Skip to content

Sword of Coming 558

บทที่ 558 เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน

เด็กสาวและสตรีโตเต็มวัยกลุ่มหนึ่งกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำ จุดที่ภูเขาและสายน้ำเชื่อมต่อกันมีหน่ออ่อนกล้วยไม้แช่อยู่ในสายน้ำ ต้นสนต้นป่ายบนภูเขาเขียวขจี

สตรีออกเรือนแล้วที่เฉินผิงอันเรียกว่าท่านอาหลิ่วกับบุตรสาวหลี่หลิ่วนำเสื้อผ้า มาปูซักอยู่บนกระดานหินเขียวริมน้ำด้วยกัน

เมืองเล็กตรงตีนเขาของยอดเขาสิงโตมีคนอยู่อาศัยสี่ห้าร้อยครัวเรือน จำนวนคนไม่น้อย มองดูเหมือนว่าจะอยู่ติดกับยอดเขาสิงโต แต่ในความเป็นจริงแล้วเส้นหนึ่ง ที่กั้นขวางกลับทำให้ต่างกันราวฟ้ากับดิน ตลอดเวลานับร้อยนับพันปีพวกเขาแทบจะไม่เคยไปมาหาสู่กัน และก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับ ที่เส้นทางการเดินขึ้นเขาของยอดเขาสิงโตอยู่ห่างจากเมืองเล็กค่อนข้างไกล ต่อให้เป็นเด็กเล็กซุกซนที่ชอบเล่นสนุกแค่ไหน อย่างมากสุดวิ่งมาถึงหน้าประตูภูเขาก็หยุดเดินไม่ได้วิ่งไปต่อแล้ว มีใครกล้าบุกไปรบกวนการฝึกตนของเซียนบนภูเขาบ้างเล่า หลังจบเรื่องจะต้องถูกผู้ปกครองหิ้วตัวกลับมา จับนอนคว่ำพาดม้านั่งยาว ตีจนก้นลายร้องไห้จ้า

ในเมืองหลวงคนที่อยู่มาจนผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี หากไม่ใช่คนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการของอำเภอ ไปหาเงินก้อนใหญ่อยู่นอกบ้าน กลับบ้านมาก็สร้างเรือนหลังใหญ่ ไม่ก็เป็นในครอบครัวที่เด็กรุ่นหลังในตระกูลเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต หรือไม่ก็เป็น หญิงหม้ายหน้าตาดี นอกจากนี้ก็คือคนที่เปิดร้านทำการค้าอย่างท่านอาหลิ่ว ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด คนที่ปากร้ายไม่ยอมคนส่วนใหญ่ก็มักไม่มีใครยอมปล่อยไปง่ายๆ ไปๆ มาๆ ทุกคนจึงรู้จักสตรีแซ่หลิ่ว สตรีออกเรือนแล้วของเมืองเล็กแห่งนี้ มักจะชอบหัวเราะเยาะสตรีแซ่หลิ่วคนนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่นางบอกว่าลูกชายของตนเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาใหญ่นั้นก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อ แม้แต่เรื่องที่ว่าสตรีได้ ให้กำเนิดลูกชายที่สืบพันธ์จริงได้หรือไม่ ก็ยังไม่มีใครยินดีจะเชื่อ

ลูกสาวหน้าตาสวยงามแล้วอย่างไร พอแต่งงานออกเรือนก็ยังต้องเป็นน้ำที่ สาดออกไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นมีลูกสาวหน้าตาดีขนาดนี้ ควันเขียวก็คง ผุดขึ้นมาบนหลุมศพบรรพบุรุษแล้ว ว่ากันว่าไปเป็นสาวใช้ให้เทพเซียนผู้เฒ่าบางคนบนยอดเขาสิงโต หากมีบุตรชายที่มีหวังว่าจะมียศถาชื่อเสียงอีกคน ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าล้วนถูกนางครอบครองไปคนเดียว พวกนางจะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร? ในใจ จะไม่อัดอั้นแย่หรือ?

ดังนั้นพวกนางจึงไม่คิดว่าสตรีแซ่หลิ่วจะหาลูกเขยที่สูงส่งเกินจะปีนป่ายได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็แต่งกายไม่เฉิดฉัน คำพูดคำจายามที่เอ่ยกับผู้อื่นก็ไม่มีราศี ของคนมีเงินหรือคนที่เคยเล่าเรียนหนังสือมาก่อน เวลาที่พูดคุยกับคนอื่น มองคน ต้องมองที่ดวงตา คนที่สายตาล่อกแล่กความคิดชั่วร้ายย่อมมีมาก หลักการเหตุผล ตื้นเขินข้อนี้ พวกชาวบ้านร้านตลาดให้ความสำคัญเป็นที่สุด

ดังนั้นลูกเขยที่ร้านตระกูลหลี่เลือกมาคงไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้เพื่อนบ้านอิจฉา ตาร้อน แต่ก็จำต้องยอมรับว่า คนหนุ่มผู้นี้นิสัยใจคอไม่เลว เหมาะจะเป็นคู่ครองที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างยาวนานได้

ลูกเขยของบ้านอื่นไม่ถือว่าดีมากนัก แต่ก็ไม่ถือว่าแย่เกินไป ในใจของเหล่าสตรีทั้งหลายจึงรู้สึกต่างไปจากเดิม

หลี่หลิ่วฟังมารดาที่พูดคุยกับคนอื่นด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย นางที่ใช้ไม้ทุบผ้า ก็ครุ่นคิดเรื่องอื่นไปด้วย คิดจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กเกิดขึ้นในร้านและ เมืองเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ก็ใหญ่จนไม่ได้อยู่แค่ในใต้หล้าไพศาล

ชาตินี้ภพนี้นางหล่นลงมาในถ้ำสวรรค์หลีจู เดิมทีก็คือการจัดการวางแผน อย่างตั้งใจของทางฝั่งร้านตระกูลหยางอยู่แล้ว นางรู้ว่าครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอยู่ใกล้ร้านตระกูลหยางขนาดนั้น และในความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นเช่นนี้ ปีนั้นนางกับหลี่เอ้อร์ผู้เป็นบิดาไปที่ร้านแห่งนั้นด้วยกัน หลี่เอ้อร์ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างอยู่ในร้านด้านหน้า ส่วนนางไปที่เรือนด้านหลัง

หยางเหล่าโถวพูดจารุนแรงกับนางเป็นครั้งแรก บอกว่าหากนางยังฝึกตนด้วยวิธีเดิมๆ เปลี่ยนสถานะและเนื้อหนังมังสาครั้งแล้วครั้งเล่า เดินเร็วขึ้นเขา เพียงแค่ไป เดินวนอยู่บนยอดเขา แล้วสะสมไปอีกสิบชีวิต ผ่านไปอีกพันปี ก็ยังคงเป็นแค่ พวกครึ่งๆ กลางๆ แม้แต่คนก็ยังไม่ใช่ ยังคงติดค้างอยู่ที่คอขวดของขอบเขต เซียนเหรินตลอดเวลา ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ชีวิตนี้ฝึกตนได้ขอบเขตบินทะยานแล้วจะอย่างไร? หมัดจะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? ถอยไปพูดอีกก้าว สถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมีอริยะมากมายขนาดนั้น จะปล่อยให้เจ้าหลี่หลิ่วได้มีโอกาสปลดปล่อยฝีมือจริงหรือ? อย่างมากสุดหลังจากตายไปหนึ่งครั้งก็คือตายอีกครั้ง ความเป็นความตายที่วนเวียนเป็นวงจรเช่นนี้ไม่ได้มีความหมายมากนัก มีเพียงทุกครั้งที่ตายสามารถสะสมคุณความชอบได้หนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ทำลายกฎเกณฑ์ ให้ศาลบุ๋น จดลงบัญชีไว้สักครั้งเท่านั้นที่ยังพอจะมีความหมาย

ตลอดหลายปีที่หลี่หลิ่วอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู นางไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก ความทรงจำที่นางมอบให้แก่เพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตกของเมืองเล็ก นอกจากหน้าตางดงามเหมือนมารดานาง แต่นิสัยเหมือนหลี่เอ้อร์แล้ว ก็คือมือเท้าคล่องแคล่วว่องไว พูดไม่มาก ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนางที่มีค่าพอให้เอามาพูดถึง ทั้งไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันที่สนิทกันมากเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่มีจุดที่พวกผู้ใหญ่ต้องชี้แนะสั่งสอน

แต่หลี่หลิ่วมักจะไปรับหลี่ไหวที่โรงเรียนเป็นประจำ ทว่านางกลับไม่เคยพูดกับอาจารย์ฉีท่านนั้น

ตอนที่อาจารย์ฉีสอนหนังสือ แล้วพอเห็นเด็กสาวที่อยู่นอกห้องเรียนก็จะมอง แวบหนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่พยักหน้าเบาๆ พร้อมยิ้มให้เท่านั้น

ราวกับว่าเป็นเพียงแค่การปฏิบัติตามมารยาท หรือไม่ก็ถือว่ามองนางเป็นคนแล้ว?

