บทที่ 563 กลับลงใต้เดินทางขึ้นเหนือ
หวงไฉ่เจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตมายืนอยู่ข้างกายหลี่หลิ่วบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขา ยิ้มเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉินปล่อยหมัดนี้ออกไป ยอดเขาสิงโตของเราก็มีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ แล้ว”
หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มให้หวงไฉ่อย่างที่หาได้ยาก “หวงไฉ่ เจ้าไม่ต้องจงใจเรียกเขาว่าอาจารย์เฉิน ตนเองไม่กระดากปาก ท่านเฉินฟังแล้วกลับจะกระดากหู”
หวงไฉ่รู้นิสัยของอาจารย์ตัวเองดีจึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับ
มีอยู่ชาติหนึ่ง หลี่หลิ่วเก็บเด็กข้างทางมาได้คนหนึ่ง บอกให้เขาโขกหัวง่ายๆ สามครั้งก็ถือว่ารับเขาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ภายหลังสองอาจารย์และศิษย์ก็ได้บุกเบิกสำนักอยู่บนยอดเขาสิงโตด้วยกัน หลังจากที่หลี่หลิ่วลาจาก โลกนี้ไป ตอนนั้นหวงไฉ่ที่เพิ่งเป็นเซียนดินโอสถทองหนุ่มจึงต้องกลายเป็นเสาหลัก ยอดเขาสิงโตสามารถยืนหยัดไม่ล้มลงอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจ ก้อนเมฆได้ เด็กที่ปีนั้นผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ มีเพียงศีรษะอย่างเดียวที่โต มองดูแล้วน่าสนใจผู้นั้น สุดท้ายก็ได้กลายเป็นก่อกำเนิดใหญ่ผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งอุตรกุรุทวีป
หลี่เอ้อร์พลันเอ่ยขึ้นว่า “ชุดคลุมอาคมสี่ชิ้นบนร่างของเขา นอกจากชิ้นด้านในสุดที่ถือว่าดีแล้ว ที่เหลืออีกสามชิ้นก็ไม่ค่อยต้านรับหมัดได้สักเท่าไร ความเสียหายค่อนข้างมาก”
ยังดีที่ก่อนจะถ่อเรือกลับมายังท่าเรือ ยังไม่ลืมถอดชุดคลุมอาคมที่กลายเป็นภาระพวกนั้นออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยที่อยู่ด้านนอกสุดนั่น ไม่อย่างนั้นเดินขึ้นสู่ที่สูงไปปล่อยหมัดอย่างผึ่งผายเช่นนี้ อีกไม่นานคนครึ่งอุตรกุรุทวีปก็คงได้ยินว่ายอดเขาสิงโตมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ชอบแต่งกายเหมือนสตรีแน่ๆ
ส่วนข้อที่ว่าสรุปแล้วหมัดที่ต่อยให้ทะเลเมฆสีทองแหลกสลาย ทิ้งโชคชะตาบู๊เข้มข้นส่วนนี้ไว้ที่อุตรกุรุทวีปของเฉินผิงอัน จะสร้างผลกระทบอันยาวไกลแบบใดบ้าง ก่อนหน้านี้พอหลี่เอ้อร์รู้ถึงการตัดสินใจของเฉินผิงอันก็ไม่ได้จงใจพูดเรื่องวงในบางอย่างกับเขาอีก เพราะไม่มีความจำเป็น พูดไปแล้วกลับกลายจะทำให้เสียเรื่อง บางทีอาจทำให้ปณิธานหมัดในการปล่อยหมัดของเฉินผิงอันเกิดสิ่งสกปรกปลอมปน พูดถึงแค่พวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าขอบเขตสิบกลุ่มน้อยในอุตรกุรุทวีปที่จิตสามารถรับสัมผัสได้นั้น ก็มีแต่จะรู้สึกยินดี เพราะไม่ว่านิสัยใจคอของปรมาจารย์เหล่านี้ จะเป็นอย่างไร คุณธรรมจะสูงหรือต่ำ ก็ยังต้องเกิดความเคารพยำเกรงในตัวของ คนหนุ่มที่อยู่บนยอดเขาสิงโตในวันนี้หลายส่วน ศาลบู๊น้อยใหญ่ในพื้นที่ของหนึ่งทวีป ก็จะซาบซึ้งในบุญคุณของคนผู้นี้ ไม่พูดถึงคนอื่น ลำพังเพียงแค่โจวมี่อริยะลัทธิขงจื๊อ ที่หวงไฉ่แห่งยอดเขาสิงโตคุ้นเคยดีที่สุดก็ย่อมมองเฉินผิงอันสูงขึ้นอีกหน่อย รู้สึกถูกชะตากับเขามากขึ้น
หลี่หลิ่วนึกถึงการแต่งกายอันเฉิดฉันของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ก็กลั้นขำ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจะช่วยท่านเฉินซ่อมแซมชุดคลุมอาคมเอง”
หลี่เอ้อร์หัวเราะร่า
หลี่หลิ่วพูดอย่างระอาใจ “ท่านพ่อ คิดเหลวไหลอะไรอยู่น่ะ?”
หลี่เอ้อร์ตอบ “ไม่ได้คิดเหลวไหล แค่รู้สึกว่าเดี๋ยวลงจากภูเขาไปจะมีเหล้ากิน ก็เลยอารมณ์ดี”
เฉินผิงอันเหยียบลงบนกระบี่บินชูอีสืออู่มาทีละก้าวอย่างโงนเงน สุดท้าย ก็พลิ้วกายลงบนพื้น
หลี่เอ้อร์กล่าว “พักรักษาตัวอยู่บนภูเขาสักห้าวันก่อน รอให้เจ้าสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตร่างทองได้แล้ว ข้าค่อยช่วยเปิดเส้นเอ็นและกระดูก ขัดเกลาจิตวิญญาณให้เจ้า ทุกครั้งที่ฝ่าทะลุหนึ่งขอบเขต ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายที่ตัวผู้ฝึกยุทธเองไม่อาจจินตนาการได้ถึง ฉวยโอกาสตีเหล็ก ตอนที่ยังร้อนจะค่อนข้างมั่นคงกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านอาหลี่ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ข้ามึนหัวตาลายไปหมด แค่คิดถึงการฝึกหมัดก็ง่วงแล้ว ขอข้าหายใจหายคอสักหน่อยเถอะนะ”
หลี่เอ้อร์ยิ้มพลางโบกมือ
เฉินผิงอันหันไปกุมหมัดคารวะหวงไฉ่เจ้าภูเขาท่านนั้น เอ่ยขออภัยว่า “ไม่เคยมีโอกาสได้ขอบคุณเจ้าขุนเขาหวงเลย”
หวงไฉ่ส่ายหน้า “คุณชายเฉินไม่ต้องเกรงใจ ยอดเขาสิงโตของพวกเราชื่อเสียงกระฉ่อนก็เพราะได้รับใบบุญจากท่าน คุณชายเฉินเชิญพักรักษาตัวได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก ขอตัวลาจากไป
หลี่เอ้อร์เองก็รีบลงจากภูเขา
หลี่หลิ่วยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยว่า “ชื่อเสียงกระฉ่อน? นี่มันคำกล่าวในทางลบไม่ใช่หรือ? หวงไฉ่ ปีนั้นข้าก็บอกให้เจ้าอ่านตำราให้มาก นี่เจ้าเอาแต่ฝึกตนงั้นหรือ? ได้ยินมาว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับโจวมี่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอวี๋ฝู คุยกันรู้เรื่อง ได้อย่างไร?”
หวงไฉ่กล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ ข้าไม่ชอบอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก อีกอย่าง ข้ากับเจ้าขุนเขาโจวคบหากันก็ไม่เคยพูดคุยเรื่องบทกลอนบทกวีอะไร”
หลี่หลิ่วส่ายหน้า “ตอนเด็กหัวโตเสียเปล่า”
หวงไฉ่อึ้งตะลึง ลูบศีรษะของตัวเองแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กเคยมีเรื่องแบบนั้นจริงๆ ยามนั้นตนหน้าเหลืองผอมตอบ เดินขอทานไปตามถนนยามที่หิมะปลิวปราย จากนั้นก็ได้เจอกับอาจารย์ที่เดินมาช้าๆ ท่ามกลางหิมะใหญ่
หวงไฉ่จดจำภาพเหตุการณ์นั้นได้อย่างแจ่มชัดชั่วชีวิต เพียงแต่ว่ากาลเวลาต่อมา ตนมีเรื่องราวมากมายให้ต้องทำ จึงเริ่มจะลืมเลือนไปบ้าง
หลี่หลิ่วหันหน้ามามองผู้เฒ่าที่คอยเฝ้าพิทักษ์สมบัติอย่างยอดเขาสิงโตไว้ อย่างยากลำบาก ยอดเขาสิงโตก็เป็นแค่หนึ่งในถ้ำสถิตที่นางทิ้งเอาไว้ ถึงขั้น ไม่มีความสำคัญเท่าตำหนักวารีหนานซวินของถ้ำสวรรค์วังมังกรด้วยซ้ำ การที่นางเลือกให้ครอบครัวสามคนมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก็เพียงแค่เพราะหลี่หลิ่วชอบ เมืองเล็กที่เงียบสงบตรงตีนเขา หากท่านแม่ได้เปิดร้านอยู่ในตลาดแห่งนั้นก็จะไม่รู้สึกแปลกที่แปลกถิ่นมากเกินไป อันที่จริงนี่แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับยอดเขาสิงโตและหวงไฉ่เลย
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เวลานี้พอได้เห็นว่าเด็กหัวโตที่ผอมราวกับลิงในตอนนั้น จู่ๆ กลายมาเป็นผู้เฒ่าผมขาวแก่ชรา หลี่หลิ่วก็รู้สึกเสียใจนิดๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น มาก่อน คุณสมบัติของหวงไฉ่ไม่ถือว่าดีนัก นิสัยก็ดื้อรั้นเกินไป บนเส้นทางของ การฝึกตน เขาผ่านการเข่นฆ่ามามากมาย การดูแลศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่งใน อุตรกุรุทวีปไม่ใช่เรื่องผ่อนคลาย หวงไฉ่ที่เดิมทีมีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ในประวัติศาสตร์ต้องเผชิญหน้ากับการถามกระบี่ การลอบโจมตีของ ผู้ฝึกกระบี่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังปกป้องศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโตไม่ให้ ถูกทำลาย ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ทำให้มีโรคร้ายมากมายทิ้งไว้ การซ่อมแซม จวนลมปราณหลังผ่านศึกใหญ่มาไม่ได้ช่วยอะไร ชีวิตนี้จึงได้แต่ติดค้างอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น
อันที่จริงครั้งแรกที่หลี่หลิ่วย้อนกลับมายังยอดเขาแห่งนี้ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเด็กคนนี้ ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโตที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ จะนับเป็นอะไรได้? ต่อให้พังครืนลงมา กลายเป็นซากปรัก หวงไฉ่ไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ แล้วอย่างไร? ไม่ได้ทุ่มเทความคิดจิตใจมากมายไปอบรมปลูกฝังลูกศิษย์ ไม่เผาผลาญแรงกายแรงใจและทรัพยากรไปช่วยแตกกิ่งก้านสาขาให้กับยอดเขาสิงโต แต่เลือก จะตั้งใจฝึกตนอยู่กับตัวเอง คิดเพียงแค่เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตอย่างเดียว เมื่อเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้รับของรางวัลเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งจากนางหลี่หลิ่ว
ไม่ใช่หลี่หลิ่วไม่รู้ถึงความตั้งใจของหวงไฉ่ ในความเป็นจริงแล้วนางรู้ชัดเจนดี ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนหลี่หลิ่วไม่คิดจะสนใจก็เท่านั้น
ทว่านาทีนี้ หลี่หลิ่วกลับรู้สึกเสียใจ
มองอาจารย์ที่ไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มาก่อน ในความทรงจำของเขา อาจารย์ที่เคยอยู่ในเนื้อหนังมังสาอีกแบบหนึ่งมักจะอยู่สูงส่งห่างไกลเสมอ เงียบขรึมพูดน้อย คล้ายกำลังคิดเรื่องใหญ่ที่เขาหวงไฉ่ไม่มีทางเข้าใจ
หวงไฉ่ไม่กล้ามองสบตาอาจารย์ เขาทอดสายตามองไปไกล พูดเสียงสั่นคล้ายพึมพำกับตัวเอง “ชีวิตนี้ได้กลับมาพบเจอกับอาจารย์อีกครั้ง ศิษย์ดีใจมากจริงๆ”
หลี่หลิ่วอืมรับหนึ่งที “อาจารย์ไม่ได้ดีใจเท่าเจ้า แต่ก็ยังดีใจ”
อาจารย์และลูกศิษย์พากันเงียบงันไปนาน
ก่อนที่หลี่หลิ่วจะเอ่ยเนิบช้าว่า “วันหน้าเจ้าไม่ต้องสนใจตราผนึกภูเขาสายน้ำของถ้ำสถิตแห่งนั้นอีก ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโต ถ้ำสถิตนั่นก็ไม่ใช่ที่ ฝึกตนของข้านานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงในเรื่องนี้อีก หากยอดเขาสิงโตมีต้นกล้าดีๆ รอให้ท่านเฉินออกไปจากภูเขาเมื่อไหร่ เจ้าก็ให้พวกเขาเข้าไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ด้านใน
ตำราเต๋าสามเล่มที่ข้าเคยมอบให้เจ้าในอดีต เจ้าสามารถถ่ายทอดไปให้ลูกศิษย์ แต่ละคนโดยดูจากคุณสมบัติและนิสัยใจคอของพวกเขา ไม่ต้องเอาแต่ยึดติดกับกฎระเบียบมากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่ได้ไม่อนุญาตให้เจ้าถ่ายทอดวิชาน้ำบรรพกาลทั้งสามวิชานั้น หากเจ้าไม่คร่ำครึเกินควรอยู่อย่างนี้ ป่านนี้ยอดเขาสิงโตก็คงมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนที่สองปรากฏขึ้นนานแล้ว”
หวงไฉ่ตบศีรษะตัวเอง “เป็นอย่างที่อาจารย์พูดไว้จริงๆ อุตส่าห์มีหัวโตๆ เสียเปล่า”
หลี่หลิ่วหัวเราะ
หวงไฉ่เองก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ว่าในใจรู้สึกสุขสงบ สีหน้าอิ่มเอมใจ ยืนมองขุนเขาสายน้ำบนโลกมนุษย์ร่วมกับอาจารย์ที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งอยู่เช่นนั้น
……
ห้าวันผ่านไป หลี่เอ้อร์ขึ้นเขามาอีกครั้ง การป้อนหมัดครั้งนี้ต้องการให้เฉินผิงอันใช้แค่สถานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองมาประลองฝีมือกับเขา แต่ไม่อนุญาต ให้ใช้โครงท่าหมัดหรือกระบวนท่าหมัดใดๆ แม้แต่วี่แววว่าจะใช้ก็ห้ามมี หากเขา หลี่เอ้อร์ค้นพบเบาะแสแม้แต่น้อย เฉินผิงอันก็ต้องกินหมัดของขอบเขตเก้ายอดเขา ไปเต็มๆ สิ่งที่เรียกร้องมีเพียงว่าเฉินผิงอันต้องออกหมัดให้ไว หากช้าแม้เพียงนิด ก็จะผิดต่อขอบเขตร่างทองที่ได้มาไม่ง่ายนี้ แล้วก็ยิ่งต้องกินหมัด สุดท้ายหลี่เอ้อร์ ลากเฉินผิงอันไปที่เรือลำเล็ก ครั้งนี้หลี่เอ้อร์เป็นคนถ่อเรือกลับท่าเรือด้วยตัวเอง บอกว่ายังขาดแรงไฟอยู่อีกเล็กน้อย อีกห้าวันค่อยมาขัดเกลากันใหม่ เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีครั้งนี้อย่างที่หาได้ยาก บอกว่าไม่ได้จริงๆ เขาต้องออกเดินทางต่อแล้ว ในเมื่อหลิวจิ่งหลงฝ่าทะลุขอบเขตแล้วก็จะต้องเจอกับการถามกระบี่ครั้งแรก เขาจำเป็นต้องไปดูที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเสียหน่อย แล้วค่อยไปเยี่ยมเยือน ฮว่อหลงเจินเหรินที่ยอดเขาพาตี้ ไปพบกับสหายสนิทอีกหนึ่งคน
แล้วยังต้องไปที่ถนนถ้ำเซียนของเมืองหนึ่งในแคว้นชิงเฮาเพื่อพบกับหลี่ซีเซิ่ง แล้วก็ยังต้องเดินทางลงใต้กลับไปที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย
หลี่เอ้อร์จึงไม่ได้ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจ
ยามเช้าตรู่ คนทั้งสองเดินเร็วๆ ลงเขาไปด้วยกัน หลี่เอ้อร์ถามอย่างสงสัยว่า “ในเมื่อรีบร้อนอยากจะกลับไปภูเขาห้อยหัวตามสัญญาขนาดนี้ เหตุใดไม่เดินทาง ออกจากอุตรกุรุทวีปไปเลย? ยังจะไปที่แจกันสมบัติทวีปอีกทำไม ภูเขาลั่วพั่วไม่มีขาสักหน่อย ยังมีจูเหลี่ยนกับเว่ยป้อที่คนหนึ่งดูแลในคนหนึ่งดูแลนอกคอยช่วยเหลือ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องเป็นกังวล หากพลาดชายหาดโครงกระดูกไป เรือข้ามทวีปที่แจกันสมบัติทวีปก็แค่ที่นครมังกรเฒ่าเท่านั้น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ ไม่รู้สึกว่ายุ่งยากบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่กลับไปดูที่บ้านสักหน่อย จะวางใจได้อย่างไร”
หลี่เอ้อร์จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ช่วยเฉินผิงอันป้อนหมัด เขาพูดมากจริงๆ เหนื่อยกว่า การออกหมัดเสียอีก
พอไปถึงร้านผ้าที่ตีนเขา หลี่หลิ่วกำลังช่วยงานอยู่ในร้าน กิจการค่อนข้างซบเซา เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด สุดท้ายก็อดไม่ไหวเปิดปากว่า “แม่นางหลี่ รู้หรือไม่ว่าทำไมเวลาเจ้าขายผ้าอยู่ในร้าน กิจการถึงไม่ค่อยดีนัก?”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ
สตรีวัยกลางคน หญิงสาวอายุน้อยของตลาดในเมืองเล็กแห่งนี้ล้วนไม่ยินดี จะพบหน้านาง ต่อให้นางจะยอมฝืนใจพูดโอ้อวดถึงสรรพคุณของเนื้อผ้าจนมีดอกไม้ผุดร่วงลงมา
ทว่าขอแค่นางยังยืนอยู่ในร้าน สตรีชาวบ้านพวกนั้นก็ยังอดรู้สึกไม่เป็นตัว ของตัวเองไม่ได้ ซื้อผ้ามาเพิ่มความงามให้ตัวเองสักส่วนสองส่วนแล้วอย่างไร ขอแค่เห็นนางหลี่หลิ่วก็ยังหมดอาลัยตายอยากอยู่ดี
หลี่หลิ่วชอบมาอยู่ในร้านก็เพราะอยากจะอยู่กับท่านแม่ให้นานหน่อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สามารถให้เทพธิดาคนสองคนบนยอดเขาสิงโตที่หน้าไม่งดงามมากนัก เลือกช่วงเวลาที่บนถนนมีคนคึกคักมาซื้อผ้าแพรต่วนที่นี่สองครั้ง ครั้งแรก ซื้อให้น้อย ครั้งที่สองซื้อให้มากหน่อย จำไว้ว่าตอนที่มาให้สวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจาก ผ้าแพรที่ซื้อไปจากที่นี่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้แม่นางหลี่เหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงใจค้าขายแล้ว แล้วก็จะมีเวลาพูดคุยอยู่กับท่านอาหลิ่วในเรือนด้านหลัง ได้มากกว่าเดิม”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “จะลองทำตามแผนการอันแยบยลที่ท่านเฉินถ่ายทอดให้ดู”
ก่อนหน้านี้สตรีออกเรือนแล้วเห็นสีหน้าของเฉินผิงอัน ตอนที่ยกน้ำชามาให้ ประโยคแรกที่เปิดปากถามคือป่วยหรือ?
เฉินผิงอันรีบยิ้มส่ายหน้าบอกว่าเปล่า เพียงแค่โดนลมเย็นเล็กน้อย ท่านอาหลิ่ว ไม่ต้องเป็นกังวล
สตรีจึงบอกวิธีบ้านๆ ในการดูแลรักษาร่างกายของบ้านเกิดให้เขาฟัง ย้ำกับเฉินผิงอันว่าอย่าไม่ใส่ใจเด็ดขาด
บนโต๊ะอาหารวันนี้มีคนนั่งอยู่สี่คน
พอท่านอาหลิ่วได้ยินว่าหลังกินข้าวเสร็จ วันนี้เฉินผิงอันก็จะออกไปจากเมืองเล็ก ก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ทว่าตอนนี้พอสตรีได้ยินว่าเฉินผิงอันยินดีช่วยเขียนจดหมายแทนนางแล้วส่งไปที่สำนักศึกษาต้าสุย สตรีก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน
หลี่หลิ่วหันหน้าไปมองหลี่เอ้อร์ หลี่เอ้อร์เพียงแค่ยิ้ม จิบเหล้าอย่างเอร็ดอร่อย
ในห้องของหลี่ไหว เฉินผิงอันหยิบเอากระดาษ พู่กันและหมึกออกมา สตรีนั่งอยู่ด้านข้าง หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกับสตรี หลี่หลิ่วนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านอาหลิ่ว ท่านพูด ข้าเขียน พวกเราเขียนเรื่อง ยิบย่อยในชีวิตประจำวันมากๆ หน่อย หลี่ไหวอ่านแล้วจะได้สบายใจ”
สตรีมองคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าคนนี้ อยู่ดีๆ นางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา พูดเสียงเบาว่า “ผิงอัน หากท่านพ่อ ท่านแม่ของเจ้ายังอยู่ก็คงดีสินะ อาหลิ่วไม่มีความรู้อะไร เป็นเพียงแค่สตรีที่เก่งแต่ปาก แต่จะดีจะชั่วก็เป็นแม่คน ข้ากล้าพูดเลยว่าไม่ว่าพ่อแม่คนใดในใต้หล้านี้ หากมีลูกชายอย่างเจ้า ต้องไม่มีใครที่ไม่ดีใจแน่นอน”
เฉินผิงอันหลุบสายตาลงต่ำ สีหน้านิ่งสงบ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คลี่ยิ้มพูดเสียงแผ่ว “ท่านอาหลิ่ว ข้าก็อยากให้ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ แต่ตอนนั้นอายุน้อย ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็รู้สึกเสียใจ มาโดยตลอด”
สตรีรู้สึกผิดอย่างมาก พูดเรื่องไหนไม่พูด นางดันมาพูดเรื่องที่ชวนให้คนเสียใจเช่นนี้เสียได้ จึงรีบเอ่ยว่า “ผิงอัน อาจะพูดไปเรื่อยๆ แล้วกันนะ เขียนได้ก็เขียน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เขียนลงไปในกระดาษไม่ได้ เจ้าก็ข้ามไปเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กระดาษมีเยอะ ท่านอาพูดได้เยอะๆ เลย จดหมายทางบ้านเขียนให้ยาวสักหน่อย ถือเป็นนิมิตหมายอันดี”
สตรีถอนหายใจหนักๆ จากนั้นก็หันหน้ามาถลึงตาใส่หลี่หลิ่ว “ได้ยินหรือยัง?! ในอดีตเวลาบอกให้เจ้าช่วยเขียนจดหมายให้ เจ้าเขียนง่ายๆ แค่แผ่นสองแผ่น ก็เสร็จแล้ว ในใจเจ้ามีน้องชายของเจ้าบ้างหรือไม่ มีแม่อย่างข้าบ้างหรือไม่? ลูกสาว ใจจืดใจดำอย่างเจ้านี่ช่างเลี้ยงมาเสียข้าวสุกจริงๆ !”
เฉินผิงอันหันไปยิ้มขออภัยให้กับหลี่หลิ่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หลี่หลิ่วพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นนางก็กุมสองมือเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้าตัวเอง พูดขอร้องสตรีว่า “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว”
จากนั้นในห้องเล็กก็มีเสียงพร่ำพูดของสตรี กับเสียงจรดพู่กันเขียนตัวอักษร อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเฉินผิงอัน
คนหนุ่มชุดเขียวที่เดินทางหมื่นลี้ แล้วก็อ่านตำรามาหมื่นเล่มนั่งตัวตรง อย่างสำรวม เอวยืดอกตั้ง สีหน้าจริงจัง
สุดท้ายเฉินผิงอันสะพายกระบี่ ถือไม้เท้าเดินป่าเดินออกไปจากร้าน สตรีและ ชายฉกรรจ์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู มองส่งเฉินผิงอันจากไป
สตรียืนกรานให้หลี่หลิ่วไปส่งเขา
หลี่หลิ่วคล้องห่อสัมภาระใบหนึ่งไว้ที่แขน ล้วนเป็นสิ่งของที่ท่านแม่ของนางจัดเตรียมไว้อย่างตั้งใจ ส่วนใหญ่เป็นของพิเศษที่มีเฉพาะในเมืองเล็ก
แน่นอนว่าด้านในยังมีชุดคลุมอาคมที่นางซ่อมแซมเองกับมืออีกสามตัวด้วย
สตรีพูดเสียงเบา “หลี่เอ้อร์ วันหน้าลูกสาวเราจะหาคนดีๆ แบบนี้เจอไหม?”
หลี่เอ้อร์คิดแล้วก็ตอบว่า “ยาก”
สตรีกระทืบหลังเท้าหลี่เอ้อร์ ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่เอาใจใส่หน่อยหรือ?! จะมองเฉยปล่อยให้เฉินผิงอันจากไป แบบนี้หรือไร? เวลาดื่มเหล้าไม่เห็นเจ้าจะดื่มให้น้อยลงบ้าง ทำอะไรพึ่งพาไม่ได้ แม้แต่น้อย ข้ามาเจอกับผู้ชายอย่างเจ้า หลี่ไหวหลี่หลิ่วมาเจอบิดาอย่างเจ้า เป็นเพราะสวรรค์ไม่มีตา หรือชาติก่อนพวกเราสามคนไม่ได้ทำบุญไว้กันแน่?!”
