บทที่ 577 ข้ามีทั้งหมัดและกระบี่บิน
ผังหยวนจี้อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น
กล้าพูดกับเขาผังหยวนจี้เช่นนี้ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อย่างอื่นล้วนมี ไม่มาก มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่มากที่สุดแห่งนี้ ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดขึ้นไปเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเขาผังหยวนจี้ดูแคลนคนต่างถิ่นที่เอาชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันได้ถึงสองครั้งผู้นี้
แต่เป็นเพราะเดิมทีผังหยวนจี้ก็ดูแคลนใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว
เมื่อเทียบกับการดูแคลนแล้ว อารมณ์ที่มากกว่านั้นคือเกลียดชัง และยังเจือปนด้วยความอาฆาตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเสี้ยวหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะมีบุคคลอย่างผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีป หรืออย่างอาเหลียง จั่วโย่วอยู่ในใต้หล้าไพศาล ผังหยวนจี้ก็ถึงขั้นเคียดแค้นชิงชังใต้หล้าที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ร่ำรวยและสงบสุขมั่นคงแห่งนี้ด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่มองว่าเหมาะสมกับหนิงเหยาที่สุดผู้นี้จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากโต๊ะสุรา มุ่งหน้าไปบนถนนช้าๆ
ชายฉกรรจ์เคราดกที่มีดวงตาข้างเดียวมีสีหน้าเป็นปกติ แค่ดื่มเหล้าต่อเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องรักชายหญิง ผังหยวนจี้ไม่สนใจ หนิงเหยาผู้นั้นจะชอบใคร เขาผังหยวนจี้ไม่สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งที่ผังหยวนจี้สนใจมีเพียงสถานะผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และสถานะลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานเท่านั้น
ความเหมือนร่วมกันที่ใหญ่ที่สุดของสถานะสองอย่างนี้ ก็คือเป็นนักโทษอาญา เป็นประชากรพลัดถิ่นของใต้หล้าไพศาล นี่คือตราประทับที่นาบติดตัวมานาน นับหมื่นปี ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มาสร้างกระท่อมอยู่อาศัยเพียงลำพังบน หัวกำแพงเมืองผู้นั้นไม่เคยส่งเสียงใด แต่คนรุ่นเยาว์ในช่วงหมื่นปีให้หลังล้วนมีแต่ความไม่พอใจ!
ผังหยวนจี้เดินขึ้นไปบนถนนแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือคนหนุ่มที่เพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเท่านั้น “เฉินผิงอัน ข้าไม่มีอคติต่อเจ้า แต่ข้ามีอคติต่อ ใต้หล้าไพศาลอย่างมาก”
บางทีหากอยู่บนภูเขาของใต้หล้าไพศาล อายุเท่านี้ ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกตน ขอบเขตถ้ำสถิต หรือขอบเขตชมมหาสมุทรก็คงถือว่าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของ ศาลบรรพจารย์ภูเขาตระกูลเซียนที่ถูกห้อมล้อมดุจดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาวแล้ว
หรือหากอยู่ด้านล่างภูเขาของที่นั่น บางทีก็อาจเป็นคนหนุ่มหล่อเหลา มีความสามารถที่ได้ติดอันดับกระดานคนดัง ได้เสวยสุขอยู่กับความรุ่งโรจน์มีเกียรติ เส้นทางอนาคตยาวไกล เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม
ทว่าอยู่ที่นี่ ที่บ้านเกิดของผังหยวนจี้ เคยมีคนบอกว่าที่นี่ก็คือสถานที่ที่แม้แต่นก ก็ยังไม่มาขี้ เพราะปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป แม้แต่นกที่บินผ่านสักตัวยังหาได้ยาก น่าสงสารจริงๆ จากนั้นชายฉกรรจ์เมามายที่รอบกายมีเด็กเล็กและเด็กหนุ่มมากมายห้อมล้อมก็เอ่ยอีกว่า ในอนาคตหากพวกเจ้ามีโอกาสจะต้องไปที่ภูเขาห้อยหัว แล้วก็ไปยังสถานที่ที่ไกลกว่าภูเขาห้อยหัว ลองไปเยี่ยมเยือนดู ไม่ว่าทวีปใดของที่นั่นก็ล้วนมีสตรีหน้าตางดงามอยู่มากมาก รับรองว่าไม่ว่าใครก็ไม่ต้องเป็นชายโสดอย่างแน่นอน
อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเด็กคนใด ขอแค่ตาไม่บอด ถ้าอย่างนั้นจำนวนของเซียนกระบี่ที่เขาได้เห็นมาชั่วชีวิตก็ย่อมมากกว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใต้หล้าไพศาลเสียอีก
เพราะว่าที่นี่แค่เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็สามารถเจอกับเซียนกระบี่บางคนที่มาซื้อเหล้า มาดื่มเหล้าบนถนนได้แล้ว แล้วก็มักจะเจอเซียนกระบี่หลายท่านที่ขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ไม่มีอคติต่อเจ้าผังหยวนจี้ แต่กับคำพูดบางอย่าง ข้ามีอคติอย่างมาก”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหอสุราและร้านเหล้าที่อยู่สองข้างทางของถนนใหญ่ยิ่งดังเซ็งแซ่มากขึ้น
ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ตอนอยู่บ้านเกิดอย่างอุตรกุรุทวีปจะมีสายตามองสูง ไม่เห็นหัวใคร แต่พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็ไม่เคยมีคนหน้าใหม่คนใดกล้าพูดจาเช่นนี้
บางทีเวลาผ่านไปนานเข้า อาจมีสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หรือยังคงเป็นคนที่เกลียดขี้หน้ากัน แค่พูดจาไม่เข้าหูก็นัดต่อสู้ แต่ร้อยปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่เคยมีคนหนุ่มคนใดที่ทึ่มทื่อขนาดนี้มาก่อนจริงๆ
อุตรกุรุทวีปคือทวีปใหญ่ที่คบค้าสมาคมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด แต่คนหนุ่มสาวที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ก่อนจะมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ต้องถูกผู้อาวุโสในสำนักหรือในตระกูลของตนเอ่ยเตือนมาก่อนแล้วว่า คนต่างน้ำเสียงแตกต่าง ทว่าความหมายกลับไม่ค่อยจะต่างกันนัก เว้นเสียแต่ว่าเมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะสำรวมตัว เก็บนิสัยแย่ๆ เอาไว้ เวลาเจอเรื่องอะไรก็อดทนให้มาก หากไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความผิดความถูกใหญ่ ก็ห้ามพูดจาล่วงเกินใคร ยิ่งห้ามออกกระบี่ตามใจชอบ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีกฎเกณฑ์น้อยมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เมื่อก่อเรื่องกลับจะยิ่งเป็นปัญหายุ่งยาก
สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีประมัดระวังได้ขนาดนี้ คาดว่าก็คงมีแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหมือนเป็นเส้นแบ่งสอดแทรกระหว่างสองทวีปแห่งนี้แล้ว
ต่งปู้เต๋อที่ใบหน้ากลมดิกยืนอยู่บนชั้นสอง ข้างกายห้อมล้อมด้วยสตรีที่อายุพอๆ กันกลุ่มใหญ่ และยังมีเด็กสาวที่เรือนกายยังไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ยังแฝงความเดียงสาของเด็กหญิงอยู่อีกบางส่วน ส่วนใหญ่ดวงตาที่เป็นประกายของพวกนางล้วนมองไปยังผังหยวนจี้ที่ถึงอย่างไรพี่หญิงหนิงก็ไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นพวกนางไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสผู้นั้น
อันที่จริงต่งปู้เต๋อเป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าน้องชายที่ดื้อดึงของตนจะถูกลาก เข้าไปในการต่อสู้วุ่นวายที่อยู่ดีๆ อาจเกิดขึ้นนี้ด้วย
ทางฝั่งของฉีโซ่วก็มีภูเขาลูกเล็กของตนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลของตระกูลที่ช่วยหนุนหลังให้กับคนหนุ่ม หรือพลังการต่อสู้ที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสะสมมา ก็ล้วนไม่เป็นรองทางฝั่งของหนิงเหยา ถึงขั้นยังเหนือกว่าด้วย ก็แค่เริ่นอี้ที่หนีไปด้วยความขุ่นเคืองคนเดียวเท่านั้น หากมีเรื่องกันขึ้นมา คงได้ตะลุมบอนกันแน่
ดังนั้นนอกจากความเป็นกังวลแล้ว ต่งปู้เต๋อยังคันไม้คันมือ อยากลงมือเต็มที่แล้วเหมือนกัน
นางเป็นถึงพี่สาวแท้ๆ ของต่งฮว่าฝูเชียวนะ
เด็กสาวคนหนึ่งที่แก้มกลมย้อยเขย่งปลายเท้าฟุบตัวลงบนกรอบหน้าต่าง พยักหน้าแรงๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าหมอนี่ก็หล่อเหลาจริงๆ นะ แต่พวกเจ้าเชิญชอบ เจ้าหมอนี่กันตามสบายเถอะ ข้าน่ะ นับจากวันนี้ไปจะชอบเจ้าคนที่ชื่อเฉินผิงอัน นั่นแล้ว พี่หญิงต่ง หากวันใดพี่หนิงเหยาไม่ต้องการเขาแล้ว จำไว้ว่ารีบมาบอกข้า ทันทีเลยนะ ข้าจะได้รีบลงมือ รีบๆ แต่งงานให้เสร็จสิ้นกันไป ชุดแต่งงานในร้านของหอเจี่ยวซานนั่นสวยมากจริงๆ ลูบแล้วลื่นมือดีนัก”
ต่งปู้เต๋อยกเท้าเตะก้นของแม่นางน้อยหนึ่งที ยิ้มกล่าวว่า “สตรีทั่วไปที่สมอง ไม่สมประดี มักจะคิดถึงบุรุษจนเสียสติ แต่เจ้ากลับดีนัก ดันคิดถึงชุดแต่งงาน จนเสียสติซะนี่”
เด็กสาวคลึงก้นตัวเอง ใช้ไหล่เล็กบางดันคนวัยเดียวกันข้างกายที่แอบหัวเราะออกไปไกลๆ พลางโวยวายว่า “พี่หญิงต่ง ท่านแม่ข้าบอกแล้วว่า ท่านต่างหากที่เป็นสาวเทื้อสมองไม่สมประดีที่สุด!”
ใบหน้าต่งปู้เต๋อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่าแบบนี้เองหรือ จากนั้นก็ยื่นมือมา กดศีรษะของแม่หนูน้อยกระแทกลงบนขอบหน้าต่างดังตึงๆ “สาวเทื้อใช่ไหม?”
พอต่งปู้เต๋อหยุดมือ เด็กสาวก็นวดคลึงหน้าผาก หันหน้ามายิ้มแยกเขี้ยว “แม่นางน้อย แม่นางน้อย พี่หญิงต่งที่อายุสิบแปดตลอดกาล” แล้วเด็กสาวก็นินทาอยู่ในใจว่า สาวเทื้ออายุแปดสิบตลอดกาลมากกว่ากระมัง
ผลคือต่งปู้เต๋อกลับยื่นมือมาจับหัวแม่นางน้อยผู้นี้โขกกับขอบหน้าต่างอีกครั้ง “อายุแปดสิบใช่ไหม? ความคิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นของเจ้า ขาดก็แค่ไม่ได้เขียนไว้บนใบหน้าเท่านั้น”
แล้วต่งปู้เต๋อก็พลันปล่อยมือ “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ฉีโซ่วอุตส่าห์เปลืองแรงขนาดนี้ ย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่ตัวเองจะได้มีหน้ามีตาให้แก่ผังหยวนจี้ไปเปล่าๆ แน่”
เด็กสาวคนนั้นไม่มีเวลามามัวงัดข้อกับต่งปู้เต๋ออีก นางกดหัวคนวัยเดียวกันที่ บังอยู่ด้านหน้าตัวเองลง ส่วนนางยื่นคอยืดยาวออกไป พูดเหมือนคนแก่ว่า “หากเปลี่ยนข้าไปเป็นฉีโซ่ว ป่านนี้ก็คว่ำโต๊ะต่อยตีกันไปนานแล้ว”
ตรงร้านเหล้าที่อยู่สุดปลายของถนน มีคนปรากฏตัวบนถนนเส้นใหญ่ ก็คือฉีโซ่ว
เรือนกายสูงใหญ่ องอาจผึ่งผาย สวมชุดตัวยาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง สะอาดสะอ้านคล่องตัว
ฉีโซ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยวนจี้ นี่น่าจะถือว่าเป็นเรื่องในบ้านของข้าแล้วนะ ให้ข้าจัดการเองดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะถูกคนมองว่าเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง”
ผังหยวนจี้หันหน้าไปคล้ายจะลำบากใจเล็กน้อย
สายตาของฉีโซ่วมองผ่านผังหยวนจี้ไปยังผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นที่มือเปล่าเท้าเปลือย อายุไม่มาก ว่ากันว่ามาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีป เมื่อประมาณ สิบปีก่อนเคยมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่คอยหลบอยู่บนหัวกำแพงเพื่อฝึกซ้อมหมัดอยู่ตลอดเวลา ผลคือแพ้ให้กับเฉาสือถึงสามครั้งติด นี่ก็คือหนึ่งในสองเรื่องราวที่ควรค่าให้คนเอามาพูดถึง อีกเรื่องหนึ่งนั้นแพร่สะพัดในหมู่ของสตรีมากกว่า คือเรื่องตลกที่แพร่ออกมาจากตระกูลต่ง หนิงเหยาบอกว่ามือหนึ่งของนางสามารถจัดการเฉินผิงอันได้ร้อยคน
แพ้ให้เฉาสือก็ดี ถูกหนิงเหยาสัพยอกก็ช่าง อันที่จริงล้วนไม่ถือว่าเป็นเรื่องขายหน้า
เพียงแต่ว่าฉีโซ่วได้ยินแล้ว ในใจไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “ระหว่างเจ้าและข้ามีคนลงมือได้แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่สู้ เจ้าและข้าอาศัยโอกาสนี้มาตัดสินแพ้ชนะกันก่อน จะได้รู้ว่าใครควรจะเป็นคนรับรองแขกดีไหม?”
ฉีโซ่วรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เสียงผิวปากดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าผู้ชมยุยงให้คนทั้งสองสู้กันรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วก็เริ่มมีคนคิดจะตั้งตัวเป็นเจ้ามือให้คนมาลงเดิมพันแพ้ชนะ รวมไปถึงเดิมพันว่าใครจะแพ้ชนะได้ในกี่กระบวนท่า วิธีการพวกนี้ล้วนเรียนรู้มาจากอาเหลียงทั้งสิ้น เจ้ามือคนหนึ่งสามารถใช้วิธีเดิมพันได้สิบกว่ารูปแบบ หากเอ่ยตามคำพูดของอาเหลียงก็คือลองเดิมพันดู กระดาษชำระเปลี่ยนเป็นผ้าไหม ลองเดิมพันดู คนหัวโล้นกลายเป็นมีเส้นผม
ก่อนหน้านี้การลงเดิมพันของพวกเจ้ามือหนุ่มโสดทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะลงพนันขันต่อกันว่าคนหนุ่มต่างถิ่นแซ่เฉินคนนี้จะออกจากบ้านมาหรือไม่ เรื่องที่มากกว่านั้นพวกเขากลับไม่ได้คาดหวังมากนัก ไหนเลยจะคิดได้ว่าไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่ออกจากบ้านมาเท่านั้น ยังประมือกับผู้อื่นถึงสองครั้ง แล้วยังชนะทั้งสองครั้งด้วย
ทุกคนถึงได้ค้นพบว่าพออาเหลียงไม่อยู่เป็นเจ้ามือ การเดิมพันของทุกคนถึงได้ ไร้รสชาติเช่นนี้ ในอดีตพออาเหลียงเป็นเจ้ามือ คนที่ลงเงินเดิมพัน ไม่ว่าจะแพ้ หรือชนะก็ล้วนเล่นอย่างติดลม เพียงแต่ว่าท่าทียามเดิมพันออกจะไม่น่าดูเท่าไร ปีนั้นอาเหลียงกับนักพนันเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นความหวังของทุกคนร่วมมือกันหลอกทุกคน แรกเริ่มนักพนันเฒ่าผู้นั้นใช้การเดิมพันทีละเล็กละน้อยไปก่อนหลายครั้ง แล้วเมื่อ ชนะมากก็ค่อยลงเดิมพันมาก ผลคือมีครั้งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ลงเดิมพันตามตาเฒ่า นักพนัน สาบานว่าจะทำให้อาเหลียงแพ้จนต้องถอดกางเกงทิ้งไว้บนโต๊ะให้จงได้ ทว่าไม่เพียงแต่ปล่อยให้อาเหลียงได้ทุนคืนทั้งหมดในรวดเดียว เขายังได้เงินค่าเหล้าที่พอให้ดื่มได้เกินครึ่งปีไปอีกด้วย
หลังจบเรื่องทุกคนถึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ชายชราน่าสงสารที่ ‘หมดสติทรุดฮวบไปนอนอยู่ใต้โต๊ะพนัน’ นักพนันเฒ่าที่เดิมทีมองดูเหมือนหมดตัวล้มละลายคนนั้น กลับได้เงินส่วนแบ่งก้อนใหญ่ รับเงินฝนธัญพืชหลายสิบเหรียญมาแล้วก็ไปซ่อนตัวก่อน จากนั้นกลางดึกที่ผู้คนพากันเข้านอนถึงได้ถูกอาเหลียงแอบคุ้มกันไปส่งถึงประตูใหญ่ ก่อนที่คนทั้งสองจะเอ่ยอำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ หากไม่เป็นเพราะหญิงชราของ เรือนซือเตาทนมองต่อไปไม่ไหวจึงแฉเรื่องนี้ออกมา คาดว่าจนถึงทุกวันนี้เหล่านักพนันเด็กแก่ทั้งหลายที่ตอนนั้นได้ร่วมทุกข์ ร่วมกันพ่ายแพ้หมดตัวก็คงยังถูกปิดหูปิดตาอยู่เหมือนเดิม
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกชายฉกรรจ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังคงรู้สึกว่าเมื่อขาดเจ้าคนที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งผู้นั้นไป เวลาปกติที่ดื่มเหล้าก็ขาดเรื่องสนุกสนานไปไม่น้อย
เฉินผิงอันได้เห็นช่วงระยะทางการเดินสั้นๆ สองช่วงของผังหยวนจี้และฉีโซ่ว ขนาดเล็กใหญ่ของฝีเท้าทั้งสองฝ่าย ความหนักเบาในการเหยียบลงพื้น กล้ามเนื้อ ที่ยืดขยาย ริ้วคลื่นลมปราณ ลมหายใจช้าเร็ว
คือเรื่องเล็กๆ จากการมองประเมินไม่กี่ครั้ง
หากพูดถึงแค่เรื่องที่มองเห็นอยู่ในสายตา ไม่พูดถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ผังหยวนจี้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญมากกว่า มองออกถึงความตื้นลึกหนาบางได้ยากกว่า แน่นอนว่าก็อาจเป็นเพราะฉีโซ่วดูแคลนที่จะแสแสร้งปิดบัง หรือไม่ก็แสแสร้งได้ ดียิ่งกว่า
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเฉินผิงอัน เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็ต้องหาเรื่องให้ตัวเองทำสักหน่อย
เฉินผิงอันไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เขาบิดข้อมือของตัวเองเบาๆ
ปล่อยให้ผังหยวนจี้กับฉีโซ่วปรึกษากันจนได้ผลลัพธ์เสียก่อน
ใครมาก่อนใครมาหลัง ล้วนไม่สำคัญ
ก็หนีไม่พ้นว่าต้องเลือกแผนที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่สุดจากแผน สิบกว่าอย่างที่กำหนดเอาไว้แล้ว เรียบง่ายเพียงแค่นี้เท่านั้น
คนที่อยู่สองฝั่งของถนนใหญ่ต่างก็สังเกตเห็นว่าคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นั้นเริ่มหลับตาพักผ่อนเสียได้
มือข้างหนึ่งแบออกไพล่หลัง มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางแนบติดหน้าท้อง
สวมชุดเขียว ปักปิ่นหยกบนมวยผม เรือนกายสูงเพรียว
ดังนั้นจึงมีกลิ่นอายของคำกล่าวที่ว่าต้นไม้หยกลู่ลมอยู่ไม่น้อย
รอบด้านเริ่มมีเสียงก่นด่าดังขึ้น แต่เสียงตะโกนโห่ร้องให้กำลังใจกลับดังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในสายตาของหนิงเหยามองไม่เห็นใคร
เตี๋ยจ้างกระตุกชายแขนเสื้อของหนิงเหยาเบาๆ นางสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้มตัวนั้น
ตอนที่พี่หญิงหนิงออกมาจากใต้หล้าไพศาลก็แต่งตัวเช่นนี้ พอกลับมาแล้ว ก็ยังแต่งกายเช่นนี้ แม้จะบอกว่าชุดคลุมอาคมมีข้อดีของชุดคลุมอาคม ทว่า แต่งกายเช่นนี้ทำให้นางเกือบจะดูไม่เหมือนสตรีแล้ว
หนิงเหยาหันหน้ามาถาม “มีอะไรหรือ?”
เตี๋ยจ้างกระดกปลายคางชี้ไปยังเงาร่างที่อยู่ห่างไปไกลนั้น แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมาข้างหนึ่ง
หนิงเหยาตีหน้าเคร่ง เลิกคิ้วสูง
ราวกับว่าทุกการกระทำทุกคำพูดของคนที่อยู่บนถนนใหญ่ผู้นั้น ก็คือเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
ข้าหนิงเหยาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
พวกเจ้ารู้สึกแปลกใจก็เพียงแค่เพราะพวกเจ้าไม่ใช่ข้าหนิงเหยา
เฉินซานชิวยื่นมือมาตบข้างแก้มของเจ้าอ้วนเยี่ยน “ก่อนหน้านี้ใครกันนะที่แสดงวิชาหมัดร้ายกาจบนสนามประลองยุทธ”
เยี่ยนจั๋วปัดมือของเฉินซานชิวทิ้ง พูดอย่างลำพองใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่าอย่างไรแล้วนะ ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ชื่อเสียงโด่งดัง สายตาของข้านี่มัน จุ๊ๆๆ”
ต่งฮว่าฝูกล่าวอย่างอัดอั้นว่า “เริ่นอี้กับผู่อวี๋ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวเลือกที่ฉีโซ่ว จงใจจัดหามา ทำให้คนหาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้ ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต ประตูมังกร เริ่นอี้คือคนที่อายุน้อยและกระบี่บินก็ว่องไว หากเฉินผิงอันแพ้ แน่นอนว่าย่อมไม่เหลือหน้าตาอะไรอีก หากชนะเริ่นอี้ ผู่อวี๋ก็คือคนที่มีลูกไม้มากที่สุดในบรรดาโอสถทอง ชนะผู่อวี๋ได้ ก็ง่ายที่จะประมาท และเฉินผิงอันก็ถือว่าพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้างแล้ว
แล้วจากนั้นฉีโซ่วที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้องผู้นี้ก็ค่อยมาจัดการกับเฉินผิงอัน ทำแบบนี้ฉีโซ่วจะได้รับผลประโยชน์ที่สุด ดังนั้นนี่คือแผนการที่ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่”
เยี่ยนจั๋วเหลือกตามองบน “ขนาดเจ้าต่งถ่านดำยังรู้ แล้วพวกเราจะไม่รู้หรือไร?”
ต่งฮว่าฝูกล่าว “ข้ากลัวว่าฉีโซ่วจะเสียสติลงมืออย่างอำมหิตต่างหาก”
เฉินซานชิวพยักหน้ารับ “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็อยู่ตรงนี้”
เพราะคนสามคนบนถนน หากไม่นับรวมผังหยวนจี้ที่เปลี่ยนจากดูเรื่องครึกครื้นมาเป็นสร้างความครึกครื้นให้คนอื่นดู พูดถึงแค่เฉินผิงอันกับฉีโซ่ว นี่ก็ไม่ใช่คนหนุ่ม ที่อายุพอๆ กันมาต่อสู้กันเพราะอารมณ์ฮึกเหิมอะไรอีกแล้ว เฉินผิงอันไม่ควรพูดถึง หนิงเหยาและแท่นสังหารมังกรจริงๆ นี่ก็คือข้ออ้างที่จะทำให้ฉีโซ่วลงมือโดยไม่สนกฎเกณฑ์ได้ เพราะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องระหว่างชายหญิง แล้วยังเกี่ยวพันไปถึงตระกูล หากครั้งนี้ฉีโซ่วลงมืออย่างอำมหิต พวกตาแก่ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายอาจไม่พอใจ แต่หากฉีโซ่วออกกระบี่อย่างเหยาะแหยะ กลับจะยิ่งไม่เป็นที่พอใจมากกว่า ขอแค่ ใครก็ตามที่เป็นคนก็ล้วนรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร
เยี่ยนจั๋วลูบคลำปลายคางตัวเอง “เป็นเช่นนี้จริง เป็นเพราะการกระทำของพี่น้องผิงอันของข้ามีช่องโหว่อยู่เล็กน้อย”
ในบรรดาพวกเขา ต่งถ่านดำคือคนที่มองดูแล้วโง่เขลาที่สุด ทว่าต่งถ่านดำ กลับไม่ได้โง่จริงๆ เพียงแค่คร้านที่จะใช้หัวสมองก็เท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเขาเยี่ยนจั๋วแล้ว ต่งถ่านดำก็น่าจะยังมีเฉินซานชิว คั่นกลางอีกคนหนึ่ง
เฉินซานชิวคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่สนใจเรื่องรกสมองพวกนี้แล้ว เอาเป็นว่า เฉินผิงอันกล้าพูดแบบนี้ กล้าเรียกชื่อคนให้มาต่อสู้ด้วยเหมือนเลือกอาหาร แค่เขาเรียกฉีโซ่วและผังหยวนจี้ ข้าก็ยอมรับสหายอย่างเฉินผิงอันแล้ว
เพราะตัวข้าเองคงไม่กล้าทำแบบนั้น คบหาสหายเพราะอะไร ก็ไม่ใช่เพราะว่านอกจากจะกินดื่มร่วมกันแล้ว สหายยังสามารถทำเรื่องสาแก่ใจที่ตัวเองทำไม่ได้หรอกหรือ รวบรวมพวกลูกสมุนกลุ่มใหญ่ไว้ข้างกาย เรื่องแบบนี้ ข้ามีหน้าตาให้ต้องรักษา ย่อมไม่อาจทำได้ หากฉีโซ่วกล้าทำลายกฎ พวกเราเองก็ไม่ได้กินหญ้าเสียหน่อย บุกสังหารไปเลย ต่งถ่านดำพอเจ้าต่อสู้ได้ครึ่งทางแล้วก็แกล้งตายซะ แสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บ พี่สาวเจ้าต้องลงมือช่วยเหลือพวกเราแน่นอน พอนางลงมือ สหายของนางที่เพื่อมิตรภาพแล้วก็ต้องลงมือด้วย ต่อให้แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธีก็สามารถทำให้พวกสหายสุนัขของฉีโซ่วอับอายขายหน้าได้แล้ว”
แต่หนิงเหยากลับกล่าวว่า “เดิมทีฉีโซ่วก็แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไม่น้อย หากเป็นชั่วเสี้ยวเส้นยาแดงผ่าแปด อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย หากอยู่ห่างไปหน่อย แม้แต่ข้า ก็ยังขวางไว้ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นข้าจะจับตาดูการเลือกสนามรบของฉีโซ่ว หากฉีโซ่วจงใจล่อให้เฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ร้านของเตี๋ยจ้าง นั่นก็หมายความว่าฉีโซ่วคิดจะลงมืออำมหิตแล้ว สรุปก็คือพวกเจ้าไม่ต้องสนใจ แค่ดูเรื่องสนุกไปก็พอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉินผิงอันจะให้โอกาสฉีโซ่วได้กุมกระบี่ไว้ในมือ เขาน่าจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วเหมือนกัน”
หนิงเหยาชำเลืองตามองกระบี่เล่มที่ฉีโซ่วสะพายไว้ด้านหลัง
เฉินซานชิวบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้
เตี๋ยจ้างยิ่งเป็นกังวลหนักกว่าเดิม
นางรู้ดีว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ตนไม่ถนัดมากที่สุด
บางครั้งเตี๋ยจ้างที่ความคิดละเอียดอ่อน มีสัมผัสเฉียบไวก็จำต้องยอมรับว่า ลูกหลานแซ่ใหญ่อย่างพวกเฉินซานชิวนี้ หากเป็นคนดีก็ยังพอทำเนา แต่หากเอาความฉลาดเฉลียวไปใช้ในทางที่ผิด นั่นก็คือเลวร้ายจริงๆ แล้ว
เพราะพวกเขามีวิสัยทัศน์ที่สูงยิ่งกว่า ช่วยให้พวกเขาที่อายุยังน้อยๆ ก็สามารถใช้สายตาหลุบต่ำจากที่สูงมามองเรื่องราวซับซ้อนราวกับเชือกพันกันยุ่งเหยิงในสายตาของเตี๋ยจ้างได้ อีกทั้งยังสามารถสืบสาวเบาะแสจนเจอเส้นสายที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ปัญหายุ่งยากมากมายจึงคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
อาเหลียงเคยบอกว่า นี่ก็คือหนึ่งในวิชากระบี่ของฟ้าดิน
และอาเหลียงก็เคยพูดกับเตี๋ยจ้างว่า เป็นเพื่อนกับพวกเฉินซานชิว ให้รู้จักมองดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก เจ้าน่าจะมีหลุมในใจสองหลุมที่ต้องข้ามผ่านไป หากข้ามผ่านไปได้จึงจะสามารถเป็นสหายกันได้อย่างยาวนาน ข้ามผ่านไปไม่ได้ สักวันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้มีการจากตาย ทั้งสองฝ่ายก็จะกลายเป็นว่านานวันยิ่งไม่มีเรื่อง ให้คุยกันไปเอง จากสหายที่ดีที่สุด กลายเป็นสหายที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน จุดจบ ที่ไม่เรียกว่างดงามเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าทั้งสองฝ่ายผิดหรือถูก หากมีวันนั้นจริงๆ ก็แค่ดื่มเหล้าซะ แม่นางที่หน้าตาดี หากดื่มเหล้าบ่อยๆ ใบหน้าที่งดงาม เรือนกาย ที่สะโอดสะองก็จะคงอยู่ได้อย่างยาวนาน
หนิงเหยาพลันหันหน้ามาถาม “พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันต้องแพ้แน่ๆ หรือ?”
เฉินซานชิวกล่าวอย่างจงใจ “พูดโป้ปด ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันสามารถล้มฉีโซ่ว ได้ด้วยมือเดียว พูดความจริง หากฉีโซ่วไม่ได้สะพายกระบี่เล่มนั้น ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันยังพอจะมีโอกาสชนะอยู่บ้าง”
หนิงเหยาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
นางหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง หัวคิ้วขมวดแน่น
ตรงริมขอบหลังคาของหอสุราแห่งหนึ่ง มีเด็กหญิงสวมชุดคลุมสีดำตัวโคร่งนั่งอยู่ นางมัดผมแกละสองข้างที่มองดูแล้วน่ารักซุกซน อ้าปากหาวค้างอยู่นาน
ดูเหมือนนางจะหมดความอดทน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเปิดปากเอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ อืดอาดอยู่ได้ ขี้ก้อนหนึ่งถูกเจ้าแบ่งไปหลายท่อนแล้ว ไม่อายคนบ้างหรือไร จัดการกับฉีโซ่วก่อนสิ แล้วค่อยจัดการกับเจ้าคนที่ชื่อว่าอะไรนั่น แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่ใช่หรือ?!”
เฉินผิงอันมองไปยังหลังคาแถบนั้นแทบจะเวลาเดียวกับหนิงเหยา
นั่นคือบุคคลแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ที่มองดูเหมือนทำอะไรไม่เอาจริงเอาจัง ทว่าหมัดเดียวกลับทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเนื้อหนังปริแตกได้
นิสัยร้ายๆ เจ้าอารมณ์ของผู้ฝึกกระบี่ตระกูลต่ง อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้แค่อยู่อันดับสองเท่านั้น
เพราะว่ามีนางอยู่
ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเคยเห็นนาง ‘ทิ้งตัวดิ่ง’ ลงไปจากหัวกำแพง วิ่งไป ‘เล่นสนุก’ กับปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งที่ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่กับตาตัวเองมาก่อน
นั่นคือปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตัวจริงเสียงจริง แต่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ กลับบอกว่า ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ นางจึงรู้สึกว่าตัวเองแพ้แล้ว
บนถนนใหญ่ นอกจากหนิงเหยาและเซียนกระบี่หลายท่านที่จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ‘แม่นางน้อย’ ผู้นั้นแล้ว แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันอีกคน ทว่าทุกคนที่เหลือกลับเหงื่อตกขนลุกชัน
ไม่มีใครเปิดปากพูดเอาใจอีกฝ่ายเพื่อหาเรื่องให้ตัวเอง
‘อิ่นกวาน’ ไม่ใช่ชื่อแซ่ของนาง แต่เป็นตำแหน่งขุนนางในยุคบรรพกาลห่างไกล ที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อน สืบทอดตำแหน่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น รับหน้าที่ดูแลกองทัพและลงทัณฑ์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีใต้เท้า อิ่นกวานที่ฝีมือไม่ได้เรื่องจนตกเป็นหุ่นเชิดอยู่มากมาย แต่เมื่อนางรับตำแหน่งนี้ ความดูแคลนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อตำแหน่งอิ่นกวานก็ไม่เหลืออยู่เลย นางไม่เพียงแต่เป็นคนที่สังหารปีศาจห้าขอบเขตกลางได้มากที่สุด ตลอดพันปีที่ ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่ที่ลงสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วขลาดกลัวที่จะต่อสู้จึงถูกนางใช้หมัดเดียวต่อยให้เลือดเนื้อปลิวกระจายตายคาที่ ก็มีอยู่มากเหมือนกัน
ปีนั้นในศึกสิบสาม คนแรกที่ออกศึกของฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ก็คือใต้เท้า อิ่นกวานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้างพอๆ กับที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้นี้
ผลคืออีกฝ่ายที่ให้ปีศาจใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการใช้เนื้อหนังมังสาอันแข็งแกร่งเข่นฆ่าศัตรูลงสนามรบ พอเห็นนางก็เผ่นหนีทันที จากนั้นทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันก็ได้เห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งทุบทำลายสนามรบอยู่นานถึงหนึ่งเค่อเต็ม
ผังหยวนจี้พยักหน้ารับ “ศิษย์จะฟังคำของอาจารย์”
ทว่าฉีโซ่วกลับกุมหมัดก้มหน้าเอ่ยว่า “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดให้ข้าลงมือก่อน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าก็จะต่อสู้กับหยวนจี้ โดยยินดีให้ตัดสินกันด้วยความเป็น ความตาย”
ดวงตาอิ่นกวานเป็นประกายวาบ รีบโบกมืออย่างแรง “แบบนี้ก็ได้อยู่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เร็วๆ หน่อย รีบต่อสู้กันเร็วเข้า พวกเจ้าลงมือเต็มที่เอาให้ตายกันไปข้างได้เลย ข้าจะช่วยรักษากฎให้พวกเจ้าเอง เรื่องของการต่อยตีกันนี้ ข้ามีความยุติธรรมเป็นที่สุด”
จากนั้นนางก็มองไปทางโต๊ะสุราที่ผังหยวนจี้นั่งดื่มเหล้าก่อนหน้านี้ แล้วยู่ใบหน้าเล็กๆ “เจ้าแมลงน่าสงสารตาเดียว โยนเหล้ามาให้กาหนึ่งสิ หากกล้าไม่โยนให้ข้า ข้าจะ ทุบเจ้า…”
ทันใดนั้นตลอดทั้งร้านเหล้าก็ระเบิดดังปัง กระเบื้องบนหลังคาปลิวว่อน กระจัดกระจาย ในร้านเต็มไปด้วยเศษซากระเกะระกะ ผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่ทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าล้วนหมดสติไปแล้ว หันไปมองอีกที ชายฉกรรจ์เคราดกที่เป็น เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนั้นได้ถูกนางเตะเข้าที่หน้าผาก ร่างปลิวออกไปกระแทกกำแพง ทั่วร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผง พอลุกขึ้นยืนได้ก็ไม่ได้กลับมาที่ร้านเหล้า มีเพียงนางที่ยืนอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงตัวเดียวในร้านที่ยังสมบูรณ์แบบ กระทืบเท้าเบาๆ กาเหล้าก็กระเด้งขึ้นมา ถูกนางกุมไว้ในมือ พอสูดดมกลิ่นแล้ว ใบหน้าก็ยับยุ่ง “มีแต่กลิ่นเยี่ยวฉุนกึก จะดีจะชั่วก็ควรเป็นเหล้าสิ ควรเป็นเหล้าสิ!”
พูดมาถึงท้ายที่สุด ใต้เท้าอิ่นกวานที่สูงส่งเกินกว่าผู้ใดคนนี้กลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำสีหน้าเศร้าระทม
วินาทีที่ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นออกมาจากหลังคา
เฉินผิงอันก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับชักเท้ากลับมาทันใด จากนั้นจึงหันไปมองฉีโซ่วแล้วกระตุกมุมปาก
ผังหยวนจี้เอนตัวไปด้านหลังถอยกรูดกลับไปยังร้านเหล้าที่เละเทะไม่เหลือชิ้นดี ยกมือขึ้นรับกระเบื้องแผ่นหนึ่งที่ตกลงมา ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ ผู้เฒ่า เซียนกระบี่ใหญ่ เคยบอกว่า ห้ามไม่ให้ท่านดื่มเหล้า”
อิ่นกวานกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าก็แค่ดมเท่านั้น ทำไม ทำผิดกฎแล้วหรือ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ใครที่เป็นคนทำหน้าที่ลงทัณฑ์ คือเขาตาแก่ หนังเหนียวเฉินชิงตูงั้นหรือ?”
แล้วทันใดนั้นนางก็นั่งลงบนไปโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง โยนกาเหล้าไปให้ ผังหยวนจี้ “เก็บไว้ให้ข้าก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา
แสงรุ้งเส้นหนึ่งพุ่งผ่านข้างหูของเขาไป เพียงแค่ปราณกระบี่ก็กรีดให้ใบหน้าของเฉินผิงอันเกิดร่องเลือดเล็กๆ เส้นหนึ่งแล้ว
เขาค้อมเอวลงน้อยๆ ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้งร่างก็หายไป บนพื้นพลันปริแตก เกิดเป็นใยแมงมุมขนาดมหึมา ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเสียงดั่งฟ้าคำรามดังอื้ออึงก้องกังวานแว่วมาจากส่วนลึกของพื้นดิน
คนชุดเขียวยืนอยู่บนถนนห่างจากจุดเดิมที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ร่างของเขา พลันเอนวูบ เพราะมีแสงกระบี่ที่เร็วกว่าเดิมพุ่งวาบมาอีกครั้ง หากเขาไม่หลบ แสงกระบี่นั้นก็จะแทงทะลุหัวใจด้านหลังเขาไป
อิ่นกวานที่นั่งอยู่กับโต๊ะพยักหน้าเบาๆ ถือว่าเป็นการชื่นชมนิดๆ ที่เด็กรุ่นหลังสองคนไม่ได้แบ่งแพ้ชนะกันเร็วเกินไปนัก นางเบื่อหน่ายสุดขีดจึงยกมือสองข้างขึ้น จับผมแกละทั้งสองของตัวเองแกว่งเบาๆ
ผังหยวนจี้ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของใต้หล้าไพศาล วิ่งได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
อิ่นกวานคิดแล้วก็ให้คำตอบที่นางคิดว่ามีดุลพินิจอย่างยิ่ง “คงเป็นเพราะบางทีอาจจะค่อนข้างมีให้เห็นน้อยกระมัง”
ผังหยวนจี้เคยชินจนไม่รู้สึกประหลาดใจแล้ว
แต่ผังหยวนจี้ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจเลยจริงๆ เขาจึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าอาจารย์จะไม่ค่อยชอบเฉินผิงอันนัก?”
อิ่นกวานเบ้ปาก “ใครก็ตามที่เฉินชิงตูถูกชะตาด้วย ข้าก็ล้วนไม่ถูกชะตาทั้งนั้นแหละ”
นางดีดนิ้วหนึ่งที หน้าผากของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากต่างทวีปคนหนึ่งที่ได้ยินคำพูดของนางโดยไม่ทันระวังก็เหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ สองตาเหลือกค้าง ล้มแล้วก็ลุก ไม่ขึ้นอีก หากไม่ถึงสิบวันครึ่งเดือน ก็อย่าคิดว่าจะลงจากเตียงได้ คอยนอนเสวยสุข แล้วยังมีคนคอยช่วยปรนนิบัติ เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ดีจะตายไป นางรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนนิสัยดีที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นซะจริง
อิ่นกวานพลันเอ่ยว่า “ด้วยขอบเขตผู้ฝึกยุทธของเจ้าคนที่ชื่อว่าอะไรนั่นแสดงออกมาในตอนนี้ อันที่จริงไม่อาจหลบสองกระบี่นี้ได้ หลักๆ แล้วเขาอาศัยการเดามากกว่า”
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “ฉีโซ่วเองก็ยังไม่ได้ทุ่มสุดความสามารถเหมือนกัน”
อิ่นกวานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “น่าเบื่อจริง”
นางลุกขึ้นยืน เพราะเปลี่ยนใจกะทันหันจึงตะโกนบอกว่า “ต่อได้เลย ข้าไม่สนใจพวกเจ้าแล้ว แต่จำไว้นะ การต่อสู้ที่ไม่แบ่งเป็นตาย มักจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ดีเสมอ”
แล้วร่างของใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้ก็พลันหายวับไป
หลงเหลืออยู่เพียงลูกศิษย์ที่ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ก่อนที่ผังหยวนจี้จะหยุดความคิดทั้งหมดลง มองไปยังถนนใหญ่
ฉีโซ่วยืนนิ่งไม่ขยับ ทว่าคนชุดเขียวนั่นกลับขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้ว
การต่อสู้ของใต้หล้านี้ ผู้ฝึกลมปราณกลัวผู้ฝึกกระบี่ที่สุด ขณะเดียวกันผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่กลัวถูกผู้ฝึกยุทธต่อสู้ประชิดตัวที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉีโซ่ว
เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของฉีโซ่วไม่ได้มีแค่เล่มเดียว เล่มที่ปรากฏตัว ก่อนหน้านั้นมีชื่อว่า ‘เฟยเยวียน’
ส่วน ‘ซินเสียน’ ที่มีความเร็วยิ่งกว่าก็กำลังรอให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ขยับเข้ามาใกล้
เยี่ยนจั๋วมองดูอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญผวา พวกเตี๋ยจ้างก็มีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาตินัก
จิตใจของหนิงเหยาสงบนิ่งราวกับผืนน้ำอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเป็นคนในสถานการณ์ กลับยิ่งเหมือนคนนอกสถานการณ์มากที่สุด
นี่ก็คงจะเป็นจุดที่นางแตกต่างจากเฉินผิงอันอย่างสิ้นเชิง เฉินผิงอันมักจะชอบคิดมากอยู่เสมอ แต่หนิงเหยากลับเป็นคนคิดง่ายทำอะไรฉับไวรวดเร็ว
ตอนที่ฉีโซ่วเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองออกมา เขาก็อดรู้สึกผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
ผู้ฝึกกระบี่ตระกูลฉีเชี่ยวชาญการเข่นฆ่าในขอบเขตเล็กแคบมากที่สุด และยังถนัดการรบเร็วจบเร็วเป็นพิเศษ
แต่ไหนแต่ไรมากระบี่บินซินเสียนมักจะเร็วและแม่นยำอยู่เสมอ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น
ต่อให้คนชุดเขียวจะหลบการลอบฆ่าที่หวังปลิดชีพมาได้ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นจุดจบที่ถูกกระบี่แทงทะลุไหล่ เรือนกายจึงหยุดชะงักอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ นี้ ‘เฟยเยวียน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็พุ่งปาดผ่านลำคอของเฉินผิงอันแล้ว
ราวกับว่าคนชุดเขียวได้ถูกแสงกระบี่ของกระบี่บินสองเล่มห่อหุ้มไว้อย่างสมบูรณ์ ร่างตกอยู่ในกรงขัง
และในช่วงเวลาที่ผู้ชมทั้งหลายคิดว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ร่างของเฉินผิงอันกลับหายไป
ฉีโซ่วยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้าน
‘เที่ยวจู’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สามที่แปลกประหลาดที่สุดแบ่งร่างจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด แล้วอนุมานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ถักทอเป็นใยแมงมุมอยู่รอบกายของฉีโซ่ว ทุกจุดที่ใยแมงมุมตัดสลับกันล้วนมีกระบี่บิน ‘เที่ยวจู’ ที่ยาวประมาณชุ่นกว่าลอยอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก่อนหน้านี้ที่กระบี่บินได้แค่อาศัยการสลับเปลี่ยนระหว่างของจริงเป็นภาพมายา ก็ถือว่าแตกต่างกัน อย่างมาก การเปลี่ยนแปลงและถือกำเนิดของเที่ยวจูเล่มนี้เป็นของแท้แน่นอน บรรพบุรุษของตระกูลฉีพึงพอใจกับสิ่งนี้มาก รู้สึกกว่ากระบี่บินเล่มนี้จึงจะเป็นกระบี่ที่ฉีโซ่วสามารถตั้งใจขัดเกลาได้นานเป็นร้อยปีพันปี และสามารถช่วยให้เขาหยัดยืนได้มากที่สุด เพราะถึงอย่างไรกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ได้ทั้งป้องกันและโจมตีตามความหมายที่แท้จริง ยิ่งคนที่เป็นเจ้าของกระบี่ขอบเขตสูงเท่าไร เที่ยวจูก็ยิ่งขยายไปได้มากเท่านั้น และยิ่งขยับเข้าใกล้อาวุธเซียนมากขึ้นทุกที หากฉีโซ่วสามารถประคับประคองสถานการณ์ที่เที่ยวจูหลายพันเล่มรวมตัวอยู่ด้วยกันเอาไว้ได้ ก็จะสามารถพิสูจน์คำทำนายมหามงคลประโยค ‘ครอบครองธารดารา สายฝน พร่างพรมโลกมนุษย์’ ที่อริยะลัทธิเต๋าเคยกล่าวไว้ในอดีตได้
เฉินผิงอันที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างฉีโซ่วห่างไปห้าก้าวคล้ายรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับความลำบากจึงถอยหนี ถึงได้ใช้วิชาตระกูลเซียนย่อพื้นที่อีกครั้ง
ฉีโซ่วรู้ว่าไอ้หมอนี่จะมาปราฎตัวด้านหลัง ช่องโพรงลมปราณสำคัญหลายช่อง ส่งเสียงร้องเบาๆ เที่ยวจูที่เดิมทีตั้งค่ายกลอยู่ด้านหลังด้วยจำนวนที่ยังน้อยมาก พลันเปลี่ยนมาเหมือนเม็ดถั่วที่ถูกโปรยให้กลายเป็นทหาร (วิชากล/วิชาอาคม อย่างหนึ่งในงิ้วสมัยโบราณของจีน) จำนวนจึงพลันขยายเพิ่มพูน
ขณะเดียวกันนั้นซินเสียนกระบี่บินที่สามารถไล่ตามติดจิตวิญญาณของศัตรูได้ตั้งแต่ถือกำเนิดก็ตามติดคนชุดเขียวผู้นั้นไปราวกับเงา ส่วนเฟยเยวียนก็ยิ่งโคจรได้ ดังใจปรารถนา
ฉีโซ่วจะทำเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ เพื่อแกล้งให้ไอ้หมอนี่หัวหมุน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง?
เป็นศัตรูกับข้าฉีโซ่ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นได้แค่หมาที่ถูกข้าจูงเท่านั้น
ฝ่ายหนึ่งไร้ความเสียหายใดๆ
อีกฝ่ายหนึ่งออกหมัดไม่หยุด พลิกตัวหมุนตลบสับเปลี่ยนกระบวนท่าอยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน ถึงท้ายที่สุดก็จะทำให้ตัวเองเหนื่อยแทบตาย สนุกนักหรือ?
ฉีโซ่วรู้สึกว่าสนุกมาก
เยี่ยนจั๋วจุ๊ปากพูด “หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สถานการณ์คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร แม้จะบอกว่าเฟยเยวียนก็มีดีแค่เท่านี้ ไม่อาจสรรหาลูกไม้อะไรมาได้อีก แต่หากข้า จำไม่ผิด ตอนนี้อย่างน้อยที่สุดฉีโซ่วก็สามารถประคับประคองเที่ยวจูได้ถึงห้าร้อย กว่าเล่ม ตอนนี้ยังไม่ถึงสามร้อยเล่ม อีกทั้งหากยิ่งถ่วงระยะเวลาออกไป ซินเสียน เล่มนั้นก็จะยิ่งคุ้นเคยกับจิตวิญญาณของเฉินผิงอัน มีแต่จะยิ่งเร็วมากกว่าเดิม และ นั่นก็คือเร็ว เร็วจริงๆ ไอ้หมอนี่จิตใจดำทมิฬชั่วช้าจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจ”
เฉินซานชิวยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “กระบี่บินเยอะ จับคู่ได้เหมาะสม ก็จะจัดการได้ยากอย่างนี้แหละ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินซานชิวก็อดไม่ไหวเหลือบมองแผ่นหลังของหนิงเหยา อีกแวบหนึ่ง
สถานการณ์การรบในจุดที่ห่างไปไกล ความได้เปรียบเอนเอียงเข้าหาอีกฝ่ายหนึ่ง แต่นางกลับยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
คนชุดเขียวที่สภาพกระเซอะกระเซิงสุดขีดในสายตาของทุกคนพลันหยุดนิ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยปณิธานหมัดที่ไหลท่วมทะลักทลาย จนแทบจะมองภาพการรวมตัวกันของปณิธานหมัดนั้นด้วยตาเปล่าได้เลย ถึงขนาดทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง บางคนเห็นภาพเหตุการณ์จริงได้ไม่ชัดเจน
ฉีโซ่วที่ยืนหันหลังให้เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ ไม่ได้จงใจแสวงหาชัยชนะ อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียหายใดๆ เขาก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ฉีโซ่ว ที่หันหน้าเข้าหาพวกหนิงเหยาพุ่งวูบออกไปไกลสิบกว่าจั้ง เที่ยวจูที่สร้างค่ายกล อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กเพิ่มจำนวนอีกครั้ง ทำให้ค่ายกลกระบี่ยิ่งแน่นหนามากขึ้น
หมัดหนึ่งพุ่งมาถึง
ฉีโซ่วเพิ่งจะหมุนตัวกลับ อารมณ์ก็หนักอึ้งขึ้นหลายส่วน เลือกที่จะถอยร่นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของทุกคนก็ราวกับว่าฉีโซ่วยังคงเดินทอดน่อง ด้วยความสบายอกสบายใจเป็นที่สุด
ส่วนเฟยเยวียนและซินเสียนนั้น ถูกแสงกระบี่บินสองเส้นจำนวนเท่ากันกระแทกใส่
กระบี่บินที่โผล่มาอย่างน่าประหลาดใจสองเล่มนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหมอนปักลายบุปผาที่ท่าดีทีเหลว ได้แค่ทำให้การโจมตีของเฟยเยวียนและซินเสียนหยุดชะงักเล็กน้อย พวกมันทั้งคู่ก็ถูกดีดให้เด้งออกไป
เพียงแต่ว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ฉีโซ่วเห็นคาตาตัวเองว่าคนชุดเขียวผู้นั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ค่ายกลกระบี่เที่ยวจูแหวกออก หมัดของอีกฝ่ายโชกไปด้วยเลือด เนื้อหนังปริแตกจนมองเห็นกระดูกขาวได้แล้ว
ก็สามารถทำให้หยุดชะงักไปพักหนึ่งเช่นกัน
แล้วก็มากพอจะให้ฉีโซ่วควบคุมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างเฟยเยวียน ซินเสียนแล้ว ซินเสียนที่ความเร็วมากกว่าตีวงโค้งอย่างงดงาม ปลายกระบี่ที่ชี้ตรง ไปยังหัวใจของเฉินผิงอันลดลงต่ำหนึ่งชุ่น ถึงอย่างไรก็ไม่ควรฆ่าคน ไม่อย่างนั้น เฉินผิงอันตายก็ดี ร่อแร่ปางตายก็ช่าง นั่นก็จะเท่ากับว่าเขาฉีโซ่วแพ้แล้ว ชีวิตไร้ค่าของคนผู้หนึ่งที่อาศัยความโชคดีจนเดินมาถึงทุกวันนี้ เดินมาถึงที่นี่ได้ ไม่ได้มีค่า พอให้เขาฉีโซ่วต้องกลายมาเป็นตัวตลกของคนอื่น
เฟยเยวียนแทงไปยังกระดูกสันหลังของคนชุดเขียวผู้นั้น
ฉีโซ่วอยากจะเห็นนักว่า เมื่อกระบี่บินหนึ่งหน้าหนึ่งหลังแทงทะลุเรือนกายของ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองผู้นี้แล้ว หมัดนั้นจะเหลือน้ำหนักอีกสักกี่จินกี่ตำลึง
ต้องรู้ว่าร่างกายของผู้ฝึกกระบี่ก็ได้รับการหล่อหลอมจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่หยุดพักทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน ท่ามกลางผู้ฝึกลมปราณนับร้อยนับพันชนิด ก็แทบจะสามารถทัดเทียมกับความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนสำนักการทหารได้เลย
ฉีโซ่วที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม จะมีเรือนกายที่แข็งแกร่งเกินกว่าผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
วินาทีนั้นฉีโซ่วอาศัยสัญชาตญาณโคจรปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นใน ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหมด ท่ามกลางฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ ในจวนน้ำแห่งหนึ่งมีไอหมอกลอยอวลขมุกขมัว ภูเขาลูกหนึ่งต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว เลือนราง ช่องโพรงใหญ่ๆ อีกหลายแห่งที่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็มีภาพปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเช่นกัน เป็นเหตุให้ลมปราณจำนวนที่มากกว่าไหลออกไปนอกฟ้าดินขนาดเล็ก ร่างทั้งร่างของฉีโซ่วจึงถูกปกคลุมด้วยประกายแสงพร่างพราวชั้นหนึ่ง และดวงตาทั้งคู่ของฉีโซ่วก็ยิ่งมีคลื่นแสงสีทองแผ่กระเพื่อมเป็นระลอก
ที่แท้เฉินผิงอันผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่มีกระบี่บินผายลมสุนัขที่เป็นเวทอำพรางตาสองเล่ม
ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่จริงแท้แน่นอนอีกหนึ่งเล่ม แสงกระบี่สีเขียว พุ่งทะยานรวดเร็วอย่างถึงที่สุด ใช้ปลายกระบี่ปะทะปลายกระบี่ต้านทานซินเสียน เล่มนั้นไว้ได้พอดี ทั้งสองฝ่ายต่างดีดตัวออก ราวกับว่าเป็นฝ่ายเปิดเส้นทางให้แก่ เฉินผิงอันเพื่อออกหมัดต่ออีกครั้ง!
ส่วนกระบี่เฟยเยวียนเล่มนั้นที่อยู่ด้านหลังคนชุดเขียวกลับไม่อาจไล่ตามเฉินผิงอันได้ทันแล้วแทงทะลุกระดูกสันหลังของอีกฝ่ายได้เสียที
หลังจากหมัดที่กระดูกขาวเปิดเปลือยถูกปล่อยออกไป
แม้ว่าจะมีเลือดสดไหลออกมาจากมุมปากของฉีโซ่ว แต่จิตใจของเขาก็ยังค่อนข้างสงบ
ยังดี หมัดไม่หนัก
เฉินผิงอันใช้กระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทาง
แล้วตามด้วยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
ฉีโซ่วพลันตาลาย ต่อให้เขาจะอาศัยแรงส่งจากหมัดของอีกฝ่ายถอยกรูดออกไปและขยับเบี่ยงไปด้านข้างก็แล้ว แต่กลับมีอีกหมัดที่ไม่สมเหตุสมผลกระแทกลงมา บนร่างของเขา ไม่เพียงแต่เฟยเยวียนที่ไม่อาจเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ แม้แต่ซินเสียนที่มีจิตใจเชื่อมโยงอยู่กับตนก็ราวกับว่ากำลังสับสน จากนั้นก็ถูกแสงสีเขียวเส้นนั้น ไล่ตามมาทัน กลางอากาศเหนือถนนใหญ่ กระบี่บินสองเล่มโรมรันพันตูอยู่ด้วยกัน ทุกครั้งที่กระแทกชนกันจะต้องเกิดริ้วคลื่นลมปราณเป็นวงๆ ที่ลอยอยู่สูงต่ำไม่เท่ากัน ปราณสังหารเข้มข้น แต่กลับงดงามชวนมองยิ่งนัก
“พี่น้องของข้าคงไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่กระมัง?”
“เหตุใดไอ้หมอนี่ถึงมีกระบี่บินตั้งสามเล่ม?”
เยี่ยนจั๋วกับเฉินซานชิวหันมามองหน้ากันเอง ต่างคนต่างฉงนสนเท่ห์
ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนทิศ ฉีโซ่วที่เดิมทีมีหน้ามีตาสุดขีด ในที่สุดก็ต้องเริ่มวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีเอาชีวิตรอดอย่างเหนื่อยล้าบ้างแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง ขั้นสูงสุดที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าอย่างโชกโชนคนหนึ่งกลับมีจุดจบที่ต้องใช้ หมัดปะทะหมัด
หลังจากที่สองหมัดของอีกฝ่ายกระแทกลงบนร่าง ภาพปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่องโพรงลมปราณของฉีโซ่วก็ยิ่งเข้มข้น บวกกับรากฐานเรือนกายของเขามั่นคงแน่นหนา เมื่อต้องใช้หมัดปะทะกับหมัดของเฉินผิงอันที่พอปล่อยหมัดหนึ่งมาแล้ว หมัดต่อมาก็ตามมารัวๆ อยู่หลายครั้ง ฉีโซ่วก็เริ่มตัดสินใจลงมืออย่างอำมหิต เลือกจะใช้แลกหมัดกับไอ้หมอนั่นเสียเลย หมัดหนึ่งนั้นต่อยให้ศีรษะของอีกฝ่าย เหวี่ยงสะบัดอย่างแรง แต่อีกฝ่ายกลับยังคงมีสีหน้าเฉยชา ราวกับไม่รู้สึกรู้สา กับบาดแผลและความเจ็บปวด ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดยังคร้านจะเลือกจุดที่หมัดร่วงไปด้วยซ้ำ ราวกับว่าขอแค่ต่อยโดนฉีโซ่วก็พอใจแล้ว
ความเร็วของซินเสียนมากพอ แต่กลับถูกกระบี่บินที่แสงกระบี่เป็นสีเขียวมรกตเล่มนั้นคอยพัวพันตาต่อตาฟันต่อฟันกันไม่เลิก
แต่เฟยเยวียนมักจะช้ากว่าอยู่เสี้ยวหนึ่ง
การเข่นฆ่าของผู้ฝึกกระบี่ ความต่างเพียงเสี้ยวเดียว มักจะเป็นความต่างราวฟ้ากับเหวเสมอ
ค่ายกลกระบี่ของเที่ยวจูโงนเงนจะร่วงมิร่วงแหล่อยู่นานแล้ว ภัยคุกคามที่มีต่อ คนชุดเขียวซึ่งปรากฏตัวอย่างลึกลับผู้นั้น ยิ่งเวลานานเข้าก็ยิ่งสามารถมองข้าม ไปได้เลย
ในที่สุดเหล่าผู้ชมที่อยู่สองฝั่งของถนนใหญ่ก็คืนสติขบคิดตามได้ทันแล้ว เสียงฮือฮาจึงดังเกรียวกราว
สิบห้าหมัดผ่านไป
ฉีโซ่วที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ถูกหมัดหนึ่งต่อยจนหลังแนบพื้น ร่างไถลครูดออกไปไกลสิบกว่าจั้ง เพียงแต่ว่าท่ามกลางขั้นตอนนี้ ฉีโซ่วที่สวมชุดคลุมอาคมกลับมี เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารเม็ดหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชั่วพริบตานั้น เสื้อเกราะสีทองพลันปกคลุมลงบนร่าง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ฉีโซ่วที่เพิ่งใช้ฝ่ามือ ข้างหนึ่งยันพื้นเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อรับหมัดที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกระแทกลง บนร่างอย่างแน่นอนหมัดนั้น แต่กลับถูกหมัดของคนชุดเขียวที่ร่างโน้มมาข้างหน้า วิ่งตะบึงจนร่างแทบจะแนบติดพื้นต่อยลงบนใบหน้าแทน ต่อยให้ฉีโซ่วที่บนร่าง สวมเกราะวิเศษของสำนักการทหารและฝังเลื่อมชุดคลุมอาคมอยู่ด้านในร่างแนบติดพื้นไปอีกครั้ง
หมัดที่สิบเจ็ดนี้พละกำลังหนักหน่วงจนร่างของฉีโซ่วที่กระแทกลงพื้นเด้งขึ้นมาอีก จากนั้นก็เห็นว่าคนผู้นั้นเหวี่ยงแขนปล่อยหมัดต่อยใส่เขาอีกรอบ
หมัดนี้ต่อยเน้นๆ จนเลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของฉีโซ่ว
ผังหยวนจี้ถอนหายใจ ฉีโซ่วควรจะถอยก่อนหนึ่งก้าวได้แล้ว จากนั้นค่อยชักกระบี่ออกจากฝักอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกกระบี่นอกจากกระบี่แห่งชะตาชีวิตแล้ว ขอแค่มีกระบี่พกติดกาย อีกทั้ง ยังไม่ใช่แค่เครื่องประดับที่ไร้ชีวิตแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นคนคนเดียวกัน ก็คือผู้ฝึกกระบี่สองประเภท
ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนชุดเขียวถึงได้หยุดมือกะทันหันนั้นเอง
ครู่หนึ่งต่อมา ‘ฉีโซ่ว’ คนหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากฉีโซ่วที่อยู่บนพื้นไปสามสิบก้าว
จิตหยินออกจากช่องโพรงมาท่องอยู่ในฟ้าดิน
เห็นได้ชัดว่าฉีโซ่วใช้วิชาลับ ไม่อย่างนั้นจิตหยินออกจากร่างของผู้ฝึกตนทั่วไป สำหรับผู้ฝึกกระบี่มากมายที่เชี่ยวชาญด้านการตามจับเบาะแสของลมปราณที่สุดแล้ว แม้จะเป็นความเคลื่อนไหวที่น้อยนิดแค่ไหนก็ล้วนสัมผัสได้ถึง
จิตหยินของฉีโซ่วสีหน้าไร้อารมณ์ ยื่นมือออกมาคว้าจับ
กระบี่เล่มยาวออกจากฝักเสียงดังเคร้ง แล้วถูกเขาถือไว้ในมือ
หนึ่งในอาวุธกึ่งเซียนของตระกูลฉีกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระบี่มีชื่อว่า ‘เกาจู๋’
เล่าลือกันว่าร่างจริงของอาวุธกึ่งเซียนเล่มนี้เคยเป็นกระดูกสันหลังร่างทองของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์กองอัคคีในสวรรค์ยุคบรรพกาลมาก่อน โครงกระดูกมาตกอยู่ในโลกมนุษย์ ถูกบรรพจารย์ตระกูลฉีได้มาครอบครองโดยบังเอิญแล้วหล่อหลอมมานานร้อยกว่าปี
พอโซ่วถือกำเนิดก็ได้กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของอาวุธกึ่งเซียนเล่มนี้
หลังจากที่จิตหยินของฉีโซ่วกุมเกาจู๋ไว้ในมือได้แล้วก็ถามว่า “ยังจะสู้ต่อไหม?”
ภาพต่อมา อย่าว่าแต่ผู้ชมที่ลืมดื่มเหล้ากันไปนานแล้วเลย แม้แต่เตี๋ยจ้างก็ยัง หนังตากระตุก
มือขวาที่มีแต่กระดูกของเฉินผิงอันงอห้านิ้วเป็นตะขอ ขยุ้มจับร่างจริงของฉีโซ่ว ที่นอนอยู่บนพื้นแล้วค่อยๆ ยกขึ้น จากนั้นโยนใส่จิตหยินของฉีโซ่วอย่างไม่ใส่ใจ
เฉินผิงอันยืนตัวตรง ยังคงเอามือซ้ายไพล่หลัง มือขวากำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า
เลือดที่โชกเปรอะแขนทั้งข้างไหลตามนิ้วกระดูกขาวหยดแหมะๆ ลงบนพื้น
จิตหยินของฉีโซ่วกลับเข้าร่างอย่างไม่ลังเล พลิ้วกายลงบนพื้นอีกครั้ง
เฉินผิงอันยกแขนข้างที่สภาพเหวอะหวะแทบทนมองไม่ได้ขึ้นมา เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “มา”
ลำแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งทะยานจากจวนหนิงที่อยู่ห่างไกลทะลุสู่ชั้นฟ้า ติดตามมาด้วยเสียงฟ้าคำรณเป็นระลอก ก่อนจะพุ่งแหวกอากาศมาถึงแล้วถูกเฉินผิงอันกุมไว้ ในมือเบาๆ
เส้นสีทองที่มีจุดเริ่มต้นจากจวนหนิง สุดท้ายมาอยู่บนถนนเส้นนี้สะดุดตา มากเป็นพิเศษ เนื่องจากปราณกระบี่เข้มข้นจนถึงขั้นที่ชวนให้คนตะลึงพรึงเพริด ต่อให้จะถูกมือกระบี่ชุดเขียวกุมไว้ในมือแล้ว เส้นสีทองก็ยังคงรวมตัวกัน ไม่สลายหายไปไหน
ฉีโซ่วที่ไม่ได้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าพลันหน้าเขียวคล้ำ “ใครให้เจ้ายืมอาวุธเซียน?!”
ดูเหมือนว่าอาวุธเซียนที่มีชื่อว่าเจี้ยนเซียนในมือของเขาเล่มนี้จะลิงโลด เพราะไม่ได้เจอกับการเข่นฆ่ามานานมากแล้ว ถึงได้สั่นสะเทือนไม่หยุด เป็นเหตุ ให้มีแสงสีทองเป็นเส้นๆ ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่จึงเป็นเหตุให้ดูเหมือนมือกระบี่ชุดเขียวถือพระอาทิตย์ดวงใหญ่ไว้ในมือ
เกาจู๋? (เทียนสูงที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้า)
แสงเทียนจะสูงได้สักแค่ไหนกัน?
ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภา ยังมีวัตถุใดกล้ามาช่วงชิงความสูงกับข้า
คนหนุ่มชุดเขียวมีท่าทีผ่อนคลายสบายอารมณ์ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ได้แซ่ฉี ตอนนี้คงยังต้องนอนหลับอยู่บนพื้น เพราะฉะนั้นเจ้าเลือกมาเกิดในครรภ์ที่ดี ถึงได้มีอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ข้าไม่เหมือนเจ้า เพราะเอาชีวิตช่วงชิงเจี้ยนเซียนเล่มนี้มา”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หุบยิ้ม “ฉีโซ่วที่อยู่บนสนามรบทิศใต้คู่ควรกับแซ่นี้ แต่ว่า การต่อสู้ก็ยังคงต้องดำเนินไป ขอแค่เจ้ากล้าออกกระบี่”
และเวลานี้เองชายฉกรรจ์เคราดกที่ไม่รู้ว่ากลับมานั่งในร้านเหล้าตั้งแต่เมื่อไร ก็วางถ้วยขาวใบใหญ่ที่เก็บขึ้นมาจากพื้นแล้วเทเหล้าใส่ไปลง ก็พูดกับฉีโซ่วว่า “แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ ลูกหลานผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลฉีพวกเจ้า ไม่เคยมีใคร ที่ต้องมาตายอยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมือง”
ฉีโซ่วยกมือสอดกระบี่กลับเข้าฝักที่อยู่ด้านหลัง เดินไปข้างหน้า ตอนที่เดิน สวนไหล่กับคนชุดเขียว เขาก็เอ่ยว่า “กล้านัดเวลามาสู้กันใหม่อีกครั้งหรือไม่?”
เขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดคนแรกในบรรดาคน วัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงขั้นยังเร็วกว่าหนิงเหยาด้วยซ้ำ
เพราะเรื่องที่นางจำเป็นต้องทำมีมากเกินไป ใหญ่เกินไป ไม่ใช่แค่การ หลอมลมปราณเท่านั้น เพราะสำหรับหนิงเหยาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แต่เป็นเพราะนางจำเป็นต้องหลอมวัตถุ ทำให้ถ่วงรั้งความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตของนางมาโดยตลอด
แต่ขอแค่เขาฉีโซ่วได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้วเปิดฉากเข่นฆ่ากับเฉินผิงอันอีกครั้ง ก็ไม่ต้องพูดถึงโอกาสชนะไม่ชนะอะไรอีกแล้ว
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้ากำหนดสถานที่ ข้ากำหนดเวลา ตกลงไหม?”
ลูกกระเดือกฉีโซ่วขยับเบาๆ อีกนิดเดียวก็เกือบทนไม่ไหวกระอักเลือดคำนั้นออกมา
ฉีโซ่วไม่เอ่ยอะไรอีก ไม่ได้ทะยานลมจากไป เขาเพียงแค่เดินไปถึงสุดปลายของถนนแล้วเลี้ยวตรงหัวมุมจากไปช้าๆ เช่นนี้
ด้านหลังของเขามีสหายที่สีหน้าไม่น่ามองยิ่งกว่าฉีโซ่วตามติดไปเงียบๆ
เฉินผิงอันหันมามองหนิงเหยาแล้วยิ้มตาหยี
หนิงเหยาถลึงตาใส่เขาหนึ่งที
เฉินผิงอันจึงเสมองไปรอบด้าน
กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้แปลกประหลาดอย่างมาก นอกเหนือจากบ้านบรรพบุรุษของบ้านเกิด และเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วที่ได้ครอบครองในภายหลังแล้ว นี่คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใดมากที่สุด
ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่เขาเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงที่ ‘รักตัวกลัวตาย’ กล้าออกหมัดได้อย่างสาแก่ใจมากที่สุด
เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้บริสุทธิ์อย่างมาก ดีเลวชอบโกรธ ก็มีอยู่ แต่กลับไม่ได้ซับซ้อน ไม่ได้วกวนอ้อมค้อมเหมือนขุนเขานับพันสายน้ำนับหมื่นของ ใต้หล้าไพศาล
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่เคยบอกกับเขาเองว่า ‘ควรจะไม่ใช้เหตุผลอย่างไร’ และผู้เฒ่าก็เคยลงมือแสดงให้ดู ด้วยตัวเอง เป็นการกระทำง่ายๆ เพียงแค่ยกมือก็มีปราณกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งลงมา จากท้องฟ้า สังหารผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนของตระกูลใหญ่ผู้นั้นในชั่วพริบตา
อยู่ที่นี่ เซียนกระบี่ใหญ่เฒ่าเฉินชิงตูก็คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด
เฉินผิงอันยอมรับเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีอายุยืนยาวท่านนี้จากใจจริง ถ้าเช่นนั้น ออกหมัดและออกกระบี่ที่นี่ก็สามารถฝ่าทะลุไปถึงขอบเขตซึ่งเขาปรารถนาแม้ในยามหลับฝันอย่างคำว่า ไม่ต้องพะวงหลัง ไร้ความกริ่งเกรง!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่อาเหลียงอยู่อาศัยมานานหลายปี สถานที่ที่ทำให้อาเหลียงยอมอยู่ต่อไม่ไปไหน ดื่มเหล้าไปมากมายท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้นหากเฉินผิงอันออกหมัดไม่หนักมากพอ ออกกระบี่ ไม่เร็วพอก็คงผิดต่อสถานที่แห่งนี้
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รู้สึกสะใจไม่น้อย
แต่ยังไม่พอ
ผังหยวนจี้กำลังคิดว่าจะจากไป
คาดไม่ถึงว่ามือกระบี่ชุดเขียวจะทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือหันมายิ้มมองผังหยวนจี้
ผังหยวนจี้ยิ้มถาม “ไม่คิดว่าตัวเองเสียเปรียบรึ?”
หลังจากผ่านศึกใหญ่ไปอย่างยากลำบาก อีกฝ่ายเอาชนะมาอย่างไม่ง่ายดายนัก
การกระทำต่อมาของเฉินผิงอัน
ทำให้เซียนกระบี่หลายท่านที่ไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกันพากันยิ้มและกระดกเหล้าขึ้นดื่ม
ทุกคนเห็นเพียงว่าคนที่อยู่บนถนนปักปลายกระบี่ของกระบี่ยาวอาวุธเซียน ที่ดูเหมือนจะชื่อว่า ‘เจี้ยนเซียน’ ลงบนพื้น จากนั้นก็ปล่อยมือ มือขวาของเขาผายมาด้านหน้า บอกเป็นนัยให้อีกชายเชิญลงมือได้ตามสบาย
จากนั้นคนผู้นั้นก็เอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะรู้สึกเสียเปรียบ”
ผังหยวนจี้มีสีหน้ารื่นเริง คลี่ยิ้มออกมาให้เห็น เขาก้าวยาวๆ เดินออกมาจากร้านเหล้า มายืนอยู่ตรงใจกลางของถนน กุมหมัดเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “กำแพงเมือง ปราณกระบี่ ผังหยวนจี้!”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กุมหมัดคารวะกลับคืน ตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนที่หนิงเหยาชอบ เฉินผิงอัน”