดใช้อย่างไรก็ชดใช้ไม่หมด นี่ไม่ได้เรียกว่าการคบค้าสมาคมอะไรแล้ว แต่เป็นการ ทำให้สหายรู้สึกว่าตัวเองพบเจอคนที่ไม่ดี น้ำใจคนในใต้หล้านี้ แต่ไหนแต่ไรมา ล้วนเป็นหลักการที่ว่ามียืมมีคืน ยืมใหม่ย่อมไม่ยากเสมอ

แล้วนับประสาอะไรกับที่เอาแต่ทำให้เว่ยป้อเดือดร้อนอยู่อย่างนี้ ทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือของทวีปผู้ยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ในอาณาเขตของบ้านตัวเองกลับต้องขุดดินลึกสามฉื่อควานหาสมบัติ มันสมควรแล้วหรือ? ขนาดกระต่ายยังไม่กินหญ้าข้างรังตัวเอง นึกถึงข้าเฉินผิงอัน จะดีจะชั่วก็เป็นร้านผ้าห่อบุญ ต่อให้แบกฝ้าเพดานวิ่งเตร็ดเตร่ ไปไกลแค่ไหน แต่จะเหมือนกันได้หรือ?

ตัวเฉินผิงอันเองก็สามารถเก็บเงินฝนธัญพืชไว้ได้หนึ่งร้อยเหรียญ เอาไว้มา ซื้อกระบี่จำลองสองสามเล่มของภูเขาชังกระบี่ หากราคาถูกกว่าที่ประมาณการณ์ไว้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ซื้อหลายๆ เล่มมาเก็บไว้ เอาไว้มอบให้คนอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือ?

นอกจากนี้การสร้างและการโคจรของค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ก็คือค่าใช้จ่ายที่ไม่เล็กอีกก้อนหนึ่ง

การเลือกและการจัดวางวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะบนภูเขาใหม่ๆ มากมายซึ่งรวมถึงภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าวเป็นหนึ่งในนั้น คือเรื่องที่สาม อันที่จริงตอนนั้นที่เจียงซ่างเจินใช้ข้ออ้างบอกว่าต้องการมาขอบคุณเฉินผิงอันที่ทำให้สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานที่เป็นเซียนกระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน และต้องชดเชย ที่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีทั้งสองครั้งของเว่ยป้อ

ก็ทำให้มีสมบัติหนักที่เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะแล้วสามชิ้น ข้องราชามังกรคู่นั้นที่ฮว่อหลงเจินเหรินนำไปซ่อมให้ก็นับรวมด้วย ส่วนที่เหลือ ก็จำเป็นต้องให้ภูเขาลั่วพั่วควักกระเป๋าเงินกันเอาเอง

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเก็บแผ่นกระเบื้องแก้วมรกตไว้แค่สองแผ่น เอาไว้เป็นที่ระลึก เพราะถึงอย่างไรวัตถุชิ้นนี้ก็หาได้ยาก เก็บไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ก็ถือเสียว่าให้เป็น นิมิตหมายอันดีที่สมกับคำว่าเรื่องดีมาเป็นคู่

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หกร้อยเหรียญ? ลดราคาครึ่งหนึ่ง? เฉินผิงอัน การค้าครั้งนี้ ไม่ค่อยจะคุ้มค่าเท่าไรเลยนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แตกต่างกันไปตามบุคคล หากเปลี่ยนมาเป็นเศรษฐีคนอื่น ข้าขายให้เขาสองพันเหรียญเงินฝนธัญพืชได้โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ”

ตามการประมาณการณ์ที่ฮว่อหลงเจินเหรินช่วยดูของให้ก่อนหน้านี้ แผ่นกระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่น หากนำไปวางไว้ที่หอแก้วของ นครจักรพรรดิขาว จะสามารถขายได้หนึ่งพันสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช

ทว่าบัญชีบางอย่างไม่อาจคิดคำนวณเช่นนี้ได้

เก็บกระเบื้องแก้วกองใหญ่ขนาดนี้มาได้โดยบังเอิญก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว

ไม่อย่างนั้นตามความคิดของเฉินผิงอันเอง บวกกับท่าทีของเจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋น ที่ไม่แน่ใจในราคาของกระเบื้องแก้ว เขาย่อมต้องอิงตามราคาที่ฮว่อหลงเจินเหรินบอก นั่นคืออยู่ในอุตรกุรุทวีป สามารถขายกระเบื้องแก้วหนึ่งแผ่นได้ในราคาหนึ่งเหรียญ เงินร้อนน้อย เขาเฉินผิงอันก็ดีใจมากแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่กระเบื้องแก้วสองแผ่นสุดท้ายก็อาจจะยังไม่เก็บไว้ด้วย

ขายให้ยอดเขาพาตี้ในราคาที่ถูกลงครึ่งต่อครึ่ง

การที่เขาเลือกทำเช่นนี้ หนึ่งเพราะสามารถแลกเอาเงินฝนธัญพืชก้อนหนึ่ง ที่เป็นจำนวนมหาศาลมาได้ในทันที สองเพราะสามารถแสดงการขอบคุณต่อ ฮว่อหลงเจินเหรินที่ช่วยแนะนำและช่วยพิทักษ์ด่านให้ สามคือสามารถหลีกเลี่ยง เรื่องไม่คาดฝันมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ตนไปทำการค้ากับนครจักรพรรดิขาวด้วยตัวเอง สุดท้ายคือเฉินผิงอันยังคงหวังว่าวันหน้าก่อนจะย้อนกลับคืนสู่บ้านเกิด ที่อยู่ทางทิศใต้ เมื่อเขาไปเยือนยอดเขาพาตี้ ไปหาจางซานเฟิง แล้วตัวเองจะพอมีความมั่นใจได้บ้าง ไม่ใช่ว่าติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้าของเจินเหรินผู้เฒ่าแล้วจะยังทำหน้าหนาไปขอกินขออยู่ด้วยโดยไม่จ่ายเงินอีก

ในเรื่องนี้มีการคิดคำนวณไว้ก่อนแล้ว แล้วก็มีการไม่คิดคำนวณอยู่เช่นกัน

ความปรารถนาดีมีอยู่ในนี้ ความเห็นแก่ตัวก็มีอยู่ไม่น้อย และเฉินผิงอันเอง ก็มีความใจกว้างเผื่อแผ่

ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าว “รีบหล่อหลอมปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งสามแห่งซะ ไม่อย่างนั้นหากต้องคืนให้กับเกาะเป็ดน้ำและถ้ำสวรรค์วังมังกร น้ำใจที่หลี่หยวนและเสิ่นหลินมอบให้จะเสียเปล่า ก็เหมือน กับว่าเจ้าของบ้านยื่นชาถ้วยหนึ่งส่งให้เจ้าด้วยความหวังดี เจ้าที่เป็นแขกดื่มไปแค่ คำสองคำก็ออกจากบ้าน สมควรแล้วหรือ นี่คือข้อแรก”

“ข้อที่สอง คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ไม่อาจรับปราณวิญญาณทั้งหมดไว้ได้ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณ คอขวดของขอบเขตสาม ดื่มชาไม่สามารถดื่มจนตัวเองอิ่มตายได้จริงๆ เจ้าบ้าน รับรองแขกด้วยความจริงใจ ถึงเวลาย่อมไม่ยินดีช่วยเก็บศพให้แขก เพราะถ้า เป็นอย่างนั้นจะไม่อัปมงคลแย่หรือ ดังนั้นเจ้าสามารถศึกษาคาถาหลอมวัตถุสองบทอย่างหลอมภูเขา หลอมน้ำนั้นให้ดีได้ หลอมปณิธานเต๋าที่อยู่ในอิฐเขียวต่อไป นี่ก็เป็นการฝึกตนเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ในภูเขาสมบัติแต่กลับไม่รู้ตัว คาถาชั้นสูงที่สามารถหลอมได้หมื่นสรรพสิ่งเช่นนี้ เอามาหลอมแค่วัตถุได้อย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ลองใคร่ครวญดูเอาเอง”

