Skip to content

Sword of Coming 559

บทที่ 559 ในนี้มีปณิธานที่แท้จริง

ยามสนธยา หลี่หลิ่วหิ้วกล่องอาหารขึ้นมาบนภูเขา ในกระท่อมหลังนั้น หลี่เอ้อร์กับเฉินผิงอันนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันบนโต๊ะ

การฝึกหมัดของวันนี้ หลี่เอ้อร์ไม่ได้ป้อนหมัดมากนัก เพียงแค่หยิบเอาภาพมังกรเพลิงที่วาดเส้นสายและช่องโพรงเต็มไปหมดออกมาปูวางไว้บนพื้น แล้วอธิบายถึงวิชาหมัดใหญ่ๆ ที่เก่าแก่หลายชนิดในใต้หล้านี้ให้เฉินผิงอันฟัง เส้นทางการไหลเวียนของ ปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่แตกต่างกัน ข้อพิถีพิถันและความมหัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังอธิบายเกี่ยวกับการแบ่งกล้ามเนื้อบนร่างกายออกเป็น ห้าร้อยยี่สิบก้อน แยกแยะอธิบายสัจธรรมแห่งหมัดและปณิธานแห่งหมัดของจุดที่ เล็กละเอียดแต่ละจุดอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงวิธีการขัดเกลาหล่อหลอมเส้นเอ็นกระดูกและปราณแท้จริงที่แตกต่างกันไปของวิชาหมัดแต่ละชนิด การขัดเกลาที่มีต่อเนื้อหนัง เส้นเอ็นกระดูกและเส้นชีพจร แล้วยังมีวิชาลับเฉพาะที่เป็นสมบัติก้นกรุ อย่างคร่าวๆ แบบใดบ้าง อธิบายว่าเหตุใดปรมาจารย์ที่ฝึกวิชาหมัดถึงจุดที่ลึกซึ้งแล้วจู่ๆ ถึงได้ธาตุไฟเข้าแทรกกะทันหัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธยุคโบราณยังแบ่งกล้ามเนื้อเป็น สองประเภทใหญ่ๆ ตามประสงค์และไม่ตามประสงค์ เกี่ยวกับการหล่อหลอมกล้ามเนื้อทั้งหลายที่มองดูคล้ายอยู่ใน ‘ดินแดนเปลี่ยวร้าง’ หากเป็นกล้ามเนื้อจุดที่อยู่ห่างไกล ความรู้ที่ใช้ก็จะยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปยากที่จะหล่อหลอมโครงท่าหมัดกระบวนท่าหมัดที่สืบทอดมาจากสำนักให้สมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นจึงมีความต่างด้านความหนาบางของรากฐานขอบเขตผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกัน

ชุยเฉิงสอนหมัดแบบเปิดใหญ่ปิดใหญ่ ประหนึ่งน้ำตกที่พุ่งดิ่งลงมาสู่เบื้องล่าง หากไม่ทันระวังแม้เพียงน้อย การรับมือย่อมเกิดข้อผิดพลาด จะกลายเป็นว่าเฉินผิงอันอยู่ไม่สู้ตาย แต่ที่มากกว่านั้นคือการขัดเกลาสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง

บีบให้เฉินผิงอันต้องใช้ปณิธานที่แน่วแน่มั่นคงมากัดฟันยืนหยัด ‘เปิดภูเขา’ ให้กับเรือนกายในระดับที่ใหญ่ที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ชุยเฉิงออกหมัดช่วย หล่อหลอมเรือนกายให้เฉินผิงอันถึงสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งแรกที่อยู่บน เรือนไม้ไผ่ เขาไม่ได้ต่อยลงบนร่างกายของเฉินผิงอันอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่ จิตวิญญาณก็ยังไม่เว้น

นี่ก็เหมือนกับว่าชุยเฉิงปล่อยปณิธานหมัดหนักสิบจินออกมา เจ้าเฉินผิงอันก็ต้องกินปณิธานหมัดทั้งสิบจินให้หมดแต่โดยดี ขาดไปสักส่วนสองส่วนก็ไม่ได้ เป็นชุยเฉิงที่กระชากเฉินผิงอันให้เดินก้าวยาวๆ ขึ้นสูงไปบนเส้นทางการฝึกวรยุทธ โดยที่ผู้อาวุโสไม่สนใจเลยว่า ‘เด็กน้อย’ ในมือผู้นั้นจะเกิดตุ่มน้ำพองบนเท้า จะเลือดโชกไหลนอง กระดูกขาวจะโผล่ทะลุหรือไม่

หันกลับมาดูที่การป้อนหมัดครั้งนี้ของหลี่เอ้อร์ ก็เป็นการขัดเกลาเรือนกายเหมือนกัน เพียงแต่ถ่ายทอดทั้งรากฐานสัจธรรมวิชาหมัด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังต้องการให้เฉินผิงอันกลับไปใคร่ครวญด้วยตัวเอง หลี่เอ้อร์ทำเพียงแค่ชี้ทางสว่างให้เท่านั้น

ทั้งสองฝ่ายไม่มีการแบ่งสูงต่ำ ก็แค่แตกต่างในเรื่องก่อนหลังตามลำดับขั้นตอนเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่หลี่เอ้อร์พูด หากเขาสลับเปลี่ยนตำแหน่งสอนวิชาหมัดกับ ชุยเฉิง เฉินผิงอันก็คงไม่มีทางเรียนวรยุทธได้อย่างในทุกวันนี้

มาถึงโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันก็ยังคงถามเรื่องทิศทางการไหลเวียนของ ปราณแท้จริงบางเส้นบนภาพมังกรเพลิงจากหลี่เอ้อร์

หลี่หลิ่วไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง เพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในห้องมีครบทั้งโต๊ะไม้ ม้านั่งตัวยาวและเก้าอี้ไม้ไผ่

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ว่า “ท่านอาหลี่ นับตั้งแต่ที่ท่านฝึกวิชาหมัดก็ฝึก อย่างละเอียดเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ?”

