บทที่ 566 กลับคืนสู่บ้านเกิด
เฉินผิงอันกับชุยตงซานไปที่ร้านตัวเองบนถนนเหล่าไหว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตู อาบแสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วง ชุยตงซานไล่ตัวแทนเถ้าแก่อย่างหวังถิงฟางไป บอกว่าให้เขาหยุดพักผ่อนหนึ่งวัน หวังถิงฟางเห็นว่าเถ้าแก่หนุ่มยิ้มพลางพยักหน้ารับจึงออกไปจากร้านผีฝูด้วยความสับสนไม่เข้าใจ
กิจการวันนี้นับว่าพอใช้ได้ เพราะทางฝั่งของถนนเหล่าไหวได้ยินว่ามีคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่พบเห็นได้ยากมาเยือน นี่จึงเป็นเหตุให้มีผู้ฝึกตนหญิงมาก เป็นพิเศษ อีกทั้งความสามารถในการกรอกยาล่อลวงใจของชุยตงซานยังสูงมาก จึงได้เงินเทพเซียนที่ผิดต่อมโนธรรมในใจมาไม่น้อย และเฉินผิงอันเองก็ไม่สนใจ
วันต่อมาถานหลิงและถังสี่ก็ปรากฏตัวพร้อมกันที่ท่าเรือฝูสุ่ย แน่นอนว่ายังมี ซ่งหลันเฉียวที่ดูแลเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ด้วย
หลังจากทักทายปราศรัยกันแล้ว เฉินผิงอันก็ขึ้นเรือไปพร้อมชุยตงซาน ซ่งหลันเฉียวเดินตามไปด้วยตลอดทาง โอสถทองผู้เฒ่าที่ความรู้กว้างขวางผู้นี้สังเกตเห็น เรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง ทีแรกเขาเอาเซียนกระบี่หนุ่มกับเด็กหนุ่มชุดขาว มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะที่บอกว่าเป็นอาจารย์กับศิษย์อะไรนั่นก็ยิ่งจินตนาการภาพไม่ออก แต่พอเห็นคนทั้งสองอยู่ด้วยกัน กลับสัมผัสได้ถึง ความกลมกลืนอย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก หรือว่าเป็นเพราะในมือคนทั้งสอง ต่างก็ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว?
ซ่งหลันเฉียวไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงแค่เอ่ยเรื่องหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
ที่แท้ซ่งหลันเฉียวก็เพิ่งได้เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ แม้ว่าจะได้แค่มาแทนที่ถังสี่ที่อยู่ในตำแหน่งสุดท้าย เขากับถังสี่จึงกลายเป็นหนึ่งคนอยู่ซ้ายหนึ่ง คนอยู่ขวาราวกับเทพทวารบาลสององค์ของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ แต่การก้าวออกไปก้าวนี้กลับทำให้ชื่อเสียงของเขาทะยานพรวดพราดอยู่ใน ตระกูลเซียนบนภูเขาและราชวงศ์โลกมนุษย์ คือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ที่จะได้มาเพิ่มในทุกปี และคนในครอบครัวก็เป็นดั่งหมาไก่ที่ได้บินขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นซ่งหลันเฉียวที่เผชิญหน้ากับเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นแล้วบอกว่าได้รับพระคุณที่ยิ่งใหญ่จากเขาก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าความฉลาดของ ซ่งหลันเฉียวก็อยู่ตรงนี้ ทำการค้าอย่างจริงจังมานานหลายปี เขาจึงไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นอย่างสุดกำลังความสามารถต่อคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นี้
บนเรือข้ามฟาก ซ่งหลันเฉียวจัดหาห้องอักษรตัวเทียนให้พวกเขาหนึ่งห้อง หลังจากไตร่ตรองดีแล้วก็ไม่ได้ให้พวกสาวใช้ที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนหญิงของสวนน้ำค้างวสันต์ปรากฎตัว
ในห้อง ชุยตงซานรินน้ำชาหนึ่งถ้วยให้เฉินผิงอัน เขาฟุบตัวลงบนโต๊ะ ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างกินพื้นที่ไปเกินครึ่งโต๊ะ “ชุยตงซานยิ้มกล่าว อาจารย์ หากพูดถึงเรื่องการต่อสู้ สิบสวนน้ำค้างวสันต์ก็สู้หนึ่งสำนักพีหมาไม่ได้ แต่หากพูดถึงเรื่องการค้าขาย สวนน้ำค้างวสันต์กลับไม่แพ้ให้สำนักพีหมาเลย แม้แต่น้อย วันหน้าภูเขาลั่วพั่วของพวกเรากับสวนน้ำค้างวสันต์ก็มีเรื่องให้คุยกันแล้ว จะต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แน่”
เฉินผิงอันเพียงดื่มน้ำชา ไม่ได้เอ่ยอะไร
ชุยตงซานเอ่ย “ถานหลิงเป็นคนที่แสวงหาความมั่นคง เพราะกิจการของ สวนน้ำค้างวสันต์ในทุกวันนี้ได้ดำเนินการมาจนถึงขีดสูงสุดแล้ว บนภูเขา คิดแต่ จะพึ่งพาสำนักพีหมา ล่างภูเขา พยายามผูกมิตรกับราชวงศ์ต้ากวานเป็นหลัก ไม่มีอะไรผิด แต่เมื่อวางมาดเรียบร้อยแล้ว ถานหลิงกลับค้นพบข้อเสียมากมาย ที่สะสมมานานของสวนน้ำค้างวสันต์ นั่นก็คือคนเฒ่าคนแก่หลายคนเสวยสุขกันมา จนชินแล้ว หรือไม่ก็ยังมีปณิธานอยู่กับการฝึกตน คนที่ใช้งานได้จริงๆ กลับมีน้อยมาก เมื่อก่อนต่อให้นางมีใจอยากสนับสนุนถังสี่ ก็ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องกริ่งเกรง กังวลว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภคนนี้จะเป็นพวกตะเภาเดียวกันกับเกาซงที่ดีแต่ ก้มหน้าก้มตากอบโกยเงินทอง อีกทั้งยังชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ถึงเวลานั้น สวนน้ำค้างวสันต์คงจบเห่แน่ และเมื่อถึงเวลาที่ถานหลิงต้องจากไป สวนน้ำค้างวสันต์ก็ต้องเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ สายของถานหลิงมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย แต่คนที่สามารถแบกรับภาระใหญ่ได้กลับไม่มีเลย เมื่อชักหน้าไม่ถึงหลัง นี่ย่อมเป็น จุดอันตรายถึงแก่ชีวิต ไม่อาจต้านทานการร่วมมือกันระหว่างถังสี่และเกาซงได้เลย ถึงเวลานั้นลูกศิษย์ไม่ได้ความ สู้ก็สู้ไม่ได้ แข่งกันเรื่องถุงเงินถุงทองก็ยิ่งแตกต่างกัน ราวฟ้ากับเหว”
“ดังนั้นการร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างถังสี่กับหลินชว่อเอ๋อร์จึงมั่นคงมากที่สุด แม้ว่านิสัยของหลินชว่อเอ๋อร์จะหุนหันเจ้าอารมณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มี ความทะเยอทะยาน อีกทั้งยังภักดีต่อสวนน้ำค้างวสันต์ บวกกับซ่งหลันเฉียวที่ซาบซึ้งในพระคุณของนางถานหลิง คนทั้งสามจับกลุ่มกอดคอกัน สวนน้ำค้างวสันต์ก็จะ มีภาพปรากฎการณ์อย่างใหม่ หากภูเขาลั่วพั่วของพวกเราส่งหมอนไปให้อีกใบ ช่วยเปิดช่องโหว่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปให้กับสวนน้ำค้างวสันต์ ต่อให้ จะเป็นแค่ช่องโหว่เล็กๆ ก็ยังจะทำให้ผู้ฝึกตนมากมายที่อยู่ตีนเขาและกึ่งกลางภูเขาของสวนน้ำค้างวสันต์ที่คุ้นเคยกับการทำการค้าดีรู้สึกกระตือรือร้นฮึกเหิม และตอนนี้แจกันสมบัติทวีปก็มีการก่อสร้างใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง สวนน้ำค้างวสันต์มีคน มีทรัพยากรมีเงิน กับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พวกเขาจึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดในการทำการค้า
แต่ก็ต้องระวังว่าสวนน้ำค้างวสันต์จะปรับตัวเข้ากับแจกันสมบัติทวีปไม่ได้ด้วย โชคดีที่ราชสำนักต้าหลี นับตั้งแต่ขุนนางบุ๋นในที่ว่าการไปจนถึงแม่ทัพบู๊บนสนามรบ ต่างก็ฉี่ลงกาเดียวกันกับผู้ฝึกตนสวนน้ำค้างวสันต์”
“แผนการของอาจารย์ลึกล้ำยาวไกล วางหมากได้อย่างแม่นยำ รอบคอบ สามารถเรียกได้ว่ามีมาดของนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้น”
ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็อดไม่ไหวเปิดปากยิ้มพูดว่า “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้าพาเสียไปหมดแล้วกระมัง?”
ชุยตงซานพูดอย่างน้อยใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร! พ่อครัวเฒ่า ศิษย์พี่หญิงใหญ่ พี่น้องต้าเฟิง ล้วนถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ทั้งสิ้น! อีกอย่างลมและน้ำของภูเขา ลั่วพั่วทุกวันนี้แย่เสียที่ไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้จงใจคิดจะร่วมงานกับสวนน้ำค้างวสันต์ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือข้าไม่กล้าคิดเลยสักนิด แค่เป็นร้านผ้าห่อบุญได้ก็ถือว่า ไม่เลวแล้ว หากสามารถทำได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเจ้าที่มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง”
ชุยตงซานยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง ยื่นนิ้วมาเคาะลงบนผิวโต๊ะดังป้อกๆๆ อยู่สามที รูปสามเหลี่ยมรูปหนึ่งก็ถูกวาดขึ้นมา “ถังสี่ หลินชว่อเอ๋อร์ ซ่งหลันเฉียว คือสามเหลี่ยมหนึ่ง สายของถานหลิง สายของเกาซง ภูเขาลูกเล็กของถังสี่ คือ สามเหลี่ยมหนึ่ง ภูเขาลั่วพั่ว สำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ ก็ยังเป็นอีก สามเหลี่ยมหนึ่ง กองกำลังแต่ละฝ่ายที่อาจารย์รวบรวมมาไว้ด้วยกัน เหนือใต้ของ อุตรกุรุทวีป ทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ก็คือสามเหลี่ยมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเก่า ความสัมพันธ์ใต้หล้านี้ก็มีเจ้าสิ่งนี้นี่แหละที่มั่นคงที่สุด อาจารย์ ยังไม่ยินดียอมรับอีกหรือว่าตัวเองคือนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้น?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ก็แค่จับผลัดจับผลูเท่านั้น”
ชุยตงซานถอนหายใจ “ความอ่อนน้อมถ่อมตนของอาจารย์ ศิษย์ได้รับการ สั่งสอนแล้ว”
เฉินผิงอันด่าขำๆ “ไสหัวไปไกลๆ เลย”
ชุยตงซานเตรียมจะพูดต่อ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะพูดขึ้นมาทันทีว่า “ยังจะพูดอีกหรือ?!”