หลี่เอ้อร์ไม่ส่งเสียงตอบโต้ แน่นอนว่าไม่กล้าหลบด้วย
สตรีถอนหายใจ ดึงมือกลับมาอย่างเดือดดาล จะทิ่มหน้าผากอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว เดิมทีบุรุษของตนก็เป็นตอไม้ทึ่มทื่อโง่เขลาอยู่แล้ว หากไม่ทันระวังถูกตนทิ่มให้หัว เป็นรูอีก ก็ไม่ใช่ว่าตนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ?
บนถนนใหญ่ในเมืองเล็ก คนสองคนเดินเคียงบ่ากันไป
หลี่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “ท่านเฉิน หวงไฉ่จะพาท่านไปที่ท่าเรือ สามารถตรงไปที่ท่าเรือฮ่วนโหยวที่อยู่ใกล้กับสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้โดยตรง เมื่อลงเรือแล้ว ก็อยู่ห่างจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น คนที่จะไปถามกระบี่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยคนแรกคือลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เรื่องนี้ก็คือกฎเก่าแก่ของอุตรกุรุทวีป ท่านเฉินไม่ต้องคิดอะไรมาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่หลิ่วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าท่านเฉินให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากที่สุด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แต่สำหรับกฎเกณฑ์ที่สมเหตุสมผล ข้ายังเข้าใจน้อยและ ตื้นเขินเกินไป อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะรู้ว่าอะไรคือมารยาทพิธีการที่แท้จริง”
หลี่หลิ่วไม่ให้คำวิจารณ์ในเรื่องนี้
หลักๆ แล้วเป็นเพราะไม่ยินดีจะเจ้ากี้เจ้าการกับอีกฝ่าย
หลี่หลิ่วถาม “หรือว่าท่านเฉินไม่ไขว่คว้าอิสระเสรีที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์ ที่แท้จริง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็ยังรู้สึกอิจฉาการไร้พันธนาการเช่นนั้นอยู่ แต่ข้า ก็คิดมาโดยตลอดว่า ไม่มีความรู้ความเข้าใจใดที่สามารถประคับประคองอิสระ ที่สมบูรณ์เช่นนั้นได้ ทั้งไม่แน่นหนามากพอ แล้วก็ยังเป็นภัยอย่างหนึ่งด้วย”
คนทั้งสองเดินผ่านหัวเลี้ยวของถนนใหญ่ ห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้ามีเจ้าขุนเขาก่อกำเนิดผู้เฒ่าแห่งยอดเขาสิงโตที่ร่ายใช้เวทอำพรางตายืนอยู่
หลี่หลิ่วปลดห่อสัมภาระที่อยู่ในมือออก เฉินผิงอันเองก็ปลดหีบไม้ไผ่ลงมา
เดิมทีหลี่หลิ่วคิดว่าจะให้เขายืนอยู่เฉยๆ ส่วนนางจะเปิดหีบไม้ไผ่เอง เวลานี้ หลี่หลิ่วจึงยื่นห่อสัมภาระส่งไปให้ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านเฉินกลัวว่าคนจะเข้าใจผิดหรือ? อันที่จริงพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเข้าใจผิดกันไปมากแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระมาใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ แล้วสะพายหีบขึ้นหลังอีกครั้ง เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
สุดท้ายหลี่หลิ่วใช้เสียงในใจบอกว่า “ใต้หล้ามืดสลัวมีอารามเสวียนตู คือ ปฐมสำนักสายหนึ่งของเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า เจ้าอารามมีชื่อว่าซุนไหวจง เป็นคน ใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคุณธรรมในยุทธภพ”
เฉินผิงอันตอบรับ “ขอบคุณแม่นางหลิ่วที่มอบยาสงบใจเม็ดหนึ่งให้แก่ข้า”
ภายใต้การนำทางของหวงไฉ่ เฉินผิงอันพูดคุยกับเจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตผู้นี้ไปตลอดทาง จากนั้นก็เอ่ยอำลา สุดท้ายนั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่ง ที่เสาเรือนแกะสลักประณีตโอ่อ่าดุจหอเรือนมุ่งหน้าไปยังท่าเรือฮ่วนโหยว บนเรือ มีคนไม่น้อย และยังมีคนจำนวนมากที่ตั้งใจไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย เวลานี้พวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน
อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะในเมื่อเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีปท่านนั้นฝ่าทะลุขอบเขตออกจากด่านแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องตามมาด้วยการถามกระบี่ของ เซียนกระบี่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดสามครั้ง แบ่งออกเป็นการท้าทายจากเซียนกระบี่หญิงลีไฉ่ ต่งจู้ และป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งอุตรกุรุทวีป!
นอกจากนี้แล้วก็ยังพูดคุยกันถึงทะเลเมฆสีทองและฝนหวานชะตาบู๊ที่ยอดเขาสิงโต
ต่างก็คาดเดากันว่ายอดเขาสิงโตจงใจเก็บซ่อนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเอาไว้ อย่างมีเจตนา หรือว่าจะเป็นแค่ใครบางคนที่เดินทางผ่านมาเท่านั้นกันแน่
เฉินผิงอันไปถึงห้องแล้วก็เปิดหีบไม้ไผ่ เตรียมจะหยิบเอาชุดคลุมอาคมสามตัว มาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แต่ตอนที่เปิดห่อสัมภาระออกกลับค้นพบว่าด้านในนอกจาก จะมีของกินและของพิเศษในท้องถิ่นที่ท่านอาหลิ่วตั้งใจเตรียมไว้ให้แล้ว ยังมีแผ่นหยกสีเขียวมรกตงามวิจิตรอยู่อีกแผ่นหนึ่งที่ถูกหลี่หลิ่วร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำเอาไว้ เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณไม่ปรากฎเด่นชัด ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงสัมผัสไม่ได้ เฉินผิงอันถอนหายใจ ไม่เพียงแต่อยู่กิน ซ้อมหมัดโดยไม่จ่ายเงิน ยังจะได้ของขวัญ ที่ล้ำค่าแบบนี้มาเปล่าๆ อีก มีใครที่เป็นแขกแบบตนบ้าง
บนแผ่นหยกสลักคำว่า ‘เจียวเฒ่าสยบคลื่นลม’
เขาเก็บมันไปพร้อมกับชุดคลุมอาคม แล้วจึงเริ่มหล่อหลอมปราณวิญญาณที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณสำคัญทั้งสามแห่งต่ออีกครั้ง
ตลอดทางไร้ปัญหาใดๆ
ไปถึงท่าเรือฮ่วนโหยวที่อยู่ห่างจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยแค่สามร้อยลี้
เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นว่ามีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นพวกผู้ฝึกตนที่มาร่วมวง ความครึกครื้นทั้งสิ้น
หลังจากที่เรือข้ามฟากเข้ามาในอาณาเขตของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้ว เฉินผิงอัน ก็ส่งกระบี่บินไปหาฉีจิ่งหลง
เขาไม่ได้พบฉีจิ่งหลงที่ท่าเรือแห่งนี้ แต่ได้พบกับเด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจาก ภูเขาเกอลู่อย่างป๋ายโส่วแทน
ป๋ายโส่ววิ่งตะบึงดุจปลาที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางกระแสฝูงชน พอเห็นเฉินผิงอัน ก็ยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งให้
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เจ้าอารมณ์ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ป๋ายโส่วพูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “คนแซ่เฉิน เจ้ารู้จักกับคนที่ชื่อสวีซิ่งจิ่วของ นครเหนือเมฆใช่ไหม?”
เฉินผิงอันหัวเราะตาม “รู้จัก”
ป๋ายโส่วกุมท้องหัวเราะก๊าก “เจ้าตัวดี ตอนนี้คนแซ่หลิวมีหน้ามีตานักล่ะ ทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องคอยรับรองแขกที่มาเยี่ยมเยือนบนภูเขา แรกเริ่มได้ยินว่า สวีซิ่งจิ่วผู้นั้นส่งเทียบมาขอเยี่ยมพบ บอกว่าตัวเองรู้จักกับ ‘ท่านเฉิน’ คนแซ่หลิว จึงปฏิเสธงานเลี้ยงทั้งหมดลงจากภูเขาไปพบเขา ข้าเองก็ตามไปด้วย ผลเป็นอย่างไรเจ้าลองเดาดูสิ ไอ้หมอนั่นก็สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่เลียนแบบเจ้า หลังจากทักทายปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอไปแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า ‘ผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านหลิว ชอบดื่มเหล้า ก็เลยเอาเหล้าที่หมักเองของนครเหนือเมฆมาฝากโดยพลการ’”
ตอนที่ป๋ายโส่วเล่าถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะจนน้ำตาเล็ดแล้ว “เจ้าไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นคนแซ่หลิวมีสีหน้าอย่างไร ก็สีหน้าแบบคนที่เขาห้องส้วมแต่ไม่ได้พกกระดาษไปเช็ดก้นด้วยอย่างไรล่ะ!”
เฉินผิงอันทอดถอนใจ “สวีซิ่งจิ่วคนนี้ได้ยินลมก็นึกว่าเป็นฝน ต้องเข้าใจความหมายข้าผิดไป เข้าใจผิดไปแน่ๆ”
ป๋ายโส่วชูสองมือขึ้นสูง กุมมือเป็นหมัดแล้วเขย่าอย่างแรง “คนแซ่เฉิน นับถือๆ !”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ตอนนี้อาจารย์ของเจ้ายุ่งมากหรือ? ยุ่งจนถึงขนาด ไม่สามารถมารับข้าที่นี่ได้ ก็เลยส่งลูกสมุนอย่างเจ้ามาแทน?”
ป๋ายโส่วแยกเขี้ยว “คนแซ่เฉิน เจ้าต่างหากที่เป็นลูกสมุน! ทุกวันนี้ข้าผู้อาวุโส ที่อยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย ก็คือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็ต้องเอ่ยชื่นชม ทุกวันคนแซ่หลิวจะต้องแอบจุดธูปไหว้พระแสดงความยินดีที่ตัวเองได้รับลูกศิษย์ที่ดีอย่างข้า”
เฉินผิงอันหัวเราะพลางลูบหัวเด็กหนุ่ม
ป๋ายโส่วกลับไม่หลบเลี่ยง แต่เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “อย่าลามปามสิ! คนแซ่เฉิน นี่ข้ายอมเห็นแก่หน้าเจ้าหรอกนะ พวกเราสองคนถึงเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องได้ หากเจ้ายังได้คืบแล้วจะเอาศอก ก็ไปที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยเองเลย ข้าไม่ช่วยนำทางเจ้าไปแล้ว”
พอไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็เห็นฉีจิ่งหลงยืนหน้าเคร่งอยู่ตรงนั้น
เฉินผิงอันขยับหีบไม้ไผ่ให้เข้าที่แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหา ยิ้มกล่าวว่า “ใช้ได้นี่นา ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้เลย”
ฉีจิ่งหลงกระตุกมุมปาก “ที่ไหนกันๆ เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ใหญ่เฉินแล้วยัง ห่างชั้นอยู่มากนัก ฝ่าทะลุคอขวดของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกตนถึงสองขอบเขตรวด”
เฉินผิงอันโบกมือ “มิกล้าๆ”
ป๋ายโส่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นกันสักทีหรือไร พอเจอหน้าก็เอ่ยประจบเอาใจกันอยู่ได้ สนุกนักหรือ?”
แล้วเด็กหนุ่มก็หัวเราะหึหึอย่างชั่วร้าย “ทำไมไม่เอาเหล้าออกมาสักสองกา คุยไปดื่มไปด้วยเลยเล่า? คนแซ่หลิว ครั้งนี้เจ้าต้องดื่มช้าๆ ค่อยๆ ดื่มล่ะ”
เด็กหนุ่มนับถือเจ้าคนที่ชื่อสวีซิ่งจิ่วผู้นั้นจริงๆ มารดามันเถอะ พอไปถึงกระท่อมบนภูเขาหลังนั้น ไอ้หมอนั่นเพิ่งจะนั่งลง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระดกเหล้าดื่มอักๆๆ ติดกันทีเดียวถึงสองกา หากไม่เป็นเพราะคนแซ่หลิวห้ามไว้ ดูจากท่าทางนั้น คงต้องดื่มติดกันถึงสามกาถึงจะสาแก่ใจ แม้จะบอกว่ากาเหล้าเล็กไปสักหน่อย แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญตนจงใจสะกดปราณวิญญาณเอาไว้แล้วดื่มเหล้าด้วยวิธีการเช่นนี้ ก็ถือว่ามีความห้าวหาญที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
คนทั้งสามเดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ ตลอดทางที่เดินไปฉีจิ่งหลงมักจะเอ่ยทักทายกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้จงใจหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันถาม “สวีซิ่งจิ่วกลับไปแล้วหรือ?”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างระอาใจ “ดื่มเหล้าไปมื้อหนึ่ง เมาไปหนึ่งวัน พอสร่างเมา ในที่สุดข้าก็ได้อธิบายให้เขาเข้าใจเสียที ผลกลับกลายเป็นว่าเขาดันดื่มเหล้าลงโทษตัวเองไปอีกรอบ ข้าจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ ก็เลยได้แต่ดื่มเป็นเพื่อนเขาไปอีกนิดหน่อย”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ
ฉีจิ่งหลงพูดเสียงเย็น “คราวหน้าห้ามให้มีอีก”
เฉินผิงอันแอบหันไปตีมือกับป๋ายโส่วเบาๆ อย่างชอบใจ
ป๋ายโส่วรู้สึกว่าต้องเป็นคนอย่างคนแซ่เฉินผู้นี้ถึงจะน่าสนใจ วันหน้าสามารถมาเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยบ่อยๆ ได้
หากเขาไม่มาเอง ให้คนอื่นพกเหล้าขึ้นเขามาหาคนแซ่หลิวก็ไม่เลวเหมือนกัน
สำนักกระบี่ไท่ฮุยกินอาณาบริเวณกว้างขวาง กลุ่มยอดเขาสูงตระหง่าน ภูเขาเขียวน้ำใส ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เฉินผิงอันไม่อาจทะยานลมเดินทางไกลได้ จึงหยิบเอาเรือยันต์ออกมา แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ฝึกตนของฉีจิ่งหลงด้วยกัน
ที่กระท่อมหลังนั้น ป๋ายโส่วยกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาสามตัว แต่ละคนจึงพากันนั่งลง
ฉีจิ่งหลงพลันเอ่ยว่า “ให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญได้ไหม?”
เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชไปให้เขาเหรียญหนึ่ง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “อยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง เจ้ายากจนขนาดนี้เชียวหรือ?”
ฉีจิ่งหลงรับเงินฝนธัญพืชเอาไว้โดยใช้สองนิ้วคีบมัน มืออีกข้างหนึ่งวาดยันต์ กลางอากาศว่างเปล่า แล้วจึงโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นเข้าไปด้านใน แสงยันต์สลายเงินก็หายไป จากนั้นเขาก็พุดเสียงขุ่นว่า “ลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์ในสำนัก จะได้รับเงินและสิ่งของสิบปีครั้ง หากต้องใช้เงินเทพเซียนอย่างเร่งด่วน แน่นอนว่าสามารถติดหนี้ไว้ก่อนได้ แต่ข้าไม่มีความเคยชินเช่นนี้ ยืมเงินของเจ้าเฉินผิงอัน ข้ายังคร้านจะใช้คืนด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองป๋ายโส่ว “ฟังดูสิ นี่ก็คือคนเป็นอาจารย์ของเจ้า อยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ควรพูดจาแบบนี้หรือ?”
ป๋ายโส่วกำลังจะซ้ำเติมสักคำสองคำ แต่กลับพบว่าคนแซ่หลิวยิ้มบางๆ มองมา ที่ตน ป๋ายโส่วจึงกลืนคำพูดกลับลงท้องไป มารดามันเถอะ คนแซ่เฉินอย่างเจ้าถึงเวลาก็แค่ปัดก้นเดินจากไป ข้าผู้อาวุโสยังต้องอยู่ต่อบนภูเขาลูกนี้ ทุกวันต้องเห็นหน้า เจ้าคนแซ่หลิวนี่ จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด อย่าคะนองปากจะดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้หลิวจิ่งหลงเคยบอกว่า รอเขาออกจากด่านเมื่อไหร่ก็จะอธิบายกฎเกณฑ์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยให้เขาฟังอย่างละเอียด
เฉินผิงอันยิ้มพูดกับป๋ายโส่ว “ไปเล่นที่ไหนก็ไปเถอะ ข้าจะคุยธุระกับอาจารย์ ของเจ้าสักหน่อย”
ป๋ายโส่วไม่ยอมขยับก้น พูดเหน็บแนมว่า “ทำไม จะซุบซิบคุยเรื่องส่วนตัว เหมือนพวกสตรีกันหรือไร ข้าก็เลยอยู่ฟังด้วยไม่ได้?”
