Skip to content

Sword of Coming 555

บทที่ 555 มาเป็นแขกถึงบ้านกินหมัดหนึ่งมื้อ

ชายหญิงสองฝ่าย ในอดีตเคยพบเจอกันในบ้านเกิดของคนคนหนึ่งและต่างบ้านของคนคนหนึ่ง

ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าสองฝ่ายสลับกัน เพราะถึงอย่างไรอุตรกุรุทวีปก็ถือว่าเป็นบ้านเกิดครึ่งหนึ่งของเจ้าสำนักผู้เปิดขุนเขาของสำนักชิงเหลียงอย่าง เฮ้อเสี่ยวเหลียงแล้ว

คนธรรมดาล่างภูเขา ถูกรับกลับเข้าสู่วงศ์ตระกูลคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่จิตใจสงบสุขไร้ความปรารถนาก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันหน้าไปพูดกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ถวายงานในสำนักที่อยู่ด้านหลัง “หลี่โจว เจ้ากลับภูเขาไปก่อน”

แม้ว่าหลี่โจวจะรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย แต่ก็ยังเก็บความคิดที่วุ่นวายกลับมาได้ทันที น้อมรับคำสั่งแล้วจากไป

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “เดินเล่นกันหน่อยดีไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะพูดคุยกันให้รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละ ชักช้าอืดอาดไม่ควรเป็นพฤติกรรมที่เจ้าสำนักคนหนึ่งสมควรมี”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหมุนตัวเดินเข้าไปในตรอกเล็ก เว้นทางตรงกลางเอาไว้ นางเดินติดผนังแถบหนึ่งคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา เฉินผิงอันจึงเดินติดผนังอีกแถบหนึ่ง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยถาม “ในหุบเขาผีร้าย เจ้าเดาได้อย่างไรว่าข้ากับเกาเฉิง แอบวางแผนเล่นงานเจ้าอย่างลับๆ ?”

เฉินผิงอันกล่าว “ล้วนเป็นความบังเอิญที่สัมผัสได้อย่างเลือนราง จึงมองขอบเขตมรรคกถาของเจ้าลัทธิเฮ้อให้สูงสักหน่อย มองว่ามีกลอุบายมากสักหน่อย จากนั้น ก็รีบหนีไปให้ไกล”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ข้าฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเองไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่ขอบเขตกลับเกือบจะต้องถดถอย เจ้าว่าเจ้าสำนักไม่กี่คนของใต้หล้าไพศาลที่เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบควรมีจุดจบเช่นนี้หรือ?”

เฉินผิงอันนึกถึงประสบการณ์ตอนที่ซื้อส้มก่อนหน้านี้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “หากเอ่ย ขอโทษแล้วนับแต่นี้ไปสามารถเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำคลองกับเจ้าสำนักเฮ้อได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ผิดไปแล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ นางเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าน่าจะพูดจาแบบนี้ไม่ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากเป็นเมื่อก่อน ขอแค่มีชีวิตอยู่รอดดีๆ ได้ จะให้โขกหัวขอร้องคนอื่นก็ยังได้”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ยกตัวอย่างเช่นว่า หากเป็นไปได้ เจ้าก็จะขอร้องวานรย้ายภูเขาให้ไม่ทำร้ายหลิวเสี้ยนหยางจนบาดเจ็บหนักขนาดนั้น?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน หากตอนนั้นเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นรู้สึกว่าโขกหัวยังไม่มีความจริงใจมากพอ ข้าก็จะพยายามโขกหัวจนหัวแตกเลือดไหลให้ เดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นเห็น”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยถาม “หลังจากโขกหัวล่ะ?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ปิดบัง “จะยังทำอะไรได้อีก? ก็มีชีวิตธรรมดาที่จืดชืดต่อไปน่ะสิ หากมีหมื่นหนึ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ ให้ข้าได้มีโอกาสคิดบัญชีเก่า นั่นก็เป็น อีกเรื่องหนึ่ง สุราบนภูเขา แต่ไหนแต่ไรมายิ่งเก็บไว้ก็มีแต่จะยิ่งหอม”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงถามอีก “แล้วตอนนี้ล่ะ?”

เฉินผิงอันเดินพลางเดาะส้มลูกที่อยู่ในมือเบาๆ ไปด้วย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความสามารถไม่พอ ดื่มเหล้าได้พอเป็นพิธี จะยังทำอย่างไรได้อีก? โทษฟ้าโทษคน ร้องไห้คร่ำครวญ โหวกเหวกว่าสวรรค์ไม่มีตา แล้วสวรรค์ก็จะหันมาสนใจข้าจริงๆ งั้นหรือ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกำลังจะถามอีกครั้ง

หากในอดีตเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรจะทำอย่างไร?

ลู่เฉินผู้เป็นอาจารย์เคยพานางเดินท่องไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสายไหนๆ ดังนั้นนางจึงเคยได้พบเจอเฉินผิงอันหลากหลายรูปแบบในอนาคตมาก่อน

มีเพียงเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้นที่ไม่เคยอยู่ในบรรดา ‘เฉินผิงอันมากมาย’ เหล่านั้น

“ไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องในอดีต”

เฉินผิงอันกุมส้มเอาไว้ หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ พูดตรงๆ เลยดีกว่า วันหน้าพวกเราคนหนึ่งเจ้าเดินบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินบนทางสะพานไม้ของข้า ได้หรือไม่?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงชี้ไปบนม่านฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่สู้เจ้าไปถามอาจารย์ข้าดู? หากอาจารย์ออกคำสั่ง ข้าที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ย่อมไม่กล้าไม่ทำตาม”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรต้องมีความสามารถมากกว่านี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนจะทำเช่นนั้น ข้าจะต้องดื่มเหล้าไปกี่มากน้อย”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีความจริงใจ ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันได้ยากแล้วจริงๆ

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่สนเลยสักนิดว่าเฉินผิงอันคิดอะไรอยู่ สิ่งเดียวที่นางสนใจก็คือวันหน้าเฉินผิงอันจะก้าวเดินอย่างไร จะกลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าบนมหามรรคาของตนหรือไม่

หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล เด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะสะพายหีบไม้ไผ่ที่ด้านในบรรจุหินดีงูไว้เพียงอย่างเดียว เจอกันครั้งแรกที่ริมน้ำ ไม่เพียงแต่สถานะที่แตกต่าง เขายังต้องแหงนหน้ามองกลุ่มของพวกนางที่อยู่บนหินผาใหญ่ และจิตใจของเด็กหนุ่มในช่วงเวลานั้นก็ยังอยู่ท่ามกลางดินโคลนบนเส้นทาง

คิดไม่ถึงว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบเขตยังคงแตกต่าง ทว่าสภาพจิตใจ กลับแข็งแกร่งและถูกยกระดับขึ้นสูงกว่าเดิมไม่น้อย

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่านิสัยเช่นนี้ ทุกครั้ง ที่เจ้าเดินไปได้สูงหน่อย ยิ่งระมัดระวังรอบคอบ เดินทุกก้าวได้อย่างมั่นคงเท่าไร ขอแค่ปล่อยให้ศัตรูมองเบาะแสออก จิตที่คิดจะสังหารเจ้ามีแต่จะยิ่งแน่วแน่มากเท่านั้น”

“ทำไม นี่คือความผิดของข้าอีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดจาตามมโนธรรมในใจกับเจ้าสำนักเฮ้อสักคำแล้ว เจ้าคิดว่าหากข้าไม่ค่อยๆ เดินขึ้นสูงก็จะไม่มีใครยื่นนิ้วมาบดขยี้ข้าให้ตายแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าคงมีไม่น้อย หากไม่รู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเสีย ก็คงเป็นพวกที่เอาเวลาฝึกตนไปฝึกบนร่างสุนัขหมดแล้ว ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครอง พอคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ดีๆ ของข้าหลังจากได้เจอกับเจ้าสำนักเฮ้อในต่างบ้านต่างเมือง ก็จะยิ่งดี เข้าไปใหญ่”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “เพราะเจ้าคิดว่าเป็นพวกเขาที่ทำผิดก่อน ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งหรือไม่ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นเจ้าที่คือความผิด?”

สีหน้าของเฉินผิงอันยังคงราบเรียบ “คำพูดยุแยงในหมู่บ้านร้านตลาดที่ชวนให้ ไก่กระโดดหมาบินประเภทนี้ อันที่จริงไม่ต้องรบกวนให้เจ้าสำนักเฮ้อเป็นคนพูด ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ บริเวณใกล้เคียงกับตรอกหนีผิงบ้านเกิดของข้า ไม่เพียงแค่คนวัยเดียวกันที่พูดเล่นพล่อยๆ เท่านั้น ยังมีตะพาบบางตัวที่จงใจพร่ำพูดเรื่องพวกนี้มาทำให้คนสะอิดสะเอียน เพื่อนบ้านใกล้เคียงอายุมากหลายคน คนดีๆ หลายคนที่จิตใจดีมาก บางครั้งสายตาที่พวกเขามองข้า อันที่จริงก็กำลังพูดจาในทำนองเดียวกันนี้”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเงียบงันไปนาน

สุดปลายถนนของตรอกเล็ก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหยุดเดิน “ที่แท้เจ้าก็รู้ความจริงมาตั้งนานแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าสำนักเฮ้อเจ้ากำลังพูดถึงอะไร ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “ในใจเข้าใจก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันถามกลับ “พอแล้ว?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางๆ “ไม่ค่อยพอสักเท่าไร”

ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็ใคร่ครวญจนเข้าใจปมในใจบางอย่างได้อย่างน่าประหลาดใจ เฮ้อเสี่ยวเหลียงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน “ข้าจะรอเจ้าอยู่บนยอดเขาของใต้หล้าไพศาล นอกจากนี้ เจ้าและข้าต่างคนก็ต่างเดินกันไป”

มาพบเจอกันอีกครั้งที่จุดลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรคราวนี้ เป็นทั้ง ความบังเอิญ แล้วก็เป็นทั้งความจำเป็น

เรื่องใดก็ตามที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงอยากจะทำให้สำเร็จ ส่วนใหญ่ก็มักจะสมใจปรารถนาเสมอ

ต่อให้ไม่อยากยอมรับในโชควาสนาที่ลึกล้ำของนาง ก็ยังต้องยอมรับแต่โดยดี

เฉินผิงอันได้รับคำตอบที่ดีกว่าที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ จึงยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ไปส่งเจ้าสำนักเฮ้อแล้ว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มตอบ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะกลับทันที ในฐานะเจ้าสำนัก มีเรื่องมากมายให้ต้องเป็นกังวล นานๆ ทีจะได้ออกจากสำนัก ได้เจอกับคนในใจ ที่ยากจะปล่อยวางได้ ก็ไม่ควรจะทะนุถนอมช่วงเวลานี้ไว้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยสองชื่อ “สวีเสวี่ยน หลี่โจว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงคลี่ยิ้มกว้าง “คนหนึ่งเก็บไม้เก็บมือได้ คนหนึ่งเก็บปากได้ ไม่มีทางทำให้เจ้าเสียสมาธิแน่”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่พูดจา

เฮ้อเสี่ยวเหลียงแสร้งทำเป็นแปลกใจ “ทำไม ยังเป็นความผิดของข้าอีกหรือ?”