“ข้อที่สามก็คือกระเบื้องแก้วหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่นนี้ เงินฝนธัญพืชหกร้อยเหรียญ เป็นราคาที่เจ้าพูดเอง คนซื้อในใต้หล้านี้ไม่มีใครเป็นฝ่ายโก่งราคาให้สูงขึ้นด้วยตัวเอง ผินเต้า ผินเต้า (ผินเต้าคือคำเรียกแทนตัวเองของนักพรตเต๋า) ช่างเป็นนักพรตเต๋า ที่ยากจนข้นแค้น (คำว่ายากจนข้นแค้น ภาษาจีนคืออีผินหรูสี่ ใช้คำว่าผิน คำเดียวกับผินเต้า) อยู่ในอุตรกุรุทวีปก็ต้องเรียกว่าเป็นยาจกที่ขึ้นชื่อจริงๆ ยังดีที่ขอยืมเงินหมุนมาจากลูกศิษย์บนภูเขาเถาซาน จื่อเสวียนไว้ก่อนแล้ว รวบรวมเงินฝนธัญพืชมา หลายร้อยเหรียญจึงไม่ยากเท่าไร ดังนั้นกระเบื้องแก้ว ข้าผู้เป็นนักพรตจะเอาไปก่อน วันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตจะส่งข่าวมาให้หยวนหลิงเตี้ยนของยอดเขาจื่อเสวียน ให้เขาเอาเงินมามอบให้เจ้า คาดว่าน่าจะทันก่อนที่เจ้าจะออกไปจากสำนักมังกรน้ำ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ จะให้เงินฝนธัญพืชแก่เจ้าไม่ขาดไปแม้แต่เหรียญเดียว แล้วก็ไม่ให้เจ้าเพิ่มแม้แต่เหรียญเดียวเช่นกัน”

เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณอีกครั้ง

จางซานเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย

สับสนว่าที่แท้อาจารย์และพวกศิษย์พี่ของตนก็มีเงินกันมากขนาดนี้ รวมไปถึง เฉินผิงอันที่ต้องขาดทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ การขาดทุนครั้งนี้มากถึงหกร้อยเหรียญ เงินฝนธัญพืช ตัวเฉินผิงอันไม่เสียดาย เขาจางซานเฟิงกลับเสียดายจะแย่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรสำนักของตนก็ได้กำไรถึงหกร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช หรือว่านี่ก็คือ คำกล่าวที่ว่าไม่ปล่อยให้น้ำอุดมสมบูรณ์ไหลไปสู่ผืนนาคนนอก?

ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้ตนจะพูดอะไร ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ยินดีก็ล้วนอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าในนอกล้วนไม่ใช่คน (เปรียบเปรยว่าล่วงเกินทั้งสองฝ่าย ไม่อาจทำให้ฝ่ายใดพอใจได้)

จางซานเฟิงอัดอั้นตันใจอยู่ไม่น้อย

เป็นคนนี่ยากจริงๆ

ฮว่อหลงเจินเหรินพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามความจริงว่า “ช้าไปสักหน่อย ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าไร”

จางซานเฟิงกระอักกระอ่วนจนนึกอยากจะขุดหลุมฝังตัวเอง อาจารย์ ท่านคงไม่ได้รู้สึกว่าคุณสมบัติของเฉินผิงอันดีเกินไป ก็เลยจำเป็นต้องโอ้อวดลูกศิษย์ของตัวเอง สักหน่อย จะได้ทวงคืนหน้าตากลับมาได้ใช่ไหม?

ไม่มีความจำเป็นนี้กระมัง

ตนมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน เขาจางซานเฟิงจะยังไม่รู้ตัวอีกหรือ? ไม่ว่าเรียนอะไรก็เรียนรู้ได้แค่ผิวเผิน ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมาร ฝีมือก็ยังอ่อนด้อยอยู่มากจริงๆ ดังนั้นจางซานเฟิงตัดสินใจแล้วว่า ในอนาคตมีเพียง ประสบความสำเร็จบนมหามรรคาเท่านั้น ถึงจะลงจากภูเขามาได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ศิษย์พี่หยวนของยอดเขาจื่อเสวียนก็มีคุณสมบัติดี เหล่านักพรตน้อย ที่ยอดเขาพาตี้ชอบเดาเป็นที่สุดว่าบรรพจารย์อาหยวนท่านนี้ใช่เทพเซียนขอบเขตโอสถทองหรือไม่

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “เฉินผิงอัน เจ้าเลือกเดินไปบนเส้นทางวรยุทธก่อน ถือเป็นการเลือกที่ไม่ผิดจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเลือกเอง เป็นเพราะตอนแรกสุด ไม่มีทางเลือก หากไม่อาศัยวิชาหมัดมาต่อชีวิตก็คงมีชีวิตรอดมาไม่ได้ และยิ่งยาก ที่จะเดินได้ไกล”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะอย่างไร ทำดีต่อตัวเอง ถึงจะทำดี ต่อคนอื่นได้อย่างแท้จริง เรื่องนี้เจ้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน หลังจาก นั้นแล้ว เมื่อมอบความดี ทำสิ่งดีๆ ต่อวิถีทางโลกใบนี้แล้ว ยังจำเป็นต้องถามใจตัวเองอะไรอีก จำเป็นด้วยหรือ? เอาเป็นว่าข้าผู้เป็นนักพรตรู้สึกว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เข้าใจแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าชอบคิดอะไรมากมาย ชอบเดินเล่นวนไปรอบเกาะเป็ดน้ำ ทั้งยังพูดคำว่า ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ ออกมาได้ ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง ฟังจบแล้ว คิดอะไรได้ก็คือ อย่างนั้น มีบัณฑิตกับคนแจวเรือข้ามลำคลองไปด้วยกัน บัณฑิตมีความรู้อยู่เต็มท้อง คนแจวเรือไม่รู้ตัวอักษรสักตัวเดียว บัณฑิตพูดหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่มากมาย คนแจวเรือหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ทันใดนั้นคลื่นลูกใหญ่ก็ซัดเรือล่ม คนทั้งสองตกไปในน้ำ บัณฑิตที่ว่ายน้ำกำลังจะตาย คนแจวเรือที่มีความสามารถด้านการพายเรืออย่างเดียว ไม่มีความรู้ความสามารถอื่นใดจึงครุ่นคิดว่าควรจะช่วยหรือไม่ช่วยดี”

เฉินผิงอันกล่าว “จำไว้แล้ว ข้าจะใคร่ครวญความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายในให้ดี”

สีหน้าของฮว่อหลงเจินเหรินกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยเนิบช้าว่า “จำเป็นต้องมีความหมายลึกซึ้งเสมอไปหรือ? เป็นเพราะตบะและตัวตนของข้าผู้เป็นนักพรตวางอยู่ตรงนั้น พูดจาเหลวไหลสักหน่อย เจ้าก็เลยต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ”

เฉินผิงอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

ฮว่อหลงเจินเหรินกลับโบกมือ “ข้าเป็นผู้นักพรตคือคนบนฝั่ง ไม่จำเป็นต้องฟังคำตอบของคนบนเรือ”

สุดท้ายฮว่อหลงเจินเหรินม้วนชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที กระเบื้องแก้วมรกต พวกนั้นก็บินพรวดเข้าไปในชายแขนเสื้อของเขา

ว่ากันว่าผู้ฝึกตนบนภูเขา ในชายแขนเสื้อมีจักรวาล สามารถรองรับขุนเขาสายน้ำเล็กๆ ได้

เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย มีวิชาอภินิหารบนภูเขาวิชานี้ แล้วก็เป็นร้านผ้าห่อบุญ ไปด้วย แบบนั้นคงเหมือนปลาได้น้ำจริงๆ

จางซานเฟิงสาวเท้าเดินเนิบช้าเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกล่าว “วิชาหมัดนี้ของเจ้า ข้ามองความหมายออกแค่เล็กน้อย พอเจ้าไปถึงยอดเขาพาตี้แล้ว นอกจากการฝึกตนก็อย่าทิ้งวิชาหมัดนี้”

จางซานเฟิงยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าถือเป็นอาจารย์สอนวิชาหมัดครึ่งตัวของเจ้าได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันให้รางวัลด้วยหนึ่งคำว่า “ไสหัวไป”

จางซานเฟิงพูดเสียงเบา “วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเร่งศิษย์พี่หยวนของยอดเขา จื่อเสวียนเอง ให้เขารีบมาที่ถ้ำสวรรค์วังมังกร แม้ว่าศิษย์พี่หยวนจะมีมรรคกถาสูง แต่กลับนิสัยดีมาก”

ฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ด้านหน้าหัวเราะร่า

หยวนหลิงเตี้ยนลูกศิษย์ของเขานิสัยดีหรือไม่ บอกได้ยากจริงๆ

ในอดีตก็คือเจ้าเด็กนี่ที่เกเรที่สุด ฝึกตนจนบรรลุขอบเขตมาได้ แต่ภายหลัง ถูกอาจารย์อย่างเขาบังคับให้ปิดด่านอยู่ในถ้ำหินของภูเขาเถาซานสิบปี พอออกจากด่านมาก็ถูกกักบริเวณอีกหกสิบปี ถึงได้บ่มเพาะนิสัยที่ดีกว่าเดิมได้มาก

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงท่าเรือ มองส่งเรือยันต์ลำนั้นลอยทะยานเข้าไปในทะเลเมฆ

คิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนตำหนักวารีหนานซวิน ไปขอบคุณเหนียงเนียงตำหนักวารี ผู้นั้นสักหน่อย

เพียงแต่ว่าจะไปอย่างไร ยังต้องถามหลี่หยวนก่อน

หลี่หยวนรออยู่นาน ในที่สุดเรือยันต์ลำนั้นก็ไสหัวไปสักที เขาจึงรีบปรากฏกายบนเกาะเป็ดน้ำทันที

ถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ไม่มีฮว่อหลงเจินเหริน ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็งดงามน่าใกล้ชิดทั้งสิ้น

ได้ยินว่าเฉินผิงอันอยากไปตำหนักวารีหนานซวิน หลี่หยวนจึงบอกว่าเรื่องนี้ ง่ายมาก แล้วจึงร่ายวิชาน้ำพาเฉินผิงอันเลี่ยงน้ำเดินทางไกลไป

เขายังไม่ต่ำช้าถึงขั้นเห็นท่านเฉินผู้นี้กับเสิ่นหลินคบค้าสมาคมผูกบุญสัมพันธ์กันไม่ได้

เสิ่นหลินประคับประคองการโคจรของตำหนักหลบร้อนลำน้ำจี้ตู๋อย่างกล้าๆ กลัวๆ มานานหลายปีขนาดนี้ หลี่หยวนยอมรับว่าตัวเองแค่แอบอู้เล็กน้อยเท่านั้น บวกกับที่ต่างฝ่ายต่างมีความรับผิดชอบไม่เหมือนกัน ไม่มีใครคิดจะทำอะไรล้ำเส้นกัน ในความเป็นจริงแล้วหลี่หยวนแสร้งทำเป็นว่า ‘ไม่รู้จักวางตัวเป็นคน’ คล้ายตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา จงใจวางตัวห่างเหินกับซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมังกรน้ำ ถึงเป็นเหตุ ให้มิตรภาพส่วนตัวระหว่างตำหนักวารีหนานซวินกับเส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้ดูล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เส้าจิ้งจือรู้สึกซาบซึ้งใจ ต่อให้นางจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นหลินเทพวารีที่เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยังยึด ในหลักมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้อาวุโส

เมื่อไปถึงตำหนักหลบร้อนแห่งนั้น ก็สามารถเดินเข้าประตูด้านข้างไปได้อย่างราบรื่น

ในฐานะสุ่ยเจิ้งลำน้ำจี้ตู๋ เขาถือว่าได้รับการต้อนรับอยู่มาก

แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกพี่สาวในตำหนักวารีหนานซวินยังสนิทสนมกับเขา หลี่หยวนอย่างมาก คนกันเอง ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น

อีกอย่างอยู่ในตำหนักวารีหนานซวินที่กฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้ คำพูดหยอกล้อแฝงความทะลึ่งเหมือนพวกชาวบ้านร้านตลาดของหลี่หยวนก็ได้รับความชื่นชอบ อยู่มาก สาวใช้ผู้ติดตาม ผีสาว ขุนนางหญิงทั้งหลายที่พอจะมีคุณสมบัติดีหน่อยต่างก็ชอบฟังนายท่านสุ่ยเจิ้งที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มคนนี้เล่านิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญให้ฟังเป็นที่สุด พอเล่าถึงบทอัศจรรย์ แต่ละคนก็ยิ้ม ราวกับบุปผาผลิบาน คนที่หน้าบางหน่อยก็ฟังจนหน้าแดงก่ำ พอฟังจบก็จะพูดอย่างเขินอายคำหนึ่งว่าน่าเกลียด แล้วเดินนวยนาดจากไป จุ๊ๆ เอวเล็กๆ นั่นบิดไปบิดมาจนทำให้คนตาลายได้จริงๆ

หลี่หยวนเดินอยู่ในตำหนักวารีอย่างชินทาง อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ว่า หากร่างทองของตนไร้ข้อบกพร่อง ป่านนี้ตนก็มีชีวิตดั่งเทพเซียนได้จริงๆ แล้ว

เพียงไม่นานเสิ่นหลินก็ออกมาต้อนรับคนทั้งสอง

แรกเริ่มหลี่หยวนไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พาเฉินผิงอันมาพบเสิ่นหลินก็ถือว่าสร้างคุณความชอบอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จึงคิดจะไปคุยเล่นกับพวกพี่สาวทั้งหลาย ถามพวกนางว่าช่วงนี้มีบุรุษหนุ่มคนใดในสำนักมังกรน้ำที่หมายตาบ้างหรือไม่ ต้องการให้เขาช่วยสานด้ายแดงด้วยการสร้างฉากพบกันโดยบังเอิญ หรือฉากความเข้าใจผิดโดยไม่ได้ตั้งใจที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นหรือไม่ ทว่าท่านเฉินผู้นั้นกลับพูดว่าตนมานั่งแค่ แปบเดียวก็จะกลับเกาะเป็ดน้ำแล้ว หลี่หยวนที่เต็มไปด้วยความละอายใจจึงได้แต่ เอาเรื่องเล่าน่าอายที่เขาเพิ่งได้ยินคนอื่นเล่ามาใหม่วางเก็บไว้ในท้องก่อนชั่วคราว แต่ว่าผ่านมาร้อยปีพันปี พูดไปพูดมา หลี่หยวนก็เล่าเรื่องราวบนภูเขาล่างภูเขาที่ ตัวเขาเองใส่เสริมเติมแต่งไปไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่องแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ายังคงเป็นประสบการณ์ความรักของเจ้าลูกหมาเจียงซ่างเจินผู้นั้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มารดามันเถอะ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ในมือเฉินผิงอันถือก้อนชากำแพงดำน้อยไว้ก้อนหนึ่ง เป็นของขวัญเบา และน้ำใจก็ไม่หนัก อันที่จริงนับว่าค่อนข้างฝืดเคืองด้วยซ้ำ

ช่วยไม่ได้ การมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้ของเฉินผิงอัน เขาในเวลานี้ไม่อาจหาของขวัญขอบคุณที่เหมาะสมอะไรมาได้จริงๆ

แต่เสิ่นหลินกลับดีใจอย่างมาก ไม่ดูเสแสร้งแม้แต่น้อย พอได้ยินว่าเป็นกำแพงดำน้อยของจวนไช่เฉวี่ยก็ยิ่งรั้งตัวเฉินผิงอันและหลี่หยวนเอาไว้ นางต้มชาอยู่ในศาลาข้างสวนดอกไม้ด้วยตัวเอง ยังพูดอีกว่าคุณชายเฉินอย่าได้ถือสาที่นางเอาของขวัญของเขา มาใช้รับรองแขก

คราวนี้เสิ่นหลินไม่ได้ปรากฏตัวด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง แต่ร่ายเวทคาถาอำพรางใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยร้าวของตนเอาไว้

เฉินผิงอันดื่มชาแล้วก็ให้สะท้อนใจเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำ แต่กลับรู้จักวางตัวเป็นคนได้ดีนัก

เสิ่นหลินเองก็มีแผนการเล็กๆ น้อยๆ ผู้ฝึกตนหนุ่มที่สามารถทำให้ฮว่อหลงเจินเหรินมาพิทักษ์ด่านด้วยตัวเองผู้นี้ เพียงแค่มองจากท่าทางยามดื่มชาก็น่าจะเป็นลูกหลานชนชั้นสูงหรือไม่ก็มีชาติกำเนิดมาจากทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักไม่ผิดแน่

เฉินผิงอันจึงสอบถามวิธีการบางอย่างในการหลอมโอสถวารี ด้วยอยากจะรู้ว่า ทำอย่างไรถึงจะสิ้นเปลืองน้อยที่สุด

แน่นอนว่าเสิ่นหลินไม่คิดจะปิดบัง จุดสำคัญหลายๆ จุดนางล้วนพูดออกมา อย่างชัดเจน ทำให้เฉินผิงอันได้รับผลเก็บเกี่ยวเต็มเปี่ยม นี่ก็คือความต่างของการ มีหรือไม่มีอาจารย์คอยให้คำชี้แนะบนเส้นทางการฝึกตน

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาก็อาจจะสามารถแย่งชิงโชควาสนามากมายมาจาก มือของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลได้เหมือนกัน

แต่จะกินโชควาสนา กินสมบัติพวกนี้ได้อย่างไร ความสำเร็จในท้ายที่สุดจะเป็นการกินไปได้เจ็ดแปดส่วน หรือกินไปได้เก้าสิบส่วน กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่แปดคำของภูเขาตระกูลเซียนที่บอกว่า ‘การสืบทอดมีระบบระเบียบ วิชาคาถาทอดยาวสืบต่อไป’ ความต่างเล็กๆ น้อยๆ มากมาย เมื่อสะสมนานวันเข้า อาจชักนำให้เกิดความต่างทางด้านขอบเขต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต่างของประตูมังกรกับโอสถทองก็ยิ่งเป็นความต่างราวฟ้ากับดินสมชื่ออย่างแท้จริง

ตั้งแต่ต้นจนจบ เสิ่นหลินไม่ได้ถามประวัติความเป็นมาของเฉินผิงอันสักคำเดียว แม้แต่การหยั่งเชิงก็ยังไม่มี

เมื่อดื่มชาไปแล้ว เฉินผิงอันก็บอกลากลับไปยังเกาะเป็ดน้ำ

ยังคงเป็นหลี่หยวนที่เดินทางไปส่งด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันมาถึงจวนของเกาะเป็ดน้ำแล้วก็นั่งลงบนเบาะ เริ่มคิดคำนวณวางแผนขั้นตอนการฝึกตนต่อจากนี้

ส่วนหลี่หยวนก็ย้อนกลับทางเดิมไปยังตำหนักวารีหนานซวิน ไปเจอกับเสิ่นหลินที่ยังไม่ได้เก็บอุปกรณ์ชาในศาลาหลังนั้น

อันที่จริงหลี่หยวนไม่ชอบดื่มชา แต่ในเมื่อเสิ่นหลินต้มชาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ดื่มชาไปอย่างเนิบช้า ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าดื่มน้ำเปล่ากระมัง?