หลี่หลิ่วเห็นเรื่องราวประหลาดบนโลกมานับร้อยนับพันรูปแบบ บวกกับรากฐานและสถานะของนางจึงทำให้เมินเฉยต่อโลกมนุษย์มานานแล้ว แรกเริ่มก็ไม่ได้คิด อะไรมาก เพียงแค่มองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านนี้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อทั่วไปที่มาเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก

หลี่หลิ่วเคยถามร้านตระกูลหยางว่าอาจารย์สอนหนังสือที่ตลอดทั้งปีเอาแต่ สอนหลักการเหตุผลให้กับเด็กเล็กในหมู่บ้านชนบทรู้ประวัติความเป็นมาของตนหรือไม่ ปีนั้นหยางเหล่าโถวไม่ได้ให้คำตอบ

ครั้งเดียวที่อาจารย์ฉีพูดคุยกับนางก็คือ คราวนั้นเขาที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มาดื่มเหล้ากับหลี่เอ้อร์บิดาของนาง

ตอนที่นางหยิบกับแกล้มง่ายๆ สองสามจานมาวางไว้บนโต๊ะ อาจารย์ฉียิ้มพูด กับนางว่า ‘หลี่หลิ่ว พวกเราเกิดมาท่ามกลางฟ้าดิน อันที่จริงไม่ได้มีความต่างกัน มากนัก ก็แค่การเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อครั้งหนึ่งที่มองดูเหมือนไม่มีโอกาสกลับคืนสู่บ้านเกิดก็เท่านั้น สุดท้ายสิ่งที่ตัดสินว่าพวกเราเป็นใคร ไม่ใช่เนื้อหนังมังสาที่ ทรุดโทรมลงทุกวัน มีเพียงว่าพวกเราคิดอย่างไร ถึงขั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเราต้องการอะไร ต้องการเดินทางไปไกลแค่ไหน แต่เป็นเพียงแค่วิชาความรู้บนคำสองคำว่า’ อย่างไร ‘เท่านั้น ชีวิตคนนั้นสั้นนัก ต้องมีจุดหยุดเดินที่แม้จะยังมีเรี่ยวแรงแต่ก็ไม่อาจช่วยให้ข้าเดินหน้าได้ต่อ ถึงเวลานั้นพอมองย้อนกลับมา บนเส้นทางที่เดินมา แต่ละก้าวก็คืออย่างไรที่เดินออกมาเป็นอะไร’

จากนั้นอาจารย์ฉีก็หยิบถ้วยขาวใบใหญ่บรรจุเหล้าชั้นเลวที่หมักเองขึ้นมาเบาๆ ‘ต้องเคารพพวกเจ้า เพราะมีพวกเจ้า ถึงได้มีพวกเรา มีฟ้าดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ และยิ่งมีข้าฉีจิ้งชุนที่ได้มาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่’

อาจารย์ฉีกระดกเหล้าดื่มรวดเดียวหมด

หลี่หลิ่วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดื่มตามไปหนึ่งถ้วย

ตอนนั้นสตรีออกเรือนแล้วที่อยู่ในห้องส่งเสียงกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า เด็กที่ชื่อหลี่ไหวส่งเสียงละเมอเบาๆ บางทีขณะที่กำลังฝันคงยังกังวลว่าวันนี้มัวแต่เล่น ไม่ทันได้ทำการบ้าน พรุ่งนี้ไปถึงโรงเรียนแล้วควรจะหาข้ออ้างอย่างไรจะได้ผ่านด่านอาจารย์ที่เข้มงวดไปได้

เดินกลับร้านไปพร้อมกับท่านแม่ หลี่หลิ่วคล้องตะกร้าผ้าไว้ที่แขน ระหว่างทาง มีบุรุษผิวปากแซว

สตรีบ่นพึมพำว่าหลี่ไหวเจ้าเด็กใจดำ นานขนาดนี้แล้วไม่รู้จักส่งจดหมายกลับมาบ้านเสียบ้าง หรือมัวเล่นสนุกอยู่ข้างนอกเลยลืมแม่ไปแล้ว แต่ก็กังวลอีกว่าหลี่ไหว อยู่ข้างนอกเพียงลำพังจะกินไม่อิ่มสวมเสื้อผ้าไม่อุ่น ถูกคนรังแก คนข้างนอกไม่ใช่แค่ทะเลาะกันด้วยปากแล้วจบเรื่อง หากหลี่ไหวต้องเสียเปรียบ อีกทั้งข้างกายยังไม่มี คนคอยช่วยเหลือ ควรจะทำอย่างไร

หลี่หลิ่วจึงเอ่ยคำพูดปลอบใจมารดา สตรีจึงหันหน้ามาพูดว่านางนั่นแหละที่ ใจจืดใจดำที่สุด หลี่ไหวน่ะอยู่ไกลบ้าน จึงไม่ได้ตอบแทนกตัญญูต่อพ่อแม่ เจ้าที่เป็นพี่สาวกลับดีนัก ไปเสวยสุขอยู่บนภูเขาคนเดียว ปล่อยให้พ่อแม่ต้องหาเงิน อย่างยากลำบากอยู่ที่ตีนเขาทุกวัน

หลี่หลิ่วรู้สึกจนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเรื่องประเภทนี้ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่เชี่ยวชาญมากกว่า พูดแค่สองสามคำก็ทำให้คนสบายใจได้แล้ว

……

บนผิวกระจกถ้ำสถิตยอดเขาสิงโต

วันนี้หลี่เอ้อร์ไม่ได้รีบร้อนให้เฉินผิงอันออกหมัด แต่กลับพูดถึงเรื่องสัจธรรมแห่งหมัดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

หลี่เอ้อร์พูดเข้าประเด็นว่า “พวกเราที่เป็นคนฝึกวรยุทธ ใช้ศิลปะการต่อสู้วิชาการโจมตี สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สิ่งที่ต้องบำรุงด้วยความอบอุ่นก็คือ พลังในการสังหารและทำลายศัตรู เด็กเล็กๆ ในหมู่ชาวบ้านคงหวังให้ตัวเอง ปล่อยหมัดไปแล้วต่อยให้กำแพงพังอิฐแตก ทำให้คนตาย นี่เกิดจากนิสัยตามธรรมชาติ ดังนั้นข้าหลี่เอ้อร์จึงไม่เคยเชื่อในคำว่าเดิมมนุษย์นั้นมีสันดานดีงาม เพียงแต่ว่า ลัทธิขงจื๊อสั่งสอนได้ดี ทำให้คนเชื่อได้ มักจะรู้สึกว่าการเป็นคนดีที่ดีอย่างไรก็ยัง แยกไม่ออก ก็คือเรื่องดี ส่วนจะทำหรือไม่ทำก็ยังไม่ต้องพูดถึง นี่จึงเป็นเหตุให้ยามที่ ผู้ฝึกยุทธอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น ยามที่คนชั่วทำความเลว ส่วนมากก็รู้ดีว่าตัวเอง ทำเรื่องที่ผิด ซึ่งนี่ก็คือคุณความชอบของบัณฑิต”

หลี่เอ้อร์หันมาส่งยิ้มกว้างให้เฉินผิงอัน “อย่าเห็นว่าข้าไม่เคยเรียนหนังสือแล้วจะต้องเป็นบุรุษหยาบกระด้างที่ทำได้แค่เข้าไร่ไถนา หลักการเหตุผล ข้ายังพอจะมี อยู่บ้างสองสามข้อ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพูด แมวในหมู่บ้าน ที่ร้องเก่ง มักจะจับหนูไม่เก่ง เจิ้งต้าเฟิงศิษย์น้องของข้าทำไม่ได้ เพราะวันๆ เอาแต่พูดจู้จี้จุกจิกราวกับสตรี ช่วยไม่ได้ คนเราขอแค่ฉลาดสักหน่อยก็มักอดที่จะคิดมาก พูดมากไม่ได้ อย่าเห็นว่าเจิ้งต้าเฟิงทำตัวไม่เป็นการเป็นงาน แต่อันที่จริงแล้วความรู้ของเขาไม่น้อย น่าเสียดายที่ซับซ้อนเกินไป ไม่บริสุทธิ์มากพอ หมัดที่เปื้อนน้ำโคลนย่อมเร็วไม่ได้”

“ได้สอนวิชาหมัดอย่างที่หาได้ยาก วันนี้จึงพูดกับเจ้าเฉินผิงอันมากหน่อย แค่ครั้งนี้เท่านั้น”

หลี่เอ้อร์มองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล หลี่เอ้อร์ยกปลายเท้าขึ้นเสียดสีกับพื้นเบาๆ “เจ้าและข้ายืนอยู่กันคนละจุด เจ้าเผชิญหน้ากับข้าหลี่เอ้อร์ ต่อให้จะใช้ขอบเขตหกมาคุมเชิงกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบก็ยังต้องมีความคิดว่าจะหยัดยืนอยู่ในจุดที่ไม่พ่ายแพ้แม้ขอบเขตจะแตกต่างกันมาก ไม่ได้หมายความว่าแพ้ให้ข้าไม่ได้ แต่เป็นเพราะยามที่คุมเชิงกับศัตรูที่แข็งแกร่ง เรือนกายและหมัดยังไม่ขยับแต่จิตใจกลับวุ่นวายเสียก่อนแล้ว ยังไม่ทันต่อสู้ก็แพ้แล้ว นั่นต่างหากคือการรนหาที่ตาย”

มองดูเหมือนว่าหลี่เอ้อร์ยังไม่ขยับเขยื้อน

แต่เฉินผิงอันกลับไถลตัวออกไปในแนวขวางไกลหลายจั้งแล้ว

กระแสน้ำรอบด้านของผิวกระจกขนาดใหญ่ยักษ์หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงขั้นที่ ยังมีลางว่าจะไหลทวนกระแสย้อนกลับ

นี่ก็คือจุดที่ปณิธานหมัดของหลี่เอ้อร์ไปถึง

“มีใจที่อยากช่วงชิงชัยชนะเอาชีวิตรอด ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องทำตัวเป็นคนบุ่มบ่าม ที่ไม่รู้จักหนักเบา ร่างถอยทว่าปณิธานหมัดเพิ่มทะยาน ก็ไม่ถือว่าถอยให้แม้แต่ ครึ่งก้าว”

หลี่เอ้อร์ผงกศีรษะ พูดต่อไปว่า “มนุษย์ธรรมดา หากชีวิตปกติอยู่ใกล้กับมีด ก็ย่อมไม่กลัวกระบองกระบี่ เป็นเหตุให้ยามที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขัดเกลามหามรรคา จึงต้องไปประลองฝีมือกับคนรุ่นเดียวกันบ่อยๆ หรือไม่ก็ไปเยือนสนามรบ ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวรับมือกับศัตรูนับสิบ ฝ่าวงล้อมดาบทวนกระบี่หอกนับร้อยออกไปให้ได้ นอกจากตัวบุคคลแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คืออาวุธที่พวกเขาพกพามาด้วย สิ่งที่ฝึกฝน ก็คือดวงตาหนึ่งคู่ที่มองเส้นทางสี่ด้าน หูฟังแปดทิศ และยิ่งเพื่อตามหาจิตบู๊ดวงหนึ่ง ให้เจอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็กล้าออกหมัดใส่”

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “หากยังไม่ได้เรียนวรยุทธอย่างแท้จริงก็ต้องเผชิญกับ ความยากลำบากและอุปสรรคมาก่อนแล้ว นี่ไม่เพียงแต่ต้องให้ผู้ฝึกยุทธขัดเกลา เรือนกาย หล่อหลอมกระดูกเส้นเอ็นให้แข็งแกร่งทนทาน ก็ยังหวังด้วยว่ายามที่เจอกับคนที่มีฝีมือแตกต่างกันอย่างชัดเจน จะไม่เกิดใจหวาดกลัว แต่หากเรียนวิชาโจมตีสังหารคนได้สำเร็จแล้ว แต่กลับจมจ่อมอยู่กับมัน สักวันหนึ่งมันย่อมย้อนกลับมาเป็นภาระให้ตัวเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ออกหมัดสูง”

แล้วก็พูดเสริมอย่างรวดเร็วอีกประโยคว่า “ไม่ออกหมัดง่ายๆ”

หลี่เอ้อร์ถึงได้หยุดมือ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่คำกล่าวว่า ‘ไม่ออกหมัดสูง’ ของเฉินผิงอัน ก็คงต้องกินหมัดที่อย่างน้อยต้องมีพละกำลังเริ่มต้นที่ขอบเขตสิบเน้นๆ เต็มๆ อีกหนึ่งหมัด

ฝึกหมัดฝึกวรยุทธก็คือการเผชิญกับความเจ็บปวดทรมาน หากคิดแค่ว่าถ้าไม่ต้องออกหมัดได้ก็จะไม่ออกหมัด ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไร

หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ที่เดิม ลมหายใจเป็นปกติ เขายื่นมือข้างซ้ายออกมา ใช้มือข้างขวาตบข้อมือซ้าย ท่อนแขนช่วงล่าง ข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อทีละจุดเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “เส้นเอ็นและกระดูกของคนเหมือนรากภูเขาเส้นทางมังกร กล้ามเนื้อ แต่ละจุดก็เหมือนกลุ่มภูเขาที่รวมตัวกัน ขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก หล่อหลอม เรือนกาย สิ่งที่ขัดเกลาก็คือขอบเขตเล็กละเอียดทุกๆ ขอบเขต เอาทุกจุดที่ เล็กละเอียดอย่างถึงที่สุดซึ่งมีมากนับไม่ถ้วนมาขัดเกลาให้ได้ถึงจุดสูงสุด จากนั้น ก็สะสมเพิ่มไปโดยที่ไม่ขัดแย้งกันเอง หนึ่งหมัดปล่อยไป ประตูเมืองไม่อยากเปิด ก็ต้องเปิด ขุนเขาไม่ปริแตกก็ต้องปริแตก!”

หลี่เอ้อร์เก็บมือข้างขวามาแล้วพลันสะบัดมือซ้าย

พายุลมกรดพัดโหมจนชุดเขียวของเฉินผิงอันสะบัดเสียงดังพึ่บพั่บ

กระแสน้ำไหลรอบผิวกระจกก็ยิ่งไหลย้อนกลับ

หลี่เอ้อร์พูดเช่นนี้ เฉินผิงอันฟังได้เข้าใจเป็นอย่างดี เพราะนี่มีความคล้ายคลึง กับการสะสมปราณวิญญาณในจวนช่องโพรงที่ผู้ฝึกลมปราณพยายามจะบุกเบิก ให้ได้มากที่สุด

สิ่งที่ต้องการนั้นมองดูเหมือนเป็นการช่วงชิงกับคนขอบเขตเดียวกันที่สามารถนั่งทัดเทียมกันได้ แต่ข้ากลับสามารถใช้จำนวนที่มากกว่าเอาชนะจำนวนที่น้อยกว่า หนึ่งกำลังสยบกดสิบกำลัง

หลี่เอ้อร์แยกขาแยกมือตั้งท่าหมัดช้าๆ

สุดท้ายเมื่อตั้งท่าหมัดได้มั่นคงแล้ว หลี่เอ้อร์จึงกล่าวว่า “เท้า มือ ตา ท่า กำลัง ลมปราณ ปณิธาน ในนอกรวมเป็นหนึ่ง นี่ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กที่ผู้ฝึกลมปราณ สร้างขึ้น ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเรามีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์อยู่หนึ่งเฮือก ก็คือกองทัพ ม้าเหล็กหนึ่งกองที่บุกเบิกดินแดน ทว่าผู้ฝึกลมปราณกลับแสวงหาผู้พิทักษ์ดินแดน ที่มีคุณความชอบ มีนครยักษ์โอฬาร จัดวางค่ายกลขบวนรบ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เจิ้งต้าเฟิงพูด ข้าคิดคำพูดที่ไพเราะเช่นนี้ไม่ออก”

หลี่เอ้อร์กระทืบเท้าเบาๆ “ขาไม่มีพละกำลังก็คือผีบังตา หากแรกเริ่มของการฝึกวรยุทธแล้วก้าวแรกเดินผิดก็เท่ากับยันต์ผีวาด ไม่ต้องไปคิดถึงขอบเขตที่ ‘พลังชีวิตเปี่ยมล้น คนคือคนสมบูรณ์แบบ’ เลย”

หลี่เอ้อร์ยื่นนิ้วออกมาง่ายๆ งอนิ้วลงเบาๆ ชี้ไปที่ดวงตาทั้งคู่ของตัวเอง “จะฝึกวรยุทธให้เข้าขั้นก็จะต้องฝึกดวงตาทั้งคู่ให้แจ่มกระจ่าง ประเมินศัตรูอยู่ในใจ มองหมัดอยู่ในดวงตา”

เสี้ยววินาทีนั้นเฉินผิงอันก็ถูกสองหมัดต่อยกระแทกลงบนหน้าอก ร่างถอยกรูดปลิวออกไป เขาหมุนตัวอยู่กลางอากาศ สองมือจับพื้น ห้านิ้วงอเป็นตะขอ บนพื้นผิวกระจกถึงขั้นเกิดเป็นประกายไฟสองสาย เฉินผิงอันถึงจะหยุดเรือนกายที่ถอยกรูดเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองตกลงไปในน้ำได้

หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ เอ่ยว่า “หมัดนี้ของข้าไม่หนักและไม่เร็ว แต่เจ้าก็ยังสกัดขวางไว้ไม่อยู่ เป็นเพราะอะไร? เพราะดวงตาและ ใจของเจ้ายังผ่านการฝึกฝนมาไม่มากพอ

ต่อกรกับผู้แข็งแกร่ง ระหว่างเส้นแบ่งแห่งความเป็นความตาย สัญชาตญาณหลายอย่างทั้งสามารถช่วยชีวิต แล้วก็ทั้งทำให้เกิดความผิดพลาดได้ การขยับตัว ของข้าเมื่อครู่นี้ ทำให้เจ้าเฉินผิงอันมองนิ้วมือและดวงตาทั้งคู่ของข้าตามจิตใต้สำนึก นี่ก็คือสัญชาตญาณของคนเรา ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันจะระวังมากพอ ก็ยังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง ทว่าเสี้ยวหนึ่งนี้กลับเป็นตัวตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ การเข่นฆ่ากับผู้อื่นตัวต่อตัว ไม่ใช่การท่องเที่ยวตามภูเขาสายน้ำ ไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ใคร่ครวญอย่างละเอียด ขยับเข้าใกล้อีกก้าว ใจถึงแต่มือยังไม่ไปถึง นี่ก็คือโรคใหญ่ของการฝึกวรยุทธเหมือนกัน”

หลี่เอ้อร์พูดมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองมองคนอย่างละเอียดมากพอแล้ว แล้วก็ระมัดระวังตัวทุกชั่วขณะมากแล้วใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือปาดคราบเลือดตรงมุมปาก แล้วพยักหน้ารับ

หลี่เอ้อร์กล่าว “นี่ก็คือต้นตอโรคที่ทำให้ปณิธานหมัดของเจ้าเกิดจุดด่างพร้อย เพราะมักจะรู้สึกว่าความสามารถในข้อนี้มีมากพอแล้ว แต่ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ตอนนี้เจ้าน่าจะยังไม่รู้ชัดเจน การเข่นฆ่าระหว่าง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าบนโลก ส่วนใหญ่มักจะตายอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองถนัดที่สุด เพราะอะไร? เพราะหากเป็นข้อเสียก็มักจะระมัดระวังรอบคอบมากขึ้น แต่การออกหมัดคือข้อดี จึงมักจะรู้สึกพึงพอใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้”

ต่อมาหลี่เอ้อร์ก็ตั้งท่าหมัดและท่ามือเริ่มต้นของกระบวนท่าหมัดอีกครั้ง

นั่นก็คือท่าปรับแก้มังกรใหญ่ที่เฉินผิงอันคุ้นเคยที่สุดและท่ากระบวนเทพตีกลองสายฟ้าที่เขาถนัดที่สุด

หลี่เอ้อร์กล่าว “ในตำรายุทธบอกไว้ว่าสามเศียรหกกรก็คือวิชาอภินิหาร นั่นไม่ใช่เรื่องตลกขำขันในหมู่ชาวบ้านอะไร ใต้หล้านี้แบ่งหมัดได้นับร้อยนับพันรูปแบบ มีกระบวนท่าหมัดและท่าเดินวิชาหมัด

โครงท่าหมัดคือรากฐาน ท่าเดินคือพื้นฐาน กระบวนท่าหมัดคือภาพลักษณ์ สามรวมเป็นหนึ่ง ก็คือความแตกต่างของประเภทหมัด จึงมีตำราหมัดนับไม่ถ้วน บนโลก เจ้าเดินทางผ่านยุทธภพมาไม่น้อย ก็น่าจะรู้ว่าระหว่างหมู่ชาวบ้านชอบเรียกคนในยุทธภพทั่วไปว่าเป็นพวกนักต่อสู้ ก็ด้วยเหตุผลนี้”

หลี่เอ้อร์ตั้งท่าหมัดที่สอง ปล่อยหมัดออกไปง่ายๆ ก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า เป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเหมือนกัน แต่พอออกมาจากมือของหลี่เอ้อร์ มองดูเหมือนเนิบช้านุ่มนวล แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธาน เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของเฉินผิงอันกลับให้ความรู้สึกว่าแตกต่างกับท่าของตัวเองราวฟ้ากับดิน

หลี่เอ้อร์ปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปอีกหมัด เป็นปณิธานหมัด ที่แตกต่างจากเดิมอีกครั้ง กระชั้นรัวราวฟ้าผ่า แล้วเขาก็พลันหยุดหมัด ยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกยุทธรับมือกับศัตรู ขอแค่ขอบเขตไม่ต่างกันมากเกินไป ต่างคนก็ย่อมมี สัจธรรมแห่งหมัดเป็นของตัวเอง กระบวนท่ามีนับพันนับหมื่น และโอกาสที่จะแพ้ หรือชนะก็มีนับพันนับหมื่นเช่นกัน เพียงแต่ว่าหากกลายไปเป็นพวกนักต่อสู้ที่ แค่เชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัว ก็มีดีแค่หมัดสวยลูกเตะงดงาม ต่อสู้ได้อย่างน่ามองเท่านั้น หมัดกลัวคนหนุ่มแข็งแรง? หมัดที่ต่อยอย่างสะเปะสะปะทำให้อาจารย์แก่ ตายได้? อาจารย์แก่ไม่ต้องตั้งท่าหมัดอะไร แค่ปล่อยหมัดออกไปง่ายๆ นักต่อสู้ที่ร้องตะโกนโอ้อวดตนอยู่นานก็ตายแหงแก๋แล้ว”

เฉินผิงอันพลันศีรษะสะบัดเบี่ยงไปด้านข้าง

หลี่เอ้อร์มายืนอยู่ด้านหน้าแล้ว หมัดของขอบเขตสิบปาดผ่านข้างแก้มของเฉินผิงอันไปอย่างหวุดหวิด

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “สอนแล้วก็เข้าใจ เข้าใจแล้วก็ทำตาม ไม่เลวเลย”

นี่ยังคงเป็นหมัดที่ ‘ไม่เร็ว’ แต่พละกำลังกลับไม่น้อย หากเฉินผิงอันหลบไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นการป้อนหมัดของวันนี้ก็คงต้องจบลงตรงนี้ อีกทั้งควรเป็นเขาหลี่เอ้อร์ที่ต้องถ่อเรือกลับ

หลี่เอ้อร์เก็บหมัด แม้เฉินผิงอันจะหลบหมัดที่เดิมทีควรร่วงลงบนหน้าผากอย่างจัง มาได้ แต่กระนั้นก็ยังถูกพายุเสี้ยวเล็กถี่ยิบกรีดใบหน้าจนเกิดเป็นรอยเลือดเส้นหนึ่ง เลือดสดไหลหลั่งลงมาไม่หยุด

หลี่เอ้อร์กล่าว “เจ้าเชี่ยวชาญการขโมยเรียนวิชาหมัดของคนอื่น ช่วยป้อนหมัด ให้เจ้ามานานขนาดนี้ ไหนเจ้าลองเลียนแบบความหมายของโครงท่าหมัดข้าบ้างสิ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วปล่อยหมัดเลียนแบบหลี่เอ้อร์ไปหนึ่งหมัด

หลี่เอ้อร์ยืนอยู่ด้านข้าง เดินไปตามการออกหมัดของเฉินผิงอัน คอยชี้แนะข้อด้อยบางส่วนของโครงท่าหมัด ระหว่างทางก็เตะน่องขาเล็กของเฉินผิงอันไปเบาๆ แล้วใช้สองนิ้วที่ประกบงอเคาะลงบนข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่ของเฉินผิงอัน สุดท้ายเอ่ยว่า “อย่าเอาแต่ฝึกโครงท่าอย่างตายตัว ร่างกายของทุกคนมีความแตกต่างกันมากมาย ลำพังเพียงแค่ส่วนสูงของเจ้ากับข้าก็ไม่เหมือนกันแล้ว แม้ว่าเจ้าจงใจจะเปลี่ยนแปลงท่าหมัดไปเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังขาดความหมายอีกมาก กำลังที่ตายตัวไม่มีค่า มากพอ เกณฑ์ที่สูงที่สุดของปณิธานหมัดคือคำว่ามีชีวิต หมัดมีชีวิต ก็เท่ากับว่า เป็นชีวิตที่สองของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเรา เมื่อเทียบกับจิตหยางกายนอกกาย จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงลมปราณเดินทางไกลของผู้ฝึกลมปราณแล้ว ยังสำคัญ ยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยหมัดอีกรอบ

“ทิศทางถูกต้องแล้ว”

หลี่เอ้อร์พยักหน้า “ฝึกวิชาหมัดไม่ใช่การฝึกตน ต่อให้ขอบเขตของเจ้า จะถูกยกขึ้นสูงแค่ไหน แต่หากไม่ลงมือในจุดที่เล็กละเอียดที่สุด ถ้าอย่างนั้น การทรุดโทรมของเส้นเอ็นและกระดูก การเสื่อมถอยของเลือดลม จิตใจ ไม่กระปรี้กระเปร่า ล้วนเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งสิ้น หนีไม่พ้นแม้แต่ข้อเดียว นักต่อสู้ล่างภูเขาฝึกวิชาหมัดทำร้ายร่างกายตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาหมัด สายนอกที่เป็นเพียงแค่การเอาชีวิตมาแลกเปลี่ยนกับพละกำลังและลมปราณ วิชาหมัดไม่ถูกเคี่ยวกรำให้ลึกซึ้งถึงแก่น ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจึงได้แต่อาศัยปณิธานหมัดมาหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเอง เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้อธิบายให้ชัดเจน ได้ยาก”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เอ้อร์ก็นั่งลงขัดสมาธิ ยื่นมือกวักเรียกให้เฉินผิงอันนั่งลงด้วยกัน

หลี่เอ้อร์เงียบไปพักใหญ่ คล้ายกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจอย่างที่หาได้ยาก “‘ภายนอกการพรรณนาภาพจริง ความหมายของภาพภายนอก’ นี่ก็คือคำกล่าวที่เจิ้งต้าเฟิงกล่าวหลังจากฝึกวิชาหมัดในปีนั้น เขาพร่ำพูดอยู่หลายรอบ ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็จำเอาไว้แล้ว เจ้าก็ลองฟังดูว่า จะมีประโยชน์หรือไม่ วิธีการเรียนวิชาหมัดของข้ากับเจิ้งต้าเฟิงไม่ค่อยเหมือนกัน และอันที่จริงสัจธรรมแห่งหมัดของพวกเราสองฝ่ายก็ไม่มีสูงต่ำ หากเจ้ามีโอกาส ตอนกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็สามารถพูดคุยกับเขาได้ เจิ้งต้าเฟิงก็แค่มีปณิธานหมัดที่ ต่ำกว่าข้า ถึงทำให้ดูเหมือนว่าวิชาหมัดสู้ข้าที่เป็นศิษย์พี่ไม่ได้ ช่วงเวลาหลายปีที่ เจิ้งต้าเฟิงเพิ่งจะฝึกเรียนหมัด เขาบ่นอยู่ตลอดว่าอาจารย์ลำเอียง มักจะคิดว่าวิธีการเรียนวิชาหมัดที่อาจารย์เลือกให้พวกเราสองคนนั้น จงใจให้เขาเจิ้งต้าเฟิงเดินช้ากว่าหนึ่งก้าว พอช้าไปก้าวหนึ่ง ทุกก้าวก็ช้าตามไปด้วย ภายหลังอันที่จริงตัวเขาเองก็คิดจนเข้าใจได้กระจ่างแล้ว ก็แค่ว่าปากไม่เคยยอมรับเท่านั้น ดังนั้นข้าถึงรำคาญปาก ของเขามาก คนคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตู ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ปากกลับไม่มีหูรูด ดังนั้นเวลาที่ต้องประลองฝีมือกัน ข้าจึงมักจะซ้อมเขาไปไม่น้อย”

หลี่เอ้อร์กำสองมือเป็นหมัด ร่างโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย เพียงแค่ท่วงท่าที่เป็นไปโดยความเคยชินนี้ กลับทำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาตั้งตระหง่าน

ล้วนเป็นเพราะปณิธานหมัดทั้งสิ้น

หลี่เอ้อร์เอ่ยเนิบช้า “ฝึกวิชาหมัดได้สำเร็จส่วนเล็ก ยามที่นอนหลับ ปณิธานหมัดจะไหลรินทั่วร่าง ยามเจอศัตรูก็จะตื่นขึ้นมาก่อน เหมือนมีเทพคอยปกป้องคนฝึกหมัด ยามนอนหลับยังเป็นเช่นนี้ นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงตอนตื่นเลย ดังนั้นคนฝึกวรยุทธ จะต้องการสมบัติอาคมติดตัวไปทำไม? นี่ก็คือหลักการเดียวกันกับที่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่ต้องการใช้วัตถุอื่นในการโจมตี”

หลี่เอ้อร์หัวเราะ ต่อยหมัดหนึ่งลงบนผิวกระจกเบาๆ จากนั้นก็คลายหมัดเป็น ฝ่ามือ แล้วกำเป็นหมัดหลวมๆ เอ่ยว่า “เหนือหัวคือฟ้าใส ใต้เท้าคือผืนดิน เก็บหมัดเหมือนอุ้มเด็กทารก นี่ก็คือการมีพร้อมทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวล หากเอาแต่แสวงหาความสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว ย่อมไม่ใช่สัจธรรมแห่งหมัดที่แท้จริง นานวันเข้า ยิ่งฝึกหมัดนานเท่าไรก็จะยิ่งสามารถเชื่อมโยงติดต่อ เก็บปล่อยได้ตามใจปรารถนามากเท่านั้น เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้านี้เป็น วิชาหมัดที่ดี? ถึงขั้นสามารถถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาหมัดที่ดีที่สุดในใต้หล้าได้อีกด้วย? เพราะมองดูเหมือนดุร้าย แต่กลับมีความหมายของ ‘คนต่อยหมัด’ ที่แท้จริง ไม่ใช่คนตามหมัด”

เฉินผิงอันรู้สึกกังขาเล็กน้อย แล้วก็สงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าคำถามที่อยู่ในใจ ไม่เหมาะจะเอ่ยออกมาก็เท่านั้น เพราะเฉินผิงอันอยากรู้ว่า ในสายตาของหลี่เอ้อร์ ผู้อาวุโสชุยที่อยู่ชั้นสองของภูเขาลั่วพั่วคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นอย่างไร

พอพูดมาถึงกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า แน่นอนว่าต้องพูดถึงผู้เฒ่าคนนั้น หลี่เอ้อร์มองไปยังทิศไกล เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสชุยเฉิงเป็นคนมหัศจรรย์ วิชาหมัดที่เขาถ่ายทอดให้เจ้าเป็นการถ่ายทอดที่แท้จริง ไม่ได้เป็นเพียงแค่การป้อนหมัด สอนวิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น

มองดูเหมือนว่าชุยเฉิงถ่ายทอดวิชาหมัดที่ดุดันรุนแรงให้แก่เจ้าอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับนิสัยที่เหมือนน้ำไหลไม่ใจแข็งแม้แต่น้อยของเจ้า เฉินผิงอันแล้ว กลับเป็นการช่วยส่งเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกัน นี่ก็คือมาด ของปรมาจารย์อันดับหนึ่งสมชื่ออย่างแท้จริง ข้าหลี่เอ้อร์ทำไม่ได้”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เอ้อร์ก็ส่ายหน้า พูดซ้ำอีกว่า “ข้าทำไม่ได้แน่นอน”

เฉินผิงอันถอนหายใจ

พูดได้แค่ว่าความทรมานเจ็บปวดบนชั้นสองเรือนไม้ไผ่ในปีนั้น ขนาดคนที่ไม่กลัวความเจ็บปวดอย่างเขาเฉินผิงอันก็ยังต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ชั้นหนึ่งแอบร้องไห้ในผ้าห่มคนเดียว

หลี่เอ้อร์เอ่ย “ดังนั้นเจ้าเรียนหมัด ก็ได้แค่ให้ชุยเฉิงสอนรากฐานสัจธรรมหมัด แก่เจ้าก่อนเท่านั้นจริงๆ ส่วนข้าหลี่เอ้อร์ค่อยเป็นคนมาช่วยชดเชยซ่อมแซม ปณิธานหมัดให้เจ้า นี่ต่างหากจึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากข้าสอนเจ้าก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยชุยเฉิง ก็เท่ากับว่าใช้กำลังสิบจินลงนาปลูกข้าว แต่กลับได้ผล เก็บเกี่ยวแค่เจ็ดแปดจิน ไม่มีความหมาย ไม่มีทางได้ดิบได้ดี”

เฉินผิงอันจึงเกิดคำถามข้อใหม่อีกข้อ

เหตุใดหลี่เอ้อร์ไม่ประลองวิชาหมัดกับชุยเฉิง

หลังจากที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ระหว่างนี้ได้กลับไปที่เขต การปกครองหลงเฉวียนหนึ่งครั้ง

แต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ยืนอยู่บนยอดเขาของการเรียนวรยุทธในใต้หล้าเหมือนกันทั้งสองคนนี้กลับไม่เคยประมือกัน

น่าเสียดายก็แต่หลี่เอ้อร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้

หลี่เอ้อร์ตบหัวเข่า ลุกขึ้นพลางยิ้มกล่าวว่า “พูดคุยกันได้พอประมาณแล้ว คำพูดในวันนี้ เมื่อเอาคำพูดตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ในอุตรกุรุทวีปมารวมกัน ยังมากกว่าเสียอีก ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ข้าก็จะใช้กำลังที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า มาขอความรู้วิชาหมัดเขย่าขุนเขาจากเจ้า วางใจเถอะ จะไม่สอดแทรกหมัด ขอบเขตสิบไว้แน่นอน แต่ข้าก็แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ดีใจเร็วเกินไปนัก ขอบเขตเก้านี้หนักแน่นเต็มแรง ทางฝั่งของร้านขายผ้า ท่านอาหลิ่วของเจ้าอยากจะรั้งให้เจ้าอยู่ต่อสักหลายๆ วัน ข้าไม่กล้ารับปาก เพราะอาจจะถ่วงเวลาการเดินทางของเจ้าใช่ไหมล่ะ? แต่ในเมื่อเรื่องของการป้อนหมัดเป็นเจ้าที่รนหาที่เอง ต่อยให้เจ้าได้แต่ค่อยๆ รักษาอาการบาดเจ็บสักสองสามเดือน แม้แต่จะเดินก็ยังยาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าเฉินผิงอัน ก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว”

เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง

แบบนี้ก็ได้หรือ?

ผลคือหนึ่งหมัดพุ่งมาถึง

ต่อให้เฉินผิงอันจะรู้ว่าท่าไม่ดี พยายามจะยกสองแขนขึ้นบัง แต่ก็ยังถูกหมัดนี้ต่อยให้กลิ้งหลุนๆ ไปตลอดทางจนพลัดหล่นจากผิวกระจก ตกลงน้ำไปโดยตรง

……

วันนี้ชุยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้สอนวิชาหมัดให้เผยเฉียน กลับกันยังสวมชุดลัทธิขงจื๊อ ไม่เปลือยเท้า แต่สวมรองเท้าหุ้มแข้งที่เฉินหรูชูช่วยเตรียมไว้ให้ผู้เฒ่านานแล้ว เดินออกมาจากชั้นสอง เขามายืนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เอาสองมือไพล่หลัง มองตัวอักษรที่อยู่บนผนังเรือนไม้ไผ่ คือยันต์ที่หลี่ซีเซิ่งวาดไว้ให้ในอดีต ตัวอักษรนั้นดีมาก ในฐานะ อดีตเจ้าประมุขของสกุลชุยแห่งแจกันสมบัติทวีป ความรู้ในอดีตของชุยฉาน ผู้เป็นหลานชาย ถึงอย่างไรก็ได้ผู้เฒ่าที่ช่วยปูรากฐานมาให้ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ถึงความสูงต่ำของบทความ ความดีเลวของตัวอักษรในโลกใบนี้

ตัวอักษรที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่เหล่านี้มีความหมายที่หนักอึ้ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทำให้ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกลดระดับลงมาได้หลายส่วน

ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถอยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้โดยที่ไม่กลายเป็นคนสติวิปลาสน่าสงสารที่เป็นบ้าคลุ้มคลั่งมาเกือบร้อยปี ถึงขั้นที่ว่ายังพอจะรักษาสภาพจิตใจที่ ใสกระจ่างส่วนหนึ่งเอาไว้ได้

เผยเฉียนออกไปเล่นแล้ว ด้านหลังก็คือแมลงตามก้นน้อยอย่างโจวหมี่ลี่ที่ติดตามไปด้วย บอกว่าจะไปที่ตรอกฉีหลงสักรอบ ดูว่าเมื่อไม่มีนางเผยเฉียน กิจการจะขาดทุนหรือไม่ แล้วยังต้องพลิกเปิดดูสมุดบัญชีอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงไม่ให้เถ้าแก่ที่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างสือโหรวเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเอามาเป็นผลประโยชน์ ส่วนตน

ผู้เฒ่าไม่ได้ขัดขวาง เด็กตัวใหญ่เท่าก้น หากไม่มีความร่าเริงสมวัยบ้างเลย หรือจะให้วันๆ เอาแต่เซื่องซึมเหมือนตาแก่หนังเหนียวอย่างพวกเขา?

ชุยเฉิงผลักประตูเรือนไม้ไผ่ชั้นหนึ่งให้เปิดออก ด้านในเป็นทั้งห้องหนังสือ แล้วก็วางเตียงไม้ไว้หลังหนึ่ง

ถูกแม่หนูเฉินหรูชูผู้นั้นทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด

หลังออกมาจากห้องแล้ว ชุยเฉิงก็เดินเท้าตรงไปยังสำนักศึกษาหลินลู่บน ยอดเขาพีอวิ๋น พอกลับมาก็มานั่งอยู่ข้างโต๊ะหินริมหน้าผา เฉินหรูชูไม่ได้ลงจากเขา ไปกับเผยเฉียน บนภูเขามีเรื่องมากมายให้ต้องทำ นางต้องทำงานทุกอย่างตรงเวลาตรงสถานที่ แต่กระนั้นก็ยังมีงานให้ทำไม่จบสิ้น เห็นว่าผู้เฒ่าชุยออกจากเรือนไม้ไผ่ เฉินหรูชูจึงรีบยกกล่องอาหารไม้แดงกล่องใหญ่ไปให้ หยิบกาเหล้ากับแกล้มออกมา จัดวาง ชุยเฉิงยิ้มถามว่าทำไมถึงไม่มีเมล็ดแตง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มเขินอาย แล้วหยิบเมล็ดแตงกำใหญ่จากกระเป๋าเสื้อออกมาวางลงบนโต๊ะ

เฉินหลิงจวินยังคงชอบเตร็ดเตร่ไปทั่วเพียงลำพังอยู่เหมือนเดิม วันนี้เห็นผู้เฒ่า นั่งดื่มเหล้าอยู่บนโต๊ะหิน เขาก็ถึงกับขยี้ตาอย่างแรง ถึงได้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

เฉินหลิงจวินไม่กล้าตีสนิทกับตาแก่ผู้นี้ เพราะอีกฝ่ายที่อยู่ในเขตการปกครอง หลงเฉวียนก็คือบุคคลที่สามารถต่อยตนให้ตายได้ด้วยหมัดเดียว

คิดไม่ถึงว่าชุยเฉิงจะกวักมือเรียก “มานั่งนี่”

เฉินหลิงจวินหน้าม่อย “ผู้อาวุโส หากข้าไม่ไปนั่งก็จะต้องถูกซ้อมใช่ไหม?”

ชุยเฉิงพยักหน้ารับ

เฉินหลิงจวินรีบวิ่งปรู๊ดมาหาทันที ชายชาตรีต้องยืดได้หดได้ ไม่อย่างนั้นตนที่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนจะมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร อาศัยตบะงั้นรึ?

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “จงใจวางเดิมพันให้ตัวเองแพ้ทุกสามวันห้าวัน สนุกนักหรือ”

เฉินหลิงจวินกะพริบตาปริบๆ “อะไร?”

ชุยเฉิงเห็นว่าเขาแกล้งโง่ก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เพียงถามชวนคุยว่า “เฉินผิงอันไม่เคยโน้มน้าวให้เจ้าขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับพี่น้องเทพวารีแม่น้ำ อวี้เจียงของเจ้าหรือ?”

เฉินหลิงจวินส่ายหน้า เขายกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดบนผิวโต๊ะที่สะอาดเอี่ยม ยิ่งกว่ากระจกเบาๆ “เขาเป็นคนดีเกินเหตุยิ่งกว่าข้าเสียอีก พูดไปเรื่อยเปื่อยว่าหากมีน้ำใจก็ให้ใช้เงินได้เต็มที่ เขาไม่มีโน้มน้าวข้าแบบนั้นหรอก ยังจะช่วยตบหน้าข้าให้ดูเป็นคนอ้วนด้วย”

ชุยเฉิงเอ่ย “ครั้งนี้ที่เฉินผิงอันเดินทางไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีป ครึ่งหนึ่งก็เพื่อเจ้า เดินทางเลียบลำน้ำใหญ่ระยะทางไกลเป็นหมื่นลี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย”

เฉินหลิงจวินเงียบงัน

ชุยเฉิงคีบจอกเหล้าว่างเปล่าใบหนึ่งขึ้นมา รินเหล้าลงไปแล้วยื่นส่งให้เด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผู้อาวุโส คงไม่ใช่สุราลงทัณฑ์หรอกกระมัง? ข้าที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วรอบคอบระมัดระวังในทุกเรื่อง ให้เป็นวัวเป็นม้า ก็ยอมหมด ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายสักนิดเลยนะ”

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ”

เฉินหลิงจวินรับจอกเหล้ามาจิบด้วยท่าทางน่าสงสาร

ชุยเฉิงถาม “เฉินผิงอันปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้ ในอนาคตเจ้าสามารถปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาทำต่อเจ้าสักครึ่งหนึ่งได้ไหม?”

เฉินหลิงจวินตอบเสียงเบา “คงจะได้กระมัง?”

ชุยเฉิงยิ้ม “แค่นี้ก็พอแล้ว”

คราวนี้กลายเป็นเฉินหลิงจวินบ้างที่ต้องสงสัย “แค่นี้ก็พอแล้ว?”

ชุยเฉิงเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

เฉินหลิงจวินจึงพึมพำว่า “เจ้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย ใช่ว่าจะพูดถูก”

ชุยเฉิงเอ่ยสัพยอก “มาเดิมพันกันดีไหมล่ะ?”

เฉินหลิงจวินโอดครวญทันที “ข้าไม่มีเงินเหลือแล้วจริงๆ นะ! เหลือแค่เงินเก็บไว้แต่งเมียที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็เอาออกมาใช้ไม่ได้ สมบัติเล็กน้อยแค่นี้ แม้แต่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ห้ามแตะ ห้ามแตะจริงๆ !”

ชุยเฉิงกล่าว “เคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดทั้งๆ ที่พยายามแสร้งทำเป็นว่ากลัวข้ามากแล้ว แต่อันที่จริงกลับไม่ได้รู้สึกกลัวข้ามากขนาดนั้น? ไม่แน่ว่าเวลาที่เจอกับคนหรือเรื่องราวที่ไม่อาจรับมือได้จริงๆ ก็อาจจะยังกล้าขอให้ข้าช่วยเหลือด้วย?”

เฉินหลิงจวินก้มหน้า มือหนึ่งกำเป็นหมัดหมุนวนเบาๆ รอบจอกเหล้า พูดเสียงแผ่วว่า “เพราะนายท่านคนดีของข้าผู้นั้นน่ะสิ”

ชุยเฉิงถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดเฉินผิงอันถึงได้ยินดีให้เจ้ามาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งยังดีกว่าเจ้าไม่น้อยไปกว่าที่เขาดีกว่าคนอื่น”

เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างอัดอั้น “เพราะเขาเป็นคนดีเกินเหตุ”

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “เพราะในสายตาของเฉินผิงอัน เจ้าเองก็ไม่เลว”

เฉินหลิงจวินพึมพำเบาๆ “ผายลมเถอะ”

ชุยเฉิงถาม “ว่าอะไรนะ?”

เฉินหลิงจวินรีบเงยหน้าขึ้นทันที มือทั้งสองประคองจอกเหล้า ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า พวกเราสองพี่น้องมาดื่มเหล้าสักจอก?”

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินหลิงจวินเองต้องนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

พวกเราสองพี่น้อง?

รนหาที่ตายหรืออย่างไร?

เฮ้อ นิสัยในยุทธภพเช่นนี้ของตน ไม่เพียงแต่ทำให้คนที่เห็นรู้สึกขำขัน ยังอาจจะขำ จนตายอีกด้วย

ตีให้ตายเฉินหลิงจวินก็คิดไม่ถึงว่า ชุยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่มีโทสะ กลับกันยังยกจอกเหล้ายิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มหนึ่งจอก”

ดื่มเหล้ากันไปแล้ว เฉินหลิงจวินก็ยังนั่งไม่เป็นสุขอยู่ดี

ชุยเฉิงเองก็ไม่ได้รั้งเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ไว้นานนัก “เฉินผิงอันไม่ค่อยจะพูดจาเกรงใจตามมารยาทกับคนใกล้ชิดข้างกาย ดังนั้นเจ้าลองไตร่ตรองดูให้มากๆ ได้ว่าตัวเองดูแคลนตัวเองเกินไปหรือไม่ บนร่างของเจ้าต้องมีเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอัน รู้สึกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังทำไม่ได้”

เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง ลุกขึ้นยืนแล้วค้อมเอวเอ่ยขอตัวลาอย่างนอบน้อม เขาหันหลังเดินจากไปช้าๆ จากนั้นก็พลันชักเท้าวิ่งตะบึง เพียงแต่ว่าพอวิ่งออกไปได้ไกลมากแล้ว เขาก็อดไม่ไหวหยุดวิ่งหันหน้ากลับมามองอีกครั้ง

ตาเฒ่าชุยวันนี้ดูแปลกไปจากเดิม

ชุยเฉิงดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง

ตอนที่ยังเป็นหนุ่ม มักจะรู้สึกว่าในใจมีมีดที่ลับจนคม ฉายประกายคมกริบ หมื่นปีก็ไม่ถูกทำลาย

……

หลังจากการฝึกหมัดครั้งหนึ่งผ่านไป

เฉินผิงอันที่เรือนกายท่วมไปด้วยเลือด แต่กลับยังสามารถนั่งได้อย่างหาได้ยาก และยังถึงขั้นสามารถใช้วิชาน้ำวักน้ำมาล้างหน้าได้อีกด้วย

หลี่เอ้อร์นั่งอยู่ด้านข้าง

เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาสองกา ตนกับหลี่เอ้อร์ดื่มกันคนละกาพลางพูดคุยกันไปด้วย

เพราะหลี่เอ้อร์บอกว่าไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียน

แม้จะบอกว่าพูดคุยกัน แต่อันที่จริงกลับเป็นเฉินผิงอันที่พูดเรื่องในอดีตอยู่คนเดียว

โดยไม่ทันรู้ตัวก็เริ่มพูดตั้งแต่อุตรกุรุทวีไปจนถึงใบถงทวีป แล้วก็ไปถึงแจกันสมบัติทวีปกับบ้านเกิด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จำได้ว่าครั้งแรกที่ไปส่งจดหมายหาเงินเหรียญทองแดง ที่ถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ เดินบนเส้นทางดินโคลนในตรอกหนีผิงและทางของเตาเผามังกรมาจนชินแล้ว ได้เหยียบลงบนถนนหินเขียวเป็นครั้งแรกเลยกลัวว่ารองเท้าแตะของตัวเองจะทำให้พื้นสกปรก เกือบไม่รู้ว่าควรจะยกเท้าเดินต่ออย่างไร ภายหลังไปส่งพวกเป่าผิง หลี่ไหวที่ต้าสุย ไปเป็นแขกในตระกูลของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนหนึ่งในแคว้นหวงถิง นั่งกินข้าวบนโต๊ะก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ครั้งแรกที่เข้าพักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนก็แสร้งทำเป็นว่าผ่อนคลาย พยายามควบคุมดวงตาไม่ให้ กวาดมองไปทั่วค่อนข้างเหนื่อยไม่น้อย”

“ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเคยร่วมงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง กู้ช่านเป็นคนจัด บนโต๊ะอาหารมีองค์ชายผู้ลี้ภัย มีบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ และยังมีลูกศิษย์ของเซียนซือ หากไม่พูดถึงความผิดหวังที่มีต่อกู้ช่าน ได้เห็นว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดรับรองผู้คน วางตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ อันที่จริงส่วนลึกในใจกลับรู้สึกดีใจอยู่มาก นี่ก็คือความเห็นแก่ตัวของข้าที่ฮว่อหลงเจินเหรินพูดถึง ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดท้ายตรอกหนีผิง ไม่มีข้าเฉินผิงอัน ก็ดูเหมือนว่าจะยังมีชีวิตที่ดีได้ ตอนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน มีเพียงครั้งนั้นเท่านั้นที่ข้าอยากจะทิ้งทุกอย่างโดยไม่สนใจสิ่งใดดูสักครั้ง จะได้ไม่ต้องมีเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายหลัง”

“เรื่องราวหลายๆ อย่าง อันที่จริงล้วนไม่คุ้นเคย บอกไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ทว่าก็ได้แต่ปรับตัวให้ชินกับมันเท่านั้น”

“ยุทธภพคืออะไร แล้วเทพเซียนเล่าคืออะไร”

“ข้าเบิกตากว้าง พยายามมองคนแปลกหน้าและเรื่องราวไม่คุ้นเคยทั้งหมดให้ได้มากที่สุด หลายๆ เรื่องแรกเริ่มไม่เข้าใจ แล้วก็มีหลายเรื่องที่ภายหลังเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดี”

หลี่เอ้อร์เปิดปากถาม “รู้สึกแย่มากเลยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็แค่รู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย แต่บางครั้งก็คิดว่า ตลอดทาง ที่เดินมานี้ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่เสียหน่อย อีกอย่าง ได้เห็นกับตาตัวเองว่าในใต้หล้ายังมีคนอีกมากมายขนาดนั้นที่มีชีวิตยากลำบากกว่าตน มีทั้งคนที่ไม่อาจ มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ แล้วก็มีทั้งคนที่มีชีวิตราวกับว่าความลำบากจะไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจะไปหาใครให้พูดคุยด้วย? ก็ได้แต่ทนรับไว้ พยายามผ่านพ้นแต่ละวันไปให้ได้ไม่ใช่หรือ หรือหากทนไม่ไหวแล้ว ก็เหมือนคนในตรอกมากมายของบ้านเกิดที่พอ ป่วยหนัก รู้ตัวแล้วก็ไปหายามากิน ต้มยาสองสามถ้วย จากนั้นก็ตายไป ญาติในครอบครัวเข้าใจ คนที่รับเคราะห์กรรมนอนอยู่บนเตียงก็ยิ่งเข้าใจดี ไม่ใช่ว่า ไม่เสียใจ แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก”

“หากมีวันหนึ่งข้าจะต้องไปจากโลกใบนี้ จะต้องให้คนจดจำข้าให้ได้ พวกเขาอาจจะเสียใจ แต่จะไม่มีทางมีเพียงความเสียใจเท่านั้น รอให้วันใดที่พวกเขาไม่เสียใจมากขนาดนั้นอีกแล้ว ยังคงใช้ชีวิตของตัวเองไป บางครั้งก็อาจลองย้อนนึกดูว่า เคยรู้จักคนคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ เรื่องบางอย่าง ที่ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มีเพียงเฉินผิงอันที่ทำ แล้วก็ทำสำเร็จ”

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก ทอดสายตามองทิศไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พอคิดถึงว่าฤดูหนาวของทุกปีจะได้กินเนื้อผัดหน่อไม้จานหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจมากแล้ว ราวกับว่าพอวางตะเกียบลง ฤดูหนาวก็ผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว”

หลี่เอ้อร์หันหน้ามามองคนหนุ่มผู้นี้

ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!