หลี่เอ้อร์ยิ้มตอบ “ก็ข้าเรียนอย่างหยาบๆ ไม่ได้ เพราะอาจารย์คอยจับจ้องมองดูขั้นตอนการเรียนของจ้าตลอดเวลา อาจารย์ไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนเส้นทางการฝึกยุทธพวกนั้น แต่หากถึงเวลาหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าปณิธานหมัด ควรหนักกี่จินกี่ตำลึงแล้ว แล้วทำให้อาจารย์รู้สึกว่าเจ้าแอบอู้แอบขี้เกียจ ก็ย่อมมีความยากลำบากรออยู่ ข้ายังดีหน่อย เพราะทำตามขั้นตอน อย่างมากก็แค่ตรากตรำฝึกฝนไปอย่างเหนื่อยยากเท่านั้น แต่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงอนาถกว่าข้ามาก ข้าจำได้ว่าจนกระทั่งเจิ้งต้าเฟิงออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็ยังมีหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณถูกกักอยู่กับอาจารย์ ไม่รู้ว่าภายหลังอาจารย์คืนให้เจิ้งต้าเฟิงหรือยัง แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้องร่วมสำนักกัน แต่ปัญหาบางอย่างก็ไม่สะดวกจะถามกันง่ายๆ”

เฉินผิงอันยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม

ในเมื่อมีจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน แล้วจะฝึกหมัดได้อย่างไร

หลี่เอ้อร์จิบเหล้าหนึ่งคำ แล้วเอ่ยว่า “เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังก็ไม่เป็นไร วิธีการฝึกหมัดของเจิ้งต้าเฟิงนั้นอยู่ที่ความแตกต่างของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแต่ละเสี้ยวแต่ละดวงล้วนฝึกต่างกันไป สามจิตเจ็ดวิญญาณล้วนจำเป็นต้องมาฝึกหมัดอยู่ในความคิดสิบกว่าความคิดของตัวเอง ดังนั้นตอนที่ศิษย์น้องเฝ้าประตู มองดูเหมือนว่าชอบงีบหลับบ่อยๆ แต่เขากลับไม่ได้หลับจริงๆ ทว่าเป็นการตั้งใจฝึกวิชาหมัด อย่างยากลำบาก ส่วนศิษย์น้องหญิงซูเตี้ยนก็แตกต่างไปอีก นางพิถีพิถันในเรื่อง การฝึกทั้งกลางวันกลางคืนและยังมีฝึกในความฝัน สือหลิงซานศิษย์น้องเล็กไป หล่อหลอมจิตวิญญาณอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา มักจะต้องจมน้ำตายอยู่ข้างในนั้นเสมอ โชคดีที่อาจารย์สามารถงม ‘ศพ’ ของเขาขึ้นมาได้ วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ดี แต่สุดท้ายใครจะเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดก็ยังต้องดูที่โชควาสนาของตัวเอง อาจารย์ เคยเล่าว่า คนที่เดินบนเส้นทางแตกต่าง หากไม่ระวังฝึกตนจนกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน ท่านแม่ข้าให้ข้ามาถามเจ้าว่า เป็นเพราะเจ้าคิดว่า ที่ร้านอัตคัดเกินไปใช่ไหม ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาถึงได้ไม่ยินดีไปค้างคืนที่นั่น”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “หากข้าค้างคืนที่นั่น ผู้คนย่อมเอาไปซุบซิบนินทา ทำให้ชื่อเสียงเจ้าในเมืองเล็กเสียหาย ต่อให้แม่นางหลี่ไม่ถือสา แต่ท่านอาหลิ่ว กลับต้องคบค้าสมาคมกับพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงอยู่ทุกวัน หากเวลาเถียงกันแล้ว มีคนนอกเอาเรื่องนี้ไปพูด ท่านอาหลิ่วจะไม่กลุ้มใจแย่หรือ ต่อให้วันหน้าเจ้าแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ยังจะเป็นจุดอ่อนให้คนอื่นกุมไว้ในมือ ยิ่งแม่นางหลี่แต่งงานกับคนที่ดีเท่าไร พวกสตรีก็ยิ่งชอบพลิกปฏิทินเหลืองเก่าแก่มาเปิดกันเท่านั้น”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เหตุผลเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่เจ้าก็ไปพูดกับท่านแม่ข้าเองสิ”

ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น หลี่หลิ่วไม่เคยคิดถึงมาก่อน

เฉินผิงอันมองหลี่เอ้อร์ ต่อจากนี้ยังต้องมีการสอนหมัดครั้งสุดท้าย

หลี่เอ้อร์ต้องการให้เขาบำรุงกำลังและจิตใจให้เปี่ยมล้นสมบูรณ์เสียก่อน บอกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แต่เฉินผิงอันกลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร

หลี่เอ้อร์ถาม “เหล่าผู้อาวุโสผู้ฝึกยุทธบางส่วนในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล โครงท่าหมัดพื้นฐานของพวกเขาค่อนข้างใกล้เคียงกับท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของเจ้า เจ้าไปแอบเรียนมาจากไหน?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ท่านอาหลี่ จะไม่ให้เป็นวิชาหมัดที่ข้าบรรลุได้เองเลยหรือไร?”

หลี่เอ้อร์หัวเราะ

สายตาเช่นนั้นไม่ต่างจากสายตาของพ่อตาที่มีชาติกำเนิดเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพใช้มองลูกเขยตัวเอง ทำเอาฝ่ายหลังไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ปิดบังต่อ เขาเอ่ยว่า “ท่าหมัดนี้เป็นท่าหมัดที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวใบถงทวีปเป็นผู้สร้างขึ้น เขาชื่อว่าจ้งชิว คือราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยน ในใต้หล้าแห่งนั้น ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าได้รับการขนานนามว่า เป็นปรมาจารย์วรยุทธอริยะด้านอักษร ข้าเคยเชิญให้อาจารย์ผู้เฒ่าออกจาก พื้นที่มงคลดอกบัวมาด้วยกัน น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นท่านอาจารย์ผู้เฒ่ามีเรื่องให้ต้องเป็นกังวลมากมาย จึงไม่ยินดีจะออกมา ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะเปลี่ยนใจหรือไม่”

หลี่เอ้อร์กล่าว “น่าจะมาที่ใต้หล้าไพศาล”

หลี่หลิ่วครุ่นคิด แล้วก็นึกถึงภาพบรรยากาศบางอย่างในสถานที่แห่งหนึ่งด้านข้างเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนขึ้นมาได้ “พื้นที่มงคลดอกบัวในทุกวันนี้ไม่อาจพันธนาการคนผู้นี้ไว้ได้ เจียวหลงขดตัวอยู่ในบ่อน้ำ ไม่ใช่แผนการที่ยืนยาว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วันหน้าเมื่อข้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะไปคุยกับอาจารย์จ้ง อีกครั้ง”

หลี่เอ้อร์ดื่มเหล้าและกินกับแกล้มอิ่มแล้วก็ลงจากภูเขาไป

ส่วนหลี่หลิ่วก็อยู่บนยอดเขาสิงโตเพื่อ ‘ฝึกวิชาเซียนจากเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขา’

หลี่หลิ่วหิ้วกล่องอาหารไปที่เรือนตัวเอง พาเฉินผิงอันไปเดินเล่นด้วยกัน

ครั้งนี้ยอดเขาสิงโตปิดภูเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่เพียงแต่ทางฝั่งประตูภูเขาเท่านั้นที่ห้ามเข้าออก ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็เท่ากับว่าถูกกักบริเวณ ไม่อนุญาตให้ใคร เดินเตร็ดเตร่ไปไหนตามใจชอบ

ดังนั้นคนทั้งสองที่เดินอยู่บนทางเดินจึงไม่เจอผู้ฝึกตนบนยอดเขาสิงโตสักคน

หลี่หลิ่วถาม “ออกมาจากเกาะเป็ดน้ำของถ้ำสวรรค์วังมังกร ถึงอย่างไร ปราณวิญญาณบนยอดเขาสิงโตก็เบาบางกว่ามาก ปรับตัวไม่ทันบ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่หรอก ปราณวิญญาณที่สะสมมาจากเกาะเป็ดน้ำ ตอนนี้ในจวนน้ำ ศาลภูเขาและจวนไม้ต่างก็ยังหล่อหลอมไม่สำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ากิน จนอิ่มนับตั้งแต่เป็นผู้ฝึกตนมา อยู่บนเกาะเป็ดน้ำ อาศัยปราณวิญญาณที่ไหลริน กักเก็บไว้ไม่อยู่พวกนั้น ข้าวาดยันต์ได้เกือบสองร้อยแผ่น ดั่งคำว่าหอใกล้น้ำได้ยล แสงจันทร์ก่อน ข้าจึงวาดยันต์มหานทีไหลสะพัดค่อนข้างเยอะ ชาดตระกูลเซียนที่ซื้อมาจากสวนน้ำค้างวสันต์ก็ถูกข้าใช้หมดในรวดเดียว”

หลี่หลิ่วเอ่ย “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ไม่ต้องซาบซึ้งในน้ำใจของเกาะเป็ดน้ำและหลี่หยวนมากเกินไป อันที่จริงหากหลี่หยวนฉลาดมากพอก็น่าจะมอบป้ายหยก ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ ให้แก่ท่านเฉิน น่าเสียดายที่เจ้าหมอนี่ขี้เหนียวเกินไป ก็เหมือนมี ฝนรสหวานตกลงมาจากฟ้าแล้วรู้จักแต่จะใช้สองมือรองรับน้ำ ไม่รู้จักยกอ่างน้ำมารอง พอฝนใหญ่ผ่านไป ก็ได้แค่ดับกระหายชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”

เฉินผิงอันหยิบป้ายไม้ ‘พักผ่อน’ ออกมา “ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่เลียบลำน้ำใหญ่ออกมาจากสำนักมังกรน้ำ หลี่หยวนถึงได้มอบป้ายนี้ให้แก่ข้า ของขวัญเบาแต่ น้ำใจหนัก ไม่ได้แย่ไปกว่า ‘อวี่เซียง’ ชิ้นนั้นเลย”

หลี่หลิ่วชำเลืองตามองป้ายไม้เนื้อหยาบแล้วส่ายหน้า “แผ่นป้ายไม้ต้นส้มแผ่นนี้ไม่อาจช่วยท่านเฉินในด้านการฝึกตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยากจะให้การดูดซับปราณวิญญาณชะตาน้ำเหนื่อยแค่ครึ่งแต่ได้ผลเท่าตัว”

เฉินผิงอันเก็บป้ายไม้ลงไป ยิ้มเอ่ยว่า “แต่วันหน้าหากข้ามาเยือนอุตรกุรุทวีปและลำน้ำจี้ตู๋อีกครั้ง ก็สามารถไปหาหลี่หยวนแล้วดื่มเหล้ากับเขาอย่างผึ่งผายได้แล้ว แค่ดื่มเหล้ากันก็พอ หากเป็นแผ่นป้าย ‘อวี่เซียง’ นั้น ข้าไม่มีทางรับมาแน่นอน ต่อให้ฝืนใจรับมาแล้วก็มีแต่จะรู้สึกว่ามันเป็นภาระ”

หลี่หลิ่วเงียบงัน ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ท่านเฉินน่าจะฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะขาดอีกแค่หมัดเดียว”

หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ยังคงเป็นความหมายนั้น บนเส้นทางของการฝึกตน อย่าได้ลังเลเด็ดขาด เมื่อเทียบกับการก้าวเดินบนเส้นทางอย่างมั่นคง พัฒนาไปตาม ลำดับขั้นตอนของการเรียนวรยุทธแล้ว ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีความคิดที่แตกต่างออกไป โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า ล้วนต้องกล้าปรารถนากล้ารับมา ไม่อาจเกิด ใจขลาดเขลา กริ่งเกรงหวาดกลัว คิดเล็กคิดน้อยกับคำเตือนที่บอกว่าโชคดีมักมาพร้อมโชคร้ายให้มากเกินไป บางทีท่านเฉินอาจรู้สึกว่าควรรอให้รวบรวมวัตถุห้าธาตุ ได้ครบ สร้างวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นได้สำเร็จ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ให้ได้ก่อน ต่อให้ตอนนั้นจะยังคงติดอยู่ที่ขอบเขตสามก็ไม่เป็นไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ฝึกตนมีความคิดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเสียเปรียบกว่าแล้ว”

เฉินผิงอันใคร่ครวญตามช้าๆ

หลี่หลิ่วเอ่ยต่ออีกว่า “ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนก็ควรมีจิตใจหลุดพ้นจากพื้นไปหมื่นลี้ (เปรียบเปรยว่าไม่อยู่ในกรอบ ไม่คร่ำครึยึดติด) ฝึกวรยุทธก็เพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูง ฝึกบำเพ็ญตนก็คือการเดินทวนกระแส ดังนั้นรอให้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขต ร่างทองแล้ว ท่านเฉินก็ควรจะครุ่นคิดหาวิธีในการฝ่าทะลุขอบเขตคอขวดสามของ ผู้ฝึกลมปราณได้แล้ว ขอบเขตสามขอบเขตเส้นเอ็นหลิว นับแต่โบราณมาก็คือ ขอบเขตรั้งคน หรือท่านเฉินยังหวังว่าตัวเองจะสามารถเดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว?”

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่กล้าคิด แล้วก็ไม่มีทางคิดเช่นนี้”

หลี่หลิ่วเอ่ย “ก่อนที่ข้าจะกลับมายังยอดเขาสิงโต ทางฝั่งของทวีปเกราะทองก็มี ผู้ฝึกยุทธที่ใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ดังนั้นนอกจากศาลบู๊ของแต่ละพื้นที่ในทวีปเกราะทองแล้ว ทุกพื้นที่ล้วนสัมผัสได้ถึงและแสดงความยินดีกับคนผู้นี้ อีกแปดทวีปที่เหลือในใต้หล้าล้วนพากันแบ่งโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งไปยังทวีปเกราะทอง แบ่งหนึ่งให้เป็นสอง หนึ่งมอบให้แก่ ผู้ฝึกยุทธ อีกหนึ่งทิ้งไว้ยังทวีปที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นอยู่ ตามกฎดั้งเดิม โชคชะตาบู๊ของ ผู้ฝึกยุทธก็เหมือนปราณวิญญาณของผู้ฝึกตน หาใช่โชควาสนาที่ลี้ลับมหัศจรรย์ไม่

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีอาณาเขตยิ่งใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากที่สุด หนึ่งทวีปก็สามารถเทียบเท่าได้กับแปดทวีป ดังนั้นส่วนใหญ่ผู้ฝึกยุทธของ แผ่นดินกลางจึงมักจะได้โชคชะตาบู๊มากที่สุด แต่หากผู้ฝึกยุทธไปฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่ทวีปอื่น โชคชะตาบู๊ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะมอบให้ไปมีแต่จะยิ่งมากกว่า ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าก็คงถูกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เหมารวมไว้หมด”

นี่เป็นเรื่องใหม่ที่เฉินผิงอันไม่เคยได้ยินมาก่อน

หลี่หลิ่วเอ่ยสัพยอกว่า “หากผู้ฝึกยุทธของทวีปเกราะทองคนนั้นฝ่าทะลุขอบเขตช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย เพราะจะต้องพลาดโชคชะตาบู๊ไป ดูท่าแล้วคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีชะตาบู๊ที่โชติช่วง ยังโชคไม่เลวเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันฟังความนัยในคำพูดของหลี่หลิ่วออก หลังจากที่ท่านอาหลี่ป้อนหมัด ให้เขาบนยอดเขาสิงโต เขาเฉินผิงอันก็เริ่มไล่ตามอีกทั้งยังล้ำหน้าไปเกินรากฐานขอบเขตหกของผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนนั้นแล้ว

แน่นอนว่าเขาย่อมดีใจ แต่ไม่ได้ลิงโลดเบิกบานใจอะไรขนาดนั้น

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “การโคจรของโชคชะตาบู๊ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน อยู่ในอาณาเขตของเก้าทวีปนี้ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาสามารถมองเห็นได้ทั้งหมดหรือ?”

“การไปการอยู่ของโชคชะตาบู๊ใต้หล้า เป็นเรื่องที่แม้แต่ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ ก็ยังขบไม่แตก ควบคุมไม่ได้มาโดยตลอด ในอดีตไม่ใช่ว่าอริยะลัทธิขงจื๊อไม่คิด จะจัดการ หมายจะดึงมาไว้ในกฎเกณฑ์ของบ้านตน แต่หลี่เซิ่งไม่ยอมพยักหน้า ตอบตกลง เรื่องก็เลยจบลงอย่างค้างคา แต่ที่น่าสนใจมากก็คือ ทั้งๆ ที่หลี่เซิ่งเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์เองกับมือ แต่กลับดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์พวกนั้นจะเป็นปรปักษ์กับ ลัทธิขงจื๊อในรุ่นหลังเสียเอง ทางเลือกหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาไปของสายบุ๋นลัทธิขงจื๊อล้วนถูกตัวหลี่เซิ่งปฏิเสธไปหมด”

หลี่หลิ่วเล่าให้ฟังอย่างต่อเนื่อง คำพูดของนางเปิดเผยความลับสวรรค์มากมาย “เว้นเสียแต่พอจะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนยอดเขาของขอบเขตบินทะยานที่มองเจตนารมณ์สวรรค์ออก ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านั้น นอกจากนี้ก็คือ อริยะปราชญ์เจ็ดสิบสองท่านของลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คำว่าแข็งแกร่งที่สุดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็นเพียงแค่คนในสถานการณ์เอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันของอีกเก้าทวีปเท่านั้น ดังนั้นพวกผู้ฝึกยุทธอย่างเฉาสือและท่านเฉิน หากติดค้างอยู่ในขอบเขตใดนานเกินไป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันทุกคนก็ไม่ต้องวาดฝันถึงโชคชะตาบู๊ส่วนนั้นแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเทียบกับเฉาสือ ตอนนี้ยังห่างชั้นจากเขาไกลนัก”

หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “เป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่มองให้ไกลกว่าหน่อย ไปถึงขอบเขตเก้าขอบเขตสิบแล้วค่อยว่ากัน ความต่างระหว่างขอบเขตเก้าและสิบนั้น ก็คือความต่างราวฟ้ากับดินของแท้แน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อถึงขอบเขตสิบแล้ว ก็ไม่ใช่ขอบเขตปลายทางที่แท้จริงอะไรเสียหน่อย ความต่างระหว่างขอบเขตสามชั้นของขอบเขตสิบก็มีมากเหมือนกัน นับตั้งแต่ขอบเขตแรกจนถึงขอบเขตเก้า ซ่งจ่างจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าหลีล้วนสู้พ่อข้าไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว ซ่งจ่างจิ้งมีปราณโชติช่วงมาตั้งแต่เกิด หากมาอยู่ในชั้นของปราณโชติช่วงขอบเขตสิบเหมือนกัน ด้วยนิสัยของพ่อข้า กลับกลายจะเป็นภาระให้เขา เมื่อประมือกันก็จะต้องเสียเปรียบ ดังนั้นพ่อของข้าถึงได้ออกจากบ้านเกิดมาที่อุตรกุรุทวีป ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งหยุดอยู่ที่ปราณโชติช่วง แต่วิชาหมัดของพ่อข้ากลับคืนสู่ความจริงแล้ว หากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันขึ้นมา ก็ยังคงเป็นซ่งจ่างจิ้งที่ต้องตาย ทว่าหากทั้งสองฝ่ายไปถึง ‘เทพมาเยือน’ ที่อยู่ใกล้กับคำว่าปลายทางมากที่สุดเมื่อไหร่ โอกาสที่พ่อข้าจะแพ้ย่อมมีมากกว่า แน่นอนว่าหากพ่อข้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธในตำนาน ได้ก่อน ขอแค่ซ่งจ่างจิ้งปล่อยหมัดออกมา คิดอยากจะมีชีวิตอยู่ก็ยังยาก แต่หากเปลี่ยนเป็นเขาที่ไปถึงก่อน พ่อข้าก็ต้องมีจุดจบแบบเดียวกัน”

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “แต่หากท่านอาหลี่อยู่ต่อที่แจกันสมบัติทวีป อันที่จริง ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีโอกาสใช่ไหม?”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “แม้จะบอกว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนี้”

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มแล้วถามย้อนกลับว่า “ท่านเฉินไม่สงสัยเลยหรือว่าความจริงพวกนี้เป็นบิดาข้าที่เป็นคนพูด หรือเป็นเรื่องวงในที่ข้ารู้เองกันแน่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ ข้าเชื่อว่าแม่นางหลี่และท่านอาหลี่ ต่างก็สามารถจัดการกับธุระทั้งในและนอกบ้านได้เป็นอย่างดี”

อยู่ดีๆ หลี่หลิ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากท่านเฉินรู้สึกว่าแค่การป้อนหมัดการถูกต่อย ยังไม่เพียงพอ ยังอยากจะออกหมัดขัดเกลาฝีมืออย่างเต็มคราบอีกสักครั้ง ทางฝั่ง ของข้าก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ สามารถเรียกตัวเขามาได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า หากอีกฝ่ายลงมือ มักจะชอบตัดสินเป็นตายเสมอ”

เฉินผิงอันตอบกลับอย่างไม่ลังเล “เพียงพอมากแล้ว รอให้มาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปคราวหน้าค่อยว่ากันเถอะ”

การป้อนหมัดของหลี่เอ้อร์ต่อจากนี้ เฉินผิงอันคิดว่าไม่แน่เสมอไปที่ตัวเอง จะต้านรับได้ไหว

และหากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตที่เจ็ดของวิถีวรยุทธ อีกทั้งการเดินทางเลียบลำน้ำใหญ่ยังมาถึงช่วงท้ายแล้ว ก็ยิ่งต้องควรย้อนกลับไปที่แจกันสมบัติทวีปทางทิศใต้ในทันที ภูเขาลั่วพั่วยังมีกิจธุระอีกมากมายรอให้เขาไปจัดการ และถัดจากนั้นไปอีก แน่นอนว่าก็ต้องเป็นการเดินทางไปเยือนนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง โดยสารเรือข้ามทวีปไปเยือนภูเขาห้อยหัว

หลี่หลิ่วเอ่ย “อันที่จริงคนผู้นั้น ท่านเฉินเองก็รู้จัก ตอนนั้นเขาอยู่บนภูเขากระจกวิเศษของหุบเขาผีร้าย”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง

คือคนประหลาดที่มองตื้นลึกไม่ออก แต่กลับทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างลึกล้ำ

ขนาดบนร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนลูกรักแห่งสวรรค์ เฉินผิงอัน ก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ หรือควรจะพูดว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้เข้มข้นอย่างที่สัมผัสได้จากฝ่าย

หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินเคยคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์ที่ขอบเขตไม่ถือว่าต่างกันมากนัก คนที่ต้องต่อสู้กับเจ้า พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยคิดมาก่อน”

ตลอดหลายปีที่เดินทางไกลนี้ มีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นหลายครั้ง และศัตรูคู่อาฆาต ก็มีมากเกินไป

ทว่าคนแรกที่เฉินผิงอันคิดถึงกลับเป็นหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่ไม่ได้ เจอกันมานานมากแล้ว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่อยู่ดีๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาใน แจกันสมบัติทวีป หลังจากกลายเป็นผู้สืบทอดของภูเขาเจินอู่ปฐมสำนักของ สำนักการทหารแล้ว ในเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต หม่าขู่เสวียนก็พุ่งทะยานไป ราวกับผ่าลำไม้ไผ่ ปีนั้นหลังจากที่ต่อสู้กันบนถนนใหญ่ของแคว้นไฉ่อี ทั้งสองฝ่าย ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีก ได้ยินมาว่าหม่าขู่เสวียนได้ดิบได้ดีไม่น้อย ตอนนี้ จึงกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนตามหลังหลี่จิ่งถวน เว่ยจิ้น ที่ผู้คนทั้งแจกันสมบัติทวีปให้การยอมรับ ข่าวล่าสุดที่เจอในรายงานคือเขาเป็นคนปลิดชีพแม่ทัพผู้เฒ่าของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาคนหนึ่งกับมือตัวเอง แก้แค้นให้กับตระกูลได้อย่างสมบูรณ์

หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่มีขอบเขตไม่ต่างจากท่านเฉิน ข้าไม่มีทางลงมือแน่”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม่นางหลี่ชมเกินไปแล้ว”

หลี่หลิ่วเอ่ย “ถ่อมตัวเกินไปก็ไม่ดี”

เฉินผิงอันกล่าว “แสดงให้รู้ว่าความสามารถในการแสดงความอ่อนแอของข้า ยังไม่ดีพอ”

หลี่หลิ่วอดหัวเราะไม่ไหว “ท่านเฉิน ขอร้องเจ้าโปรดเว้นทางรอดให้คู่ต่อสู้บ้างเถอะ”

เฉินผิงอันเองก็หัวเราะตามไปด้วย “เรื่องนี้ไม่อาจรับปากแม่นางหลี่ได้จริงๆ”

โดยไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงบนยอดเขาสิงโตพร้อมกับหลี่หลิ่วแล้ว ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว แต่กลับยังไม่ถึงช่วงเข้านอน จึงยังพอจะมองเห็นแสงตะเกียงไม่น้อยจากทางฝั่งของเมืองเล็กได้ มีแสงสว่างหลายเส้นทอดยาวเหมือนมังกรเพลิงตัวเล็กๆ มองดูแล้ว สะดุดตามากเป็นพิเศษ น่าจะเป็นตรอกของตระกูลคนมีอันจะกินอยู่อาศัย จุดอื่นๆ ของเมืองเล็กส่วนใหญ่มีแสงตะเกียงบางตา จับกลุ่มให้เห็นแค่สองสามดวง

หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินเดินทางมาไกลขนาดนี้ เคยรู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลและพื้นที่ลับภูเขาสายน้ำมากมายบ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยมีสหายคนหนึ่งเล่าให้ฟัง บอกว่าไม่เพียงแต่เก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น หากรวมอีกสามใต้หล้าใหญ่ที่เหลือ พวกมันล้วนถือเป็นอาณาเขตที่ปริแตกออกเป็นขนาดน้อยใหญ่หลังจากที่ฟ้าดินเดิมแตกแยก พื้นที่ลับบางส่วน ในอดีตอาจถึงขั้นเคยเป็นศีรษะหรือโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมากมาย และยังมีพวก…ดวงดาวที่หล่นเป็นอุกกาบาตลงบนพื้นดินที่ในอดีตเคยเป็นตำหนัก เป็นจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์”

หลี่หลิ่วกล่าว “สหายของเจ้าคนนี้ก็กล้าพูดจริงๆ”

เฉินผิงอันหัวเราะ “หากจะบอกว่าใจกล้าก็ใจกล้าจริงๆ นั่นแหละ ทั่วร่างมีแต่สมบัติอาคม ก็เลยกล้าเดินทางข้ามทวีปเพียงลำพัง แต่หากจะบอกว่าขี้ขลาดก็ขี้ขลาดอยู่ไม่น้อย คือผู้ฝึกตนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าทะยานลมเดินทางไกล เขากลัวเวลาที่ตัวเองลอยพ้นจากพื้นมาสูงมากเกินไป”

หลี่หลิ่วถาม “สหายสนิทหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นับว่าใช่”

ลมเย็นๆ บนยอดเขาพัดพาเอากลิ่นหอมของผืนป่ายามฝนธัญพืชพรำผ่านโชยมา

หลี่หลิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามชวนคุยว่า “ช่วงนี้ท่านเฉินได้อ่านตำราเล่มใด บ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “มี เป็นตำรา…”

เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นตำราประหลาดเล่มหนึ่ง เล่าเรื่องสั้นๆ ของความเป็นความตายมากมาย ได้มาจากปีศาจใหญ่บรรลุมรรคา ที่ชอบหลอมภูเขามีชื่อเสียงตนหนึ่ง”

หลี่หลิ่วไม่ได้เกิดความสนใจมากนัก เป็นๆ ตายๆ นางเห็นมามากมายเหลือเกิน ย่อมไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาของนางในตอนนี้ได้แน่นอน

สำหรับนางแล้ว ชีวิตนี้ก็เหมือนว่าหยางเหล่าโถวคืออาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่ง ที่มอบการบ้านให้นางทำ ไม่ได้ให้นางสร้างความรู้สร้างคุณธรรม ไม่ใช่ให้นางเขียนบทความอริยะปราชญ์ ถึงขั้นไม่ใช่ให้นางฝึกตนจนได้ขอบเขตบินทะยานอะไร แต่เกี่ยวกับว่าจะทำตัวเป็นคนอย่างไร

อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากเรื่องหนึ่ง

หลี่หลิ่วรู้สึกว่ามีเพียงตนปิดประตูลงแล้วอยู่ร่วมกับพ่อแม่และน้องชายอย่าง หลี่ไหวเท่านั้น ถึงจะรู้สึกคุ้นเคยได้บ้าง พอเดินออกจากประตูไป นางก็มองคนและโลกใบนี้ไม่ได้ต่างจากที่เคยเป็นมาในภพชาติก่อนๆ เลย

เฉินผิงอันมองแสงไฟที่อยู่ด้านล่างภูเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “เคยอ่านเจอจากในบทประพันธ์เล่มหนึ่ง บอกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีชีวิตแสนสั้น ชีวิตครึ่งหนึ่งล้วนใช้เวลาหมดไปกับการนอนอยู่บนเตียง ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนเองก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร ฝึกตนเหมือนหลับใหญ่ไปครึ่งชีวิต แต่มาลองใคร่ครวญอย่างละเอียดดูแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ยืนอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน การมองเรื่องเรื่องหนึ่งที่เหมือนกัน อาจกลายเป็นเรื่องสองเรื่องสำหรับใจคน”

“ข้าเคยอ่านบทประพันธ์สองเล่มที่ต่างก็พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดบนโลก มีนักประพันธ์คนหนึ่งเคยอยู่ในตำแหน่งสูง พอลาออกกลับคืนสู่บ้านเกิดก็แต่ง บทประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นมา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นบัณฑิตตกอับ สอบไม่ติดเคอจวี่ ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้เข้าสู่เส้นทางขุนนาง ข้าอ่านบทประพันธ์ทั้งสองเล่มนี้ ทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร เพียงแต่ภายหลังตอนที่เดินทางท่องเที่ยว อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยเอาออกมาอ่านซ้ำอีกครั้ง จึงพอจะขบคิดบางอย่างได้”

“ยืนอยู่สูงมองไปไกล ก็จะมองนิสัยใจคอคนได้รอบด้าน ยืนใกล้มองอย่างละเอียด ก็จะยิ่งแยกแยะวิเคราะห์ใจคนได้อย่างละเอียดประณีต”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “นี่คงเป็นข้อดีของการเดินทางหมื่นลี้ อ่านตำราหมื่นเล่มกระมัง”

แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะขึ้นมา “สหายที่ไม่กล้าทะยานลมคนนั้นมีความรู้หลากหลาย ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่สู้เขาไม่ได้ ข้าเคยถามเขาด้วยคำถามหนึ่งว่า หากตรงหัวและท้ายตรอกเล็กของบ้านเกิดข้าต่างก็มีต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้น ริมกำแพง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่กลับมองไม่เห็นการเติบโตการแห้งเหี่ยวของกันและกัน หากพวกมันมีสติปัญญา จะรู้สึกเสียใจหรือไม่

เขาครุ่นคิดถึงคำถามข้อนี้อย่างจริงจัง แล้วก็ให้คำตอบที่อัศจรรย์น่าเหลือเชื่อ แก่ข้ามากมาย แต่ข้ากลับต้องกลั้นหัวเราะอยู่ตั้งนาน แม่นางหลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนั้นข้าหัวเราะอะไร?”

หลี่หลิ่วยิ้มอย่างเข้าใจ “ในตรอกหนีผิงแห่งนั้นมีทั้งหมาและไก่เดินกันให้ขวักไขว่ โดยเฉพาะแม่ไก่ที่มักจะเดินนำขบวนลูกเจี๊ยบเป็นฝูง เดินจิกไปมุมโน้มมุมนี้อยู่ทุกวัน จะมีหญ้าขึ้นได้อย่างไร”

เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง

หลี่หลิ่วพลันหุบยิ้ม ค้อมเอวประสานมือคารวะ “ขอบคุณคำสั่งสอนของอาจารย์”

เฉินผิงอันอึ้งงั้นอยู่กับที่ ไม่เข้าใจว่าหลี่หลิ่วทำแบบนี้ทำไม? ข้าก็แค่หาเรื่อง มาชวนคุยให้เจ้าแม่นางหลี่ผ่อนคลายเท่านั้น หรือว่านี่ทำให้นางบรรลุสิ่งใดได้ด้วย?

ความคิดเดียวของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็คือ ตนไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกตนจริงๆ คุณสมบัติธรรมดา ดังนั้นหลังจากฝึกหมัดที่ยอดเขาสิงโตครั้งนี้แล้ว ก็ต้องมานะตั้งใจฝึกตนให้มากกว่าเดิม

หลี่หลิ่วยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยขอตัว นางหิ้วกล่องอาหารทะยานลมกลับไปยังร้านตรงตีนเขา

เฉินผิงอันสับสนไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ย้อนกลับไปที่จวนเทพเซียนหลังนั้น ถ่อเรือ ไปที่ผิวกระจก ฝึกวิชาหมัดที่เลียนแบบมาจากจางซานเฟิงต่อ ไม่ได้หวังให้ ปณิธานหมัดเพิ่มพูน แค่หวังให้ใจสงบได้อย่างแท้จริงเท่านั้น

ท่ามกลางสีสันของราตรี สตรีแต่งงานแล้วกำลังดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ร้านขายผ้า นางพลิกเปิดสมุดบัญชี คิดไปคิดมาก็ถอนหายใจเฮือกๆ ไปพลาง นี่ก็ ผ่านมาเกินครึ่งเดือนแล้ว รายรับไม่ได้มีมากนัก กำไรยังได้ไม่ถึงสามตำลึงด้วยซ้ำ

เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่เฉินผิงอันมาช่วยงานอยู่ในร้าน วันสองวันก็ได้กำไร สามตำลึงแล้ว คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนกลัดกลุ้มตายได้จริงๆ นี่ก็โชคดีที่ในเมืองเล็กแห่งนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องใช้จ่ายอะไรมากนัก

สตรีมองไปยังแสงตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วเหม่อลอย จากนั้นก็หันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ทึ่มทื่อที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “หลี่เอ้อร์ เจ้ามายืนบื้ออะไรอยู่ตรงนี้ จะเสกน้ำมันมาใช้ได้หรือไร?”

หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า

เขาเข้าใจ

ช่วงนี้จำนวนครั้งที่ซื้อเหล้าค่อนข้างมากไปสักหน่อย แต่นี่จะโทษเขาคนเดียวไม่ได้ เฉินผิงอันเองก็ดื่มไปไม่ใช่น้อยๆ

สตรีคล้ายจะมองความคิดของหลี่เอ้อร์ออก จึงพูดอย่างมีโทสะว่า “เสียดายเงินเป็นเรื่องหนึ่ง แต่รับรองเฉินผิงอันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าหลี่เอ้อร์โบ้ยให้เป็นความผิดเฉินผิงอัน หากเจ้าแน่จริงก็คายเหล้าส่วนที่เจ้าดื่มเข้าไป เอาไปขายเป็นเงินมาคืนข้าสิ ข้าจะได้ไม่ต้องโทษเจ้า! วันๆ เอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ได้แต่ช่วยคนอื่นทำงานชั่วคราว ปีๆ หนึ่งเจ้าหาเงินได้สักกี่ตำลึงกัน?! มากพอให้เจ้าดื่มเหล้ากินเนื้อหรือ?”

หลี่เอ้อร์พูดอย่างอัดอั้น “อีกไม่นานเฉินผิงอันก็จะจากไปแล้ว เดี๋ยวข้าจะงดเหล้าครึ่งปี ตกลงไหม?”

คิดไม่ถึงว่าพอได้ยินว่าเฉินผิงอันจะจากไป สตรีกลับยิ่งเดือดดาลเข้าไปใหญ่ “ลูกสาวขายไม่ออกก็เพราะถูกพ่ออย่างเจ้าถ่วงรั้งไว้นี่แหละ แน่จริงเจ้าก็ไปเป็น ขุนนางดูสิ คราวนี้ก็มาดูกันเถอะว่าแม่สื่อที่มาเจรจาสู่ขอที่ร้านเราจะเหยียบ ธรณีประตูบ้านเราสึกหรือไม่?!”

หลี่เอ้อร์ไม่พูดไม่จา

สตรีคร่ำครวญด้วยความกรุ่นโกรธ “วันหน้าหากหลี่ไหวแต่งเมียแล้วบ้านของผู้หญิงดูแคลนชาติกำเนิดบ้านเรา พอถึงหน้าหนาวเมื่อไหร่ คอยดูเถอะข้าจะไล่ให้เจ้าไปปูพื้นนอนอยู่ในลานบ้าน!”

หลี่เอ้อร์เกาหัว

สตรีเพิ่งจะดับตะเกียงลงก็ได้ยินเสียงประตูเปิด นางรีบวิ่งเหยาะๆ อ้อมโต๊ะคิดเงินออกมาหลบอยู่ข้างกายหลี่เอ้อร์ พูดเสียงสั่น “หลี่หลิ่วขึ้นเขาไปแล้ว หรือว่าโจรบุก เข้าร้าน? อีกเดี๋ยวหากพวกเขามาปล้นเอาเงิน เจ้าหลี่เอ้อร์ก็อย่าเลอะเลือน ยกเศษเงินในร้านพวกนั้นให้โจรไปเลย”

หลี่เอ้อร์อืมรับหนึ่งที

โชคดีที่คนที่เปิดประตูเข้ามาคือหลี่หลิ่วบุตรสาวของนาง

สตรีจึงกระทืบหลังเท้าหลี่เอ้อร์ทันที “ดีนักนะ หากเป็นโจรจริงๆ ก็คงเป็นโจร ที่ผอมแห้งเหมือนลิง จะอาศัยเจ้าหลี่เอ้อร์ก็ไม่ได้เรื่อง! ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนใครจะปกป้องใครก็ยังไม่แน่…”

สตรีบ่นพลางด่าทอชายฉกรรจ์ไม่หยุดปาก

ดับตะเกียงแล้ว สามคนครอบครัวเดียวกันก็ไปที่เรือนหลัง สตรีหมดแรงจะด่า ก็เลยไปนอนหลับก่อนแล้ว

หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวกับหลี่หลิ่ว หลี่หลิ่วเสกเหล้าหมักเซียนกาหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า

ได้ดื่มเหล้าดีๆ เช่นนี้ หากเป็นคนติดเหล้าจริงๆ หลี่เอ้อร์ก็คงรับมาแล้ว

ทว่าคราวนี้หลี่หลิ่วกลับยืนกราน “ท่านพ่อ แหกกฎสักครั้ง”

หลี่เอ้อร์ประหลาดใจเล็กน้อย รับเหล้ากานั้นมา แต่กลับไม่ได้เปิดผนึกดินออก เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “เก็บไว้ก่อน วันหน้าค่อยดื่มกับหลี่ไหว เขาอายุเท่านี้ ก็น่าจะดื่มเหล้าได้แล้ว ถึงเวลานั้นค่อยบอกไปว่าเทพเซียนผู้เฒ่าของยอดเขาสิงโตมอบให้”

หลี่หลิ่วเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

หลี่เอ้อร์กล่าว “อันที่จริงแม่ของเจ้าเคยคิดอยากกลับไปที่แจกันสมบัติทวีป อยู่หลายครั้ง เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็มีญาติอยู่ เพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเป็นคน ที่คุ้นเคยกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ไม่เหมือนที่นี่ที่ถึงอย่างไรก็มีแต่คนนอก ดังนั้น ตอนที่แม่เจ้าหลุดปากพูดออกมา ข้าก็เลยรับปากไป แต่ภายหลังแม่ของเจ้าเปลี่ยนใจ บอกว่าจะดีจะชั่วหลี่ไหวก็เรียนอยู่ในสำนักศึกษา ต่อให้ถูกคนรังแกก็คงไม่เกินกว่าเหตุนัก แต่เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาว นางเป็นห่วงไม่อยากปล่อยเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว แล้วก็ไม่อยากให้เจ้าลงจากเขา สะบั้นวาสนาตระกูลเซียนที่แม้แต่คิดนางยังไม่กล้าคิดถึงนั้นไป”

หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ ยื่นเท้าออกไปวางทับซ้อนกันเบาๆ นิ้วทั้งสิบสอดประสาน ถามเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า สักวันหนึ่งข้าต้องกลับคืนสู่ร่างจริง ถึงเวลานั้นนิสัยของเทพย่อมเหนือกว่านิสัยของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ในชีวิตนี้ล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา บางทีอาจไม่มีทางลืมท่านพ่อท่านแม่กับหลี่ไหว แต่จะต้องไม่สนใจพวกท่านอย่างในเวลานี้อีกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? ถึงขั้นที่ว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้าอาจจะไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดก็ได้ แล้วพวกท่านล่ะ?”

หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้ย่อมต้องเคยคิดมาก่อน พ่อไม่ได้โง่จริงๆ เสียหน่อย จะทำอย่างไร? ไม่ทำอย่างไร ก็คิดเสียว่าลูกสาวได้ดิบได้ดีมากเป็นพิเศษ ก็เหมือนกับ…อืม ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่เป็นชาวนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาทั้งชีวิต จู่ๆ วันหนึ่งก็พบว่าลูกชายสอบติดจ้วงหยวน ลูกสาวกลายเป็นเหนียงเนียงในวังหลวง แต่ลูกชายก็ยังคงเป็นลูกชาย ลูกสาวก็ยังคงเป็นลูกสาวอยู่ดีไม่ใช่หรือ? บางที ยิ่งนานวันก็อาจจะไม่มีอะไรให้พูดคุยกันได้อีก

พ่อแม่ที่อยู่บ้านเกิดเฝ้าเรือนหลังเก่า ลูกชายที่เป็นขุนนางต้องคอยกังวลกับ ปากท้องราษฎรและความสงบสุขของบ้านเมือง ลูกสาวที่เป็นเหนียงเนียงยากที่จะกลับมาเยี่ยมหาพ่อแม่ได้ แต่ความคิดถึงและความผูกพันที่มีต่อพ่อแม่กลับยังคงอยู่ บุตรชายบุตรสาวมีชีวิตที่ดี พ่อแม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตที่ดี แค่นี้ก็พอแล้ว”

หลี่หลิ่วก้มหน้าลง “เรียบง่ายแค่นี้เองหรือ?”

หลี่เอ้อร์อืมรับหนึ่งที “ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น และเจ้าก็ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน เมื่อก่อนไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าเพราะรู้สึกว่าให้เจ้าคิดมากๆ หน่อย ต่อให้จะคิดเหลวไหลส่งเดชก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”

หลี่เอ้อร์ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “แต่ข้าก็ยังหวังว่า หากมีวันนั้นจริงๆ ต่อให้เจ้าจะต้องฝืนใจ ต้องแสร้งทำพอเป็นพิธี เจ้าก็จะดีกับท่านแม่ของเจ้า ให้มากหน่อย ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร แต่สำหรับแม่ของเจ้าแล้ว เจ้าก็คือบุตรสาวที่นางตั้งท้องมาสิบเดือน กว่าจะคลอดและเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าสามารถรับปากเรื่องนี้ ข้าที่เป็นพ่อก็ไม่ต้องการอะไร อีกแล้วจริงๆ”

หลี่หลิ่วพูดเสียงอ่อนโยน “ตกลง”

หลี่เอ้อร์ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่ชอบเจ้า เจ้าเองก็ไม่ชอบเฉินผิงอัน”

หลี่หลิ่วเสียงขุ่น “ท่านพ่อ!”

หลี่เอ้อร์ยิ้มกว้าง “พ่อก็พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าจะหงุดหงิดทำไม”

ดวงตางดงามคู่นั้นของหลี่หลิ่วโค้งหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยวตามรอยยิ้มของนาง

หลี่เอ้อร์กล่าว “รู้หรือไม่ว่าที่เฉินผิงอันไม่อยู่ที่นี่ ยังมีเหตุผลอะไรที่เขาไม่ได้พูดออกมาอีก?”

หลี่หลิ่วถามอย่างสงสัย “เขากำลังกริ่งเกรงอะไร? กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเรา?”

หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “ครอบครัวพวกเราอยู่กันพร้อมหน้า แต่กลับมีคนนอกคนหนึ่ง เขาเฉินผิงอันไม่ว่าเรื่องลำบากอะไรก็รับได้หมด มีเพียงเรื่องนี้ที่รับไม่ไหว”

……

วันนั้นที่หลี่หลิ่วกลับคืนสู่บ้าน

เฉินผิงอันยิ้มแล้วขอตัวลาจากไป

คนหนุ่มสวมชุดเขียวคนหนึ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เดินอยู่บนถนนเส้นใหญ่เพียงลำพัง เขาหันหน้ามามองร้านแห่งนั้น เนิ่นนานก็ไม่ถอนสายตากลับคืน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!