เฉินผิงอันนึกอยากจะต่อยนางให้ตายด้วยหนึ่งหมัดจริงๆ

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพูดอย่าง ‘เข้าอกเข้าใจผู้อื่น’ เป็นอย่างดี “ความสามารถไม่พอ แต่ดื่มเหล้ายังพอถูไถ เจ้าพอจะมีสุราดีๆ หรือไม่? ข้ามีสุราตระกูลเซียนที่ดีที่สุดของอุตรกุรุทวีปอยู่บางส่วน จะยกให้เจ้าหมดเลยแล้วกัน”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยีกล่าว “ต่อยเจ้าสำนักเฮ้อให้ตายด้วยหมัดเดียวคงน่าเสียดายจริงๆ ข้าพูดจาเหลวไหลแบบนี้ เจ้าสำนักเฮ้ออย่าได้โกรธเคือง”

ต่อให้สามารถต่อยให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว ก็ยังต้องต่อยสักสองหมัด

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับยิ้มจนตายิบหยี ยื่นมือข้างหนึ่งมาป้องปาก ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ไม่โกรธหรอก แม้ระหว่างเจ้าและข้าจะปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจช้าไป สักหน่อย แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องดี”

เฉินผิงอันเดินออกจากตรอก เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ร่ายเวทอำพรางตาใหม่อีกครั้ง จึงเดินออกมาพร้อมกับเขา ทั้งสองยังคงเว้นระยะห่างกันช่วงหนึ่ง จึงไม่ถือว่า เดินเคียงบ่ากัน

สายตาของเฉินผิงอันมองไปเบื้องหน้า บนถนนแออัดไปด้วยผู้คนและรถม้า ที่วิ่งสวนกันขวักไขว่ เขาถามว่า “เจ้าจะไปเมื่อไหร่?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “น่าจะช้ากว่าที่เจ้าคิดไว้กระมัง”

เฉินผิงอันถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง เจ้าเป็นคนแบบนี้มาโดยตลอดเลยหรือ?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพียงแต่ว่าข้ารู้จักตัวเองมาตั้งแต่แรก เจ้าเฉินผิงอันรู้จักตัวเองช้ากว่า ดังนั้นจึงยากกว่า”

คนทั้งสองเดินออกจากนคร เลียบลำน้ำใหญ่เดินไปยังชายหาดฝั่งตะวันตกของอุตรกุรุทวีป

เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนหอสูงแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทะเล เขาพลันเอ่ยว่า “เฮ้อเสี่ยวเหลียง มรรคกถาที่เจ้าแสวงหาอย่างยากลำบาก ก็เหมือนหนิงเหยาที่อยู่ ในใจของข้า พูดแบบนี้เจ้าเข้าใจได้ไหม?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าเข้าใจได้ นี่จะไปยากอะไร แต่ปัญหา ก็คือข้าไม่ยากยอมรับผลลัพธ์นี้นี่นา”

เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

เฮ้อเสี่ยวเหลียงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง ถามว่า “ในเมื่อก่อนหน้านี้ผ่านทางไป เหตุใดถึงไม่แวะไปดูที่สำนักศึกษา?”

อันที่จริงนางเพิ่งออกจากสำนักศึกษามาไม่นาน

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก สองมือกำเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า ชายแขนเสื้อสองข้าง ลู่ลงตามธรรมชาติ “หากลู่เฉินตายเพราะเจ้า เจ้าจะไปดูที่ป๋ายอวี้จิงกับอารามใหญ่ แต่ละแห่งของสามสายหรือไม่?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเงียบงันไปนาน ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงจนกระทั่งวันนี้ ข้าถึงเพิ่งรู้สึกว่าการได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า สำหรับ ข้าแล้ว ไม่ใช่ด่านอะไร ที่แท้นี่ถือเป็นวาสนาสมรสที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว”

เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา เขานั่งขัดสมาธิ แล้วดื่มเหล้าช้าๆ อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “มหามรรคาไม่ควรเล็กเช่นนี้”

ไม่รู้ว่าเหตุใดเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้เปลี่ยนใจ นางลุกขึ้นยืน เลือกจะไปจากสถานที่แห่งนี้ก่อนกำหนด ก่อนจะจากไป นางหันหน้าไปพูดกับเฉินผิงอันที่นั่งเอนหลังพิง หีบไม้ไผ่ “ถึงอย่างไรความรักระหว่างชายหญิงก็เป็นเรื่องเล็ก”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เรื่องนี้ อย่าว่าแต่ลู่เฉินอาจารย์ของเจ้าเลย ต่อให้เป็นมรรคาจารย์เต๋าก็ยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหลุดหัวเราะพรืด แล้วทะยานลมจากไปไกล

ปลายฤดูหนาวของปีก่อน

หลังจากที่หยวนหลิงเตี้ยนออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกร เขาที่ทะยานลมขึ้นเหนือพลันลดระดับฮวบลงมา มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเขียวแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คน ไม่ใช่ ภูเขาจวนเซียน เป็นเพียงแค่พื้นที่ห่างไกลในป่าเขาที่มีปราณวิญญาณธรรมดา

ที่นั่น หยวนหลิงเตี้ยนเห็นว่าอาจารย์ของตนกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับสตรีคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายใช้รากภูเขาที่ถูกหล่อหลอมมาเป็นหมากสีดำ ใช้โชคชะตาน้ำที่ถูกรวบรวมมาเป็นหมากสีขาว

หยวนหลิงเตี้ยนประสานมือคารวะทั้งสองฝ่าย แล้วจึงมายืนอยู่ด้านข้าง ฮว่อหลงเจินเหริน เขาไม่ได้เหลือบมองสถานการณ์บนกระดานหมากแม้แต่แวบเดียว ด้วยกลัวว่าจิตแห่งเต๋าจะวุ่นวาย

ล่างภูเขาไม่มีพิณ หมากล้อม พู่กัน วาดภาพที่แท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนวนเวียนอยู่ที่คำว่าศาสตร์ทั้งสิ้น

ต่อให้จะเป็นร้อยสำนักบนภูเขา เก้าสาขาก็ยังแบ่งออกเป็นบนกลางล่าง พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด พวกที่เล่นพิณนั้นยังดี เพราะถึงอย่างไรก็มีบทสรุปจากอริยะอยู่แล้ว พอจะสะสมบุญได้อยู่บ้าง นอกจากนี้คือพู่กันที่ไม่เข้าขั้นที่สุด คนที่เล่นหมากล้อมดูแคลนคนวาดภาพ คนวาดภาพดูแคลนคนเขียนตัวอักษร คนเขียนอักษรด้วยพู่กันจึงได้แต่ยกเอาคุณความชอบใหญ่เทียมฟ้าในการสร้างตัวอักษรของอริยะ มา ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ

ฮว่อหลงเจินเหรินคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้ววางลงบนกระดานหมากที่มีปณิธานเต๋าเป็นเส้นตัดสลับ เอ่ยถามว่า “มอบกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ไปให้ แค่เล่มเดียว?”

หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ารับ “ไม่ได้ทำอะไรมากเกินความจำเป็น”

หยวนหลิงเตี้ยนรู้ถึงความตั้งใจของอาจารย์เป็นอย่างดี เพราะในอดีตตนก็เป็น ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน และยังเป็นขอบเขตเดินทางไกลที่เลื่อนขั้นมาจากขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย เพียงแต่ว่าได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ จึงสละรางวัลส่วนนั้น

ถือเป็นการสะสมโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งให้อุตรกุรุทวีป ถึงท้ายที่สุดก็ใช้ความเด็ดเดี่ยว ที่ยิ่งใหญ่ สละการเรียนวรยุทธ หันมาถามมรรคาอย่างจริงจัง อุปสรรคที่ต้องพบเจอระหว่างนี้เหนือกว่ายามที่ก่อกำเนิดทั่วไปเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเสียอีก

หยวนหลิงเตี้ยนรู้ว่าอาจารย์อยากจะให้ตนชี้แนะวิชาหมัดให้กับอีกฝ่าย แต่หยวนหลิงเตี้ยนไม่มีความสนใจมากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังรู้สึกด้วยว่าการเจ้ากี้เจ้าการของตนใช่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป

บนยอดเขาพาตี้ นอกเสียจากว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะพูดบอกกับลูกศิษย์อย่างชัดเจนว่าควรทำอะไรคิดอะไร นอกจากนี้แล้วลูกศิษย์หลายๆ คนอยากจะทำอะไร อยากจะคิดแบบไหนก็ล้วนไม่มีปัญหา

ฮว่อหลงเจินเหรินเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ทั้งๆ ที่บนกระดานหมากล้อมเขาแพ้แล้ว แต่กลับพลันคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พยายามเอาชีวิตรอดท่ามกลางความตาย ค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย”

หลี่หลิ่วเอ่ย “กระดานหมากเล็กขนาดนี้ มีใจเช่นนี้ ก็คือการรนหาที่ตาย”

หลี่หลิ่วสลายรากภูเขาโชคชะตาสายน้ำไปอย่างง่ายๆ ปล่อยให้พวกมันกลับคืน สู่ฟ้าดินอีกครั้ง ฮว่อหลงเจินเหรินเองก็เก็บกระดานหมากล้อมที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานเต๋ามา

ยามนี้ฮว่อหลงเจินเหรินถึงได้เอ่ยว่า “จดหมายของยอดเขาสิงโตที่ถูกเจ้าดักไว้ก่อนหน้านี้ เขียนไว้ว่าอะไร?”

หลี่หลิ่วตอบไม่ตรงคำถาม นางกล่าวว่า “เป็นอย่างที่เจินเหรินว่าไว้จริงๆ ยังคงให้หลี่หยวนสุ่ยเจิ้งเป็นผู้ส่งจดหมาย ไม่ได้ให้ตำหนักวารีหนานซวินช่วยเหลือ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เขียนจดหมาย แต่เขียนจดหมายส่งไปที่ยอดเขาสิงโตโดยตรง”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ในเมื่อเจ้าเดินไปบนเส้นทางสายนี้แล้ว ก็ต้องแบกความรับผิดชอบใหญ่หลวง ไม่ได้เหมือนคนอื่นที่มี ชาติภพหนึ่งเพียงภพเดียว เจ้าหลี่หลิ่วใช้ชีวิตอยู่มาหลายชาติภพขนาดนี้ ก็จะต้องรู้มากที่สุด รู้ในสิ่งที่ถูกที่สุด ดีมาก แพ้บนกระดาน แต่นอกกระดาน ข้าผู้เป็นนักพรตกลับทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้แล้ว”

หลี่หลิ่วไม่ได้สนใจการแพ้การชนะบนกระดานหมากพวกนี้ ไม่ว่าจะในหรือ นอกกระดานหมากล้อมก็ล้วนเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะผ่านประสบการณ์มามากมายเกินไป แม้แต่ชีวิตนี้ร่างกายนี้ นางก็ยังไม่ค่อยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

มองว่าเป็นการท่องเที่ยวตามภูเขาลำน้ำซ้ำอีกครั้งเสียมากกว่า

ในเมื่อเกิดมาก็เข้าใจหลักการเหตุผล สิ่งที่หลี่หลิ่วรู้ แน่นอนว่าต้องมากยิ่งกว่า ไม่เพียงแค่เรื่องราวทางโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตใจคนหลากหลายรูปแบบอีกด้วย

เทวรูปในวัดวาอารามของโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนมีการชุบทอง หยางเหล่าโถว จึงเรียกร้องให้นักโทษกากเดนที่เหลืออยู่อย่างพวกเขาปฏิบัติในทางตรงกันข้าม ห่อหุ้มจิตใจคนเอาไว้ก่อนชั้นหนึ่ง ต่อให้จะแค่แสร้งทำพอเป็นพิธี ก็ยังต้องออกมา ท่องโลกมนุษย์อย่างจริงจังสักครั้ง

แต่ตอนนี้หลี่หลิ่วก็มีเรื่องที่ตัวเองใส่ใจจริงๆ อยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น การช่วงชิงบนมหามรรคาที่ต่อสู้กันจนฟ้าคว่ำแผ่นดินพลิกในอดีตคราวนั้นที่เริ่ม เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง บางครั้งหลี่หลิ่วจึงคิดว่าเพิ่งจะเปิดฉากก็ควรให้ปิดม่านเสียเลย จะได้สอนให้คนผู้นั้นที่อยู่ภพนี้ชาตินี้รู้ว่าการพ่ายแพ้อย่างราบคาบเป็นอย่างไร

คราวนี้ฮว่อหลงเจินเหรินวางหมากลงบนสถานการณ์หมากของสำนักมังกรน้ำ หากไม่พูดถึงเฉินผิงอัน ก็ถือว่าเขาพอจะมีความตั้งใจอยู่บ้าง เสิ่นหลินที่เป็นดั่งน้ำ มาคลองสำเร็จ การทำเพื่อซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมังกรน้ำ และคำพูดที่เอ่ยกับ สุ่ยเจิ้งหลี่หยวน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮว่อหลงเจินเหรินคล้อยตามชะตาลิขิตช่วยให้ทั้งสามฝ่าย ผ่านด่านยากน้อยใหญ่ไปได้ก็จริง แต่เขายิ่งหวังว่าจะอาศัยการกระทำบางอย่างหลังจากที่สติปัญญาเปิดโล่งแล้วของหลี่หยวน ไปถ่ายทอด ‘ถ้อยคำ’ บางอย่างให้กับหลี่หลิ่วที่อยู่ตรงหน้าฟัง

เพราะถึงอย่างไรในเรื่องของการ ‘วางตัวเป็นคน’ นี้ ต่อให้เป็นหลี่หลิ่วที่มีอายุ นับพันนับหมื่นปี แท้จริงแล้วก็ยังถือว่าเป็นผู้น้อยคนหนึ่ง

น่าเสียดายที่หลี่หลิ่วฟังไม่เข้าหู ฮว่อหลงเจินเหรินจึงไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องไปมากกว่านี้

หยวนหลิงเตี้ยนรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย

ตอนที่อาจารย์อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อันที่จริงก็สัมผัสได้ถึง ความผิดปกติของชะตาบู๊ที่ซากปรักสนามรบโบราณทวีปเกราะทองนั่นแล้ว อันที่จริงสำหรับเฉินผิงอันแล้ว หากได้โชควาสนามาอยู่ในมือ แล้วมองในมุมของชัยชนะบนกระดานหมาก ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันกับสตรีวัยเดียวกันของทวีปแผ่นดินกลางผู้นั้น ก็คือสองฝ่ายที่ประชันฝีมือกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เพราะมีเฉาสือเพิ่มเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิม

หากเฉาสือไม่ได้ไปที่ซากปรักสนามรบแห่งนั้น สือไจ้ซีสตรีที่ใช้ขอบเขตห้า ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเลื่อนสู่ขอบเขตหกบนวิถีวรยุทธก็อาจจะฝ่าทะลุขอบเขต ได้อย่างราบรื่นไปนานแล้ว แต่กลับไม่อาจได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอง เพราะเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปมีขอบเขตที่แข็งแกร่งมั่นคงกว่า มีปณิธานหมัด ที่หนักกว่า ทว่าพอเฉาสือปรากฎตัว ปณิธานการต่อสู้ของสือไจ้ซีก็เพิ่มทะยาน ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะเป็นเหตุ นางที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาจึงสามารถยกระดับของขอบเขตวิถีวรยุทธให้สูงขึ้นได้อีกหนึ่งระดับ และยังตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะใช้ขอบเขตหกต่อยเฉาสือที่เป็นขอบเขตเจ็ดหนึ่งหมัด

ต่อให้หมัดนั้นจะได้แค่แตะร่างเขาอย่างผิวเผินก็ตาม แต่นางก็ต้องทำให้ได้ก่อนถึงจะยินดีฝ่าทะลุขอบเขต หันกลับมามองเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับสตรีผู้นั้น คอขวด วิถีวรยุทธของเขา แรกเริ่มมีระดับความสูงมากกว่า แน่นอนว่าจะต้องอดทนฝ่าทะลุขอบเขตไปช้าๆ

หนึ่งถ่วงเวลา หนึ่งชะลอให้ล่าช้า

จึงกลายมาเป็นสถานการณ์หมากล้อมที่สองฝ่ายประลองกันอยู่ไกลๆ แต่กลับไม่รู้ตัว

ฮว่อหลงเจินเหรินรู้แค่ว่าสือไจ้ซีอยู่ที่ซากปรักโบราณที่เทวรูปพังภินท์ และได้ยินมาว่าเฉาสือไปที่นั่น

จึงค่อยๆ อนุมานรูปแบบและสถานการณ์บนกระดานหมากล้อมออกมา

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หากสือไจ้ซีไม่ไปคิดถึงคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็ถือว่าจะมีภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา บางทีหากเกิดกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นอาจเป็นเรื่องร้ายที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยว แต่เมื่อเกิดขึ้นกับนาง กลับกลายเป็นการพยายามเอาชีวิตรอดท่ามกลางความตาย ปณิธานหมัดได้รับความอิสระเสรี คิดดูแล้วนี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่เฉาสือต้องการเห็น ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมออกมาจากซากปรักแห่งนั้นเสียที เป็นฝ่ายช่วยป้อนหมัดให้กับสือไจ้ซี แม้จะบอกว่าตอนนี้เฉาสือจะเป็นแค่ขอบเขต ร่างทอง แต่สำหรับสือไจ้ซีที่มีนิสัยเย่อหยิ่งโอหังแล้ว กลับกลายเป็นหินลับที่ดีที่สุดในโลกพอดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับการทุบตีหล่อหลอมอย่างเต็มกำลังของขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งก็ไม่ได้มีทางได้ผลลัพธ์เช่นนี้แน่นอน”

หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ารับ “คอขวดที่แท้จริงของสือไจ้ซีก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่หมัด แต่อยู่ที่ใจ”

จากนั้นหยวนหลิงเตี้ยนก็ยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงขอแค่เฉินผิงอันโชคดี ถ่วงเวลาต่อไป ไม่ฝ่าทะลุขอบเขตก่อนหน้าสือไจ้ซี เขาก็ยังคงสามารถเป็นขอบเขตหก ที่แข็งแกร่งที่สุดใน ‘ช่วงเวลานั้น’ ได้ แล้วก็จะยังได้รับโชคชะตาบู๊มาส่วนหนึ่งอยู่ดี”

“ข้าผู้เป็นนักพรตว่าเป็นไปได้ยาก”

หลังจากฮว่อหลงเจินเหรินให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแล้ว เขาก็หันหน้ามามองลูกศิษย์คนนี้ “อาจารย์ให้เจ้าเอาเงินไปส่งที่เกาะเป็ดน้ำ ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะบอกความจริงข้อนี้ให้แก่เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ผู้ฝึกยุทธกับผู้ฝึกตน คนกันเองพูดจา เป็นกันเอง เทียบกับบทสนทนาระหว่างเจินเหรินเฒ่าคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตสามที่ยกเอาเหตุผลยิ่งใหญ่บนหมัดมาพูดแล้ว กลับมีความหมายมากยิ่งกว่า เดิมทีอาจารย์ยังอยากจะดูว่า เฉินผิงอันจะแอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีอยู่เสี้ยวหนึ่ง จึงเผยท่าทีว่า จะชะลอฝีเท้าเดินให้ช้าเพื่อชะตาบู๊ส่วนนั้นหรือไม่ หรือว่าจะ ‘แสวงหาทางรอด ในความตาย’ ที่ถึงแม้วิธีจะแตกต่างแต่มหามรรคาก็เชื่อมโยงถึงกันอย่างสือไจ้ซี เฉินผิงอันในตอนนี้ฝึกวิชาหมัดแบบตายตัว หาใช่เพราะความขี้เกียจเป็นตัวชักนำ และช่วงที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งไม่มีการเปิดฉากสู้รบเอาเป็นเอาตายกับคนอื่น ทั้งที่สามารถใช้คำว่า ‘มนุษย์มีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง’ มาปลอบใจตัวเองได้แล้ว เขาจะยังคงเดินในตรอกหัวขาดที่ต้องเจอทางตัน หรือจะปล่อยหมัดต่อยกำแพงที่ขวางหน้า เปิดเส้นทางสายใหม่ให้กับจิตใจตัวเอง”

แต่เจินเหรินผู้เฒ่าก็ส่ายหน้า ทำไม่ได้หรอก

เว้นเสียจากว่าเจ้าเด็กนั่นจะคิดจนกระจ่างด้วยตัวเอง อีกทั้งยังผ่านด่านทางใจเล็กๆ ด่านนั้นไปได้ ถึงจะมีโอกาสทำได้สำเร็จ

หยวนหลิงเตี้ยนยิ้มเจื่อน พูดอย่างละอายใจว่า “เป็นศิษย์ที่เข้าใจอาจารย์ผิด จะให้ศิษย์กลับไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรเลยไหมขอรับ?”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ช่างเถอะ ทุกเรื่องราวให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ เจ้าคิดว่าพูดเรื่องนี้แล้วจะต้องเป็นเรื่องดีเสมอไปหรือ? เฉินผิงอันจะสามารถช่วงชิงขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุดมาได้แน่หรือ? เจ้าคิดว่าบนเส้นทางหัวใจ การพยายามเดินไปข้างหน้าในแต่ละครั้งจะไม่มีโรคร้ายทิ้งไว้เบื้องหลังเลยหรือ?

คนคนหนึ่ง ไม่ยอมรับชะตากรรมกับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าหากแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดได้ย่อมดี บนเส้นทางการฝึกตน ทำเช่นนั้นย่อมต้องตาย ช่วงชิงขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุด ได้หกมาแล้วก็ช่วงชิงเจ็ดต่อ พอได้เจ็ดมาแล้ว แปดก็ควรจะเป็นของข้า แปดเป็นของข้าแล้ว ใครที่แย่งชิงกับข้า ควรจะตายหรือไม่? ใช่การ ช่วงชิงบนมหามรรคาหรือไม่? ตลอดทางที่เดินไป ก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นเคืองเท่านั้น เส้นทางวรยุทธต่ำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

หลี่หลิ่วส่ายหน้า “เหตุผลสุดโต่งเกินไปแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินก็ส่ายหน้าเช่นเดียวกัน “จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์เต็มตัวก็ควรจะรีบกำจัดเหตุผลที่สุดโต่งเสียแต่เนิ่นๆ”

หลักการข้อนี้ หยวนหลิงเตี้ยนไม่มีความกังขาใดๆ

เฉาสือทำได้ดีมาก บนเส้นทางของการฝึกยุทธ ข้าอยู่สูงของข้า แต่กลับไม่ขัดขวางการเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้อื่น หากมีโอกาสก็จะช่วยเหลือคนอื่น ก็เหมือนกับที่ช่วย ขัดเกลาขอบเขตให้กับสือไจ้ซี

นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เฉาสือสามารถ ‘ไร้เทียมทาน’ อยู่ในทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลางได้

ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ของเขาคือเผยเปยเทพีแห่งการต่อสู้ที่คอยช่วยปกป้องไม่ให้เฉาสือถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสังหารอย่างไม่คาดฝัน เพราะไม่อย่างนั้นการที่ราชวงศ์ใหญ่แห่งนั้นถูกฆ่าล้าง ศัตรูของพวกเขาก็ไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตคนสองคนเท่านั้น สังหารเจ้าเผยเปยเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่สังหารเฉาสือลูกศิษย์ที่อยู่ห่างเจ้าไปคนละทวีปกลับไม่ยากสักเท่าไร อย่างน้อยที่สุดก็พอจะมีโอกาส

นอกจากนี้ความคิดและการกระทำของเฉาสือก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของเขา ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้เดินทางไปเที่ยวทวีปเกราะทองกับหลิวโยวโจว ผู้เป็นสหาย ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปมองชีวิตของเฉาสือสำคัญมาก แค่ไหน จะเท่ากับบุตรชายอย่างหลิวโยวโจวหรือไม่ มองดูเหมือนว่าเป็นการเลือกหลังจากผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียของท่านเทพแห่งโชคลาภมาแล้ว แต่อันที่จริงสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ยังคงเป็นการตัดสินใจของเฉาสือเอง

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แท้จริงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ส่วนใหญ่ยินดีที่จะเป็นฝ่ายมอบความหวังดีให้เฉาสือไม่มากก็น้อย การพูดคุยกันลับหลังก็ยังพูดจาดีๆ ถึงเด็กรุ่นหลังคนนี้อยู่หลายคำ ไม่แน่ว่าอาจจะยังลงมือทำลายริ้วคลื่นอันตรายบางอย่างที่แฝงอยู่ให้เขาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ

จะเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้อย่างไร คือความสามารถ ทำเรื่องที่ดีให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ก็ยิ่งเป็นความสามารถ

สิ่งที่ใช้มองหมื่นสรรพสิ่งบนโลกอย่างแท้จริง ไม่ใช่ดวงตาทั้งคู่ แต่เป็นใจคน

มองเฉาสือ ก็มองแค่คุณสมบัติที่ในอดีตไม่เคยมีใครเหมือนมาก่อนของเขา มองแค่เผยเปยอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา

นี่ก็คือประโยชน์ของดวงตา ทว่าใจคนอยู่ตรงประตูที่ปิด

หลี่หลิ่วคงจะเคยชินกับการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฮว่อหลงเจินเหรินแล้ว ถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “หลักการเหตุผลพวกนี้ คนที่เอามาใช้มีไม่เยอะหรอก”

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ว่ากันไปตามสถานการณ์ ว่ากันไป ตามบุคคล ไม่เอาคนมาทำให้เรื่องทุกอย่างพัง ไม่เอาเรื่องมาทำลายคนคนหนึ่ง ผิดหรือถูกไม่ได้เหลวเป็นแป้งเปียกขนาดนั้น”

หลี่หลิ่วเอ่ย “ยาก”

หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้า “อาจารย์มีเหตุผล”

ไม่ช่วยอาจารย์ หรือจะให้ช่วยคนนอกเล่า?

แล้วนับประสาอะไรกับที่หยวนหลิงเตี้ยนก็รู้สึกว่าอาจารย์มีเหตุผลจริงๆ

ผลกลับกลายเป็นถูกฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามเจ้า เจ้าคิดว่าเฉาสือผู้นี้ และยังมีคนหนุ่มอันดับหนึ่งของอุตรกุรุทวีปของพวกเราในทุกวันนี้ สถานการณ์ถามใจของพวกเขาอยู่ที่ไหนเวลาใด?”

แต่เดิมหยวนหลิงเตี้ยนก็คือผู้ฝึกตนที่เคยชินกับการพูดจาด้วย ‘กำลัง’ ฝึกอบรมบ่มเพาะนิสัยจิตใจมาก็นานหลายปี แต่อันที่จริงกลับยังทำได้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ไร้จุดด่างพร้อย นี่จึงเป็นเหตุให้เขาติดค้างอยู่ที่คอขวดขอบเขตหยกดิบมาโดยตลอด ไม่ได้บอกว่าหยวนหลิงเตี้ยนเป็นพวกโอหังจองหอง มรรคกถาและหลักการเหตุผล ที่ยอดเขาพาตี้มี หยวนหลิงเตี้ยนก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน ในความเป็นจริงแล้วตอนลงเขาไปฝึกประสบการณ์ หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนกลับเป็นคนที่ถูกพวกคนร่วมสำนักพูดถึงในแง่ดีมากที่สุด เพียงแต่ว่ากลับกลายเป็นคนที่ถูกฮว่อหลงเจินเหรินลงโทษมากที่สุดและหนักที่สุด

หยวนหลิงเตี้ยนครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นตอนที่เฉาสือที่ในอดีตไม่มีใครเหมือนได้พบเจอกับคนรุ่นหลังแล้วได้ยืนอยู่ข้างกาย หรือไม่ ก็ยืนอยู่ห่างไปข้างหลังไม่ไกลนัก ไม่เพียงเท่านี้ คนที่มาถึงทีหลังยังมีโอกาสจะเดินนำหน้าเฉาสือ เวลานั้นถึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้จิตดั้งเดิมของเฉาสือปรากฎ ส่วนหลินซู่ที่ขอแค่เลือกคู่ต่อสู้ได้แล้วก็ต้องชนะอย่างแน่นอนผู้นั้น ยามใดที่เขาพ่ายแพ้อย่างแท้จริง ยามนั้นต่างหากถึงจะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเต็มกลืน”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ คล้ายเห็นด้วยกับคำตอบสองข้อนี้ แล้วก็ถาม อีกว่า “แล้วเจ้าล่ะ หลิงเตี้ยน เหตุใดถึงไม่ฝ่าทะลุขอบเขตสักที? ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าที่ทั้งๆ ที่มีตบะขอบเขตเซียนเหรินแต่กลับมีขอบเขตแท้จริงแค่หยกดิบ อย่างเจ้าด้วยหรือ? อาจารย์เบิกตากว้างมองไปมองมาก็ยังหาไม่เจอ”

หยวนหลิงเตี้ยนเอ่ย “แน่นอนว่าการฝึกตบะเหลือเฟือ แต่ฝึกจิตใจได้ไม่มากพอ”

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะ “ก็เพราะว่าช่วงแรกที่เจ้าฝึกตนใช้พละกำลังมากเกินไป ไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ น้อยเกินไป ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป ดูเหมือนว่า เมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์พี่ชายหญิงสายไท่เสีย สายป๋ายอวิ๋นแล้ว ความเข้าใจที่ ตัวเจ้าเองมีต่อสัจธรรมในส่วนลึกของมรรคกถาเหมือนจะน้อยที่สุด? หรือว่า เป็นเพราะตอนหลังถูกอาจารย์ลงโทษหนักเกินไป รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองไม่ผิด แต่ก็ต้องเป็นเพราะคิดไม่ถึง จึงใคร่ครวญอนุมานซ้ำไปซ้ำมา ปิดประตูย้อนทบทวนตนว่าตัวเองทำผิดที่ตรงไหน? พอคิดเข้าใจแล้วก็คือช่วงเวลาที่จะได้ฝ่าทะลุขอบเขต?”

หยวนหลิงเตี้ยนพยักหน้ายอมรับ “เป็นเช่นนี้จริง”

“เจ้าเคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่งหรือไม่ ตนเองกำลังใช้ความไม่ผิดไปคิดว่า มีความผิด? นั่นเป็นการเดินบนวนบนทางแยกหรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินถอนหายใจ “เด็กโง่! หรือว่าอาจารย์บนโลกที่ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ทำได้แค่ช่วยชี้ทางให้ลูกศิษย์เดินทางลัดเท่านั้น? ไม่อนุญาตให้อาจารย์ สร้างด่านทับซ้อนบนเส้นทาง ทำให้ลูกศิษย์รู้สึกว่าแม้ทิศทางจะถูกต้อง แต่กลับเดินได้ยากลำบากบ้างเลยหรือ? จะได้ทำให้จิตถามมรรคาของลูกศิษย์แน่วแน่มากขึ้น?”

หยวนหลิงเตี้ยนทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์มีมรรคกถาสูงแค่ไหน ความรู้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ศิษย์ไม่ยินดีกังขาแม้แต่น้อย”

ฮว่อหลงเจินเหรินยื่นนิ้วมาชี้หน้าลูกศิษย์จากยอดเขาจื่อเสวียน แล้วพูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไปถามคนหนุ่มที่เกาะเป็ดน้ำผู้นั้นดู เขาที่อายุน้อยแค่นั้น เคยมีความคิดเช่นนี้ไหม ต่อให้เป็นฉีจิ้งชุนอาจารย์ฉีที่เขาเคารพมากที่สุดก็ไม่แน่ เสมอไปว่าต้องมีเหตุผลต้องทำถูกไปเสียทุกเรื่อง! เจ้าลองถามเขาสิว่ากล้าคิด แบบนี้ไหม! กล้าตั้งใจใคร่ครวญหลักการเหตุผลของอิรยะปราชญ์นอกสายของ เหวินเซิ่ง โดยไม่กลัวว่าจะไปข่มทับหลักการเหตุผลแรกเริ่มสุดของตัวเองหรือเปล่า?!”

“หลิงเตี้ยน หากเจ้ารู้สึกว่าหลักการเหตุผลทั้งหมดในใต้หล้านี้อยู่แค่บนร่างของอาจารย์ ลูกศิษย์ได้แค่เรียนรู้เอาไปเจ็ดแปดส่วน ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์ถ่ายทอดให้ ศิษย์หลาน ศิษย์หลานถ่ายทอดต่อไปอีก ใต้หล้านี้จะเหลือหลักการเหตุผลอีกสักกี่ข้อ? แม้แต่เรื่องนี้เจ้าหยวนหลิงเตี้ยนยังไม่กล้าคิด ฝึกตนอย่างยากลำบากมาหกร้อยปี หรือว่ามีแต่พละกำลังที่เพิ่มพูน จิตแห่งเต๋าไม่เติบโตบ้างเลยหรือ?! ทำไม อยู่บน ยอดเขาพาตี้ของอาจารย์ต้องทำงานหนักย้ายภูเขายกดิน ผ่าฟืนเผาถ่าน ถึงจะได้มีเรือนกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างเจ้าหยวนหลิงเตี้ยนหรือ?”

หยวนหลิงเตี้ยนชำเลืองตามองชายแขนเสื้อสองข้างที่สะบัดเบาๆ ของอาจารย์ แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์อย่าโมโห มีอะไรก็พูดกันดีๆ”

หลี่หลิ่วพูดขัดคอขึ้นมาว่า “หยวนจื่อเสวียนพูดว่า ‘ไม่ยินดี’ ไม่ได้พูดว่าไม่กล้า เจินเหรินเจ้าอย่าเอาแต่พร่ำพูดเหตุผลของตัวเองจนเป็นการใส่ร้ายหยวนจื่อเสวียน”

หยวนหลิงเตี้ยนเกือบจะโมโหตาย ไม่มีใครเขาช่วยให้แย่ยิ่งกว่าเดิมแบบเจ้าหลี่หลิ่วหรอกนะ

อาจารย์มีนิสัยอย่างไร เขาหยวนหลิงเตี้ยนรู้ดียิ่งกว่าใคร เพราะถึงอย่างไร หยวนหลิงเตี้ยนก็คือคนที่โดนซ้อมมากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน หากเขา หยวนจื่อเสวียนบอกว่าตัวเองคืออันดับสองบนยอดเขาพาตี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่า เป็นที่หนึ่ง

“ไม่ยินดีแย่ยิ่งกว่าไม่กล้าเสียอีก! ไม่กล้าๆ ถึงอย่างไรก็ผ่านการคิดมาก่อนแล้ว เพียงแค่ว่ายังไม่เคยเดินออกไปก็เท่านั้น”

แล้วก็จริงดังคาด ฮว่อหลงเจินหลงยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิม สุดท้ายพูดเสียงเย็นว่า “ไปปิดด่านในถ้ำหินบนภูเขาเถาซานสิบปี คิดให้เข้าใจแล้วค่อยออกจากด่าน!”

หยวนหลิงเตี้ยนเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ สิบปี ไม่ถือว่านานเท่าไร งีบหลับสักพัก หลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเวลาก็ผ่านไปแล้ว เพียงแต่ว่าเสียหน้านี่นา อาจารย์ออกเดินทางไกลครั้งนี้ ไปแล้วกลับมา กลับกลาย เป็นว่ามีเพียงตนที่ต้องหอบผ้าม้วนเสื่อไสหัวจากยอดเขาจื่อเสวียนไปถูกกักบริเวณอยู่ที่ถ้ำหินภูเขาเถาซาน ศิษย์พี่สองคนของป๋ายอวิ๋นกับเถาซานจะไม่ไปต้มชาดื่มชา อย่างสบายอารมณ์อยู่นอกถ้ำหินทุกๆ สามวันห้าวันหรอกหรือ? แล้วคงจะยังถามเขาว่ากระหายหรือไม่ด้วยสินะ?

หยวนหลิงเตี้ยนพลันเกิดความคิดดีๆ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ศิษย์นัดหมายกับซานเฟิงเรียบร้อยแล้วว่าจะเลือกเวลาเหมาะๆ ลงจากเขามาด้วยกัน ช่วยทำตาม คำสัญญาให้สำเร็จ”

ฮว่อหลงเจินหลงไม่ตีหน้านิ่งขรึมอีกต่อไป เขายิ้มบางๆ อืมรับหนึ่งคำ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้ามีเมตตาว่า “แม้ว่าจะเป็นความผิดของตัวเอง แต่ไม่มีความคิดอยากเอาชนะคะคาน มีศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือได้ ย่อมไม่เลอะเลือนอย่างเด็ดขาด ภายนอกยอมรับว่าฟ้าดินร่างมนุษย์สู้ฟ้าดินใหญ่ด้านนอกไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วใจคนกลับไม่ยอมแพ้ใจฟ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ซึ่งผู้ฝึกตนสมควรมี ดีมาก ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลิงเตี้ยน เจ้าก็ไม่ต้องไปที่ถ้ำหินของเถาซานแล้ว อยู่ข้างกายซานเฟิงนั่นแหละ ตั้งใจปกป้องมรรคาให้กับศิษย์น้อง จำไว้ว่า ห้ามเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด พวกเจ้าแค่ไปหาประสบการณ์อยู่ตรงตีนเขาเท่านั้น”

หยวนหลิงเตี้ยนประสานมือคารวะ “อาจารย์วางใจได้เลย”

โอ้โหแหะ คราวนี้คงเป็นตาของพวกป๋ายอวิ๋นที่ต้องอิจฉาตนบ้างแล้วกระมัง

หยวนหลิงเตี้ยนกลัวว่าอาจารย์จะเปลี่ยนใจทวงเอาคำสัญญากลับคืน จึงรีบทะยานร่างเป็นรุ้งยาวจากไป

หลี่หลิ่วเอ่ย “หยวนจื่อเสวียนคิดจนเข้าใจแล้ว ลงเขามารอบหนึ่ง วันที่เขากลับคืนสู่ภูเขาก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาฝ่าด่านทะลุขอบเขตแล้ว”

ฮว่อหลงเจินหลงพยักหน้ารับ “ดังนั้นจะไปหรือไม่ไปทบทวนตัวเองอยู่ในถ้ำหินเถาซาน อันที่จริงก็ไม่ได้สำคัญอะไร”

ฮว่อหลงเจินหลงต้องการใช้หลักการเหตุผลที่หยวนหลิงเตี้ยนสามารถยอมรับได้มากที่สุดค่อยๆ หลอกล่อเขาด้วยความปรารถนาดี ช่วยไขข้อข้องใจบนมหามรรคาให้แก่เขา

ไม่อย่างนั้นหากฮว่อหลงเจินหลงใช้แค่ความเป็นอาจารย์สั่งสอนชี้แนะลูกศิษย์ ใช้ขอบเขตยอดเขาของบินทะยานมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่ขอบเขตหยกดิบก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่จะมีประโยชน์ไม่มากนัก อีกทั้งยังมีภัยซ่อนแฝงอยู่มากมาย

หลักการเหตุผลไม่ใช่การพูดง่ายๆ แค่ไม่กี่คำ แต่เป็นคนฟังรับฟังไปแล้วได้ เปิดประตูหัวใจอย่างแท้จริง นอกจากจะฟังถ้อยคำสองสามคำของคนอื่นแล้ว ตัวเองยังเก็บเอาไปใคร่ครวญให้มากกว่า สุดท้ายจึงผสานสอดคล้องกับมหามรรคา

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “หยวนจื่อเสวียนมีสติปัญญาสูง หากเจ้าไม่ได้จงใจกำราบนิสัยของเขาเอาไว้ก็มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้เร็วกว่านี้”

ฮว่อหลงเจินหลงกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ช่วยไม่ได้ นิสัยก่อนกำเนิดของเจ้าเด็กนี่โลดโผนแล่นเตลิดเกินไป ต้องปรามเขาเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นยอดเขาพาตี้เป็น ต้นไม้ใหญ่เรียกลม นี่ยังถือเป็นเรื่องเล็ก หากหยวนหลิงเตี้ยนฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป นอกจากสภาพจิตใจของตัวเองที่อาจจะต้องเผาไหม้ลุกโชนแล้ว

จิตแห่งมรรคาของศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นย่อมเสียหายไปมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ ฮว่อหลงเจินหลงคนเดียวก็คือภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับอยู่บนหัวใจอยู่แล้ว หากมีหยวนจื่อเสวียนเพิ่มเข้ามาอีกคน ไม่ว่าใครที่เป็นมนุษย์ ก็ย่อมรู้สึกไม่ดีกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยอดเขาพาตี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ หยวนหลิงเตี้ยนรีบร้อนออกหน้าเพียงเพื่อหวังให้มีขอบเขตบินทะยานเพิ่มมาอีก หนึ่งคน อะไรที่ควรเป็นของเขา ย่อมต้องเป็นของเขา ไม่อย่างนั้นในอนาคตวันใดข้า ผู้เป็นนักพรตไม่อยู่ยอดเขาพาตี้แล้ว ด้วยนิสัยของหยวนหลิงเตี้ยน หากจะต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาระทั้งหมดเอาไว้ การฝึกจิตใจของเขายังไม่พอ และหลักการเหตุผลของศิษย์พี่ศิษย์น้องสายอื่นๆ ก็เล็กเกินไป ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็ต้องคิดแบบนี้กันทั้งนั้น นี่คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น ภูเขาตระกูลเซียน ลูกหนึ่งมีแต่กลิ่นอายของความอึมครึมไม่น่าอยู่ เรือนเก่าโทรม มีบ่อน้ำลึกแต่กลับเป็นน้ำตาย ก็เท่ากับว่ากฎเกณฑ์ไปหล่นอยู่บนหน้ากระดาษ ได้แต่เอาไปวางให้เปื้อนฝุ่นอยู่ในศาลบรรพจารย์ ไม่ได้หล่นอยู่ในหัวใจของผู้ฝึกตน”

หลี่หลิ่วกล่าว “ไม่ว่ากฎก่อตั้งสำนักของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาคนใดก็ล้วนสำคัญอย่างถึงที่สุดทั้งนั้น”

ฮว่อหลงเจินหลงพยักหน้ารับ “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนอย่างพวก ป๋ายฉางเซียนกระบี่ที่ต่างก็มีรากฐานในการหยัดยืนเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมแตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผลไปตามความคิดของพวกเขา สามารถกลายเป็นตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อได้ ใครบ้างที่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์แบบอยู่ชุดหนึ่งประเด็นสำคัญคือต้องดูว่าใครจะเป็นดั่งน้ำสายเล็กที่ไหลได้ยาว น้ำไหลย่อมไม่มี กลิ่นเหม็น บานพับประตูที่ขยับบ่อยย่อมไม่ถูกปลวกกิน เก็บลมรวมน้ำได้ดียิ่งกว่า แต่ในเรื่องของอาจารย์ชี้ทาง ลูกศิษย์ก้าวเดินนี้ ยอดเขาพาตี้ของข้าผู้เป็นนักพรตคู่ควรกับคำกล่าวบนโลกที่มีคนทำจริงได้น้อยนี้ ตอนนี้ขาดก็แค่คนที่จะสามารถช่วยให้ยอดเขาพาตี้พัฒนาไปได้อีกขั้นก็เท่านั้น”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “จางซานเฟิง?”

ฮว่อหลงเจินหลงเอ่ย “พูดได้แค่ว่าซานเฟิงมีความหวังมากที่สุด แต่ข้าก็หวังว่าพวกศิษย์พี่อย่างหยวนหลิงเตี้ยนก็จะทำได้เหมือนกัน ข้าผู้เป็นนักพรตปฏิบัติต่อ ลูกศิษย์และศิษย์หลานในนอกยอดเขาพาตี้ ความหวังที่มีต่อพวกเขา ล้วนต่างกันออกไป ไม่ได้บอกว่าซานเฟิงมีความหวังว่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วจะต้องดูแคลนคนอื่นๆ”

หลี่หลิ่วส่ายหน้า “อย่างเจ้านี่เรียกว่ายืนพูดไม่ปวดเอว หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่ง หรือเจ้าสำนักขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง จะยอมมีความคิดเช่นนี้ ได้หรือ?”

ฮว่อหลงเจินหลงหัวเราะ ถามย้อนกลับว่า “ข้าผู้อาวุโสไปบีบบังคับให้ภูเขาลูกอื่นคิดเหมือนกันตั้งแต่เมื่อไหร่เล่า?”

สุดท้ายฮว่อหลงเจินหลงพูดเสียงทุ้มหนักว่า “แต่เจ้าต้องรู้ให้ชัดเจนว่า หากกลายมาเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างข้าผู้เป็นนักพรตแล้ว แล้วทุกคนไม่ยินดีจะคิดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นวิถีทางโลกก็คงไม่ค่อยดีแล้ว”

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ไม่ค่อยดี?”

ฮว่อหลงเจินหลงเอ่ย “บนกระดานหมากเล็กๆ ที่ข้าประลองกับเจ้า แพ้ให้เจ้าสองสามกระดาน หรือต่อให้แพ้เป็นร้อยเป็นพันกระดาน จะนับเป็นอะไรได้ แต่สถานการณ์หมากของวิถีทางโลกนั้น ไม่ใช่ว่าข้าผู้เป็นนักพรตมาพูดจาวางโตอยู่ที่นี่ แต่พวกเจ้าเอาชนะไม่ได้จริงๆ”

หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ “พวกเราไม่ได้สนใจเสียหน่อย”

ฮว่อหลงเจินหลงกล่าว “บังเอิญจริง พวกเราก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน”

อุตรกุรุทวีปเดินมาถึงช่วงสุดท้ายของการเล่นบนกระดานหมากแล้ว ยอดเขาสิงโต สกุลหยางหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน และยังมีสำนักมังกรน้ำ ต่างก็เป็น เม็ดหมากบนกระดานนั้น อันที่จริงเม็ดหมากที่มากกว่านั้นล้วนเป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลของนาง นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น สุดท้ายเหลือเพียงแค่หมากบางส่วนที่วางลงตามกฎเท่านั้น จำนวนมีไม่มาก

หลิงหยวนกงและหลงถิงโหวของลำน้ำจี้ตู๋ นางได้มาครองแค่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้นางได้ทั้งกงและโหวสองตำแหน่งมาอยู่ในกระเป๋าจริงๆ นางก็ยังจะรับไว้แค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไรวันนี้ก็ไม่เหมือนวันวาน

เสิ่นหลินแห่งตำหนักวารีหนานซวินและหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งศาลกลางของลำน้ำจี้ตู๋ หากดูแค่สถานะ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีหวังที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพวารีตำแหน่งสูงที่ได้รับความเคารพบูชาอย่างถึงที่สุดนี้ ถึงขั้นที่ว่าหลี่หยวนมีความถูกต้องชอบธรรมมากกว่าด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าการ ‘ไม่สนใจ’ ของหลี่หลิ่ว เป็นเรื่องของนาง เจ้าที่เป็นสุ่ยหยวน ตัวเล็กๆ ก็ไม่สนใจอะไรมาเป็นพันปีแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร? หากไม่เป็นเพราะฮว่อหลงเจินหลงยินดีจะคุยเล่นกับหลี่หลิ่วให้มากหน่อย ก่อนหน้าที่จะเริ่มเล่นหมากล้อมจึงเอ่ยออกมาสองสามประโยค นางที่ไปถ้ำสวรรค์วังมังกรคราวนี้ก็คงเงื้อ ฝ่ามือตบให้ร่างทองของหลี่หยวนย่อยยับ กลายเป็นโชคชะตาน้ำที่กลับคืนสู่ลำน้ำจี้ตู๋ไปแล้ว เปลี่ยนสุ่ยเจิ้งคนใหม่ที่ยินดีปกป้องสำนักมังกรน้ำอย่างเต็มกำลังให้มารับตำแหน่งแทน สำนักมังกรน้ำก็มีแต่จะยิ่งซาบซึ้งในพระคุณของนาง

ฮว่อหลงเจินหลงพลันเอ่ยว่า “หลี่หลิ่ว พวกเรามาเล่นกันใหม่อีกตา เจ้ายอมแพ้ครึ่งหนึ่ง เป็นอย่างไร?”

แน่นอนว่าหลี่หลิ่วไม่ยินดีจะเล่นเพิ่มอีก

เดิมทีฮว่อหลงเจินหลงก็จงใจมารอหยวนหลิงเตี้ยนอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว แล้วก็เพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยลากนางมาเล่นหมากล้อมด้วยเท่านั้น เพราะถึงอย่างไร การฝึกตนของผู้ฝึกตนขอบเขตยอดเขาของบินทะยานคนหนึ่งก็ไม่ได้อยู่ที่จิตดั้งเดิมแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดึงดูดปราณวิญญาณอะไรเลย

หลายๆ ครั้งมองดูเหมือนฮว่อหลงเจินหลงเดินเหยียบเปลือกแตงโม เดินไปถึงไหน ก็พูดภาษาของที่นั่น (เป็นคล้ายคำพังเพยของจีนเปรียบเปรยถึงคนที่เห็นท่าไม่ดี ก็เผ่นหนี คนขี้ขลาด ไม่เอาจริงเอาจัง) ทว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ในการกระทำ กลับเป็นทั้งการชี้นำลูกศิษย์อย่างหยวนหลิงเตี้ยน แล้วก็ยังใช้สถานะของสหาย มาบอกกล่าวถึงเส้นสายน้อยใหญ่ของยอดเขาพาตี้ให้หลี่หลิ่วเข้าใจชัดเจน ช่วยให้ หลี่หลิ่วระวังเรื่องใจคนมากขึ้น แต่ครั้งนี้ฮว่อหลงเจินหลงกลับตรงไปตรงมาเป็น ครั้งแรก แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แท้จริงของทั้งสองฝ่ายที่เป็นทั้งมิตรและเป็น ทั้งศัตรูอย่างชัดเจน

จากนั้นหลี่หลิ่วถึงได้ย้อนกลับไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรมารอบหนึ่ง

แล้วก็มีการมอบป้ายหยก ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ให้แก่หลี่หยวน แต่เสิ่นหลินกลับได้รับตำแหน่งเทพหลิงหยวนกงของลำน้ำจี้ตู๋ในอนาคต

เสิ่นหลินไม่กล้าเชื่อ หลี่หยวนก็ยิ่งตีอกชกตัว

ส่วนหลี่หยวนจะรู้หรือไม่รู้ว่าเดิมทีตนต้องตายสถานเดียว ถึงเวลานั้นศาลกลาง ลำน้ำจี้ตู๋จะมีสุ่ยเจิ่งคนใหม่มาแทนที่เขา เพียงแต่ว่าฮว่อหลงเจินหลงได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และการที่ได้ครองแผ่นหยกชือหลงแผ่นนั้นก็เพราะเฉินผิงอัน บางทีจนถึงตอนนี้หลี่หยวนก็คงยังถูกปิดหูปิดตาอยู่เหมือนเดิม หากจะบอกว่าเป็นแบบนี้ไม่ดี แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่หลี่หยวนทำก็มีไม่มาก ทว่ากลับได้นอนเสวยสุข ทั้งๆ ที่ทำแค่ เรื่องเล็กๆ เท่าเมล็ดงาตามคำสั่งไม่กี่เรื่อง

แต่กลับได้แผ่นหยกที่รวบรวมควันธูปแผ่นหนึ่งมาเปล่าๆ หากจะบอกดี แต่อันที่จริงการที่เขาไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามฟ้าลิขิตมานานเป็นร้อยเป็นพันปี ก็ทำให้เขาต้องสูญเสียตำแหน่งเทพหลิงหยวนกงซึ่งเป็นผู้นำเทพวารีของอุตรกุรุทวีปไป

……

ฮว่อหลงเจินหลงอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง หวนนึกถึงเรื่องราวบางอย่างในอดีต ที่ผ่านมานานนมแล้วก็ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์

มียอดเขาพาตี้ที่เป็นบ้านของตน อุตรกุรุทวีปทั้งทวีป แล้วยังมีใต้หล้าไพศาล

พอเจินเหรินผู้เฒ่าคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็จะง่วงนอนอยู่ร่ำไป ก่อนหน้านี้แค่กระทืบเท้าก็ออกจากยอดเขาพาตี้มาถึงที่นี่ คราวนี้กระทืบเท้าอีกทีก็กลับจากที่นี่ไปถึงยอดเขาพาตี้

เมื่อตนงีบหลับ ยอดเขาพาตี้ก็จะมีหิมะตก ทำให้เจ้าพวกเด็กน้อยทั้งหลายเล่น ปาหิมะกันอย่างสนุกสนาน

จางซานเฟิงนั่งอยู่บนลานกว้าง รอบกายรายล้อมไปด้วยนักพรตน้อยที่มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของเขากลุ่มใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนหน้าใหม่ แต่จางซานเฟิงเคยชินกับการคบค้าสมาคมกับพวกเด็กน้อยแล้ว เวลานี้นักพรตหนุ่มกำลังเล่าถึง ความยากลำบากในการลงเขาไปกำจัดปีศาจปราบมารให้พวกเขาฟัง เจ้าตัวน้อย แต่ละคนฟังไปก็ร้องว้าวร้องโว้วตามไปด้วย พวกเขาเงี่ยหูฟัง ตาเบิกกว้าง กำมือ เป็นหมัด แต่ละคนลุ้นตัวเกร็งไม่ต่างกัน ทำไมอาจารย์อาน้อยถึงเล่าแค่ความร้ายกาจ และชั้นเชิงที่ยอดเยี่ยมของภูตผีปีศาจเหล่านั้น ไม่ยอมเล่าถึงกระบี่ไม้ท้อที่บินสวบๆๆ ไปมาตัดหัวปีศาจให้คนสาแก่ใจเสียที?

จางซานเฟิงหยุดเล่าเรื่อง เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ กลับมาแล้วหรือขอรับ?”

พวกนักพรตน้อยมีสีหน้าแช่มชื้น หันไปคารวะบรรพจารย์ปู่ท่านนี้ คนหนึ่งในนั้นใจกล้าหน่อยจึงแอบกระตุกชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าของอาจารย์อาน้อย จางซานเฟิงกวาดตามองไปรอบวง เด็กน้อยแต่ละคนพยักหน้าแรงๆ ขยิบตาส่งสัญญาณมาให้เขา

จางซานเฟิงจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ ด้านล่างภูเขาใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว หากฤดูหนาว ไม่มีหิมะตกลงมาคงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร”

ฮว่อหลงเจินหลงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายพวกเขา ยื่นมือมาลูบศีรษะเล็กๆ ของนักพรตน้อยคนหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นบรรพจารย์ปู่จะมานะงีบหลับสักตื่น? ขอร้องเทพยดาในฝันให้ประทานหิมะใหญ่ตกลงมา?”

พวกนักพรตน้อยที่ยังมีจิตใจเป็นเด็กพยักหน้ารับเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกอย่างพร้อมเพรียง

พอบรรพจารย์ปู่งีบหลับ บนภูเขาถึงจะมีหิมะตก

นี่คือกฎเก่าแก่ที่รุ่นอาจารย์และพวกศิษย์พี่ที่อายุมากยิ่งกว่าของยอดเขาพาตี้บอกต่อกันมาปากต่อปาก

ฮว่อหลงเจินหลงหันไปยิ้มให้จางซานเฟิง “หลังจากที่ศิษย์พี่หยวนกลับภูเขามาแล้วจะลงเขาไปทำตามคำสัญญาเป็นเพื่อนเจ้า”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึง “เรื่องนี้ข้าขอร้องศิษย์พี่ป๋ายอวิ๋นนี่นา ศิษย์พี่ป๋ายอวิ๋นเองก็รับปากแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศิษย์พี่หยวนเลย”

ฮว่อหลงเจินหลงด่าขำๆ “เจ้าตะพาบน้อยนั่น แม้แต่อาจารย์ตัวเองก็ยังหลอก ได้ลงคอ”

นักพรตน้อยแต่ละคนพากันอ้าปากกว้าง

บรรพจารย์ปู่ก็ด่าคนเป็นด้วยหรือ?

ฮว่อหลงเจินหลงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาจึงเดินจากไป ไปหาที่งีบหลับ

จางซานเฟิงจึงเริ่มช่วยเก็บกวาดงานที่อาจารย์ทิ้งไว้ ด้วยการหันไปพูดกับพวกเด็กน้อยว่า “อย่าได้ด่าคนอื่นส่งเดชอย่างบรรพจารย์ปู่ของพวกเจ้า”

นักพรตน้อยคนหนึ่งยกสองมือกอดอก พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “บรรพจารย์ปู่มีลำดับอาวุโสสูงที่สุดบนภูเขา ด่าคนจะเป็นไรไป”

จางซานเฟิงบิดหูเจ้าตัวน้อยแล้วยกขึ้นเบาๆ นักพรตน้อยร้องโอ้ย รีบเขย่งปลายเท้า ร้องอ้อนวอน “อาจารย์อาอย่าได้ตีคนส่งเดช ข้าผิดไปแล้ว”

พอจางซานเฟิงยิ้มแล้วปล่อยมือ นักพรตน้อยถึงได้พูดอย่างโมโหว่า “อาจารย์ข้าเคยสอนว่า หากไม่เคารพผู้อาวุโสก็จะต้องถูกตีจนก้นลาย อาจารย์อาท่านระวังตัว ไว้เถอะ”

จางซานเฟิงนั่งลงแล้วเริ่มเล่าเรื่องด้านล่างภูเขาต่ออีกครั้ง

ศิษย์หลานน้อยผู้นั้นฟังอย่างตั้งใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็พูดบ่นขึ้นมาว่า “อาจารย์อาน้อย ภูตผีสัตว์ประหลาดล่างภูเขาไม่มีดีเลยสักตนหรือ? หากเป็นแบบนี้ เหตุใด บรรพจารย์ปู่ แล้วยังมีพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงทั้งหลายถึงได้ปล่อยให้พวกมัน ทำเรื่องชั่วร้ายได้ล่ะ?”

จางซานเฟิงหัวเราะ “เรื่องนี้หรือ แน่นอนว่าต้องมีคำอธิบาย รอให้สหายของข้ามาเป็นแขกที่บ้านพวกเราเมื่อไหร่ อาจารย์อาน้อยจะให้เขาเล่าให้พวกเจ้าฟัง เขาน่ะ มีเรื่องเล่าภูเขาสายน้ำที่น่าสนใจมากมายนักล่ะ”

นักพรตน้อยคนหนึ่งส่ายหน้าอย่างแรง “ข้ารู้สึกว่าเขาต้องเล่าได้ไม่เก่งเท่าอาจารย์อาน้อยแน่นอน!”

จางซานเฟิงโบกมือ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เชิญพูดเรื่องจริงได้ตามสบาย อีกเดี๋ยวพอหิมะตกแล้วเล่นปาหิมะกัน อาจารย์อาน้อยจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเอง”

นักพรตน้อยคนนั้นรีบปฏิเสธทันที “ฝันไปเถอะ!”

ได้ยินพวกศิษย์พี่เล่าว่าทุกครั้งที่เล่นปาหิมะก็มีอาจารย์อาน้อยนี่แหละที่ถูกปา ลูกหิมะใส่อย่างน่าอนาถที่สุด เพราะตัวสูงที่สุด วิ่งได้เร็ว ต่อให้ถูกปาโดนก็ไม่โกรธ

จางซานเฟิงขยับคอเสื้อชุดคลุมเต๋าแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “กล้าไม่เคารพอาจารย์อาน้อยหรือ? ไม่กลัวว่าอาจารย์เจ้าจะตีเจ้าจนก้นลายหรืออย่างไร?”

นักพรตน้อยคนนั้นทำหน้ายับยุ่ง พูดเสียงเบาว่า “เมื่อปีก่อนอาจารย์จากไปแล้ว”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึง จากนั้นก็ถอนหายใจ ยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตน้อย พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “อันที่จริงยังไม่ได้จากไปเสียหน่อย เจ้าเองก็ยังจำอาจารย์ได้ ไม่ใช่หรือ?”

นักพรตน้อยก้มหน้า ดวงตาแดงก่ำ เขาอืมรับหนึ่งทีก่อนพูดว่า “ตอนที่อาจารย์จากไปก็พูดแบบนี้เหมือนกัน บอกข้าว่าอย่าร้องไห้ เพราะยามใดที่คิดถึงอาจารย์ ก็เท่ากับอาจารย์ไม่ได้จากไปไหน แล้วก็ไม่ต้องคิดถึงบ่อยๆ แค่คิดถึงบ้างเป็นบางครั้ง ก็ดีมากแล้ว ยังบอกอีกว่ารอเมื่อไหร่ที่ข้าคิดถึงอาจารย์แล้วไม่ได้เสียใจมากเท่าเดิมอีก ก็แสดงว่าข้าโตแล้ว พอถึงเวลานั้นก็สามารถลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ได้แล้ว อาจารย์อาน้อย เหตุใดผ่านไปนานขนาดนี้ ตั้งปีกว่าแล้ว ข้าถึงยังเสียใจมาก อยู่เลยล่ะ”

จางซานเฟิงคิดแล้วก็ไม่สามารถเอ่ยคำพูดปลอบใจอะไรออกมาได้

บางทีหากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ เขาอาจทำได้ดีกว่านี้ สำหรับจากลาแต่ละประเภท บนโลกใบนี้ เฉินผิงอันอายุไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์มากกว่า

น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่

ตอนเด็กดูเหมือนว่าวันแล้ววันเล่าเพียงนับนิ้วก็ผ่านพ้นไป

แต่พอโตขึ้นมา เดือนแล้วเดือนเล่าก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี

หากกลายมาเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา พอขอบเขตสูงแล้ว สิบปีร้อยปีก็ดูเหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านพ้น จะจดจำคนข้างกายได้สักกี่คน? แล้วจะมีสักกี่คนที่ถือว่าเป็นคนข้างกายได้?

จางซานเฟิงเคยถามคำถามมากมายกับอาจารย์ ทว่าหลายๆ ครั้งฮว่อหลงเจินเหรินมักจะบอกว่าคำถามนั้นไม่มีคำตอบ เพราะเดิมทีคำถามก็คือคำตอบ หลายครั้งที่มอง ดูเหมือนว่าจะเป็นคำตอบ ก็คือปัญหาข้อถัดไป

จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าอาจารย์ตอบตนอย่างขอไปที ดังนั้นเขาจึงยิ่งสับสน มากกว่าเดิม

อาจารย์มรรคกถาสูงหรือไม่?

แน่นอนว่าไม่สูง

เพราะมรรคถาของอาจารย์ไม่ได้อยู่บนภูเขา ไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่อยู่ในโลกมนุษย์ตีนเขา

นักพรตน้อยคนหนึ่งถามอย่างสงสัย “อาจารย์อาน้อย คิดอะไรอยู่น่ะ?”

จางซานเฟิงกำลังจะตอบ

เจ้าตัวน้อยคนหนึ่งกลับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อนว่า “ต้องแอบคิดถึงแม่นางหน้าตางดงามล่างภูเขาอยู่แน่นอน”

นักพรตน้อยอีกคนหนึ่งจึงเอ่ยรับว่า “เชิญพูดความจริงได้ตามสบาย”

จางซานเฟิงหัวเราะร่า “เรื่องเล่าภูเขาสายน้ำระหว่างการกำจัดปีศาจปราบมารก่อนหน้านี้ยังไม่ต้องพูดถึงก่อน เอาไว้ค่อยเล่าใหม่คราวหน้า อาจารย์อาน้อยจะเล่าเรื่องสนุกกว่าที่เป็นสมบัติก้นกรุให้พวกเจ้าฟัง”

คิดไม่ถึงว่านักพรตน้อยคนหนึ่งจะรีบพูดกับเหล่าสหายทันทีว่า “ไม่ต้องกลัวนะ อาจารย์อาน้อยต้องคิดจะเอาเรื่องภูตผีมาหลอกให้พวกเรากลัวแน่ๆ”

จางซานเฟิงมองเจ้าพวกตะพาบน้อยที่แต่ละคนฉลาดเฉลียวหัวไวไม่แพ้กัน นักพรตน้อยกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างกายตอนนี้ เมื่อเทียบกับพวกศิษย์หลานน้อยที่ลงเขาไปก่อนหน้านั้น ดูเหมือนจะปรนนิบัติยากยิ่งกว่าเสียอีก

จางซานเฟิงจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์ เหตุใดหิมะถึงยัง ไม่ตกสักที”

เจินเหรินผู้เฒ่าที่นั่งงีบหลับอยู่ตรงหน้าผาห่างไปไกลเปิดปากยิ้มกล่าวว่า “จะเข้าห้องส้วมต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนไม่ใช่หรือ”

นักพรตน้อยทุกคนมองอาจารย์อาน้อยด้วยสายตาเวทนา ต่างก็รู้สึกว่าดูเหมือนสมองของอาจารย์อาน้อยจะไม่ดีเท่าไร

จางซานเฟิงลุกขึ้นยืน “ช่างเถอะ จะสอนวิชาหมัดให้พวกเจ้าแล้วกัน”

เสียงฟิ้วดังขึ้นรอบด้าน ทุกคนพากันวิ่งหนีหายไปหมด

ไม่มีหิมะตก ไม่มีเรื่องเล่า แล้วหน้าหนาวก็ไม่มีผลป่าบนภูเขาอะไรให้เก็บ อาจารย์ของแต่ละคนก็ไม่ได้ทำให้ก้นของใครลายพร้อย อาจารย์อาน้อยจึงไม่มีประโยชน์อะไรอีก

จางซานเฟิงพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวน้อยคนหนึ่งหยุดเดิน ไม่ได้จากไป

จางซานเฟิงพอใจอย่างยิ่ง ยิ้มกวักมือเรียก “ดีๆ อาจารย์อาน้อยจะสอนวิชาหมัดให้เจ้าคนเดียวแล้วกัน”

นักพรตน้อยคนนั้นหัวเราะหึหึ แล้วปล่อยหมัดสะเปะสะปะไปหนึ่งคำรบ ปากก็ร้องฮื่อฮ่าตามหมัดที่ปล่อย จากนั้นก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “อาจารย์อาน้อยเรียนเป็นแล้วหรือยัง” แล้วก็วิ่งหายไป

จางซานเฟิงเกาหัว

ศิษย์หลานกลุ่มนี้เจ้าเล่ห์กันจริงๆ อาจารย์อาน้อยควบคุมไม่อยู่เลย

……

ช่วงสนธยา เมืองเล็กในหมู่ชาวบ้านที่ตั้งอยู่ตีนเขาของยอดเขาสิงโต

คนหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดเขียว สะพาบหีบไม้ไผ่ ถือไม้เท้าเดินป่าคนหนึ่งเดินเข้ามา ในร้านขายผ้าที่กิจการไม่เลว

สตรีแต่งงานแล้วที่กำลังรับรองลูกค้าหันหน้ามาเห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ก็ยิ้มทักทาย “โอ้ะ คุณชายน้อยผู้หล่อเหลามาเลือกผ้าแพรต่วนเอาไปตัดชุดสวยๆ ให้ภรรยาของเจ้าหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยด้วยภาษาบ้านเกิด “ท่านอาหลิ่ว ข้าชื่อเฉินผิงอัน อาศัยอยู่ที่ตรอกหนีผิง”

สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันที่ไหวหวาเอ๋อร์ (หวาเอ๋อร์คือ คำเรียกแทนบุตรชาย) ของข้าพูดถึงเป็นประจำนั่นน่ะหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในมือหิ้วของขวัญห่อเล็กห่อใหญ่มาด้วย ล้วนเป็นของ ที่เขาซื้อมาจากร้านในเมืองเล็ก

สตรีแต่งงานแล้วรีบวางการค้าในมือลง ให้สตรีออกเรือนของเมืองเล็กที่ฐานะทางบ้านดีหลายคนนั้นเลือกเนื้อผ้ากันเอาเอง นางหิ้วม้านั่งตัวยาวมาให้เฉินผิงอัน “นั่ง รีบนั่งเร็วเข้า พ่อของหลี่ไหวขึ้นเขาไปแล้ว จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ แต่ว่าบนภูเขาไม่มีพวกนังจิ้งจอก อย่างช้าสุดก็ต้องกลับมาก่อนฟ้ามืดแน่นอน แต่ถ้าถามข้านะ หากมีนังจิ้งจอกอยู่จริงก็ไม่มีทางชอบเจ้าตอไม้ทึ่มทื่อนั่นได้หรอก ก็มีแต่ข้านี่แหละ ที่ปีนั้นถูกน้ำมันหมูบดบังหัวใจ ถึงได้ตาบอดเลือกหลี่เอ้อร์”

สตรีแต่งงานแล้วนั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของม้านั่งยาว นางไม่วางตัวห่างเหินกับเฉินผิงอันแม้แต่น้อย “ตรอกหนีผิง ข้ารู้จัก อยู่ใกล้กับบ่อโซ่เหล็กมาก เป็นตรอกเล็กที่คน ไม่เยอะ ตรงท้ายตรอกมีหญิงหม้ายยังสาวคนหนึ่ง หน้าตาด้อยกว่าข้าเล็กน้อย แม่เฒ่าหม่าของตรอกซิ่งฮวาที่อยู่ใกล้ๆ กับตรอกหนีผิง เจ้าก็น่าจะรู้จักกระมัง? หญิงแก่ผู้นี้ยิ่งอายุมาก ปากคอก็ยิ่งเราะร้าย จุ๊ๆๆ ข้าว่านะ นางน่ะด่าคนจนคนตายฟื้นมาพูดได้เลย หญิงหม้ายตระกูลกู้ของตรอกหนีผิงยังเอาชนะหญิงแก่ผู้นี้ไม่ได้”

เฉินผิงอันวางของขวัญพวกนั้นไว้บนโต๊ะคิดเงินเบาๆ เรียบร้อยแล้วก็ปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ข้างเท้า วางไม้เท้าเดินป่าพิงไว้เอียงๆ นั่งเบี่ยงตัวยิ้มฟังสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ พร่ำพูดถึงเรื่องราวในบ้านเกิดเงียบๆ

สตรีแต่งงานแล้วพลันตบเข่าฉาด “หลี่หลิ่วลูกสาวใจจืดใจดำของข้าคนนั้น เจ้าเคยเจอหรือยัง? คงยังไม่เคยเจอกันสินะ เฮ้อ เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้อะไร ลูกสาวคนนี้ของพวกเราก่อกบฏซะแล้ว นางไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรต่อให้ ถูกเจ้าพวกคนกะล่อนข้างนอกหลอกไป ข้าก็ไม่สงสาร จะถือซะว่าเลี้ยงลูกสาวคนหนึ่งมาเสียเปล่า สงสารก็แต่หลี่ไหวของข้าที่ไม่มีหวังว่าจะได้พึ่งพาพี่เขยแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “หลี่ไหวต้องเล่าเรียนจนได้ดิบได้ดีแน่นอน ข้ารู้จักหลี่ไหว เรียนหนังสือได้ช้า แต่กลับมีแรงฮึดสู้ ที่สำคัญที่สุดคือเด็กคนนี้จิตใจดีเหมือนกับท่านอาทั้งสอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เล่าเรียนได้จากในตำรา บวกกับที่ทุกวันนี้ แม่นางหลี่กลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ อีกทั้ง ยังอยู่ใกล้มาก แค่บนยอดเขาสิงโตนี่เอง

ท่านป้าหลิ่ว สำหรับครอบครัวทั้งหลายที่ในบ้านมีลูกสาวได้ขึ้นไปฝึกตนบนภูเขาแล้ว นี่ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว เชื่อว่าวันหน้าแม่นางหลี่จะต้องเจอคนดีที่เข้ากันได้ดี อย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าข้าพูดจาเกรงใจไปตามมารยาท แต่เป็นเพราะท่านป้าหลิ่ว โชคดีจริงๆ พวกเราที่เป็นชาวบ้านร้านตลาดใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน ถึงอย่างไรก็ต้องมองไปถึงอนาคตยาวๆ ถึงจะสามารถแบ่งแยกสูงต่ำได้ วันนี้เพิ่มขวดเพิ่มโถ พรุ่งนี้สะสมโต๊ะแปดเซียน ค่อยๆ เพิ่มสมบัติให้กับบ้านตัวเองไปทีละชิ้น ชีวิตย่อมต้องมั่นคงได้แน่นอน”

สตรียิ้มหน้าบาน เด็กรุ่นหลังคนนี้ มองแล้วหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังเข้าใจพูด อีกอย่างยังไม่ได้พูดถ้อยคำสวยหรูที่ไม่จริงใจ ขนาดนางก็ยังรู้สึกว่าเป็นความจริงที่มีเหตุผล

อีกอย่างสามารถปกป้องหลี่ไหวด้วยความตั้งใจมาได้ตลอดทางเช่นนั้น จะเป็นคนแย่ ได้สักแค่ไหนกันเชียว? แม้จะบอกว่าดูจากชุดที่สวมใส่ เด็กรุ่นหลังคนนี้ไม่เหมือน เป็นคนร่ำรวยอะไร แต่ขอแค่เป็นคนซื่อสัตย์ ขนาดยังไม่ได้เป็นพี่เขยของหลี่ไหว ก็ยังดีกับหลี่ไหวขนาดนี้ วันหน้ากลายเป็นพี่เขยของหลี่ไหวแล้วจะไม่ยิ่งควักใจให้เขา ยิ่งช่วยเหลือหลี่ไหวอย่างสุดกำลังความสามารถเลยหรือ?

ไม่สู้จับคู่เฉินผิงอันกับลูกสาวตนดีหรือไม่? พอสตรีแต่งงานแล้วคิดเช่นนี้ก็เริ่มใช้สายตาของแม่ยายมองลูกเขยมามองประเมินคนหนุ่มที่เดินทางมาไกลผู้นี้เสียใหม่ ไม่เลวๆ เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนรอบคอบจิตใจละเอียดอ่อน เป็นคนหนุ่มที่รู้จักดูแลคนอื่น ไม่ใช่ว่านางอยากทำผิดต่อหลินโส่วอีที่อยู่ในสำนักศึกษานั่นจริงๆ แต่เป็นเพราะนางรู้สึกว่าคนทั้งสองอยู่ห่างกันไกลขนาดนี้ เมืองหลวงต้าสุยคือสถานที่ใหญ่โตที่ครึกครื้นถึงเพียงนั้น จะมีสตรีหน้าตางดงามน้อยได้อย่างไร หากวันใดหลินโส่วอีเปลี่ยนใจ หรือจะต้องให้บุตรสาวตนกลายเป็นสาวแก่แล้ว ก็ยังไม่ได้แต่งงาน? หลี่หลิ่วเด็กคนนี้หน้าตาดีเหมือนแม่อย่างนางก็จริง แต่สตรีกลับรู้ดีว่าสตรีหน้าตางดงามหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย

หากไปเจอกับบุรุษเจ้าชู้ ยิ่งหน้าตางดงามเท่าไรก็ยิ่งต้องเจ็บปวดใจมากเท่านั้น แล้วถ้ายิ่งเป็นคนทระนงตนก็ยิ่งจะมีชีวิตยากลำบาก เวลาผ่านไปสักเจ็ดแปดปี คาดว่าคงไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเองแล้ว

นางยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกชอบ ไม่ใช่ว่านางพลิกแพลงเก่งอะไร ต่งสุ่ยจิ่งที่ในอดีต มักจะมาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านอยู่เสมอผู้นั้น แน่นอนว่าเป็นคนซื่อไว้ใจได้ แต่นางกลับรู้สึกว่าเขาขาดอะไรบางอย่างมาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนหลินโส่วอี ต่างก็ พูดกันว่าเขาคือเมล็ดพันธ์บัณฑิต นางจึงรู้สึกว่าสูงส่งจนเกินจะปีนป่าย แต่นางก็ได้ยินมาว่าปีนั้นบิดาของเด็กคนนี้เคยทำงานอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการ ตำแหน่งขุนนาง ยังไม่เล็ก อีกอย่างครอบครัวที่สามารถย้ายไปอยู่เมืองหลวงได้ ธรณีประตูบ้านจะต่ำ ได้หรือ? หากหลี่หลิ่วแต่งงานไปกับเขาจริงๆ ลูกสาวโง่ที่ไม่เข้าใจเรื่องราวและนิสัย ใจคอผู้คนของนางคนนี้จะไม่ถูกโขกสับรังแกแย่หรือ? ในอนาคตหากหลี่ไหวไปเยี่ยมจะไม่ถูกคนเฝ้าประตูใช้สายตาสุนัขมองอย่างดูแคลนด้วยหรือไร?

เฉินผิงอันหรือจะคิดได้ว่าท่านอาหลิ่วกำลังดีดลูกคิดรางแก้วอะไรอยู่ เห็นว่า ผู้อาวุโสท่านนี้เพียงยิ้มไม่เอ่ยถ้อยคำ กลัวว่าจะทำให้เสียบรรยากาศ เขาจึงเป็นฝ่ายชวนคุยเรื่องสัพเพเหระเสียเอง

เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปมอง แล้วจึงถอนสายตากลับ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาหญิง ท่านอาหลี่กลับมาแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วยื่นตัวออกไปมองนอกประตู กลับมาแล้วจริงๆ ด้วย จึงยิ้มกล่าวว่า “ถึงเวลากินข้าวพอดี เดี๋ยวอาจะไปทำอาหารของบ้านเกิดมาให้เจ้ากินสักหน่อย”

สตรีลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความเคยชิน “หลี่เอ้อร์!”

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มาหาทันที

สตรีบ่นอย่างไม่พอใจว่า “ไม่เห็นหรือว่าเฉินผิงอันมาที่บ้านพวกเรา? กลับมาบ้านแล้วยังเดินอืดอาดอยู่ได้ ออกจากบ้านไปทีก็ราวกับไปเดินเก็บเงินบนพื้นอย่างไรอย่างนั้น”

หลี่เอ้อร์ยิ้มพลางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา “มาแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาเรียกหนึ่งคำว่า “ท่านอาหลี่”

สตรีเห็นว่าหลี่เอ้อร์ทำท่าจะนั่งบนตำแหน่งของตัวเองจึงพูดอย่างเดือดดาลว่า “ไปซื้อเหล้าสิ หรือว่าแอบเก็บซ่อนเงินเอาไว้ซื้อเครื่องประทินโฉมให้พวกนังจิ้งจอกหมดแล้ว?”

หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างอัดอั้น “ในกระเป๋าข้าไม่เคยมีเงินเสียหน่อย”

สตรีแต่งงานแล้วตบโต๊ะคิดเงินแรงๆ “มาหยิบเงินไปจากในลิ้นชักเอง แล้วรีบไปซื้อเหล้าดีๆ มาสองกา ข้าจะให้เฉินผิงอันไปพักในห้องที่เตรียมไว้ให้หลี่ไหว ซื้อเหล้ามาแล้วก็คิดดูว่ามีของอะไรที่ขาดไปหรือไม่ ตอนซื้อเหล้าก็ซื้อมาพร้อมกันให้ครบทีเดียว”

ตอนที่หันไปมองเฉินผิงอัน สตรีเปลี่ยนมาเป็นหน้าตายิ้มแย้ม “เฉินผิงอัน มาถึงที่นี่แล้วก็คิดซะว่ามาอยู่บ้านตัวเอง หากเกรงใจกันเกินไป อาจะโกรธนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เกรงใจท่านอาหญิง หน่อไม้ผัดเนื้อต้องห้ามขาด”

สตรีคลี่ยิ้ม “มี ต้องมีแน่นอน”

หลี่เอ้อร์หยิบเงินแล้วก็เดินออกจากร้านมาพร้อมเฉินผิงอัน

ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงและคนบ้านเดียวกัน อีกอย่างตอนนี้ก็อยู่ที่ตีนเขาของยอดเขาสิงโต จึงไม่ต้องกังวลว่าไม่มีคนดูร้านแล้วจะเกิดเรื่อง

คนทั้งสองเดินไปบนถนนที่เริ่มเงียบสงัด เฉินผิงอันถามเสียงเบาว่า “ท่านอาหลี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าหลี่ซีเซิ่งแห่งตรอกฝูลวี่ หรือก็คือพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิง ตอนนี้ อยู่ที่ไหนในอุตรกุรุทวีป?”

หลี่เอ้อร์ตอบ “รู้ ก่อนหน้านี้คนผู้นี้พาเด็กรับใช้ที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาด คนหนึ่งแวะมาเยี่ยมข้าที่นี่ เดี๋ยวค่อยเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที”

เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก

ไม่อย่างนั้นตนคงหาเขาเจอได้ยากจริงๆ

หลี่เอ้อร์ลังเลอยู่เล็กน้อย กวาดตามองรอบด้าน สุดท้ายมองไปยังมุมหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด

ตลอดทั้งถนนสายใหญ่ มีเพียงเฉินผิงอันที่พอจะสัมผัสถึงสัญญาณเล็กน้อยนั่นได้อย่างเลือนราง

คาดว่าต่อให้มีคนที่อยู่ใกล้เคียงเบิกตามองมายังหลี่เอ้อร์พอดีก็ไม่มีความสามารถมากพอจะมองเห็นการออกหมัดของเขา

จากนั้นทะเลเมฆที่อยู่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดก็มีเสียงสายฟ้าระเบิดดังอื้ออึงที่ขนาดเมืองเล็กแห่งนี้ก็ยังได้ยินแว่วมา

หลังจากปล่อยหมัดออกไปแล้ว หลี่เอ้อร์ก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงเอ่ยว่า “หลี่ซีเซิ่ง ให้ข้าบอกเจ้าว่า ก่อนจะไปหาเขา จำเป็นต้องบอกเรื่องหนึ่งให้เจ้ารู้ก่อน ปีนั้นที่เขามอบยันต์ไม้ท้อให้เจ้า ไม่ใช่การกระทำง่ายๆ ที่เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้กะทันหัน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเจ้าไม่ได้รับเอาไว้ จากนั้นเขาก็เลยไปวาดยันต์ไว้บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว นั่นคือการตัดขาดผลกรรมไม่เล็กที่มีความเกี่ยวพันกับเจ้าอย่างแนบแน่นครั้งหนึ่ง ดังนั้นหลี่ซีเซิ่งจึงไม่ต้องการให้เจ้าซาบซึ้งใจใดๆ หากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปหาเขา”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

หลี่เอ้อร์เดินมาถึงร้านเหล้าตรงมุมถนนแห่งหนึ่งก็ควักเงินซื้อเหล้าที่แพงที่สุด สองกามาจากเถ้าแก่ร้าน “ได้พึ่งใบบุญของเจ้า”

ลูกค้าหนุ่มคนหนึ่งยิ้มถาม “หลี่เอ้อร์ หลี่หลิ่วลูกสาวเจ้าไม่ได้ลงจากเขามาหรือ? คงไม่ใช่ว่าแม่นางหลี่ไปอยู่จวนเทพเซียนบนภูเขาจนชินแล้วก็เลยดูแคลนคอกหมาล่างภูเขาหรอกกระมัง?”

หลี่เอ้อร์ไม่ได้สนใจ

ระหว่างที่เดินกลับ หลี่เอ้อร์พยักหน้ายิ้มกล่าว “ขอบเขตหกนี้ของเจ้ามั่นคงดีมาก”

ยามอยู่กับหลี่เอ้อร์ เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องมีข้อห้ามให้กริ่งเกรงมากนัก เขาเอ่ยว่า “ถูกผู้อาวุโสกู้โย่วต่อยสามหมัดชี้แนะให้ตอนอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนไปทางตะวันออกของลำน้ำจี้ตู๋”

หลี่เอ้อร์อืมรับหนึ่งที แต่เพียงไม่นานก็เอ่ยว่า “สามหมัดถือว่าน้อยไปหน่อย”

เฉินผิงอันตอบ “ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นผู้อาวุโสกู้ต้องรีบไปตามนัดต่อสู้กับผู้อาวุโส จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำราม”

การต่อสู้ครั้งนั้น หลี่เอ้อร์ไม่ได้เข้าร่วมวงชมความครึกครื้นด้วย

เพราะไม่มีความจำเป็น

หลี่เอ้อร์กล่าว “ไม่เป็นไร ที่ข้าไม่ขาดอาหารบนโต๊ะ หมัดก็มีเหมือนกัน”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “กินข้าวให้อิ่มก่อนค่อยว่ากันเถอะ”

หลี่เอ้อร์เผยสีหน้าจริงจังอย่างที่หาได้ยาก เขาหันหน้ามาถามว่า “ข้าต้องรู้เรื่องเรื่องหนึ่งก่อน ต้องการอะไร? คำว่าแข็งแกร่งที่สุด?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “นับตั้งแต่วันแรกที่ฝึกหมัด ก็ไม่เคยต้องการสิ่งนี้ ระหว่างนี้เพราะมีสาเหตุมาจากคนอื่น จึงเคยคิดต้องการคำว่าแข็งแกร่งที่สุดและโชคชะตาบู๊ เพียงแต่สุดท้ายค้นพบว่าอันที่จริงทั้งสองอย่างไม่ถือว่าขัดแย้งกันเอง”

หลี่เอ้อร์ยังมองเฉินผิงอันไม่เลิก

เฉินผิงอันจึงพูดต่อว่า “หากอาศัยแค่การฝึกหมัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแรงกายหรือแรงใจ ปณิธานหมัดของทั้งร่างล้วนพุ่งสู่จุดสูงสุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นในเรื่องนี้ ในเมื่อรู้จักกับท่านอาหลี่แล้ว แน่นอนว่าต้องลองเรียกร้องเพิ่มเติมดูสักครั้ง ข้าไม่สนใจชะตาบู๊ แต่ข้าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการฝ่าทะลุของปณิธานหมัดมากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือ ขอบเขตร่างทองนี้ จำเป็นต้องเป็นขอบเขตร่างทองที่เรือนกายของข้าเฉินผิงอันผ่านการหล่อหลอมถึงขีดสุดแล้ว ข้าต้องการแค่สิ่งนี้”

หลี่เอ้อร์ไม่ได้พูดเรื่องการฝึกหมัดอะไร แต่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แขกอย่างเจ้า ไม่กินข้าว ท่านอาหลิ่วของเจ้าก็คงไม่ยอมเป็นแน่ นางไม่ยอม ข้าก็ไม่กล้าเก็บกวาดจานชาม”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีจริง”

หลี่เอ้อร์ถึงได้ตบไหล่เฉินผิงอัน “กินดื่มอิ่มหนำแล้ว หลังจากป้อนหมัด ค่อยเอ่ยประโยคนี้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!