เฉินผิงอันสอดสิบนิ้วประสานกันแล้วหักเสียงดังกร๊อบ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ป๋ายโส่ว จู่ๆ ข้าก็ค้นพบว่าเจ้าคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ หากไม่เรียนวรยุทธออกจะ น่าเสียดายเกินไปหน่อย ให้ข้าช่วยป้อนหมัดให้เจ้าไหม?”
ป๋ายโส่วร้องถุย “ขนาดเซียนกระบี่ดีๆ ข้าผู้อาวุโสยังไม่อยากเป็น แล้วจะยินดี หันไปฝึกหมัดฝึกวรยุทธได้อย่างไร?”
แต่กระนั้นก็ยังยอมลุกขึ้นไปเดินเตร็ดเตร่ที่อื่น
ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่ายอดเขาเพียนหราน คือพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ผู้ฝึกลมปราณปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ตั้งอยู่บนตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลังระหว่างยอดเขาหลักและยอดเขารอง ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิของทุกปีจะมีภาพปรากฎการณ์ประหลาดที่ปราณวิญญาณเหมือนกระแสน้ำท่วมทะลักเข้าหายอดเขาเพียนหราน อยู่สองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เป็นเสี้ยวๆ แทรกซอนอยู่ด้านในด้วย ผู้ฝึกตนที่อยู่บนภูเขาสามารถนอนเสวยสุขได้รับปราณวิญญาณเหล่านั้นได้ หลังจากที่เจ้าสำนักคนที่สองของสำนักกระบี่ไท่ฮุยตายไป ยอดเขาแห่งนี้ก็ไม่มี ผู้ฝึกตนคนใดมาพักอาศัยอีก ในประวัติศาสตร์เคยมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ คนหนึ่งเปิดปากขอให้ยกยอดเขาเพียนหรานแห่งนี้ให้เป็นที่ฝึกตนของเขา แล้วเขา จะยินดีเป็นผู้ถวายงานให้แก่สำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่ทางสำนักก็ไม่ตอบตกลง
คนแซ่หลิวผู้นั้นไม่รู้จักดีชั่ว ไม่ยอมย้ายออกจากภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาอยู่ที่ยอดเขาเพียนหรานแห่งนี้เสียที บอกว่าชินที่จะอยู่ในเรือนหลังเดิมแล้ว กระทั่งเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดเลยถูกทางศาลบรรพจารย์เร่งรัดทุกๆ สามวันห้าวัน เขาถึงได้ย้ายมาอยู่ที่ยอดเขาแห่งนี้ ผลกลับกลายเป็นว่าเขาสร้างแค่กระท่อมโทรมๆ หลังหนึ่งก็ถือว่าเป็นการเปิดภูเขาบุกเบิกจวนแล้ว เดิมที ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยล้วนสามารถมาแบ่งปราณวิญญาณจากที่นี่ได้ แต่ฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ คนแซ่หลิวยังคงปิดด่านอยู่ ปีนี้พวกเขาก็เลยไม่กล้ามา ป๋ายโส่วก็เลยต้องไปที่ศาลบรรพจารย์มาหนึ่งรอบ ถ่ายทอดถ้อยคำที่คนแซ่หลิว กำชับไว้กับบรรพจารย์คนหนึ่งที่มีสีหน้าเมตตา
นี่จึงเป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้จึงยังคงมีผู้ฝึกตนหนุ่มสาวมาเยือนกันมากมาย เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความครึกครื้นในอดีต คนส่วนใหญ่ ล้วนฝึกตนกันอย่างสงบ ไม่ค่อยพูดจา มุ่งมั่นหลอมปณิธานกระบี่กันอย่างเดียว
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่เหมือนจะกลายมาเป็นเจ้าของยอดเขาเพียนหรานครึ่งตัว กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาเพียงแค่มานั่งกอดอกอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก หน้ากระท่อมนิ่งๆ หนึ่งวันหนึ่งคืน
ดังนั้นผู้ฝึกตนหนุ่มสาวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยจึงยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์อาหลิว บรรพจารย์อาของยอดเขาเพียนหรานได้รับลูกศิษย์ที่นิสัยประหลาดมาคนหนึ่ง
หลังจากที่ป๋ายโส่วจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็เล่าถึงประสบการณ์การเดินทางคร่าวๆ ของตัวเองให้ฉีจิ่งหลงฟังหนึ่งรอบ
ผู้คนและเรื่องราวมากมายเขาล้วนไม่ได้ปิดบัง เพียงแต่ว่ารายละเอียดในแต่ละเรื่องกลับไม่เหมือนกัน
ฉีจิ่งหลงรับฟังอย่างตั้งใจจนจบแล้วก็ช่วยตรวจสอบเสริมช่องโหว่ให้ ราวกับว่า คนทั้งสองกำลังทบทวนกระดานหมากล้อมอยู่ด้วยกัน
เมื่อพูดถึงว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงและสำนักชิงเหลียงผูกปมแค้นกับสองอาจารย์และศิษย์อย่างป๋ายฉาง สวีเซวี่ยน
ฉีจิ่งหลงก็เอ่ยว่า “ตอนนี้ทางรายงานภูเขาสายน้ำทั่วไปยังไม่มีข่าวปล่อยออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้วเทียนจวินเซี่ยสือได้กลับมาที่สำนักแล้ว ลูกศิษย์ที่ก่อนหน้านี้ มีความขัดแย้งกับสำนักชิงเหลียงก็ไม่เพียงแต่ถูกเทียนจวินตำหนิ ยังต้องรีบลงจากภูเขาไปขออภัยสำนักชิงเหลียงด้วยตัวเองทันที แล้วพอกลับมาถึงสำนักก็เริ่มปิดด่าน หลังจากนั้นมา สกุลหยางของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน สำนักมังกรน้ำ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง สามฝ่ายที่เดิมทีมีผลประโยชน์พัวพันกันอยู่ต่างก็พากันไป เยี่ยมเยือนสำนักชิงเหลียง หยางหนิงซิ่งเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศ
เส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้ของสำนักมังกรน้ำ ฝ่ายทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็ยิ่งเป็น เจ้าสำนักไฉ่ลี่ที่ไปเยือนด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสวีเซวี่ยน คิดอย่างไร สำนักฉงหลินก็คงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไรแล้ว”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นที่เล่าลือกันว่าป๋ายฉางจะมาถามกระบี่เจ้า ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย สำหรับเจ้าแล้วกลับกลายจะเป็นเรื่องดีน่ะสิ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งเพราะแต่ไหนแต่ไรมาป๋ายฉางก็มี ความหยิ่งทระนงในตัวเองสูง เดิมทีก็ไม่คิดจะอาศัยขอบเขตและความอาวุโสมารังแกขอบเขตหยกดิบใหม่อย่างข้าอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีเรื่องในครั้งนี้ การที่เขายินดีออกกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร สองก็เหมือนอย่างที่เจ้าคาดเดาไว้ ป๋ายฉางเริ่มมี แรงกดดันอยู่บ้างจริงๆ จึงจำเป็นต้องมาผูกสัมพันธ์ควันธูปกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้า ช่วยหลีกเลี่ยง ‘หมื่นหนึ่ง’ ให้ข้า เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่ไม่ชอบขี้หน้าข้าก็มีอยู่ เมื่อมีป๋ายฉางช่วยออกกระบี่ให้ในฉากสุดท้าย แล้วก่อนหน้านี้ยังมีผู้อาวุโสลี่ไฉ่ ผู้อาวุโสต้งจู้อีกสองคน การถามกระบี่สามครั้งนี้ ข้าฉีจิ่งหลง ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลเลย มีแต่จะได้รับผลประโยชน์ใหญ่เท่านั้น ไม่มีอันตราย แก่ชีวิตใดๆ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เรื่องน่ายินดีที่ใหญ่ขนาดนี้ ไม่ดื่มเหล้าฉลองสักนิดหรือ?”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วจึงยื่นมือออกมา
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาสองกา พูดอย่างกังขาว่า “กลายเป็น ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือ?”
ฉีจิ่งหลงรับกาเหล้ามา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ใช่ฉลองที่ข้าและเจ้าต่างก็ฝ่าทะลุขอบเขต แต่เป็นเพราะที่พวกเรายังสามารถได้กลับมาพบกันอีกครั้ง”
เส้นทางการเดินเลียบลำน้ำของเฉินผิงอันไม่ได้ผ่อนคลายนัก และการฝ่าทะลุคอขวดของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
การที่คนทั้งสองต่างก็มีชีวิตรอด หลังจากนั้นยังได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง เมื่อเทียบกับการฝ่าทะลุขอบเขตแล้วย่อมมีค่าให้ดื่มเหล้าได้มากกว่า
ฉีจิ่งหลงยินดีที่จะดื่มเหล้ากับเรื่องแบบนี้
ในมือคนทั้งสองต่างก็ถือกาเหล้า ยกกาชนกันเบาๆ หันหน้ามายิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แค่ต่างคนต่างดื่มเหล้าในยุทธภพไปก็พอ
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ยุทธภพไม่มีอะไรดี”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ยตอบ “มีแต่สุราที่ยังพอใช้ได้”
ป๋ายโส่วเหมือนจะออกไปเดินเตร็ดเตร่ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เดินไปไกลนัก เขาคอยเงี่ยหูฟัง ‘คำกระซิบเรื่องส่วนตัว’ ของทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา
เด็กหนุ่มพลันสะดุ้งโหยง ยกสองมือกอดไหล่ พูดบ่นว่า “บุรุษตัวโตๆ สองคน เหตุใดถึงได้พูดจาหวานเลี่ยนเช่นนี้? ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่า…”
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนแซ่เฉินค่อนข้างน่ากลัวอย่างไร้เหตุผลแล้วจริงๆ เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของภูเขาเกอลู่ว่าไว้จริงๆ ใต้หล้านี้หมาที่ไม่เห่า คนนี่แหละที่กัดคนได้อย่างดุร้ายที่สุด ตอนนี้พี่ชายคนดีก็มีขอบเขตเพียงเท่านี้เอง ไม่ใช่หรือ แต่กลับมีประสบการณ์และความสามารถมากถึงขั้นนั้น? พอป๋ายโส่ว ที่ไม่เคยรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนึกถึงว่าตอนนั้นตนเคยจะไปลอบฆ่าพี่ชายคนดีผู้นี้ ก็ให้รู้สึกหวาดผวาตามมา พี่ชายคนดีผู้นี้ยามพูดถึงการป้อนหมัด การโดนหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบกลับเหมือนคนดื่มสุราที่ติดอกติดใจซะอย่างนั้น? หัวสมองมีรูอยู่รูหนึ่ง หรือไร หรือว่ามีอยู่สองรู?
ไม่ควรไปแหยม ไม่ควรไปแหยมด้วย วันหน้าเวลาที่ตนพูดคุยกับเขา ต้องมีมารยาทสักหน่อย
ยามที่เรียกเขาเป็นพี่เป็นน้องก็ต้องมีความจริงใจให้มากหน่อย รอให้เฉินผิงอันกลายเป็นเซียนดินโอสถทอง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอะไรนั่นด้วย แบบนั้นตนคงมีหน้ามีตามากแน่
เสียงของฉีจิ่งหลงพลันดังขึ้นที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม “แอบฟังมานานขนาดนี้ คิดอย่างไร อยากดื่มเหล้าหรือไม่?”
ป๋ายโส่วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ดื่มเหล้าอะไรกัน อายุยังน้อย เดี๋ยวจะถ่วงเวลาการฝึกตน!”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของฉีจิ่งหลง ความสามารถในการขับเรือตามกระแสลมไม่ได้แย่ไปกว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้าสักเท่าไรเลย”
ป๋ายโส่วจึงรู้สึกไม่ยอมแพ้ บอกว่าข้าขับเรือตามกระแสลม ข้าก็ทน บอกว่าความสามารถในการขับเรือตามกระแสลมของข้าสู้คนอื่นไม่ได้ ข้อนี้ข้าทนไม่ไหวจริงๆ เขาจึงหันหน้ามาพูดเสียงดังว่า “คนแซ่เฉิน ลูกศิษย์ของเจ้าชื่อแซ่อะไร เจ้าช่วย นำความไปบอกเขาแทนข้าทีว่า ข้าคือป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหราน วันใดมีเวลาว่างจะต้องไปพบเจอเขาอย่างแน่นอน! ประลองบุ๋นประลองบู๊ วิชาหมัด มรรคกถา วิชากระบี่ เชิญเขาเลือกได้ตามสบาย!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ประลองบุ๋นยังพอได้ แต่ประลองบู๊นั้นช่างเถิด ตอนนี้ลูกศิษย์เปิดขุนเขาของข้ายังเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนอยู่เลย”
ป๋ายโส่วส่ายหน้า “ถือว่าเขาเหยียบโชคดีขี้หมาไป!”
แล้วเด็กหนุ่มก็เดินก้าวยาวๆ จากไป
ตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่รู้ว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่ไม่กี่ประโยคนี้ของเขา วันหน้าทำให้เขาต้องถูกซ้อมตีอยู่ไม่น้อย เป็นเหตุให้ในอนาคตยามที่ผู้คนพูดถึงเซียนกระบี่ป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหรานจึงมีคำพูดติดปากบอกว่า ‘หายนะออกมาจากปากแท้ๆ ’
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ถ่วงเวลาการรับรองแขกของเจ้าแล้ว อีกอย่างยังมีการต่อสู้ถึงสามรอบรออยู่ ข้าเองก็ต้องรีบออกเดินทางต่อ”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้รั้งเขาไว้ แต่หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อคล้าย เตรียมรอไว้นานแล้ว เขาเอ่ยว่า “เกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของผู้ฝึกกระบี่ เป็นความเข้าใจเล็กน้อยของตัวข้าเอง เวลาอยู่ว่างๆ เจ้าก็ลองเปิดอ่านดูได้”
เฉินผิงอันเก็บมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “หากข้าบังคับเรือยันต์เดินทางอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเจ้า จะมีปัญหาหรือไม่?”
สำนักใหญ่ กฎเกณฑ์เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักของผู้ฝึกกระบี่ ลำพังเพียงแค่เรื่องของการโคจรวิถีกระบี่บินทะยานของผู้ฝึกกระบี่ก็มีเรื่องมากมายให้ต้องพิถีพิถันแล้ว
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้ายังรู้ด้วยหรือว่าอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นตกตะลึง “กลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน ยามพูดจาจึงฟังดูแข็งกระด้าง หากเปลี่ยนไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่วของข้า ไหนเลยจะกล้าพูดจาเช่นนี้”
เฉินผิงอันตบศีรษะของตัวเอง เพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงควักเอาถุงเงินใบใหญ่หนักอึ้งบรรจุเต็มไปด้วยเงินฝนธัญพืชที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา นี่คือเงินส่วนที่เหลือจากการทำการค้ากับฮว่อหลงเจินเหรินแล้วเก็บไว้ที่ตัว เขายิ้มกล่าวว่า “หนึ่งร้อยเหรียญ หากราคาถูกก็ช่วยข้าซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่สัก เจ็ดแปดเล่ม แต่ถ้าแพงมาก กระบี่จำลองหนึ่งเล่มราคาสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช
ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อมาแค่เล่มสองเล่ม ส่วนที่เหลือก็อยู่ช่วยซื้อของดีๆ จากศาล ซานหลางมาให้ข้าหน่อย ส่วนจะเป็นของอะไรนั้น เจ้าก็ตัดสินใจเองได้เลย”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้าตกลง
เฉินผิงอันจึงบังคับเรือยันต์กลับไปยังท่าเรือฮ่วนโหยว เตรียมจะไปหาจางซานเฟิงที่ยอดเขาพาตี้ต่อ
ก่อนจะทะยานขึ้นกลางอากาศ เขาตะโกนพูดกับเด็กหนุ่มป๋ายโส่วที่เดินเล่นอยู่บนยอดเขาเพียนหรานว่า “อาจารย์เจ้าติดเงินฝนธัญพืชข้าหนึ่งเหรียญ คอยเตือนเขาเป็นระยะด้วยล่ะ”
เมื่อครู่นี้ป๋ายโส่วเพิ่งคิดว่าเวลาอยู่กับเจ้าคนแซ่เฉินจะมีมารยาทกฎเกณฑ์ สักหน่อย แต่เวลานี้กลับอดไม่ไหวชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย
ตรงกระท่อมหลังนั้น ฉีจิ่งหลงพยักหน้า พอจะมีลักษณะของคนเป็นลูกศิษย์บ้างแล้ว
บนยอดเขามากมายของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ผู้ฝึกตนหญิงจับกลุ่มกันกลุ่มละ สองสามคน กำลังกระซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้าลิงโลด
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนชายที่สงสัยใคร่รู้ในตบะ ขอบเขตและประวัติความเป็นมาของคนหนุ่มผู้นั้นแล้ว
เนื้อหาที่เหล่าสตรีพูดคุยกันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พวกนางกำลังคุยกันว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติคนใดที่สามารถทำให้อาจารย์อาหลิว บรรพจารย์อาออกจากเรือนไปต้อนรับด้วยตัวเองได้ พอได้ยินว่าเป็นบุรุษที่สวม ชุดเขียวถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ ต่างก็อดไม่ไหวสอบถามกันว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร บุคลิกเป็นอย่างไร สตรีที่เห็นคนทั้งสองเดินขึ้นเขาด้วยกัน อยู่ไกลๆ เงียบไปนานก่อนจะพูดว่าพอใช้ได้ สตรีคนอื่นๆ จึงพากันบ่นไม่หยุด ต่างก็รู้สึกว่าอาจารย์อาน้อย บรรพจารย์อาของพวกตนได้รับความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า
ทางฝั่งของยอดเขาเพียนหราน ให้ตายฉีจิ่งหลงก็ไม่มีทางคิดได้ว่าพวกเด็กรุ่นหลังในสำนักจะมีความคิดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนเช่นนี้ ต่อให้เขาได้ยินก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
คาดว่ายังจะต้องขอความรู้จากเฉินผิงอัน ถึงจะคลายปมปริศนา เข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ป๋ายโส่วกลับมาที่กระท่อม “เขาจากไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ? คนแซ่หลิว เขาไม่เห็นเจ้าเป็นเพื่อนเลยใช่ไหม?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “รอให้วันหน้าเจ้าเองก็มีเพื่อนเหมือนกัน ก็จะรู้คำตอบเอง”
ป๋ายโส่วเอ่ย “ข้ากับคนแซ่เฉินก็เป็นเพื่อนกันนี่นา ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ดื่มสุราพูดคุยถูกคอ เรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง…”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ “พวกเราไปที่ศาลบรรพจารย์กัน”
ป๋ายโส่วมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงทันที “พรุ่งนี้ค่อยไปได้ไหม?”
ฉีจิ่งหลงไม่ได้เอ่ยอะไร
ป๋ายโส่วนินทาในใจไม่หยุด ทว่ากลับได้แต่ยอมติดตามฉีจิ่งหลงทะยานลมไปยังศาลบรรพจารย์บนยอดเขาหลักแต่โดยดี
โดยทั่วไปแล้ว ขอแค่คนแซ่หลิวพูดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง บางทีระหว่างนี้อาจจะจู้จี้จุกจิกอยู่มาก แต่จากนั้นหากไม่พูดมากอีกแม้แต่คำเดียว นั่นก็ถึงคราวของเขาป๋ายโส่วต้องลงมือทำแล้ว
ตอนที่ทะยานลมเดินทาง ป๋ายโส่วสังเกตเห็นว่าดูเหมือนคนแซ่หลิวจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน จึงควักเอาถุงเงินใบใหญ่ออกมาเขย่า ราวกับกำลัง ฟังเสียงนับเงิน
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังดีที่ไม่ใช่เก้าสิบเก้าเหรียญ”
ป๋ายโส่วถาม “มีอะไรหรือ?”
ฉีจิ่งหลงเพียงตอบว่าไม่มีอะไร
ป๋ายโส่วกลับรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย คนแซ่หลิวกับพี่ชายคนดีนั่นเล่นอะไรกันอยู่นะ
……
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าจางซานเฟิงจะติดตามศิษย์พี่หยวนหลิงเตี้ยนลงจากภูเขา ไปฝึกประสบการณ์แล้ว
ผู้ที่มารับรองต้อนรับคือเจ้าขุนเขาสายป๋ายอวิ๋น คือเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีมาดของเซียนคนหนึ่ง เขาออกมาขออภัยเฉินผิงอันที่ประตูภูเขาด้วยตัวเอง
พอเฉินผิงอันรู้ว่าฮว่อหลงเจินเหรินยังนอนหลับก็บอกว่าครั้งนี้คงไม่ขึ้นเขาแล้ว คราวหน้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่ ขอเจินเหรินผู้เฒ่าโปรดให้อภัยที่ตนผ่านทางมา แล้วไม่เข้าไปเยี่ยมเยียน วันหน้าเมื่อได้มาเยือนอุตรกุรุทวีปอีกครั้ง ก่อนจะมาเยือนต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างแน่นอน
เทพเซียนผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เขามีสีหน้าเมตตาอ่อนโยน เพียงเอ่ยแค่ว่า คำกล่าว ‘เหลือไว้ก่อน’ ของเฉินผิงอันนั้นน่าสนใจมาก
เฉินผิงอันเขินอายเล็กน้อย บอกกว่านี่เป็นคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิด
เทพเซียนผู้เฒ่าจึงมาส่งเฉินผิงอันที่ท่าเรือด้วยตัวเอง แล้วถึงได้บอกลากลับไปยังภูเขา
เฉินผิงอันนั่งโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่งไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ เขาฟุบตัวอยู่ บนราวระเบียง เหม่อมองออกไปด้านนอก
พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ก็สามารถตรงไปยังชายหาดโครงกระดูกที่อยู่ทางทิศ ใต้สุดของอุตรกุรุทวีปได้เลย
แต่ระหว่างนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงจากเรือกลางทาง ไปที่แคว้นชิงเฮาก่อนหนึ่งรอบ นี่เป็นแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีท่าเรือตระกูลเซียน จำเป็นต้องเดินเท้าเป็นระยะทางพันกว่าลี้
ตอนนี้หลี่ซีเซิ่งอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าถนนถ้ำเซียน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเขาออกจากสำนักกระบี่ไท่ฮุยไปได้ไม่นานเท่าไร
ก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้ว ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกต นั่งโดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังชายหาดโครงกระดูก
อาจารย์กลับลงใต้ ลูกศิษย์เดินทางขึ้นเหนือ
เรื่องแรกที่เด็กหนุ่มทำหลังจากไปถึงชายหาดโครงกระดูกก็คือแหวกม่านฟ้า มุมหนึ่งของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้าย มองไปเหนือนครจิงกวาน แล้วทุ่ม ห่าฝนสมบัติอาคมที่ส่องประกายแสงพร่างพราวอย่างถึงที่สุดลงไป พอทำเสร็จแล้ว ก็เก็บสมบัติอาคมเผ่นหนี
ส่วนเกาเฉิงวิญญาณวีรุบุรุษของนครจิงกวานก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ไม่ตามไปไล่ฆ่าเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น
เกาเฉิงที่สวมเสื้อเกราะนั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดพอเห็นคนผู้นี้ อารมณ์กระวนกระวายไม่เป็นสุขที่เดิมทีเกิดขึ้นแบบขาดๆ หายๆ ถึงยิ่งชัดเจน มากกว่าเดิม
เกาเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้บุ่มบ่ามใช้กายธรรมแหวกผ่าม่านฟ้า กลับกันยังรู้สึกได้ถึงพันธนาการประหลาดบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นครปี้ฮว่าตรงตีนเขาของภูเขามู่อี เด็กหนุ่มคนหนึ่งคิดจะซื้อภาพเทพหญิง ฉบับเต็มเติมชุดหนึ่งมาจากในร้าน เขาต่อรองราคากับเด็กสาวคนหนึ่งด้วยท่าทาง น่าสงสาร บอกว่าตัวเองอายุยังน้อย ออกทัศนาจรศึกษาอย่างยากลำบาก ในกระเป๋า ฟีบแบน แล้วก็เพราะชื่นชอบภาพเทพหญิงพวกนี้มากจริงๆ จึงยอมให้ท้องหิว แต่ก็ต้องซื้อพวกมันมาให้ได้
เด็กสาวเห็นว่าเขาพูดจาน่าเชื่อถือ สีหน้าจริงใจ ดูจากท่าทางแล้วหากยังปล่อยให้เขาพร่ำพรรณนาต่อไป คาดว่าอีกฝ่ายอาจจะมีการหลั่งน้ำตาเอาได้ นางที่รู้สึกจนใจ จึงยอมแหกกฎขายให้เขาในราคาถูก ผลกลับกลายเป็นว่าพอตกลงราคากันได้แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็เผยสีหน้าซาบซึ้งใจ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เอ่ยว่า “ภาพเทพหญิงทั้งหมดในร้าน อิงตามราคาที่เป็นธรรมนี้ ข้าเหมาทั้งหมด!”
เด็กสาวปากอ้าตาค้าง
เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าไม่อายผู้นี้หันหน้าไปมอง
จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาที่พกดาบตรงเอวกำลังยืนยิ้มอยู่ห่างไปไม่ไกล “น้องชายคนนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก “ก็ใช่น่ะสิ ข้าคือลูกศิษย์ ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ข้า พี่สาวท่านนี้ ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน?”
จู๋เฉวียนเห็นไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็มีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย “อาจารย์ของเจ้า คงไม่ได้แซ่เฉินหรอกกระมัง?”
ชุยตงซานยิ้มกว้างสดใส “พี่สาวเป็นเทพเซียนจริงๆ ล่วงรู้เหตุการณ์เสียด้วย”
จู๋เฉวียนเอ่ยสัพยอก “แต่ข้าไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเจ้ามาก่อน”
นาทีถัดมาจู๋เฉวียนก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
น่าประหลาดนัก เมื่อครู่นี้ไอ้หมอนี่เพิ่งจะโยนสมบัติอาคมใส่หัวเกาเฉิงในนครจิงกวาน ท่าทางดูมีความสุขนักหนา
ทว่าเวลานี้เด็กหนุ่มหน้าตางดงามตรงหน้ากลับทำหน้ายับยู่ น้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย