Skip to content

Sword of Coming 578

บทที่ 578 ทำไมเซียนกระบี่ที่ชมศึกจึงมากมายขนาดนี้

ผังหยวนจี้ประกบสองนิ้วไว้ด้านหน้าตัวเอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กระบี่บินของข้า มีไม่มาก แค่เล่มเดียวเท่านั้น ยังดีที่เร็วมากพอ หวังว่าคงจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

บนถนนใหญ่ ปราณกระบี่พลันถือกำเนิด จากนั้นก็เหมือนธารนำหลายเส้นที่ไหลริกๆ มุ่งตรงเข้ามา บิดๆ เบี้ยวๆ ไร้ระเบียบ แล้วสุดท้ายก็แผ่ขยายตัว มารวมกันกลายเป็นแม่นำปราณกระบี่เส้นหนึ่ง

ปณิธานกระบี่เปี่ยมล้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง นักดื่มที่อยู่ในร้านเหล้าสองข้างถนนล้วนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไอเยียบเย็นขุมนั้นได้ค่อยๆ ไหลพรั่งพรูเข้ามาบนถนนใหญ่ช้าๆ

การที่ผังหยวนจี้ถูกใต้เท้าอิ่นกวานเลือกเป็นลูกศิษย์ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะเขาเหยียบโชคดีขี้หมาอะไร แต่เป็นเพราะทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ผังหยวนจี้คือคนที่ตลอดร้อยปีมานี้มีหวังว่าจะสืบทอดวิชาของใต้เท้าอิ่นกวานได้มากที่สุดของ กำแพงเมืองปราณกระบี่

สถานที่ที่มีเผ่าปีศาจมากที่สุด ก็คือสถานที่ออกกระบี่ของข้า

ผู้ฝึกกระบี่คนใดที่ไม่ฝันใฝ่ในขอบเขตเช่นนี้บ้าง?

ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเรียกขานน่าฟังว่าตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ระดับขั้นของตัวกระบี่บินดีหรือเลว จะเป็นตัวตัดสินระดับสูงตำของผลสำเร็จในท้ายที่สุดของพวกเขาได้จริงๆ

หลังจากที่ผังหยวนจี้เอ่ยประโยคนั้นออกมา

ร้านเหล้าเหลาสุราน้อยใหญ่ก็มีเสียงโห่ร้องดังเกรียวกราวไม่ขาดสาย ความหมายในเชิงสัพยอกหยอกล้อนั้นเต็มเปี่ยม

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผังหยวนจี้มีชื่อว่า ‘กวงอิน’ (เวลา) เวลาราวกับสายนำ เป็นเหตุให้นำไหลไม่หยุดนิ่ง กระบี่ไร้รูปลักษณ์ หากจะบอกว่าเที่ยวจูกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เป็นรากฐานที่สุดของฉีโซ่วเล่มนั้นมีการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา ด้านจำนวน ถ้าอย่างนั้นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผังหยวนจี้เล่มนี้ก็ไม่มีเหตุผลแล้วจริงๆ จุดที่ไม่มีเหตุผลที่สุดไม่เพียงแค่เพราะพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็น เพราะว่าพอได้ครอบครองกระบี่บิน ‘อินกวง’ เล่มนี้ ผังหยวนจี้ก็ถูกขนานนามว่า ‘กระบี่ทะลุหมื่นอาคม’ กระบี่บินไม่เพียงแต่หล่อหลอมเรือนกาย ยังสามารถกลับมาหล่อเลี้ยงสามจิตเจ็ดวิญญาณได้อีกด้วย ด้านวิชาในการฝึกตนก็จะทำให้เหนื่อย เพียงครึ่ง แต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว บวกกับที่ตั้งแต่เด็กผังหยวนจี้ก็แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในการฝึกตนอันเลิศลำ รู้วิชาหนึ่งก็อนุมานไปสู่วิชาอื่น วิชาที่รำเรียนมาหลากหลายแต่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นผังหยวนจี้จึงมีฉายาอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ผังร้อยสำนัก’

ผังหยวนจี้ไม่มีชุดคลุมอาคม แล้วก็ไม่มีอาวุธกึ่งเซียนที่ได้มาจากทางตระกูลอย่างฉีโซ่ว ยิ่งไม่มีเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่เกินความจำเป็นอะไร

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าเบาๆ ปณิธานหมัดของทั้งร่างดุจนำตกที่ไหลกระหนำพรั่งพรู เมื่อเดินอยู่บนถนนก็เหมือนพายเรือทวนกระแสนำ

ตอนที่เดิน ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกับปราณกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดจึงปะทะพุ่งชนกัน เป็นเหตุให้พวกคนชมศึกที่ขอบเขตไม่สูงพอล้วนมองไม่เห็นใบหน้าและเรือนกายของมือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นแล้ว ภาพเหตุการณ์บนถนนเหมือนเหล้าที่อยู่ในถ้วย ส่วนคนบนถนนก็เหมือนเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ถูกคนโยน ลงไปในถ้วยเหล้าแล้วแกว่งถ้วยขาว ทำให้มองเหรียญทองแดงที่อยู่ก้นถ้วยนั้นได้ไม่ชัด

หนิงเหยาที่ยืนอยู่ที่เดิมมาตลอดเอ่ยเสียงเบา “การต่อสู้ครั้งนั้น เฉินผิงอันชนะได้อย่างไร เหตุใดฉีโซ่วถึงแพ้ วันหน้าข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด”

สองสายตาของเยี่ยนจั๋วเปล่งประกาย เหม่อมองแผ่นหลังนั้นแล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ขอแค่พี่น้องของข้ายินดีลงมือ รับรองว่าไม่ว่าสู้กับใครก็ล้วนชนะได้หมด”

จากนั้นเยี่ยนจั๋วก็หันหน้ามาพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “ใช่ไหม ซานชิว ใครเป็นคนพูดนะว่า ‘พูดโป้ปด มือข้างเดียวก็สามารถล้มฉีโซ่วได้’?”

เฉินซานชิวพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “น่าจะเป็นต่งถ่านดำที่พูดกระมัง”

ต่งฮว่าฝูพูดอย่างเดือดดาล “มารดาเจ้าเถอะ ไอ้หน้าด้าน!”

เตี๋ยจ้างระอาใจเล็กน้อย อันที่จริงต่งถ่านดำคือคนที่อยู่กับอาเหลียงมานานที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด และคาดว่าคงเป็น ‘สุดยอดผู้แข็งแกร่ง’ เพียงคนเดียวใน กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยฉี่รดอาเหลียง เพราะฉะนั้นหากต่งถ่านดำไม่นิ่งเงียบเหมือนนำเต้าตัน แต่ลองได้เปิดปากด่าคนแล้วล่ะก็ แต่ละคำที่หลุดจากปากก็ล้วนเป็นคำหยาบที่เรียนรู้มาจากอาเหลียงทั้งสิ้น หากคนฟังถือสาจริงๆ ก็จะทั้งขำจนตายแล้วก็ต้องโมโหจนตาย

เซียนกระบี่วัยกลางคนคนหนึ่งที่มาเยือนร้านเหล้าสภาพเละเทะอย่างเงียบเชียบ เดินมานั่งลงข้างกายชายฉกรรจ์เคราดกที่มีตาเพียงข้างเดียว ปาดฝุ่นผงที่อยู่บนโต๊ะทิ้ง ยิ้มพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “พายุหมัดบริสุทธิ์ ปณิธานหมัดลี้ลับมหัศจรรย์ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าในอดีตเฉาสือผู้นั้นจะสามารถชนะคนผู้นี้ได้ถึงสามครั้งติด”

ชายฉกรรจ์เคราดกที่ก่อนหน้านี้เจอเท้าของใต้เท้าอิ่นกวานไปหนึ่งทีไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย ยังคงดื่มเหล้าของตัวเองต่อไป ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยนำเสียงแหบพร่าว่า “เจ้ามาช้าไป หากเห็นท่าทางที่เฉาสือฝึกวิชาหมัดอยู่บนหัวกำแพงก็จะไม่แปลกใจเช่นนี้อีก เฉาสือจะประสบความสำเร็จสูงแค่ไหน หรือฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเท่าไร ข้าก็ล้วนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์เคราดกก็มองเฉินผิงอันที่ยังคงเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางกระแสท่วมท้นของปราณกระบี่อย่างไม่รีบไม่ร้อน “แน่นอนว่า คนหนุ่มผู้นี้ก็ไม่เลวมากเหมือนกัน ปีนั้นข้าเองก็เคยเห็นเขาฝึกหมัดเดินกลับไปกลับมาอยู่บนหัวกำแพง

เวลานั้นข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะมีขอบเขตวรยุทธอย่างในทุกวันนี้ ต่อให้ตอนนั้นผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จะเป็นคนพูด ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะยอมเชื่อ”

เซียนกระบี่วัยกลางคนที่เพิ่งเดินทางจากทักษินาตยทวีปมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ยิ้มกล่าวว่า “ได้ยินว่าเขามาจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับซ่งจ่างจิ้งที่เป็นอ๋องเจ้าแคว้นของต้าหลีหรือไม่”

ชายฉกรรจ์เคราดกส่ายหน้า “ไม่แน่ใจเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าอายุไม่มาก แต่แค่มองก็รู้ว่าเป็นนกแก่ที่ผ่านการเข่นฆ่ามาจนเคยชิน ในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งจะมีเรื่องให้ต่อสู้ต่อยตีมากขนาดนั้นเลยหรือ? ต่อให้มี ยอดฝีมือช่วยป้อนหมัดถ่ายทอดวิชาให้ แต่หากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายหลายครั้ง ก็ไม่มีทางต่อสู้ให้ออกมาในรูปแบบนี้ได้”

“มองดูไม่เหมือนคนต่างถิ่น กลับเหมือนคนหนุ่มที่เกิดและเติบโตมาใน กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรามากกว่า”

บุรุษเซียนกระบี่ที่มาจากทักษินาตยทวีปยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับอีกฝ่ายเบาๆ หลังจากจิบเหล้าไปคำหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ คนที่ไม่ชอบดื่มเหล้าอย่างข้าก็มีเพียงมาที่นี่เท่านั้นที่เลี้ยงแมลงขี้เหล้าให้เกิดขึ้นมาในท้องได้”

ชายฉกรรจ์กระตุกมุมปาก ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่เงียบขรึมพูดน้อยผู้นี้ เผยสีหน้าไม่พอใจอย่างที่หาได้ยาก เขาหัวเราะเสียงเย็นว่า “ล้วนเป็นขนบธรรมเนียมที่เจ้าตะพาบผู้นั้นนำพามาทั้งสิ้น คนโสดไม่ดื่มเหล้าก็ต้องโสดไปอีกหมื่นๆ ปี เซียนกระบี่ไม่ดื่มเหล้า ก่อกำเนิดต้องออกเดิน”

การต่อสู้สามครั้งจบลงแล้ว

อีกเดี๋ยวก็จะเป็นการต่อสู้ครั้งที่สี่

สะใจจริงๆ เลย

แม่นางน้อยแก้มย้อยคนนั้นใช้มือตีหน้าต่างอย่างแรง ใบหน้าแดงกำ ตื่นเต้นสุดขีด “เห็นหรือยัง เห็นหรือยัง สายตาของข้าดีหรือไม่? พวกเจ้าอย่าได้เขินอาย พูดออกมาดังๆ เลย!”

ไม่มีใครสนใจนาง

นี่ทำให้แม่นางน้อยขุ่นเคืองเล็กน้อย แล้วก็พลันสังเกตเห็นว่าพี่หญิงต่งที่อยู่ข้างกายค่อนข้างจะผิดปกติ

นางจึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่หญิงต่ง เป็นเพราะเพิ่งจะค้นพบว่าพี่หญิงหนิงเลือกบุรุษที่ดีขนาดนี้ พอหันมามองอีกที ตนเองก็อายุมากแล้ว เลือกไปเลือกมาก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่เจอ ดังนั้นในใจท่านเลยรู้สึกแย่มากเลยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่าง ข้าสิ ดีใจก็ต้องพูด เสียใจก็ต้องพูดออกมา ข้าจะดื่มเหล้าเป็นเพื่อนท่านเอง ข้าจะให้ท่านยืมอารมณ์ดีๆ ของข้าเอง!”

ต่งปู้เต๋อฟุบตัวลงบนขอบหน้าต่าง ยกมือสองข้างขยี้แก้มตัวเองอย่างแรง ทอดถอนใจพักหนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยว่า “รู้สึกแย่มากๆ เลย หลายปีขนาดนี้ ไม่ว่าอะไร ก็สู้แม่หนูหนิงไม่ได้เลย”

แม่นางน้อยเอ่ยปลอบใจ “พี่หญิงต่งท่านอายุมากกว่านี่นา ในเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรพี่หญิงหนิงก็สู้ท่านไม่ได้แน่นอน ท่านกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคงเลยล่ะ!”

ต่งปู้เต๋อหันหน้ามา ยื่นมือมากุมลำคอของแม่นางน้อยแล้วยกตัวนางขึ้นเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พูดดังๆ หน่อยสิ เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ชัด”

สองเท้าของเด็กสาวลอยพ้นพื้น นางพูดอย่างกรุ่นโกรธ “พี่หญิงต่ง นับจากวันนี้ไปท่านต้องเคารพข้าสักหน่อยนะ หากไม่ทันระวัง ข้าก็อาจได้เป็นภรรยาของ เฉินผิงอันผู้นั้น ถึงเวลานั้นท่านต้องรับผลกรรมที่ก่อไว้ เขาเห็นว่าข้าถูกท่านรังแกบ่อยๆ เข้า โมโหขึ้นมา

เขาจะต้องซ้อมท่านแน่ ก็เหมือนที่ซ้อมฉีโซ่วผู้นั้น ถึงเวลานั้นข้าจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ มีใจแต่ไร้กำลัง ได้แต่มองดูร่างของท่านดีดขึ้นดีดลงอยู่บนพื้นเท่านั้น”

ต่งปู้เต๋อโยนเด็กสาวในมือลงบนพื้น ยิ้มกล่าวว่า “พูดจาอะไรเหลวไหล คำพูดแบบนี้ แน่จริงเจ้าก็เอาไปพูดต่อหน้าแม่หนูหนิงเข้าสิ”

เด็กสาวยืนได้นิ่งแล้วก็ยักไหล่ “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเขาคอยส่งสายตาอยู่กับพี่หญิงหนิง ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ท่านแม่ข้ามักจะพูดให้ฟังบ่อยๆ บอกว่าบุรุษที่ไม่ได้มาครอบครอง นั่นต่างหากจึงจะเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้า! ข้ารู้หรอกว่าท่านแม่ข้าจงใจพูดให้ท่านพ่อข้าได้ยิน ทุกครั้งท่านพ่อข้าล้วนมีท่าทาง น่าสงสารราวกับต้องกินอาจม จะด่าก็ไม่กล้า จะตีก็ตีไม่ชนะ จะโกรธแบบจริงจัง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็น”

ต่งปู้เต๋อกดหัวของแม่นางน้อย เพราะต้องการให้ฝ่ายหลังทำการ ‘โขกหัว’ แล้วด่าขำๆ ว่า “อายุน้อยๆ ไม่รู้จักเรียนรู้อะไรดีๆ ดันเรียนรู้เรื่องที่ปากไม่มีหูรูด เสียได้ ไม่กลัวว่าพ่อแม่เจ้าจะตีเจ้าจนก้นลายจริงๆ หรือ?”

พอต่งปู้เต๋อดึงมือกลับ เด็กสาวก็ใช้สองมือปัดป่ายหน้าผากที่แดงกำอุดลุต ไม่ได้หันไปมองต่งปู้เต๋อ นางกำสองหมัดแน่นแล้วทุบลงบนขอบหน้าต่างอย่างแรง “น่าเบื่อ! ข้าตัดสินใจแล้วว่ารอให้เขาเอาชนะผังหยวนจี้ได้เมื่อไหร่ ข้าก็จะไป เรียนหมัดกับเขา หากเขาไม่สอน ข้าก็จะไปคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านของพี่หญิงหนิง คุกเข่าสักครึ่งก้านธูปหนึ่งก้านธูป แสดงความจริงใจให้มากพอ! รอจนข้าเรียนวิชาหมัดได้แล้ว หึหึ ถึงเวลานั้นพี่หญิงต่งเวลาท่านเดินอยู่บนถนนยามคำคืนก็ระวังตัวไว้ หน่อยเถอะ!”

แม้แต่ต่งปู้เต๋อก็ยังจนปัญญากับแม่นางน้อย

สมองมีรู เหตุผลเท่าไรก็เติมไม่เต็ม

ต่งปู้เต๋อพลันทอดถอนใจเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ที่มาชมศึกค่อนข้างเยอะ”

แม่นางน้อยกำลังจะพูด กลับถูกต่งปู้เต๋อใช้แขนเกี่ยวคอของนางเอาไว้แล้วกระชากมาทางตนเสียก่อน แม่นางน้อยหัวเอียงกะเท่เร่ ตาสองข้างเหลือกขึ้น แลบลิ้น แกล้งตาย

บนถนนใหญ่

ผู้ฝึกยุทธหนุ่มชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกสีขาวทำเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง

ไม่ได้อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งและปราดเปรียวว่องไวของผู้ฝึกยุทธ ไม่ได้คิดจะ ‘ลุยนำ’ ด้วยความเร็วที่มากที่สุดขยับเข้าใกล้ผังหยวนจี้

แต่สะบัดแขนเบาๆ หนึ่งที สองมือคีบยันต์กระดาษเหลืองระดับขั้นธรรมดา ปึกใหญ่เอาไว้แล้วโปรยออกไป ทีเดียวก็โปรยยันต์หลากสีออกไปถึงสี่สิบห้าสิบแผ่น

ยันต์แทบทุกแผ่นล้วนถูกปราณกระบี่ปั่นคว้านจนแหลกละเอียด

แต่เฉินผิงอันกลับยังทำแบบนี้ต่ออีก เขาเดินไม่เร็ว แต่ความเร็วในการโยนยันต์พวกนั้นกลับทำให้คนตาลาย

ผังหยวนจี้หัวเราะ สองนิ้วทำมุทรา เท้าเหยียบพายุลมกรด

ด้านหลังเฉินผิงอันจุดที่ห่างไปไกล ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก ปรากฏร่างของผังหยวนจี้คนหนึ่ง

บนหลังคาเรือนสองฝั่งของถนนใหญ่ก็มีผังหยวนจี้ปรากฏตัวอีกยี่สิบคน

‘ผังหยวนจี้’ ทุกคนที่อยู่บนจุดสูง หากไม่ทำมุทราคาถาเต๋าก็ร่ายตราประทับลัทธิพุทธ ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาแต่ละคนล้วนปรากฏค่ายกลยันต์ค่ายหนึ่ง ระหว่างผังหยวนจี้ กับผังหยวนจี้ ค่ายกลยันต์กับค่ายกลยันต์มีเส้นใยสีสันแตกต่างกันหลายเส้น เหมือนงูและมังกรที่เลื้อยผ่าน เชื่อมโยงต่อกันอย่างกลมกลืน สุดท้ายก่อตัวเป็น ค่ายกลยันต์ที่ปกคลุมไปทั้งถนนเส้นใหญ่

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ผังหยวนจี้สองคนที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าและด้านหลังเฉินผิงอัน ก็เริ่มเดินหน้าไปช้าๆ เดินไปพลางเคาะๆ จิ้มๆ วาดยันต์อย่างง่ายดาย ที่ลอยอยู่ กลางอากาศล้วนเป็นอักษรโบราณลายเมฆที่มีความประหลาดหลายร้อยหลายพันรูปแบบ และยันต์มายามากมายที่วาดขึ้นกลางอากาศ แสงศักดิ์สิทธิ์ตรงแก่นของยันต์ส่องประกายแสงที่สว่างพร่างพราวอย่างถึงที่สุด ยันต์บางส่วนเป็นริ้วกระเพื่อม ของปราณวิญญาณแสงนำ บางส่วนเป็นสายฟ้าตัดสลับกัน บางส่วนเป็นมังกร ร้อยรัดกัน มีมากมายหลายชนิด

ครั้งสุดท้ายหลังจากเฉินผิงอันโยนยันต์กระดาษเหลืองไปร้อยกว่าแผ่นในรวดเดียว

พริบตานั้นเขาก็พลันยืนนิ่ง กระบวนท่าหมัดถูกตั้งขึ้นอีกครั้ง ปณิธานหมัดเข้มข้นที่เดิมทีไหลวนท่วมท้นอยู่บนร่างประหนึ่งกระบี่ที่กลับคืนสู่ฝัก ใช้ท่าหมัดที่เก็บรวบไว้ปล่อยหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว

หมัดพุ่งออกมาดุจสายรุ้ง

ประหนึ่งสายฟ้าครืนครั่นที่กำเนิดจากบนพื้นดิน

ลำธารปราณกระบี่สายยาวที่อยู่บนถนนใหญ่ทั้งสายล้วนสั่นสะเทือนไม่หยุด

ปณิธานกระบี่เกินครึ่งที่อยู่ในแม่นำปราณกระบี่เส้นนั้นมารวมตัวกันอยู่รอบกายคนชุดเขียว ประหนึ่งกองทัพใหญ่ล้อมเมือง

ผังหยวนจี้ที่อยู่บนถนนยังคงก้าวเดินไม่หยุด แล้วก็เดินไม่เร็ว สร้างความมั่นคงให้กับค่ายกลยันต์แห่งนั้นต่อไป

ผังหยวนจี้ไม่ได้ชมการต่อสู้ทั้งสามครั้งอย่างเสียเปล่า

เฉินผิงอันผู้นี้มีวิธีการโผล่ออกมาไม่ขาดสายมากเกินไป ประเด็นสำคัญคือ ยังเก็บซ่อนศักยภาพที่แท้จริง

ยกตัวอย่างเช่นมือซ้ายข้างนั้นที่ยังไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มกำลังแท้จริง

และยังมีความเร็วที่แท้จริงของเรือนกายเฉินผิงอันเร็วมากเท่าไรกันแน่ ผังหยวนจี้ยังคงใคร่ครวญไม่ออก

ศึกกับฉีโซ่ว เวทอำพรางตาที่เฉินผิงอันผู้นี้ตั้งใจจัดวางไว้ อันที่จริงมีเยอะมาก

ต่ำกว่าเซียนกระบี่ลงไป นอกจากหนิงเหยาและเขาผังหยวนจี้ รวมไปถึง ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดพวกนั้นแล้ว บางทีคนอื่นก็คงได้แค่มาดูเรื่องสนุกเท่านั้น

ความจริงแล้วลึกๆ ในใจของผังหยวนจี้รู้สึกจนใจอยู่เล็กน้อย

เจ้าเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง มีกระบี่บินที่ผ่านการหลอมใหญ่จนกลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งก็แล้วไปเถิด แต่กระบี่บินอีกสองเล่มที่สร้างจำลองกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่น่าตกใจอย่างมาก นั่นล่ะ คืออะไรอีก?

สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าไอ้หมอนี่ยังมีกระบี่เก็บซ่อนไว้อยู่อีกหรือไม่

ผังหยวนจี้รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ทำเรื่องที่ขาดคุณธรรมแบบนี้ได้จริงๆ

นอกจากนี้แล้ว ในใจผังหยวนจี้ยังมีความระแวงเพิ่มมากขึ้น

ยันต์เหล่านั้นที่เฉินผิงอันโยนออกมา ในความเป็นจริงแล้วเป็นการตรวจสอบ จุดที่เล็กละเอียดแต่ละจุดของกระแสธารปราณกระบี่ให้ชัดเจนแม่นยำ

ดังนั้นผังหยวนจี้จึงเก็บปราณกระบี่กลับมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตรวจสอบวิชาของเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ก่อนหน้านี้หลังจากพวกกลุ่มของเฉินผิงอันออกมาจากจวนหนิง

บนสนามประลองยุทธ ข้ารับใช้ผู้เฒ่าของตระกูลหนิงอย่างน่าหลันเย่สิงที่ปกป้องคุ้มครองเจ้านายของจวนหนิงมาสามรุ่นด้วยความมานะบากบั่นก็มานั่งยองอยู่บนพื้น ยื่นนิ้วทั้งห้าออกมาลูบลงบนพื้นเบาๆ

หญิงชราแซ่เหยาที่ในอดีตมาอยู่ในจวนหนิงพร้อมกับคุณหนูอย่างป๋ายเลี่ยนซวงมายืนอยู่ด้านข้าง พูดอย่างมีโทสะว่า “เจ้าสุนัขเฒ่า ทำไมเจ้าไม่จับตามองทางฝั่งนั้น หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจะทำอย่างไร? ชีวิตสุนัขของเจ้าชดใช้ได้ไหวหรือ?”

น่าหลันเย่สิงพูดอย่างเฉยชาว่า “ต่อให้อันตรายแค่ไหน แต่จะอันตรายเท่า สนามรบทางทิศใต้ได้หรือ?”

ป๋ายเลี่ยนซวงยิ่งโมโหหนัก “ความชั่วร้ายอันตรายของจิตใจคนเคยน้อยกว่า การเข่นฆ่าในสนามรบด้วยหรือ? น่าหลันสุนัขเฒ่า! เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้ง ไม่เข้าใจกันแน่?”

น่าหลันเย่สิงดึงมือกลับมา เงยหน้าขึ้น เงียบงันไม่ต่อคำ

ป๋ายเลี่ยนซวงถอนหายใจ พูดเนิบช้าว่า “เคยคิดหรือไม่ว่า คนหนุ่มที่เอางานเอาการอย่างคุณชายเฉินนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นบุตรสาวสายตรงของแซ่ใหญ่แซ่ใดก็ตามในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจเช่นนี้ ป่านนี้ คงถูกยกขึ้นบูชาอย่างระมัดระวัง ได้เป็นบุตรเขยที่สบายกายสบายใจไปนานแล้ว แต่พอมาอยู่กับพวกเรา จวนหนิงก็มีแค่ตาแก่ยายแก่หนังเนียวอย่างเจ้าและข้า ทางฝั่งของตระกูลเหยายังคงเลือกที่จะมองดูอยู่เฉยๆ ในเมื่อแม้แต่ทางฝั่งตระกูลเหยาก็ยัง ไม่แสดงท่าที นี่ก็หมายความว่า ก่อนจะเกิดเรื่อง ไม่มีใครที่ช่วยหนุนหลังให้คุณหนูและท่านเขยของเรา พอเกิดเรื่อง ทุกอย่างก็สายไปแล้ว”

น่าหลันสิงเย่กล่าว “ในใจตาเฒ่าเหยามัวเก็บกลั้นโทสะอยู่น่ะสิ”

ป๋ายเลี่ยนซวงลังเลเล็กน้อย ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้แพร่ข่าวให้ตระกูลเหยา รู้ถึงสินสอดของท่านเขยพวกเราดีไหม?”

น่าหลันสิงเย่หันหน้ามาพูดเสียงหนักแข็งกระด้างใส่หญิงชราอย่างที่หาได้ยาก “อย่าย่ำยีเฉินผิงอัน แล้วก็อย่าหยามเกียรติตระกูลเหยา”

ป๋ายเลี่ยนซวงพยักหน้ารับ ไม่ชักสีหน้าใส่เขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

น่าหลันเย่สิงอธิบายว่า “ในเมื่อเจ้าก็พูดเองว่า เฉินผิงอันเลือกคุณหนูของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ สามารถพูดโน้มน้าวพวกเราได้ เขาเฉินผิงอันก็ควรจะโน้มน้าวคนอื่นได้เช่นกัน แต่หากพูดแล้วยังไม่ฟัง ก็ต้องลงไม้ลงมือจนยอมฟัง!”

ป๋ายเลี่ยนซวงบ่นอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือให้ช่วยเฉินผิงอันรับมือกับคู่ต่อสู้อย่างลับๆ ก็แค่ให้เจ้าช่วยจับตามองไว้หน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เจ้ามัวแต่อึกๆ อักๆ พูดจาไม่เข้าประเด็นเสียที”

น่าหลันเย่สิงกล่าวอย่างจนใจ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะผิดต่อคำสัญญา ยอมบอกความจริงแก่เจ้าก็แล้วกัน ที่ข้าไม่ออกจากบ้าน ได้แต่นั่งคันมือคันไม้ คันในใจยิบๆ อยู่ที่นี่ เป็นความต้องการของเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็ไปเลือกหามุมเหมาะๆ ดื่มเหล้านานแล้ว”

ป๋ายเลี่ยนซวงกล่าวอย่างสงสัย “เขาบอกกับเจ้าไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว?”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับ “ต่อให้ข้าจะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าหลอกเจ้า เรื่องแบบนี้หรอกกระมัง? เป็นความต้องการของเฉินผิงอันเอง”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “เหตุผลนั้นง่ายดายมาก จวนหนิงไม่มีผู้อาวุโสไปที่นั่น ตระกูลฉีก็ไม่มีหน้าจะไปเหมือนกัน ส่วนการต่อสู้กับฉีโซ่วนั้น ต่อให้เขาแพ้ก็ไม่แพ้ น่าเกลียดเกินไป ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำให้ฉีโซ่วไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเขาเองจะชนะจริงๆ หากฉีโซ่วกล้าไม่เคารพกฎ ไม่ใช่แค่ต่อสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะอย่างเรียบง่ายเท่านั้น แต่กลับเลือกลงมือด้วยท่าทีที่จะตัดสินเป็นตาย กระทำการเกินขอบเขตในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง

ถ้าอย่างนั้นเขาเฉินผิงอันก็สามารถบีบให้บรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังฉีโซ่วต้องออกมาเก็บกวาดเรื่องเละเทะ ถึงเวลานั้นตระกูลฉีสามารถเก็บหน้าตา เก็บเหตุผลจากบนพื้นไปได้มากน้อยเท่าไร ก็ต้องดูที่ว่าคนที่ชมศึกจะยอมตอบตกลงหรือไม่แล้ว”

ป๋ายเลี่ยนซวงจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด ใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียด

น่าหลันเย่สิงเอ่ยอีกว่า “เจ้ากับคุณหนูอาจจะยังไม่รู้ เฉินผิงอันมาหาข้า เป็นการส่วนตัวสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือสอบถามถึงรากฐานของฉีโซ่ว ผังหยวนจี้และ เกาเหย่โหวสามคนนี้อย่างละเอียด นับตั้งแต่ชื่อกระบี่บิน นิสัยใจคอของผู้ฝึกกระบี่ ทั้งสามท่าน ไปจนถึงความเคยชินในการเข่นฆ่า แล้วก็ไปถึงผู้สืบทอดมรรคาของ พวกเขา การเข่นฆ่าที่ถามถึงยังแบ่งออกเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตบนสนามรบและ การต่อสู้แบบตัวต่อตัว เฉินผิงอันล้วนถามอย่างละเอียด ครั้งที่สองคือให้ข้า ช่วยเลียนแบบกระบี่บินของคนทั้งสาม ส่วนเขาก็ลองรับมือดู เป้าหมายมีแค่ อย่างเดียว การออกกระบี่ของข้าจำเป็นต้องเร็วกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคน ทั้งสามหนึ่งส่วน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางปฏิเสธ ก็ลองในห้องที่พื้นที่คับแคบยากจะ พลิกตัวหมุนตัวของเฉินผิงอันนั่นแหละ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำให้บาดเจ็บ แค่หยุดเมื่อพอสมควร เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า หากออกหมัดเต็มกำลัง ลงแรงอย่าง เต็มฝีมือจริงๆ อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถทำให้ลูกรักแห่งสวรรค์พวกนี้รู้สึกว่า ใช่ว่าจะไม่อยากคิดตัดสินแพ้ชนะกับเขาเฉินผิงอัน แต่พอสู้กันไปจนถึงท้ายที่สุด คาดว่าพวกเขาคงต้องตัดสินกันด้วยความเป็นความตายอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว”

ป๋ายเลี่ยนซวงมีสีหน้าปั้นยาก

รอยยิ้มของน่าหลันเย่สิงเหยเกยิ่งกว่า เขาชี้ไปยังทิศทางที่ตั้งร้านของเตี๋ยจ้าง “เจ้ายังเป็นห่วงเฉินผิงอันใช่ไหม? ไม่ควรเป็นพวกฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ที่ต้องปวดหัวกับเฉินผิงอันหรอกหรือ? มาเจอกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ หากขอบเขตของทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่มากนัก คาดว่าคงถูกเฉินผิงอันทำให้สะอิดสะเอียนจนตายทั้งเป็นแน่ๆ เฉินผิงอันกวนโอ๊ยน่าเตะแค่ไหน เจ้าป๋ายเลี่ยนซวงเคยออกหมัดใส่เขามาก่อน จะไม่รู้เลยหรือ?”

น่าหลันเย่สิงสืบเท้าเดินเนิบช้าด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย “เจ้าเด็กคนนี้ พูดง่ายใช่ไหม เข้าใจมารยาทพิธีการใช่ไหม พอมาอยู่กับข้า หลังจากช่วยป้อนกระบี่ให้เขาไปแล้ว พวกเราสองคนก็ดื่มเหล้าด้วยกันเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่พูดมากอย่างที่หาได้ยาก เจ้าไม่ได้เห็นจึงไม่รู้หรอกว่าเฉินผิงอันในเวลานั้น พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ถอดรองเท้า นั่งขัดสมาธิเลียนแบบข้าอย่างผึ่งผาย ประกายสดใสมีชีวิตชีวาในดวงตาคู่นั้นของเขา บวกกับคำพูดของเขา เป็นภาพแบบใด”

น่าหลันเย่สิงเผยสีหน้าหวนระลึกถึงอดีต

จวนหนิงสมควรมีเจ้านายผู้ชายบ้างแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะเคร่งเครียดเกินไป

ป๋ายเลี่ยนซวงถลึงตาใส่ “ตอนเจอหน้ากันต้องเรียกเขาว่าคุณชายเฉิน! เวลาอยู่กับข้า จะเรียกว่าท่านเขยก็ได้ แต่นี่เจ้าเรียกเฉินผิงอันคำแล้วคำเล่าไม่ขาดปาก สมควรแล้วหรือไร ใครให้เจ้ายืมดี (ดีคืออวัยวะหนึ่งในร่างกาย เปรียบเปรยถึงความกล้า) สุนัขนี้?!”

น่าหลันเย่สิงอัดอั้นไม่น้อย กว่าจะทวงคืนศักดิ์ศรียามอยู่ต่อหน้าเฉินผิงอัน กลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอมาอยู่กับยายแก่นี่ หน้าตาศักดิ์ศรีที่ว่านั่นล้วนต้อง ยกคืนกลับไปไม่มีเหลือ

หญิงชราพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้าสุนัขเฒ่า เจ้าว่าคุณชายเฉินมีโอกาสจะชนะสามครั้งติดหรือไม่”

น่าหลันเย่สิงเตรียมคำพูดรอไว้ก่อนนานแล้ว “ข้าต้องอยากให้เขาชนะอยู่แล้ว แต่หากการต่อสู้ครั้งที่สามเป็นผังหยวนจี้ ฉีโซ่วหรือเกาเหย่โหวคนใดคนหนึ่ง น่าจะค่อนข้างยากแล้ว พูดถึงแค่ฉีโซ่วที่มีโอกาสเป็นเขามากที่สุด หากเจ้าลูกกระต่ายนี่ไม่ประมาท เฉินผิงอันกับเขาก็สู้ได้ไหว สู้ได้มากๆ เลยล่ะ”

แล้วก็จริงดังคาด

ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็สัมผัสได้ถึงปราณเปี่ยมล้นของกระบี่โบราณเล่มหนึ่งที่กระเพื่อมแผ่อบอวลอยู่บนถนนใหญ่แถบร้านของเตี๋ยจ้าง

จากนั้นกระบี่เซียนที่เฉินผิงอันเอาวางไว้ในห้องเล็กก็ออกไปจากจวนหนิงด้วยตัวเอง

หญิงชราเตะเข้าที่ข้อพับของน่าหลันเย่สิง “ยังไม่ไสหัวไปดูสถานการณ์อีก! ปากอีกานัก เห็นได้ชัดว่าเกาจู๋ของฉีโซ่วเล่มนั้นออกจากฝักแล้ว”

แม้ว่าน่าหลันเย่สิงจะมีสีหน้าเป็นปกติ แต่อันที่จริงกลับร้อนใจอยู่ไม่น้อย การประมือกันทั่วไปย่อมไม่แบ่งเป็นตาย ไหนเลยจำเป็นต้องเอาอาวุธกึ่งเซียนออกมาคุมเชิงกับอาวุธเซียน?

น่าหลันเย่สิงเองก็ไม่มีเวลามาสนใจคำสัญญาอะไรอีกแล้ว

เพียงแต่น่าหลันเย่สิงกลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเกิดเรื่องเข้าจริงๆ นางกลับสงบสติอารมณ์ได้ แม้จะมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ป๋ายเลี่ยนซวงก็ยังส่ายหน้ากล่าวว่า “ช่างเถิด พวกเราต้องเชื่อว่าท่านเขยคาดการณ์ถึงเรื่องนี้มาได้ก่อนล่วงหน้าแล้ว”

น่าหลันเย่สิงถามหยั่งเชิง “ไม่ต้องให้ข้าไปจริงๆ หรือ?”

ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ หากที่นั่นเกิดปัญหา เขาน่าหลันเย่สิงควรจะทำอย่างไรหลังเกิดเรื่อง เจ้าป๋ายเลี่ยนซวงสามารถออกคำสั่งมาได้ตามสบาย แต่ห้ามมาโทษ ว่าเขาบกพร่องต่อหน้าที่เด็ดขาด

ป๋ายเลี่ยนซวงพยักหน้า “ข้าเป็นคนพูดเอง!”

น่าหลันเย่สิงชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง

หญิงชราเอ่ยเดือดดาล “เจ้าสุนัขเฒ่าระวังตาสุนัขของเจ้าเอาไว้ให้ดี!”

น่าหลันเย่สิงรู้ว่าตอนนี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีก็เลยยอมอดทน

ถึงอย่างไรการที่เขาไม่ถือสานางก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาปีสองปีแล้ว

ต่อมาไม่นานก็มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งเร่งรุดทะยานลมมาถึง พอพลิ้วกายลงบนสนามประลองยุทธและคารวะผู้อาวุโสทั้งสองแล้วก็เอ่ยว่า “เฉินผิงอันชนะแล้วทั้งสามครั้ง คนทั้งสามแบ่งออกเป็นเริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่ว”

ผู้ฝึกตนโอสถทองที่อายุเกือบร้อยปี แต่กลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์ผู้นี้มีชื่อว่าชุยเหวย ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิง น่าหลันเย่สิงไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แต่ชุยเหวยกลับยึดมั่นในหลักมารยาทระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ มาโดยตลอด อันที่จริงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ จวนหนิงเดือดร้อนเพราะหายนะใหญ่ เทียมฟ้าครั้งนั้น ชีวิตของพวกเขาจึงไม่ราบรื่นนัก แต่ชุยเหวยก็ไม่เคยเปลี่ยน ความตั้งใจเดิม

หญิงชราร้องเสียงดังว่าดี

น่าหลันเย่สิงถาม “เฉินผิงอันบาดเจ็บหนักไหม? ทำไมเจ้าไม่อยู่รอปกป้องเขา แล่นมานี่ก็เพื่อขอความดีความชอบก่อนงั้นรึ?”

ชุยเหวยยิ้มกล่าว “ดูจากท่าทางแล้วน่าจะยังต่อสู้อีกรอบ ข้าเอาข่าวมาบอก พวกท่านแล้วยังต้องรีบกลับไปชมศึกต่อ”

น่าหลันเย่สิงคว้าจับไหล่ของชุยเหวยเอาไว้ “เล่าขั้นตอนของการต่อสู้ทั้งสามครั้งนั้นมาให้ละเอียดเลย!”

ชุยเหวยยิ้มเจื่อน “อาจารย์ การต่อสู้ครั้งที่สี่ เฉินผิงอันจะสู้กับผังหยวนจี้ อีกทั้งยังเป็นเฉินผิงอันที่เป็นฝ่ายท้ารบด้วยตัวเอง หากไม่ไปดูก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว ตอนที่ข้ารีบเดินทางมาที่จวนหนิงก็สังเกตเห็นว่ามีผู้อาวุโสเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีป สองท่านรีบไปที่นั่นแล้ว”

น่าหลันเย่สิงถาม “เกาจู๋นั่นล่ะ?”

ชุยเหวยยิ้มอย่างเข้าใจ “เซียนกระบี่เกาขุยเปิดโปงความลับสวรรค์ คำพูดจึงเป็นดั่งคำตัดสิน เป็นเหตุให้ฉีโซ่วได้แต่กุมกระบี่ แต่กลับไม่ได้ออกกระบี่ก็เก็บเข้าฝักแล้วจากไป”

หญิงชราที่ยังไม่ทันได้แสดงความปลาบปลื้มก็ต้องหน้าเปลี่ยนสีไปน้อยๆ อีกครั้ง “ว่าไงนะ? ท่านเขยจะยังต่อสู้กับผังหยวนจี้อีกรอบ?!”

น่าหลันเย่สิงกลับหัวเราะ “ข้าวางใจอย่างมากเลยล่ะ”

หญิงชราชี้นิ้วสั่ง “ไปเฝ้าดูเขาหน่อย!”

น่าหลันเย่สิงส่ายหน้า “ไม่ต้องไป ชนะฉีโซ่วไปแล้ว เดิมทีก็เป็นการพิสูจน์ตัวของเฉินผิงอันแล้ว ไม่เพียงแต่มีความมั่นใจ ออกหมัดก็ยิ่งมั่นคงมากกว่าเดิม”

ยามอยู่กับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างชุยเหวยนี้ ถึงอย่างไรก็ยังต้อง มีมาดของผู้อาวุโสอยู่บ้าง

แต่เท้าของน่าหลันเย่สิงกลับขยับห่างออกมาเงียบๆ

หญิงชราโบกมือ “ชุยเหวย รบกวนเจ้าช่วยไปดูให้อีกหน่อย หากท่าไม่ดี ก็เรียกกระบี่บินให้มาส่งข่าวที่จวนหนิง”

ชุยเหวยจึงรีบขี่กระบี่จากไปทันที

การประลองฝีมือของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ การต่อสู้ที่ฟ้าพลิกผืนดินคว่ำระหว่างเซียนกระบี่ทั้งสองท่าน ปราณกระบี่ของสองฝ่ายที่มืดฟ้ามัวดิน แน่นอนว่า ไม่อาจพลาดได้

แต่ชุยเหวยไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าการช่วงชิงกันระหว่างเฉินผิงอัน ฉีโซ่วและ ผังหยวนจี้จะไม่ตื่นตาตื่นใจ

ในความเป็นจริงแล้วมันตระการตาชวนตื่นตะลึงอย่างมาก

ไม่อย่างนั้นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทั้งสี่ท่านที่รวมเกาขุยเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ก็คงไม่มีทางไปดื่มเหล้าอยู่ที่นั่น

และยังมีเซียนกระบี่ที่ทยอยกันเร่งรุดไปชมการประลองครั้งสุดท้ายของเด็กรุ่นหลัง กับตาตัวเองในภายหลังนี่ด้วย ชุยเหวยถึงขั้นคาดเดาเอาไว้ว่า สุดท้ายจะต้องมี เซียนกระบี่จำนวนสองมือนับไปรวมตัวกันอยู่ที่ถนนใหญ่แห่งนั้น!

ปีนั้นเฉาสือแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางปรากฏตัวในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อความขัดแย้งปะทุขึ้น เซียนกระบี่ที่ยินดีปรากฏตัวมีสักกี่คนกันเชียว?

แม้จะบอกว่านี่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าตอนนั้นขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือยังไม่สูง และออกหมัดรับมือกับศัตรูก็ไวมากพอ แต่หากไม่พูดถึงเหตุผลทั้งหมด พูดถึงแค่จำนวนเซียนกระบี่ที่มาชมศึก เฉินผิงอันที่เพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ไม่กี่วันผู้นี้ก็ได้ไล่ตามใครบางคนในปีนั้นไปทันโดยที่เขาไม่รู้ตัวแล้ว เพียงแต่ว่า ฝ่ายหลังนี้คือศึกใหญ่วุ่นวายที่ไก่บินหมากระโดด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาดองอาจ ของวีรบุรุษหรือความสง่างามของเซียนกระบี่แม้แต่นิดเดียว

หญิงชราพึมพำ “หากนายท่านกับฮูหยินยังอยู่ก็คงจะดีสินะ”

น่าหลันเย่สิงไร้คำพูดตอบโต้ มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น

หญิงชราขยี้ตา ยิ้มกล่าวว่า “แต่ตอนนี้ก็ดีมากเหมือนกัน”

……

เหนือหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีกระท่อมเล็กใหญ่สองหลังตั้งอยู่ใกล้กัน

บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวกับหยกเดินออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก มายืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือ ทอดสายตามองไปยังนครทางทิศเหนือ พร้อมยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผู้อาวุโสจั่ว ใต้เท้าอิ่นกวานวิ่งไปร่วมวงความครึกครื้นแล้ว ท่านจะไม่ไปดู สักหน่อยจริงๆ หรือ?”

บนหัวกำแพง บุรุษคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า หลับตาทำสมาธิ รอบกายคือปราณกระบี่เฉียบคมที่พุ่งฉวัดเฉวียนตัดสลับ รวมตัวกันจาก ภาพมายากลายเป็นของจริง เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับไม่หยุดนิ่ง ก็โชคดีที่บุรุษซึ่งยืนอยู่ ข้างกายเขาคือเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ

เว่ยจิ้นคือผู้มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาตามหลังหลี่ถวนจิ่ง ก่อนหน้าหม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีป คนสามคนนี้ หลี่ถวนจิ่งที่ก่อนตายก็ยังหยุดอยู่ที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูงสุดผู้นั้น ได้รับการยอมรับว่าอันที่จริงพรสวรรค์ไม่ได้เป็นรองเว่ยจิ้น แต่น่าเสียดายที่ติดอยู่ในบ่วงรัก จึงสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปไป เป็นเหตุให้ เมื่อกล่าวกันโดยภาพรวมแล้วก็ยังสู้เว่ยจิ้นไม่ได้ แต่หม่าขู่เสวียนผู้ฝึกตน สำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ คนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ยอมรับว่าคุณสมบัติของเขาน่าจะยังเป็นรองผู้อาวุโสทั้งสองท่านอย่างหลี่ถวนจิ่งและเว่ยจิ้น เพียงแต่ว่าโชควาสนาบนมหามรรคาดีเกินไป ผลสำเร็จในอนาคตของเขา บางทีอาจจะสูงกว่าเว่ยจิ้นเสียอีก ส่วนหลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนของสวนลมหิมะนั้น ในเมื่อ ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่มีหวังอีกแล้ว

จั่วโย่วไม่ได้ลืมตาขึ้น เขาเพียงพูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ไม่มีอะไรน่าดู การช่วงชิงชัยชนะแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ไร้ซึ่งความหมายใดๆ”

เว่ยจิ้นรู้นิสัยของผู้อาวุโสแซ่จั่วผู้นี้ดี ดังนั้นคำพูดคำจาของเขาจึงไม่ได้กริ่งเกรงอะไรมากนัก เขายิ้มกล่าวว่า “นี่ไม่เหมือนท่าทีที่ศิษย์พี่ใหญ่คนหนึ่งควรมีต่อ ศิษย์น้องเล็กเลยนะ”

จั่วโย่วส่ายหน้า “ข้าไม่เคยยอมรับเรื่องนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอิงตามกฎเกณฑ์สายบุ๋นของลัทธิเต๋า หากไม่แขวนภาพเหมือนของบรรพจารย์ ไม่เคยจุดธูปโขกหัว เขาก็ไม่ถือว่าเป็นศิษย์น้องของข้า”

เว่ยจิ้นจึงไม่พูดอะไรอีก

เดิมทีผู้อาวุโสจั่วก็เป็นคนไม่ชอบพูดคุยอยู่แล้ว ราวกับว่าเมื่อเทียบกับการ ออกกระบี่ใส่ศัตรูแล้ว ให้เขาพูดหนึ่งประโยคยังเปลืองแรงเสียมากกว่า

จั่วโย่วและเว่ยจิ้น เซียนกระบี่สองท่าน คนหนึ่งมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อีกคนหนึ่งมาจากแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งจั่วโย่วก็ออกห่างจากสายตาของโลกมนุษย์ไปแล้ว เหมือนวิญญาณเร่ร่อนที่ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไม่เคยหยุด อยู่นิ่งกับที่มานานเป็นเวลาร้อยกว่าปี เดิมทีคนทั้งสองก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน นอกเสียจากว่าต่างก็รู้จักอาเหลียง และเฉินผิงอัน

ทั้งวิชากระบี่และนิสัยใจคอของเว่ยจิ้นล้วนถูกตาจั่วโย่ว เว่ยจิ้นคนหนุ่มที่เคยได้รับบุญคุณที่ไม่เล็กจากอาเหลียงผู้นี้ถือเป็นบุคคลที่เหลืออยู่จำนวนไม่มากในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จั่วโย่วยินดีจะพูดด้วย หลายคำหน่อย

แต่เว่ยจิ้นก็เป็นเพียงแค่เซียนกระบี่ที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้ไม่นาน ย้อนกลับมามองจั่วโย่วที่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าแล้ว เว่ยจิ้นเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสก็สมควรอย่างยิ่ง

เว่ยจิ้นรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย

ในใจผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนมีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่ตัวเองเลื่อมใสมากที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นหอเทพเซียนของสวนลมหิมะ อาจารย์ที่ตบะไม่สูง แต่กลับทำให้เว่ยจิ้นเคารพนับถือมาได้ตลอดชีวิตผู้นั้นก็เลื่อมใสยกย่องหลี่ถวนจิ่งที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสยบภูเขาตะวันเที่ยงมาโดยตลอด ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดตอนมีชีวิตอยู่ ก็คือหวังว่าจะมีโอกาสได้ถามกระบี่กับหลี่ถวนจิ่ง ต่อให้หลี่ถวนจิ่งจะพูดด้วยแค่ คำเดียว ก็ถือว่าชีวิตนี้ไม่เหลือความเสียดายใดๆ แล้ว เสียดายที่อาจารย์หน้าบาง ตบะต่ำ จึงไม่เคยทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้ รอจนเว่ยจิ้นออกท่องยุทธภพ แล้วได้เจอกับ ‘มือดาบ’ สวมงอบผู้นั้นโดยบังเอิญ เขาก็ปิดด่านฝ่าขอบเขต คิดจะใช้สถานะลูกศิษย์ของอาจารย์ และมาดของเซียนกระบี่ไปถามกระบี่กับสวนลมฟ้า ทว่า หลี่ถวนจิ่งกลับลาจากโลกนี้ไปแล้ว

สำหรับเว่ยจิ้นแล้ว ชีวิตของตนมักเป็นเช่นนี้เสมอ อะไรที่ไม่ต้องการ บางทีอาจกรูกันเข้ามาหา อะไรที่ไขว่คว้าอย่างยากลำบาก มักจะจากไปในชั่วพริบตา ยิ่งเดินก็ยิ่งออกห่างไปไกล

โชคดีที่พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สภาพจิตใจของเว่ยจิ้นก็เปิดกว้าง

ที่นี่มีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่อาศัยอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพังมานานหมื่นปี มีคนบนเส้นทางเดียวกันที่จากอุตรกุรุทวีปมากระโจนเข้าหาความตายด้วยความกล้าหาญ แน่นอนว่าก็ยังมีผู้อาวุโสจั่วที่วิชากระบี่สูงถึงขีดสุด จนราวกับว่าเหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในใต้หล้าไพศาลไปแล้วระดับใหญ่

การต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ จั่วโย่วสะพายกระบี่บุกเข้าไปในพื้นที่ใจกลางของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ ใช้ปราณกระบี่บนร่างเปิดทางให้ตัวเองตามใจปรารถนา ไม่จำเป็นต้อง ออกกระบี่ แค่สมบัติอาคมขยับเข้ามาใกล้ร่างก็แตกกระจายเป็นผุยผงไปเองก่อนแล้ว

จนกระทั่งไปเจอกับปีศาจใหญ่ที่ตัวเองหมายตา จั่วโย่วถึงได้เริ่มเปิดฉากต่อสู้อย่างจริงจัง

การต่อสู้ของเทพเซียนในครั้งนั้น มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนตกร่างแหเดือดร้อนไปด้วย แต่ถึงอย่างไรในรัศมีร้อยลี้ก็ล้วนเป็นเผ่าปีศาจทั้งนั้น

เป็นท่วงท่าสง่างามที่ชวนตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

เพียงแค่ศึกนี้ก็ทำให้จั่วโย่วกลายเป็นคนต่างถิ่นที่ได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด

หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลง จั่วโย่วมานั่งดื่มเหล้าบนหัวกำแพงเพียงลำพัง หลังจากที่ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตูปรากฎตัวก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘แค่วิชากระบี่สูง ยังไม่พอ’

ต่อให้เผชิญหน้ากับเสาเทพคำยันมหาสมุทรที่อาเหลียงเรียกด้วยความเคารพว่า พี่ใหญ่เซียนกระบี่ผู้นี้ จั่วโย่วก็ยังตอบรับแค่ประโยคเดียว ‘นั่นก็เพราะวิชากระบี่ยังสูงไม่มากพอ’

ตอนนั้นเฉินชิงตูที่เอาสองมือไพล่หลังหันหลังกลับเดินจากไปพลางส่ายหน้ายิ้มกล่าว ‘เหตุใดซิ่วไฉเฒ่าที่รู้จักพลิกแพลงเป็นที่สุดผู้นั้น ถึงได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเจ้าออกมาได้นะ’

จั่วโย่วคร้านจะพูดด้วย

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะเขาสู้ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ได้

ไม่อย่างนั้นเขาก็คงใช้กระบี่พูดคุยไปแล้ว จะได้ทำให้นักโทษหมื่นปีที่มีความอาวุโสสูงที่สุดผู้นี้รู้จักมีความเกรงใจยามพูดถึงอาจารย์ของตนเสียบ้าง

เว่ยจิ้นก้มหน้าจ้องมองฝ่ามือที่แบออก ยิ้มกล่าวว่า “การต่อสู้ครั้งแรก เฉินผิงอันชนะแล้ว ชนะอย่างสบายมาก คู่ต่อสู้คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง”

จั่วโย่วเงียบไปครู่หนึ่ง ยังคงไม่ลืมตา เพียงแค่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร?”

จั่วโย่วนึกว่าผู้อาวุโสจั่วรังเกียจที่ขอบเขตคู่ต่อสู้ของเฉินผิงอันต่ำเกินไป จึงเอ่ยว่า “การต่อสู้ครั้งที่สองก็คือโอสถทองหนุ่มคนหนึ่ง”

คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะยิ่งขมวดคิ้วมุ่น “เพิ่งจะสิบปี? สิบปีแล้วกระมัง? สิบปีก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรได้แล้วหรือ?”

อารมณ์ของเว่ยจิ้นซับซ้อนเล็กน้อย

ผู้อาวุโสจั่วไม่มีความมั่นใจในตัวศิษย์น้องเล็กของตัวเองคนนั้นเกินไปหน่อยหรือไม่?

และไม่นานเว่ยจิ้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าตอนที่จั่วโย่วไปขอเป็นศิษย์ในสำนักของซิ่วไฉเฒ่า ขอบเขตของเขาไม่สูงเท่าไรจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดด้วย

จั่วโย่วเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์การต่อสู้ของทางฝั่งนั้นแล้ว”

เว่ยจิ้นจึงก้มหน้ามองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือของตัวเองต่อไปเพียงลำพัง

จั่วโย่วใช้ปณิธานกระบี่ที่เปี่ยมล้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาขัดเกลาปณิธานกระบี่ของตัวเองต่ออีกครั้ง

ตอนที่อายุยังน้อยไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แบ่งสมาธิมาที่เรื่องการฝึกวรยุทธและฝึกกระบี่ ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

เมื่อผ่านเรื่องราวมามากมายแล้วหันกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง ก็ยากที่จะรับหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายธรรมดาเหล่านั้นมาได้

ในสมองคิดแต่ว่าจะอยู่ร่วมวิถีของโลกใบนี้อย่างกลมกลืนได้อย่างไร เลือกไปเลือกมา ความรู้ที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ ความรู้ที่สามารถคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนดั่งไฟลามไหม้ขนคิ้วได้ จึงจะเป็นความรู้ที่ดีที่ผู้คนให้การยอมรับ ความรู้เช่นนี้ต่อให้รู้มากแค่ไหน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว แน่นอนว่ายังพอจะมีประโยชน์ ที่ไม่น้อยอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรเมื่อเป็นมนุษย์ก็ยังต้องมีสถานที่ที่ทำให้ตัวเอง สบายใจเหมือนอยู่บ้าน แต่สำหรับลูกศิษย์ของอาจารย์ตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นั้น…กลับมีความหมายไม่มากแล้ว

เว่ยจิ้นเงียบงันไปนาน หลังจากชมการต่อสู้ครั้งที่สองแล้ว เขาสัมผัสได้ถึง ความผิดปกติเล็กน้อยจากจั่วโย่วที่อยู่ข้างกายก็อดไม่ไหวถามว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสจั่ว ยังมีห่วงให้พะวงถึง เหตุใดแค่ไปพบหน้าเขาสักครั้งก็ยังไม่ยอมทำ?”

จั่วโย่วขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้วว่า ข้าไม่ยอมรับว่าเขาเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า”

คนหนุ่มผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ตนได้ เป็นศิษย์น้องของฉีจิ้งชุนได้ ทว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคือศิษย์น้องเล็กในใจของเขาจั่วโย่ว

ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาจั่วโย่วถึงได้เรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ใหญ่ มองชุยฉานที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งไร้ตัวตน?

ถอยไปพูดหมื่นก้าว ในใต้หล้านี้มีศิษย์น้องเล็กคนใดบ้างที่เอาแต่คลอเคลียแนบชิดภรรยาตัวเอง แต่ทิ้งศิษย์พี่ใหญ่ไว้ด้านข้างไม่สนใจ

ข้าไม่เห็นเจ้าเป็นศิษย์น้อง ก็มีเหตุผลให้เจ้ากล้าไม่เห็นข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ด้วยอย่างนั้นหรือ?

เว่ยจิ้นชมศึกอยู่ไกลๆ เงียบๆ

จั่วโย่วพลันลืมตาขึ้น แล้วก็หรี่ตาลง ทอดสายตามองไกลไปยังถนนใหญ่เส้นนั้น

เว่ยจิ้นกลั้นขำ ไม่เอ่ยอะไร

เวลานี้เป็นเวลาที่ลูกหลานตระกูลฉีผู้นั้นชักกระบี่ออกจากฝักพอดี

เพียงไม่นานจั่วโย่วก็ปิดตาลงอีกครั้ง

เว่ยจิ้นยิ้มอย่างเข้าใจ

สายของเหวินเซิ่งนั้นมีเหตุผลที่สุดแล้ว

……

พื้นที่แห่งอื่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้เท้าอิ่นกวานทะยานลมมายังด้านล่างกำแพงเมือง แล้วก็กระโดดผลุงเหยียบขึ้นไปบนตัวกำแพง เดินไต่ขึ้นสู่ด้านบน

ฝีเท้านั้นมองดูเหมือนไม่เร็ว แต่เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีก็มาถึงหัวกำแพง เซียนกระบี่อายุมากท่านหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่ปักหลักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกุมหมัดคารวะ

ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้ารับ ยืนอยู่บนหัวกำแพงทางฝั่งทิศเหนือ ก้าวออกไป หนึ่งก้าวก็ขยับมาทางหัวกำแพงทางทิศใต้ ดึงผมแกละทั้งสองข้างของตัวเองขึ้น แล้วแกว่งไปมา ร่างค่อยๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศช้าๆ

แต่ต่อมานางก็ขมวดคิ้ว หมุนตัวกลับอย่างไม่เต็มใจ ทะยานลมพุ่งตรงไปยัง หัวกำแพงมุมหนึ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าด้วยความเร็วราวกับลูกธนู ทะเลเมฆหนาหนัก เหนือศีรษะของนางถูกแรงกระเทือนจนสลายออกจากกัน พริบตาเดียวนางก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกระท่อมหลังหนึ่ง “ทำไมกัน? ข้าไม่ได้ดื่มเหล้าสักหน่อย!”

ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเรื่องจะปรึกษาเจ้าหน่อย”

อิ่นกวานเอ่ย “ไม่ดื่มเหล้า ช่วงนี้ไม่มีเรี่ยวแรงให้ต่อสู้ ข้าไม่ไปทางทิศใต้”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เกเรซุกซนขนาดนี้ วันหน้าไม่คิดจะแต่งงานจริงๆ หรือไร?”

ใต้เท้าอิ่นกวานที่สวมชุดคลุมตัวโคร่งสีดำ เวลานี้เหมือนแมวน้อยสีดำที่พองขนตัวหนึ่ง

ชายแขนเสื้อใหญ่ของแม่นางน้อยโบกสะบัด เมฆสีดำล้อมวนไปทั่วกาย

ที่แท้ระหว่างที่ผู้เฒ่าพูด ร่างของเขาก็ได้ขยับมายืนอยู่ข้างกายนาง ค้อมเอวยื่นมือมากดศีรษะเล็กๆ ของนางเอาไว้แล้ว

ชุดคลุมสีดำที่สะบัดพึ่บพั่บไม่หยุดนั้นพลันแฟบลง นางก้มหน้าขยับเท้าหนี เอ่ยเสียงหนัก “มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ สิ!”

ผู้เฒ่าโบกมือ “ไปเล่นที่ไหนก็ไป ไม่มีอะไรแล้ว”

นางเอ่ยอย่างเดือดดาล “เฉินชิงตู! เจ้าแกล้งข้าอย่างนั้นหรือ!”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ฟังจากนำเสียงของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเรา คงจะไม่ยอมแพ้สินะ?”

สีหน้าของนางมืดทะมึน

นาทีถัดมา

อันดับแรกกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ใกล้กระท่อมก็พลันมีฟ้าดินขนาดเล็กถือกำเนิดขึ้นมา

จากนั้นผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนบนหัวกำแพงเมืองต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากตลอดทั้งกำแพงเมือง

ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนั้น

ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ใช้มือข้างหนึ่งกดศีรษะของใต้เท้าอิ่นกวานเอาไว้ สองเท้าของฝ่ายหลังลอยกลางอากาศ หลังพิงกำแพง ปราณสังหารตลอดทั้งร่างของนาง เดือดพลุ่งพล่าน แต่กลับสลัดไม่หลุด

เฉินชิงตูเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ไม่ใช่ว่าข้าควบคุมพวกเจ้าไม่ได้ ก็แค่ข้าละอายใจ เลยคร้านจะสนใจพวกเจ้าก็เท่านั้น เจ้าอายุยังน้อย ไม่รู้ความ ข้าถึงได้ใจกว้างกับเจ้าเป็นพิเศษ จำได้แล้วหรือยัง?”

อิ่นกวานเงียบไปนานกว่าจะพยักหน้ารับ

เฉินชิงตูปล่อยมือ ร่างของอิ่นกวานไถลลงบนพื้น

ผู้เฒ่าเอ่ย “ไปเล่นซะไป”

อิ่นกวานร้องอ้อหนึ่งที หมุนตัวกลับได้ก็เดินอาดๆ จากไป ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดเหวี่ยงราวกับบินได้

ผู้เฒ่ายืนนิ่งทอดสายตามองไกลไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้

แล้วก็คลี่ยิ้ม

โลกมนุษย์ดุจสุรา เมาล้มหน้าบุปผา เมาล้มใต้แสงจันทรา เมามายอยู่กับตัวข้าหมื่นปี

เฉินชิงตูมองกลับไปทางทิศเหนือแวบหนึ่ง

ภายใต้สถานการณ์ที่ขอบเขตต่างกันไม่มาก เป็นศัตรูกับเจ้าเด็กนั่น ไม่ระวังให้มาก คงไม่ได้จริงๆ

……

ยันต์ไม่มีพื้นที่ให้เอามาใช้งาน

เฉินผิงอันยังมีกระบี่บินอีกสามเล่ม ได้แก่สืออู่ ซงเจินและต้านเหลยที่สามารถช่วยตนยืนยันว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของผังหยวนจี้มีความจริงลวง กี่มากน้อย

ผังหยวนจี้สองคนที่อยู่บนถนนก็ค่อนข้างจะผ่อนคลาย คนหนึ่งหยุดเดิน แบ่งสมาธิออกมาควบคุมปราณกระบี่สามเส้นให้โรมรันอยู่กับกระบี่บินสามเล่มของเฉินผิงอัน

อีกคนหนึ่งบังคับปราณกระบี่ให้มาเผาผลาญปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธและปณิธานหมัดเข้มข้นบนตัวของเฉินผิงอันที่ออกหมัดไม่หยุด

ส่วนผังหยวนจี้สิบสองคนที่อยู่บนหลังคา ก็เริ่มสร้างค่ายกลยันต์แห่งใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง

ผังหยวนจี้เลือกใช้วิธีการที่โง่ที่สุด นั่นก็คือค่อยๆ ทำไปตามลำดับขั้นตอน ค่อยๆ สร้างให้ถนนใหญ่ทั้งเส้นกลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กของตัวเอง

ประหนึ่งอริยะเฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา สิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ขุนเขา ตบะจะสูงกว่าเดิมหนึ่งระดับ!

สุดท้ายเมื่อออกกระบี่ด้วยขอบเขตก่อกำเนิดก็จะสามารถแบ่งแพ้ชนะได้ในเสี้ยววินาที

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็ตระหนักได้ถึงความคิดของผังหยวนจี้

น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าความสามารถมีไม่มากพอ ต่อให้พลังอำนาจจากการ ออกหมัดจะทำให้พวกผู้ชมอกสั่นขวัญผวา ทุกครั้งที่พายุหมัดปะทะกับปราณกระบี่จะต้องทำให้พื้นผิวถนนปริแตกจนไม่เหลือสภาพดี

แต่ว่าสองฝ่ายที่คุมเชิงกันต่างก็ใจตรงกันอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินแค่ไหน ปราณกระบี่ของผังหยวนจี้ก็ไม่เข้าไปในร้านเหล้าแม้แต่น้อย พายุหมัดของเฉินผิงอันก็เป็นเช่นเดียวกัน

และในขณะที่ผังหยวนจี้จะประสบความสำเร็จนั้นเอง

ในที่สุดผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นก็ไม่ออมแรงใดๆ ไว้อีก

เพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็ใช้หมัดแหวกนที พรวดมาอยู่ด้านหน้าผังหยวนจี้

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกระบี่บินแสงสีขาวหิมะอีกเล่มหนึ่งที่โผล่ขึ้นมากะทันหัน โผล่มาอย่างไร้สัญญาณบอกกล่าว มันพุ่งเข้าผังหยวนจี้คนที่ควบคุมปราณกระบี่ ให้รับมือกับกระบี่บินสามเล่ม

นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้

คนชุดขาวทะยานขึ้นจากพื้นดิน จิตหยินแหวกทะลุชั้นเมฆ

จุดที่ออกหมัด ผังหยวนจี้คนนั้นก็ถูกหมัดต่อยจนร่างเละเทะ

กระบี่บินชูอีปั่นคว้านผังหยวนจี้คนที่สองให้แหลกเป็นจุล

ส่วนจิตหยินของเฉินผิงอันก็พลันหยุดลอยนิ่ง หลุบตาลงตำมองมาจากที่สูง ใช้กระบวนท่าไอน้ำเหนือบึงใหญ่แบบย้อนกลับ พายุลมกรดประหนึ่งฝนเทกระหนำเข้าใส่ผังหยวนจี้แต่ละคนที่อยู่บนหลังคาเรือน

เวลาเดียวกันนั้นร่างจริงของเฉินผิงอันที่เก็บหมัดยืนอยู่บนถนนก็งอสองเข่าลงเล็กน้อย โครงท่าหมัดที่เหมือนจะทรุดตัวลงเพื่อเก็บกลับคืนพลันระเบิดปณิธานหมัดที่ไม่เคยปรากฎบนร่างของเฉินผิงอันมาก่อน ประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่ระเบิดครืนครั่น ประหนึ่งเจียวหลงขยับร่าง ถนนใหญ่เส้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ตั้งแต่หัวจรด ปลายถนนล้วนพังถล่มทรุดตัวลง ร่างของเฉินผิงอันที่ทะยานขึ้นกลางอากาศได้ลอยสูงเหนือหัวของจิตหยินตัวเองไปแล้ว แล้วปล่อยหมัดที่มีปณิธานหมัดสูงที่สุดในชีวิต ใส่จุดหนึ่ง

กลางอากาศเหนือนคร อันดับแรกคือปณิธานหมัดเส้นนั้นที่พุ่งตรงไปประหนึ่งมีดกรีดกระดาษสีขาว

ความเคลื่อนไหวต่อมาก็คือเสียงครืนๆ ที่ดังขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน

ผังหยวนจี้ที่ร่างลอยขึ้นกลางอากาศเผชิญหน้ากับพายุหมัดที่พุ่งตรงมานั้น ก็พลันเก็บกระบี่บินในชั่วพริบตา กายธรรมร่างทองสูงหลายจั้งเผยตัวขึ้นมา สองแขนยกตั้งตัดกันกั้นขวางอยู่เบื้องหน้าผังหยวนจี้

กายธรรมนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่โอฬารนัก แต่แสงสีทองรวมตัวเข้มข้นราวกับน้ำ

ผังหยวนจี้กับกายธรรมร่างทองถูกต่อยจนถอยร่นไปยังจุดที่สูงยิ่งกว่าเดิม

รอจนผังหยวนจี้หยุดร่างได้อย่างมั่นคง กายธรรมร่างทองนั้นก็พลันขยายใหญ่สูงหลายสิบจั้ง ยืนตระหง่านอยู่ด้านหลังผังหยวนจี้ มือข้างหนึ่งถือตราประทับอาคม อีกมือหนึ่งถือกระบี่ยักษ์

เฉินผิงอันเหยียบอยู่บนชูอี สืออู่

เผชิญหน้ากับภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่ถอยร่น กลับยังบุกรุดหน้าขึ้นสู่ที่สูงด้วยความเร็วสูงสุด

ตรงหน้าต่าง นอกร้านเหล้า ศีรษะของคนมากมายพากันยืดคอยื่นยาวออกมา มองจนปากอ้าตาค้าง

เจ้าสองคนนี้ค่อนข้างจะไร้ขื่อไร้แปแล้วนะ

เยี่ยนจั๋วเอ่ยเสียงเบา “หนิงเหยา ไม่เกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อยหรือ? ไม่มีความจำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้ ผังหยวนจี้ไม่ใช่คนเลวร้าย เฉินผิงอันก็เป็นคนดียิ่งกว่า หากเปลี่ยนมาเป็นฉีโซ่ว ข้าก็หวังให้เฉินผิงอันปล่อยหมัดต่อยให้นำในสมองของฉีโซ่วไหลออกมาอยู่หรอก แต่หากยังสู้กันต่อไปเช่นนี้ คงต้องมีคนตายแล้วจริงๆ”

หนิงเหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดไปเขาก็ไม่ฟัง”

ต่งฮว่าฝูมึนงงไปเล็กน้อย ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของพี่หญิงหนิงด้วยหรือ?

อาเหลียงก็ดี ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็ช่าง เมื่ออยู่กับพี่หญิงหนิง พวกเขาต่างก็โปรดปรานนางมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่พี่หญิงหนิงรู้ความเร็ว ต่อให้เป็น สองท่านนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นพี่หญิงหนิงเป็นเด็กมาก่อน และในบรรดาพวกเขา นางก็เป็นคนแรกสุด และจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพียงคนคนเดียวที่สามารถพูดคุย เรื่องใหญ่กับอาเหลียงและผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ได้ ในข้อนี้ แม้แต่พี่สาวของต่งฮว่าฝู ก็ยังต้องยอมรับว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบพี่หญิงหนิงได้ติด

หนิงเหยาเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ไม่อยากห้าม”

ต่งฮว่าฝูโล่งใจได้อย่างรวดเร็ว นี่ต่างหากจึงจะเป็นคำพูดที่พี่หญิงหนิงควรจะพูด

ผังหยวนจี้ยกมือขึ้นสูงแล้วกดตบลงอย่างแรง

กายธรรมร่างทองด้านหลังที่ใหญ่โตราวขุนเขานั้น มือข้างที่ถือตราประทับอาคม ที่มีสายฟ้าตัดสลับอย่างลี้ลับก็ตบลงมาตามมือของเขา

เห็นเพียงว่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยทะลุตราประทับอาคมแล้วยัง มีแรงเหลือ พุ่งเข้าหาผังหยวนจี้ต่ออีก!

ผังหยวนจี้ไม่สะทกสะท้าน สองนิ้วปาดออกไปในแนวขวาง

กระบี่บินที่ถืออยู่ในมือของร่างกายธรรมก็ปาดขวางออกไป กระบี่ยักษ์เหวี่ยง เข้าใส่ช่วงเอวของคนหนุ่มชุดเขียวอย่างแรง

สองเท้าของเฉินผิงอันปักตรึงแน่นอยู่กับพื้น ไม่เพียงแต่ไม่ถูกตบกระเด็นจนร่วงตกลงสู่พื้นดิน ยังแค่ถูกคมกระบี่ที่เหวี่ยงมาผลักให้เคลื่อนออกไปในแนวขวางแค่ สิบกว่าจั้งเท่านั้น รอจนพละกำลังจากกระบี่ยักษ์ในมือร่างกายธรรมลดน้อยลง เขาก็พุ่งสู่ที่สูงในแนวทแยง มือซ้ายปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง

ภาพนี้ทำเอาผู้ฝึกกระบี่ที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปทุกคนมองดูด้วยอาการชา ไปทั้งหนังศีรษะ สันหลังเสียววาบ

ตราประทับอาคมมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง กระบี่ยักษ์ก็ยกขึ้นสูงแล้วฟันฉับลงมาอีกครั้ง

ร่างของเฉินผิงอันหายวับไปสองครั้ง มาหยุดอยู่ตรงจุดสูงกว่าผังหยวนจี้กับ กายธรรมร่างทองของเขาเล็กน้อย แล้วจึงปล่อยหมัดใส่ศีรษะของร่างจริงผังหยวนจี้

เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว

ผังหยวนจี้ร่วงดิ่งจากกลางอากาศไปยังใต้ดินของถนนใหญ่ในแนวดิ่ง มองไม่เห็นเงาคน เพราะฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่ว เนิ่นนานเขาก็ยังไม่ปรากฏตัว

คนชุดเขียวเหยียบกระบี่บินสองเล่มค่อยๆ พลิ้วกายลงบนถนนใหญ่ช้าๆ แขนซ้ายข้างหนึ่งห้อยตกร่องแร่ง ส่วนแขวนขวาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ข้างกายก็คือเจี้ยนเซียนเล่มนั้นพอดี

เขายืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ ทั่วร่างโชกไปด้วยเลือด ค่อยๆ หันหน้ากลับ มองไปยังสตรีที่ตัวเองรัก

มือกระบี่หนุ่มชุดเขียวปักปิ่นหยกขาวผู้นั้น ใช้ฝ่ามือที่กระดูกขาวเปิดเปลือย กำด้ามกระบี่ของเจี้ยนเซียนไว้เบาๆ ขยิบตาให้นาง คลี่ยิ้มกว้างสดใส

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!