การมาเยือนและการจากไปของฮว่อหลงเจินเหรินครั้งนี้ คล้ายจะทำให้อารมณ์ของเสิ่นหลินผ่อนคลายได้มาก

ทั้งสองฝ่ายจึงพูดคุยกันถึงเรื่องบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปในช่วงที่ผ่านมา

ยกตัวอย่างเช่นจีเยว่และกู้โย่วที่พินาศวอดวายไปพร้อมกัน หลิวจิ่งหลงแห่ง สำนักกระบี่ไท่ฮุยเริ่มปิดด่านแล้ว สตรีเจ้าสำนักชิงเหลียงมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว

ตอนที่หลี่หยวนพูดถึงเจ้าสำนักเฮ้อท่านนั้น เขาตีอกชกตัว บอกว่าโฉมสะคราญเทพเซียนเช่นนี้ หากชั่วชีวิตไม่ต้องถูกบุรุษสกปรกแตะต้อง คงจะดียิ่งนัก

เสิ่นหลินมองหลี่หยวน สีหน้าของนางเลื่อนลอยเล็กน้อย

นางค่อนข้างรู้สึกอิจฉาสุ่ยเจิ้งท่านนี้ที่ปีๆ หนึ่งไม่ทำอะไร เอาแต่ใช้เรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหยอกล้อเล่นสนุกกับโลกมนุษย์ไปวันๆ

ทางฝั่งของเกาะเป็ดน้ำ

เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะไม่มีเวลาว่างอีกแม้แต่ เค่อเดียวแล้ว

ปณิธานเต๋าที่ซุกซ่อนอยู่ในอิฐเขียวสามสิบหกก้อนนั้น ตอนนี้เขาทำสำเร็จแค่ก้าวแรก พอจะถือว่าเชิญเทพเข้ามาในภูเขา ให้มาลงหลักปักฐานอยู่ในศาลภูเขาได้เท่านั้น การหลอมพวกมันให้กลายเป็นรากภูเขาได้อย่างสมบูรณ์ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะ สำคัญในสำคัญอีกที ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่ที่รองกระถางดอกไม้เอาไว้ตั้งประดับเท่านั้น ทว่าปณิธานเต๋ากลับหล่อหลอมได้ยาก เมื่อเทียบกับการค่อยๆ สาวดึงโชคชะตาน้ำเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ย้ายเข้าไปในจวนน้ำแล้วยังเสียเวลามากกว่า เรื่องนี้ ไม่มีทางลัดให้เดิน ได้แต่อาศัยความพยายามโง่ๆ ดั่งน้ำที่หยดลงหินทุกวัน ค่อยๆ หล่อหลอมไปด้วยความอดทน เฉินผิงอันลองคำนวณดูคร่าวๆ การหลอมอิฐเขียว ก้อนแรกให้สำเร็จต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม หนึ่งวันอย่างน้อยต้องใช้เวลา หกชั่วยาม บางทียิ่งเป็นช่วงหลังๆ การหลอมปณิธานเต๋าของอิฐเขียวอีก สามสิบห้าก้อนที่เหลือ ยิ่งนานอาจยิ่งเร็วขึ้น แต่ต่อให้เร็วที่สุดก็น่าจะต้องใช้เวลาถึงสองสามปี

ย้ายอิฐเขียวขึ้นไปบนภูเขา ย้ายโชคชะตาน้ำเข้าจวน ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน

ยังดีที่เฉินผิงอันรู้ว่าการฝึกหมัดของตัวเองในตอนนี้ค่อนข้างมีแนวโน้มไป ในทางการฝึกแบบตายตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถสงบจิตใจใช้สถานะของผู้ฝึกลมปราณ มาฝึกตนได้

อันที่จริงตนไม่จำเป็นต้องยึดติดจำนวนครั้งของการเดินนิ่งในทุกๆ วัน ขอแค่ปณิธานหมัดทั่วร่างไหลวนไม่หยุดนิ่ง คอขวดจะทะลุแต่ไม่ทะลุเสียที ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถใช้ขอบเขตหก ที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ เพียงแต่ว่าจะเรียกร้องมากเกินไปไม่ได้ หากมาถึงแล้วก็อยู่ให้สุขสบาย แต่หากไม่มา ก็คือไม่มา ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ง่วนฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเพียงเพื่อโชคชะตายุทธ ส่วนหนึ่งที่จะเอามามอบให้เผยเฉียน หากแม้ตัวเองก็ยังเดินทางผิด แล้วจะเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองได้อย่างไร?

เขาเฉินผิงอันเคยเรียกร้องอยากได้ชะตาบู๊ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าขนาดอาจารย์ ยังไม่ต้องการ ลูกศิษย์กลับจะต้องเดินทางลัดบนเส้นทางวรยุทธให้จงได้? ใต้หล้านี้ ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเผยเฉียนคือลูกศิษย์ของเจ้าเฉินผิงอันแล้วก็ควรมีเรื่องดีๆ เช่นนี้

อีกทั้งเฉินผิงอันก็มีลางสังหรณ์ที่พร่าเลือนบางอย่าง หลังจากที่ชะตาบู๊ส่วนของ ผู้อาวุโสกู้โย่วสลายหายไป ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดนี้คงยากแล้ว อันที่จริง การมอบให้ของผู้อาวุโสกู้ กับโชคชะตาบู๊ที่เฉินผิงอันแสวงหาและควรได้มาครอบครอง ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องที่แน่นอน แต่เรื่องราวทางโลกมหัศจรรย์จน มิอาจบรรยาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกยุทธเก้าทวีปและเหล่าผู้กล้ามากความสามารถในใต้หล้า ต่างคนต่างก็มีโชควาสนาและประสบการณ์เป็นของตัวเอง เฉินผิงอันหรือจะกล้าพูดว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์เต็มตัวที่สุด?

ทัศนียภาพของด่านสุดท้ายที่ปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปเคาะหน้าด่าน เฉินผิงอันไม่ไปมองให้เสียเวลาอีก

การขัดกลึงคมกระบี่ของชูอีสืออู่ สุดท้ายการนำกระบี่บินสองเล่มมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

ต่อจากนี้อยู่ต่อบนเกาะเป็ดน้ำก็ยังคงต้องทำตามคำบอกของเจินเหรินผู้เฒ่า นั่นคือหลอมปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สะสมอยู่ในช่องโพรงสามแห่งให้ดี

ด้านนอกมีฝนตกอีกครั้งแล้ว

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืนจากเบาะนั่ง กางร่มเดินออกจากเรือนไป

ภูเขาสายน้ำยังคงเป็นภูเขาสายน้ำ สภาพจิตใจยังคงมีปัญหาต้องให้ไปทบทวนตัวเอง แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมีข้อหนึ่งที่ดี ขอแค่ไม่ตกอยู่ในสภาพที่มองไปทางใดก็สับสนเลื่อนลอย เมื่อเขาก้าวเดินก้าวแรกออกไปได้แล้ว ความลำบากแค่ไหนก็ยัง พอทนรับได้

เฉินผิงอันเดินอยู่ท่ามกลางม่านฝนช้าๆ

เรื่องเรื่องหนึ่งที่เป็นรากฐาน เมื่อคิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วก็คือคำว่า เข้าใจหนึ่งวิชา ก็เข้าใจหมื่นวิชา

ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยแยกตัวออกจากกันย่อมเห็นฟ้าใส เห็นแสงจันทร์

หัวใจมีรูโหว่ขนาดใหญ่ มีตำหนิด่างพร้อยมากมายขนาดนั้น ก็แค่ชดเชยแก้ไขมันซะ

ยกตัวอย่างเช่นมีใจทำความดี แม้ว่าทำความดีไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน แต่ไม่ได้ สิ่งตอบแทนแล้วจะอย่างไร? เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็จะไม่ใช่เรื่องดีแล้วหรือ? หากตนมีใจอยากทำความดี หากไม่สามารถแก้ไขความผิดได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อาจชดใช้ความผิดที่ทำลงไป ไม่อาจช่วยสั่งสมบุญกุศลในชาติหน้าให้กับผีวิญญาณที่ตายไปอย่างอยุติธรรมพวกนั้นได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็หาวิธีแก้ไขความผิดแบบใหม่ ตลอดหลายปีที่ขึ้นเขาลงห้วยมานี้ ต่อให้มีเส้นทางมากน้อยแค่ไหนก็ล้วนเดินผ่านมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ

เจ้าเฉินผิงอันเลื่อมใสในคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนสร้างบุญคุณโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมาโดยตลอด หรือว่าแค่เอามาไว้ใช้หลอกตัวเองหลอกคนอื่นเท่านั้น เพื่อให้ยาม เกิดเรื่องกับตัวเองแล้วตัวเองจะสบายใจมากขึ้น? จิตเห็นแก่ตัวในส่วนลึกที่หลอกตัวเองเช่นนี้ หากยังปล่อยให้ขยายลุกลามต่อไปจะไม่ไปรังแกคนอื่น ทำลายคนอื่น เข้าจริงๆ หรือ? ถึงเวลานั้นหลักการเหตุผลมากมายที่บรรจุไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ที่ สะพายไว้ด้านหลัง ยิ่งมากเข้าก็จะยิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองไม่รู้หลักการเหตุผล พวกนั้นเลย

คลายปมในใจ

สภาพจิตใจผ่อนคลาย บนไหล่หนักอึ้ง

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร ไม่สวมรองเท้าสานแล้ว ก็ยังเป็นเฉินผิงอันอยู่ดีไม่ใช่หรือ เรื่องที่คนยากจนทุกคนใต้หล้านี้ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดกันมากที่สุด ก็คือการทนรับกับความลำบาก เพราะเมื่อทนรับกับความลำบากได้แล้วก็ย่อมเสวยสุขได้เช่นกัน

เฉินผิงอันเดินวนรอบเกาะเป็ดน้ำที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกันไปรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่ห้องในจวน นั่งลงบนเบาะนั่ง เริ่มเข้าฌานลืมตน ค่อยๆ หล่อหลอมปราณวิญญาณที่พักพิงอยู่ในเรือนไม้

ปราณวิญญาณของฟ้าดินก็คือเงินเทพเซียนที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตน

ก็ถือเสียว่าเปลี่ยนวิธีมาหาเงินก็แล้วกัน

ในช่วงเวลาระหว่างที่รอให้หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนมาถึงเกาะเป็ดน้ำ เกี่ยวกับข้อที่ว่าจะดึงปราณวิญญาณมาในระดับที่มากที่สุดอย่างไร นอกจากเฉินผิงอันจะหลอมลมปราณวันละหกชั่วยามแบบที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนแล้ว แน่นอนว่า เขายังไม่ลืมที่จะวาดยันต์ด้วย

แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้ฝึกตนจนถึงขั้นลืมกินลืมนอน การฝึกตนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ใช้เวลาแค่หกชั่วยามเท่านั้น

วันนี้บนเกาะเป็ดน้ำมีนักพรตวัยกลางคนร่างกายผอมบางคนหนึ่งมาเยือน เขาไม่ได้นั่งโดยสารเรือยันต์ แต่แหวกทะเลเมฆทะยานลมมาโดยตรง

บนใบหน้าของนักพรตประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองไปยังเฉินผิงอันที่ออกจากบ้านมาต้อนรับแขก

นักพรตประสานมือคารวะ “หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน ศิษย์พี่ห้าของจางซานเฟิง คุณชายเฉินสามารถเรียกข้าผู้เป็นนักพรตว่าหยวนจื่อเสวียนได้”

เฉินผิงอันรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน แน่นอนว่าไม่มีทางเรียกอีกฝ่ายว่า หยวนจื่อเสวียนจริงๆ แต่เรียกว่าผู้อาวุโสหยวน

แล้วจึงพาเทพเซียนลัทธิเต๋าแห่งยอดเขาจื่อเสวียนที่หน้าตาไม่แก่ อายุแก่ มรรคกถาสูงผู้นี้เข้าไปในจวน

จางซานเฟิงไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของสำนักตัวเอง เฉินผิงอันกลับรู้มากกว่า ก่อนจะออกเดินทางมาท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีป เว่ยป้อก็เล่าเรื่องน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับยอดเขาพาตี้ให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องวงในที่ถูกเก็บเป็นความลับอะไร ขอแค่มีใจก็สามารถรู้ได้ แน่นอนว่าภูเขาลูกเล็กของจวนเซียนทั่วไปย่อมยากที่จะพบเจอข่าวของนักพรตยอดเขาพาตี้จากในรายงานภูเขาสายน้ำ ยอดเขาพาตี้กับพวกนักพรตที่ไปบุกเบิกภูเขาก่อตั้งจวนด้วยตัวเองเหล่านั้น ไม่ใช่ พวกผู้ฝึกตนที่ชอบโอ้อวดตัวเองจริงๆ ยอดฝีมือของยอดเขาจื่อเสวียนที่อยู่ข้างกายท่านนี้ อันที่จริงไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ขอบเขตสูงที่สุดของฮว่อหลงเจินเหริน แต่อุตรกุรุทวีปกลับให้การยอมรับกันว่าคนผู้นี้ก็คือเทพเซียนลัทธิเต๋าที่สามารถเอาขอบเขตหยกดิบมาใช้เป็นขอบเขตเซียนเหรินได้

หลังจากที่มอบเงินเกล็ดหิมะหกร้อยเหรียญให้กับเฉินผิงอัน และเชื้อเชิญให้ เฉินผิงอันไปเป็นแขกที่ยอดเขาพาตี้และยอดเขาจื่อเสวียนแล้ว หยวนหลิงเตี้ยนก็ไม่ได้ชวนคุยอะไรที่เกินความจำเป็นอีก

หาใช่เพราะเทพเซียนของยอดเขาจื่อเสวียนท่านนี้ดูแคลนผู้ฝึกตนขอบเขตสามอย่างเฉินผิงอัน แต่เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกัน

ดังนั้นจึงมาอย่างรีบร้อน แล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน

เฉินผิงอันจึงพาหยวนหลิงเตี้ยนไปส่งที่ท่าเรือของเกาะ

หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มกล่าว “คุณชายเฉิน ข้าผู้เป็นนักพรตยังต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลซานเฟิงไปตลอดการเดินทางครั้งนั้น”

เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสหยวนพูดหนักเกินไปแล้ว”

“พูดหนักหรือไม่ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่สนใจ”

หยวนหลิงเตี้ยนหัวเราะ แล้วจึงหยิบกล่องไม้ท้อขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจาก ชายแขนเสื้อ “ด้านในคือกระบี่จำลองเล่มหนึ่งที่ภูเขาชังกระบี่เป็นผู้สร้าง คุณชายเฉินอย่าได้รังเกียจที่ของขวัญเบาเกินไปก็พอ”

เฉินผิงอันรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย

เพียงแต่ไม่ถ่วงรั้งการรับของขวัญของเขา

จะให้มีมารยาทอย่างเสแสร้งกับเทพเซียนพวกนี้ไปทำไม โง่หรือไง

หยวนหลิงเตี้ยนจำแลงร่างเป็นรุ้งยาวจากไป

เฉินผิงอันถือกล่องไม้ท้อใบนั้นยืนอยู่ที่เดิม

ในใจคิดว่าหลังจากนี้หากซื้อกระบี่จำลองมาจากภูเขาชังกระบี่ ต่อให้ราคาจะแพงไปสักหน่อย แต่ก็ต้องซื้อมาเพิ่มอีกสองเล่มให้จงได้

ลำพังเพียงแค่เงินสดตอนนี้ เฉินผิงอันก็มีติดตัวถึงหนึ่งร้อยกว่าเหรียญ เงินฝนธัญพืชแล้ว เอวเขายืดได้ตรงนักล่ะ

เรื่องติดหนี้ก็ปล่อยให้จูเหลี่ยนปวดหัวไปคนเดียวก่อนเถอะ

เงินฝนธัญพืชที่เหลืออีกห้าร้อยเหรียญ ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่วางใจให้หลี่หยวน นำไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่เป็นเพราะไม่อยากจะรบกวนคนเขามากเกินไป จะเรียกใช้คนอื่นก็ควรให้พอเหมาะพอสม

ดังนั้นให้ไปถึงยอดเขาสิงโตก่อนค่อยว่ากัน

ช่วงปลายฤดูหนาว

เฉินผิงอันออกจากเกาะเป็ดน้ำ

เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไว้เรียบร้อยนานแล้ว เตรียมจะส่งไปที่ยอดเขาสิงโต เขาวางมันไว้บนโต๊ะหนังสือ ขณะเดียวกันก็ทิ้งป้ายชือหลง ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ของ หลี่หลิ่วทับไว้บนจดหมาย

แรกเริ่มเขาคิดว่าจะให้เสิ่นหลินเหนียงเนียงตำหนักวารีหนานซวินช่วยเป็นผู้ส่งต่อจดหมายและป้ายหยกให้ แต่พอพิจารณาดูแล้วก็คิดว่าควรให้หลี่หยวนช่วยเหลือ ในครั้งที่สามนี้ดีกว่า เพราะถึงอย่างไรเรื่องบางอย่างเขาก็เขียนบอกไว้ในจดหมาย ตามความเป็นจริงและชัดเจนแล้ว

ส่วนแผ่นป้าย ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ นั้น แน่นอนว่าต้องคืนให้หลี่หยวน

แรกเริ่มให้ตายอย่างไรหลี่หยวนก็ไม่ยอมรับเอาแผ่นหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ นั้นไปดูแล เขาเอ่ยถ้อยคำที่ฟังดูมีเหตุผลมีคุณธรรมอยู่มากมาย

เฉินผิงอันจึงต้องค่อยๆ พูดตะล่อมจนหลี่หยวนยอมตกลง เขารับประกันว่า หากแม่นางหลี่เอาโทษหลี่หยวนจริงๆ เขาเฉินผิงอันจะช่วยอธิบายให้เอง

หลี่หยวนถึงได้พอจะวางใจได้บ้าง

รู้สึกว่าในเมื่อนางยินดีเรียกคนหนุ่มผู้นี้ว่า ‘ท่านเฉิน’ แล้วท่านเฉินผู้นี้ยังยอมรับประกันกับเขาเช่นนี้ ก็คงไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่สักเท่าไรแล้ว

เฉินผิงอันให้หลี่หยวนช่วยบอกลาตำหนักวารีหนานซวินแทนเขา ขนาดปัญหายาก ข้อใหญ่หลี่หยวนยังแข็งใจยอมรับไว้ได้แล้ว เรื่องเล็กน้อยขี้หมูราขี้หมาแห้งแค่นี้ แน่นอนว่ายิ่งไม่เป็นปัญหา

หลี่หยวนยืนกรานว่าจะต้องไปส่งเฉินผิงอันที่หัวสะพานด้านนอกถ้ำสวรรค์ วังมังกรให้จงได้

เฉินผิงอันคืนป้ายไม้ต้นส้มตระกูลเซียนที่สลักสองคำว่า ‘พักผ่อน’ เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางท่องลำน้ำใหญ่ต่ออีกครั้ง

เพียงแค่สวมชุดสีเขียว สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า

เจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ต่างก็ถูกเก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ชั่วคราว

หลี่หยวนยังคงไม่ได้เดินลงมาจากสะพาน เขามองส่งคนหนุ่มที่ออกเดินทางไกลไปทางทิศตะวันตกผู้นั้นอยู่อีกพักใหญ่

หลี่หยวนกลับมาถึงเกาะเป็ดน้ำแล้วก็ยังไม่กล้าแตะต้องแผ่นหยกแผ่นนั้น ทำเพียงแค่ดึงเอาจดหมายออกมาอย่างรวดเร็วและระมัดระวัง แล้วส่งไปที่ ยอดเขาสิงโตอย่างว่องไว

สิบวันผ่านไป

หลี่หลิ่วหวนกลับมาที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรอีกครั้ง พบกับหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ครั้งนี้ นางยอมมองเขาตรงๆ และคลี่ยิ้มส่งให้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ยังกล่าวอีกว่าในที่สุดเขาก็พอจะสร้างคุณความชอบได้บ้างแล้ว

ได้ยินประโยคนี้ หลี่หยวนเกือบจะเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งคุกเข่า นี่เป็นครั้งแรก ในชีวิตที่เขารู้สึกว่ามีน้ำตาร้อนๆ มาเอ่อคลอที่ดวงตา

หลี่หลิ่วเก็บแผ่นหยกชือหลงแผ่นนั้นมา แล้วโยนให้หลี่หยวนง่ายๆ บอกให้สุ่ยเจิ้งลำน้ำจี้ตู๋ท่านนี้เอาไปตั้งบูชาไว้ในศาล เป็นการช่วยรวบรวมแก่นควันธูปมาให้

หลี่หยวนทรุดตัวนอนหมอบอยู่กับพื้น เอ่ยขอบคุณเสียงสั่น

เพียงแต่ว่าหลี่หลิ่วได้ไปเยือนตำหนักวารีหนานซวินแล้ว

เสิ่นหลินได้พบเจอหลี่หลิ่วก็หมอบกราบไม่ยอมลุกขึ้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ

หลี่หลิ่วยื่นมือออกไป ดึงร่างทองของเหนียงเนียงตำหนักวารีผู้นี้ออกมา จากนั้น ก็ยื่นมือกดลงไปบนศีรษะของร่างทอง พริบตาเดียวรอยปริแตกเล็กละเอียดนับพัน นับหมื่นเส้นบนร่างทองก็ค่อยๆ ประสานเข้าหากัน

หลี่หลิ่วลดข้อมือลงเล็กน้อย ร่างทองก็กระแทกกลับใส่เนื้อหนังมังสาของ เสิ่นหลินที่หมอบอยู่บนพื้น

หลี่หลิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวในศาลา

เสิ่นหลินหมอบกราบอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

หลี่หลิ่วเอ่ย “ลำบากเจ้าแล้ว หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่ๆ เกิดขึ้น วันหน้าเจ้าก็จะได้เป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋”

เสิ่นหลินพูดเสียงสั่น “บ่าวไม่กล้าเพ้อฝันแบบนั้นอย่างแน่นอน! สามารถเฝ้าพิทักษ์ตำหนักวารีหนานซวินนานเป็นพันปี บ่าวก็พอใจมากแล้ว”

หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว “หืม?”

เสิ่นหลินไม่กล้าขัดความประสงค์ของนางอีก รีบโขกหัวแรงๆ ตอบรับทันที “รับคำบัญชา!”

หลี่หลิ่วลุกขึ้นยืน เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เสิ่นหลินหมอบกราบตามมารยาทพิธีใหญ่อยู่อย่างนั้น เป็นนานก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน

จนกระทั่งหลี่หยวนเดินอาดๆ เข้ามาในตำหนักหลบร้อน มาที่ศาลาลมเย็นแห่งนี้ เสิ่นหลินถึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน รู้สึกราวกับว่าอยู่คนละโลก

ตรงเอวของหลี่หยวนห้อยป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ เอาไว้ เขายืดอกตั้ง เวลาเดินตัวรู้สึกตัวลอยๆ ราวกับมีลมรองรับอยู่ใต้ฝ่าเท้า พอเข้ามาในศาลาก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเหนียงเนียงเทพวารีที่เหมือนจิตหลุดออกจากร่าง ใช้นิ้วชี้ไปยังแผ่นป้ายตรงเอวตัวเอง

ดูสินี่อะไร?

เสิ่นหลินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของหลี่หยวน นางลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว สีหน้ายังคงล่องลอย พูดพึมพำว่า “หลี่หยวน ข้าจะได้เป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋แล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”

หลี่หยวนเหมือนถูกวิชาห้าอสนีของฮว่อหลงเจินเหรินผ่ากลางหัว อึ้งงันเป็นไก่ไม้อยู่นาน จากนั้นก็กุมหัวร้องคร่ำครวญ ทิ้งตัวหงายผลึ่งลงนอนกับพื้น ปัดป่ายมือเท้าสะเปะสะปะ “ทำไมถึงไม่เป็นข้าล่ะหลิงหยวนกงที่ไม่มีมาหลายพันปีแล้ว เหตุใด กงโหวของลำน้ำใหญ่ถึงไม่ใช่ข้าหลี่หยวนที่ทนทำงานเหนื่อยยากโดยไม่ปริปากบ่น บ้างนะ”

แม้ว่าจิตใจของเสิ่นหลินจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อตัวถึงได้หลุดพูดเรื่องนี้ออกมา แต่นางก็ไม่รู้สึกเสียใจที่เปิดเผยความลับสวรรค์นี้ เพราะไม่ช้าก็เร็วสุ่ยเจิ้งอย่าง หลี่หยวนก็ต้องรู้เรื่อง แทนที่จะเก็บไว้เป็นความลับ ถึงเวลานั้นจะยิ่งทำให้หลี่หยวนรู้สึกแย่มากกว่าเดิม ก็ไม่สู้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเสียแต่เนิ่นๆ ซะยังดีกว่า

ไม่อย่างนั้นปมในใจของทั้งสองฝ่ายจะยิ่งขยายใหญ่

หลี่หยวนนอนนิ่งไม่ขยับราวกับเป็นซากศพ

เสิ่นหลินรู้สึกระอาใจเล็กน้อย

หลี่หยวนสูดน้ำมูก ในที่สุดบนใบหน้าก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา เขาพูดอย่างอัดอั้น “ยินดีกับเสิ่นฮูหยินด้วยที่ได้ครองตำแหน่งหลิงหยวนกง”

เสิ่นหลินยิ้มกล่าว “วันหน้าหากมาเที่ยวที่ตำหนักวารีหนานซวินอีกก็หยอกล้อ ขุนนางหญิงผู้ติดตามของที่นี่ให้น้อยๆ หน่อย”

หลี่หยวนเริ่มปัดป่ายมือเท้าอีกครั้ง พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่ทำ ไม่ทำซะอย่าง!”

แล้วหลี่หยวนก็หยุดนิ่ง พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าจะไปขอร้องเจินเหรินผู้เฒ่า ให้เขาขายยาแก้เสียใจภายหลังให้ข้าโถใหญ่ ข้าจะได้กินให้ท้องแตกตายมันไปเลย”

เสิ่นหลินพูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องการแต่งตั้งของลำน้ำจี้ตู๋ก็ยังไม่แน่เหมือนกันนะ”

หลี่หยวนหันหน้ามา เอาหน้าถูกับพื้นอย่างแรง สีหน้าเลื่อนลอย พูดอย่างน้อยใจว่า “เชิญเจ้าสาดเกลือลงบนบาดแผลของข้าได้ตามสบายเลย”

เสิ่นหลินเหม่อลอย รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวของฮว่อหลงเจินเหริน แล้วก็ซาบซึ้ง ในบุญคุณของคนหนุ่มที่วางตัวมีมารยาท ปฏิบัติตามหลักพิธีการทุกเรื่องคนนั้น

หลี่หยวนพลันกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน แล้วก็แหวกม่านฟ้าของถ้ำสวรรค์วังมังกรออกโดยตรง พุ่งเข้าไปในลำน้ำใหญ่ ไล่ตามไปหาท่านเฉินที่ใจร้ายใจดำผู้นั้น

ริมตลิ่งของลำน้ำใหญ่

เฉินผิงอันกำลังวักน้ำล้างหน้า

จู่ๆ ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่พรวดออกมา เพราะมาอย่างเงียบเชียบเกินไป เฉินผิงอันจึงเกือบจะปล่อยหมัดซัดเข้าให้

แต่พอเห็นว่าเป็นหลี่หยวน เขาถึงได้เก็บปณิธานหมัดที่ท่วมท้นไปทั่วร่าง เหมือนน้ำทะลักเขื่อนในชั่วพริบตานั้นมา ยิ้มถามว่า “มาได้อย่างไร?”

หลี่หยวนขึ้นมาบนฝั่ง ยิ้มถาม “ท่านเฉินเหนื่อยหรือไม่ ให้ข้าช่วยแบกหีบไม้ไผ่ ให้ไหม? หรือจะให้บีบไหล่ ทุบหลังให้ดี?”

เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ยิ้มจืดเอ่ยว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”

หลี่หยวนทรุดตัวลงนั่ง กอดขาของเฉินผิงอันเอาไว้แล้วเริ่มคร่ำครวญ “ท่านเฉินต้องการโอสถวารีหรือไม่? หากต้องการ ที่ข้ามีอยู่สองขวด เอาไว้ที่ข้าก็มีแต่ จะเป็นภาระ…”

มารดามันเถอะ นายท่านใหญ่หลี่จะยังต้องการหน้าตาไปอีกทำไม? วันนี้เขาจะทำตัวหน้าไม่อายดูสักครั้ง!

ปล่อยให้เสิ่นหลินเป็นหลิงหยวนกงของนางไป ตามกฎแล้วลำน้ำใหญ่จี้ตู๋ ยังสามารถมีหลงถิงโหวได้อีกหนึ่งคน แม้จะบอกว่าระดับขั้นแย่กว่ากันเล็กน้อย แต่อันที่จริงหลงถิงโหวไม่ได้อยู่ในการดูแลของหลิงหยวนกงที่เป็นองค์เทพหลัก ผู้นำของลำน้ำจี้ตู๋ เพียงแต่ว่าอาณาเขตน่านน้ำที่หลงถิงโหวให้การดูแลจะด้อยกว่า หลิงหยวนกงเล็กน้อย เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หนึ่งตะวันออกหนึ่งตะวันตก ร่วมกันดูแลลำน้ำจี้ตู๋

เฉินผิงอันจึงได้แต่ย่อตัวลง กล่าวอย่างจนใจว่า “หากยังทำอย่างนี้อยู่อีก ข้าจะไปแล้วนะ”

หลี่หยวนปล่อยมือ นั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงเบาว่า “ท่านเฉิน สรุปว่าท่านรู้หรือไม่ว่า นางเป็นใคร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องที่เจ้ารู้ ข้าย่อมไม่รู้แน่นอน ข้ารู้แค่ว่าแม่นางหลี่เป็นคนบ้านเดียวกับข้า เป็นพี่สาวของเจ้าเด็กป่วนคนหนึ่ง”

ในความเป็นจริงแล้วจนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังเดาตัวตนของหลี่หลิ่วไม่ออก

ส่วนตำแหน่งสูงต่ำของตำหนักวารีหนานซวินที่อยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร เฉินผิงอันก็ไม่ยินดีไปสืบเสาะให้ลึกซึ้ง เพียงแค่พอจะเดาออกว่าเสิ่นฮูหยินผู้นั้นน่าจะมีสถานะที่พิเศษท่ามกลางบรรดาเทพวารีมากมายในถ้ำสวรรค์วังมังกร เพราะถึงอย่างไร นางก็ดูแล ‘ตำหนักน้ำ’ แห่งหนึ่ง

หลี่หยวนเองก็ไม่กล้าพูดมาก

หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ แม้แต่แผ่นหยกชือหลงที่ถูกนำไปตั้งบูชาไว้ในศาลแล้วก็อาจยังต้องหายไปเพราะฝีมือตนด้วย

หลี่หยวนเงียบงัน สีหน้าหม่นหมอง

เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งลงบนพื้นเป็นเพื่อนเขา เอนหลังพิงหีบไม้ไผ่ พูดเสียงเบาว่า “ข้าสามารถช่วยอะไรได้ไหม? ไหนลองบอกมาสิ? ขอแค่เป็นเรื่องที่ช่วยได้ ข้าจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

คราวนี้เป็นตาของหลี่หยวนบ้างที่เปิดปากพูดไม่ได้

อันที่จริงการที่เขาแหกกฎออกมาจากอาณาเขตของสำนักมังกรน้ำในครั้งนี้ ก็แค่เพราะรู้สึกอึดอัดใจเท่านั้น

ไม่ได้ต้องการจะช่วงชิงตำแหน่งหลงถิงโหวของลำน้ำจี้ตู๋มาจริงๆ เพราะหลี่หยวนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า บนเส้นทางชีวิตคน คนที่เดินสวนไหล่ผ่านกันไปสามารถไล่ตามได้ทัน แต่เรื่องที่พลาดไปแล้วไม่อาจไล่ตามไปไขว่คว้ามาได้

แต่หลี่หยวนก็ยังไม่ถอดใจ เขารู้สึกว่าตัวเองยังพอจะลองดิ้นรนดูได้ จึงกะพริบตาปริบๆ พยายามจะทำให้รอยยิ้มของตนยิ่งดูจริงใจ แล้วถามว่า “ท่านเฉิน ข้าจะมอบโอสถวารีให้ท่านสองขวด ท่านจะรับไว้หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า

หลี่หยวนหน้ามุ่ย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ว่าแล้วเชียว”

เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา กาหนึ่งคือเหล้าซานเกิงที่ซื้อมาจากบนสะพาน อีกกาหนึ่งคือเหล้าหมักข้าวเหนียว

ซื้อเหล้าตระกูลเซียนของทุกที่ที่ไปเยือน เป็นความเคยชินของเฉินผิงอันมานานแล้ว

หลี่หยวนรับเหล้าซานเกิงกานั้นมาแล้วกระดกดื่มเสียงดังอึกๆๆ รวดเดียว

เฉินผิงอันที่ตลอดทางมานี้ไม่ได้ดื่มเหล้าเพียงแค่จิบเหล้าข้าวของบ้านเกิด อึกเล็กๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

หลี่หยวนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาทำมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าทำได้แค่ครึ่งเดียว เพราะก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเสแสร้งเกินไป จึงไม่ได้ทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ

นั่นคือแผ่นไม้ ‘พักผ่อน’ แผ่นนั้น เขาไปขอมาจากสำนักมังกรน้ำแล้ว เพียงแต่ ไม่กล้ามอบให้เฉินผิงอัน ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนมีเจตนาไม่ดี

เวลานี้ดื่มเหล้าซานเกิงของคนเขาไปแล้ว จึงโยนมันไปให้กับเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ถือเสียว่าเป็นเงินค่าเหล้าแล้วกัน”

เฉินผิงอันรับแผ่นไม้มา ยิ้มเอ่ย “ขอบใจ”

หลี่หยวนคล้ายจะตัดใจได้แล้ว แล้วก็คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว จึงลุกขึ้นยืน “ไปแล้วๆ กลับไปร้องไห้ที่บ้านตัวเองดีกว่า”

เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นตาม กุมหมัดเอ่ยว่า “ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว ไว้เจอกันใหม่ วันหน้า”

หลี่หยวนอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ เขาสูดจมูก พูดอย่างท้อแท้หมดกำลังใจว่า “หวนคืนบ้านเกิดครานี้จิตใจเลื่อนลอย ขุนเขาเขียวน้ำใสนับไม่ถ้วนช่างยาวไกล”

เฉินผิงอันเองก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน หรือว่าจะประชันบทกวี? ข้าเฉินผิงอัน แต่งกลอนไม่เป็น ทว่าหากให้ยกจากตำรามาก็สามารถประชันกับเจ้าหลี่หยวน หนึ่งวันหนึ่งคืนได้ไม่มีปัญหา

หลี่หยวนกล่าวอย่างน้อยใจ “มองอะไรน่ะ”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก น่าจะเป็นตนที่คิดมากไปเอง

หลี่หยวนกระโดดทะยานตัวไปทางลำน้ำใหญ่ แต่กลับไม่ได้จมดิ่งสู่เบื้องล่าง แล้วแหวกน้ำออกไป แต่เดินวนไปวนมาอยู่บนผิวน้ำ บางครั้งก็มีปลาใหญ่ตัวสองตัว ที่พอหลี่หยวนกระทืบเท้าเบาๆ ก็กระเด้งออกมาจากลำน้ำใหญ่สูงหลายจั้ง จากนั้น ก็กระแทกกลับลงน้ำไปอย่างมึนงง

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา รู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเริ่มคาดหวังว่าในอนาคตยามที่เฉินหลิงจวินเดินลงลำน้ำใหญ่ เขาก็น่าจะถูกชะตากับหลี่หยวนผู้นี้อยู่มาก

การเดินเลียบล้ำน้ำของเฉินผิงอันต่อจากนั้นไร้คลื่นลมมรสุมไปตลอดทาง ระหว่างทางที่หยุดพักก็ได้มีประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ มาเพิ่ม

มีเรือลำใหญ่ข้ามลำน้ำตอนกลางคืนมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือ บนชั้นสองของ เรือหอเรือนมีห้องคนจุดตะเกียงเอาไว้ เฉินผิงอันจึงเห็นว่ามีสตรีของครอบครัวขุนนางคนหนึ่งถอดศีรษะของตัวเองมาวางไว้บนโต๊ะ ในมือถือหวีงาช้างสางผมเบาๆ

คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน นางจึงโน้มตัวจับให้หัวนั้นหันมามอง นอกหน้าต่าง พอเห็นบุรุษชุดเขียวผู้นั้นแล้วก็เหมือนนางจะเขินอายเล็กน้อย จึงวางหวีในมือลง วางหัวกลับไปที่ลำคอ นางไม่กล้ามองสบตาบุรุษชุดเขียวที่อยู่บนฝั่ง เพียงแค่ยอบตัวคารวะด้วยท่วงท่าแช่มช้อย

เฉินผิงอันหัวเราะ

สตรีแต่งงานแล้วได้ยินเสียงทารกร้องไห้จึงเดินเร็วๆ ไปยังห้องที่อยู่ติดกัน

เฉินผิงอันจึงออกเดินทางต่ออีกครั้ง

บนเรือตระกูลขุนนางลำนั้น ไม่เพียงแต่ไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายที่ภูตผีออกอาละวาด กลับกันยังมีภาพบรรยากาศของชะตาบุ๋นกลุ่มหนึ่งล้อมวน

เดินทางผ่านหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดริมน้ำแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันเจอกับเด็กทึ่มทื่อคนหนึ่งในหมู่บ้าน จึงตบหลังของเขาเบาๆ ในชนบทของโลกมนุษย์ ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ น่าสงสารแบบนี้อยู่เสมอ

จากนั้นพอถึงยามดึก เฉินผิงอันก็แอบไปจุดธูปที่ศาลของหมู่บ้าน จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างช่องเพดานสี่เหลี่ยมที่เปิดโล่ง รับฟัง ‘เรื่องจิปาถะในชีวิตประจำวัน’ ของใคร บางคน แล้วก็ทำเรื่องเล็กๆ บางอย่าง พอฟ้าสางจึงจากไป

ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิของปีมาถึงอีกครั้ง

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เดินมาจนสุดปลายทางที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว

เมื่อคืนวันที่สามสิบก่อนวันสิ้นปี เขายังคงนอนกลางดินกินกลางทราย อยู่เหมือนเดิม

ตรงทางเชื่อมต่อที่ลำน้ำไหลลงมหาสมุทรมีนครใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เฉินผิงอันมายืนอยู่หน้าร้านหนึ่งในนคร มีลูกค้าถามเถ้าแก่ว่าส้มนั้นหวานหรือไม่ เถ้าแก่หัวเราะร่าตอบด้วยประโยคหนึ่ง หากข้าบอกว่าไม่หวานแล้วเจ้าถึงจะซื้อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่หวาน

เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญได้แข็งกระด้างเช่นนี้ จึงจะเรียกว่ามีฝีมือ เข้าขั้นอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงซื้อส้มเพิ่มอีกหนึ่งจินมาจากเถ้าแก่ เก็บเอาไว้แค่ลูกเดียว ที่เหลือล้วนใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ แล้วจึงไปเดินอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ คิดว่าเมื่อออกจากเมืองไปชมทัศนียภาพของจุดตัดระหว่างลำน้ำกับมหาสมุทรแล้วก็จะไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนของเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์ เพื่อโดยสารเรือไปเยือนยอดเขาสิงโต

ถือส้มไว้ในมือ เดินไปบนถนนอย่างเนิบช้า เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน หันหน้ากลับไป มองไปยังตรอกเส้นหนึ่ง

ในตรอกมีนักพรตหญิงคนหนึ่งกับบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง

อายุใกล้เคียงกัน แต่สถานะแตกต่าง คนหนึ่งคือเจ้าสำนัก อีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนัก

เดิมทีบุรุษผู้นั้นยังรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักถึงต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน มาเยือนนครในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบ้านๆ นี้ ในที่สุดตอนนี้ ก็ได้รู้คำตอบแล้ว

มารอคน

บัณฑิตตกอับที่ออกทัศนาจรคนหนึ่ง?

เฉินผิงอันไม่ได้หันหลังกลับแล้วออกเดินต่อ แต่เดินตรงไปที่ตรอกเล็กเส้นนั้น

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เฉินผิงอัน”

เฉินผิงอันหยุดอยู่ตรงทางเข้าตรอกเล็ก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่ได้เจอกันนานกว่านี้จะดียิ่งกว่า”

บุรุษที่ยืนเยื้องห่างไปด้านหลังเจ้าสำนักของตัวเองหนึ่งก้าวหรี่ตาลง แม้ไม่ได้ เปิดปากเอ่ยคำใด แต่ปราณสังหารกลับวูบผ่านไปแวบหนึ่ง

เฉินผิงอันถาม “ตั้งใจมาหาข้าอีกแล้วหรือ?”

สีหน้าของเฮ้อเสี่ยวเหลียงซับซ้อน ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ตั้งใจ แต่มาเจอ โดยบังเอิญ ก็เลยมาพบเจ้าเสียหน่อย”

บุรุษผู้นั้นรู้สึกเพียงว่าฟ้าถล่มดินทลาย ไหนเลยจะยังมีจิตสังหารอะไรอีก จิตแห่งเต๋าของเขาเกือบจะแหลกสลายอยู่รอมร่อแล้ว

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักที่เป็นดั่งเทพเซียนในสายตาของเขาผู้นี้ แม้มองดูเหมือนคนทั้งสองห่างกันแค่ก้าวเดียว แต่แท้จริงแล้วกลับมีปราการใหญ่กั้นขวาง เขาถึงขั้น ไม่กล้าเกิดความคิดที่ไม่ซื่อกับนาง อีกทั้งแม้แต่สวีเสวี่ยนเจ้าสำนักยังไม่เคยทำ สีหน้าดีๆ ให้เห็น เคยหรือที่จะแสดงความโปรดปรานต่อบุรุษคนใดในโลกเช่นนี้?

เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองคนหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้า จิตวิญญาณของนางส่ายไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในความทรงจำของนาง ดูเหมือนว่าเขาควรจะเป็นเด็กหนุ่มตัวดำเกรียมที่สวมรองเท้าสาน แต่กลับมีสายตาเป็นประกายเจิดจ้า อีกทั้งยังบริสุทธิ์จนมองเห็นก้นบึ้ง ไปตลอดชีวิต

ไม่ควรจะเป็นอย่างคนที่อยู่ตรงหน้านี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!