ชุยตงซานรู้สึกเพียงว่าตนมีวิชาล้ำเลิศอยู่เต็มกาย มีอาวุธสารพัดรูปแบบ แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้แสดงฝีมือ
ยังคงเป็นอาจารย์ที่ร้ายกาจจริงๆ
ชุยตงซานพลันถามว่า “ไปถึงชายหาดโครงกระดูกแล้วจะไปเจอเกาเฉิงสักหน่อยหรือไม่? ข้ารับรองว่าอาจารย์จะทั้งไปและกลับได้อย่างไร้ความกังวล”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังไม่ไปที่นครจิงกวานก่อน”
ชุยตงซานถาม “เพราะคนผู้นี้ช่วยเปิดม่านฟ้าให้ผูหรางได้เซ่นกระบี่? หรือว่าเขายังพอจะมีความกล้าหาญของวีรบุรุษอยู่บ้าง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้เรียบง่ายเพียงเท่านั้น ซับซ้อนกว่านี้มาก วันหน้าค่อยเล่าให้ฟัง”
ชุยตงซานย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว
ในขณะที่เรือข้ามฟากเคลื่อนผ่านอาณาเขตของเมืองสุยเจี้ย ทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันก็ออกมาจากห้อง ยืนพิงราวรั้วของหัวเรือ ก้มหน้ามองแผ่นดินใหญ่ไปพร้อมกับชุยตงซาน
ทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง เมื่อมองจากเรือข้ามฟากลำนี้ ก็เหมือนกับก้อนหินสีเขียวมรกตก้อนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางธารน้ำของ หน้าผาอวี้อิ๋ง
ยังติดค้างสุราหนึ่งมื้อกับศาลเทพอัคคีของที่นั่น
ก็คงได้แต่ติดค้างไว้ก่อนแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “วันหน้าอาจารย์อย่าได้เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกเลย”
เฉินผิงอันตอบ “แน่นอนว่าควรจะพยักหน้าตอบตกลง และข้าในเวลานี้ก็เก็บ เอาไปใส่ใจอยู่จริงๆ ข้าจะบอกกับตัวเองว่าต้องอยู่ให้ห่างจากคลื่นมรสุม กลายเป็น ผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว เรื่องราวล่างภูเขาก็คือเรื่องนอกกาย แต่ข้าและเจ้าต่างก็รู้ชัดเจนดีว่า หากเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ก็คงยากแล้ว”
ชุยตงซานฟุบตัวลงบนราวระเบียง เข่าสองข้างงอเล็กน้อย ชายแขนเสื้อทั้งสองห้อยออกไปนอกระเบียง มองดูเหมือนน้ำตกสีขาวหิมะเล็กๆ สองสาย
เฉินผิงอันถาม “โจวหมี่ลี่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วคุ้นเคยดีไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “คุ้นเคยดีนักล่ะ มักจะรู้สึกว่าเผยเฉียนที่คัดตัวอักษร ทุกวันก็คือบัณฑิตแล้ว เอาแต่รอให้เผยเฉียนขยับพู่กันเขียนเรื่องเล่าภูตน้ำใหญ่ทะเลสาบคนใบ้ของนางอยู่นั่นเอง แม่นางน้อยทำตัวเป็นลูกสมุนจนเลอะเลือนไปหมด วันๆ แบกไม้เท้าเดินตุปัดตุเป๋ตามก้นเผยเฉียนต้อยๆ แล้วตอนนี้ยังถูกอาจารย์ เลื่อนขั้นจากผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงมาเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ทีนี้ล่ะดีเลย ก่อนจะพูดกับใครต้องกระแอมก่อนสองทีให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นค่อยพูดจาเหมือนคนแก่ ล้วนเป็นนิสัยเสียๆ ที่เรียนรู้มาจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ผู้นั้นของข้าทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีมาก”
ชุยตงซานถามอย่างประหลาดใจ “จะบันทึกชื่อแม่นางน้อยลงในทำเนียบ ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว ให้เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่คล้ายคลึงกับผู้ถวายงานของภูเขาจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก่อนหน้านี้ยังลังเลอยู่บ้าง แต่พอเห็นการหยัดยืนของภูเขาสวนน้ำค้างวสันต์กับคลื่นใต้น้ำที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ข้าก็ยิ่งยืนกรานในความคิดมากขึ้น ข้าจะทำให้คนนอกรู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วมีความมหัศจรรย์มากมายจนยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง ไม่ใช่ข้าไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรในการทำเช่นนี้ แต่ข้าจะพยายามไปหาทดแทนมาจากที่อื่น สามารถเป็นข้าเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาที่หาเงินให้มากหน่อย มุมานะในการฝึกตนมากหน่อย หรือจะเป็นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ ไม่ก็จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงที่เป็นคนทำก็ได้ และเหตุผลในการดำรงอยู่ของบุคคลอย่างโจวหมี่ลี่ เฉินหรูชู ก็จะกลายเหตุผลที่ทำให้พวกคนหน้าใหม่ซึ่งจะมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วในอนาคตรู้สึกว่า ‘เป็นแบบนี้ถึงจะไม่แปลก’”
“ข้าไม่คัดค้านหากวันหน้าภูเขาลั่วพั่วจะกลายเป็นสำนักที่มีอักษรตัวจง แต่ข้าจะไม่ละทิ้งต้นไม้ดอกไม้ข้างทางเพียงเพราะอยากรวบรวมกองกำลังฝ่ายต่างๆ มาเด็ดขาด เมื่อก่อนต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้บนภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าก็จะยังเป็นเช่นนั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกนางเองก็ไม่เคยเป็นเพียงแค่ทัศนียภาพอันงดงามข้างทางอะไรอยู่แล้ว พวกนางก็คือส่วนหนึ่งในชีวิตของข้า ได้ดูแลคนที่ควรค่าแก่การดูแลเหล่านั้น ข้าสุขใจมาก”
เฉินผิงอันหันหน้ามาหา “ข้าพูดแบบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างแรง “เข้าใจแล้วก็รับได้ด้วย!”
เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “แต่ว่าจะไม่ต้องไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลาย อย่างแน่นอน”
ชุยตงซานเอ่ย “คำพูดห้าวเหิมทุกคำ ปณิธานอันกล้าแกร่งทุกอย่าง ขอแค่ลงมือปฏิบัติก็ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย”
คำพูดบางอย่าง ชุยตงซานถึงขั้นไม่ยินดีจะพูดมันออกมา
ความยินดีทั้งหมดที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน ล้วนจะกลายเป็น ความเสียใจที่ต้องจากลากันในอนาคต
แต่นี่ไม่กีดขวางการพบเจอกันใหม่อีกครั้งซึ่งจะทำให้คนเบิกบาน ทำให้คนอยากดื่มสุรา ทำให้คนคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
แต่อย่าลืมว่าบางครั้งการจากลาก็เป็นเพียงการจากลาเท่านั้น
เฉินผิงอันก็ฟุบตัวลงบนราวระเบียงตามเขาด้วย ทอดสายตามองไปยังทะเลเมฆสีทองที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ถามว่า “เป็นลูกศิษย์ของข้า รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองบ้างหรือไม่?”
ชุยตงซานเอ่ย “ไม่เลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอบเขตแตกต่าง ความรู้แตกต่าง ลูกศิษย์อย่างเจ้าย่อมไม่คิดมากอยู่แล้ว”
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์พูดแบบนี้ ศิษย์ไม่ยอมหรอกนะ หากการเรียนวรยุทธของเผยเฉียนพัฒนาไปอย่างพรวดพราด ฝ่าทะลุขอบเขตอย่างว่องไวเหมือนหมี่ลี่น้อยกินข้าวที่กินติดกันถ้วยแล้วถ้วยเล่า ทำให้คนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะมองตามตาค้าง หรือว่าอาจารย์ก็จะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองด้วย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ย่อมใช่อยู่แล้ว อาจารย์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ตอนที่อธิบายหลักการเหตุผล ใช้เสียงดังไปหน่อยก็ต้องกังวลว่าจะถูกลูกศิษย์ เขกมะเหงกกลับ ในใจจะไม่ลนลานได้หรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
การเดินทางขึ้นเหนือของอาจารย์ ฝึกฝนจิตใจได้อย่างดีเยี่ยม
เงียบงันไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ข้าเป็นคนหัวแข็งดื้อดึง ทำเรื่องอะไรแล้วก็ชอบดึงดัน สักวันหนึ่งที่ภูเขาลั่วพั่วก็จะมีเรื่องเล็กๆ ยิบย่อยที่กลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าของข้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็ช่วยให้คำแนะนำสักหน่อย”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อริยะเคยกล่าวว่า ยามพบเจอปัญหา ให้เด็กรุ่นหลังคอยช่วยเหลือผู้อาวุโส”
ชุยตงซานหันหน้ามา แนบแก้มไว้บนราวระเบียง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอาหารให้พ่อแม่กิน แค่นี้ก็นึกว่าถือเป็นความกตัญญูได้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “อย่าเปลี่ยนแปลงความหมายดั้งเดิมในบทความคุณธรรม ย่ำยีความตั้งใจของอริยะปราชญ์ส่งเดช”
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์ อย่าลืมล่ะว่าปีนั้นศิษย์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาขนาดไหน ประกายคมกริบสาดเจิดจ้า ความรู้นั้นยิ่งใหญ่จนทะลุออกมาข้างนอก ตัวเองอยากจะเก็บซ่อนก็เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ คนอื่นจะขวางก็ขวางไม่อยู่ ไม่ใช่ข้าคุยโวโดยไม่ต้อง เขียนบทร่างหรอกนะ แต่ตำแหน่งผู้อำนวยการของสถานศึกษาก็อยู่ห่างไปแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น หากหน้าเลือดกว่านั้นสักหน่อย แม้แต่รองเจ้าสำนักของศาลบุ๋น แผ่นดินกลางก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ราชครูพูดเรื่องนี้ ข้าเชื่อ ส่วนเจ้าน่ะโม้เสียมากกว่ากระมัง ตรงหัวเรือนี่ลมแรง ระวังจะบาดลิ้นขาด”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “จะว่าไปแล้ว ศิษย์คุยโวโดยไม่ต้องเขียนบทร่างจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันถาม “ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางใช่มากเลยใช่ไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ใหญ่มาก อาณาเขตของแปดทวีปรวมกันถึงจะพอทัดเทียมกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ ในอีกแปดทวีปที่เหลือ หากมีใครสักคน สองคนเบียดเข้าไปอยู่ในอันดับสิบคนของแผ่นดินกลางได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ มากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์อุตรกุรุทวีปอย่างฮว่อหลงเจินเหริน และท่านเทพเจ้าแห่ง โชคลาภหลิวแห่งธวัลทวีป”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าจะต้องไปเยือนให้จงได้”
ชุยตงซานบ่นเบาๆ “นั่นเป็นสถานที่แห่งความเสียใจของศิษย์”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หาเรื่องโดนตีเอง ต่อให้หน้าเขียวจมูกบวมก็ต้องยิ้มรับ”
ชุยตงซานกล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย”
เรือข้ามฟากเข้ามาในอาณาเขตของชายหาดโครงกระดูก ซ่งหลันเฉียวมาเยือน ถึงห้องพร้อมพกของขวัญชิ้นใหญ่มาด้วย
เป็นของขวัญสองชิ้น
มาจากตัวเขาเองหนึ่งชิ้น และมาจากถานหลิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์หนึ่งชิ้น
ของขวัญขอบคุณชิ้นนี้ของเขา อันที่จริงก็เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่หลินชว่อเอ๋อร์อาจารย์ผู้มีพระคุณเลือกมาให้จากศาลบรรพจารย์ คือกล่องคัมภีร์ไผ่เหลืองลายมังกร ด้านในบรรจุตำราแผ่นหยกสี่ชิ้น
ของขวัญชิ้นนั้นของถานหลิงก็ยิ่งมีมูลค่าควรเมือง คือหนึ่งในสมบัติหนักบน ภูเขาที่สองมือนับได้ของสวนน้ำค้างวสันต์ หมึกรวมชุดที่หนึ่งชุดมีแปดก้อน
ตอนที่มอบออกไป ซ่งหลันเฉียวยังรู้สึกเสียดายแทนถานหลิงด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ ถานหลิงไม่ได้มอบของขวัญให้ด้วยตัวเองตอนอยู่ที่ท่าเรือฝูสุ่ย แต่สั่งความให้ซ่งหลันเฉียวเป็นผู้นำมามอบให้ขณะที่เรือจะจอดเทียบท่าของชายหาดโครงกระดูก เดิมทีก็คือความจริงใจอย่างหนึ่ง
นี่คืองานส่วนรวมเรื่องแรกที่ซ่งหลันเฉียวได้รับมอบหมายหลังจากกลายเป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ นับว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่น ทำให้ ซ่งหลันเฉียวโล่งใจได้ไม่น้อย
เพียงแต่ว่านั่งดื่มชาร่วมโต๊ะกับอาจารย์และศิษย์คู่นั้น ซ่งหลันเฉียวก็อด กระวนกระวายใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นั่งข้างกายเขาก็คือชุยตงซาน
ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบถ้วยแล้ววาดลงบนโต๊ะเบาๆ เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หลันเฉียวเอ๋ย บนโลกใบนี้คนน่าสงสารที่หิ้วหัวหมูแต่หาศาลไม่เจอมีมากมายนัก หลันเฉียวเจ้านับว่าโชคดีแล้ว”
นาทีก่อนซ่งหลันเฉียวยังได้ยินเฉินผิงอันเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโสซ่ง ตอนนี้กลับถูกลูกศิษย์ของเขาคำก็เรียกหลันเฉียว สองคำก็เรียกหลันเฉียว แน่นอนว่าทำให้เขากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
สวนน้ำค้างวสันต์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าเฉินผิงอัน ย่อมไม่ปล่อยให้ชุยตงซานเล่นมุกตลกอยู่แถวนี้ เขาจึงโบกมือบอกเป็นนัยให้รู้ว่าตน มีเรื่องต้องคุยกับซ่งหลันเฉียว
คิดไม่ถึงว่าการกระทำนี้และภาพเหตุการณ์ต่อมาจะทำให้เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของซ่งหลันเฉียวโดยตรง
ดูเหมือนเด็กหนุ่มชุดขาวถูกเฉินผิงอันตบจนปลิวกระเด็นไป ทั้งคนทั้งเก้าอี้ลอยคว้างหมุนตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบจนนับไม่ถ้วน สุดท้ายหนึ่งคนหนึ่งเก้าอี้ก็แนบติดกำแพงอยู่ทั้งอย่างนั้น แล้วค่อยๆ กลิ้งไถลลงมา ชุยตงซานม่อยน้ำตาตก เก้าอี้ติดกำแพง คนแนบหลังติดเก้าอี้ พูดอย่างขลาดกลัวว่า “ศิษย์จะนั่งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน
ในใจซ่งหลันเฉียวตื่นตะลึงไม่หยุด หรือว่าเซียนกระบี่เฉินที่มีสีหน้าเป็นมิตรคนนี้ไม่ต่างจากหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่ใช่เซียนดินอะไร แต่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง?
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจชุยตงซาน เขาเริ่มหันมาพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับซ่งหลันเฉียว พยายามจะปรึกษาเรื่องการร่วมมือกันระหว่างภูเขาลั่วพั่วและ สวนน้ำค้างวสันต์ในอนาคตให้ได้ แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่การพูดถึงทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้ซ่งหลันเฉียวต้องยังตัดสินใจเองไม่ได้อย่างแน่นอน ยังต้องกลับไป ถกเถียงกันที่ศาลบรรพจารย์หลายๆ รอบเสียก่อนถึงจะได้ หากสุดท้ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่าจะร่วมมือกัน กิจธุระอย่างเป็นรูปธรรมทุกอย่างนับจากนี้ ภูเขาลั่วพั่วเองก็ต้องให้พวกจูเหลี่ยน เว่ยป้อปรึกษาหารือกันเช่นกัน เกี่ยวกับการค้าของสวนน้ำค้างวสันต์ เฉินผิงอันนับว่าพอจะรู้รากฐานอยู่บ้าง ดังนั้นยามที่พูดคุยกับซ่งหลันเฉียวจึงไม่อึดอัดขัดเขิน การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาที่ไม่ได้เป็นร้านผ้าห่อบุญอย่างเสียเปล่า ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่วแน่นอนว่าต้องเป็นท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวที่เป็นศูนย์กลางการโคจรที่สำคัญ มีซานจวินใหญ่เว่ยเฝ้าบัญชาการณ์ภูเขาพีอวิ๋น ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็สามารถรองรับเรือข้ามฟากข้ามทวีปของ อุตรกุรุทวีปได้เป็นจำนวนมาก นี่ก็เท่ากับว่าร้านผ้าห่อบุญร้านหนึ่งมีร้านที่ตั้งเป็น หลักเป็นฐาน เงินทองใต้หล้าแห่งนี้ หยุดพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งสักเล็กน้อย แล้วค่อยหมุนเวียนไปอีกครั้ง นี่ก็คือเงินต่อเงิน
บางครั้งเฉินผิงอันก็คิดว่า เงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่เสียหายค่อนข้างมาก เคยได้พบเจอกับผู้ฝึกตนมากี่มากน้อย? พันคน? หมื่นคน? จะเดินทางท่องไปทั่ว อาณาเขตของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาลหรือไม่?
เดิมทีซ่งหลันเฉียวกำลังรวบรวมสมาธิคุยเรื่องใหญ่กับเฉินผิงอัน เพราะเขาแอบรู้สึกว่าการพูดคุยกันในวันนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะตัดสินทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอีกร้อยปีข้างหน้าของสวนน้ำค้างวสันต์
จากนั้นซ่งหลันเฉียวก็เห็นว่าเซียนกระบี่เฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบมองไปทางกำแพงแวบหนึ่ง
ซ่งหลันเฉียวจึงมองตามสายตาเขาไป มือสองข้างของเด็กหนุ่มชุดขาวจับที่ เท้าแขนเก้าอี้ ร่างทั้งร่างโยกไหว ทั้งคนทั้งเก้าอี้จึงโยกไปซ้ายทีขวาที ราวกับว่า ใช้ขาเก้าอี้ต่างขาสองข้างของตน แล้วกำลังเดินโซเซอยู่
พอถูกอาจารย์จับได้ ชุยตงซานก็หยุดการกระทำทันที เขาแหงนหน้าขึ้นแล้วผิวปาก
ซ่งหลันเฉียวยิ้มบางๆ ตามมารยาท แล้วจึงดึงสายตากลับคืนมา
สมองไอ้หมอนี่มีปัญหากระมัง? ต้องใช่แน่นอน!
เฉินผิงอันคุยกับซ่งหลันเฉียวถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสนอความเป็นไปได้มากมาย พูดคุยกันถูกคอไม่น้อย
พอถึงช่วงหลังๆ ซ่งหลันเฉียวก็ผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ยอดเยี่ยม ความคิดมากมายที่สะสมมานานหลายปี แต่กลับไม่เคยพูดออกมา ล้วนสามารถเปิดเผยได้อย่างสบายใจ ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มที่มักจะคอยเติมน้ำชาให้ ทั้งสองฝ่ายอยู่บ่อยๆ ฝั่งตรงข้ามก็ยิ่งเป็นคนทำการค้าที่เขาถูกชะตาด้วยอย่างที่หา ได้ยาก ถ้อยคำของเขาไม่เคยแสดงการยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เคยพูดว่าได้ หรือไม่ได้ ส่วนมากจะเอ่ยถ้อยคำที่อ่อนโยนละมุนละม่อมทำนองว่า ‘ตรงจุดนี้ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ขอผู้อาวุโสซ่งช่วยอธิบายอย่างละเอียดหน่อย’ ‘เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ามีความคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไป ผู้อาวุโสซ่งลองฟังดูก่อน หากมีความเห็นต่างก็บอกมาตามตรงได้เลย’ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เลอะเลือน การกระทำเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ซ่งหลันเฉียวคิดจะขุดหลุมให้เหาซง เซียนกระบี่หนุ่มก็ไม่พูดแฉต่อหน้า เพียงเอ่ยประโยคว่า ‘เรื่องนี้อาจต้องให้ผู้อาวุโสซ่งสิ้นเปลืองแรงใจกับทางฝั่งของ ศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ให้มากสักหน่อย’
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นไม่มีอะไรทำจึงโยกเก้าอี้วนไปรอบโต๊ะ ยังดีที่ตอนใช้เก้าอี้เดิน ไม่มีเสียงใด ไม่มีความเคลื่อนไหวให้หนวกหูแม้แต่น้อย
ซ่งหลันเฉียวสามารถแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้แล้ว
หลังจากพูดคุยกันจบ ซ่งหลันเฉียวก็มีสีหน้ากระปรี้กระเปร่า บนโต๊ะไม่มีน้ำชา ให้ดื่มแล้ว แม้ว่าจะยังพูดคุยกันไม่สาแก่ใจพอ แต่ก็ยังลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวลา
ซ่งหลันเฉียวบอกท่านเฉินว่าไม่ต้องไปส่ง คนหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับ แล้วก็เดินมาส่งแค่ที่หน้าประตูห้อง แต่ยังบอกให้ชุยตงซานเดินไปส่งเขาต่อ
ซ่งหลันเฉียวเดินเข้ามาในระเบียง ไม่เห็นร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวแล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนเดียว เส้นเอ็นหัวใจของโอสถทองผู้เฒ่า ก็หดรัดเกร็งขึ้นมาทันที
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มเดินถอยหลัง ปิดประตูลงเบาๆ แล้วหันหน้ามายิ้มมอง ซ่งหลันเฉียว
รอยยิ้มของซ่งหลันเฉียวจึงเริ่มแข็งทื่อ
ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายซ่งหลันเฉียวที่ค้อมเอวลงตามจิตใต้สำนึก แล้วกระโดดขึ้นกอดคอซ่งหลันเฉียว กระชากโอสถทองผู้เฒ่าคนนี้ให้เดินหน้าไปด้วยกัน
“พี่น้องหลันเฉียว เจ้านี่พูดเก่งเป็นน้ำไหลไฟดับ สรรหาถ้อยคำไพเราะได้มากมายดุจไข่มุกร้อยเรียงต่อกันเลยนะ”
ซ่งหลันเฉียวเกือบอดไม่ไหวร้องเรียกท่านเฉินให้มาช่วยตนพ้นจากเคราะห์ภัยครั้งนี้
ซ่งหลันเฉียวพลันขนลุกชันด้วยความพรั่นพรึง จึงคิดอยากจะหยุดเดิน แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำไม่ได้แม้แต่น้อย หลังจากถูกเด็กหนุ่มที่เรี่ยวแรงไม่มากนั้นกระชากให้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ซ่งหลันเฉียวก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี
นาทีถัดมา ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวก็พลันหายวับไป
ซ่งหลันเฉียวค้นพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกขาวโพลน รอบด้าน ไม่มีทัศนียภาพใดๆ วกับว่าอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่แห้งเหี่ยวแห่งหนึ่ง สิ่งที่สายตามองเห็นมีเพียงสีขาวโพลนที่ทำให้ใจคนเหน็บหนาวเป็นทบทวี อีกทั้งยามที่เดินไป ใต้ฝ่าเท้ายังรู้สึกอ่อนนุ่ม แต่กลับไม่ใช่ดินโคลนใดๆ บนโลก หากเพิ่มกำลังฝีเท้า อีกเล็กน้อย ใต้ฝ่าเท้าก็จะเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นวง
เขาเริ่มก้าวเดินออกไปอย่างระมัดระวัง ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมาก็เริ่มทะยานลม หนึ่งชั่วยามให้หลัง ซ่งหลันเฉียวยังร่ายสมบัติอาคมออกมาด้วย เขาไม่สนใจมารยาทพิธีการอะไรอีกแล้ว จำต้องเรียกสมบัติมากมายออกมาขว้างใส่อย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่อาจทำให้ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่น้อย หนึ่งปีต่อมา ซ่งหลันเฉียวนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าแห้งตอบ ได้แต่รอความตายเท่านั้น
ชั่วขณะนั้น ซ่งหลันเฉียวพลันเงยหน้าขึ้น เขาเห็นศีรษะขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทั้งๆ ที่คลี่ยิ้ม แต่สีหน้ากลับเย็นชา เขาชูแขนขึ้นช้าๆ
ซ่งหลันเฉียวรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ที่แท้ตนเดินวนอยู่ในชายแขนเสื้อใหญ่ สีขาวหิมะของอีกฝ่ายมาโดยตลอด?
นาทีถัดมาซ่งหลันเฉียวที่เศร้ารันทดพบว่าตนยืนอยู่กลางระเบียงของเรือข้ามฟาก ห่างไปไม่ไกลก็คือเด็กหนุ่มที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อกำลังยิ้มตาหยีมองมา ทางตน
ซ่งหลันเฉียวที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเกือบจะหลั่งน้ำตา
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “อาจารย์ให้ข้ามาส่งเจ้า ข้าก็เลยตัดสินใจเองโดยพลการ เดินมาส่งเจ้าไกลกว่าเดิมอีกเล็กน้อย หลันเฉียวเอ๋ย หลังจากนี้อย่าได้เอาไปฟ้องอาจารย์ของข้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคราวหน้าที่ไปส่งเจ้าจะเป็นสิบปีร้อยปีแล้ว ถึงเวลานั้นสมองใครมีปัญหาก็คงบอกได้ยากแล้วจริงๆ”
ซ่งหลันเฉียวพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
ชุยตงซานถาม “เคยชินกับปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นของสวนน้ำค้างวสันต์ แล้วก็เคยชินกับปราณวิญญาณที่บางเบาของบนเรือข้ามฟากแล้ว แต่เหตุใดเมื่ออยู่ในสถานที่ไร้กฎเกณฑ์ กลับไม่เคยชินเสียได้?”
ซ่งหลันเฉียวเหม่อลอย
ชุยตงซานเดินสวนไหล่เขาแล้วยกมือตบไหล่อีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความหวังดีว่า “หลันเฉียวเอ๋ย การฝึกจิตใจเละเทะ โอสถทองก็เป็นกระดาษเปียกนะ”
ซ่งหลันเฉียวหันตัวมาช้าๆ ประสานมือขอบคุณอีกฝ่าย คราวนี้มาจากความรู้สึกที่จริงใจอย่างแท้จริง “คำสั่งสอนของผู้อาวุโสทำให้ผู้น้อยรู้สึกเหมือนอุปสรรคถูกปัดเป่าจนมองเห็นวงแสงจันทรา ยังไม่เห็นแสงจันทราอย่างแท้จริง แต่กลับได้รับผลประโยชน์อย่างไร้ที่สิ้นสุด”
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเคาะประตูห้อง “อาจารย์ จะให้ข้าไปเอาผลไม้น้ำชามาให้ท่านหรือไม่?”
ซ่งหลันเฉียวมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มแล้วก็รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก
เฉินผิงอันเปิดประตูออก กดหัวของชุยตงซานเบาๆ แล้วหันหน้ามาถามซ่งหลันเฉียว “ผู้อาวุโสซ่ง ลูกศิษย์ของข้าคนนี้ทำตัวไม่เคารพท่านใช่หรือไม่?”
ไม่รู้ว่าซ่งหลันเฉียวสติวิปลาส หรือได้รับคำอวยพรจนจิตใจเปิดกว้างแล้วฉลาดขึ้น จึงเอ่ยประโยคหนึ่งที่ในอดีตต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูด “บอกตามตรง ทุกข์ทนจนเกินบรรยาย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวถูกบิดหู ร้องโอ้ยๆ โดนเฉินผิงอันลากเข้าห้องไป
ยังคงมีเสียงด่าดังลอยมา “ซ่งหลันเฉียวชาติสุนัข เจ้าคนใจจืดใจดำ ฝากไว้ก่อนเถอะ…อาจารย์ ข้าช่วยพี่น้องหลันเฉียวฝึกบำเพ็ญตนด้วยความหวังดีนะ ไม่ได้หลอกแกล้งเขาจริงๆ …อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว!”
ซ่งหลันเฉียวสะบัดชายแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป
สบายใจซะจริง
……
ตอนที่เรือจอดที่ท่าเรือของชายหาดโครงกระดูก ซ่งหลันเฉียวไม่ได้ปรากฏตัว แต่ให้คนออกมาส่งพวกเฉินผิงอันแทน ส่วนตัวเองก็หาข้ออ้างที่ไม่มีข้อตำหนิ หายตัวไปนานแล้ว
ซ่งตงซานใช้ฝ่ามือลูบปลายคางเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว
คนทั้งสองลงจากเรือ มุ่งหน้าไปที่ภูเขามู่อีของสำนักพีหมาด้วยกัน
แล้วชุยตงซานก็เริ่มพูดฟ้อง “อาจารย์ ครั้งแรกที่จู๋เฉวียนพบหน้าข้าก็บอกว่าอาจารย์ไม่เคยพูดถึงข้ามาก่อน แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักข้า ทำเอาข้าเสียใจแทบตาย ต่อให้ไม่ตายก็ร่อแรเกือบตายแน่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเคยพูดถึงเจ้ากับเจ้าสำนักจู๋อยู่หลายครั้ง แต่คนเขาเป็นถึงเจ้าสำนัก มีเรื่องมากมายให้ต้องสนใจ แล้วยังต้องคอยระวังป้องกันหุบเขาผีร้ายอีก ไม่ทันระวังเลยลืมไป มีอะไรให้น่าแปลกใจกัน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนว่า “บนภูเขา เจ้าสำนักจู๋คือผู้ฝึกตนที่พบเห็นได้น้อยนัก ข้าเคารพนับถือนางมาก ไปถึงภูเขามู่อี เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรแผลงๆ เด็ดขาด แล้วยังมีเด็กหนุ่มผังหลันซีที่เป็นผู้สืบทอดซึ่งศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีฝากความหวังไว้ให้อีก เจ้าที่เป็นคนนอกก็อย่าได้พูดจาอะไรเหลวไหล ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าทำอะไรรู้หนัก รู้เบาอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือชายหาดโครงกระดูก ไม่ใช่ภูเขาลั่วพั่วบ้านเรา”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ ชำเลืองตามองไปทางภูเขามู่อีด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แบบนี้ออกจะน่าเบื่อไปหน่อยแล้ว
ไปถึงประตูภูเขาของภูเขามู่อีก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างราบรื่น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ ในสำนักพีหมาล้วนรู้จักเฉินผิงอัน อีกทั้งเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเขาก็เดินทางกลับมา อีกครั้ง
จู๋เฉวียนไม่ได้อยู่บนภูเขา นางไปที่เมืองชิงหลูหุบเขาผีร้ายแล้ว
แต่ตู้เหวินซือกลับมายังศาลบรรพจารย์แล้วเริ่มปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว การเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของเขามีโอกาสสูงมาก
ชุยตงซานพูดถึงตู้เหวินซือแล้วก็หัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ไอ้หมอนี่เป็นพวก ลุ่มหลงในรัก ว่ากันว่าก่อนหน้านี้นักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิงไปที่หุบเขาผีร้ายมารอบหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปเพราะตู้เหวินซือ แล้วก็เพราะไม่อยากให้ตู้เหวินซือคิดมากถึงได้ทิ้งประโยค ‘ชั่วชีวิตนี้ข้าหวงถิงไร้คู่บำเพ็ญตน’ เอาไว้ ทำให้ตู้เหวินซือเสียใจ แทบแย่ แต่นอกเหนือจากความเสียใจแล้ว อันที่จริงเขายังมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างด้วย สตรีที่ตัวเองคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตนไม่อาจครอบครองได้
ยังดีที่ไม่ต้องกังวลว่าบุรุษอื่นจะได้นางไปครอง นี่ก็ถือเป็นความโชคดีในความ โชคร้ายแล้ว ดังนั้นตู้เหวินซือที่คิดไปคิดมาจึงรู้สึกว่ายังคงเป็นเพราะขอบเขตของตัวเองไม่สูงมากพอ หากขอบเขตสูงพอแล้ว จะดีจะชั่วก็ยังจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นในอนาคตลองไปเยี่ยมเยือนภูเขาไท่ผิงดู หรือไม่ก็ขยับไปอีกก้าว ไปท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำร่วมกับหวงถิง…”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอยู่บนภูเขามู่อีแค่ไม่กี่วัน แต่กลับรู้ชัดเจนขนาดนี้เลยหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็เดินเล่นไปเรื่อย บนภูเขากับล่างภูเขาไม่ได้มีอะไรต่างกัน คนเราพออยู่ว่างก็มักจะชอบพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง โดยเฉพาะ พวกผู้ฝึกตนหญิงที่หลงรักตู้เหวินซือที่รู้สึกย่ำแย่กว่าตู้เหวินซือเสียอีก แต่ละคนพากันเปิดปากร้องทวงความเป็นธรรมให้เขา บอกว่าหวงถิงผู้นั้นมีอะไรดี ก็แค่ขอบเขต สูงหน่อย หน้าตาดีหน่อย สำนักใหญ่หน่อย…”
ภูเขามู่อีที่เป็นยอดเขาหลักของสำนักพีหมาไม่ได้ต่างจากยอดเขาทั้งหมดอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนจำนวนมากบนโลกที่เส้นทางเดินขึ้นเขาเป็นขั้นบันไดทอดตรงยาวขึ้นสู่ด้านบน
เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดมักจะทะยานลมขี่กระบี่ขึ้นไปได้โดยตรง ภูเขาบางแห่ง แม้แต่ลูกศิษย์ทั่วไปก็ยังไม่มีข้อห้าม แต่ถ้ำสถิตตระกูลเซียนส่วนใหญ่มักจะพิถีพิถันในข้อที่ว่านกแต่ละชนิดมีเส้นทางเป็นของตัวเอง ระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน เส้นทางไม่เหมือนกัน การที่ทางฝั่งของเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ค่อยเหมือนที่อื่น สาเหตุก็เป็นเพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง บวกกับที่เดิมทีลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนและภูเขาลั่วพั่วก็มีไม่มาก อีกทั้งยังไม่ค่อยพิถีพิถันในรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ ดังนั้นจึงดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเปลี่ยนมาเป็นตระกูลเซียนเก่าแก่อย่างสำนักพีหมาหรือสวนน้ำค้างวสันต์ที่มีกฎเกณฑ์มาก ระเบียบวินัยเข้มงวดแล้ว ในสายตาเฉินผิงอัน อันที่จริงก็คือเรื่องดี
เพียงแต่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องได้เปรียบที่ลำบากครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดกาล การที่จิตใจผู้คนในสวนน้ำค้างวสันต์ระส่ำระส่ายก็เพราะว่ากฎเกณฑ์ของสำนัก บนหน้ากระดาษ ระเบียบวินัยที่ปรากฎภายนอกไม่ได้แทรกซอนลึกเข้าไปในใจคนอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องนี้ สำนักพีหมากลับทำให้เฉินผิงอันนับถือจากใจจริง นับตั้งแต่ เจ้าสำนักจู๋ไปจนถึงตู้เหวินซือ แล้วก็มาถึงผังหลันซี แต่ละคนมีนิสัยแตกต่างกัน ทว่าบุคลิกลักษณะบางอย่างบนร่างของพวกเขากลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ความเป็นตายของตัวเองคือเรื่องเล็ก แต่เรื่องของสำนักคือเรื่องใหญ่
ทั้งๆ ที่ผู้ฝึกตนแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย แต่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมากับกล้ากระโจนเข้าหาความตายเพื่อสำนักกันทุกคน จู๋เฉวียนและเหล่าเจ้าสำนัก เหล่าบรรพจารย์ในแต่ละรุ่น ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับศึกตาย ก็มักจะใช้ตัวเอง เป็นแบบอย่าง ยินดีตายก่อนใคร!
บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาทะยานลมเลียบขั้นบันไดลงมาพลิ้วกายหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยกับคนทั้งสองว่า “คุณชายเฉิน สหายนักพรตชุย ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล”
หลังจากทักทายกันแล้ว เฉินผิงอันก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าบรรพจารย์สำนักพีหมาท่านนี้จะสนิทสนมกับชุยตงซานมาก คำพูดคำจาราวกับว่าเป็นคนรู้ใจของกันและกัน
หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ชุยตงซานอยู่บนภูเขามู่อีไม่ได้แค่เดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเหมือนคนว่างงานอย่างเดียวเท่านั้น?
ไม่อย่างนั้นการเข่นฆ่าของชุยตงซานกับนครจิงกวานครั้งนั้นก็คงไม่ถึงขั้นทำให้บรรพจารย์ผู้คุมกฎคนหนึ่งต้องมองเขาใหม่ถึงขนาดนี้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา แต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่บุกฝ่าเส้นทางสายเลือดออกมาจากกองกระดูกขาว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่มองดูเหมือนอ่อนโยนสุภาพอย่างตู้เหวินซือก็ผ่านการเข่นฆ่าอันยาวนานอยู่ในหุบเขาผีร้ายมาเช่นกัน
บรรพจารย์ผู้เฒ่านำพาคนทั้งสองไปยังเรือนที่เฉินผิงอันเคยมาพักด้วยตัวเอง
เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาที่เดินทางระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับนครมังกรเฒ่ายังต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบวันกว่าจะกลับมาถึงอุตรกุรุทวีป
ผังหลันซีกับผังซานหลิ่งท่านปู่ทวดของเขามายืนรออยู่ตรงหน้าประตูเรือนแล้ว
เด็กหนุ่มยิ้มพลางกวักมือเรียก “ท่านเฉิน!”
คนทั้งสองพบหน้ากัน ประโยคแรกของผังหลันซีก็คือการบอกเล่าเรื่องน่ายินดี เขาพูดเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน ข้าขอภาพเทพหญิงจากท่านปู่ทวดมาให้ท่านได้อีกสองชุดแล้ว”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ราคาเท่าไร?”
ผังหลันซียิ้มกล่าว “ตามราคาตลาด…”
ผังหลันซีหยุดชะงักไปครู่ “ย่อมไม่มีทางขายให้! ยกให้เลย ไม่คิดเงิน!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถังเซียนซือช่างเอ็นดูเจ้านัก แต่พวกเราอิงกันตามราคาตลาดเถอะ มิตรภาพส่วนมิตรภาพ การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย”
ผังหลันซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วันเอง เหตุใดท่านเฉินถึงทำตัวห่างเหินขนาดนี้แล้ว?”
เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “แค่ถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าเกรงใจก่อน ข้าก็เลยเกรงใจตาม จากนั้นพวกเราสองคนก็ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว”
ผังหลันซีหัวเราะปากกว้าง
ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ อีกแล้ว
ท่านเฉินช่างมีความรู้หลากหลายเสียจริง
คนทั้งสี่นั่งลง ผังหลันซีอายุน้อยที่สุด ลำดับอาวุโสต่ำที่สุดจึงไปยืนอยู่ด้านหลังท่านปู่ทวดของเขา
เฉินผิงอันตรงเข้าประเด็นด้วยการพูดถึงเรื่องของสวนน้ำค้างวสันต์ทันที
บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาที่มีชื่อว่าเยี่ยนซู่รีบส่งกระบี่บินไปแจ้งผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อยู่บนยอดเขาแห่งอื่นทันที เขามีนามว่าเหวยอวี่ซง ลำดับอาวุโสต่ำว่าเยี่ยนซู่หนึ่งขั้น แต่อายุกลับไม่น้อยแล้ว เป็นศิษย์พี่ของผังหลันซี ในมือของ เหวยอวี่ซงกุมอำนาจทางการเงินของสำนัก หน้าที่คล้ายคลึงกับเกาซงของ สวนน้ำค้างวสันต์ คือผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยแต่ฉลาดเฉียบแหลมและมีความสามารถ พอเห็นเฉินผิงอันกับชุยตงซานก็มีท่าทางเกรงอกเกรงใจมากเป็นพิเศษ
นับตั้งแต่ที่จู๋เฉวียนทำการค้าเล็กๆ ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวของภูเขาลั่วพั่วได้สำเร็จ เรื่องแรกที่ทำก็คือไปพูดคุยกับเหวยอวี่ซง ภายนอกคือใช้สถานะของเจ้าสำนักมาพูดคุยเรื่องการฝึกตนของเหวยอวี่ซงด้วยความห่วงใย แต่ในความเป็นจริงแล้วแน่นอนว่าต้องไปขอคุณความชอบ เหวยอวี่ซงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เอ่ยพูด คำประจบไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ ทำเอาจู๋เฉวียนอัดอั้นแทบแย่ สำหรับคนหนุ่มชุดเขียว ผู้นั้น เหวยอวี่ซงพูดได้แค่ว่ามีความทรงจำที่ไม่เลวต่อเขา นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก
ทว่ากับสหายนักพรตชุยที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มนั้น เขากลับศิโรราบให้ ทั้งกายและใจ เหตุผลนั้นง่ายมาก หลังจากสหายนักพรตชุยมาถึงภูเขามู่อี เดินเตร็ดเตร่บนและล่างภูเขาอยู่สองวัน จากนั้นก็หาศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาเจอ ก่อนจะยัดกระดาษปึกใหญ่มาให้พวกเขา บอกว่าค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขามู่อีสร้างได้หยาบไปสักหน่อย ปล่อยพลังการต่อสู้ของวิญญาณวีรบุรุษกลุ่มให้เสียเปล่า คนของศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีจึงมารวมตัวกัน และยังเชิญผู้ถวายงานเฒ่าคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากอาจารย์ค่ายกลสำนักโม่มาด้วย จึงค้นพบว่าหากเปลี่ยนแปลง ค่ายกลใหญ่ภูเขามู่อีตามภาพโครงร่างที่สหายนักพรตชุยผู้นี้มอบให้ ใช้เงินฝนธัญพืชแค่พันกว่าเหรียญก็สามารถเพิ่มพลานุภาพของค่ายกลใหญ่ให้มากขึ้นได้ถึงสองเท่า! อาจารย์ค่ายกลสำนักโม่ผู้นั้นละอายใจจนแทบอยากจะมุดดินหนี หลังจากตรวจสอบช่องโหว่ของค่ายกลใหญ่อย่างระมัดระวังรอบคอบสำเร็จแล้วก็เกือบจะขอสละยศ ผู้ถวายงานของตัวเอง
พูดประโยคที่เป็นความจริงสักหน่อย อย่าว่าแต่ค่าใช้จ่ายก้อนเล็กๆ อย่างเงินฝนธัญพืชหนึ่งพันเหรียญเลย ต่อให้ทุ่มเงินฝนธัญพืชสามพันเหรียญ แล้วได้แค่เพิ่ม พลานุภาพให้กับค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาส่วนเดียว ก็ถือเป็นการค้าคุ้มค่าที่คู่ควรให้จุดธูปบอกกล่าวเหล่าบรรพบุรุษแล้ว
ที่บอกว่าคุ้มค่าก็เพราะสามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนในสำนักตายได้น้อยลง นอกจากนี้เคยมียอดฝีมือเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า หากค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของภูเขามู่อีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ห้าส่วน ก็จะกลายเป็นจุดพลิกผันจุดหนึ่งของการคุมเชิงระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับหุบเขาผีร้าย
ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้ผู้ฝึกตนเฒ่าทั้งหลายในศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามอง ชุยตงซานอย่างไรก็รู้สึกถูกชะตาชอบใจกันทั้งนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เด็กหนุ่มชุดขาวทิ้งกระดาษปึกนั้นเอาไว้ พูดเรื่องสำคัญบางอย่างในศาลบรรพจารย์แล้วเดินอาดๆ จากไป ออกไปเดินเล่นบนภูเขามู่อีเพื่อ คุยเล่นกับเหล่าพี่สาวเทพเซียนต่ออีกครั้ง
ภายหลังจู๋เฉวียนออกหน้าสอบถามชุยตงซานด้วยตัวเองว่าสำนักพีหมาควรจะตอบแทนเรื่องนี้อย่างไร ขอแค่เขาชุยตงซานเปิดปาก ต่อให้สำนักพีหมาต้องทุบหม้อขายเหล็ก หรือไปกู้หนี้ยืมสินผู้อื่น ก็ยังจะต้องตอบแทนน้ำใจควันธูปครั้งนี้ให้จงได้
ชุยตงซานเองก็ไม่เกรงใจ เขาเสนอชื่อบอกว่าต้องการตู้เหวินซือและผังหลันซีสองคน วันหน้าเมื่อแต่ละคนได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว จะต้องไปรับหน้าที่เป็น ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว แค่ได้รับการบันทึกชื่อไว้เท่านั้น ภูเขาลั่วพั่วจะไม่เรียกร้องให้สองคนนี้ทำอะไร เว้นเสียจากว่าพวกเขาเต็มใจจะทำเอง
ตอนนั้นจู๋เฉวียนยังกังขาอยู่เล็กน้อย แค่นี้เองหรือ?
ชุยตงซานย้อนถาม แล้วจะยังให้เป็นอย่างไรอีก?
ตอนนั้นใบหน้าของจู๋เฉวียนเต็มไปด้วยความละอายใจ นางทอดถอนใจเอ่ยประโยคแทงใจคนประโยคหนึ่งว่า “เฉินผิงอันผู้นั้นไม่เคยพูดถึงลูกศิษย์อย่างเจ้ากับข้าแม้แต่ครึ่งคำ ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ มโนธรรมในใจถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว คราวหน้า เมื่อเขามาชายหาดโครงกระดูก ข้าจะต้องช่วยเจ้าด่าเขาแน่นอน”
ชุยตงซานน้ำตาคลอเจียนจะหยด พูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่หญิงจู๋ มโนธรรมของเจ้าต่างหากกระมังที่ถูกสุนัขกินไปแล้ว”
จู๋เฉวียนถึงได้ยอมพูดประโยคที่เป็นธรรม “เฉินผิงอันมีลูกศิษย์อย่างเจ้าก็ควรจะรู้สึกภาคภูมิใจได้แล้ว”
ชุยตงซานจึงมอบผลหลี่ตอบแทนผลท้อให้อีกฝ่าย “พี่หญิงจู๋เป็นสตรีที่ดีขนาดนี้ ตอนนี้ยังไม่มีคู่บำเพ็ญตน แม้แต่สวรรค์ก็ทนสิ่งนี้ไม่ได้”
ดังนั้นคนทั้งสองจึงเกือบจะตีกัน ตอนที่จู๋เฉวียนกลับไปยังเมืองชิงหลูของหุบเขาผีร้ายโทสะยังเดือดพล่านอยู่ไม่คลาย
เหวยอวี่ซงคือคนฉลาดที่คุ้นเคยกับการทำการค้าดี ไม่อย่างนั้นด้วยเจ้าสำนักที่ ไม่เอาจริงเอาจัง กับบรรพจารย์ผู้เฒ่าที่พึ่งพาไม่ได้อย่างพวกเยี่ยนซู่นี้ ต่อให้ลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของสำนักพีหมาจะมากแค่ไหน แต่ป่านนี้ก็คงถูกนครจิงกวานแล่เนื้อเถือหนัง เผาผลาญรากฐานของสำนักไปจนสิ้นนานแล้ว ทุกครั้งที่เหวยอวี่ซงปรึกษาธุระอยู่ในศาลบรรพจารย์ ต่อให้เผชิญหน้ากับจู๋เฉวียนและเยี่ยนซู่อาจารย์ผู้มีพระคุณของตน ก็ยังไม่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้มให้เห็น ทุกครั้งเขาจะชอบพกสมุดบัญชีมาพูดคุยธุระด้วย เปิดสมุดบัญชีพลางพูดจาเหน็บแนมคนอื่นไปพลาง นานวันเข้าพวกผู้อาวุโสใน ศาลบรรพจารย์ก็ได้แต่คลี่ยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะแค่ชินแล้วก็ดีไปเอง
เหวยอวี่ซงรู้สึกว่าหากจะช่วยให้สวนน้ำค้างวสันต์ขนส่งสินค้าไปยังแจกันสมบัติทวีป ย่อมไม่มีปัญหา แต่เรื่องของการแยกบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นควรต้องใคร่ครวญกัน ให้ดี
ตอนที่เหวยอวี่ซงคิดจะดีดลูกคิดคำนวณบัญชี เยี่ยนซู่กับผังซานหลิ่งก็เริ่มยิ้มบางๆ ตามความเคยชิน ชุยตงซานรู้สึกว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรพูดจึงหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้ผังหลันซี ผังหลันซีมีใจระแวงต่อ ‘คนวัยเดียวกัน’ ที่หล่อเหลาจนน่าเหลือเชื่อผู้นี้อยู่มาก เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีจิตใจเป็นเด็กหนุ่ม เขาจึงกังวลว่าหากแม่นางที่เติบโตมาพร้อมเขาตั้งแต่เด็กได้ไปเจอกับคนวัยเดียวกันที่ดีกว่าเขา จะเกิดความคิดบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลงจากเขาไปพบนางที่นครปี้ฮว่า แล้วนางเล่าให้ฟังว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนี้มาซื้อภาพเทพหญิงที่ร้าน แม้นางจะเอ่ยพูดถ้อยคำธรรมดาบอกว่าเด็กหนุ่มมีนิสัยประหลาด แต่ในใจผังหลันซีก็ยังอดรู้สึกตุ๋มๆ ต่อมๆ ไม่ได้
ช่วงนี้ผังหลันซีใกล้จะกลุ้มใจตายเต็มทีแล้ว
ดังนั้นจึงอยากจะขอความรู้จากเฉินผิงอันมากเป็นพิเศษ
ร้านผ้าห่อบุญอิสระอย่างเฉินผิงอันกับเหวยอวี่ซงที่ดูแลเรื่องเงินทองทั้งหมดในสำนักพีหมา ต่างคนก็ต่างหั่นราคากันเต็มที่
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังอดรู้สึกจนใจไม่ได้
เหวยอวี่ซงผู้นี้ขี้เหนียวจนเกินควรไปหน่อยแล้วจริงๆ
ไม่มีมาดของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักอักษรตัวจงแม้แต่น้อย
หากเป็นรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่พูดคุยกันยาก เหวยอวี่ซงก็จะยกเอาบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ออกเดินทางไกลขึ้นมาอ้าง สรุปก็คือเป็นการสาดโคลนใส่ อีกฝ่ายด้วยคำพูดน่าเชื่อถือ บอกว่าบรรพจารย์ท่านนี้หัวโบราณคร่ำครึอย่างไร เงินเกล็ดหิมะทุกเหรียญจะต้องไม่ขาดอย่างไร หากเป็นเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ ของสำนัก ต่อให้แค่เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น บรรพจารย์ท่านนี้ก็จะยังซักไซ้เอาความกับศาลบรรพจารย์ ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น เขาเหวยอวี่ซงไม่มีตำแหน่งฐานะใน สำนักพีหมามากที่สุด ใครจะขอเงินจากเขาล้วนพูดจากระโชกโฮกฮากใส่ หากไม่ให้ ก็ชักสีหน้า แต่ละคนถ้าไม่ได้อาศัยตบะที่สูงกว่าก็อาศัยความอาวุโสที่มากกว่า และ ยังมีบางคนที่หน้าไม่อายยิ่งกว่านั้น อาศัยว่าตัวเองตบะต่ำลำดับอาวุโสต่ำกว่าก็ยังจะหาเรื่องเอากับเขาได้
สรุปก็คือฟังจากคำร้องทุกข์ของเหวยอวี่ซงแล้ว ดูเหมือนว่าตลอดทั้งสำนักพีหมาก็คือเขาเหวยอวี่ซงนี่แหละที่ไม่มีความสำคัญที่สุด พูดจาไม่มีคนฟังมากที่สุด
ดังนั้นเฉินผิงอันที่จนปัญญาจึงวางถ้วยชาลงเบาๆ แล้วกระแอมหนึ่งที
ชุยตงซานที่กำลังอ้าปากหาวรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวมทันที เขาเอ่ยว่า “เรื่องค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขามู่อี อันที่จริงยังมีจุดที่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้อีก”
เหวยอวี่ซงตบโต๊ะ “ทุกอย่างล้วนอิงตามคำกล่าวของคุณชายเฉิน ตกลงกันตามนี้แหละ!”
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความจริงใจ ถามว่า “จะทำให้สำนักพีหมาวางตัวลำบากหรือไม่?”
เหวยอวี่ซงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม “พูดเป็นเล่น ในสำนักพีหมาแห่งนี้ ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน อย่าว่าแต่เจ้าสำนักจู๋เลย ต่อให้เป็นราชาสวรรค์ ก็ยังบังคับข้าเหวยอวี่ซงไม่ได้!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง แล้วจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มของเหวยอวี่ซงไม่แปรเปลี่ยน
เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย
……
เหวยอวี่ซงจากมาพร้อมกับเยี่ยนซู่ ผังซานหลิ่ง
เหวยอวี่ซงยืนกรานจะพูดคุยเรื่องในวันวานกับสหายนักพรตชุยให้จงได้ ชุยตงซานจึงได้แต่ติดตามไปด้วย
ตอนนี้จึงเหลือแค่เฉินผิงอันกับผังหลันซี ผังหลันซีนั่งลงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเฉิน ผู้อาวุโสชุยท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าจะรู้สึกว่าไม่เหมือนก็เป็นเรื่องปกติ”
ผังหลันซีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเปิดปากขอร้องคนอื่นแล้วรู้สึกลำบากใจ ถ้าอย่างนั้นก็…”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก เพียงยกสองมือขึ้นทำท่าประกอบ
ผังหลันซีเข้าใจทันที คือภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็ม
ผังหลันซีรีบร้อนทะยานลมจากไป แล้วย้อนกลับมาอย่างว่องไวอีกครั้ง กลับมาพร้อมกล่องไม้สองกล่องที่วางลงบนโต๊ะ
นอกจากนี้ยังมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากนครเหนือเมฆด้วย คนรับจดหมายคือเขาผังหลันซี ซึ่งขอให้ส่งมอบต่อไปยัง ‘เฉินคนดี’
เฉินผิงอันเก็บจดหมายมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้มีความมั่นใจที่จะพูดแล้วใช่ไหม?”
ผังหลันซีพูดเสียงเบา “ท่านเฉิน ข้าค่อนข้างเป็นกังวล”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
ผังหลันซีคือเด็กหนุ่มที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการฝึกตน ความกลัดกลุ้มของเด็กหนุ่มบนภูเขาไม่ได้อยู่ที่การฝึกตน ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แค่ที่ความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของสำนักเท่านั้น ทว่าสำนักพีหมายังไม่มีภัยแฝงเช่นนี้อยู่ หรือควรจะพูดว่าพวกเขาเจอกับอันตรายที่ซ่อนแฝงมาโดยตลอดอยู่แล้ว นี่กลับกลายเป็นว่าทำให้ผู้ฝึกตนทุกคน เคยชินกับมันไปเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่เรื่องนั้นแล้ว
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าลองเล่ามาก่อน แล้วเดี๋ยวข้าค่อยช่วยวิเคราะห์ให้เจ้า”
ผังหลันซีจึงเล่าเรื่องพวกนั้น อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกำลังตกอยู่ในห้วงรัก บางครั้งความคิดก็วกไปวนมา ไม่ได้มีเพียงเด็กสาวเท่านั้นที่มีความคิดวกวนร้อยพันตลบ
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ครุ่นคิดตาม เขากลั้นยิ้ม เอ่ยว่า “วางใจเถอะ แม่นางที่เจ้าชอบไม่มีทางโลเลหันไปชอบชุยตงซานได้หรอก อีกอย่างชุยตงซานเองก็ไม่มีทางเห็น แม่นางที่เจ้ารักอยู่ในสายตา”
ผังหลันซีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเดือดดาลว่า “ท่านเฉิน ข้าจะโกรธแล้วนะ อะไรที่บอกว่าชุยตงซานไม่มีทางเห็นนางอยู่ในสายตา?!”
เหตุใดท่านเฉินถึงพูดจาไม่เข้าหูอย่างนี้นะ!
เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา
เฉินผิงอันกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
ผังหลันซีคิดแล้วก็เกาหัว รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ปมในใจนั้นก็หายไปด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ ส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มยังมีความขุ่นเคืองอยู่อีกเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองจะต้องฝึกตนให้ดีๆ จะต้องให้แม่นางของตัวเองรู้สึกว่าการที่นางชอบตนนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นางไม่ได้มองคนผิด และจะไม่มีทางเสียใจไปตลอดชีวิต
เฉินผิงอันถึงได้กล่าวว่า “แม่นางคนนั้นชอบเจ้า ไม่ใช่เพราะเจ้าผังหลันซีคือ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน แต่หากเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นแม่นางที่เจ้าชื่นชอบก็จะยิ่งดีใจ ดีใจแทนเจ้า และตัวนางเองก็ดีใจด้วย”
ผังหลันซีถามเสียงเบา “เป็นแบบนี้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นแบบนี้แหละ เรื่องนี้ข้ามั่นใจยิ่งกว่าอะไร”
ผังหลันซีฟุบตัวลงบนโต๊ะ สายตาเหม่อลอย
เฉินผิงอันเปิดกล่องไม้ หยิบเอาภาพเทพหญิงม้วนหนึ่งมาคลี่ลงบนโต๊ะ ไล่สายตามองอย่างละเอียด ไม่เสียทีที่เป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจของผังซานหลิ่ง
ผังหลันซีพลันถามขึ้นว่า “ท่านเฉิน คงจะมีสตรีมากมายมาชื่นชอบท่านกระมัง?”
เฉินผิงอันเก็บภาพเทพหญิงมาช้าๆ ส่ายหน้าตอบ “ไม่มีสักหน่อย”
ผังหลันซีก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ”
เฉินผิงอันเปิดจดหมายของสวีซิ่งจิ่ว เนื้อความในจดหมายกระชับเรียบง่าย บอกเล่าสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาของนครเหนือเมฆให้ฟัง แล้วก็บอกว่าตัวเองได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว แค่รอให้ท่านหลิวถามกระบี่สำเร็จ เขาก็จะไปเยือน สำนักกระบี่ไท่ฮุยอีกครั้ง ครั้งนี้จะเป็นการลงเขาไปฝึกประสบการณ์ด้วย ขึ้นเหนือไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย ลงใต้มาถึงชายหาดโครงกระดูก
เฉินผิงอันอ่านจดหมายแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ก็คือคนที่เขียนจดหมายนี่ สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ วันหน้าเขาอาจจะมาท่องเที่ยวที่นี่ หากตอนนั้นเจ้าว่าง ก็ช่วยข้ารับรองเขาสักหน่อย แต่หากยุ่งก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิมาสนใจ นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยตามมารยาทอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนของข้าแล้วจะต้องเป็นเพื่อน ของเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเอง”
ผังหลันซีพยักหน้าตอบรับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะส่งจดหมายไปที่ นครเหนือเมฆ นัดหมายกับเขาให้เรียบร้อยก่อน จะได้เป็นสหายกันหรือไม่ ถึงเวลานั้นพบหน้ากันแล้วค่อยว่ากันอีกที”
สหายของท่านเฉินต้องมีค่าพอให้ผูกมิตรอย่างแน่นอน
ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่ท่านเฉินพูดคุยเรื่องของสวนน้ำค้างวสันต์กับศิษย์พี่เหวย แม้ว่าผังหลันซีจะไม่ถนัดเรื่องกิจธุระในสำนัก แต่สำนักพีหมาก็มีผู้ฝึกตนอยู่เพียงเท่านี้ เขาจึงพอจะเข้าใจท่าทีที่สำนักพีหมามีต่อสวนน้ำค้างวสันต์อยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นดูแคลน แต่ไม่อาจเรียกว่าเป็นสหายได้อย่างแน่นอน แค่มีการไปมาหาสู่ในด้านการค้าเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรสวนน้ำค้างวสันต์ก็มีกลิ่นเหม็นสาบเหรียญทองแดงฉุนเกินไป ส่วนผู้ฝึกตนสำนักพีหมาก็ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้ ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ สวนน้ำค้างวสันต์จึงอยากแสดงความนอบน้อมกตัญญูต่อเหวยอวี่ซงมาโดยตลอด แต่กลับไม่กล้าแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไปนัก นอกจากนี้ซ่งหลันเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ก็พูดจาไม่ค่อยคล่องแคล่วนักยามอยู่กับผู้ฝึกตนก่อกำเนิด อย่างเหวยอวี่ซง เพราะถึงอย่างไรเหวยอวี่ซงที่อยู่ในสำนักพีหมาก็มีฐานะสูงส่ง มีชื่อเสียงว่าเป็นคนที่พูดคุยด้วยยาก
แต่เมื่อท่านเฉินเปิดปากพูด บอกว่าต้องการให้กองกำลังของทั้งสามฝ่ายร่วมมือกันทำการค้าข้ามทวีป ผังหลันซีกลับสังเกตเห็นว่าศิษย์พี่เหวยยอมอ่อนข้อให้ ตั้งแต่แรก ไม่มีท่าทีว่าจะปฏิเสธแม้แต่น้อย
ผังหลันซีรู้สึกว่านี่ก็เป็นจุดที่ตนจำเป็นต้องเรียนรู้จากท่านเฉินเหมือนกัน
การวางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลก เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ายังมัวอึ้งอยู่ทำไม เอาเรื่องส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวมดูสักครั้ง ลงภูเขาไปพบนางสิ”
ผังหลันซีลุกขึ้นยืน “หากรู้แต่แรกคงจะขอภาพเทพหญิงมาเพิ่มให้ท่านเฉินอีก สักชุดแล้ว”
แล้วเด็กหนุ่มก็จากไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่เพียงลำพัง
ผ่านไปนาน ชุยตงซานที่ชายแขนเสื้อสองข้างส่ายสะบัดก็เดินเข้ามาในลานบ้าน
พอเห็นว่าบนโต๊ะด้านหน้าอาจารย์ของตัวเองมีอิฐเขียวก้อนหนึ่งวางอยู่
ชุยตงซานก็ตระหนกลนเล็กน้อย เขารีบหยุดเดิน ยืนอยู่ที่เดิมพร้อมเอ่ยว่า “อาจารย์ เรื่องที่เผยเฉียนฝึกวรยุทธ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เรื่องด้วยแม้แต่น้อยนะ เป็นจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อสามคนนั้นที่รู้เรื่องแล้วไม่รายงาน ปิดบังอาจารย์เอาไว้ ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์แม้แต่นิดเดียวเลย”
เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุ จึงมีผลตามมา ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก”
ชุยตงซานคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบานทันใด “หากอาจารย์อยากสั่งสอนพวกเขาสามคน ศิษย์สามารถช่วยออกแรงได้”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาชี้ไปยังอิฐเขียวของอารามเต๋าที่ยังไม่ถูก หลอมชะตาน้ำและปณิธานเต๋าให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในศาลภูเขา แล้วเอ่ยว่า “อิฐเขียวชนิดนี้ ข้ามีอยู่ทั้งหมดสามสิบหกก้อน วันหน้าคิดว่าจะเอาไปปูบนพื้นของภูเขาลั่วพั่ว ให้คนทั้งหกได้ฝึกวรยุทธ ข้า เผยเฉียน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง หลูป๋ายเซี่ยง เฉินยวนจี”
ชุยตงซานหน้าม่อยเหมือนบิดาตาย เขายื่นมือขวาออกมา และชูนิ้วข้างหนึ่งของมือข้างซ้ายขึ้น พูดโอดครวญว่า “อาจารย์ ข้าล่ะๆ ? ข้าคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์นะ!”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ส่วนที่เป็นของข้า มอบให้เจ้า”
ชุยตงซานถึงได้ยื่นนิ้วสองนิ้วมาเช็ดหัวตา ยิ้มกล่าวว่า “น้ำตาแห่งความเสียใจกลายเป็นน้ำตาแห่งความยินดี ผลงานของอาจารย์เหมือนมีเทพช่วยเสียจริง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา
ชุยตงซานจึงนั่งลงแต่โดยดี
เฉินผิงอันผลักอิฐเขียวก้อนนั้นมาให้ “เจ้าเขียนตัวอักษรได้สวยงาม เมื่อครู่ข้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็เลยอยากให้เจ้าเขียนถ้อยคำที่เป็นมงคลน่ายินดีสลักลงบนหน้าหลังของอิฐเขียว ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนก็แอบเอาก้อนอิฐไปปูพื้น ไม่ให้คนอื่นเห็น ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งถูกใครไปพบเข้าโดยบังเอิญ ก็จะกลายเป็นความ น่าประหลาดใจเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่รู้สึกว่าน่าสนุกก็เท่านั้น”
ชุยตงซานพยักหน้ารัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก เขานั่งขัดสมาธิบนม้านั่งหิน โน้มตัวไปเบื้องหน้า ฟุบตัวลงบนโต๊ะ มือสองข้างกดอยู่บนอิฐเขียว พูดเสียงเบาว่า “อาจารย์ พวกเราสองคนมาปรึกษากันดีๆ ก่อน ทั้งสามสิบหกประโยคนี้ จะต้องเขียนให้ฟ้าดินสะเทือน ผีร่ำไห้เทพตะลึงไปเลย”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าพวกเราแอบเขียนประโยคต่างๆ ให้กับทุกคนบน ภูเขาลั่วพั่วลงไปบนก้อนหิน ได้หรือไม่? ส่วนก้อนอื่นๆ ที่เหลือ เจ้าก็สามารถยกเอาถ้อยคำของอริยะปราชญ์ในตำรามาได้”
ชุยตงซานพูดอย่างอารมณ์ดี “เรื่องนี้ข้าเชี่ยวชาญเลยล่ะ!”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ชอบใจรึ!”
ชุยตงซานพูดอย่างขลาดๆ “อาจารย์พูดเรื่องตลกได้เก่งกาจถึงเพียงนี้เลย”
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้าพาเสียจริงๆ นั่นแหละ”
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น พูดเลียนแบบศิษย์พี่หญิงใหญ่ของตน “ฟ้าดินเป็นพยาน!”
……
คนทั้งสองนั่งเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมา เริ่มเดินทางกลับบ้านเกิดอย่างจริงจัง
นอกจากการฝึกตนและฝึกวิชาหมัดแล้ว เฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายไปหาชุยตงซานที่อยู่ห้องด้านข้างด้วยตัวเองเพื่อถามปัญหาข้อหนึ่ง
“ความรู้ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ยินดีอธิบายความรู้ในด้านการฝึกบำเพ็ญตน การศึกษาเล่าเรียน การทำความดีให้ละเอียด สักหน่อย? อีกทั้งยังไม่ต้องให้วุ่นวายขนาดนั้น เพราะอย่างน้อยที่สุดในลัทธิขงจื๊อเอง ก็ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย ไม่ได้ ทะเลาะกัน แต่ก็เหมือนว่าทะเลาะกันอยู่ดี”
ชุยตงซานไม่ได้เอ่ยประจบยกยออย่างที่หาได้ยาก แต่ถามย้อนกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นเพราะรู้สึกว่าความรู้มากมายซับซ้อนอีกทั้งยังสูงส่งเกินเอื้อมเกินไป กลับกลายเป็นว่าทำให้คนบนโลกไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ
ชุยตงซานส่ายหน้า “ความรู้บางอย่างก็ควรจะสูงสักหน่อย การที่มนุษย์แตกต่างไปจากพืชพรรณหรือสัตว์ทั้งหลาย แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณทั้งหมด ก็เพราะอาศัยความรู้ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะพวกนี้ ความรู้ที่เอามาแล้วใช้ได้เลย จำเป็นต้องมี จำเป็นต้องอธิบายให้ได้อย่างชัดเจน กระจ่างแจ้ง เป็นกฎเป็นเกณฑ์ แต่หากในจุดสูงไม่มีความรู้ให้คนไขว่คว้าแสวงหา อยากที่จะเดินไปดูให้เห็นสักครั้งโดยไม่กริ่งเกรงความยากลำบาก ถ้าอย่างนั้นก็ผิดแล้ว”
เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน สุดท้ายก็พยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้าว่า “กลับมาพูดคำถามแรกเริ่มสุดของอาจารย์กันอีกครั้ง”
เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะลองคิดดูเองอีกครั้ง พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันไหม?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “วิชาหมากล้อมของอาจารย์สูงส่งทะลุชั้นเมฆ หวนกลับคืน สู่ความเป็นจริง ยังต้องให้คนที่มีฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกอย่างศิษย์เป็นคนสอน อีกหรือ? ละอายใจๆ มิกล้าๆ”
พูดไปพลางหยิบกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากออกมาด้วย
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “วันหน้าเจ้าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็พูดให้น้อยหน่อย”
ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อขึ้นข้างหนึ่ง ยื่นมือมาคีบเม็ดหมากหนึ่งเม็ด พอเม็ดหมากลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ไม่พูดไม่กล่าว ศิษย์หรือจะกล้าเปิดปากพูด”
เฉินผิงอันเองก็คีบหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง
ก่อนที่ชุยตงซานจะนั่งลงตรงหน้ากระดานหมาก บุคลิกลักษณะของทั้งร่างเขา ก็เปลี่ยนไป เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ศิษย์ขอบังอาจยอมให้อาจารย์ก่อน สิบสองเม็ดตรงสี่มุม จุดตรงกลาง บวกกับตรงสามเส้น”
เฉินผิงอันมองชุยตงซานที่มีสีหน้าจริงจังแวบหนึ่ง แล้วใส่เม็ดหมากกลับลงไป ในโถเงียบๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันที